ความหมายคำว่าอรหันต์นิพพานและทางหลุดพ้นที่แท้จริง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย joeycoles, 21 เมษายน 2009.

  1. joeycoles

    joeycoles เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +457
    การหลุดพ้นที่แท้จริงคือการที่ไม่มีกิเลสไม่มีกรรมจากการกระทำใด ๆ ทั้งสิ้น
    นั่นหมายความว่าผู้ที่สำเร็จอรหันต์แล้วจะทำการสิ่งใดจะไม่มีกรรมใด ๆ
    แต่มีความเข้าใจอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าอรหันต์นิพพานแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก
    อันนี้ต้องบอกไม่ใช่ครับ เพราะผมฟังผู้รู้มาว่า การที่เราอรหันต์แล้วคือตัดกิเลสได้แล้วโดยไม่มีกิเลสใดๆ ทำให้เกิดกรรม ผู้ที่สำเร็จอรหันต์จะขึ้นสู่แดนนิพพานได้ก็ต่อเมื่อผู้นั้นต้องล้างเคราะห์กรรมและวิบากกรรมทั้งหมดเสียก่อน ฉะนั้นพระอรหันต์ท่านก็ยังต้องมีกรรมติดตามอยู่เช่นกัน ฉะนั้นความที่บอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้วจะหลุดพ้นทุกอย่างเป็นความเชื่อที่ค่อนข้างผิด
    หลุดพ้นได้จริงครับ แต่ต้องชดเชยกรรมของตัวเองให้หมดก่อน จึงจะขึ้นสูนิพพานได้ครับ
    ที่บอกว่าองคุลีมารท่านเป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องรับโทษกรรมนั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะท่านต้องรับกรรมทั้งหมดของท่านก่อน จึงจะขึ้นแดนนิพพานได้ครับ
    หากท่านใดมีข้อมูลที่มีมากกว่านี้ หรืออันนั้นไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้อื่น ขอได้โปรดแสดงความคิดเห็นด้วยครับ
     
  2. sleeperredeye

    sleeperredeye สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +0
    ถึงขั้นนั้นแล้ว แฮะๆๆ ไม่มีคำจะพูด

    เราซิ...ที่ติดบ่วง
     
  3. MrBean

    MrBean สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +0
    พระอรหันต์ยังคงต้องใช้กรรมตามกรรมและสังขารที่หลงเหลืออยู่ในชาตินี้ แต่ไม่ใช่ว่าต้องชดใช้กรรมทั้งหมดที่มีหรอกครับ
    เฉพาะกรรมใดที่ำไม่ไ้ด้รับอโหสิกรรมและตามมาถึงและได้รับทุกขเวทนาด้วยครับไม่ใช่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เจ็บก็เจ็บจริง ร้อนเย็นจริง ๆ ครับ
    แต่ท่านต่างจากปุถุชนคือทุกข์ของท่านไม่เป็นตัวไม่เป็นตนมิได้ยึดถือ ทุกข์แล้วก็ปล่อยไป
    แต่ถ้ากรรมตามไม่ทันในชาติสุดท้าย ที่เหลือจะเป็นอโหสิกรรมไปทั้งหมดโดยอัตโนมัติครับ

    ท่อนนี้ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  4. LiTtLe_ThE_kOp

    LiTtLe_ThE_kOp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +10
    กรรมคือบ่วงของชาติภพที่ยึดเราติดไว้ หากไม่ละวางเฉยได้กับบุญกรรม ทำอะไรก็สักแต่เป็นบุญกรรมทั้งสิ้น เมื่อสิ้นลมจิตดับแต่เราก็ยังวนเวียนอยู่อย่างนี้เพราะติดกับบุญกรรม แค่ปล่อยจิตให้ว่างทำใจให้แจ่มใสอย่าเครียดกับมันมาก มีสุข นะมีสุข ^_^
     
  5. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,065
    ค่าพลัง:
    +2,682
    ไม่ใช่ครับ การที่สำเร็จอรหัตต์นั้น ไม่ใช่โดยการฟังและเข้าใจมา



    ถ้าสำเร็จถึงขั้นอรหันต์แล้วย่อมมีปัญญารู้่ก่อนจะกระทำใดๆ ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม


    นิพพานไม่ใช่ดินแดน ถ้าไม่ใช่อรหันต์จะไม่รู้จักไม่เข้าใจคำว่า อนัตตา


    นามธรรมน่ะขอรับ กรรมคือการกระทำ ถ้าลองเคยทำกรรมไม่ว่าจะกรรมดีหรือไม่ดี
    ย่อมประจักษ์แก่ใจตน กรรมที่กระทำล่วงแล้วจะส่งผลกลับมาต่อเมื่อ จิตส่งออกนอก ยกตัวอย่างว่าเคยทะเลาะกับพ่อแม่เมื่อครั้งยังเด็ก อยู่ๆจิตก็หลงเข้าไปครุ่นคิดเรื่องอดีตของกรรมที่ทะเลาะกับพ่อแม่
    หากเป็นคนที่ขาดสติเป็นแค่ตัวรู้ก็จะนั่งจมแช่กับความโศรกเศร้าเสียใจอยู่อย่างนั้นแล..
    ตรงกันข้ามเมื่อเราทำอะไรให้พ่อแม่ดีใจชื่นชมในตัวเราก็ยังนั่งยิ้มได้ทั้งวัน
    เหตุนี่ก็เพราะจิตจมไปกับสัญญา (ความทรงจำ) ส่วนคำกล่าวที่ว่า"ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อตัดกรรม"นั้น อ่านถึงตรงนี้จะเข้าใจขึ้นบ้างนะครับ


    กรรมใดๆที่กระทำล่วงไปแล้วไม่สามารถ Re กลับมาแก้ใหม่ได้ กฏแห่งกรรมนี่แน่นอนไม่เคยเสื่อม.. พระองคุลีมารตอนแรกท่านมีความคิดเห็นที่ผิด
    แต่พอมีความคิดเห็นที่ถูกต้องแล้วก็บรรลุธรรมได้
    ไม่ใช่การเดินทาง แต่เป็นการหยุด ..หยุดอะไร??

    เป็นแค่ความคิดเห็นของข้าพเจ้านะครับ อาจจะถูกหรืออาจจะผิดก็อย่ามัวรอใครๆมาการันตรี
    ฉนั้นเร่งปฏิบัติมาดูจิตใจตัวเองค้นหาความจริงกันดีกว่า..

    อนุโมทนาสาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2009
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    พระอรหันต์ทำกรรมไม่ได้จริงหรือ

    คำตอบ คือ ไม่จริง ถือเป็นความเข้าใจผิดที่คนมากมายเข้าใจไปว่าการกระทำของพระอรหันต์เป็นเพียงกิริยา ไม่เป็นกรรมใดๆอีก ซึ่งไม่ใช่เลย ในส่วบของบาป พระอรหันต์ไม่ทำเพราะสติสมบูรณ์จึงไม่กระทำอกุศลใดๆโดยตั้งใจอีก แต่ส่วนของบุญยังสามารถทำได้ เช่นกรณีที่พระสารีบุตร ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่นางเปรตที่เคยเป็นมารดาของท่านในชาติปางก่อน ดังตัวอย่างในพระไตรปิฎกดังนี้

    ---------------------------------------------------------------------------------
    ท่านพระสารีบุตรเถระถามนางเปรตตนหนึ่งว่า
    [๙๘] ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูกรนางผู้ซูบผอมมีแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครเล่ามายืนอยู่ในที่นี้?
    นางเปรตนั้นตอบว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต เข้าถึงทุคติเกิดในยมโลก ได้ทำกรรมอันชั่วไว้ จึงไปจากมนุษยโลกสู่เปตโลก.
    พระเถระถามว่า ท่านทำกรรมชั่วอะไรด้วยกาย วาจา ใจ เล่า ท่านไปจากมนุษยโลกนี้สู่เปตโลก เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร?
    นางเปรตนั้นตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชนเหล่าใดเป็นบิดาก็ดี มารดาก็ดี หรือแม้เป็นญาติผู้มีจิตเลื่อมใส พึงชักชวนดิฉันว่า จงให้ทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ชนผู้อนุเคราะห์แก่ดิฉันเช่นนั้นมิได้มี เพราะไม่ได้ทำกุศลกรรมมีทานเป็นต้น ดิฉันจึงเป็นเปรตเปลือยกาย ถูกความหิวและความกระหายเบียดเบียนเที่ยวไปเช่นนี้ตลอด ๕๐๐ ปี นี่เป็นผลแห่งบาปกรรมของดิฉัน ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันมีจิตเลื่อมใสจะขอไหว้ท่าน ข้าแต่ท่านผู้แกล้วกล้า มีอานุภาพมาก ขอท่านจงอนุเคราะห์แก่ดิฉันเถิด ขอท่านจงให้ทานอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วจงอุทิศกุศลมาให้ดิฉันบ้าง ขอท่านจงเปลื้องดิฉันจากทุคติด้วยเถิด.
    ท่านพระสารีบุตรเถระผู้มีใจอนุเคราะห์ รับคำของนางเปรตนั้นแล้ว จึงถวายข้าวคำหนึ่ง ผ้าประมาณเท่าฝ่ามือผืนหนึ่ง และน้ำดื่มขันหนึ่ง แก่ภิกษุรูปหนึ่งแล้ว อุทิศส่วนบุญไปให้นางเปรตนั้น พอท่านพระสารีบุตรเถระอุทิศส่วนบุญให้ ข้าวน้ำและเครื่องนุ่งห่ม ก็บังเกิดขึ้นทันที นี่เป็นผลแห่งทักษิณา
    ภายหลังนางเปรตนั้นมีร่างกายบริสุทธิ์ นุ่งห่มผ้าอันสะอาด มีค่ามากยิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี มีวัตถาภรณ์อันวิจิตรงดงามเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรเถระ.
    พระสารีบุตรเถระถามว่าดูกรนางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศสถิตอยู่ดุจดาวประกายพฤกษ์ ท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะกรรมอะไรอิฏฐผลย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้ เพราะกรรมอะไร และโภคะทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นที่รักแห่งใจ ย่อมเกิดขึ้นแก่ท่านเพราะกรรมอะไร ดูกรนางเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก เราขอถามท่าน ท่านเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ อนึ่ง ท่านมีอานุภาพอันรุ่งเรือง และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะกรรมอะไร?
    นางเทพธิดานั้นตอบว่าเมื่อก่อนดิฉันเป็นเปรต พระคุณเจ้าเป็นมุนีมีความกรุณาในโลก ได้เห็นดิฉันซูบผอม ถูกความหิวแผดเผา เปลือยกาย มีหนังแตกเป็นริ้วรอยเสวยทุกขเวทนา ได้ให้ข้าวคำหนึ่ง ผ้าประมาณเท่าฝ่ามือผืนหนึ่ง น้ำขันหนึ่ง แก่ภิกษุ แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ดิฉัน ขอท่านจงดูผลแห่งข้าวคำหนึ่งที่พระคุณเจ้าให้แล้ว ดิฉันเป็นผู้ประกอบด้วยกามที่น่าปรารถนา บริโภคอาหารมีกับข้าวมีรสหลายอย่าง ตั้งพันๆ ปี ขอพระคุณท่านจงดูผลแห่งการให้ผ้าประมาณเท่าฝ่ามือ ดิฉันได้รับนี้เถิด ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ผ้าในแว่นแคว้นของพระเจ้านันทราชมีประมาณเท่าใด ผ้านุ่งผ้าห่มของดิฉันมีมากกว่านั้นอีก คือ ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ผ้าป่าน ผ้าฝ้าย ผ้าแม้เหล่านั้น ทั้งกว้างทั้งยาว ทั้งมีค่ามาก ห้อยอยู่ในอากาศ ดิฉันเลือกเอาแต่ผืนที่พอใจนุ่งห่ม ขอพระคุณท่านจงดูผลแห่งการให้น้ำขันหนึ่งซึ่งดิฉันได้รับอยู่นี้ สระโบกขรณี ๔ เหลี่ยมลึกอันบุญกรรมสร้างให้ดีแล้ว มีน้ำใส มีท่าราบเรียบ มีน้ำเย็น มีกลิ่นหอมหาสิ่งเปรียบมิได้ ดาดาษไปด้วยดอกปทุมและดอกอุบล เต็มไปด้วยน้ำอันดาดาษไปด้วยเกษรบัว ดิฉันปราศจากภัย ย่อมรื่นรมย์ ชื่นชมบันเทิงใจ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันมาเพื่อจะไหว้พระคุณเจ้าผู้เป็นปราชญ์ มีความกรุณาในโลก.
    (ที่มา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา อุพพรีวรรคที่ ๒ สังสารโมจกเปตวัตถุ)
    -------------------------------------------------------------------------------

    จะเห็นได้ว่าพระอรหันต์สามารถทำบุญได้ ถ้าการกระทำทุกอย่างของพระอรหันต์เป็นเพียงแค่กิริยา พระสารีบุตรก็จะไม่สามารถทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้แก่นางเปรตได้เลย
    ส่วนการที่จะเข้านิพพานได้ต้องชดใช้กรรมทั้งหมดก่อน ก็ไม่จริง ถ้าเข้านิพพานแล้ว กรรมท้งหมดก็เป็นอโหสิกรรมไป
    ศึกษาเพิ่มเติมดีกว่านะครับ เพราะแค่ฟังจากผู้รู้ แต่เขาอาจเป็นผู้ไม่รู้ก็ได้
     
  7. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414

    ขอโทษนะครับ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่านิพพานเป็นแดน ดังหลักฐานต่อไปนี้

    “โลกนี้และโลกหน้า เราผู้รู้อยู่ ประกาศดีแล้ว เราเป็นผู้ตรัสรู้เอง ทราบชัดซึ่งสรรพโลก ทั้งที่เป็นโลกอันมารถึงได้ ทั้งที่เป็นโลกอันมัจจุถึงไม่ได้ ด้วยความรู้ยิ่ง จึงได้เปิดอริยมรรคอันเป็นประตูแห่งอมตะ เพื่อให้ถึงนิพพานอันเป็นแดนเกษม กระแสแห่งมารอันลามก เราตัดแล้ว กำจัดแล้ว ทำให้ปราศจากความเหิมแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้มากด้วยความปราโมทย์ ปรารถนาถึงธรรมอันเป็นแดนเกษมเถิด” ม. มูล. ๑๒/๓๙๑/๔๒๑

    คำอธิบายเรื่องนิพพานที่นักปราชญ์บางท่านไม่เคยสัมผัสแต่นึกไปเองตามกำลังสติปัญญาที่ไม่สมบูรณ์ จึงพยายามตีความพุทธพจน์ให้เข้ากับความเห็นของตน แต่โชคร้ายที่ยิ่งพยายามตีความก็ยิ่งไปขัดกับพระสูตรอื่นอีกมากมายจนกลายเป็นเรื่องเป็นราว ทางที่ดีถ้าคำพูดของเราไปขัดกับพุทธพจน์ ก็ควรแก้ไขความเห็นของเราดีกว่าพยายามไปดัดแปลงพุทธพจน์
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    สมมุติบัญญัติเหมือนกัน แต่ใช้ในความหมายต่างกัน ก็มีนะ
    มีแต่ผู้รู้จริง เข้าใจจริง ไม่ยึดตัวอักษรแต่รู้ว่าเขารู้อะไร รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ก็มีนะ
    ถ้าเข้าใจตรงกัน คิดเหมือนกัน รู้ความหมายเหมือนกัน ก็คงหมายถึงอย่างเดียวกัน

    แดน หมายถึงประเทศ หมายถึงแผ่นดิน
    แดน หมายถึงภพภูมิ
    แดน หมายถึงสถานที่
    แดน หมายถึงขอบเขต
    แดน หมายถึง... แล้วแต่นิยามของคนใช้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2009
  9. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,065
    ค่าพลัง:
    +2,682
    ความยึดมั่นถือมั่น นั้นหนา..ระวังให้ดีเถิด..ไม่ได้ว่าท่านนะขอรับ
    แต่เตือนกันไว้ทุกๆท่านรวมทั้งตัวข้าพเจ้าเอง..(~_~)
    สุขก็แดนเกษม ทุกข์ก็เป็นแดนเกษม นี่น่า..
    แล้วคำว่าดินแดนนั้นหนา..จักสัมผัสได้อย่างนั้นหรือในเมื่อไม่มีขันต์5 อายตนะ6 ที่จะเหลือก็แค่ตัวรู้ ค้างอยู่อย่างนั้นเป็นอนัตตา นี่หรือเปล่าดินแดนที่ว่า ..??แปลกจริงหนอ..

    อนัตตาที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงนั้นดีอยู่แล้ว เหตุไฉนจะทำให้เป็นอัตตากันอีกเล่าหนอ..??
    บางอย่างบางเรื่อง โดยเฉพาะนามธรรมนั้นสื่อกันได้ยาก เพราะมันไม่มีตัวตน
    จึงได้แค่การอุปมาอุปไม สร้างภาพให้เห็นเป็นตัวเป็นตนแต่มิใช่ให้ไปยึดถือว่ามันเป็นตัวเป็นตน..





    อนุโมทนาด้วยครับ สาธุ..
    เืมื่อเข้าใจเหมือนกันย่อมไม่เกิด วิตก วิจารณ์ อีก..
    แต่ก็อีกนัยนั่นแล..ในกรณีอย่างนี้ผู้อ่านก็มีมากมายหลายความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป
    ย่อมจำเป็นที่จะต้องพยายามพูดให้ครอบคลมที่สุดเท่่าที่จะทำได้ขณะนั้นๆ
     
  10. วังชะโอน2551

    วังชะโอน2551 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +322
    พระนิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน แต่เป็นภาษาปฏิบัติ
     
  11. วังชะโอน2551

    วังชะโอน2551 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +322
    พระนิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน
    แต่เป็นภาษาปฏิบัติ

    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
     
  12. วังชะโอน2551

    วังชะโอน2551 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +322
    พระนิพพานไม่ใช่ภาษาพูด
    ไม่ใชภาษาเขียน
    แต่เป็นภาษาปฏิบัติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...