ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วิจัยพบแบคทีเรียในไมโครเวฟ ทนร้อน ทนแห้ง แรงแค่ไหนก็รอด
    .
    แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่แบคทีเรียมีอยู่แทบทุกที่และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นงานวิจัยล่าสุด จากบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติสเปน ดาร์วิน ไบโอโพรสเปคติง เอ็กเซลเลนซ์ เอส แอล (Darwin Bioprospecting Excellence SL) ที่เผยว่า ภายในไมโครเวฟมีแบคทีเรียซ่อนอยู่ และแบคทีเรียเหล่านี้ ได้ปรับตัวในสภาวะที่รุนแรงของไมโครเวฟ เช่น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รังสี และความแห้ง เพื่อให้พวกมันมีชีวิตอยู่รอด

    วิธีการศึกษาวิจัย
    นักวิจัยได้รวบรวมตัวอย่างแบคทีเรียจากไมโครเวฟ 30 เครื่องจาก 3 แหล่งที่แตกต่างกัน คือ
    - เครื่องไมโครเวฟที่ใช้ตามบ้านเรือน 10 เครื่อง
    - เครื่องไมโครเวฟจากพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกัน เช่น ออฟฟิศหรือโรงอาหาร 10 เครื่อง
    - เครื่องไมโครเวฟจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ 10 เครื่อง

    โดยทีมวิจัยได้ใช้วิธีการศึกษา 2 วิธี คือ
    1. การจัดลำดับพันธุกรรมขั้นสูง วิธีนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ DNA ของแบคทีเรียได้โดยตรงจากสภาพแวดล้อม โดยไม่จำเป็นต้องเพาะเลี้ยงพวกมันในห้องปฏิบัติการ
    2. การเพาะเลี้ยงแบบดั้งเดิม เป็นการเพาะเลี้ยงเชื้อด้วยสารอาหารในห้องทดลอง ซึ่งในการทดลองนี้ นักวิจัยได้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียทั้งหมด 101 สายพันธุ์ (Strains) โดยแต่ละสายพันธุ์ ได้รับสารอาหาร 5 ประเภท

    พบแบคทีเรียในแต่ละกลุ่ม มีความทนทานแตกต่างกัน
    ผลการทดลองพบแบคทีเรียที่แตกต่างกันทั้งหมด 747 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มที่พบมากที่สุด ได้แก่
    - เฟอร์มิคิวเทส (Firmicutes)
    - แอคติโนแบคทีเรีย (Actinobacteria)
    -โพรทีโอแบคทีเรีย (Proteobacteria)
    ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถือเป็นแบคทีเรียกลุ่มใหญ่ที่พบได้ทั่วไปบนโลก

    แดเนียล ทอร์เรนต์ (Daniel Torrent) ผู้นำการวิจัยกล่าวว่า แบคทีเรียที่พบในไมโครเวฟที่ใช้ตามครัวเรือนและที่ใช้ร่วมกัน จะมีลักษณะคล้ายแบคทีเรียที่พบทั่วไปในห้องครัว โดยกลุ่มของแบคทีเรียของไมโครเวฟที่ใช้ในครัวเรือนจะมีความหลากหลายน้อยที่สุด รองลงมาคือกลุ่มของแบคทีเรียในไมโครเวฟที่ใช้ร่วมกัน ส่วนแบคทีเรียที่พบในไมโครเวฟห้องปฏิบัติการณ์นั้นมีความหลากหลายมากที่สุด และสามารถต้านทานรังสีได้ดีที่สุดด้วย

    ทอเรนต์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างของสายพันธุ์ของแบคทีเรียที่พบในไมโครเวฟในบ้าน เช่น
    - เคล็บซีเอลลา (Klebsiella)
    - เอนเทอโรคอคคัส (Enterococcus)
    - แอโรโมนาส (Aeromonas)
    ที่อาจสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ แต่สายพันธุ์เหล่านี้พบทั่วไปในห้องครัว และไม่ได้มีอันตรายเพิ่มขึ้น

    วิธีกำจัดแบคทีเรียในไมโครเวฟ
    สำหรับการกำจัดแบคทีเรียไมโครเวฟเพื่อสุขอนามัย ทอเรนต์แนะนำว่า ให้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วยสารละลายน้ำยาฟอกขาวเจือจาง หรือสเปรย์ฆ่าเชื้อที่มีจำหน่ายในท้องตลาดเป็นประจำ ทั้งสำหรับไมโครเวฟที่ใช้ในบ้านเรือน และที่ใช้ในห้องปฏิบัติการณ์ รวมถึงหลังจากการใช้งานทุกครั้ง ควรใช้ผ้าชื้นเช็ดพื้นผิวภายในไมโครเวฟเพื่อขจัดคราบตกค้าง หรือถ้าหากมีคราบที่เกิดจากอาหารหกก็ต้องทำความสะอาดทันที เพื่อป้องกันการเติบโตของแบคทีเรีย

    มีประเด็นที่น่าสนใจอีกประการ คือ แบคทีเรียที่พบในไมโครเวฟ มีความคล้ายคลึงกับแบคทีเรียที่พบในแผงโซลาร์เซลล์ จึงทำให้นักวิจัยตั้งสมมติฐานว่าสภาวะที่รุนแรงในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ทำให้แบคทีเรียที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง พัฒนาเติบโตขึ้น

    อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ของเทคโนโลยี เนื่องจากแบคทีเรียที่สามารถวิวัฒนาการมาเพื่อให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ อาจเป็นความหวังสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพในอนาคต โดยนักวิจัยเสนอว่าแบคทีเรียที่มีความยืดหยุ่น อาจสามารถพัฒนาไปใช้ในกระบวนการทางอุตสาหกรรม ที่จำเป็นต้องใช้แบคทีเรียที่สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้

    สำหรับการศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Microbiology ฉบับวันที่ 8 สิงหาคม 2024
    สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่ https://www.frontiersin.org/journals/microbiology/articles/10.3389/fmicb.2024.1395751/full

    ที่มาข้อมูล https://www.tnnthailand.com/news/tech/173569/
    ที่มารูปภาพ Reuters

    #Microwave #ไมโครเวฟ #แบคทีเรีย #จุลชีพ #Bacteria #สเปน #TNNTechreports #Techreports #TNNONLINE #TNNThailand #TNNช่อง16 #ซิงเกิลอิมเมจ
    ————
    อัปเดตข่าวเทคโนโลยีที่น่าสนใจบน Instagram กับ TNN Tech คลิก https://www.instagram.com/tnn_tech
    และติดตาม TNN Tech ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่
    • Youtube : https://bit.ly/TNNTechYoutube
    • TikTok : https://bit.ly/TNNTechTikTok
    • Website : https://bit.ly/TNNTechWebsite
    • Line OA : https://page.line.me/tnntech
    • Threads : https://threads.net/@tnn_tech
    • X : https://twitter.com/TnnTech

    https://www.facebook.com/share/PNvdqg3sNgh9Zagy/?mibextid=oFDknk
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1723887128910.jpg
    #วิธีประเมินมูลค่าหุ้น: เครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุน แชร์เก็บไว้ได้เลย

    การประเมินมูลค่าหุ้นเป็นทักษะสำคัญสำหรับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีวิธีการประเมินหลายรูปแบบที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    1) มูลค่าสินทรัพย์

    วิธีนี้พิจารณาจากสิ่งที่บริษัทเป็นเจ้าของเทียบกับสิ่งที่เป็นหนี้ โดยคำนวณจากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิตามราคาตลาด หักด้วยหนี้สิน เพื่อประเมินมูลค่าขั้นต่ำของบริษัท

    2) มูลค่าเชิงเปรียบเทียบ

    ใช้อัตราส่วนทางการเงินเพื่อเปรียบเทียบมูลค่าของบริษัทกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น

    - P/E Ratio (ราคาต่อกำไร): เปรียบเทียบราคาหุ้นกับกำไรสุทธิต่อหุ้น
    - P/S Ratio (ราคาต่อยอดขาย): เปรียบเทียบมูลค่าบริษัทกับยอดขาย
    - EV/EBITDA: เปรียบเทียบมูลค่าองค์กรกับกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย

    3) มูลค่าที่แท้จริง

    วิธีนี้พิจารณาจากกระแสเงินสดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของบริษัท โดยใช้การคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow) เพื่อหามูลค่าปัจจุบันของกิจการ หรือ จากภาพที่แสดง เราสามารถเขียนบทความเกี่ยวกับวิธีประเมินมูลค่าหุ้นได้ดังนี้:

    การใช้วิธีประเมินมูลค่าหุ้นที่หลากหลายจะช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่รอบด้านในการวิเคราะห์หุ้น อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น แนวโน้มอุตสาหกรรม สภาพเศรษฐกิจ และกลยุทธ์ของบริษัท เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่รอบคอบและมีประสิทธิภาพ

    #TraderKP

    https://www.facebook.com/share/p/W5FCfn8MPUHnePqP/?mibextid=oFDknk
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้ช่วยทรงอิทธิพลรายหนึ่งของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ออกมาระบุวานนี้ (16 ส.ค.) ว่ากลุ่มชาติตะวันตกและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ที่สหรัฐฯ เป็นหัวโจกมีส่วนรู้เห็นเป็นใจ และช่วยวางแผนให้ยูเครนบุกโจมตีแคว้นคูสก์ (Kursk) ของรัสเซีย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่สหรัฐฯ ปฏิเสธเสียงแข็ง
    .
    ปฏิบัติการโจมตีแบบสายฟ้าแลบซึ่งถือเป็นการรุกรานดินแดนรัสเซียครั้งใหญ่ที่สุดในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 6 ส.ค. โดยทหารยูเครนหลายพันนายพร้อมรถถังและยานเกราะได้บุกข้ามพรมแดนเข้าไปยังแคว้นคูสก์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความอับอายขายหน้าให้กับกองทัพของ ปูติน อย่างมาก
    .
    รัฐบาลยูเครนระบุว่า ปฏิบัติการบุกแดนหมีขาวครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อบีบให้รัสเซียยอมเข้าสู่กระบวนการเจรจายุติสงคราม “แบบแฟร์ๆ” หลังจากที่ส่งทหารรุกรานและยึดดินแดนยูเครนบางส่วนเอาไว้ตั้งแต่เดือน ก.พ. ปี 2022
    .
    สหรัฐฯ และมหาอำนาจตะวันตกซึ่งยังเกรงที่จะต้องเผชิญหน้าทางทหารโดยตรงกับรัสเซียยืนยันว่า “ไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้า” จากรัฐบาลยูเครน ขณะที่วอชิงตันย้ำว่า “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” แม้จะปรากฏหลักฐานว่าอาวุธที่อังกฤษและสหรัฐฯ ส่งให้ยูเครนถูกนำไปใช้โจมตีดินแดนรัสเซียก็ตาม
    .
    นิโคไล พาทรูเชฟ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซียซึ่งปัจจุบันถูกย้ายไปกำกับดูแลหน่วยงานด้านนโยบายทางทะเล ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Izvestia ว่าคำกล่าวอ้างของตะวันตกนั้นเชื่อถือไม่ได้
    .
    “ปฏิบัติการที่แคว้นคูสก์มีนาโตและหน่วยรบพิเศษของตะวันตกเข้ามามีส่วนร่วมวางแผนด้วย” พาทรูเชฟ ให้สัมภาษณ์โดยไม่แสดงหลักฐานยืนยัน
    .
    “หากปราศจากการมีส่วนร่วมและความช่วยเหลือโดยตรง (ของตะวันตก) เคียฟไม่มีทางกล้าบุกเข้ามาในดินแดนรัสเซีย”
    .
    เจ้าหน้าที่รายนี้ยังบอกด้วยว่า “การกระทำของสหรัฐฯ กำลังสร้างเงื่อนไขเบื้องต้นที่จะทำให้ยูเครนต้องสูญเสียอธิปไตยและดินแดนบางส่วนไป”
    .
    ยูเครนประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (15) ว่าได้ตั้ง “ศูนย์บัญชาการทางทหาร” ขึ้นภายในดินแดนแคว้นคูสก์ส่วนที่ควบคุมไว้ได้แล้ว แม้รัสเซียจะยกระดับปฏิบัติการโจมตีพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครนก็ตาม
    .
    ประธานาธิบดี ปูติน ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งรวมถึง พาทรูเชฟ ด้วย พร้อมสั่งให้ทุกฝ่ายหา “แนวทางแก้ไขปัญหาเชิงเทคนิคใหม่” เพื่อนำมาใช้ในปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซีย
    .
    กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลงวานนี้ (16) ว่า ยูเครนใช้จรวดของตะวันตก ซึ่งคาดว่าจะเป็นระบบขีปนาวุธหลายลำกล้อง HIMARS ของสหรัฐฯ ในการโจมตีสะพานแห่งหนึ่งที่ทอดข้ามแม่น้ำเซย์ม (Seym River) มีแคว้นคูสก์ จนเป็นเหตุให้กลุ่มอาสาสมัครที่ช่วยอพยพพลเรือนเสียชีวิต
    .
    “นี่เป็นครั้งแรกที่แคว้นคูสก์ถูกยิงโจมตีด้วยเครื่องยิงจรวดที่ผลิตโดยตะวันตก ซึ่งอาจจะเป็นขีปนาวุธ HIMARS ของสหรัฐฯ” มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย โพสต์ข้อความผ่านเทเลแกรมเมื่อค่ำวานนี้ (16)
    .
    แม้การจู่โจมข้ามแดนของยูเครนจะชี้ให้เห็น “จุดอ่อน” ด้านการป้องกันของรัสเซียและทำให้มุมมองที่สาธารณชนมีต่อสงครามเปลี่ยนไปบ้าง แต่เจ้าหน้าที่รัสเซียยืนยันว่า “ปฏิบัติการรุกรานก่อการร้าย” ของยูเครนไม่สามารถทำให้สงครามเปลี่ยนทิศได้
    .
    ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กองทัพรัสเซียยังคงเป็นฝ่ายรุกคืบต่อเนื่องตลอดพื้นที่แนวหน้าซึ่งกินระยะทางราว 1,000 กิโลเมตร และมีความได้เปรียบยูเครนในหลายด้าน รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่ารัสเซียยึดดินแดนยูเครนอยู่ถึง 18%
    .
    ทางด้านยูเครนสามารถบุกเข้าไปยึดพื้นที่แคว้นคูสก์ได้ราวๆ 450 ตารางกิโลเมตรในช่วง 10 วันที่ผ่านมา หรือไม่ถึง 0.003% ของดินแดนรัสเซียทั้งหมด ทว่าในมุมของ ปูติน สิ่งที่เคียฟทำก็ถือว่าเป็นการ “ล้ำเส้น” อย่างมากแล้ว
    .
    ที่มา: รอยเตอร์

    https://www.facebook.com/share/p/R5c2y3ixoqGkfGSB/?mibextid=oFDknk
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    UPDATE: รู้จักโรคหลงตัวเอง (NPD) ที่ใจดีนอกบ้าน แต่ใจร้ายกับคนใกล้ชิด
    .
    เคยสงสัยว่าทำไมบางคนถึงดูเพอร์เฟกต์เกินไป ทั้งบุคลิกภาพ หน้าตา การแต่งตัว และการใช้ชีวิต แต่รู้หรือไม่ว่าบางทีพวกเขาอาจกำลังเผชิญกับโรคบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง หรือ Narcissistic Personality Disorder (NPD) โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
    .
    คนที่เป็น NPD ถือว่าเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญมากๆ (ซึ่งบางครั้งมันก็เกินจริง) บางคนเชื่อมั่นในตัวเองสูงลิ่ว ต้องการถูกเยินยอชื่นชมตลอดเวลา แต่ที่น่าสนใจคือคนกลุ่มนี้มักจะแสดงออกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างคนภายนอกกับคนใกล้ชิด ยกตัวอย่างเช่น บางคนเมื่ออยู่ในสังคมนอกบ้าน พวกเขาอาจเป็นหัวหน้าที่ดูโอบอ้อมอารี ทำงานเก่ง มีวิสัยทัศน์ และเป็นที่รักของลูกน้องสุดๆ ใครขอความช่วยเหลือก็ทุ่มเทช่วยอย่างเต็มที่ แต่เมื่อกลับบ้านเขาเป็นอีกคนที่สร้างความเหนื่อยหน่ายให้กับภรรยา ยึดตัวเองเป็นใหญ่ คิดหรือทำอะไรตามใจตัวเอง คิดว่าตัวเองย่อมถูกเสมอ ไม่มีใครตักเตือนหรือห้ามปรามได้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันนะ?
    .
    คำตอบคือ ผู้ป่วย NPD มักจะต้องการการยอมรับจากสังคม พวกเขาจึงพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในที่สาธารณะ แต่ในขณะเดียวกันคนที่เป็นโรค NPD ลึกๆ แล้วก็ขาดความเห็นอกเห็นใจ เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของคนใกล้ชิด และมองว่าตัวเองเหนือกว่า คนใกล้ชิดต้องยอมตามใจตลอด
    .
    แล้วจะรับมือกับคนที่มีลักษณะเช่นนี้อย่างไร? เริ่มจากการเรียนรู้และเข้าใจโรค NPD ให้มากขึ้น จากนั้นให้ตั้งขอบเขตที่ชัดเจนในการปฏิสัมพันธ์ ที่สำคัญคือไม่ควรคาดหวังการเปลี่ยนแปลงจากพวกเขา เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องเกิดจากตัวผู้ป่วยเอง และอย่าลืมดูแลตัวเอง ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของตัวเองด้วย หากคุณสงสัยว่าตัวเองหรือคนใกล้ตัวอาจมีอาการของ NPD ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางจิตเวช เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
    .
    อ้างอิง:
    https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK556001/
    https://camhsprofessionals.co.uk
    https://my.clevelandclinic.org
    .
    #โรคหลงตัวเอง
    #THESTANDARDLIFE #TheUrbanGuidetoWellbeing

    https://www.facebook.com/share/p/DZSFEy52NH4E9KpX/?mibextid=oFDknk
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    UPDATE: รู้จักโรคหลงตัวเอง (NPD) ที่ใจดีนอกบ้าน แต่ใจร้ายกับคนใกล้ชิด
    .
    เคยสงสัยว่าทำไมบางคนถึงดูเพอร์เฟกต์เกินไป ทั้งบุคลิกภาพ หน้าตา การแต่งตัว และการใช้ชีวิต แต่รู้หรือไม่ว่าบางทีพวกเขาอาจกำลังเผชิญกับโรคบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง หรือ Narcissistic Personality Disorder (NPD) โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
    .
    คนที่เป็น NPD ถือว่าเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญมากๆ (ซึ่งบางครั้งมันก็เกินจริง) บางคนเชื่อมั่นในตัวเองสูงลิ่ว ต้องการถูกเยินยอชื่นชมตลอดเวลา แต่ที่น่าสนใจคือคนกลุ่มนี้มักจะแสดงออกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างคนภายนอกกับคนใกล้ชิด ยกตัวอย่างเช่น บางคนเมื่ออยู่ในสังคมนอกบ้าน พวกเขาอาจเป็นหัวหน้าที่ดูโอบอ้อมอารี ทำงานเก่ง มีวิสัยทัศน์ และเป็นที่รักของลูกน้องสุดๆ ใครขอความช่วยเหลือก็ทุ่มเทช่วยอย่างเต็มที่ แต่เมื่อกลับบ้านเขาเป็นอีกคนที่สร้างความเหนื่อยหน่ายให้กับภรรยา ยึดตัวเองเป็นใหญ่ คิดหรือทำอะไรตามใจตัวเอง คิดว่าตัวเองย่อมถูกเสมอ ไม่มีใครตักเตือนหรือห้ามปรามได้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันนะ?
    .
    คำตอบคือ ผู้ป่วย NPD มักจะต้องการการยอมรับจากสังคม พวกเขาจึงพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในที่สาธารณะ แต่ในขณะเดียวกันคนที่เป็นโรค NPD ลึกๆ แล้วก็ขาดความเห็นอกเห็นใจ เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของคนใกล้ชิด และมองว่าตัวเองเหนือกว่า คนใกล้ชิดต้องยอมตามใจตลอด
    .
    แล้วจะรับมือกับคนที่มีลักษณะเช่นนี้อย่างไร? เริ่มจากการเรียนรู้และเข้าใจโรค NPD ให้มากขึ้น จากนั้นให้ตั้งขอบเขตที่ชัดเจนในการปฏิสัมพันธ์ ที่สำคัญคือไม่ควรคาดหวังการเปลี่ยนแปลงจากพวกเขา เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องเกิดจากตัวผู้ป่วยเอง และอย่าลืมดูแลตัวเอง ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของตัวเองด้วย หากคุณสงสัยว่าตัวเองหรือคนใกล้ตัวอาจมีอาการของ NPD ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางจิตเวช เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
    .
    อ้างอิง:
    https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK556001/
    https://camhsprofessionals.co.uk
    https://my.clevelandclinic.org
    .
    #โรคหลงตัวเอง
    #THESTANDARDLIFE #TheUrbanGuidetoWellbeing

    https://www.facebook.com/share/p/DZSFEy52NH4E9KpX/?mibextid=oFDknk
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนลาออกเพราะ 'หัวหน้า' มากที่สุด อาจเกิดจากวัฒนธรรมองค์กรไม่ดีจนกระทบการทำงาน
    .
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดงานทุกวันนี้มีความผันผวนสูง ด้วยเทคโนโลยี AI เข้ามาดิสรัปต์อย่างรวดเร็ว แรงงานปรับตัวไม่ทัน บวกกับสภาวะสังคมสูงวัย ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงานรุนแรง นายจ้างต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสมัยนี้หาคนทำงานยากมาก
    .
    ผู้เชี่ยวชาญแนะ หากอยากแก้ไขเรื่องนี้ องค์กรต้องไม่มองข้าม Employer Branding
    .
    สำหรับ Employer Branding ก็คือการสร้างแบรนด์นายจ้าง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสอดคล้องกับคุณค่าที่องค์กรยึดถือ สามารถเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้สมัครงานที่มีความสามารถ (Talent) ให้อยากเข้ามาร่วมงานด้วย
    .
    ข้อมูลจาก HRnote asia อ้างถึงผลวิจัยของบริษัท Universum แสดงให้เห็นได้ว่า บริษัทที่มี Employer Branding ที่ดี จะช่วยทำให้คนสนใจสมัครงานกับบริษัทนั้นๆ เพิ่มเป็นสองเท่า
    .
    ขณะที่รายงานจาก LinkedIn ก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า Employer Branding ที่ดี จะช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงาน (Turnover rate) ได้ถึง 28% ทั้งยังส่งผลให้เกิดการประหยัดต้นทุนในการจ้าง หรือ Save Cost Per Hire ได้ถึง 50%
    .
    ด้าน วิชญา กำจรกิตติ ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์กรจาก Brightside People เปิดเผยผ่านเวทีเสวนาจาก Jobsdb ว่า การดำเนินงานขององค์กรต่างๆ ย่อมต้องการผลประกอบการที่ดี ซึ่งการจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้ส่วนหนึ่งมาจากองค์กรมีพนักงานที่มีศักยภาพ-มีประสิทธิภาพสูง แต่การจะได้คนเก่งๆ มาร่วมงานสมัยนี้เป็นเรื่องยาก องค์กรหลายแห่งจึงใช้การทำ Employer Branding เข้ามาช่วยหาผู้สมัครงานที่บริษัทต้องการ
    .
    “Employer Branding เป็นการสื่อสารกับแคนดิเดตหรือผู้สมัครงานว่า ถ้าอยากเข้ามาทำงานในองค์กรของเรา เขาจะได้รับการดูแลอย่างไรบ้าง องค์กรต้องสื่อสารกับทั้งคนนอกองค์กรและคนในองค์กร ซึ่งหากทำ Employer Branding ได้ดี นอกจากจะทำให้ได้แรงงานตรงตามความต้องการของบริษัทแล้ว ก็จะช่วยซัพพอร์ตภาพลักษณ์องค์กรให้ดียิ่งขึ้นด้วย” วิชญา กล่าว
    .
    ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บอกอีกว่า จากประสบการณ์ส่วนตัว 10 กว่าปีที่ผ่านมาพบว่า พนักงานลาออกจากปัญหาหัวหน้างานมากที่สุด มากกว่าปัญหาเพื่อนร่วมงานและปัญหาเรื่องเงินเดือน สาเหตุส่วนหนึ่งอาจมาจากวัฒนธรรมองค์กรย่ำแย่ ส่งผลให้เกิดปัญหาการทำงานระหว่างลำดับสายงาน หรืออาจเกิดจากการสื่อสารภาพลักษณ์ขององค์กรในตอนแรกที่รับสมัครงาน ไม่ตรงกับสิ่งที่พนักงานพบเจอจริงๆ ในบริษัท เป็นต้น
    .
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1140622?anm=
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจLifestyle #กรุงเทพธุรกิจWorklife #กรุงเทพธุรกิจ

    https://www.facebook.com/share/p/7sLXNMavhVuh1Fa6/?mibextid=oFDknk
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “สุวิทย์ เมษินทรีย์” ชี้ประเทศไทยมี ‘โอกาส’ เสมอ แต่ถ้า “มักง่าย-ไม่คิดพลิกฟื้น” อาจจะง่อยถอยสู่โลกที่3
    .
    ศักยภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน มีแนวโน้มถดถอยลงอย่างน่าใจหาย ทั้งจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ปัญหากำลังการผลิต ขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่รุมเร้าเศรษฐกิจต่อเนื่องนานนับ 20 ปี
    .
    ยิ่งเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่เคยอยู่ในระดับกำลังพัฒนาด้วยกัน ดูเหมือนว่าประเทศไทยจะตามหลังห่างไกลออกไปทุกที ทั้งในแง่อัตราการเติบโต รายได้ต่อหัว และตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ด้านการแข่งขัน
    .
    ‘ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์’ ประธานกรรมการแพลตฟอร์ม Youth in Charge อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้สัมภาษณ์ไทยพับลิก้า โดยฉายภาพว่า เวลามองตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ คงจะต้องมองใน 2 มิติสำคัญ คือมิติทางด้านเศรษฐกิจ กับมิติทางด้านการเมืองควบคู่กัน
    .
    ปัจจุบันประเทศที่ใกล้ตัวเราในอาเซียนหรือเอเชีย อาทิเช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ขึ้นไปอยู่โลกที่หนึ่งหมดแล้ว คือการเมืองดี แข็งแรง เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เศรษฐกิจไม่ต้องพูด ส่วนจีนกับอินเดีย ที่แต่เดิมค่อนข้างยากจน มีประชากรเยอะ เมื่อก่อนอยู่โลกที่สอง วันนี้ก็หนีขึ้นไปโลกที่หนึ่งหมดแล้ว แม้แต่เวียดนามเอง ก็ทะยานออกมาจากโลกที่ 3 สู่โลกที่ 2 และมีศักยภาพที่จะก้าวสู่โลกที่1 หากไม่มีอะไรสะดุด
    .
    ประเทศไทยยังอยู่ที่เก่า ยังย่ำอยู่โลกที่สอง เราอาจจะหลุดจากโลกที่สามมาอยู่โลกที่สองได้ แต่ไม่สามารถขึ้นชั้นสู่โลกที่หนึ่ง เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นว่าห้วงเวลาที่ผ่านมา หลายประเทศก้าวขึ้นไปอยู่โลกที่หนึ่ง เรายังอยู่โลกที่สองอยู่เลย
    ประเด็นสำคัญก็คือ ปัญหาของเรา เป็นปัญหาทั้งเศรษฐกิจด้วย ทั้งการเมืองด้วย เมื่อก่อนเราจะมองการเมืองมีปัญหา แต่เศรษฐกิจเราแข็งแรง แต่ตอนนี้มันเริ่มไม่ใช่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ก่อให้เกิดความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ นี่คือตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ของไทย ณ เวลานี้
    .
    ระหว่างที่มีผู้เล่นหน้าใหม่ มีการแข่งขันในเรื่องการดึงดูดการลงทุน มีอะไรเยอะแยะเลย เรากลับไม่เคยคิดจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ โครงสร้างอุตสาหกรรมเลย ไทยยังเอนจอยอยู่กับการเป็นผู้ผลิต OEM
    .
    นอกจากนี้ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงและเรื้อรัง ตั้งแต่เสื้อเหลือง เสื้อแดง พัฒนามาสู่การทะเลาะกันระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ มาสู่การมีแนวคิดจัดตั้งนีโอคอนเซอร์เวทีฟ เพื่อจะมาต่อสู้กับเสรีประชาธิปไตย คือเราง่วนอยู่กับเรื่องตบตีกัน การเอาชนะคะคานกัน เรื่องของความขัดแย้งที่รุนแรง เป็นระยะเวลาที่นานเกินไปโดยไม่รู้จบ
    .
    ขณะเดียวกัน ประเทศไทยเผชิญกับภาวะที่ถูกบีบบนบีบล่างที่เรียกว่า “nutcracker” นั่นคือ เราไม่สามารถแข่งขันกับประเทศที่ใช้แรงงานราคาถูก หรือใช้ทรัพยากรเยอะๆ ได้อีกแล้ว เราต้องไต่เพดานการแข่งขันไปสู้เรื่องดีไซน์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี ทิศทางมันชี้ชัดอยู่แล้วว่าเราต้องไปที่ตรงนั้น
    .
    ดร.สุวิทย์ สรุปว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพ แต่เราทำลายศักยภาพ เมื่อเราสูญเสียศักยภาพ บ้านเมืองก็อ่อนแอลง เราก็มีขีดความสามารถในการช่วงชิงโอกาสที่มาจากข้างนอกต่ำลง โอกาสไม่รอคอย มันลดระดับลงไปเรื่อยๆตามเวลา เรากำลังอยู่ที่จุดนั้นต่างหาก
    .
    โอกาสมีมาเสมอ แต่ศักยภาพเรามาถึงจุดหนึ่ง ถ้าไม่คิดที่จะพลิกฟื้น เราก็จะเป็นง่อย ถึงจุดนั้นอาจจะลำบากแล้ว เพราะว่าศักยภาพมันเตี้ยติดดินไปแล้ว
    .
    รับฟังบทสัมภาษณ์

    .
    #ศักยภาพเศรษฐกิจไทย #ยุทธศาสตร์ไทย #ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง #สุวิทย์เมษินทรีย์ #ไทยพับลิก้า #Thaipublica
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1723888115187.jpg

    “ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ชี้เศรษฐกิจไทยเผชิญ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ขาดโมเมนตัม - หลักนิติธรรมตกต่ำ
    .
    | เกาะกระแส | “ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ประธานกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นต่อเรื่องที่ประเทศไทยไม่สามารถหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ว่าปัจจุบันการเติบโตเศรษฐกิจไทยเผชิญกับ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ไม่ใช่แค่วัฏจักรทางเศรษฐกิจ (economic cycle) เนื่องจากจีดีพีไทยคงการเติบโตที่ 2-3% ประกอบกับสถานการณ์หลังโควิด-19 ที่เศรษฐกิจหลายประเทศเริ่มฟื้นตัว แต่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า
    .
    “วัฏจักรตกแล้วจะขึ้น แต่ถ้าเป็นเรื่องโครงสร้าง เหมือนโครงสร้างบ้าน ห้องนี้จุได้ 20 คน แต่เราอัด 40 หรือ 50 คนก็เกิดผลข้างเคียง แม้เราดำเนินนโยบายการเงินการคลังแบบเป็นกลาง แต่มันไม่ได้ไปมากกว่านั้น”
    .
    ดร.ประสาร ยกตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อหัว (per capita income) ในปี 2566 ว่า คนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่ 7,629.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี จัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับบน (upper middle income country) แต่หากจะก้าวเป็นประเทศรายได้สูง (hign income country) ต้องมีรายได้สูงกว่า 12,535 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี
    .
    “จีดีพีโต 2% ยากมาก (ที่จะเป็นประเทศรายได้สูง) ถ้าจะขยับมากกว่า 12,000 เหรียญ เศรษฐกิจต้องโต 5% เป็นเวลา 20 ปี … คำว่า 5% มาจากยุทธศาสตร์ 20 ปี พยายามคำนวณแล้วก็หนีไม่พ้นตัวเลขนี้ ตอนนั้น per capita income ของคนไทยอยู่ที่ 6,000 เหรียญ ถ้าจะเป็น 12,000 เหรียญ คือสองเท่าหรือ 100% ถ้าเอา 20 ปีหารจะได้ 5 แสดงว่าต้องโตให้ได้ปีละ 5% เป็นเวลา 20 ปี รายได้ต่อหัวถึงจะกระโดดจาก 6,000 เหรียญ เป็น 12,000 เหรียญ”
    .
    ThaiPublica ชวนอ่าน 4 ปัจจัย ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย การบริโภค-แรงงาน-เทคโนโลยี-FDI และนโยบายรัฐ ชี้ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่มากกว่าวัฏจักรทางเศรษฐกิจ โดย “ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล“ ประธานกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
    .
    คลิก https://thaipublica.org/2024/04/pra...t-the-thai-economy-faces-structural-problems/
    .
    #4ปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย #วิกฤติเศรษฐกิจ #หลักนิติธรรม #ประสารไตรรัตน์วรกุล #ไทยพับลิก้า #Thaipublica

    https://www.facebook.com/share/p/Dv3snrLkqMojrAUT/?mibextid=oFDknk
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Aug 17, 2024 ซึมทั้งปี! ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยซึมยาวถึงสิ้นปี 67 ยอดขาย 27 จังหวัดตกต่ำในครึ่งปีแรก กำลังซื้ออยู่จริงอ่อนปวกเปียก แบงก์ปไม่ผ่านทำคนซื้อเสียมั่น คนรวยรัดเข็มขัดฉุดยอดโอนคอนโด 10 ล้านขึ้นทรุดกว่า 33% มาตรการแอลทีวีของแบงก์ชาติฉุดซื้อเพื่อลงทุน ยอดสินเชื่อบ้านหดหายเหลือกว่า 6.5 แสนล้าน

    นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยว่า ภาพรวมครึ่งแรกของปี 2567 ชะลอตัวมากกว่าช่วง COVID-19 ลุ้นครึ่งปีหลังดึงให้ภาพทั้งปีติดลบน้อยกว่าร้อยละ 5 ภาพรวมด้านอุปสงค์ในครึ่งปีแรก 2567 นับได้ว่าเป็นการชะลอตัวที่แรงกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    แม้กระทั่งในช่วง COVID-19 ในปี 2563-2564 โดยพบว่า ในครึ่งปีแรก 2567 มีจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเพียง 159,952 หน่วย และ 452,136 ล้านบาท ซึ่งลดลงร้อยละ -9.0 และ -9.4 ตามลำดับ และมีจำนวนเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ เพียง 265,644 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15.2 เมื่อเที่ยบกับครึ่งปีแรกของปี 2566 ปริมาณหน่วยโอนกรรมสิทธิ์สะสม 2 ไตรมาสแรก หรือ รอบครึ่งแรก ปี 2567 ของบ้านใหม่ ลดลงร้อยละ -12.4 และบ้านมือสอง ลดลงร้อยละ -6.9 โดยราคากลุ่มของบ้านใหม่การโอนกรรมสิทธิ์ในระดับราคา 1.01-1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ในขณะที่บ้านมือสองกลุ่มระดับราคา 5.01-7.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เป็นที่น่าสังเกตว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทบ้านแนวราบ ลดลงร้อยละ -14.2

    ขณะที่ อาคารชุดโดยภาพรวมมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 ทั้งนี้ เป็นการเพิ่มขึ้นของอาคารชุดมือสองร้อยละ 11.8 ในขณะที่อาคารชุดใหม่ลดลงร้อยละ -1.5 โดยเป็นการลดลงในกลุ่มระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาทขึ้นไปมากที่สุดถึงร้อยละ -33.5 ขณะที่อาคารชุดใหม่มีการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นในกลุ่มราคา 2.01-3.00 ล้านบาทมากที่สุดถึงร้อยละ 15.8 รองลงมาคือระดับราคา 1.51-2.00 ร้อยละ 14.2 และระดับราคา 1.01-1.50 ร้อยละ 4.6

    นอกจากนี้ REIC ยังพบว่า ภาพรวมยอดขายที่อยู่อาศัยได้ใหม่ใน 27 จังหวัดของครึ่งแรกของปี 2567 มีการชะลอตัวลงด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงได้ว่า กำลังซื้อของผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยยังคงอ่อนแอจากภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและภาระหนี้สินต่าง ๆ ของครัวเรือน และเมื่อเกิดภาวะการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ก็ทำให้ผู้ซื้อบ้านเกิดความไม่มั่นใจในการซื้อและกู้ ทำให้บางส่วนเปลี่ยนใจในการชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไป

    ส่วนกลุ่มที่ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน ก็ชะลอการลงทุน เพราะไม่ต้องการนำเงินส่วนตัวมาลงประมาณร้อยละ 20 ของราคาที่อยู่อาศัยตามเกณฑ์ LTV และไม่อยากสร้างหนี้ระยะยาวในช่วงนี้ แต่นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีผลตอบแทนดี (มีต่อหน้า 2/2)

    (หน้า 2/2) อย่างไรก็ตาม REIC ประเมินทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 2567 โดยได้มีการปรับประมาณการจากข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งปีแรก ประกอบด้วยอัตราขยายตัว GDP อัตราดอกเบี้ย MRR เฉลี่ย 6 ธนาคาร อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อัตราดูดซับ รวมถึงผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา

    โดย REIC คาดการณ์ภาพของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 ว่าจะมีการปรับตัวลงของทั้งอุปสงค์และอุปทานในตลาด โดยจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจำนวนประมาณ 350,545 หน่วย ลดลงร้อยละ -4.4 และมีช่วงการขยายตัวระหว่าง ร้อยละ -14.0 ถึง ร้อยละ 5.1 โดยมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบประมาณ 243,088 หน่วย ลดลงร้อยละ -6.0 และมีช่วงการขยายตัวระหว่างร้อยละ -15.4 ถึง ร้อยละ 3.3 และคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยอาคารชุดประมาณ 107,456 หน่วย ลดลงร้อยละ -0.6 และมีช่วงการขยายตัวระหว่างร้อยละ -10.5 ถึง ร้อยละ 9.4

    ด้านมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าประมาณ 1,012,760 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -3.3 และมีช่วงการขยายตัวระหว่างร้อยละ -12.9 ถึง ร้อยละ 6.4 ประกอบด้วยมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบประมาณ 717,052 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -3.4 และมีช่วงการขยายตัวระหว่างร้อยละ -13.1 ถึง ร้อยละ 6.3 มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดประมาณ 295,707 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -2.9 และมีช่วงการขยายตัวระหว่างร้อยละ -12.6 ถึง ร้อยละ 6.8

    ขณะที่คาดการณ์ว่า ปี 2567 จะมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศจำนวน 651,317 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ -4.0 และมีช่วงการขยายตัวระหว่างร้อยละ -11.7 ถึง ร้อยละ 5.6

    ด้านอุปทานคาดการณ์ว่าปี 2567 จะมีการออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศจำนวน 89,420 หน่วย ลดลง ร้อยละ -6.4 และมีช่วงการขยายตัวระหว่างร้อยละ -15.8 ถึง ร้อยละ 3.0 ปี 2567 รวมทั้งคาดว่าจะมีจำนวนพื้นที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างทั่วประเทศประมาณ 36,102,795 ตร.ม. ลดลง ร้อยละ -8.9 และมีช่วงการขยายตัวระหว่างร้อยละ -18.0 ถึง ร้อยละ 2.5 โดยมีจำนวนพื้นที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างแนวราบทั่วประเทศประมาณ 32,816,529 ตร.ม. ลดลง ร้อยละ -9.5 และมีช่วงการขยายตัวระหว่างร้อยละ -18.5 ถึง ร้อยละ 1.4 และมีจำนวนพื้นที่การออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดทั่วประเทศประมาณ 3,286,266 ตร.ม. ลดลง ร้อยละ -3.0 และมีช่วงการขยายตัวระหว่างร้อยละ -12.7 ถึง ร้อยละ 8.7

    #คอนโดมิเนียม #คอนโด #บ้านเดี่ยว #อสังหาริมทรัพย์ #ยอดขาย #ยอดโอน #ยอดซื้อ #อาคารชุด #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/qZ44CERfjiFus9ee/?mibextid=oFDknk
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Aug 17, 2024 ศึกแอร์จีน! แบรนด์แอร์จีนไฮเออร์(Haier) ทุ่ม 10,000 ล้านขึ้นโรงงานที่ชลบุรี ผลิตเดือนละ 5 แสนเครื่อง รวมปีละ 6 ล้านเครื่อง ดันเป็นฐานผลิตแอร์ใหญ่สุดอาเซียน จ้างงานกว่า 3,000 คน

    นายโจว หยุนเจี๋ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ กรุ๊ป กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่แห่งใหม่และเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ด้วยศักยภาพเชิงพื้นที่ที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยที่มีมูลค่ากว่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งไฮเออร์ยังคงเป็นผู้นำในตลาดโดยมีส่วนแบ่งกว่า 13% เป็นยอดขายอันดับ 1 ในแง่ของจำนวนในช่องทางออฟไลน์

    สำหรับโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 324,000 ตร.ม. ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด 3 จ.ชลบุรี ภายใต้งบการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท รองรับกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศสูงสุดถึง 6 ล้านเครื่องต่อปี โดยพื้นที่ดังกล่าวนับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของประเทศไทย เพราะห่างจากท่าเรือแหลมฉบังใน จ.ชลบุรี 49 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 131 กิโลเมตร รวมถึงสามารถเชื่อมต่อด้านคมนาคมได้หลายเส้นทาง

    นายโจว หยุนเจี๋ย กล่าวต่อไปว่า โรงงานดังกล่าวมีแผนการดำเนินการก่อสร้างแบ่งเป็น 3 เฟส และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2570 ซึ่งเฟสแรกจะเปิดในส่วนของการผลิต 3 ล้านเครื่องในเดือนกันยายน 2568 เฟสที่สองและเฟสสามจะเสร็จสิ้นพร้อมเปิดดำเนินการในปี 2569 และ 2570 ตามลำดับ ทั้งนี้หลังจากดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้น โรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศของไฮเออร์

    ปัจจุบัน ไฮเออร์เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยครองแชมป์เครื่องใช้ภายในบ้านอันดับ 1 ของโลก ติดต่อกัน 15 ปี ตั้งแต่ปี 2552 ถึง 2566 (เป็นการจัดอันดับของสถาบันยูโรมอนิเตอร์อินเตอร์เนชั่นแนล) และในปี พ.ศ. 2562 ไฮเออร์ได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการเป็นเพียงเครื่องใช้ไฟฟ้าสู่ความเป็น Internet of Things (IoT) มากขึ้น

    #แอร์ #เครื่องปรับอากาศ #จีน #ไทย #ไฮเออร์ #ชลบุรี #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/R8iecUwfiBh14RFu/?mibextid=oFDknk
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Aug 17, 2024 เสียงแตกถี่! กสิกรไทยมั่นใจกรรมการเสียงแตกครั้งที่ 4 ประชุมส่อตึงดอกเบี้ยระยะสั้น 2.50% ในวันที่ 21 สิงหาคมนี้ ดอกเบี้ยแบงก์ชาติแพงในรอบ 10 ปี จ่อค้างฟ้าถึง 9 เดือน

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือกนง. ธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะมีขึ้นในวันที่ 21 ส.ค. 2567 นี้ คาดว่า กนง. ยังมีมติไม่เป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ต่อเนื่อง โดยคงให้ปัจจัยสนับสนุนดังต่อไปนี้

    กนง. ส่งสัญญาณในการประชุมรอบที่แล้วว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ปรับดีขึ้น รวมทั้งเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงินในระยะยาว อีกทั้งสามารถรองรับความเสี่ยงด้านบวกและด้านลบได้ในระดับหนึ่ง

    เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าเป็นผลจากปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ การสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน การเข้าสู่สังคมสูงอายุและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งนโยบายการเงินมีประสิทธิผลจำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพขยายตัวต่ำลง

    ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงให้น้ำหนักว่า กนง. จะตรึงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ไปตลอดทั้งปีนี้ แต่ก็มองความเป็นไปได้ที่ กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งในไตรมาส 4/2567 มีสูงขึ้น เนื่องจาก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าที่เคยคาดไว้ โดยล่าสุดตลาดมองว่าเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยถึง 100 basis points ในปีนี้ หลังตัวเลขตลาดแรงงานและเงินเฟ้อออกมาอ่อนแรงลง ซึ่งคงส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงกดดันให้มีแนวโน้มอ่อนค่า และค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า

    เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างเปราะบาง ท่ามกลางความเสี่ยงที่มากขึ้นจากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอลง สะท้อนจากดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (PCI) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังปรับลดลงต่อเนื่อง

    นอกจากนี้ แรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มยังอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มกลับเข้าสู่เป้าหมายของ ธปท. 1-3% ในไตรมาส 4/2567 โดยส่วนหนึ่งจากปัจจัยฐานต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในปี 2567 อยู่ที่ราว 0.8%

    ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติตึงดอกเบี้ยมาทั้งหมด 4 ครั้งต่อเนื่อง โดยมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้ตึงดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งจากการประชุมใน 4 ครั้งย้อนหลังไปจากครั้งล่าสุด มีดังนี้

    ปี 2567:
    7 กุมภาพันธ์ เสียงแตก 5:2 ตึงดอกเบี้ย
    10 เมษายน เสียงแตก 5:2 ตึงดอกเบี้ย
    12 มิถุนายน เสียงแตก 6:1 ตึงดอกเบี้ย

    ปี 2566: วันที่ 29 พฤศจิกายน เสียงเอกฉันท์ตึงดอกเบี้ย วันที่ 27 กันยายน เสียงเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 2.5% วันที่
    2 สิงหาคม เสียงเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 2.25% วันที่ 31 พฤษภาคม เสียงเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 2.00% วันที่ 29 มีนาคม เสียงเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 1.75% และวันที่ 25 มกราคม เสียงเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 1.50%

    ปี 2565 วันที่ 30 พฤศจิกายน เสียงเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 1.25% วันที่ 28 กันยายน เสียงเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 1.00% วันที่ 10 สิงหาคม เสียงแตก 6:1 ขึ้นดอกเบี้ยเป็น 0.75% วันที่ 8 มิถุนายน เสียงแตก 4:3 ตึงดอกเบี้ยเป็น 0.25%

    #ดอกเบี้ย #แบงก์ชาติ #ธปท #เงินเฟ้อ #ธนาคารแห่งประเทศไทย #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/QNeQzgpHQ5kp2j6Y/?mibextid=oFDknk
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,441
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มาไทยแน่! ร้านค้าปลีกทั่วโลกหลบไป KK Group จากจีน กินรวบ!
    .
    เรียกว่าทยอยมาสารพัดทุกรูปแบบสำหรับทุนจีนยุคใหม่ เข้ามาจนล้นทะลัก ไร้ทิศ ไร้ทาง ไร้การควบคุม จนประเทศไทยจะกลายเป็น "มณฑลไท่กั๋ว" ของจีนไปแล้ว
    .
    ก่อนหน้านอกจากจะมีแบรนด์ไอศกรีมและชาผลไม้ Mixue, Ai-Cha และ WEDRINK ยังมีแบรนด์ไก่ทอด Zhengxin Chicken Steak ขายเริ่มต้น 15 บาท ไม่นับรวมธุรกิจอื่นๆ อีกสารพัด หมาล่า เหล็ก ถ้วยเซรามิก รถทัวร์ แทบทุกอุตสาหกรรม ขายราคาถูก จนหลายๆ ธุรกิจของไทยแทบจะอยู่ไม่ได้แล้ว
    .
    ไม่พอแค่นี้ ยังมีอีกแบรนด์เตรียมเปิดสาขาแรกในไทยเร็วๆ นี้ คือ ร้านขายของไลฟ์สไตล์สารพัด KKV ในเครือ KK Group Company Holdings Limited จากกวางตุ้ง ประเทศจีน ที่กำลังยื่น IPO ในฮ่องกง เป็นครั้งที่ 4 มูลค่า 100,000 ล้าน มีข่าวมาแว่วๆ ว่าจะเปิดสาขาแรกที่ The Mall Lifestore บางกะปิ
    .
    KK Group เป็นสตาร์ทอัพค้าปลีกจีนแนวใหม่ ยูนิคอร์นม้ามืดประจำปี 2563 ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 ขายสินค้าทางออนไลน์อย่างเดียว ต่อมาเป็นเจ้าของร้านค้าปลีก 4 แบรนด์ คือ KKV (ร้านค้าปลีกไลฟ์สไตล์สารพัด), The Colorist (ร้านค้าปลีกความงามระดับโลก มีทั้งแบรนด์จีน เอเชีย ยุโรป ตะวันตก), X11 (ร้านค้าปลีกของเล่นแนวป๊อปสมัยใหม่ระดับโลก) และ KK Guan (ร้านค้าปลีกไลฟ์สไตล์มินิมาร์ท)
    .
    ปัจจุบันร้านค้าทุกแบรนด์ในเครือ KK Group มีสาขารวมกันราวๆ 800 แห่งในเมืองสำคัญกว่า 200 เมืองใน 31 มณฑลทั่วจีน อาทิ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว เซินเจิ้น หางโจว เฉิงตู ซูโจว เทียนจิน อู่ฮั่น ฉงชิ่ง รวมถึง ในอินโดนีเซีย และมาเลเซียอีกต่างหาก ทำเลเปิดร้านส่วนใหญ่เป็นย่านธุรกิจและห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศ
    .
    โดยสิ้นปี 2566 ร้านแบรนด์ KKV มีจำนวน 458 แห่ง ร้านแบรนด์ The Colorist จำนวน 243 แห่ง ร้านแบรนด์ X11 จำนวน 64 แห่ง และร้านแบรนด์ KK Guan จำนวน 35 แห่ง
    .
    รูปแบบของร้าน KKV มีทั้งโมเดลเปิดในห้าง และ Standalone ขนาดตั้งแต่ 300-35,000 ตารางเมตร ส่วนใหญ่จะเปิดในห้างขนาดใหญ่ เมื่อปี 2563 ร้านค้า KKV เปิดสาขาที่เซ็นทรัลพาร์ค ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ห้างชื่อดังในอินโดนีเซีย และได้รับกระแสตอบรับดีมาก
    .
    ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ KKV ขายสินค้าหลากหลาย 11 หมวด เช่น ของใช้ในชีวิตประจำวัน อาหาร เครื่องเขียน สกินแคร์ครบวงจร และเครื่องสำอางแฟชั่น ในพื้นที่ขนาดกว่า 300 - 3,500 ตารางเมตร มีจำนวนสินค้ากว่า 20,000 SKU มีทั้งแบรนด์นำเข้าที่กำลังมาแรงและแบรนด์ในจีน KKV เป็นร้านค้าปลีกสไตล์เดียวกับ MINISO นั่นแหละ ขายสินค้าแบบเดียวกันสารพัดอย่าง ทั้ง 2 แบรนด์ยังเป็นคู่แข่งกันในจีนอีกด้วย
    .
    กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ KK Group เป็น GEN Z ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 14 - 35 ปี ดังนั้น KK Group จึงใช้กลยุทธ์ 2 ทาง "สุนทรียศาสตร์ + เทคโนโลยี" เพื่อมอบประสบการณ์การช็อปปิ้งรูปแบบใหม่ ที่มีรูปลักษณ์และล้ำสมัยสูง เพื่อสนองความต้องการมีวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ดีขึ้น
    .
    สำหรับในประเทศไทยร้านค้าสารพัด KKV น่าจะอยู่ภายใต้การบริหารของมีบริษัท เคเควี ซัพพลาย เชน จำกัด จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2567 ทุนจดทะเบียน 190 ล้านบาท โดยมีนายชิน กวานกุ้ย และนางสาวธิตานันท์ ซุน มีรายชื่อเป็นกรรมการ คาดว่าเตรียมจะเปิดสาขาแรกในไทยไม่ช้าก็เร็วๆ นี้ ต้องติดตามดูต่อไป
    .
    สุดท้าย ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน ก็เจอแต่ธุรกิจที่เป็นทุนจีนไปหมด ถ้าผู้บริโภคคนไทยเห็นแก่ของถูกจากต่างประเทศ พอเข้าใจในยามเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ แต่ในวันข้างหน้าเชื่อว่าสินค้าและธุรกิจของคนไทยอาจไม่เหลืออะไรเลย คาดว่าอาจซึมยาว ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีด้วย ได้ผลกระทบไปทั่วทุกพื้นที่ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวให้เร็วเพื่ออยู่รอดไปก่อน
    .
    อ้างอิง
    https://www.kkgroup.cn/kkv
    https://www.facebook.com/urbanlifeth
    https://www.ditp.go.th/post/142183
    https://bit.ly/3M4F1cR
    .
    .
    ที่มา : https://bit.ly/3yHiEHg
    .
    #KKGroup #ร้านค้าปลีก #ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ #สตาร์ทอัพค้าปลีกจีน #KKV

    https://www.facebook.com/share/KpvCtMNy7WSXE4ak/?mibextid=oFDknk
     

แชร์หน้านี้

Loading...