ญาติห้ามเอา"จิเจรุนิ"ใส่ไว้ในปากของยาย

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย พญายา, 10 กันยายน 2013.

  1. พญายา

    พญายา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,265
    ค่าพลัง:
    +8,171
    [​IMG]รูปจากหนังสือแจกฟรี
    เมื่อครั้งที่ยายของข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่นั้น ยายของข้าพเจ้าสวดคาถายอดพระกัณไตรปิฎกได้จำขึ้นใจ จะสวดคาถานี้ทุกวันมานานหลายปี เมื่อยายเสียชีวิตลง ข้าพเจ้าอ่านเจอในหนังสือว่าคนที่สวดคาถานี้ เมื่อตายลงให้เขียนเอา จิเจรุนิ ใส่ปาก ก่อนหน้านั้นข้าพเจ้าได้เอาเงินเหรียญบาทให้ช่างแกะตัวขอมว่า จิเจรุนิ ใส่ที่เหรียญกษาปณ์นั้น เมื่อจะนำมาใส่ลงในปากยาย กลับถูกญาติๆห้ามปราม ถ้าหากเขียนลงในกระดาษก็ทำไม่ได้อีก เพราะประเพณีแถวนั้นได้ยกเลิกเรื่องเงินปากผีหรือการนำสิ่งใดๆใส่ลงในปากคนตายเมื่อไม่นานมานี้ เพราะเกรงว่าเมื่อคนตายเกิดชาติหน้าจะพูดไม่ชัดหรือผิดปกติภายในปาก และเมื่อเงินถูกเผาไฟจนดำมีคนเก็บมาใช้จ่ายร้านค้าก็ไม่รับ แต่จะเอาเงินเหรียญบาท32เหรียญไว้โรยเถ้ากระดูกในขั้นตอนแปรกลับธาตุหลังจากการเผาศพแทน
    [​IMG][​IMG]-ปัจจุบันจะเอาเถ้าใส่สังกะสีแผ่นเรียบหรือเป็นแบบลอนถ้าหากไม่มีเพื่อความสะดวกเวลาพระสวดกลับชาติ อนิจจาฯและอจีรังฯสัปเหร่อและทายกจะช่วยกันหมุนสังกะสีแผ่นเรียบจากทิศตะวันออก ให้หันด้านหัวมาทิศตะวันตก
    [​IMG]-ธูปดอกเดียวปักไว้สี่ทิศ ถ้าลมแรงก็ปักเพิ่มเป็นสามดอก ก็ได้ เพื่อเอาสายสิญจ์โยงไปให้พระสงฆ์โดยมากจะนิมนต์เจ้าอาวาสมารูปเดียว นิมนต์ไว้ตั้งแต่วันที่ได้เผาศพ ถ้าท่านไม่ว่างก็นิมนต์พระองค์รอง
    [​IMG][​IMG]-เงินเหรียญบาทถ้าหากหาในเถ้าไม่เจอ ไม่ครบ32เหรียญก็ไม่เป็นไรเพราะสมมุติแทนอาการสามสิบสองและจะเสียเวลาค้นหา เจ้าภาพบางคนอาจจะล้วงกระเป๋าถวายเพิ่มให้ครบอาการ เอาใส่จานสังกะสีหรือใส่ในซองถวายพระสงฆ์ที่มาทำพิธีเก็บกระดูกแปรธาตุ
    [​IMG]-เวลาอยู่ที่ป่าช้ามักจะไม่ได้ตระเตรียมอะไรมากนัก จะเอาจานหรือพานที่ใส่ขันธุ์ห้าเพื่อขอศีลในทีแรก ขอกลับมาใส่เงินเหรียญและปัจจัยที่จะถวายพระสงฆ์เพิ่ม ถวายไปพร้อมกันในขั้นตอนสุดท้ายก็ได้

    หากข้าพเจ้ากระทำลงไปก็จะกลายเป็นคนที่ทำบาปกับยาย ข้าพเจ้าจึงถูกมอบหมายให้เดินทางไปบอกข่าวการตายของยายที่ต่างหมู่บ้านแทน ระหว่างนั้นแม่และญาติบางส่วนก็ทำการอาบน้ำให้ศพ โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้มีส่วนร่วมก็รู้สึกว่าเสียดายเหตุการณ์สำคัญเมื่อกลับมาเขาก็เอาศพเข้าโลงเรียบร้อยแล้ว และแถวนี้ก็จะไม่มีการลอยอังคารลงในแม่น้ำหรือทะเล จะนำเถ้าอังคารที่เหลือนั้นฝังกลับคืนสู่แม่ธรณีทั้งหมดแล้วปลูกต้นดอกไม้ไว้ด้านบนดินที่ฝังเถ้ากระดูกนั้น ส่วนอัฐิชิ้นใหญ่จะนำมาบรรจุลงโกศพลาสติกสีทองเพื่อโบกปูนไว้ตามช่องกำแพงวัดใกล้บ้าน(บางคนก็ใช้กระปุกแก้วโอวัลตินมาบรรจุอัฐิ) ตามความเชื่อแต่ก็ไม่ห้ามเรื่องลอยอังคารจะทำก็ได้ ถ้าครอบครัวไหนมีความพร้อมและต้องการนำเถ้าอัฐิไปลอยอังคาร
    งานทำบุญอัฐิของยายก็ผ่านพ้นมาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่มีใครฝันถึงวิญญาณหรือมีเหตุผิดปกติเกี่ยวกับคาถายอดพระกัณฯนี้แต่อย่างใด หากใครมีปสก.ที่เกี่ยวข้องก็แจ้งเข้ามาได้ สวัสดี
    กระทู้นี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์
    [​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2013
  2. krasin

    krasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +2,821
    ถ้าเข้ามาอ่านบทความในนี้ จะทราบได้ว่าจิตสุดท้ายก่อนตายเท่านั้นที่จะนำพา ดวงวิญญาณผู้ตายไปภพภูมิไหน ไม่มีประโยชน์ที่จะเขียนหรือเอาเงินใส่ปากผู้ตาย เพราะร่างกายธาตุ4ขันธ์5 มันเป็นของโลกมนุษย์ ตายไปก็ทิ้งเอาไว้เสื่อมสลายไปแค่นั้น
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,916
    ขออนุโมทนาสาธุกับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ ที่นำเรื่องราวดีๆมาเล่าสู่กันอ่าน

    สำหรับบทสวดยอดคาถาพระกัณฑ์ไตรปิฎกนั้น เป็นบทสวดที่เกี่ยวกับเรื่องของทางด้านสวรรค์ ผู้ที่หมั่นท่องสวดเป็นประจำย่อมทราบอานิสงฆ์ของบทสวดมนต์บทนี้เป็นอย่างดี ส่วนอักขระคำว่า"จิ เจ รุ นิ" ก็คือหัวใจของพระไตรปิฎก ตามความเชื่อของผู้ที่ได้นำเสนอเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้นำมาปฏิบัติที่เกี่ยวกับเรื่องของการเขียนคำว่า "จิ เจ รุ นิ" ใส่เอาไว้ในปากหรือในกระเป๋าเสื้อของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้น

    ความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะที่ชอบบทสวดยอดคาถาพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้เป็นพิเศษ ในมุมของผมคิดว่า ผู้ที่หมั่นท่องสวดเป็นประจำและหลังจากที่ได้ล่วงลับไปแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องเขียนให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เนื่องจากคาถาได้เกาะติดไปในจิตของผู้นั้นอยู่แล้ว แต่จะเหมาะกับบุคคลที่ไม่เคยทำบุญหรือสวดมนต์เลย เช่น ญาติพี่น้องของเราที่เราใกล้ชิดหรือสนิทสนมและเราอยากให้ญาติพี่น้องของเรานั้นได้ผ่านพ้นชีวิตหลังความตายโดยไม่ต้องตกระกำลำบากในช่วงที่ต้องจากกายหยาบไปใหม่ๆ

    เกี่ยวกับประสบการณ์ ผมได้เคยแนะนำให้กับเพื่อน ในช่วงเวลาที่แม่ของเพื่อนกำลังใกล้จะเสีย ให้ท่องคำว่า "จิ เจ รุ นิ" ภาวนาในใจจนกระทั่งล่วงลับ สำหรับประวัติแม่ของเพื่อนท่านก็ไม่ได้อกุศลกรรมไว้มากมาย ในด้านกุศลกรรม ทำบุญ สวดมนต์ ท่านก็ไม่ค่อยได้ทำ เหมือนจะอยู่กลางๆ หลังจากที่แม่ของเพื่อนได้เสียครบเป็นเวลา 15 วัน ก็ได้มาเข้าฝันเพื่อนและเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง เรื่องราวอาจจะยาว ผมขอสรุปเลยว่า หลังจากที่แม่ของเพื่อนได้เสียไปแล้วนั้น ท่านได้ไปอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งเป็นป่า ภาระกิจคือเหมือนกับถูกจัดให้เฝ้าดูแลรักษาผืนป่าบริเวณนั้น จากความรู้ที่ได้ศึกษาจากตำราชีวิตหลังความตาย 7 วันแรก สำหรับผู้ที่ทำความดีไม่มากจนกระทั่งถึงไม่เคยกระทำเลย ใน 7 วันแรกของชีวิตหลังความตายจะไม่มีที่ยึดเหนี่ยว จะต้องออกเดินตระเวณไปเรื่อยๆ คนที่ทำอกุศลกรรมน้อยหน่อยก็เดินทางไม่ค่อยลำบากเท่าที่ควร คนที่ทำอกุศลกรรมมากหน่อยก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมตลอด จนครบ 15 วันถึงจะรู้ว่าตัวเองนั้นได้ละจากทางโลกมาแล้ว ก็พยายามกลับมาหาญาติของตัวเองที่ตนได้เคยใกล้ชิดสนิทสนมในช่วงที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งผมก็ได้บอกกับเพื่อนไว้แล้วเช่นกันว่า แม่จะกลับมาหาในอีก 15 วันหลังจากที่ท่านได้เสียไปแล้ว ซึ่งท่านก็มาจริงๆในความฝันของเพื่อน และเพื่อนก็บอกว่าเหมือนตัวเองได้เดินทางไป ณ สถานที่แม่อยู่คือป่าจริงๆเหมือนกัน

    ชีวิตหลังความตายแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับกุศลกรรมและอกุศลกรรมในช่วงที่มีชีวิตอยู่ ถ้าอยู่กลางๆคือทำเท่าๆกันหรือไม่ทำเท่าๆกัน บุคคลเหล่านี้สามารถช่วยเหลือได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าทำอกุศลกรรมมากกว่ากุศลกรรม บุคคลเหล่านี้เราไม่สามารถช่วยเหลือได้ ต้องเป็นไปตามวิบากกรรมที่เค้าได้ทำเอาไว้

    เล่ามาให้อ่านซะยาว ความเชื่อขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถือว่าเป็นนิทานอ่านสนุกๆก็ได้นะครับ

    อนุโมทนาบุญแด่ผู้ที่ใฝ่ในธรรมมะทุกๆท่านนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. พญายา

    พญายา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,265
    ค่าพลัง:
    +8,171
    เป็นปสก.ที่น่าสนใจ ดีมากๆ ขอบพระคุณ ต้องค้นคว้ากันต่อไป ....มีป่าเฉพาะสำหรับผู้ที่ล่วงลับไปเป็นอีกโลกหนึ่งของวิญญาณ....ไม่ทราบว่าท่าน เคยได้ยินเกี่ยวกับ "คำสัญญาแม่การเกิด" รึเปล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...