ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ได้รับทราบจากพี่ใหญ่ทางโทรศัพท์ระหว่างการสนทนา เรื่องข้อสงสัยของภรรยาผม และแม่ของคุณโสระว่า พระคุณเจ้า ที่อยู่อีกตึกหนึ่ง มีผิวพรรณและลักษณะท่าทางมีราศรีมากทั้งที่เป็นผู้ป่วย และชราภาพ พี่ใหญ่เลยเฉลยให้ฟังว่า งานบุญคราวนี้ คณะพวกเราโชคดี ได้ทำบุญและสังฆทานอาหารกับพระอริยเจ้า 3 รูป และพระที่มีศีลครบอีก 1 รูป (องค์ที่กล่าวรับสังฆทานจาก อ.ปุ๊ นั่นเองส่วนพระอริยเจ้าคือเจ้าคุณที่กล่าวถึงข้างต้นนั่นเอง) นับว่าเป็นวาสนาจริง ข้างบนท่านก็ลงมาเยอะมากเช่นกันมาโมทนาบุญกับเรา มารับบุญจากพระสงฆ์ที่อาพาธ สาธุบุญแท้น้อ...ใครขออะไร ปรารถนาอะไร คงจะสมหวังบ้างล่ะ อย่างน้อยก็มีบุญข้ามภพชาติติดตัวไปพอเป็นเสบียงเลี้ยงตัวได้อย่างไม่แร้นแค้นแน่นอน....สาธุและนำบุญใหญ่ฝากให้หมู่ที่อยู่ไกล สงขลา เชียงใหม่ ชัยภูมิ ด้วยกันทั้งหมดเด้อ...


    พันวฤทธิ์
    24/3/51
     
  2. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ส่วนโอ๊ตได้ถวายอาหารให้กับหลวงปู่ อายุ 90 แล้วครับดูท่านยังแข็งแรงดีตอนแรกไม่คิดว่าอายุหลวงปู่ท่านจะถึง 90 ครับ
    หลวงปู่ท่าทางท่านใจดีมากและได้สนทนากันพักหนึ่ง หลวงปู่ก็ถามว่าอยู่ที่ไหนกันล่ะ ก็เลยตอบหลวงปู่ไปว่าพักอยู่ที่สำโรงครับ
    และผมก็ได้สอบถามเกี่ยวกับอาการป่วยของหลวงปู่เล็กน้อย และ ทางเณรที่คอยปรนนิบัติก็บอกว่าอีกไม่กี่วันก็ได้กลับวัดแล้ว

    และตอนก่อนกลับสังเกตุดูที่ป้ายหน้าห้องก็เลยได้ทราบว่าหลวงปู่อยู่ที่
    วัดแพรกนกเอี้ยง ตำบลบางเตย อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ครับ เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญเพราะตอนนี้ผมก็ทำงานที่ฉะเชิงเทราครับ

    โมทนาบุญกับทุกท่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    น้องโอ๊ต
     
  3. xanadu

    xanadu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +1,637
    I found this topic on Mar 21, 2008. The next morning I wanted to go to Buddhist temple to offer food to the monks.
    The first temple contacted had notified me that all the monks were invited to a private service that saturday morning.
    Then I called the other temple and learned that the monk was quite ill with influenza (the other 2 monks were invited to outside service). I told him I would bring some soup and be there shortly.
    I made a pot of rice soup and we drove there asap. We were happy to help the ailing monk.

    I truly appreciate the good deed you are doing.
    I will contact my sibling in Thailand to transfer 500 Baht to the foundation.
    Please allow for a few days and I will contact again when the donation is completed.
     
  4. xanadu

    xanadu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +1,637
    Some pictures make my eyes misty of joy and sorrow.
    I don't know of a chance to visit those sacred places in India. Therefore I envy those who travel there, but I am thankful of your posted pictures.
    Monks are bounded by 227 rules governed by the Buddha. They left their families, possessions, properties behind. It must be the most difficult life in this world. I admire them for giving up things and enter into this nothingness life.
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เห็นภาพ 3 ภาพล่างนี้แล้ว นี่ละหนอบุญใหญ่ นี่ละหนอธาตุขันธ์ อานิสงส์ดังอุปัฏฐากต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมดังปณิธานของทุนนิธิฯ จริงๆ มิเสียแรงที่ทำ มิเสียแรงที่อดกลั้นและอดทนทุกอย่าง ท่านลำบากกว่าเรามากนัก ขอกุศลนี้ อานิสงส์นี้ ที่สำเร็จประโยชน์แล้ว ที่ทำโดยประณีตแล้ว และที่เป็นปิติแล้ว จงมีแด่ผู้บริจาคทานมัยเพื่อเป็นสังฆทานนี้ทุกๆ ท่านเทอญ... ขอให้ทุกท่านพานพบแต่สิ่งที่ดี ไร้โรคาพยาธิมาเบียดเบียน ขอให้มีความเจริญก้าวหน้าในธรรม และขอให้ผลบุญนี้ติดตามไปทุกภพทุกชาติ ตราบซึ่งจนถึงฝั่งพระนิพพานเทอญ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ.....
     
  6. thanyaka

    thanyaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +2,497
    โมทนาบุญกับทุกท่านคะ สาธุ สาธุ สาธุ
    คงจะเหมือนที่มีคำกล่าวว่า ทำบุญกับคนเป็นได้รับบุญเห็นๆนั่นคือ ชื่นใจ สุขใจ
     
  7. active

    active เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +278
    วันที่21มี.ค.2551เวลา 06.37 น. ผมโอนเงินร่วมทำบุญ 500บาท ตรวจสอบด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  8. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    วันนี้ได้ลองดูรูปที่ได้ถ่ายมา ก็เลยได้พบชื่อของหลวงปู่ที่ผมกล่าวถึงครับ (i)

    "พระครูชิโนรสธรรมาภรณ์"


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2008
  9. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    I, Kratium the representative of Khun Bhanvarit and team thank you both of you (K.Xanadu,K.Tanya123) for your generous help and donation for the foundation.We very much appreciate your good deeds. Nowadays,there are few people that would truly help these monks who have devoted their lives preaching Buddha's sacred teachings.

    We would be glad to post more news and information about how your generously help the monks that are still in need of help.We hope you would kindly forward them to other followers as well,in order to share blessing given from this wonderful act.

    Best,

    Bhanvarit
    Director of Pratom Foundation
     
  10. พรรณศิริ

    พรรณศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +704
    เห็นภาพการร่วมทำบุญของคณะ ศ.ทุนนิธิ ที่โรงพยาบาลสงฆ์แล้ว รู้สึกปลื้มปิติ และสุขใจอย่างบอกไม่ถูกค่ะ...ขอโมทนาบุญกับทุกท่านที่ร่วมทำบุญและกับคณะ ศ.ทุนนิธิด้วยค่ะ
     
  11. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    I, Kratium the representative of Khun Bhanvarit and team thank you both of you (K.Xanadu,K.Tanya123) for your generous help and donation for the foundation.We very much appreciate your good deeds. Nowadays,there are few people that would truly help these monks who have devoted their lives preaching Buddha's sacred teachings.

    We would be glad to post more news and information about how your generously help the monks that are still in need of help.We hope you would kindly forward them to other followers as well,in order to share blessing given from this wonderful act.

    Best,

    Bhanvarit
    Director of Pratom Foundation
    <!-- / message -->
     
  12. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    ต้องขอกราบขอบพระคุณและโมทนาในบุญกุศลที่ทุกๆท่านได้ส่งเงินมาร่วมทำบุญและผู้ที่ไปร่วมกันถวายภัตตาหารเช้าที่โรงพยาบาลสงฆ์ด้วยกันเมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา
    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    ผมขอแสดงรายการที่มีผู้ร่วมทำบุญเพิ่มเติมและแจงรายละเอียดทางบัญชีของทุนนิธิฯดังนี้ครับ

    25 มีนาคม 2551 คุณ กรกนก ทรัพย์เจริญ 300 บาท
    คุณ สุภนิดา-ธนรัชต์ เอี่ยมสอาด 200 บาท
    คุณ พันวฤทธิ์ (500+125) 625 บาท

    หมายเหตุ เงิน 125 บาท เป็นเงินค่าอาหารที่คีนมาเพราะถวายพระจำนวน 195 รูป เป็นเงิน 4875 บาทแต่ตั้งงบไว้ 5000 บาท เลยนำเงินไปสมทบทุนนิธิฯ


    ใบเสร็จรับเงินที่ไปทำบุญมาเมื่อวันอาทิตย์ที่
    23 มีนาคม 2551

    [​IMG]



    ยอดเงินที่ไปทำการเบิกมา 20000 บาท เพื่อนำไปทำบุญและยอดเงินคงเหลือ

    [​IMG]


    ยอดเงินล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    คุณสติครับ วันที่ 21/3 ตรงเงินโอนจากธนาคารรายชื่อคุณสิทธิพร น่าจะเป็นของคุณ Active ตามที่ได้รับแจ้งจากโพสท์ของคุณ Active ข้างต้น ส่วนในวันที่ 14/3 ที่เว้นว่างไว้ จำนวน 500.-บาท เป็นการฝากจากเคาน์เตอร์ธนาคาร ตาม code ย่อ น่าจะเป็นของคุณสิทธิพรมากกว่า เนื่องจากอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพี่ใหญ่+อ.ประถมครับ ช่วยแก้ไขให้ด้วย
     
  14. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886

    ในโรงพยาบาลสงฆ์ มีพระที่พี่ใหญ่สัมผัสได้ว่าเป็นพระดีเข้าข่ายไม่กลับมาอีก และ บางท่านได้คุณธรรมขั้นสูง บางท่านศีลครบ เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ เฉพาะรายนามพระข้างบนนี้ก็หลายท่านครับที่เข้าข่ายนี้ เป็นเรื่องอจินไตยนะครับ แล้วแต่ท่านจะพิจารณา
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 21 มีนาคม 2551 19:37:25 น.-->ความกตัญญู

    <!--Main-->[SIZE=-1]<CENTER>[/SIZE]ความกตัญญูคืออะไร ?


    <CENTER>[​IMG]

    ความกตัญญู คือ ความรู้คุณ หมายถึงความเป็นผู้มีใจกระจ่าง มีสติ มีปัญญาบริบูรณ์ รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นกระทำแล้วแก่ตน ผู้ใดก็ตามที่ทำคุณแก่ตนแล้ว ไม่ว่าจะมากก็ตาม น้อยก็ตาม เช่น เลี้ยงดูสั่งสอน ให้ที่พัก ให้งานทำ ฯลฯ ย่อมระลึกถึงด้วยความซาบซึ้งอยู่เสมอ ไม่ลืมอุปการคุณนั้นเลย
    อีกนัยหนึ่ง ความกตัญญู หมายถึง ความรู้บุญ หรือรู้อุปการะของบุญที่ตนทำไว้แล้ว รู้ว่าที่ตนเองพ้นจากภัยอันตรายทั้งหลายได้ดีมีสุขอยู่ในปัจจุบันก็เพราะบุญทั้งหลายที่เคยทำไว้ในอดีตส่งผลให้ จึงไม่ลืมอุปการะของบุญนั้นเลย และสร้างสมบุญใหม่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
    รวมความกตัญญู จึงหมายถึง การรู้จักบุญคุณ อะไรก็ตามที่เป็นบุญ หรือมีคุณต่อตน แล้วก็ตามระลึกนึกถึงด้วยความซาบซึ้งไม่ลืมเลย คนมีกตัญญูถึงแม้จะนัยน์ตาบอดมืดทั้งสองข้าง แต่ใจของเขาใสกระจ่างยิ่งกว่าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ รวมกันเสียอีก

    <CENTER>[​IMG]

    สิ่งที่ควรกตัญญู
    สิ่งที่ควรแก่ความกตัญญูแบ่งได้เป็น ๕ ประการ ได้แก่
    ๑.กตัญญูต่อบุคคล คือ ใครก็ตามที่เคยมีพระคุณต่อเรา ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงไร จะต้องกตัญญูรู้คุณท่าน ติดตามระลึกถึงเสมอด้วยความซาบซึ้งพยายามหาโอกาสตอบแทนคุณท่านให้ได้ โดยเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ บิดามารดา ครู อุปัชฌาย์อาจารย์ พระมหากษัตริย์หรือผู้ปกครองที่ทรงทศพิธราชธรรม จะต้องตามระลึกนึกถึงพระคุณของท่านให้จงหนัก
    ให้ปฏิบัติตัวให้เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์ เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และเป็นพุทธมามกะสมชื่อ
    ๒.กตัญญูต่อสัตว์ คือ สัตว์ที่มีคุณต่อเรา เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ที่ใช้งาน จะต้องใช้ด้วยความกรุณาปรานี ไม่เฆี่ยนตีมันจนเหลือเกิน อย่าใช้งานหนักจนเป็นการทรมาน และเลี้ยงดูให้อาหารอย่าให้อดอยากให้ได้กินได้นอนได้พักผ่อนตามเวลา ตัวอย่างในเรื่องกตัญญูต่อสัตว์นี้มีอยู่ว่า
    ในสมัยก่อนพุทธกาล วันหนึ่ง พระเจ้ากรุงราชคฤห์ เสด็จประพาสอุทยาน และได้บรรทมหลับในอุทยานนั้น ขณะนั้นมีงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาและกำลังจะฉกกัดพระองค์ เผอิญมีกระแตตัวหนึ่งเห็นเข้าแล้วร้องขึ้น พระองค์จึงสะดุ้งตื่นและไล่งูหนีไปทัน ทรงระลึกถึงคุณของกระแตว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตพระองค์ไว้ จึงรับสั่งให้พระราชทานเหยื่อแก่กระแตในอุทยานนั้นทุกวัน และห้ามไม่ให้ใครทำอันตรายแก่กระแตในอุทยานนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกอุทยานนั้นว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2008
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    หนึ่งภาพแทนคำล้าน
    <!-- Main -->[SIZE=-1][​IMG][/SIZE]


    หนึ่งใบ ยายพูด พร่ำบอกหลาน
    หนึ่งเรียน ให้รู้ จึงอยู่นาน
    หนึ่งคน ถึงกาล ย่อมโรยลา
    อัฐนี้ ยาย อด เจ้าจึงอิ่ม
    ยามนี้ เจ้าอิ่ม จงเร่งหา
    เรียนนี้ ให้รู้ รอบปัญญา
    แต่นี้ ภายหน้า เป็นคนดี




    http://palungjit.org/newreply.php?do=postreply&t=102545
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2008
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    หมามันโง่

    <!-- Main -->[SIZE=-1]<STYLE type="">body{background: white url(http://i229.photobucket.com/albums/ee219/ton_2500/1178692223.jpg) no-repeat fixed left top}</STYLE>[/SIZE]




    <CENTER>หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...
    บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
    หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...

    ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...
    หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
    พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...
    เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
    ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...
    โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...

    หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
    ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...
    หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...
    ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...

    หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...
    ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา...
    แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...

    มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
    ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...

    เราอยากสวย...อยากทันสมัย...
    ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...
    ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...
    อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...
    ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...

    ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...
    ๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...

    ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...
    ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
    ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...

    เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...
    เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
    ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
    เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...
    เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...

    ปัจจุบัน...
    เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...
    ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...
    น่าสงสารไหมโยม...

    คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...
    ด่าว่า...หมามันโง่...
    ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...

    ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...

    หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง

    [SIZE=-1]




    </CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pilin&month=26-03-2008&group=13&gblog=17</CENTER>
    [/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2008
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ต้นไม้กับการให้


    <!--Main-->[SIZE=-1]<CENTER>[​IMG]</CENTER>[/SIZE]

    เวลาที่ผมมองไปที่ต้นไม้ ผมมักจะคิดในใจอยู่เสมอว่า ถ้าทุกคนในโลกเลียนแบบการใช้ชีวิตให้เหมือนกับต้นไม้ โลกเราคงน่าอยู่กว่านี้เยอะ เพราะต้นไม้เปรียบเสมือน ผู้ให้ ให้สาระ ให้ประโยชน์ ต้นไม้ไม่เคยทำร้ายใคร ทุกส่วนของมันล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น ตั้งแต่ใบที่คอยให้ออกซิเจน ให้ความร่มรื่น เป็นร่มเงาแก่ผู้พักพิง กิ่งก้านสาขาเป็นที่อยู่ของสัตว์และแมลงต่างๆ ดอกให้สีสรรสวยงาม ให้คุณค่าทางจิตใจ ผลให้คุณค่าทางอาหาร บ้างก็ใช้ทำยารักษาโรค บ้างก็นำมาเป็นอาหาร ลำต้นใช้ทำสิ่งก่อสร้างต่างๆ รากใช้ยึดดินเพื่อป้องกันดินพังทลาย และช่วยทำให้ดินร่วนซุยเหมาะแก่การเพาะปลูก แม้กระทั่งพอมันตาย ลำต้นและกิ่งก้านสาขาของมันก็ยังมาทำเป็นถ่านฟืนได้อีก



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ต้นไม้ไม่เคยบ่นร้อน บ่นหนาว บ่นเจ็บปวด บ่นหิว ต้นไม้ไม่เคยเรียกร้องความต้องการจากมนุษย์ ต้นไม้ไม่เคยคิดทำร้ายใคร จะมีก็แต่มนุษย์เท่านั้นที่คอยจ้องตัด เผาทำลายมัน จนเกิดผลแก่ผู้ตัดในเชิงทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นโลกร้อน น้ำป่าไหลหลาก และอื่นๆอีกมากมาย

    "มันยืนต้น มันให้สาระ แล้วมันก็ตาย" นั่นคือ ชีวิตที่ประเสริฐ

    ถ้าทุกคนรู้จักการให้ สังคมในโลกก็น่าจะมีความสุข เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยผู้เจริญ ไม่เบียดเบียนกัน ต่างคนต่างให้ซึ่งกันและกันโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ให้ความปราถนาดี ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ให้โอกาส ให้กำลังใจในการทำความดีแก่คนรอบข้าง แล้วเราจะรู้ว่า ความดีนั้นทำไม่ยากเลย ทั้งยังก่อให้เกิดความสุขกับตนเอง และคนรอบข้างอีกด้วย



    [SIZE=-1]<CENTER>[​IMG]</CENTER>[/SIZE]

    [SIZE=-1]ถ้าเรามองเห็นคุณค่าของสรรพสิ่ง ก็เท่ากับเรามองเห็นธรรม ธรรมอยู่รอบๆตัวเรา ถึงแม้ไม่มีใครมาอบรมสั่งสอนธรรมแก่เรา แต่เราก็จับเอาสิ่งรอบๆตัวมาเป็นอุบายธรรมก็ได้ [/SIZE]


    [SIZE=-1]กตัญญู[/SIZE]​


     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 24 มีนาคม 2551 8:56:23 น.-->10 ปี กับ 1 วัน
    <!-- Main -->[SIZE=-1]<STYLE>body{background-image:url("http://www.bloggang.com/data/praewkwun/picture/1203497259.gif");}</STYLE>



    [/SIZE]ความทรงจำเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับคนบางคน
    โดยเฉพาะคนที่มีเวลาดีๆ ที่ใช้กับคนรัก
    ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนหวงแหน
    ต้องระลึกไว้ในความทรงจำ ต้องถนอมดูแลให้ดี

    หลายคนจึงไม่อาจตัดใจจากวันเก่าๆ ได้เสียที
    เพราะว่ามีความสุขกับการได้คิดถึงอะไรดีๆที่ผ่านไป
    โดยลืมนึกไปว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้วจะไม่มีวันย้อนกลับคืนมาได้อีก
    หากจะต้องตัดใจลืมหรือเดินจากอดีตมาก็ไม่ได้อีก
    เพราะเหตุผลที่ว่า "เสียดายเวลา" ที่คบกันมา

    บางคนคบกันมานานจนแทบจำไม่ได้ว่า
    เคยยิ้มให้กับความรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
    เพราะหลังๆ มาก็อยู่แต่กับความทุกข์
    จนนึกภาพความสุขไม่ออกแต่ที่ไม่กล้าเลิกเพราะยังคิดถึงวันเก่าๆ
    แค่เสียดายเวลาที่คบกันมาเนิ่นนาน
    โดยไม่คิดเลยว่า ทุกๆวันของวันนี้ พรุ่งนี้และวันต่อๆไป
    ก็จะกลายเป็นเพียงวันเก่าๆ ที่น่าเสียดาย
    และ...เวลาที่น่าเสียดายก็จะเพิ่มขึ้นๆ

    จริงๆ แล้ว วันคืนในอดีต
    ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับเราเลย
    นอกจากมีไว้ให้ นึ ก ถึ ง
    อาจจะทำให้เรายิ้มได้บ้าง แต่ทำให้เราคาดหวังไม่ได้
    เราจะไปหวังว่าวันหนึ่ง วันเหล่านั้นจะกลับา
    หรือจะไปเฝ้าฝันว่าความสุขเหล่านั้นยังคงเป็นปัจจุบัน
    หรือหลอกตัวเองว่าตอนนี้ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม
    จะยังไงก็แล้วแต่คือการหลอกตัวเองทั้งนั้น
    ยอมรับเถอะว่าทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว และจบไปแล้ว
    ความทรงจำเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
    เวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะ 1 ปี 5 ปี หรือกี่สิบปี
    ก้อไม่ได้มีความหมายมากไปกว่า..
    หนึ่งวันข้างหน้าที่เราจะต้องมีชีวิตใหม่
    ที่เราจะต้องเริ่มต้นใหม่
    เมื่อคนเราต้องอยู่กับปัจจุบัน
    เพื่อที่จะสร้างอนาคตให้ตัวเองได้อยู่ในอนาคตที่ดี
    เวลา 10 ปี กับวันคืนที่เคยหวานชื่น
    ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่า 1 วันแห่งการเริ่มต้น
    1 วันแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตของเราทั้งชีวิต
    ใ ห้ ดี ก ว่ า ที่ เ ป็ น

    " หากจะเสียดายเวลาน่ะ ไม่ต้องเสียดายเวลาที่คบกันมาหรอก
    ให้เสียดายเวลาในวันข้างหน้า
    ที่จะอดทนคบไปทั้งที่ไม่มีอะไรแล้วจะดีกว่า
    แล้วยังจะมาเสียดายอดีต..
    นึกดูดีๆ ว่าเสียดายอนาคต ดีกว่าไหม "


    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=lovetoorayong&month=24-03-2008&group=5&gblog=8

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ลักษณะของพระอรหันต์

    แบ่งตามวิธีการในการพัฒนาตน

    พระอรหันต์ ๒ คือ
    1. พระวิปัสสนยานิก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน แล้วได้ฌานในภายหลัง
    2. พระสมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นญาณ ผู้เจริญสมถะกรรมฐาน จนได้ฌานก่อนแล้ว จึงเจริญวิปัสสนาต่อ

    แบ่งตามคุณวิเศษ

    พระอรหันต์ ๔ คือ
    1. พระสุกขวิปัสสก (ไม่มีญาณวิเศษใดๆ นอกจากรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อย่างเดียว)
    2. พระเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ คือ รู้ระลึกชาติได้(บุพเพนิวาสานุสสติญาณ) รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย(จุตูปปาตญาณ) รู้ทำอาสวะให้สิ้น(อาสวักขยญาณ))
    3. พระฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา ๖ คือ แสดงฤทธิ์ได้(อิทธิวิธี) หูทิพย์(ทิพยโสต) ตาทิพย์(ทิพฺพจักขุ) ทายใจผู้อื่นได้(เจโตปริยญาณ) ระลึกชาติได้(บุพเพนิวาสานุสสติญาณ) และญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป(อาสวักขยะญาณ)
    4. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔)คือแตกฉานในความรู้อันยิ่ง ๔ ประการ ได้แ่ก่ อัตถปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในอรรถ ธัมมะปฏิสัมภิทาความแตกฉานในธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทาความแตกฉานในภาษา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณไหวพริบ

    แบ่งตามคุณสมบัติเฉพาะตน

    พระอรหันต์ ๕ คือ
    1. พระปัญญาวิมุต
    2. พระอุภโตภาควิมุต
    3. พระเตวิชชะ
    4. พระฉฬภิญญะ
    5. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ
    พระอรรถกถาจารย์แสดงความหมายของพระอรหันต์ไว้ ๕ นัย คือ
    1. ไกลจากกิเลส
    2. กำจัดกิเลสได้หมดสิ้น
    3. เป็นผู้หมดสังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิด
    4. เป็นผู้ควรแก่การบูชาพิเศษของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย
    5. ไม่มีที่ลับในการทำบาป ไม่มีความชั่วเสียหายที่จะต้องปิดบัง
    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 21/1000000Post-expand include size: 3417/2048000 bytesTemplate argument size: 0/2048000 bytes#ifexist count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:27502-0!1!0!!th!2 and timestamp 20080322172824 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C".
     

แชร์หน้านี้

Loading...