ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    AMS ได้รับ 24 รายงานเกี่ยวกับลูกไฟอุกกาบาตที่เห็นเหนือ AL, FL, LA และ MS ในวันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2020 ประมาณ 01:45 UT

    AMS received 24 reports about a meteor fireball seen over AL, FL, LA and MS on Monday, May 11th 2020 around 01:45 UT

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Day 44: วันที่สี่สิบสี่ของการ Lockdown ในมอสโก ( ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ )

    Dmitry Peskov โฆษกของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เขาเป็นข้าราชการอาวุโสของรัฐบาลคนที่ ๕ ที่ติดเชื้อCovid-19

    Kremlin spokesman Dmitry Peskov is at least the second person in Putin’s administration and the fifth senior government official to test positive for Covid-19.

    © Source : The Moscow Times

    © Photo :Valery Sharifulin / TASS

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ... "ตัวเลขคนยิวเสียชีวิต 6 ล้านคน ใน WW2 ถูกไซออนนิสต์ปั้นให้สูงเกินจริง?"

    ... ผู้อำนวยการแห่งสถาบัน Elie Wiesel ของมหาวิทยาลัยบอสตัน และ นักประวัติศาสตร์แห่งสถาบันวิจัยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Bar-Ilan ชื่อJoel Rappel ( ที่มีเชื้อสายยิว )ได้ค้นพบต้นกำเนิดของจำนวนตัวเลข "6,000,000" คนยิวที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สองที่อื้อฉาว : โดยตัวเลขนี้ถูกสร้างขึ้นมาจาก "การประชุมองค์กรผู้บุกเบิกไซออนนิสม์ในปี 1944" ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันนี้ว่า "รัฐอิสราเอล"

    ... เป็นเวลาหลายปีที่ผู้สนับสนุนการบอกกล่าวเล่าเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้เกิดขึ้น ตัวเลข "จำนวนการเสียชีวิตการปรากฏออกสื่อครั้งแรก" ผ่านคำให้การในนูเรมเบิร์กโดยใช้ "คำให้การที่ไม่น่าเชื่อถืออย่างสูง" จากผู้บัญชาการของ Auschwitz นาย Rudolf Hoss ตัวเลข 6,000,000 ถูกผลิตซ้ำอีกครั้งโดย "อดอล์ฟไอค์มันน์" ซึ่งตอนหลังเขาถูกลักพาตัวโดย "มอสสาด" และถูกบังคับให้เข้าร่วมในการทดลองเผยแพร่ทางโทรทัศน์เมื่อปี 1962ในอิสราเอล

    ... เอกสารอ้างอิงใน "เอกสารสำคัญของไซออนนิสต์กลาง" การกล่าวอ้างครั้งแรกของการกล่างอ้าง ว่า 6 ล้านคน ครั้งนั้นเป็นการประชุมทางการเมืองของคนระดับสูงของ "ไซออนนิสม์ในปาเลสไตน์" เมื่อวันที่ 19 มกราคม 1944 - ที่เป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะสิ้นสุดในยุโรป และหนึ่งปีก่อนที่กองทัพแดงจะเข้าถึงค่ายเอาชวิตซ์ โดยค่ายนี้เปิดระหว่าง เดือนพฤษภาคม 1940 - มกราคม1945

    ... นักประวัติศาสตร์ Joel Rappel ได้ระบุชื่อ Eliezer Unger ชาวยิวโปแลนด์ ผู้ซึ่งได้ช่วยเป็นแกนนำองค์กรศาสนาไซออนนิสม์กับเยาวชน Hashomer Hadati ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการบอกจำนวนชาวยิวที่ถูกฆ่าโดยพวกนาซี นายอังเกอร์ อ้างว่าได้หลบหนีจากค่ายกักกันของโปแลนด์ผ่านยุโรปตะวันออก หลังจากมาถึงปาเลสไตน์เขากล่าวถึงความตั้งใจของเขาว่า "เพื่อจะทำให้โลกทั้งโลก มนุษยชาติและพี่น้องชาวอิสราเอลโดยเฉพาะเด็กเยาวชนของเราสะเทือน" อันเกอร์ไม่มีหลักฐานในสิ่งที่เขากำลังพูด , แต่เขาเองเชื่อว่าคำพูดของ "แรบไบสตีเฟ่นไวส์" ( ผู้นำศาสนายูดายของยิว ที่คนมีศีลธรรมมักจะพูดความจริง ) ในการบอกกับสื่อระหว่างประเทศในปี 1943 ว่า ชาวยิว 2 ล้านคนที่ถูกฆ่าตายนั้นจะสร้างได้รับผลกระทบต่อการตระหนักต่อสังคมโลกไม่มากพอ ( ตัวเลขต้องมากกว่านี้จึงจะสั่นสะเทือน ทำให้โลกหันมามอง )

    ... หลังจากที่นายอังเกอร์เข้าพบกับกลุ่มชาวยิวและนำพวกเขาทั้งหมดไปในทางเดียวกันฮสุดท้ายสื่อ "ฮาเร็ตซ์" ก็ออกตีพิมพ์บทความเล็ก ๆ สองสามวันต่อมาว่า เป็นครั้งแรกที่มีการระบุว่า "คนยิวจำนวน 6 ล้านคนถูกฆ่าตาย" ในสงครามโลกครั้งที่สองจากค่ายกักกัน, ไม่ปรากฏว่าอังเกอร์พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับห้องรมก๊าซในค่ายกักกันเลย

    ... บทความ Haaretz จบที่การเปิดเผยโดยการอ้างถึงหัวหน้าอัยการของ Eichmann Gideon Hausner ที่กล่าวว่า: "ในจิตสำนึกของประเทศจำนวน 6 ล้นคน มันไม่ง่ายเลยที่จะพิสูจน์ชำระตัวเลขนี้ให้ถูกต้อง แต่ในเอกสารอย่างเป็นทางการใด ๆ เราจะไม่ใช้ตัวเลขนี้” กล่าวอีกนัยหนึ่ง "ตัวเลข 6 ล้านมันเป็นเรื่องโกหก" ( ข่าวของ Russian insider )

    ... หลังจากหลายทศวรรษแห่งการสังหารผ่านไป ผู้ที่พยายามจะพิสูจน์ ตรวจสอบที่มาของตัวเลข 6 ล้านคน ที่มากกว่าแรปไบบ์สตีเฟ่นไวส์ บอกถึง 4 ล้านคน ก็ต้องมีอันเป็นไป ทั้งการกักขังคุก การถูกจุดไฟเผา และการล้มละลาย หรือประสบกับหายนะ ดูเหมือนว่าชุมชนชาวยิวในปัจจุบันกำลังถูกบังคับให้ปรับการเล่าเรื่องของพวกเขาให้ถูกต้องและเป็นจริงมากขึ้น ตอนนี้พวกเขาเริ่มที่จะยอมรับว่า "คนยิว 6 ล้านคนที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สอง" ไม่มีอะไรมากไปกว่าการโฆษณาชวนเชื่อของไซออนนิสม์ที่ต้องการสร้างเรื่องให้เป็นตำนานที่สำคัญ

    ... ( ขอแสดงความเสียใจกับคนยิวผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตในครั้งนั้น ที่ไม่มีส่วนใดๆในระดับสูงขององค์กร ที่ต้องเสียชีวิตจากการฆ่าของนาซี ... แต่ตัวเลขที่มากกว่าความเป็นจริง ก็เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข )

    ... 2020 ตอนนี้ "ตัวเลขการติดเชื้อไวรัสโควิด19" ก็กำลังทำให้โลกสะเทือน ไวรัสความกลัวแพร่ไวกว่าไวรัสจริง นักวิเคราะห์บางคนบอกว่า การเสียชีวิตในอิตาลีหลายราย เป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ แต่ทางโรงพยาบาลถูกให้ลงทะเบียนว่าเสียชีวิตจากโควิด19 ... หรือกลยุทธ์การสร้างตัวเลขสูงเกินจริงให้คนทั่วโลกกลัว ให้แผ่นดินสะเทือน เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง จะกลับมาอีกครั้ง ?

    .

    ... https://russia-insider.com/en/israe...-was-invented-zionist-conference-1944/ri30071

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว คิดดู-ขนาด ปตท.ยังมีเซเมื่อเจอ 'โควิด' สำแดงอิทธิฤทธิ์!!! ล่าสุด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แจ้งผลประกอบการกับตลาดหลักทรัพย์ ไตรมาส 1 ปี 2563 โดย ปตท.และบริษัทย่อยมียอดขายอยู่ที่ 483,567 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 4 ปี 2562 จำนวน 76,539 ล้านบาท หรือ 13.7% ขาดทุนสุทธิในไตรมาสนี้ (1/2563) จำนวน 1,554 ล้านบาท ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ไตรมาส หรือ 4 ปี 6 เดือน

    โดยเรื่องนี้ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดไปทั่วโลกของไวรัส COVID-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ประกอบกับกลุ่มโอเปกและพันธมิตรไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิตด้วย จนทำให้เกิดภาวะอุปทานล้นตลาด ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลงจาก 67.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในช่วงต้นไตรมาส 1 ปี 2563 มาอยู่ที่ 23.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในช่วงสิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 ทำให้กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลประกอบการลดลงจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันอยู่ที่ 35,695 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงมากอย่างรวดเร็ว และจากส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ทั้งโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ กับวัตถุดิบที่ลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจพลังงาน จึงทำให้ผลประกอบการโดยรวมของ ปตท.ในไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผ่านมาปรับลดลง".
    -------------------------------------------------
    Source : https://www.springnews.co.th/economics/663523

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    12 พฤษภาคม ... มีจำนวนผู้หายป่วยทั่วประเทศในวันเดียวมากถึง 2,520 คน มากที่สุดเท่าที่ผ่านมา

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ด่วน - ซาอุดีฯ ขยายเวลาผ่อนปรนมาตรการเคอร์ฟิวไปจนถึงปลายเดือนรอมฎอน และเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงช่วงเทศกาลอีด ดังนี้

    1. ระหว่างวันที่ 14 พ.ค. 2563 - 22 พ.ค. 2563
    1.1. อนุญาตให้ประกอบการกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่ได้รับการยกเว้น
    1.2. อนุญาตให้ออกจากเคหะสถาน 8 ชม./วัน ระหว่างเวลา 9.00 น. - 17.00 น. ทั่วซาอุดีฯ ยกเว้นเมืองมักกะห์
    1.3. ยังคงเคอร์ฟิว 24 ชม. สำหรับเมืองมักกะห์
    1.4.ยังคงห้ามเข้า-ออกสำหรับมณฑล เมือง แลและเขตอาศัยที่มีประกาศก่อนหน้านี้

    2. ระหว่างวันที่ 23 พ.ค. 2563 - 27 พ.ค. 2563
    2.1. เคอร์ฟิว 24 ชม. ทั่วซาอุดีฯ
    2.2. ใช้มาตรการ Social Distancing และบทลงโทษที่เกี่ยวข้องตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2563

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยุทธศาสตร์การต่างประเทศอินเดีย
    .
    เมื่อไม่นานมานี้สถาบันวิจัยด้านการต่างประเทศอย่างบลูคกิ้งอินเดีย พึ่งออกงานวิเคราะห์ชิ้นใหม่เกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์การต่างประเทศอินเดีย" ออกมา
    .
    ซึ่งบอกเลยว่าคนเขียนคือตัวท็อปของวงการต่างประเทศและความมั่นคงของอินเดีย คือคุณชีพชังการ์ เมนอน เขาเป็นอดีตที่ปรึกษาสภาความมั่นคงและปลัดกระทรวงต่างประเทศอินเดีย ที่สำคัญคือเป็นอดีตทูตอินเดียประจำปากีสถาน จีน และศรีลังกาด้วย
    .
    วันนี้เลยอยากเขียนสรุปงานยุทธศาสตร์ชิ้นนี้เพื่อเป็นประโยชน์กับทุกคน และอีกอย่างก็เพื่อตัวผมเองด้วย
    .
    งานวิเคราะห์ชิ้นนี้แบ่งเป็น 4 ส่วนสำคัญ คือ 1. อธิบายบริบทอดีตในเชิงภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และทรัพยากร 2. อธิบายยุทธศาสตร์การต่างประเทศอินเดียในภาพรวมจากอดีตถึงปัจจุบัน 3. วิเคราะห์ยุทธศาสตร์การต่างประเทศอินเดียที่ควรจะเป็น และ4. บทสรุปของการวิเคราะห์
    .
    ***สำหรับในส่วนที่ 1***
    คนเขียนเหมือนต้องการจะสะท้อนให้เห็นว่าภูมิศาสตร์ของอินเดียนั้นมีจุดแข็งสำคัญซึ่งส่งเสริมให้อินเดียสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้สะดวก ที่สำคญความเจริญเติบโตของอินเดียนั้นเป็นผลสำคัญมาจากการเชื่อมโยงกับโลกภายนอก
    .
    ความเข้มแข็งอีกประการของอินเดียตลอดช่วงประวัตศาสตร์ยังเป็นผลมาจากทรัพยากรอีกด้วย ชัยชนะในส่งครามในอดีตของหลายชนชาติในโลก เป็นผลมาจากการใช้ทรัพยากรจากอินเดีย
    .
    แต่ทรัพยากรที่ว่าคือทรัพยากรบุคคลมากกว่าทรัพยากรธรรมชาติ อินเดียจึงได้ชื่อว่าเป็นชาติที่อุดมไปด้วยผู้คนแต่ขาดแคลนทรัพยากร ส่งผลให้ต้องนำเข้าสิ่งเหล่านี้จากภายนอกจำนวนมาก
    .
    ฉะนั้นยิ่งอินเดียเชื่อมโยงกับโลกภายนอกมากอินเดียก็จะยิ่งเติบโตมากเพราะมีทรัพยากรคนที่เหลือเฟือขาดเพียงวัตถุดิบในการสร้างมูลค่าเพิ่ม
    .
    ผู้เขียนระบุชัดว่าการดำเนินนโยบายต่างประเทศของอินเดียไม่สามารถเดินตามรอบเดิมได้เพราะบริบทการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป อินเดียเริ่มเปิดและปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศในปี 1991 ซึ่งเวลานั้นอินเดียพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศเพียงร้อยละ15.3เท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นการทำการค้าผ่านคลองสุเอชกับชาติตะวันตก
    .
    แต่สถานการณ์นั้นต่างออกไปเพราะปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศของอินเดียคิดเป็นร้อยละ 49.3 ของจีดีพี และที่สำคัญส่วนใหญ่เป็นการทำการค้ากับประเทศในฝ่งตะวันออก
    .
    ปัจจัยนี้ทำให้อินเดียต้องมุ่งความสนใจของตัวเองทางตะวันออกมากยิ่งขึ้น และเป็นที่ชัดเจนว่าประเด็นปัญหาทะเลจีนใต้เกี่ยวข้องกับอินเดียโดยตรงมากขึ้น เพราะการค้าบริเวณดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 55 ของการค้าทั้งหมดในภาคพื้นบูรพา
    .
    ***ส่วนที่ 2 ***
    ในส่วนนนี้ผู้เขียนเน้นวิเคราะห์ยุทธศาสตร์การต่างประเทศที่ผ่านโดยอธิบายให้เราเห็นว่ายุทธศาสตร์การต่างประเทศของอินเดียในช่วงแรกหลังการได้รับเอกราชนั้นมุ่งเน้นเรื่องการส่งเสริมความมั่นคงภายในประเทศมากกว่าที่จะไปสนใจเรื่องข้างนอกโดยเฉพาะการสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับขอบเขตและดินแดนของตัวเอง
    .
    ฉะนั้นตลอดช่วง 20 ปีแรกหลังได้รับเอกราชของอินเดียนั้น อินเดียต้องทำสงครามแย่งชิงดินแดนถึง 4 ครั้งด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นอินเดียยังพลาดในหลายเรื่องหลังพยายามเดินตามนโยบายต่างประเทศในแบบบริติชราช ซึ่งอินเดียไม่มีศักยภาพพอ
    .
    กล่าวคืออินเดียเสียดินแดนฝั่งตะวันตกของประเทศไปนั่นคือการเกิดขึ้นของประเทศปากีสถาน ส่งผลให้อินเดียไม่สามารถติดต่อกับเอเชียกลางและเอเชียตะวันตกได้ ต่อมาอินเดียไม่สามารถรักษาสถานะความเป็นรัฐกันชนของทิเบตได้ ทำให้ต้องมีพรมแดนติดกับจีน สุดท้ายอินเดียไม่สามารถควบคุมมหาสมุทรอินเดียได้แบบที่อังกฤษเคยทำ
    .
    อย่างไรก็ตามผู้เขียนมองว่าสิ่งที่อินเดียทำได้ถูกก็คือการวางตัวไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดตลอดความเปลี่ยนแปลงในระบบความมั่นคงระหว่างประเทศนับตั้งแต่สงครามเย็น การขึ้นเป็นมหาอำนาจเดี่ยวของสหรัฐอเมริกา และความเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008
    .
    บทวิเคราะห์มองว่าอินเดียทำได้ค่อนข้างดีในประเด็นทางด้านเศรษฐกิจและรักษาสมดุลทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา เห็นได้จากการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและปัญหาความขัดแย้งที่ลดลงกับต่างประเทศ
    .
    อย่างไรก็ตามปัจจุบันอินเดียและหลายประเทศอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านระบอบระหว่างประเทศโดยเฉพาะปัญหาหลังปี 2008 ที่หลายความขัดแย้งกลับมาใหม่หลังสงบไปนาน เช่นปัญหาสงคราม ปัญหาคนอพยพ
    .
    ผู้เขียนชี้ว่าในปัจจุบันในเชิงเศรษฐกิจโลกเป็นระบบหลายขั้ว ในทางการทหารสหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้เล่นเดี่ยวอยู่ ในขณะที่ในเชิงการเมืองระหว่างประเทศนั้นไม่มีความชัดเจน
    .
    ปัจจัยเหล่านี้ทำให้อินเดียต้องมีนโยบายต่างประเทศแบบใหม่ ซึ่งผู้เขียนมองว่านโยบายหลายอย่างของอินเดียยังไม่ชัดเจนเพียงพอ เช่นการประกาศเป้าหมายนโยบายวิศวคุรุ ของนายกโมดีเพื่อให้อินเดียเป็นแหล่งเรียนรู้ของโลก ดูจะขัดแย้งกับความจริง ที่อินเดียยังคงนำเข้าเทคโนโลยี และองค์ความรู้จำนวนมากจากต่างประเทศ
    .
    เมนอน อธิบายว่าโลกทุกวันนี้ได้เปลี่ยนจากเดิมไปมากโดยเฉพาะประเด็นที่รัฐผูกขาดความรุนแรงนั้นไม่จริงอีกต่อไปแล้ว เพราะการเข้าถึงเทคโนโลยีและอาวุธที่ง่ายขึ้นทำให้ใครก็ก่อปัญหาความรุนแรงได้ การคิดเรื่องการต่างประเทศแบบเดิมไม่เป็นผลอีกแล้ว
    .
    ในขณะเดียวกันปัญหาหลาย ๆ เรื่องของนโยบายต่างประเทศอินเดียจะผูกโยงกับฝั่งตะวันออกมากยิ่งขึ้น เพราะอินเดียต้องเผชิญกับการขยายตัวของจีนที่กำลังท้าทายและก้าวก่ายผลประโยชน์ทางด้านการค้าของอินเดีย ฉะนั้นการปรับยุทธศาสตร์การต่างประเทศของอินเดียจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและเร่งด่วนอย่างยิ่ง
    .
    ***ส่วนที่ 3 ***
    ส่วนนี้ถือว่าเป็นหัวใจของงานก็ได้ครับ เพราะเป็นการเสนอตัวยุทธศาสตร์การต่างประเทศที่ควรเป็นของอินเดียในเวลานี้ และต้องเร่งปรับปรังอย่างด่วนและทันท่วงที เขาสรุปด้วย 3 คำสั้น ๆ คือ "สร้างความเข้มแข็งภายใน เพิ่มพูนความมั่นคงกับเพื่อบ้าน และสร้างสมดุลกับภายนอก"
    .
    เมนอนมองว่านี่จะเป็นปัจจัยสำคัญในอินเดียสามารถอยู่รอดปลอยภัยในสภาพการต่างประเทศที่กำลังค่อย ๆ เปลี่ยนไป สิ่งที่เมนอนเสนอแตกเป็นประเด็นได้อย่างนี้ครับ
    .
    1. แกบอกว่าหลายคนคิดว่าอินเดียควรไปเป็นพันธมิตรกับอเมริกาเพื่อสร้างสมดุลกับจีน ซึ่งแกมองว่าถ้าทำก็ผิดพลาดอย่างร้ายแรงเพราะอเมริกาจะไม่มีทางช่วยอะไรอินเดียได้ และปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตทั้งเรื่องการปะทะกับจีนที่โดกรัม หรือกับปากีสถาน อเมริกาก็ไม่ช่วยอะไรอินเดีย ฉะนั้นอินเดียต้องยืนด้วยตัวเอง และการเป็นประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดคือทางออกนั้น
    .
    2.การเผชิญหน้ากับการขยายอิทธิพลของจีนในเอเชียใต้นั้น อินเดียเคยผ่านมาแล้วและทำได้ดีโดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ1960-1970 จากการเข้ามาทำการค้าระหว่างจีนกับศรีลังกาและจีนกับเนปาล ฉะนั้นมันก็ทดสอบว่าการยืนด้วยขาตัวเองย่อมได้ผล
    .
    3.ปากีสถานกับอัฟกานิสถานยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของอินเดียยิ่งในอนาคตสหรัฐอเมริกาจะถอนทหารออกไปด้วยแล้ว สิ่งสำคัญคือตอนนี้อินเดียทำได้ดีในการต่อต้านปากีสถานและกลุ่มก่อการร้าย แต่เมนอนเน้นว่าอินเดียต้องใส่ใจกับการขยายแนวความคิดเข้ามาภายในอินเดียมากขึ้นด้วย
    .
    4. การเพิ่มขึ้นของอิทธิพล ส่วนนี้เมนอนมองว่าอินเดียต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ใหม่ที่ตอนนี้อาจไม่ได้ผลเท่าที่ควรนั่นคือการดึงจีนเข้ามาเป็นภาคีพูดซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การต่างประเทศของอินเดียแต่สมัยราชีพ คานธี ซึ่งแกมองว่ามันจะไม่ได้ผลเท่าไหร่แล้วในตอนนี้ เพราะจีนจะพยายามไม่ให้อินเดียผงาดขึ้นมาอย่างแน่นอน
    .
    5.นโยบายต่างประเทศของอินเดียต่อจีนในอนาคตจะเป็นลักษณะต้องขัดแย้งกันมากขึ้น เพราะผลประโยชน์จำนวนมากของอินเดียอยู่ในทะเลจีนได้ ฉะนั้นอินเดียต้องสร้างพันธมิตรกับกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีความขัดแย้งกับจีนเพื่อช่วยกันคานอำนาจ และดำรงความไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดไว้
    .
    6. อินเดียต้องไม่พยายามเอาตัวเองไปผูกโยงทางเศรษฐกิจของจีนที่ขยายตัวครอบคลุมหลายพื้นที่ของโลกมากขึ้น เมนอนมองว่าการออกจาก อาเซฟของอินเดียก็ถือเป็นกลยุทธ์ที่ถูกแล้ว เพราะต้องยอมรับความจริงว่าคนที่ได้ประโยชน์คือจีน
    .
    7. ประเด็นความร่วมมือจีน-ปากีสถาน นั้น อินเดียต้องเปิดการเจรจาระดับสูงกับจีนเพื่อสร้างความชัดเจนระหว่างกันว่าแต่ละฝ่ายมีผลประโยชน์อะไร เส้นแดงที่ห้ามก้าวล่วง และความแตกต่างในมุมมองเรื่องอื่น เพื่อให้อินเดียและจีนไม่ต้องมีปัญหากันทางทหาร เพราะในเชิงการค้าก็มากมายอยู่แล้ว
    .
    และ8. อินโด-แปซิฟิก ไม่ใช่คำตอบด้านนโยบายความมั่นคงของอินเดีย เพราะปัญหาคือมีแต่คนพูดแต่ไม่มีเนื้อหาสาระในเชิงความมั่นคง ยิ่งไปกว่านั้นเสรีทางด้านอินโด-แปซิฟิกที่ว่าคือแค่มหาสมุทรอินเดีย แต่ทะเลจีนใต้ยังคงอยู่ในความดูแลของจีน ในขณะที่แปซิฟิกตะวันตกนั้นอเมริกาดูแล ฉะนั้นคนเสียประโยชน์ก็คือินเดียนั่นเอง
    .
    ***ส่วนที่ 4***
    บทสรุปของส่วนนี้ ขอสั้นๆ ง่ายๆ ตามข้อเสนอของเมนอนคือ อินเดียต้องค่อย ๆ เติบโตอย่างเงียบ ๆ เพราะพิชัยสงครามไม่ว่าจะของกัลตินยะ ซุนวู หรือมาเคียวแวลลี ต่างบอกว่า "ยทธศาสตร์ที่ดีที่สุดคือการหลบเลี่ยงสงครามและเดินหน้าบรรลุเป้าหมายของตัวเอง"
    .
    มหาอำนาจที่ประสบความสำเร็จในการเติบโตส่วนใหญ่มักทำตัวอ่อนน้อมไม่กระโตกกระตากในขณะที่ตัวเองสร้างความแข็งแกร่งอยู่ภายใน
    .
    และสำหรับ เมนอน แล้วเป้าหมายยุทธศาสตร์การต่างประเทศที่สำคัญที่สุดของอินเดียคือความสำเร็จในการเดินตามความฝันของมหาตมะ คานธีนั่นคือ "การเช็ดน้ำตาที่อาบหน้าคนอินเดียได้ทุกคน"
    .
    ***เกร็ดเพิ่มเติม***
    - ในงานชิ้นนี้มีการพูดถึงจีนเยอะมาก ผมนั่งนับแล้วมากถึงเกือบ 100 คำด้วยกัน และผู้เขียนก็สะท้อนให้เห็นการเติบโตของอินเดียส่วนใหญ่ทำได้ดี จะมียกเว้นก็เพียงจีนทีทำได้รวดเร็วกว่า

    -ผู้เขียนมองเรื่องประเด็นปัญหาโรงฮิงญาในประเทศเมียนมาร์ว่าเป็นเป็นปัญหาการก่อการร้าย ทำให้แกมองว่าการไม่รับผู้อพยพนั้นถูกแล้วเพราะเสี่ยงเกินไปกับอินเดีย

    -ในปี 2050 อินเดียจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงประเทศจีน ในขณะเดียวกันประชากรมากกว่าครึ้งจะอาศัยอยู่ในเมือง
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #อินเดีย #การต่างประเทศ #ยุทธศาสตร์ #ความมั่นคง

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินเดียสร้างถนนในดินแดนพิพาทกับเนปาล
    .
    เรียกได้ว่าตอนนี้กระแสที่ไปเป็นเทรนด์อยู่ในโลกออนไลน์ของเนปาลนั้นคือการติดแทก #BackoffIndia หรือที่แปลเป็นไทยว่าถอยไปอินเดีย
    .
    กระแสนี้เกิดขึ้นจากปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอินเดียและเนปาลเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว ทางรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของอินเดียออกมาเปิดเผยว่าได้มีการดำเนินการก่อสร้างถนนในเขตลิปุเลข ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทระหว่างของประเทศอยู่แต่เดิม
    .
    จรีงๆปัญหาเรื่องพรมแดนซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเนปาล และในเขตตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐอุตตราขัณฑ์ของอินเดียนั้นมีมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 เมื่ออินเดียประกาศแผนที่ฉบับใหม่หลังจากเกิดการแยกตัวของรัฐจัมมูและแคชเมียร์ กับรัฐลดาข
    .
    แผนที่ฉบับดังกล่าวอินเดียได้ผนวกเอาเขตแดนบริเวณคาลาปนีของเนปาลเข้าไปด้วย ในเวลานั้นทำให้รัฐบาลเนปาลต้องส่งจดหมายประท้วงอย่างเป็นทางการ ซึ่งในที่สุดทั้ง 2 ประเทศตกลงกันว่าจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาปักปันเขตแดนที่เกิดปัญหาขึ้น
    .
    อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าการเจรจาจะไม่ได้ผลเท่าไหร่นักเมื่ออินเดียยังดึงดันจะสร้างถนนบริเวณที่เกิดข้อพิพาทมิหนำซ้ำพื้นที่ใหม่ที่เป็นปัญหานี้ก็ลุกล้ำเข้ามาในเขตของเนปาลมากกว่าเดิมอีกด้วย
    .
    โครงการก่อสร้างสร้างถนนดังกล่าวนั้นอินเดียให้เหตุผลว่าเพื่อพัฒนาช่องทางในการเชื่อมต่อกับด่านพรมแดนระหว่างอินเดีย-จีน ในทางด้านตะวันตกของเขตปกครองพิเศษทิเบต ซึ่งเป็นข้อตกลงมานานแล้ว ในเวลานานเนปาลไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะว่าแผนการสร้างถนนทำในเขตเดิมของอินเดีย
    .
    อีกด้านหนึ่งรัฐบาลอินเดียต้องการสร้างถนนนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้แสวงบุญชาวอินเดียที่ในทุกปีจะเดินทางไปศักการะเทพเจ้าในเขตเทือกเขาไกลาส ซึ่งติดกับพรมแดน 3 ประเทศ คืออินเดีย เนปาล และจีน
    .
    แต่เมื่อล่าสุดภาพที่กระทรวงกลวงกลาโหมอินเดียเปิดเผยออกมาพบว่าการก่อสร้างทำในเขตพื้นที่พิพาทกับเนปาล ทั้งยังดำเนินการไปมากแล้วด้วย กระทรวงการต่างประเทศของเนปาลจึงส่งหนังสือด่วนเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมกับทางอินเดีย
    .
    เอกอัครราชทูตเนปาลประจำอินเดียส่งข้อมูลกับไปยังเนปาลว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง นำมาซึ่งการส่งหนังสือประท้วงอินเดียของกต.เนปาล และย้ำชัดว่าการกระทำฝ่ายเดียวของอินเดียกำลังรุกล้ำอธิปไตยของเนปาล และเนปาลต้องการให้ยุติโครงการดังกล่าวทันที
    .
    เนปาลย้ำว่าการกระทำของอินเดียในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเพราะการเจรจาในระดับทวิภาคียังคงดำเนินอยู่และอยู่ระหว่างการพักพูดคุยจากปัญหาโควิด19
    .
    อย่างไรก็ตามกระทรวงต่างประเทศของอินเดียออกมาตอบโต้่ว่าการก่อสร้างถนนภายใต้การพัฒนาเส้นทางแสวงบุญดังกล่าวนั้นกระทำในเขตแดนของประเทศอินเดีย
    .
    งานนี้ต้องบอกว่าทำเอาชาวเน็ตเนปาลและคนเนปาลจำนวนมากถึงกับควันออกหูและนำข้อเท็จจริงมากมายออกมาประจานอินเดียอย่างสาดเสียเทเสียว่าใช้วิกฤตยึดดินแดนคนอื่น
    .
    ต้องให้ข้อมูลอย่างนี้ครับว่าพื้นที่ที่เป็นปัญหานั้นเป็นเขตแดนระหว่างอินเดียและเนปาลตามสนธิสัญญาที่อังกฤษทำไว้กับมหาราชาเนปาลเมื่อปี 1816 หรือสนธิสัญญาเซากุลิ
    .
    โดยสนธิสัญญานี่ระบุไว้ว่าดินแดนในฝั่งทางซ้ายทั้งหมดของลุ้มน้ำกาลีให้ตกเป็นของเนปาล ซึ่งพื้นที่พิพาทที่เกิดขึ้นกับอินเดียนั้น เนปาลยึดตามเส้นแม่น้ำมหากาลี ฉะนั้นเนปาลมองว่าบริเวณดังกล่าวเป็นของตนเอง
    .
    ในขณะที่อินเดียกลับมองต่างออกไปคืออินเดียเลือกใช้แม่น้ำสาขาเส้นหนึ่งที่ชื่อว่ากาลีเช่นกันในการแบ่งเขตแดน ทำให้อินเดียก็มองว่าดินแดนตรงนั้นเป็นของตนเอง
    .
    ทั้งนี้ดินแดนพิพาทบริเวณดังกล่าวส่วนใหญ่นั้นถูกกองทัพอินเดียยึดครองไว้นับตั้งแต่อินเดียเกิดสงครามกับจีนในปี 1962 แล้ว
    .
    ตอนนี้ทั้ง 2 ประเทศยังคงใช้ช่องทางทางการทูตในการตอบโต้กันไปมามากกว่าที่จะเลือกใช้กำลังทางการทหารและก็ดูเหมือนว่าอินเดียไม่มีทีท่าว่าจะถอยเลยในเรื่องการพัฒนาถนนเส้นดังกล่าว
    .
    ที่มา กาฐมาณฑุโพสต์/อจาซีร่า/เอ็นดีทีวี/หิมาลายาไทม์
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #อินเดีย #เนปาล #ขัดแย้ง #พิพาท #พรมแดน #กองทัพ

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินเดียอัดเงิน20ล้านล้านรูปีอุ้มเศรษฐกิจ
    .
    วันนี้นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดียได้มีการออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเพื่อพูดคุยกับประชาชนชาวอินเดีย ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งที่ 5 แล้วหลังจากมีมาตรการปิดเมืองเพื่อสู้กับโควิด19
    .
    ครั้งนี้ค่อนข้างน่าสนใจกว่าครั้งอื่น ๆ เพราะรอบนี้เป็นครั้งแรกที่นายกโมดีออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการจัดการกับเศรษฐกิจในช่วงระหว่างและหลังโควิด19
    .
    ที่น่าสนใจคือรอบนี้มีการประกาศเงินที่ใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งมากถึง 20 ล้านล้านรูปี (20,000,000,000,000) คิดเป็นเงินราว 8.56 ล้านล้านบาทกันเลยทีเดียว คิด เป็นร้อยละ 10 ของจีดีพีทั้งประเทศ
    .
    ยิ่งไปกว่านั้นแนวโน้มนโยบายเศรษฐกิจของอินเดียดูเหมือนจะมุ่งไปในแนวทางชาตินิยมมากยิ่งขึ้น นั่นคือมุ่งเน้นให้คนอินเดียใช้ของภายในประเทศ และหันกลับมาพึ่งพิงตนเองมากยิ่งขึ้นด้วย
    .
    โดยแพคเกจทางการเงินจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจทุกสาขาไม่ว่าจะเป็นอุปสงค์ ห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงการผลิต ทั้งนี้ได้มีการตั้งเป้าว่า "เพื่อให้บรรลุยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเอง ชุดเศรษฐกิจนี้จะมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปที่ดิน แรงงาน สภาพคล่อง และกฎหมาย"
    .
    นายกโมดีพูดเพิ่มเติมว่า "แพคเกจทางนี้จะครอบคลุมอุตสาหกรรมทุกรูปแบบตั้งแต่ระดับครัวเรือน ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่ แน่นอนว่ารวมถึงเกษตรกรและคนทั่วไปที่จ่ายภาษีด้วย"
    .
    นอกจากนี้โมดียังเรียกร้องให้ประชาชนซื้อและส่งเสริมผลิตภัณฑ์และแบรนด์ในท้องถิ่นด้วยเช่นกัน
    .
    อย่างไรก็ตามรายละเอียดของการใช้จ่ายเงินต่าง ๆ นั้น ยังไม่มีการอธิบายโดยเฉพาะที่มาของเงินจำนวน 20 ล้านล้านรูปี หรือรูปแบบการกระจายเงินดังกล่าว ซึ่งคาดว่ารายละเอียดจะตามมาทีหลัง
    .
    สำหรับในส่วนของมาตรการปิดเมืองนั้นนายกโมดี ยังไม่ได้ให้รายละเอียดอะไร เพียงบอกว่ารายละเอียดของแต่ละรัฐจะออกมาในวันที่ 18 พ.ค. นี้
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #อินเดีย #โมดี #เศรษฐกิจ #การเงิน
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว แย่ว่ะ!!! กรีนพีช ออกโรงเตือน #ต้องจับตา รัฐบาลขวาจัดของบราซิล ซึ่งนำโดยประธานาธิบดี จาอีร์ บอลโซนาโร กำลังฝ่าฝืนกฎหมายสิ่งแวดล้อมจากการที่ทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มขึ้นทวีคูณในป่าอเมซอนช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา โดยระบุชัด เรื่องนี้มีความสำคัญในระดับโลกเนื่องจากป่าอเมซอนเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนที่ดีที่สุดแหล่งหนึ่งของโลก การสูญเสียพื้นที่ป่าแห่งนี้ทำให้ภาวะโลกร้อนเลวร้ายกว่าเดิม

    ข้อมูลการวิเคราะห์จากกรีนพีชบราซิลระบุว่า มีการถางป่าอเมซอนและการรุกล้ำที่ดินของกลุ่มชนพื้นเมืองในบราซิลเพิ่มมากขึ้นภายใต้รัฐบาล จาอีร์ บอลโซนาโร ในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย. ที่ผ่านมา โดยมีการถางป่าสูงขึ้นร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับในช่วง 4 เดือนเดียวกันของปี 2562 พวกเขาอาศัยข้อมูลจากระบบสำรวจ DETER ของสถาบันวิจัยอวกาศบราซิล (INPE) ซึ่งระบุว่ามีผืนป่าในพื้นที่กลุ่มชนพื้นเมืองถูกทำลายไปแล้วเกือบ 3,259 เอเคอร์

    ** INPE เปิดเผยเรื่องนี้เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการถางป่าฝนอเมซอนซึ่งเป็นแหล่งป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดของโลกไปแล้วถึง 1,202 ตร.กม.

    ** บอลโซนาไร ผู้นำขวาจัดของบราซิลประกาศตัวชัดเจนว่า เป็นศัตรูกับสิ่งแวดล้อมและกลุ่มชนพื้นเมืองบราซิลทันทีที่เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือน ม.ค. 2562.
    ----------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://prachatai.com/journal/2020/05/87584

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ร่าง 3 กลุ่มกิจการเตรียมผ่อนปรนระยะ 2

    1.ด้านเศรษฐกิจและดำเนินชีวิตประจำวัน

    ก.การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในภัตตาคาร สวนอาหาร ศูนย์อาหาร โรงอาหาร และร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ขนมหวาน ไอศกรีม ในอาคารสำนักงาน

    ข.ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า คอมมูนิวตีมอลล์ ยกเว้นโรงภาพยนตร์ ฟิตเนส โบว์ลิ่ง สวนสนุก สวนน้ำ ศูนย์ประชุม และศูนย์พระเครื่องสนามพระ

    ค.ร้านค้าปลีก ค้าส่งอื่นๆ

    ง.ร้านเสริมสวย ย้อมผม ดัดผม หรือกิจการอื่นๆ ภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงและร้านทำเล็บ

    2.ด้านออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ

    ก.คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม สถานเสริมความงาม คุมน้ำหนัก

    ข.สนามกีฬา เฉพาะกีฬากลางแจ้ง ตามกติกาสากล เล่นเป็นทีมไม่มีผู้ชม

    ค.สวนดอกไม้ สวนพฤกษศาสตร์ พิพิธภัณฑ์แกลอรี ห้องสมุดสาธารณะ (เข้าเป็นรายคน)

    ง.สถานประกอบการนวดแผนไทย (เฉพาะนวดเท้า)

    3.กลุ่มอื่นๆ คือ การประชุม ณ สถานที่ภายในหรือภายนอกองค์กร ลักษณะการบรรยายร่วมกับวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (จำกัดจำนวนคนตามพื้นที่) , ทีมถ่ายทำรายการโทรทัศน์ โฆษณา ถ่ายแบบ ทำคลิป จำนวนไม่เกิน 5 คน

    ศบค.ย้ำว่าเป็นการประกาศแบบไม่เป็นทางการไปก่อน เพื่อให้ผู้ประกอบการไปเตรียมตัว แต่ยังไม่ 100% คือ ยังไม่นิ่ง ข้อสรุปชัดเจนสุดท้าย ต้องรอวันที่ 15 พ.ค.ที่จะมีการประชุม ศบค.ชุดใหญ่

    #Qol #MGROnline #โควิด19

    https://mgronline.com/qol/detail/9630000048967

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เปิด 6 วิถีชีวิตใหม่ #นางฟ้าชุดขาว แม้หมด #โควิด19 ต้องทำต่อ

    1.การปฏิบัติงานต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และเปลี่ยนทุก 8 ชั่วโมง หรือมีความชุ่มเปียก เช่น เหงื่อ หรือน้ำมูกตัวเอง ซึ่งการกำหนด 8 ชั่วโมงเป็นการกำหนดตามเวลาในการเข้าเวรของพยาบาล และเคยศึกษาว่าการใส่ประมาณ 8 ชั่วโมงจะไม่มีเชื้อโรคเกิดขึ้นกับตัวพยาบาล

    2.ล้างมือบ่อยๆ ก่อนและหลังให้บริการทุกอย่าง และการให้หัตถการต่างๆ

    3.อาบน้ำสระผมก่อนกลับบ้าน หรือไปถึงบ้านแล้วอาบน้ำทันที ก่อนที่จะสัมผัสกับบุคคลอื่นในบ้าน

    4.เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับบ้าน ไม่ใส่ชุดพยาบาลกลับบ้าน

    5. พกแอลกอฮอล์เจลล้างมือ หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ติดตัวตลอดเวลาเพื่อการใช้ทันท่วงที

    6.ไม่ใส่ชุดพยาบาลไปพื้นที่สาธารณะ เพราะอาจแพร่กระจายเชื้อ ยกเว้นแต่ตอนใส่มาทำงาน

    จริงๆ วิถีชีวิตใหม่นี้ของพยาบาลก็เป็นสิ่งที่พยาบาลปฏิบัติกันอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยมีโรคไหนเข้ามารุนแรงขนาดนี้ ขนาดซาร์สก็ยังไม่ถึงขนาดนี้ที่ต้องเฝ้าระวัง แต่โควิด-19 ระบาดได้เร็วกว่า ทำให้เราต้องหันกลับมามองชีวิตการทำงานของเราว่าต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะต่อไปเชื้อโรคน่าจะรุนแรงมากกว่านี้ขึ้นอีกหลายเท่า

    หากเทียบก็อาจปฏิบัติได้ประมาณ 70-80% แต่การล้างมือนี่ทำ 100% แต่จะเสียเวลาที่ต้องไปอ่างล้างมือ ที่เป็นของใหม่จริงๆ ก็คือการให้พกเจลแอลกอฮอล์หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินกลับ

    การที่ กองการพยาบาล หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดให้เป็นชีวิตวิถีใหม่ของพยาบาลอีกรอบ ก็เพื่อเน้นย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า การบริการแก่ประชาชนมีความปลอดภัย

    ด้านพยาบาลบำราศฯ เปิดแนวทางดูแลผู้ป่วย ยึดหลักไม่แพร่เชื้อ เผยตั้งแต่ดูแลผู้ป่วยมา ไม่มีพยาบาลติดโควิดเลย

    #Qol #MGROnline #พยาบาล

    https://mgronline.com/qol/detail/9630000049471

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ญี่ปุ่นเล็งยกเลิกภาวะฉุกเฉิน
    ห่วงเศรษฐกิจพังมากกว่าโควิด

    รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมพิจารณายกเลิกภาวะฉุกเฉินการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ทั้งๆ ที่ยังมีความเสี่ยงการแพร่ระบาดระลอกใหม่หลังวันหยุดยาว และผู้คนเริ่มเดินทางไปทำงานมากขึ้นแล้ว

    อ่านต่อ>>https://mgronline.com/japan/detail/9630000049478

    #ญี่ปุ่น #ล็อกดาวน์ #ภาวะฉุกเฉิน

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ⚠️ ด่วน ⚠️ Dr. Anthony Fauci กำลังงัดข้อกับทรัมป์ ! แพทย์ชื่อดังที่กำลังนำสหรัฐเรื่องการควบคุมไวรัสกำลังจะให้ความเตือนสภาว่า #หากเปิดประเทศเร็วไปอาจเกิดหายนะได้ !

    แอนโทนี เฟาซี ( Anthony Fauci ) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (NIAID) เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีข้อมูลเรื่องไวรัสระบาดของสหรัฐมากที่สุดแล้ว และด้วยความพยายามหยุดยั้งการระบาดของไวรัสอย่างเต็มความสามารถ ทำงาน 20 ชั่วโมงต่อวันมาตลอด 2 เดือน ทำให้ชาวสหรัฐนั้นให้ความเคารพและเชื่อใจเขามากที่สุดแล้วในอเมริกาในเรื่องของไวรัส

    โดยอย่างที่ทางเราได้เขียนถึงบ่อยๆว่าความนิยมของ Dr.Fauci นั้นสูงมากถึงกับได้คะแนนโวตจากชาวอเมริกันว่าเป็นบุคคลที่ Sexy ที่สุดแห่งปีนี้เลยทีเดียว !

    แต่คืนนี้นั้นทาง Fauci กำลังจะงัดข้อกับทรัมป์ ! หลังจากที่ทางทรัมป์ได้ประกาศว่าเขาต้องการจะกลับมาเปิดประเทศสหรัฐให้เร็วที่สุดอย่างชัดเจน ในขณะที่ผู้ว่าการรัฐหลายรัฐยังมองว่ารัฐต่างๆยังไม่พร้อม วันนี้ทาง Anthony กำลังจะขึ้นให้ความกับสภาสหรัฐเพื่อเตือนว่าหากเปิดประเทศเร็วไปอาดเกินหายนะและจะมีผู้ล้มตายอีกจำนวนมากได้ !

    การให้ความของเขาจะทำให้ผู้การรัฐต่างๆชะลอการเปิดเมืองต่อไปไหม ? หรือจะพอเปลี่ยนใจทรัมป์ได้หรือไม่ ? มาติดตามกันครับ

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #OilTradingKP

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    ฉันแค่บันทึกฟลักซ์อิเล็กตรอนที่เพิ่มขึ้น (รังสี) ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 20:00 UTC ข้อมูลได้ถูกย้ายและไม่ได้รับการอัปเดตตั้งแต่ภาพล่าสุด 11 พฤษภาคม
    FB_IMG_1589328513218.jpg FB_IMG_1589328515997.jpg FB_IMG_1589328518575.jpg FB_IMG_1589328521709.jpg
    I'm just documenting the elevated electron flux (radiation) that began on May 10 20:00 UTC. The data has been staggered and has not been updated since last image May 11.

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘อีลอน มัสก์’ ไม่สนล็อกดาวน์ สั่งเปิดโรงงาน ‘เทสลา’ ในแคลิฟอร์เนีย
    อีลอน มัสก์ ฝ่าฝืนมาตรการล็อกดาวน์ป้องกันไวรัสโควิด-19 ในแคลิฟอร์เนีย สั่งเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัท เทสลา แล้ว หลังก่อนหน้านี้ออกมาขู่จะย้ายโรงงาน
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สลด หญิงขายตั๋วรถไฟอังกฤษ ถูกคนป่วยถ่มน้ำลายใส่จนติดโควิดเสียชีวิต
    หญิงพนักงานขายตั๋วรถไฟในอังกฤษ เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังจากเธอถูกผู้ติดเชื้อคนอื่นถ่มน้ำลายและไอใส่ ขณะที่เธอทำงานในกรุงลอนดอน
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชิลีผวา ปธน.เตือนโควิดจ่อระบาดเลวร้ายที่สุดในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
    ผู้นำชิลีเตือน สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเลวร้ายที่สุดภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หลังชิลีพบผู้ติดเชื้อมากขึ้นตั้งแต่เข้าสู่เดือนพฤษภาคม
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประกันสังคม เผยยอดจ่ายเงินว่างงานเหตุสุดวิสัยแล้ว กว่า 3.9 พันล้าน
    ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เผย ประกันสังคม แจ้งยอดจ่ายเงินว่างงานเหตุสุดวิสัย กว่า 3.9 พันล้านบาท
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,491
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม. เลื่อนบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ออกไป 1 ปี

    วันที่ 12 พ.ค. 63 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับทราบถึงความจำเป็นในการออก ร่างพระราชกฤษฎีกา ขยายเวลาการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ในหมวด 2 การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    หมวด 3 สิทธิเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หมวด 5 การร้องเรียน หมวด 6 ความรับผิดทางแพ่ง หมวด 7 บทกำหนดโทษ และความในมาตรา 95 และมาตรา 96 ออกไปอีก 1 ปี ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ

    เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน เนื่องจากหากมีการบังคับใช้ตามกำหนดเวลาเดิมในขณะที่ทุกภาคส่วนยังไม่พร้อม อาจทำให้เกิดการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายได้โดยไม่ตั้งใจ รวมทั้งอาจเป็นช่องทางให้ผู้ที่ทุจริตแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ

    และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ภาคเอกชนเกิดปัญหาสภาพคล่องในการลงทุนเพื่อปรับปรุงระบบสาระสนเทศ และการจัดหา หรือจัดอบรมบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ให้มีความพร้อมปฏิบัติตามกฎหมาย

    การเลื่อนบังคับใช้กฎหมายจึงเอื้อต่อภาคเอกชน ให้มีเวลาได้เตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสม ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ จะเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในวาระต่อไป

    และเนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บางหมวด มีผลบังคับใช้วันที่ 27 พ.ค. ที่จะถึงนี้ จะมีการเสนอพระราชกฤษฎีกาเลื่อนไปอีก 1 ปี

    วันนี้ ครม.รับทราบความจำเป็นตัวร่างพระราชกฤษฎีกาจะเข้า ครม.อีกครั้งต่อไป

    สุดท้ายนี้ นางสาวรัชดา กล่าวว่า ขณะนี้ทางกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ดำเนินการสรรหาประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว

    โดยอยู่ระหว่างการนำเสนอรายชื่อบุคคลต่อคณะรัฐมนตรี และอยู่ในขั้นตอนการจัดทำกฎหมายลำดับรอง ได้แก่

    1. การบริหารจัดการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    2. การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

    3. การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศ

    4. สิทธิเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

    5. หน้าที่ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล และผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

    6. การร้องเรียนและโทษปรับทางปกครอง



    ภาพโดย Free-Photos จาก Pixabay

    ภาพโดย StockSnap จาก Pixabay

    The post รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม. เลื่อนบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ออกไป 1 ปี appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์
     

แชร์หน้านี้

Loading...