ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ⚠️ FED ออกรายงานเตือนว่าราคาหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆอาจลดลงอย่างต่อเนื่องหากยังแก้วิกฤตเศรษฐกิจไม่ได้ !

    เมื่อคืนนี้ทางธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED ได้ออกรายงานอย่างเป็นทางการออกมาเตือนว่าราคาหุ้นและราคาสินทรัพย์อื่น ๆ อาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญหากการระบาดของไวรัส Covid-19 ยังรุนแรงขึ้น โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Commercial real estate) จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด

    FED จะออกรายงานความมั่นคงทางการเงินปีละสองครั้ง ซึ่งจะมีการระบุถึงความเสี่ยงต่อระบบธนาคารของสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจในวงกว้าง

    โดยเอกสารในครั้งนี้มีใจความสำคัญว่า

    “Asset prices remain vulnerable to significant price declines should the pandemic take an unexpected course, the economic fallout prove more adverse, or financial system strains reemerge. prices were high relative to fundamentals before the pandemic,”

    “ราคาสินทรัพย์ยังคงมีความเสี่ยงต่อการลดลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ หากการระบาดจะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะรุนแรงกว่าที่เราเห็นในตอนนี้ สภาพคล่องที่ติดขัดจากระบบการเงินจะกลับมาให้เห็นอีกครั้ง และ ราคาสินทรัพย์อยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานก่อนการระบาดของไวรัสจะเข้ามาแล้ว”

    ถึงแม้ว่าคำเตือนอย่างเป็นทางการของ FED จะเป็นความเสี่ยงในตลาดที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่ก็มีความสำคัญและออกมาจังหวะเดียวกับที่ Buffet เทขายหุ้นวาณิชธนกิจอย่าง Goldman Sachs ..

    ทีมเราจะนำข่าวสารที่น่าสนใจในตลาดโลกมาแชร์เรื่อยๆ ท่านใดไม่อยากพลาดแนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #OilTradingKP

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ด่วน ! Warren Buffet เทขายหุ้น Goldman Sachs ทิ้งเกือบหมดพอร์ต ! ขายไปรวมกว่า 84% ของที่ถืออยู่... #ถึงเวลาที่พวกเราควรจะกังวลกับเศรษฐกิจโลกมากกว่านี้แล้วหรือยัง ?

    ถึงแม้นักลงทุนระดับเทพอย่างปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะได้เทขายหุ้นสายการบินทิ้งไปหมดพอร์ตเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน แต่ปู่ก็ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "Don't Bet Against America" หรืออย่าเดิมพันว่าอเมริกาจะล้ม ! เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าปัญหาจะสาหัสแค่ไหน แต่อเมริกาก็จะหาทางกลับมาแข็งแกร่งกว่าเสมอได้เสมอ !

    แต่... เมื่อคืนนี้หลังจากที่ทางบัฟเฟตต์ได้เทขายหุ้น Goldman Sachs วาณิชธนกิจที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในสหรัฐทิ้งไปเกือบหมดนั้น... #มันหมายความว่าอย่างไร ?

    หรือจริงๆแล้ว #สิ่งที่เราไม่ควรเดิมพันแข่งด้วย ก็คือตัวของบัฟเฟตต์เอง !

    เมื่อบัฟเฟตต์และ Berkshire Hathaway Inc. เทขายหุ้น ทั้ง Goldman Sachs และ JP Morgan ด้วยจำนวนหนึ่งขนาดนี้ แสดงว่าปู่คงมองแล้วว่าเศรษฐกิจในระยะสั้นคงแย่ๆมากๆ

    #และใครจะกล้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปู่บ้าง ? จากกราฟที่เราแนบให้ในคอมเม้นท์จะเห็นได้ว่าบัฟเฟตต์พยายามที่จะ Play Safe มากๆและทยอยเก็บเงินสดเพิ่มให้เยอะขึ้นจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกเรื่อยๆ แปลว่าหุ้นยังราคาแพงไปอยู่หรือป่าวสำหรับปู่

    ธุรกิจของ Goldman Sachs และ JP Morgan คืออะไร ?

    ทั้งสองนั้นคือวาณิชธนกิจ หรือ Investment banking นั้นเอง เป็นสถาบันทางการเงินซึ่งทำหน้าที่ระดมเงินทุน, ซื้อขายหลักทรัพย์, บริหารการควบรวมและซื้อกิจการ รวมถึงให้คำปรึกษาด้านธุรกรรมทางการเงินแก่บริษัทต่างๆ

    กำไรของวาณิชธนกิจจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นหลักเลย หากเศรษฐกิจกำลังโตสถาบันการเงินก็จะได้เงินมากขึ้นจากการระดมทุนในการขยับขยายกิจการต่างๆ จากทุกๆภาคธุรกิจ

    แต่ในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจกำลังแย่... หากยิ่งเกินปัญหาวิกฤตทางการเงิน.. เหล่าบริษัทวาณิชธนกิจเหล่านี้ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูง

    ราคาหุ้นของ Goldman Sachs ขึ้นลงตามวัฏจักรการเงินของโลก

    ความสัมพันธ์ของราคาหุ้น Goldman Sachs กับเศรษฐกิจโลกนั้นสูงมาก ในปี 2008 เมื่อเกิดวิกฤต Subprime ขึ้นนั้น หุ้นของ Goldmans ได้ตกลงมาเกือบ 80% จากระดับ 240 เหรียญ ลงมาเหลือ 60 เหรียญ และนั้นก็คือจังหวะที่บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นของ Goldman ครั้งใหญ่ โดยเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของบัฟเฟตต์ในช่วงวิกฤตการเงินของโลกครั้งนั้นเลยทีเดียว

    ต่อมาหลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและโตมายาวนานกว่า 10 ปี ราคาหุ้นของ Goldman Sachs ก็ได้ปรับตัวสูงขั้นเรื่อยๆถึง 4-5 เท่า เคยไปแตะระดับสูงสุดที่ 270 เหรียญ ก่อนที่จะโดนเทขายเพราะวิกฤตไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้

    นี่เป็นสัญญาณที่แสดงให้เราเห็นว่า เราควรกังวลกับเศรษฐกิจโลกมากกว่านี้ไหม ?

    อย่างที่ได้อัพเดทในเพจมาเรื่อยๆนะครับ ว่าช่วงนี้ Upside ของตลาดหุ้นสหรัฐคงจะยังมีน้อยจนกว่าเงินและสภาพคล่องต่างๆที่อัดฉีดเข้ามาจะสามารถทำให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้นจริงๆ เกิดการจ้างงานกลับมาอีกครั้ง และบางที่สิ่งที่ปู่มองเห็นอาจจะเป็นวิกฤตทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้จากมาตรการอัดฉีดต่างๆเหล่านี้ด้วยซ้ำ เพราะต่อให้มีสภาพคล่องในช่วงสั้นแต่ภาระหนี้สินยังคงเพิ่มขึ้นในระยะยาว... และตอนนี้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกก็ต่ำติดดินแล้ว ยากที่จะหาอะไรมากระตุ้นเพิ่ม

    #อย่างไรก็ตาม ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    แล้วทางเราจะคอยนำข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกที่น่าสนใจมาแชร์เรื่อยๆครับ

    #OilTradingKP

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ✅ ข่าวดีของตลาดน้ำมันในคืนนี้จากกลุ่มโอเปกครับ ! ทางโอเปกได้ออกมาประกาศว่าจุดที่แย่ที่สุดของตลาดน้ำมันน่าจะได้ผ่านผ้นไปแล้ว ! และสัญญาณจากราคาซื้อขายล่วงหน้าของน้ำมันหรือ Foward Curve ก็กำลังสื่อเช่นนั้นด้วย !

    ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI นั้นได้ทยอยปรับตัวขึ้นมาเรื่อยๆ 2-3 วันติดกันแล้ว ล่าสุดกำลังซื้อขายอยู่ที่ 31.5 และ 28.8 เหรียญ ตามลำดับ โดยในคืนนี้ทางเลขาธิการโอเปกนาย Mohammad Barkindo ได้กล่าวในการสัมภาษณ์กับ Bloomberg TV ว่า ทางกลุ่มมองว่าวิกฤตน้ำมันล้นโลกได้ผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดไปแล้วโดยมาจาก 2 ปัจจัยหลักๆด้วยกัน

    1️⃣ กลุ่มโอเปกและพันธมิตรกำลังลดกำลังการผลิตกันตามสัญญาอย่างรวดเร็ว โดยเชื่อว่าเมื่อรวมกับทุกๆประเทศในโลกที่มาตกลงลดกำลังการผลิตร่วมกันแล้ว อาจทำให้มีน้ำมันหายไปจากตลาดรวมสูงถึง 17.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

    2️⃣ สัญญาณการใข้น้ำมันทั่วโลกกำลังเริ่มฟื้นตัวขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดประเทศต่างๆทำให้น้ำมันเครื่องบินยังมีการใช้น้อย แต่การกลับมาของการขับรถทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐและยุโรปนั้นกำลังกลับมาได้เร็วกว่าที่คาด (บ้านเราก็เริ่มรถติดแล้วนะ)

    สัญญาณจากราคาซื้อขายล่วงหน้า

    หลังจากที่ตลาดอยู่ในรูปแบบ Supply > Demand มานานถึงเกือบ 3 เดือนและราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลงไปอยู่ในรูปแบบ Contango หรือราคาส่งมอบเดือนใกล้นั้นต่ำกว่าเดือนไกล และเป็นความ Contango ที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปีเลยทีเดียว

    ล่าสุดนั้นราคาน้ำมันในเดือนใกล้นั้นกำลังจะปรับตัวขึ้นสูงกว่าราคาเดือนไกลแล้ว สำหรับทั้งน้ำมันดิบ Brent , WTI และ Dubai ด้วย (ในเดือนสั้นๆ) การที่ราคากำลังปรับเข้าสู่รูปแบบของ Backwardation นี้กำลังชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Demand เริ่มกำลังจะกลับมา > Supply แล้ว

    ส่วนตัวแล้วผมว่าสัญญาณที่ตลาดซื้อขายล่วงหน้ากำลังจะกลับด้านกลับมานี้ เป็นสัญญาณที่ดีกว่าข่าวใดๆที่ออกมาอีกครับ

    กองทุนน้ำมันกำลังอาจกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง

    อย่างที่ได้เคยเรียนไปว่าการลงทุนกองทุนน้ำมันในช่วงที่ตลาดเป็น Contango นั้นไม่เรื่องที่แนะนำเพราะว่าทุกๆครั้งที่กองทุนต้องทำการ Roll สัญญาหรือเปลี่ยนการถือสัญญาส่งมอบล่วงหน้าเป็นเดือนใหม่เมื่อสัญญาหมดอายุนั้น จะทำให้ผลตอบแทนของกองทุนเป็นลบทุกๆเดือน (หรือมีต้นทุนใหม่ที่แพงขึ้นทุกๆเดือน)

    แต่หากเมื่อไหร่ที่ตลาดน้ำมันกลับรูปมาเป็น Backwardation และสามารถคงได้แล้ว กองทุนน้ำมันอาจน่ากลับมาลงทุนอีกครั้ง เพราะแปลว่าทุกๆเดือนที่มีกลายเปลี่ยนถ่ายสัญญา ต้นทุนใหม่ก็จะถูกลงในทุกๆเดือน

    ⛔️ รายละเอียดของรูปแบบราคาซื้อขายล่วงหน้า และ กลไกกองทุนน้ำมัน สามารถหาบทความอธิบายได้ในเพจเลยนะครับ (เดี๋ยวจะพยายามแนบในคอมเม้นท์ให้)

    ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #OilTradingKP

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงโดนกดดันหนักในคืนนี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสำคัฐหลายๆอย่างออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

    ถึงแม้เมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐจะพลิกตัวกลับมาปิดเป็นบวกได้เล็กน้อยเพราะหุ้นกลุ่มธนาคารที่เด้งขึ้นช่วงกลางคืน แต่ทั้งดัชนี Dow Jones และ S&P500 ยังคงติดลบประมาณ -0.5% ในคืนนี้ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่างๆของ #เดือนเมษายน ออกมาแย่กว่าที่คาด

    1️⃣ US Manufacturing Production - ยอดการผลิตของโรงงานในสหรัฐลดลง -13.7% ถือว่าลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1919

    2️⃣ US Retail Sales - ยอดค้าปลีกลดลง -16.4% จากที่ตลาดคาดไว้ที่ -12%

    3️⃣ Motor vehicle production - การผลิตยานยนต์ลดลงถึงหลัก 70,000 หน่วยต่อปี เมื่อเทียบกับที่เคยผลิตอยู่ 11 ล้านหน่วยต่อปีเมื่อ 2 เดือนก่อน

    แน่นอนว่าปัญหาของไวรัสระบาดนั้นทำให้หลายๆโรงงานของสหรัฐต้องปิดตัวไปในช่วง Lock Down ทำให้ตัวเลขนั้นออกมาแย่มาก โดยตอนนี้หลายๆเจ้าของกิจการพยายามเรียกร้องให้รัฐเร่งกลับมาให้โรงงานต่างๆกลับมาผลิตได้โดยเร็ว นำโดย Elon Musk เจ้าของบริษัท Telsa ที่กล่าวไว้ว่าเข้าจะเปิดโรงงานใน California โดยไม่สนกฏของรัฐ หากจะถูกจับเขาก็จะยอม !

    ตลาดหุ้นสหรัฐคงยังโดนกดดันต่อเนื่องหากยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้โดยเร็ว เพราะตราบใดที่โรงงานไม่เดินผู้คนก็จะยังตกงานอยู่และจะไม่มีเงินมาใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจต่อไป

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #OilTradingKP

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แก๊งมังกรล่าหนี้! จีน ‘บีบแขน’ เอ๊ย ‘จูงมือ’ ยูเอ็น (สหประชาชาติ) วิ่งโร่ทวงหนี้อเมริกาอภิมหาอำนาจ เหยียบ 1 พันล้านดอลลาร์! โวยลั่น ยูเอ็นงบใช้จ่ายกระพร่องกระแพร่งเพราะโดน “ขาใหญ่” เบี้ยว!

    เลขาธิการสหประชาชาติเอ่ยอย่างกระมิดกระเมี้ยนตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. แล้ว ว่ากำลัง “ขาดเงินหมุน” เพราะสมาชิกบางประเทศไม่ยอมส่งเงินตามกำหนด แต่มิได้ระบุว่าใคร

    ถึงกับต้องส่งร่อนสาสน์ไปทวงกันให้วุ่นวาย สถานะยูเอ็นตอนนี้กระเสือกกระสนดิ้นรนเพราะไม่มีจะใช้จ่าย

    .

    ผู้แทนจากจีนที่ปฏิบัติภารกิจ ณ ยูเอ็น ตบโต๊ะผาง แผดเสียงก้องต่อคณะกรรมการด้านงบประมาณแห่งสมัชชาใหญ่ของยูเอ็น “สมาชิกที่ค้างจ่ายเช่นอเมริกาจงควักออกมาซะดีๆ”

    “เจอเหมือนกัน จีนก็เจอปัญหาเศรษฐกิจและการคลังจากภัยโควิด-19 แต่เราก็ไปจัดแจงมาจ่ายจนได้ ทั้งงบปกติและงบปฏิบัติการเพื่อรักษาสันติภาพ จ่ายหมดจ่ายเต็ม ไม่มีบิดพลิ้ว”

    “มันแสดงว่าเราสนับสนุนยูเอ็นเต็มที่เต็มขั้น”

    .

    ไม่วายแฉ ว่าอเมริกาติดเงิน ค้างจ่ายงบปกติ 1.16 พันล้านดอลลาร์ และงบสันติภาพอีก 1.3 พันล้านดอลลาร์

    จีนขนานนามอเมริกาว่า “ลูกหนี้รายใหญ่สุด”

    (ถ้ารวมชาติอื่นด้วย ยูเอ็นต้องตามเก็บงบปกติ 1.62พันล้านดอลลาร์ และงบสันติภาพ 2.12 พันล้านดอลลาร์ --- นับถึงวันที่ 13 พ.ค. มีจ่ายมาแค่ 91 ประเทศจากสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ … ซึ่งก็น่าเห็นอกเห็นใจ เพราะเวลานี้ใครต่อใครก็ฝืดเคืองกันถ้วนหน้า เอ้อ แล้วไทยอยู่ใน 91 ประเทศนี้หรือไม่? สงสัยเหมือนกัน!)

    .

    ผู้แทนจากอเมริกาที่ปฏิบัติภารกิจ ณ ยูเอ็น สะทกสะท้อน รีบออกมาแย้ง ว่าจ่ายไปแล้ว 726 ล้านดอลลาร์ และที่เหลือก็จะจ่ายให้ครบในปีงบประมาณแหละน่า อย่ามาโอดโอย

    (ปีงบประมาณของอเมริกา จะไปจบสิ้น มิ.ย. ของปีถัดไป --- ไม่เหมือนปีปฏิทิน / ส่วนของไทยจะจบสิ้น ก.ย. ของปีถัดไป)

    .

    แถมงบปกติของยูเอ็น อเมริการับผิดชอบเยอะสุด ตั้ง 25% ส่วนจีนตามมาอันดับ 2 ที่ 12%

    เห็นชัดว่าต้อง ‘แบกภาระ’ เยอะกว่ากันเป็นไหนๆ … จริงมั้ย?

    ว่าแล้ว ได้ที ฉวยโอกาสโควิด-19 ‘ตัดช่องน้อยแต่พอตัว’ ซะเลยดีไหม … ก็ไม่จ่ายองค์การอนามัยโลกไปแล้วนี่ ไม่จ่ายยูเอ็นอีกจะทำไม?

    ซึ่งก็ควรต้องเข้าใจ เพราะตอนนี้ ทุกคนก็ต้อง ‘เอาตัวให้รอด’ ก่อน โดยเฉพาะชาติเล็กชาติน้อย … แล้วอเมริกาถือว่าชาติจิ๊บๆหรือ?

    https://www.bloomberg.com/news/arti...e-than-1-billion-owed-to-the-un?sref=mu7Gtsbe

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ชี้การบินโลกจะไม่ ‘โงหัว’ พ้นหายนะกลับมาดังเดิม อย่างน้อยจนกว่าจะถึงปี 2023!!! เฮ้ย อีกตั้ง 3 ปี

    และถ้าวัดกันนาทีนี้ การบินในยุโรปกับอเมริการ่วงไปแล้ว 90%

    ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

    เรามาลองวัดง่ายๆจากประเทศจีน ซึ่งถือว่าฟื้นจากวิกฤติโรคระบาดเกือบๆเต็มตัวแล้วละกัน

    .

    จากข้อมูลของกระทรวงคมนาคมจีนที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์ก ปรากฏว่าการใช้ระบบขนส่งมวลชนในการสัญจรทางบก ทั้งบนท้องถนน (รถเมล์) และบนราง (รถไฟ) รวมไปถึงรถใต้ดิน ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเท่าไหร่นักแม้หลังจากโรคระบาดชักมีทีท่าจะผ่านพ้น

    ก่อนเกิดโรค ยอดคนใช้รถเมล์ ราวๆ 70 ล้านคนต่อวัน กระทั่งปลาย ม.ค. ปีนี้ ทรุดมาแตะๆ 10 ล้านคนต่อวัน พอครั้นย่างเข้าปลายเดือน เม.ย. ซึ่งทั้งที่สถานการณ์ก็คลี่คลายเยอะแล้ว ยอดก็ยังไม่ถึง 20 ล้านคนต่อวันด้วยซ้ำ

    .

    ทว่าเมื่อดูยอดรถที่วิ่งบนทางหลวง จะเห็นว่าตั้งแต่กลาง มี. ค. เป็นต้นไป ไม่ใช่แค่ฟื้นกลับมาเท่าๆเดิม แต่พุ่งแซงยอดเก่าของปีก่อนด้วย!? ช่วงนี้ของปีก่อน มีวิ่งเฉียดๆ 30 ล้านคันต่อวัน แต่ปีนี้ปาเข้าไปเฉียดๆ 40 ล้านคันต่อวัน (ย้ำว่านับเฉพาะบนทางหลวง)

    เพราะอะไร? ไม่แปลก น่าจะเดากันได้ ก็คนหลีกเลี่ยงการเบียดเสียดแออัดยัดกันในรถสาธารณะ แล้วใช้รถส่วนตัวไปทำงานแทนยังไงกันล่ะ (ย้ำว่านี่คือจีน ถ้าฝรั่งก็อาจต่างไป ด้วยวัฒนธรรม ก็อาจให้ work-from-home ทำงานจากที่บ้านซะมากกว่าก็ได้)

    .

    ทีนี้ขยับมาเรื่องการบิน จาก ม.ค. ที่แล่นฉิวไปเหยียบๆ 16,000 ไฟลท์ต่อวัน (นับเฉพาะขาออก) แล้ววันนี้ล่ะ แช่ๆอยู่แถว 6,000 ไฟลท์ แทบไม่ขยับ

    บินต่างประเทศเกือบไม่มี นี่ก็ไม่แปลก เพราะจีนโรคหาย แต่ที่อื่นยัง ทว่าบินในประเทศก็ไม่ฟื้น ซึ่งก็ไม่มีอะไรชวนฉงน เพราะมันเปรียบกับรถไม่ได้!

    ถ้าท่านไม่ปรารถนาแลกลมหายใจกับคนแปลกหน้าบนรถเมล์หรือรถใต้ดิน ท่านยังสามารถขับรถส่วนตัวของท่านไปเอง ซื้ดซ้าดให้เต็มปอด ไม่ต้องแบ่งปันอากาศกับใคร

    แต่ถ้าจะบิน ท่านมีเครื่องบินส่วนตัวเหรอ?

    .

    แล้วทุกวันนี้ บินไปเที่ยวน่ะตัดทิ้งได้เลย ส่วนบินไปทำงาน ก็ต้องคิดใหม่ทำใหม่ ถ้าไม่จำเป็นจริง ใครเขาจะบิน สมัยนี้ไม่ใช่ประชุมออนไลน์ก็ได้แล้วเหรอ … เราไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันขนาดนั้น

    นี่หรือเปล่า อีกหนึ่ง “นิว นอร์มอล” ที่คนเขาพูดกัน --- ไอ้ที่เคย ‘ไม่ปกติ’ ในวันนั้น กำลังกลับกลายมาเป็น ‘ปกติ’ ใหม่ในวันนี้

    .

    แล้วลองจินตนาการภาพสนามบินสิ ประสบการณ์ใหม่เลยล่ะ!

    ขนาดทุกวันนี้ จะเดินเข้าตลาดนัดกลางซอยไปซื้อกะปิ ยังโดน “คนซ่อนหน้า” เอาดุ้นอุปกรณ์อะไรไม่รู้มาตี๊ดๆที่หัว (ตัวเราเป็นสินค้า แล้วหัวเรามีบาร์โค้ดหรือ?) คือกว่าจะ “ได้รับอนุญาต” ตีตราให้ผ่านเข้าตลาดนัดได้ยังมีพิธีกรรมวุ่นวายประมาณนี้ แล้วสนามบินล่ะ

    .

    CEO สนามบินดูไบ ถึงกับกระทบกระเทียบว่า “เดี๋ยวนี้มาสนามบิน คุณจะได้รับประสบการณ์สุดหฤหรรษ์โจนทะยาน อย่างกับเข้าห้องผ่าตัดเปิดหัวใจเลยล่ะ!”

    ก็ดูสิ เจ้าหน้าที่สนามบินใส่ชุดกาวน์ ใส่หน้ากาก ไม่ต่างจากหมอพยาบาลในวอร์ด แถมกว่าจะฝ่าด่านตรวจขั้นโน้นขั้นนี้แต่ละขั้น จี้ตี๊ดๆๆจนหัวระบม เจลล้างมือปรื๊ดๆๆลื่นจนมือแฉะ อะไรต่อมิอะไร ข้าวของสัมภาระต้องฆ่าเชื้ออีก นับไม่ถ้วน

    .

    CEO สนามบินฮีทโธรว์ ณ กรุงลอนดอน แขวะว่า “เอาแค่ลำเดียวก่อนนะ สมมติคนจะขึ้นจัมโบ้เจ็ทเต็มความจุ 400 แล้วถ้าให้ต้องโซเชียล ดิสแทนซิง เว้นระยะห่าง 2 เมตรระหว่างกัน คิวจะยาวเป็นกิโลเมตรเลยนะ จะล้นไปถึงลานจอดรถแล้ว”

    หรืออาจไม่ต้องจินตนาการเตรียมรับมืออะไรเทือกนั้น … เกรงว่าคนจะโหรงเหรงไป 3 ปีอย่างที่คาดการณ์น่ะสิ

    .

    ลองจินตนาการถึงฉากโรแมนติกในหนังรักดีกว่า … การบินจะมีคุณค่ามีความหมายมีพลังขึ้นมาในทันที

    “โรคน่ะ ผมก็กลัวนะ แต่กลัวจะไม่ได้ไปเห็นหน้าไม่ได้กุมมือคุณมากกว่า”

    จบดีกว่า

    https://www.cnbc.com/2020/05/14/cor...risis-levels-until-2023-iata-chief-warns.html

    https://www.bloomberg.com/news/arti...s-they-reopen?srnd=premium-asia&sref=mu7Gtsbe

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    TMB-Analytics-ภาคธุรกิจและการจ้างงานไทยจะฟื้นอย่างไร...หลังคลายล็อคดาวน์โควิด-19.jpg

    (May 16) TMB Analytics ประเมินการฟื้นธุรกิจ 3 กลุ่ม 3 แบบ หลังปลดล็อกโควิด-19 : วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินการฟื้นของธุรกิจหลังปลดล็อกโควิด-19 ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

    1) “ฟื้นแบบ V-Shape” เป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นและพึ่งพิงตลาดในประเทศ
    2) “ฟื้นแบบ U-Shape” เป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลดีจากการทยอยปลดล็อกดาวน์ตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ซึ่งธุรกิจที่ฟื้นตัวทั้งแบบ V และ U มีสัดส่วนจ้างงานกว่า 70% คิดเป็น 11 ล้านคน
    3) “ฟื้นแบบ L-Shape” เป็นกลุ่มที่แม้จะคลายล็อกดาวน์แล้วแต่ผลกระทบจากโควิด-19 ยังคงมีอยู่ และยังมีปัจจัยเสี่ยงจากโครงสร้างภายในธุรกิจ ชี้ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์รับกับการฟื้นตัวธุรกิจของตนเอง พร้อมแนะรัฐออกแบบมาตรการช่วยเหลือให้เหมาะตามลักษณะการฟื้นตัวของธุรกิจผู้ประกอบการและช่วยการจ้างงานให้กลับมา
    การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คน คนไม่ออกไปจับจ่ายใช้สอย ทำให้กลไกระบบเศรษฐกิจติดขัดหยุดชะงัก ส่งผลต่อรายได้ภาคธุรกิจและทำให้การจ้างงานกว่า 16 ล้านคนในภาคธุรกิจลดลง กระทบต่อกำลังซื้อของแรงงานเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดีสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในเมืองไทยดีขึ้นตามลำดับ ทั้งในแง่ของจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและจำนวนผู้ติดเชื้อที่รักษาหายสามารถกลับบ้านได้มากขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้ภาครัฐสามารถทยอยผ่อนคลายล็อกดาวน์ให้ภาคธุรกิจกลับมาดำเนินกิจการได้อีกครั้งในเวลาอันใกล้นี้ เช่นเดียวกับบางประเทศที่เข้าสู่การคลายล็อกดาวน์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจเช่นกัน

    ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินแนวโน้มลักษณะการฟื้นตัวของภาคธุรกิจภายหลังการทยอยผ่อนคลายล็อกดาวน์ โดยพิจารณาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่

    1) ความน่าจะเป็นในการทยอยปลดล็อกทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออกของแต่ละธุรกิจ รวมถึงความจำเป็นของลักษณะสินค้าต่อการดำรงชีวิตประจำวันของผู้บริโภค

    2) ปัจจัยเสี่ยงด้านโครงสร้างธุรกิจที่มีอยู่เดิมและมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบอย่างหนักแม้ปลดล็อกดาวน์ไปแล้ว เนื่องจากกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งจากวิเคราะห์ร่วมกัน 2 ปัจจัยดังกล่าว เราพบว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของแต่ละธุรกิจหลังปลดล็อกดาวน์ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มการฟื้นตัว ดังนี้

    1. กลุ่มธุรกิจฟื้นแบบ V-Shape (ภายใน 3 เดือน) ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค บรรจุภัณฑ์ โรงพยาบาล/ คลินิกและยารักษาโรค ฟาร์มไก่ ฟาร์มหมู อาหารสัตว์ ไอทีและสื่อสาร กลุ่มนี้จะเริ่มฟื้นตัวกลับมา จากลักษณะสินค้าที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันและส่วนใหญ่พึ่งพิงตลาดในประเทศ ซึ่งทำให้ธุรกิจเหล่านี้ยังคงการจ้างงานที่มีอยู่จำนวน 4.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 29.6% ของการจ้างงานรวมของภาคธุรกิจที่จดทะเบียนธุรกิจ ซึ่งกระจายตัวไปในธุรกิจผลิต-ขายปลีก ขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภคมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มธุรกิจสุขภาพและผลิตไฟฟ้า เป็นต้น

    2. กลุ่มธุรกิจฟื้นแบบ U-Shape (ในช่วง 3-6 เดือน) ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม เคมีภัณฑ์ พลังงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางบกและทางเรือ บริการธุรกิจ รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มนี้จะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปจากการคลายล็อกดาวน์ของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ต้องอาจใช้เวลาพอสมควรกว่าการคลายล็อกดาวน์จะครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ และช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้ทยอยจ้างงานเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนข้าง จากการจ้างงานปกติอยู่ที่ 6.4 ล้านคนหรือมีสัดส่วน 39.5% กระจายตัวไปในธุรกิจบริการทางธุรกิจ รับเหมาก่อสร้างและอาหารเครื่องดื่ม

    3. กลุ่มธุรกิจฟื้นแบบ L-Shape (มากกว่า 6 เดือน) ได้แก่ โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจการบิน ธุรกิจบันเทิงและการกีฬา ยานยนต์และชิ้นส่วน อสังหาริมทรัพย์ เฟอร์นิเจอร์ สินค้าแฟชัน เหล็ก ยางพารา คาดว่ากลุ่มนี้อาจจะฟื้นตัวไม่ทันปีนี้ แม้ว่าปลดล็อกดาวน์แล้วแต่ยังคงได้ผลกระทบจากโควิด จากมาตการรัฐและพฤติกรรมของผู้คนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและติดเชื้อ และที่สำคัญกลุ่มนี้ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านกำลังซื้อที่หดหายไป รวมถึงปัจจัยเสี่ยงภายในธุรกิจจากภัยธรรมชาติ การแข่งขันภายในธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี กฎระเบียบของภาครัฐ ฯลฯ คาดว่าในปี 2564 ธุรกิจเหล่านี้จะกลับจ้างงานได้ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 ที่จำนวน 5 ล้านคน หรือมีสัดส่วน 30.9% กระจายไปอยู่ในธุรกิจร้านโรงแรมร้านอาหาร อสังหาริมทรัพย์และกลุ่มยานยนต์

    ทั้งนี้ ระยะเวลาการฟื้นตัวแต่ละธุรกิจไม่เท่ากัน ดังนั้น ผู้ประกอบการมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมรับกับลักษณะการฟื้นตัวและกำหนดกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับธุรกิจ เช่น ถ้าธุรกิจฟื้นตัวแบบ V-Shape อาจจะพิจารณาให้ฝ่ายการตลาดเริ่มพูดคุยกับลูกค้าถึงสินค้าที่จะขายและเริ่มมองหาตลาดใหม่เพิ่มเติม และหากธุรกิจฟื้นตัวแบบ U-Shape อาจจะพิจารณาจัดการแผนการผลิตและการตลาดในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าว่าจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุดรวมถึงใช้ช่องทางการขายออนไลน์มากขึ้น และหากธุรกิจฟื้นตัวแบบ L-Shape จำเป็นต้องทำงานหนักมากขึ้นเพราะเป็นธุรกิจที่ตกที่นั่งลำบาก เพราะสิ่งที่เผชิญไม่ใช่แค่โรคระบาด COVID-19 แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างธุรกิจอุตสาหกรรมและปัญหากำลังซื้อต่อสินค้าลดลง

    ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการทำงานให้มีประสิทธิภาพพร้อมทั้งลดต้นทุนให้มากที่สุดเพื่อจะฟื้นกลับมาได้เร็วในปีหน้า สำหรับภาครัฐสามารถนำลักษณะการฟื้นตัวของ 3 กลุ่มธุรกิจข้างต้นไปกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างให้เหมาะสมตามการฟื้นตัวได้ด้วยเช่นกัน

    Source: ThaiPublica
    https://thaipublica.org/2020/05/tmb-analytics-recovery-shape-of-business-sector-and-employment/
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (May 16) ปลดล็อกเฟส2ต่อลมหายใจธุรกิจ ห้างตีปีก”ปลุกจับจ่าย”ทั่วประเทศ : ศบค.คลายล็อก ห้าง-ศูนย์การค้า-คอมมิวนิตี้มอลล์-โฮมโปร-ไทวัสดุ ปิดไม่เกิน 2 ทุ่ม เลื่อนเคอร์ฟิว 1 ชั่วโมง เริ่ม 17 พ.ค.นี้ งดเดินทางเข้าราชอาณาจักรบก-น้ำ-อากาศ ห้ามเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัด คลินิกความงาม-ฟิตเนสเปิดได้เฉพาะส่วน ปลุกจับจ่ายทุกระดับทั่วประเทศ

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) หรือ ศบค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. เป็นประธานการประชุม มีมติเห็นชอบผ่อนปรน
    กิจการ-กิจกรรมระยะที่ 2 รวมถึงการผ่อนคลายการประกาศห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) จากเดิมเวลา 22.00-04.00 น. เป็น 23.00-04.00 น. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. 63 นี้เป็นต้นไป ส่วนมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่ยังคงไว้ ได้แก่ การเดินทางเข้าราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และงดหรือชะลอการเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัด

    ปลดล็อกห้างสรรพสินค้า

    นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงว่า กิจการ-กิจกรรมที่จะผ่อนคลายในระยะที่ 2 หรือกลุ่มสีเขียว ได้แก่ กิจการหรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคไปในหลายพื้นที่และการแพร่เชื้อในสถานที่อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอยู่ในเกณฑ์สูง ดังนี้ กลุ่มที่ 1 กิจกรรมด้านเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต ประกอบด้วย กลุ่ม ก.การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในอาคารสำนักงาน โรงอาหาร หรือศูนย์อาหาร ภายในหน่วยงาน กลุ่ม ข.ห้างสรรพสินค้า

    ศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ เปิดเวลาใดก็ได้ แต่ต้องปิดบริการเวลา 20.00 น.

    ได้แก่

    1.สินค้าอุปโภค ร้านขายปลีกธุรกิจคอมพิวเตอร์ หนังสือ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนอน วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ วัสดุสำนักงาน เครื่องครัว อุปกรณ์จำเป็นภายในครัวเรือน ดอกไม้ ต้นไม้ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง อุปกรณ์กีฬา

    2.สินค้าโภคภัณฑ์ ทอง เครื่องประดับ จิวเวลรี่

    3.บริการอินเทอร์เน็ต ซักอบรีด ซ่อมแซมเครื่องใช้อุปกรณ์ ถ่ายเอกสาร ซ่อม-เปลี่ยน ประดับยนต์ ล้างรถยนต์

    4.ธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ

    5.บริษัทประกันภัย ประกันชีวิต

    6.คลินิกเวชกรรม สถานทันตกรรม

    7..ห้องรับรอง

    8.ร้านเสริมสวย แต่งผม หรือตัดผม สำหรับบุรุษหรือสตรี (เปิดเฉพาะสระ ตัด ซอยผม แต่งผม) ร้านทำเล็บ และ

    9.ร้านอาหาร ภัตตาคาร food court ศูนย์อาหาร ยกเว้นโรงภาพยนตร์ โบว์ลิ่ง สเกต คาราโอเกะ สวนสนุก สวนน้ำ สวนสัตว์ พื้นที่จัดกิจกรรม กิจกรรมส่งเสริมการขาย แข่งขันกีฬา ตู้เกม เครื่องเล่นหยอดเหรียญ สถานที่ออกกำลังกาย ฟิตเนส ศูนย์ประชุม ห้องประชุม ฮอลล์ สถานที่จัดนิทรรศการ โรงเรียน สถาบันกวดวิชา สนามพระเครื่อง พระบูชา ร้านนวดแผนไทย สปา

    และกลุ่ม ค.ร้านค้าปลีก ค้าส่งขนาดใหญ่ เช่น ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ ตลาดขนาดใหญ่ เช่น ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท ตลาดผลไม้

    นพ.ทวีศิลป์ระบุว่า ส่วนกลุ่มที่ 2 กลุ่ม กิจกรรมด้านการออกกำลังกาย หรือการดูแลสุขภาพ กลุ่ม ก.คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม เฉพาะเรือนร่าง ผิวพรรณ และเลเซอร์ ไม่รวมการเสริมความงามบริเวณใบหน้า ยกเว้น สถานเสริมความงาม ควบคุมน้ำหนัก สถานที่สักหรือเจาะผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย สถานประกอบกิจการอาบน้ำ อบไอน้ำ อบสมุนไพร กลุ่ม ข.สถานประกอบกิจการอาบ อบ นวด นวดเสริมความงาม นวดตัว อาบน้ำ อบตัว อบไอน้ำ ออนเซน อาบ อบ นวด ก็อยู่ในข่ายนี้ด้วย กลุ่ม ค.โรงยิม สถานที่ออกกำลังกายในร่ม สถานที่ออกกำลังกาย ฟิตเนส เฉพาะกีฬาตามกติกาสากล ไม่มีลักษณะการปะทะกัน อาจเล่นเป็นทีมไม่เกิน 3 คน ไม่มีผู้ชมได้แก่ แบดมินตัน เซปักตะกร้อ เทเบิลเทนนิส โยคะ สควอช ฟันดาบ ยิมนาสติก ปีนผา

    โดยสถานออกกำลังกาย (ฟิตเนส) เปิดเฉพาะส่วนฟรีเวต (ไม่ออกกำลังกายแบบรวมกลุ่ม ห้ามใช้เครื่องลู่วิ่ง จักรยานปั่น เครื่อง Elliptical หรือเครื่องออกกำลังกายอื่น ๆ) ยกเว้น สนามมวย โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ (ยิม) กลุ่ม ง.สระว่ายน้ำสาธารณะ (กลางแจ้ง และในร่ม) จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการตามจำนวนเลนของการว่าย โดยอาจมีอุปกรณ์ขึงกันเลนการว่าย (ความกว้างของเลนไม่น้อยกว่า 7 ฟุต) และจำกัดเวลาใช้บริการไม่เกิน 1 ชั่วโมง

    ยกเว้น สวนน้ำ สวนน้ำบึงธรรมชาติ กีฬาทางน้ำ เช่น เซิร์ฟบอร์ด เจ็ตสกี บานาน่าโบ๊ต และเครื่องเล่นกีฬาทางน้ำอื่น

    ศูนย์ประชุมจำกัดคนเข้าร่วม

    กลุ่มที่ 3 กลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ก.ห้องประชุม โรงแรม ศูนย์ประชุม เปิดเฉพาะให้บริการจัดประชุมขององค์กร หรือหน่วยงาน ลักษณะนั่งประชุมแบบจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม ยกเว้น การจัดอบรม สัมมนา จัดแสดงสินค้า นิทรรศการ จัดงานเลี้ยง อีเวนต์ในโรงแรม ศูนย์ประชุม ศูนย์แสดงสินค้า สถานที่จัดนิทรรศการ

    ข.ห้องสมุดสาธารณะ แกลเลอรี่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ ได้แก่ ทางศิลปะ ศิลปะร่วมสมัย ประวัติศาสตร์และโบราณคดี ธรรมชาติวิทยา มานุษยวิทยาและชาติพันธุ์วิทยา วิทยาศาสตร์เครื่องจักรกล การแพทย์และสาธารณสุข พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันศึกษา

    และ ค.กิจการถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ส่วนหน้าฉาก รวมกลุ่มได้ไม่เกิน 10 คน ส่วนแผนกงานอื่นรวมกลุ่มไม่เกิน 5 คน ประกอบด้วย แผนกกล้อง ช่างภาพ ช่างไฟ แผนกเสียง แผนกอุปกรณ์เคลื่อนกล้อง แผนกและศิลปกรรม อุปกรณ์ประกอบฉาก แผนกเสื้อผ้า/แต่งหน้า ทำผม ผู้กำกับและนักแสดง แผนกจัดการกองถ่าย/แผนกการจัดการสถานที่/แผนกสวัสดิการกองถ่ายให้แยกจากส่วนงานถ่ายทำ และแยกอาหารและเครื่องดื่ม รับประทานรายบุคคล ทั้งนี้ รวมทีมงานหน้าฉากและทุกแผนกไม่เกิน 50 คน

    ศึกษายกเลิก-ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

    นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้มอบคณะกรรมการเฉพาะกิจฝ่ายกฎหมาย ที่มีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน ศึกษาความจำเป็นในการประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 พ.ค. 63 เปรียบเทียบกับการใช้กฎหมายปกติเพื่อควบคุมการระบาด เพื่อเป็นข้อพิจารณาให้กับ ศบค. ในการพิจารณาขยายเวลาหรือยกเลิกต่อไป

    นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ ศบค.ได้สั่งการให้คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ได้แต่งตั้งขึ้นโดยหัวหน้าสำนักประสานงานกลางเป็นประธาน ประเมินสถานการณ์เป็นระยะ หลังมีมาตรการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรม เพื่อประกอบการเสนอมาตรการผ่อนคลายในระยะต่อไป โดยใช้ข้อมูลผลการปฏิบัติตามมาตรการในข้อกำหนด ฉบับที่ 3 และฉบับที่ 5 มาพิจารณาประกอบกับผลการตรวจประเมินกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายตามข้อกำหนด ฉบับที่ 6 เพื่อจัดทำแนวทางการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรม และร่างข้อกำหนดเพิ่ม โดยคำนึงถึงสาธารณสุขเป็นหลัก

    รวมสั่งการให้นำแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่น “ไทยชนะ” ที่ ศบค.พัฒนามาใช้สนับสนุนให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคที่ได้กำหนด โดยให้ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ โดยเน้นย้ำให้ประชาชนเห็นถึงความจำเป็นที่รัฐต้องนำเทคโนโลยีใช้เป็นเครื่องมือเพื่อปกป้องชีวิต และให้ความปลอดภัยกับประชาชน ดังที่หลายประเทศได้ดำเนินการแล้ว

    17 พ.ค.สตาร์ตระยะ 2

    เมื่อถามว่า ส่วนระยะเวลาผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 2 เริ่มเมื่อใด นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า 17 พ.ค. แต่จะเห็นความชัดเจนภายหลังประกาศราชกิจจานุเบกษา ส่วนการเปิดห้างสรรพสินค้าจะต้องมีการใช้แอปพลิเคชั่นเช็กอิน-เช็กเอาต์ เพื่อให้ทราบประมาณความหนาแน่นของผู้ใช้บริการ และให้ได้รับทราบว่ามีบุคคลใดเข้าไปใช้บริการบ้าง ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมใช้งานแล้ว รวมถึงร้านค้าต่าง ๆ สามารถใช้ได้ โดยให้ผู้รับบริการดูความหนาแน่นของร้านค้าได้ ทั้งนี้ ทางร้านจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชั่นดังกล่าว จะเป็นแพลตฟอร์มให้ประชาชนใช้คิวอาร์โค้ดไปเช็กอิน

    “เรื่องกำหนดจำนวนคนใช้บริการนั้น ทางห้างสรรพสินค้าจะต้องคำนวณเอง โดย ศบค.กำหนดมาตรการหลักเพียงว่า จะต้องสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง มีจุดทำความสะอาด ลดความหนาแน่น ทำความสะอาดบ่อย ๆ ผู้ทำกิจการต้องปฏิบัติให้ได้ โดยทางศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) จะเข้าไปตรวจ แต่ช่วงแรกจะมีความขลุกขลักหน่อย 17 พ.ค.จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด ขอความร่วมมือสื่อมวลชนให้ช่วยไปตรวจสอบว่า สิ่งที่เราคิดพยายามวางแผนกันมาเป็นเดือน บางกลุ่มนานกว่านั้น ว่าเป็นอย่างที่คิดหรือไม่” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

    ปลดล็อกเฟส 2 ปลุกจับจ่าย

    นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การคลายล็อกกิจการเฟส 2 ทำให้ภาคเอกชน กิจการ ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมได้ตามปกติ นับเป็นสัญญาณที่ดี ที่ประเมินว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะเริ่มคลี่คลายในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าอีกไม่นานเมื่อการผลิตกลับมา มีการจับจ่ายใช้สอย จะทำให้เศรษฐกิจค่อย ๆ ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม การคลายล็อกทั้งหมดในกิจการที่เหลือ จะมีคณะของนายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นผู้วิเคราะห์ข้อมูลอยู่ เพื่อเสนอชี้แนะต่อทางภาครัฐ แนวโน้มเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น

    ด้านแหล่งข่าวระดับสูงจากวงการค้าปลีกรายใหญ่แสดงความเห็นในเรื่องมาตรการผ่อนปรน เฟส 2 ซึ่งศูนย์การค้า-ห้างสรรพสินค้าจะสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง จะช่วยให้เกิดการจับจ่ายและการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการก็ได้มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของความสะอาดตามที่ทางการกำหนด อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกนี้เชื่อว่าจำนวนผู้ใช้บริการจะยังไม่กลับมาเป็นปกติในเร็ววัน จำนวนลูกค้าอาจจะหายไป 1 ใน 3 จากมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม ที่ทำให้ต้องจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ ประกอบกับลูกค้าจำนวนหนึ่งอาจจะยังมีความกังวลอยู่บ้าง และเชื่อว่าการกลับมาเปิด แม้จะทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ร้านค้าต่าง ๆ จะมีแคชโฟลว์เข้ามาช่วยหมุนในการทำธุรกิจ

    ขณะที่นางสาวมนต์นภา ฉายาวิจิตรศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวติเพล็กซ์ จำกัด ผู้บริหารคลินิกความงาม “เมโกะ คลินิก” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้ภาครัฐจะประกาศผ่อนปรนให้เปิดกิจการและกิจกรรมต่าง ๆ ในระยะที่ 2 ที่ครอบคลุมถึงห้างสรรพสินค้า คลินิกเสริมความงาม ฯลฯ แต่เนื่องจากในส่วนของคลินิกความงามที่ยังมีข้อจำกัดให้งดทำหัตถกรรมบริเวณใบหน้า เพื่อป้องการการแพร่ระบาด เนื่องจากบริเวณใบหน้าถือเป็นบริเวณที่มีความเสี่ยง สำหรับเมโกะเองซึ่งมีสาขา 6 แห่ง และส่วนใหญ่เปิดในห้าง ได้ส่งเรื่องแจ้งไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อขอลดค่าเช่า เนื่องจาก 95% ของรายได้มาจากการให้บริการหัตถกรรมบริเวณใบหน้า ดังนั้น หากเปิดร้านแล้วไม่สามารถให้บริการดังกล่าวได้ บริษัทก็จะต้องมีภาระเรื่องต้นทุน ค่าเช่า และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียด ถ้าห้างมีมาตรการช่วยเหลือก็อาจจะกลับมาเปิดอีกครั้ง แต่หากเจ้าของพื้นที่ไม่สามารถช่วยได้ก็อาจต้องชะลอการเปิด

    แหล่งข่าววงการฟิตเนสเปิดเผยว่า ขณะนี้แม้จะฟิตเนตจะเปิดให้บริการได้เฉพาะส่วน ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ทั้งหมด แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการเกือบทุกรายต่างก็หันมาใช้รูปแบบการไลฟ์สดคลาสออกกำลังผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก แอปพลิเคชั่น เว็บไซต์ รวมถึงบางรายที่มีการให้เช่าอุปกรณ์ เช่น จักรยานออกกำลัง เพื่อให้บริการสมาชิก-ผู้บริโภคทั่วไป และสร้างรายได้เสริม

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทุกรายทำในขณะนี้ก็คือ การสร้างมาตรฐานในเรื่องของความสะอาด การรักษาความสะอาด รวมถึงการวางระบบสำหรับจองคลาสออกกำลังล่วงหน้า ซึ่งที่ผ่านมาฟิตเนสทุกค่ายต่างก็ใช้โอกาสที่ปิดการให้บริการชั่วคราวในการทำบิ๊กคลีนนิ่งและรีโนเวตสาขาไปแล้ว

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

    https://www.prachachat.net/general/news-465061

    เพิ่มเติม

    -เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา
    FB_IMG_1589636931265.jpg FB_IMG_1589636934020.jpg FB_IMG_1589636938120.jpg FB_IMG_1589636940777.jpg FB_IMG_1589636943348.jpg
    http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/114/T_0039.PDF
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200516_205451.jpg

    (May 16) หุ้นกู้บินไทย' กระทบสหกรณ์น้อย: "กสิกร" เผยตลาดหุ้นกู้เริ่มฟื้น หลังมีกองทุน BSF พยุง แต่เป็นห่วงกลุ่ม "ท่องเที่ยว-สายการบิน" มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้มากสุด หากฐานะอ่อนแอ เชื่อสหกรณ์ที่ลงทุนในหุ้นกู้การบินไทย ได้รับผลกระทบน้อย เหตุลงทุนไม่เกิน 5% "ศูนย์วิจัยกสิกร" ชี้เศรษฐกิจปีนี้ส่อ

    นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยในงานสัมนาออนไลน์ หัวข้อ "หุ้นกู้ไทยไปต่อได้หรือไม่ ในสถานการณ์ COVID-19"

    จัดโดย KBank Private Bankingว่า ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ หรือตลาดหุ้นกู้ในปัจจุบัน เริ่มเห็นการฟื้นตัวระดับหนึ่งแล้ว หลังมีมาตรการภาครัฐ และการตัดจั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (BSF) เข้ามาดูแล มองว่าโอกาสที่จะเห็นการเทขายหุ้นกู้แรงๆ จนทำให้ราคาปรับลดลงมีน้อย หากเครดิตไม่ได้แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ

    อย่างไรก็ตาม มองว่าเซกเตอร์ที่มีโอกาสเห็นการผิดนัดชำระหนี้ หรือ default มากที่สุด คือ หุ้นกู้ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โลจิสติกส์ สายการบินต่างๆ หากฐานะการเงินไม่แข็งแรง มีหนี้สินต่อทุนเกิน 2 เท่า อาจมีความเสี่ยงได้

    "ตลาดหุ้นกู้ยังมีทิศทางที่ดี และยังไม่เห็น default เพราะส่วนใหญ่เลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับที่ลงทุนได้ ส่วนการลงทุนของสหกรณ์ในบริษัทการบินไทย เชื่อว่าไม่น่าห่วง เนื่องจากสหกรณ์แต่ละแห่งลงทุนน้อยไม่เกิน 5% ของสินทรัพย์ ดังนั้นผลกระทบไม่น่าจะแรง"

    อย่างไรก็ตาม มองว่าการออกมาระดมทุนของภาครัฐ ผ่านตั๋วสัญญาใช้เงินและพันธบัตรออมทรัพย์ ไม่ส่งผลกระทบตรงต่อตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากเป็นการกู้ตรงจากธนาคารพาณิชย์และเน้นบุคคลธรรมดาเป็นหลัก อีกทั้งนักลงทุนในตลาดมีการปรับโยกจากสินทรัพย์เสี่ยงมาลงทุนในพันธบัตรเพิ่มมากขึ้น แต่จะส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ หากภาครัฐฯระดมทุนผ่านพันธบัตรประเภทที่ขายนักลงทุนสถาบันเช่น Loan Bond เป็นต้น ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นกู้ที่ฟื้นตัวขึ้น ทำให้การลงทุนในหุ้นกู้อายุไม่เกิน 3 ปี น่าสนใจมากขึ้น แต่ควรเน้นลงทุนในหุ้นกู้ระดับ A+ ขึ้นไป

    ด้านนางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีโอกาสติดลบได้ระดับ 5-6% ขึ้นอยู่กับการควบคุมโรคระบาด ซึ่งเป็นไปได้ทั้งสองกรณี คือ กรณีฐาน (Base case) สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ภายในครึ่งปีแรก และไม่เกิดการระบาดใหม่รอบ 2 กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาในรูปแบบ New Normal แต่หากกรณีเกิดการระบาดใหม่รอบ 2 รัฐบาลต้องออกมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด จะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจอีกระลอก

    ขณะเดียวกัน จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ย ในสัปดาห์หน้านี้ลง 0.25% หากไม่ลดลง อาจเห็นการปรับลดลงในเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 0.50% เพื่อลดภาระต้นทุนของประชาชนและภาคธุรกิจ พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อว่าโอกาสที่จะเห็นกนง.ใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบติดลบมีน้อย เนื่องจากอีกด้านกนง.ก็ต้องคำนึงถึงผู้ฝากเงิน ที่อาจโยกไปสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ดังนั้นเชื่อว่าในภาวะนี้ น่าจะยังไม่เห็นการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ ขณะเดียวกันมองว่า จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและผลกระทบโควิด-19 อาจเห็นอัตราการว่างงานถึงระดับ 5-7 ล้านคนได้ในระยะข้างหน้า

    ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาท จะอ่อนค่าสุดในไตรมาส 2 ปีนี้ ที่ระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะสิ้นปีจะเห็นการแข็งค่าขึ้น และเห็นค่าเงินกลับไปปิดที่ระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ได้

    Source: BoTSS
    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/880797
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200516_205759.jpg

    (May 16) คุยเจ้าหนี้ไม่ลงตัว ที่นี่มีทางออก : บอกไว้ก่อนเลย "ที่นี่" ในความหมายของชื่อเรื่อง

    คือ "ทางด่วนแก้หนี้" หรือ www.1213.or.th นะจ๊ะ

    ไม่ต้องติดต่อมาหาเรา (Lumpsum) ^^
    ส่วน "ทางด่วนแก้หนี้" เป็นใคร
    ไปอ่านกัน................

    คือตั้งแต่มีโควิด-19 ท่านทั้งหลายเคยเจอปัญหาเหล่านี้บ้างไหม ?

    "โทรหาแบงก์หรือบริษัทสินเชื่อเพื่อขอความช่วยเหลือไม่เคยติด"

    "โทรติด แต่รอสายทั้งวัน ไม่เคยได้คุยกับมนุษย์"

    "โทรติด แต่เจ้าหน้าที่งงใส่ คุยไม่รู้เรื่อง"

    "ส่งอีเมลล์ไปก็ไร้การตอบกลับ"

    "จะไปสาขาก็ดันปิดเพราะอยู่ในช่วง Lock Down"

    หรือ...ติดต่อได้แล้ว ส่งเรื่องแล้ว

    "แต่ไม่ผ่านการอนุมัติ"

    หรือ...อนุมัติแล้ว

    "แต่ไม่ตรงกับศักยภาพที่ทำได้"

    เซ็งเนอะ...ประสาทจะรับประทานอยู่ละ

    อีโควิด-กวนทีน เอ้ย ไนน์ทีน (19)

    ทำให้งานหาย รายได้หด

    ไม่มีเงินจะจ่ายหนี้แล้ว.........


    แต่เดี๋ยวก่อน !!! อย่าเพิ่งหมดหวัง

    ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีทางออกมาให้แล้ว

    นั่นคือ "ทางด่วนแก้หนี้"

    (ขอชื่นชมหน่วยงานนี้จากใจเลยครับ...

    เพราะตั้งแต่โรคระบาดบ้านี่ออกอาละวาด

    ธปท.ตระหนักถึงความเดือดร้อนประชาชนได้ไว

    และออกมาตรการช่วยเหลือมาไม่ขาดสาย)


    "ทางด่วนแก้หนี้" คืออะไร ?

    ตอบ : เป็นตัวกลาง

    กลางอะไรยังไง ?

    ตอบ : ตัวกลางเคลียร์ปัญหาเจ้าหนี้กับลูกหนี้

    เรื่องอะไร ?

    ตอบ : ก็เรื่องหนี้ไง

    หนี้อะไรบ้าง ?

    ตอบ : ทุกหนี้ (ในระบบ)

    ช่วยยังไง ?

    ตอบ : ก็อยากให้ช่วยอะไรก็บอกเข้าเส่

    ช่วยใครบ้าง ?

    ตอบ : ทุกคนตั้งแต่คนธรรมดายันนิติบุคลคล

    ช่วยได้จริงไหม ?

    ตอบ : จริงมั้ง จริงแหล่ะ เขาว่ามางั้น


    เรื่องของเรื่องคือตั้งแต่มีโควิด-19

    ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

    มีปัญหาเรื่องการเงิน เรื่องสภาพคล่อง

    แม้จะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้

    แต่ปัญหาคือติดต่อเจ้าหนี้ไม่ได้

    สายไม่ว่าง พนักงานไม่พอ บลา ๆ

    หรือติดต่อได้ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือ

    ไม่อนุมัติ, ไม่ได้ตามที่ต้องการ บลา ๆ

    แล้วคนก็ร้องเรียนไปที่แบงก์ชาติจำนวนมาก

    จึงสร้างแพลตฟอร์ม "ทางด่วนแก้หนี้" ขึ้นมา


    ติดต่อขอความช่วยเหลือยังไง ?

    เข้าไปที่เว็บไซต์ : www.1213.or.th ได้ตลอด 24 ชม.

    มองหาคำว่า "ทางด่วนแก้หนี้" คลิกโลด...

    เสร็จแล้วจะให้อ่านเงื่อนไข ก็อ่านซะ แล้วกด "ตกลง"

    จากนั้นก็กรอกข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้ลงไป

    1 การกรอกต่อ 1 หนี้ ถ้ามี 10 หนี้ ก็กรอก 10 ครั้ง

    เขาไม่ให้รวมก้อนเดียว เพื่อให้ง่ายต่อการประสานงาน

    ไม่งั้นต้องมานั่งแยกให้อีก วุ่นวาย และ ช้า !

    เพื่อจะได้ไปเคลียร์กับเจ้าหนี้ต้นทางได้รวดเร็ว


    "ทางด่วนแก้หนี้" เขาช่วยลูกหนี้ทุกประเภทเลยนะ

    ตั้งแต่รังสิตไปจนติดบางปะอิน (ไม่ใช่ละ...)

    ก็หนี้ทุกรูปแบบแหล่ะ ตั้งแต่ สินเชื่อบัตรเครดิต

    สินเชื่อบัตรกดเงินสด

    สินเชื่อส่วนบุคคล

    สินเชื่อจำนำทะเบียน

    สินเชื่อบ้าน

    สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ / มอไซด์

    สินเชื่อ SME

    และสินเชื่ออื่น ๆ (ระบุไปได้เลย)



    ช่วยอะไรได้บ้าง ?

    ก็ตั้งแต่รังสิตไปจนติดบางปะอิน (ยัง ยังไม่หยุดตลก...)

    ก็เพียบเลย เช่น ยืดระยะเวลาชำระหนี้

    พักชำระเงินต้น

    พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย

    ขอลดดอกเบี้ย

    ของดเบี้ยปรับ

    ต้องการเงินหมุนเวียนเพิ่ม

    ต้องการรีไฟแนนซ์

    และอื่น ๆ (กรอกไปเลย)



    เขาจะช่วยยังไง ?

    หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จ

    แบงก์ชาติจะเป็นคนรับเรื่องที่เรากรอก

    ไปติดต่อเจ้าหนี้ให้

    เหมือนรับเป็นเจ้าภาพในการคุยขั้นแรกให้

    วิธีการนี้จะมีประสิทธิภาพกว่าเราติดต่อเอง

    เพราะเวลาเป็นเรื่องที่มาจากแบงก์ชาติ

    เจ้าหนี้จะให้ความสำคัญสูงงงงงงงงงง

    ประมาณว่าเรามีปัญหากับลูกน้อง

    แต่เราไปฟ้องให้ลูกพี่ใหญ่เคลียร์ให้

    หลังจากนั้นจะติดต่อเรากลับมา

    เพื่อนัดเจรจาพร้อมกัน

    ก็เหมือนนัดเคลียร์แหล่ะ

    แหวกอกคุยกันเลย

    ลูกหนี้อยากได้อะไร

    ทำไมเจ้าหนี้ให้ไม่ได้

    หรือไม่ทำให้สักที

    แล้วจะหาจุดร่วมตรงกลางที่ลงตัว



    ผมคุยกับคนที่ดูแลหน่วยงานนี้

    เขาบอกว่า "จริงกับเรื่องนี้มาก

    เพราะเข้าใจปัญหาของลูกหนี้

    ยิ่งในภาวะแบบนี้

    อยากให้ทุกคนได้รับความช่วยเหลือ

    ทางด่วนแก้หนี้จะทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น

    เพราะทางแบงก์ชาติจะช่วยดำเนินการให้

    ไม่ต้องไปนั่งกระหนำโทรหาเจ้าหนี้"



    เขาบอกอีกว่า...

    ตั้งแต่เปิดโครงการนี้ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา

    มีผู้ขอความช่วยเหลือผ่าน www.1213.or.th

    รวม 3,571 ราย ช่วยเหลือสำเร็จ 2,118 ราย

    คิดเป็นถึงกว่า 60% !!!

    ที่เหลือไม่ใช่ว่าไม่สำเร็จนะ

    แต่อยู่ระหว่างดำเนินการ



    กรอกเสร็จแล้วอีกนานไหมจะติดต่อมา ?

    ประมาณ 7-10 วัน เพราะหลังจากรับเรื่อง

    จะส่งข้อมูลสอบถามไปที่แบงก์เลย

    โดยได้สั่งให้เจ้าหนี้ทุกรายต้องรายงาน

    ความคืบหน้าการพิจารณาทุกวันที่ 10, 20 และสิ้นเดือน

    ได้ไม่ได้ยังไงต้องรายงาน พร้อมเหตุผลโดยละเอียด

    หากไม่ได้จะทางแบงก์ชาติเขาจะไปเจรจาให้อีก

    ว่ามีทางไหนช่วยได้บ้าง ซึ่งจะผลักดันให้ผ่านทุก ๆ กรณี



    คุยเสร็จแล้วเคลิ้ม น้ำตาจะไหล

    ช่างห่วงใยประชาชนเหลือเกิน



    เออนอกจากช่องทางเว็บไซต์

    ยังมีคอลเซ็นเตอร์อีกนะ

    ก็เบอร์ 1213 แหล่ะ

    แต่ต้องโทรเวลาราชการเด้อ

    (8.30 - 12.00 และ 13.00-16.30 น.)

    เขาเพิ่มคู่สายมาอีกเท่าตัว

    จากเดิมรับได้ราว 200 คนต่อวัน

    แต่ช่องทางเว็บไซต์จะสะดวกสุด

    กรอกมา - รอ - เดี๋ยวเค้าติดต่อกลับมาเอง



    อะ ร่ายมายาวเฟื้อยเลย....

    ไป ๆ ลูกหนี้ทั้งหลาย

    เรามีคนมาช่วยแล้ว

    ติดต่อไปโลด.............

    โดย ผู้เขียน : หนึ่ง ศราพงค์
    Source: https://www.lumpsum.in.th/knowledge/read/Debt-hotline
    https://www.lumpsum.in.th/knowledge/read/Debt-hotline
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200516_210115.jpg

    (May 16) Gen Z ซมพิษ “โควิด-19” เศรษฐกิจพัง-งานหด: ผู้สูงอายุแม้จะเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดในแง่ของสุขภาพ จากการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” แต่ในแง่ของเศรษฐกิจ สถานการณ์โรคระบาดกำลังสร้างความยากลำบากในระยะยาวให้กับกลุ่มคนวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังจบการศึกษาและเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งจะต้องเผชิญกับโอกาสในการทำงานที่ลดลง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและไม่มีความแน่นอน

    ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า กลุ่มคนที่เกิดหลังปี 1997 เป็นต้นไป หรือคน “เจเนอเรชั่นซี” (Gen Z) ซึ่งขณะนี้อยู่ในวัยที่ใกล้จะจบการศึกษา หรือเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน กำลังเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหนักที่สุดจากภาวะโรคระบาดในปัจจุบัน

    สาเหตุจากที่ภาคธุรกิจทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถ้วนหน้า ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปรับลดจำนวนพนักงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายและรักษากระแสเงินสด หรือถึงขั้นต้องปิดกิจการไปเนื่องจากไม่สามารถรับมือกับผลกระทบได้ สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบในระยะยาวต่อโอกาสในการได้งานที่มีความเหมาะสมและความสามารถในการต่อรองอัตราค่าจ้างของคนเจนซีที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและยังไม่มีประสบการณ์ทำงาน

    โดยเฉพาะในภาคธุรกิจการบริการอย่างธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการบิน การท่องเที่ยว และค้าปลีก ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมาตรการควบคุมโรคที่หลายประเทศบังคับใช้อยู่ในเวลานี้ ทั้งการล็อกดาวน์และการปิดกั้นการเดินทาง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก ส่งผลให้คนเจนซีที่ศึกษามาในด้านเหล่านั้นโดยตรง มีโอกาสในการได้งานทำ รวมถึงการฝึกงานลดลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

    รายงานของศูนย์วิจัยพิวของสหรัฐอเมริกา และมูลนิธิรีโซลูชั่นในสหราชอาณาจักรระบุว่า กลุ่มคนเจนซีในหลายประเทศกำลังมีสัดส่วนการว่างงานเพิ่มขึ้นไปพร้อมกับอัตราว่างงานที่สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในกรณีของสหราชอาณาจักรคาดว่าอัตราว่างงานของผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปี จะเพิ่มขึ้นอีก 640,000 คน หรือคิดเป็น 27% ของจำนวนผู้ว่างงานทั้งหมดในปีนี้ จากปี 2019 มีสัดส่วนที่ 10.5%

    “ลักษณะเฉพาะของวิกฤตการณ์ในปัจจุบันกำลังส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน เนื่องจากมีจำนวนผู้สำเร็จการศึกษามากเกินไป” รายงานระบุ

    นอกจากนี้ กลุ่มคนเจนซีที่เริ่มทำงานแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะได้ถูกเลิกจ้างมากกว่าแรงงานในช่วงอายุอื่น เนื่องจากประสบการณ์ทำงานที่ยังไม่มากนัก ทำให้คนกลุ่มนี้เป็นเป้าหมายแรก ๆ ของบริษัทกำลังตัดสินใจจะปรับลดพนักงาน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม และศูนย์เลี้ยงเด็ก

    “ริชาร์ด ฟราย” นักวิจัยอาวุโสของศูนย์วิจัยพิวระบุว่า “การปรับลดพนักงานในขณะนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกลุ่มอุตสาหกรรมบางประเภท ซึ่งมีสัดส่วนแรงงานอายุระหว่าง 16-24 ปีจำนวนมาก ส่งผลให้คนเจนซีเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ที่จะถูกเลิกจ้างและได้รับผลกระทบอย่างหนัก”

    ข้อมูลของสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐระบุว่า เดือนเมษายน 2020 มีจำนวนแรงงานสหรัฐที่ถูกเลิกจ้างมากถึง 20.5 ล้านคน หรือ 14.7% ของแรงงานทั้งหมด โดยกลุ่มคนอายุระหว่าง 16-19 ปี มีสัดส่วนสูงที่สุดถึง 31.9% ขณะที่การสำรวจของศูนย์วิจัยพิวชี้ว่า กลุ่มแรงงานที่มีอายุน้อยกว่า 24 ปี มีความเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้าง ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์โรคระบาดมากที่สุด

    อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่แน่นอนว่าสภาวะเช่นนี้จะส่งผลกระทบในระยะยาวเพียงใด ผลวิจัยของมูลนิธิรีโซลูชั่นชี้ว่า ผู้ที่จบการศึกษาในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลายครั้งในอดีต ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหางานทำและภาวะรายได้ต่ำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี

    แต่ ริชาร์ด ฟราย กลับมองในแง่ดีว่า กลุ่มคนเจนซีจะสามารถปรับตัวรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าคนรุ่นก่อน เนื่องจากภาวะโรคระบาดครั้งนี้ยังจะใช้เวลาอีกยาวนานในการฟื้นตัว ส่งผลให้เจนซีมีเวลาในการปรับตัว ประกอบกับปัจจุบันมีช่องทางที่หลากหลายซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการหารายได้ให้กับคนเจนซีมากกว่าคนรุ่นก่อนหน้านี้

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    https://www.prachachat.net/world-news/news-465182

    Why Gen Z will be hit the hardest by the financial fallout from coronavirus
    - https://www.cnn.com/2020/05/13/business/coronavirus-generation-z-jobs-intl-gbr/index.html
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ช่วงนี้สนใจข่าวเศรษฐกิจมาก เพราะPlanet-7X ถูกมองเห็นพร้อมกับตราประทับ - # 3 (เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก) & ตราประทับ - # 4 (ภัยพิบัติ & สงครามกับ 1/4 ของโลกจะตาย) อยากรู้ครับจะเกิดขึ้นจริงไหม

    แบ่งปันจาก Gill Broussard

    YHVH Sukkot ได้รับการแต่งตั้งเวลา (งานเลี้ยง) ก่อนถึงฤดูไข้หวัดใหญ่ สองสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนจะเป็นเมื่อเราเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มถ้า Planet-7X ถูกมองเห็นพร้อมกับตราประทับ - # 3 (เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก) & ตราประทับ - # 4 (ภัยพิบัติ & สงครามกับ 1/4 ของโลกจะตาย) - - - หมายเหตุ: โปรดทราบว่าชาวฮีบรูไม่ได้มี 4 ฤดูมีเพียงหลักฐาน 2 ฤดูกาล (ร้อนและเย็น) ในพระคัมภีร์ เมื่อหนังสือวิวรณ์พูดถึง "อธิษฐานว่าเที่ยวบินของคุณจะไม่เกิดขึ้นในฤดูหนาวหรือวันสะบาโต (วันสำคัญทางศาสนา)" แมตต์ 24:20, ชาวบาบิโลน, ชาวกรีกและชาวโรมันมี 4 ฤดู, ชาวฮีบรูมี 2 ฤดูกาล นี่เป็นการบอกให้คุณไม่ต้องเดินทางในช่วงครึ่งหลัง (6 เดือน) ของปีฮีบรู ปีฮีบรูเริ่มในเดือนมีนาคม / เมษายน

    YHVH Sukkot appointed time (feast) lands just before the flu season starts. The last two weeks of September would be when we travel to Jerusalem if Planet-7X is sighted along with Seal-#3 (Global economic crash) & Seal-#4 (Plagues & War with 1/4 world dying). - - - Note: Keep in mind that the Hebrews did not have 4-seasons, there only evidence for 2-seasons (hot & cold) in Scripture. When the book of Revelation speaks of "Pray that your flight will not take place in winter or on the Sabbath (Holy days)." Matt 24:20, The Babylonians, Greeks & Romans have 4-seasons, Hebrew has 2-seasons. This is actually telling you not to travel in the last half (6-months) of a Hebrew year. A Hebrew year starts in March/April.



     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีโดรส อัดฮานอม กีเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาเปิดเผยว่า กลุ่มอาการอักเสบของอวัยวะหลายระบบในเด็ก (multisystem inflammatory syndrome) อาจเกี่ยวพันกับโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
    .
    ซึ่งจากรายงานของยุโรป และอเมริกาเหนือตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุถึงกรณีที่เด็กจำนวนหนึ่งต้องเข้าแผนกผู้ป่วยหนัก (ICU) ด้วยกลุ่มอาการข้างต้น ซึ่งมีลักษณะบางอย่างคล้ายกับโรคคาวาซากิ (Kawasaki) และอาการท็อกซิกช็อก (TSS)
    .
    กีบรีเยซุส ยังระบุอีกว่า เราจำเป็นต้องเร่งหาคำอธิบายกลุ่มอาการนี้อย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อทำความเข้าใจความเกี่ยวพันและกำหนดวิธีรักษาที่เกี่ยวข้อง โดยองการค์อนามัยโลก ได้ปรับปรุงคำนิยามผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวในขั้นเบื้องต้น รวมถึงรูปแบบการรายงานกรณีตรวจพบกลุ่มอาการอักเสบของอวัยวะหลายระบบในเด็กอีกด้วย
    .
    นอกจากนี้ กีบรีเยซุส ได้เรียกร้องให้คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเดินหน้าทำงานร่วมกับหน่วยงานทางการของประเทศ และองค์การฯ เพื่อเฝ้าระวังและทำความเข้าใจกลุ่มอาการอักเสบของอวัยวะหลายระบบในเด็กให้ดียิ่งขึ้น

    -------------------------------
    แหล่งที่มา

    https://www.thaich8.com/news_detail/88882
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีมาตรการรับมือโควิด-19 ได้เข้มงวด และหนักหน่วงไม่แพ้ใคร สำหรับประเทศกาตาร์ ล่าสุดสำนักงานข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงมหาดไทยของกาตาร์ประกาศ เมื่อวานนี้ ให้ประชาชนทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้านอย่างเคร่งครัด
    .
    โดยผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุก และปรับเป็นเงิน คำสั่งของรัฐบาลกาตาร์มีขึ้น หลังจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 1,733 ราย ทุบสถิติรายวันสูงสุด ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดในประเทศเลยก็ว่าได้ โดยคณะรัฐมนตรีกำหนดให้การสวมใส่หน้ากากอนามัย เป็นสิ่งจำเป็นเมื่อออกจากบ้าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด โดยมีข้อยกเว้นให้เฉพาะผู้ที่ขับขี่รถยนต์เพียงลำพัง
    .
    มาตรการดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 17 พ.ค. เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับสูงสุด 200,000 ริยัล หรือประมาณ 1.76 ล้านบาท ทั้งนี้ในกาตาร์มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมมากกว่า 28,500 คน ซึ่งถือว่ามากพอสมควรสำหรับประเทศซึ่งมีประชากรเพียง 2.75 ล้านคน ทว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตยังคงต่ำมาก โดยอยู่ที่ 14 รายเท่านั้น
    .
    ก่อนหน้านี้ทางการการ์ตาสั่งปิดร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และมัสยิดทั่วประเทศเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ในขณะที่เมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ เช่น งานก่อสร้างสนามกีฬาเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022 ยังคงเดินหน้าต่อไปภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม

    -------------------------------
    แหล่งที่มา

    https://www.businesstimes.com.sg/go...-face-masks-mandatory-on-threat-of-jail-fines

    https://www.thejakartapost.com/news...ndatory-with-violators-fined-up-to-50000.html

    https://www.thansettakij.com/conten...m_medium=internal_referral&utm_campaign=world
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 14 พฤษภาคม 2020 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า วุฒิสมาชิกสภาคองเกรส ได้มีมติอนุมัติให้หน่วยความมั่นคงของสหรัฐฯ สามารถสอดแนมการใช้อินเตอร์ของประชาชนในสหรัฐฯต่อไปได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาล
    .
    วุฒิสมาชิกสภาคองเกรส ได้มีการพิจารณาญัตติการเสนอกฎหมาย “Wyden Amendment to H.R. 6172, the FISA Extension Bill” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ร่างขึ้นเพื่อลดอำนาจนโยบายการสอดแนมหรือ “The Patriot Act” ที่เริ่มบังคับใช้หลังเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2001 ในสมัยของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush)
    .
    กฎหมาย “Wyden Amendment to H.R. 6172” ฉบับนี้กำหนดให้ CIA FBI และหน่วยงานความมั่นคงที่ทำงานด้านข้อมูลข่าวกรองต่างๆของสหรัฐฯ ต้องขอหมายอนุญาตจากศาล FISA Court (Foreign Intelligence Surveillance Act Court) และกฎหมายฉบับนี้ยังให้อำนาจแก่ศาล ในการร้องขอข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ เพื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะอนุญาตให้หน่วยงานความมั่นคง สามารถใช้อำนาจสอดแนมบุคคลที่เข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
    .
    หลังพิจารณาถึงเนื้อหารายละเอียดของกฎหมาย วุฒิสมาชิกสภาคองเกรสก็ได้โหวตลงคะแนนว่าจะรับรองหรือคัดค้านกฎหมาย “Wyden Amendment to H.R. 6172” โดยจะต้องได้คะแนนโหวตจากส.ว. อย่างน้อย 60 เสียง จากทั้งหมด 96 เสียง จึงจะสามารถนำกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่กระบวนการขั้นต่อไปก่อนประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมาย
    .
    แต่ปรากฏว่า มีส.ว.โหวตคัดค้าน 37 เสียง และมีส.ว.โหวตสนับสนุน 59 เสียง ซึ่งขาดไปเพียงแค่ 1 เสียงเท่านั้น ทำให้ญัตติกฎหมายลดอำนาจการสอดแนมฉบับนี้ ถูกตีตกไปโดยปริยาย ส่งผลให้ FBI CIA และหน่วยข่าวกรองต่างๆของสหรัฐฯ ยังคงมีอำนาจเต็มในการสอดแนมข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ตของประชาชนทุกคนในสหรัฐฯ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาล FISA Court
    .
    ภายหลังจากที่กฎหมาย “Wyden Amendment to H.R. 6172” ถูกตีตกไป กลุ่มนักเคลื่อนไหวสิทธิเสรีภาพในสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความผิดหวัง ที่วุฒิสภาคองเกรสล้มเหลวในการผลักดันกฎหมายลดอำนาจการสอดแนม พร้อมทั้งประณามสมาชิกสภาคองเกรสที่โหวตต่อต้านกฎหมาย “Wyden Amendment to H.R. 6172” เพื่อให้เอื้อต่อนโยบายการสอดแนม “The Patriot Act” โดยนักเคลื่อนไหวชี้ว่า นักการเมืองคนใดที่สนับสนุน “The Patriot Act” นักการเมืองคนนั้นถือเป็นผู้ที่ละเมิดรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ และละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน

    -------------------------------
    แหล่งที่มา

    https://news4achange.com/senate-vot...spy-on-web-browsing-history-without-warrants/

    https://www.vice.com/en_us/article/...t-your-web-browsing-history-without-a-warrant

    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันนี้ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก จึงต้องกำหนดมาตรการต่าง ๆ เช่น การรักษาระยะห่างในสังคม (Social distancing) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน รวมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการด้านการแพทย์ และสาธารณสุข
    .
    เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย และเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ การเพิ่มระยะห่าง ลดความแออัดที่โรงพยาบาล โดยมีการจัดกลุ่มผู้ป่วย และจัดบริการให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม โดยนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มการเข้าถึง และยกระดับคุณภาพบริการ ระบบการจัดการ และวิเคราะห์ข้อมูลภาพรวมของประเทศ
    .
    นายสาธิต กล่าวต่อว่า การให้บริการทางการแพทย์แบบวิถีใหม่ (New Normal of medical Service) มุ่งเน้นการรักษาให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล โดยแยกกลุ่มประเภทผู้ป่วยเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ดูแลตนเองได้ดี ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ ก็ไม่ต้องมาโรงพยาบาล ใช้วิธีการจัดส่งยาให้ต่อเนื่อง
    .
    ส่วนกลุ่มที่ต้องการปรึกษาแพทย์ด้วยคำถาม หรือปัญหาเล็กน้อยบางอย่างโดยไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล ก็ให้บริการ Tele -medicine โดยผ่านระบบการสื่อสาร และกลุ่มสุดท้ายที่มีความจำเป็นต้องมาพบแพทย์โรงพยาบาลจริง ก็ได้พัฒนา Digital Solution ซึ่งเป็นเครื่องมือ ที่ทำให้แพทย์ และคนไข้สามารถติดต่อ ปรึกษากันได้ โดยไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล และใช้เทคโนโลยีอื่น ๆ มาใช้อำนวยความสะดวกในการบริการด้วย
    .
    ส่วนทางด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้พลิกวิกฤติเป็นโอกาส เกิดการพัฒนา และปรับระบบบริการทางการแพทย์ใหม่ (New Normal Medical Services) คือมีระบบการแบ่งกลุ่ม และจัดบริการตามความจำเป็นของแต่ละบุคคล ตามระดับความรุนแรง ความซับซ้อน ความเร็วของการดำเนินโรค การจัดระบบสนับสนุนการดูแลตนเอง เช่น ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล ความรอบรู้ ด้านสุขภาพ แอปพลิเคชัน และสื่อระบบติดตามรายบุคคล
    .
    ทั้งนี้ระบบข้อมูลด้านสุขภาพ ฐานข้อมูลผู้ป่วยระหว่างหน่วยบริการ ระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่เชื่อมโยงกัน ระบบบริการที่เข้าถึงง่ายขึ้น สะดวกรวดเร็วขึ้นด้วยระบบ IT ลงทะเบียน / นัดหมายล่วงหน้าทางออนไลน์ การตรวจทางห้องปฏิบัติการแบบ drive thru การรับยาร้านยาใกล้บ้าน การส่งยาทางไปรษณีย์ การปรึกษาทางไกล ระบบการบริหารจัดการเตียงร่วมกัน ระหว่างหน่วยบริการ ยกระดับความปลอดภัยด้านการป้องกันการติดเชื้อในสถานพยาบาล ทั้งการจัดสถานที่ อุปกรณ์ป้องกัน ระบบบริการ และความรู้บุคลากร
    .
    ด้าน นพ.อนุพงค์ สุจริยากุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยว่า วันนี้มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.35 ของผู้ป่วยทั้งหมด รวมกลับบ้านสะสม 2,854 ราย ขณะที่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย (ทั้งหมดอยู่ในสถานกักตัวเฝ้าระวังโรคที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศปากีสถาน) ทำให้ขณะนี้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 115 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 3.80 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิต 56 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,025 ราย
    .
    โดยสำหรับคนไทย ที่ตกค้างในต่างประเทศ ที่ได้ทยอยเดินทางเข้าประเทศนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการรองรับโดย ให้ทุกคนต้องเข้ารับการกักตัว เพื่อเฝ้าระวังโรคเป็นเวลา 14 วัน ก่อนจะอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาได้ และหากรายใดป่วย ก็จะนำเข้าสู่ระบบการรักษาได้อย่างทันท่วงที เป็นมาตรการป้องกันการนำเชื้อจากต่างประเทศเข้ามาแพร่ให้กับคนในประเทศ
    .
    ซึ่งในขณะนี้การป้องกันตัวเอง จากโรคที่ดีที่สุด คือการสวมหน้ากากผ้า-หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร และหมั่นล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ โดยถ้าหากต้องการออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ ก็จะต้องผ่านการคัดกรองที่จุดคัดกรองของสวนสาธารณะทุกครั้ง ไม่ควรรวมกลุ่ม รีบกลับบ้านทันทีเมื่อออกกำลังกายเสร็จ
    .
    ส่วนผู้ดูแลสวนสาธารณะต้องทำความสะอาด โดยเฉพาะบริเวณพื้นผิวที่มีผู้สัมผัสบ่อย และขอแนะนำให้ประชาชนงดการออกกำลังกายที่ต้องเล่นเป็นทีม มีการปะทะกัน เช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเก็ตบอล เนื่องจากอาจเกิดการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย ของผู้อื่น ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงติดโรคได้

    -------------------------------
    แหล่งที่มา
    https://www.mcot.net/viewtna/5ebe6d4ee3f8e40af84411f4
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรณีศึกษา การทุบราคาน้ำมัน แล้วเข้าซื้อหุ้นบริษัทน้ำมัน ของซาอุดีอาระเบีย /โดย ลงทุนแมน
    ประกาศเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อทุบราคาน้ำมันให้เละจมดิน
    แล้วหาจังหวะกว้านซื้อหุ้นบริษัทน้ำมัน ตอนที่ถูกเทขายลงมาหนักๆ
    จากนั้นค่อยไปขอเจรจาลดกำลังการผลิต ยุติความขัดแย้งกับรัสเซีย
    นี่คือ 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ซาอุดีอาระเบียใช้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

    สถานการณ์สงครามราคาน้ำมัน
    ทำให้คนส่วนใหญ่วิตกกังวลถึงความเสียหายต่อเศรษฐกิจ
    แต่ถ้าเป็นผู้สร้างวิกฤติขึ้นมาเอง ก็อาจสามารถคาดการณ์จุดจบของเรื่องราวได้
    และมันก็อาจเป็นโอกาสที่ดี
    ที่จะหาผลตอบแทนจากชะตาชีวิตที่เขากำหนดเอง

    แล้วรายละเอียดของเรื่องนี้ เป็นอย่างไร?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2020 สงครามราคาน้ำมัน ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับรัสเซีย ได้ปะทุขึ้น

    สาเหตุเนื่องจาก ทั้งคู่ไม่สามารถตกลงกันเรื่องลดกำลังการผลิต เพื่อรับมือกับปัญหา COVID-19 ได้
    ซาอุดีอาระเบีย จึงแก้เกมด้วยการเพิ่มกำลังผลิต และกดดันให้รัสเซียกลับมาเจรจากันใหม่

    ผลที่ตามมาคือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก จากก่อนเหตุการณ์ อยู่ที่ 45 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
    ได้ปรับตัวลงอย่างรุนแรง จนลดลงเหลือ 12 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

    ซึ่งหลายคนมองว่า ยุทธวิธีเฉือนเนื้อตัวเองแบบนี้ น่าจะได้ไม่คุ้มเสีย

    เพราะเศรษฐกิจซาอุดีอาระเบีย มีความอ่อนไหวต่อการขึ้นลงของราคาน้ำมันเป็นอย่างมาก
    โดยรายได้จากการขายน้ำมัน มีมูลค่าสูงถึง 42% ของ GDP และคิดเป็น 87% ของรายได้รัฐบาล

    แต่ถ้าสมมติ ฝั่งซาอุดีอาระเบียรู้อยู่แล้วว่า ถึงทุบราคาไป สุดท้ายก็ต้องมีการเจรจาหาทางออกกัน
    เมื่อความตึงเครียดจะอยู่แค่ชั่วคราว พวกเขาก็อาจหาผลประโยชน์ทางอื่นได้

    และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ซาอุดีอาระเบีย เข้าซื้อหุ้นบริษัทน้ำมัน
    ผ่านกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย หรือ Public Investment Fund (PIF)

    กองทุนประเภทนี้ จะนำสภาพคล่องส่วนเกินของรัฐบาล ไปลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มไว้มาใช้เป็นสวัสดิการและพัฒนาประเทศ

    ปัจจุบัน PIF ถือเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่อันดับ 11 ของโลก
    ด้วยมูลค่าทรัพย์สินราว 10,464,000 ล้านบาท

    ซึ่งในช่วงปลายเดือนมีนาคม จนถึงต้นเมษายน 2020 ที่ผ่านมา
    กองทุน PIF ได้ใช้เงิน 32,700 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ 4 อันดับแรกของยุโรป ที่ราคาตกลงอย่างหนัก เพราะเหตุการณ์สงครามราคาน้ำมัน ได้แก่

    Royal Dutch Shell จากประเทศเนเธอร์แลนด์
    มูลค่าบริษัท ก่อนมีสงครามราคาน้ำมัน อยู่ที่ 11,033,000 ล้านบาท
    มูลค่าบริษัท หลังมีสงครามราคาน้ำมัน ทำจุดต่ำสุดที่ 5,697,000 ล้านบาท หรือลดลง 48%

    Total S.A. จากประเทศฝรั่งเศส
    มูลค่าบริษัท ก่อนมีสงครามราคาน้ำมัน อยู่ที่ 3,600,000 ล้านบาท
    มูลค่าบริษัท หลังมีสงครามราคาน้ำมัน ทำจุดต่ำสุดที่ 2,106,000 ล้านบาท หรือลดลง 42%

    Equinor จากประเทศนอร์เวย์
    มูลค่าบริษัท ก่อนมีสงครามราคาน้ำมัน อยู่ที่ 1,606,000 ล้านบาท
    มูลค่าบริษัท หลังมีสงครามราคาน้ำมัน ทำจุดต่ำสุดที่ 961,000 ล้านบาท หรือลดลง 40%

    Eni จากประเทศอิตาลี
    มูลค่าบริษัท ก่อนมีสงครามราคาน้ำมัน อยู่ที่ 1,340,000 ล้านบาท
    มูลค่าบริษัท หลังมีสงครามราคาน้ำมัน ทำจุดต่ำสุดที่ 830,000 ล้านบาท หรือลดลง 38%

    ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบีย ให้เหตุผลที่เข้าลงทุนว่า ราคาหุ้นบริษัทเหล่านี้ ต่ำกว่าพื้นฐานมากจนน่าสนใจ และอาจหาโอกาสซื้อบริษัทอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย

    หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2020
    ก็มีการเรียกประชุมระหว่าง กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (OPEC) นำโดยซาอุดีอาระเบีย
    และประเทศพันธมิตรนอกกลุ่ม นำโดยรัสเซีย

    ซึ่งผลการเจรจาคือ สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ ดังนี้
    เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2020 ลดกำลังการผลิต 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
    เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2020 ลดกำลังการผลิต 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
    เดือนมกราคม-เมษายน 2021 ลดกำลังการผลิต 5.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน

    รวมทั้งรัฐบาลซาอุดีอาระเบียยังได้สั่งให้ลดกำลังการผลิตของตัวเองเพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนมิถุนายนด้วย

    เท่ากับว่า ซาอุดีอาระเบีย ได้กว้านซื้อหุ้นบริษัทน้ำมัน
    หลังจากทุบราคาตลาดเละเทะ จนทำให้คนอื่นกลัว
    ก่อนจะเริ่มเดินเรื่องเพื่อคลี่คลายปัญหา

    แต่อย่างไรก็ตาม คงไม่มีใครฟันธงได้ชัดว่า การลงทุนครั้งนี้เกี่ยวข้องกับสงครามราคาน้ำมันมากน้อยเพียงใด

    และก็ไม่มีอะไรรับประกันว่า ราคาน้ำมันจะไม่ลงไปมากกว่านี้ จากผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกจาก COVID-19

    นอกจากนี้ กองทุน PIF ยังได้ซื้อหุ้นบริษัท Carnival Corporation เจ้าของธุรกิจเรือสำราญใหญ่สุดในโลก
    ที่มูลค่าลดลงถึง 75% จากปัญหา COVID-19 อีกด้วย

    ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย ที่ต้องการกระจายการลงทุนออกจากอุตสาหกรรมพลังงาน เช่น การสร้างรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวให้มากขึ้น

    เรื่องราวนี้น่าจะเป็นแง่คิดที่ดีว่า

    ทุกความเคลื่อนไหวในโลกธุรกิจ มักแฝงไปด้วยกลยุทธ์อันแยบยลเสมอ
    แม้แต่การกระทำที่ไม่ทราบเหตุผลว่า ทำไปแล้วได้อะไร
    ก็อาจมีเบื้องหลังที่เราไม่รู้

    ดังกรณีการทุบราคาน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย
    ที่ตอนแรกหลายคนคงมีคำถามว่า ใครจะได้ประโยชน์
    ซึ่งการซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันแบบประจวบเหมาะนี้ อาจเป็นหนึ่งในคำตอบของเรื่องนี้..
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://www.marketwatch.com/story/saudi-fund-takes-stakes-in-european-oil-companies-2020-04-08
    -https://en.m.wikipedia.org/wiki/Public_Investment_Fund_of_Saudi_Arabia
    -https://www.swfinstitute.org/fund-rankings/sovereign-wealth-fund
    -https://www.macrotrends.net/
    -https://www.cnbc.com/2020/04/12/opec-and-allies-finalize-record-oil-production-cut-after-days-of-discussion.html

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    May 16 , 2020 ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กร - หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ของการบินไทย เหลือ BBB จาก A
    .
    ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB” จากเดิมที่ระดับ “A” โดยอันดับเครดิตที่เปลี่ยนไปสะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นและความมั่นใจของทริสเรทติ้งว่ารัฐบาลจะให้การสนับสนุนการชำระหนี้แก่บริษัทลดลง
    .
    รัฐบาลอยู่ในระหว่างการพิจารณาที่จะให้บริษัทการบินไทยฟื้นฟูกิจการผ่านกระบวนการทางศาลล้มละลายซึ่งจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาทางการเงินของบริษัท ซึ่งแนวทางล่าสุดนี้เพิ่มความไม่แน่นอนต่อความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะยังให้การสนับสนุนบริษัทในช่วงที่ประสบกับปัญหาทางการเงินอยู่หรือไม่
    .
    อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่อไปในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจ แต่การพิจารณาที่จะให้บริษัทการบินไทยยื่นขอปรับโครงสร้างธุรกิจผ่านศาลล้มละลายได้ลดทอนความเชื่อมั่นของทริสเรทติ้งที่มีต่อรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นเพื่อให้บริษัทสามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ตามกำหนด ในขณะที่การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทโดยผ่านกระบวนการทางศาลซึ่งจะเป็นวิธีการหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้นจะสร้างความเสียหายต่อเจ้าหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท
    .
    เพื่อสะท้อนถึงความเห็นล่าสุดของทริสเรทติ้งโดยยังคงคำนึงถึงโอกาสในการได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ทริสเรทติ้งได้ปรับลดปัจจัยเสริมอันดับเครดิตที่เป็นส่วนประกอบของอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทลงซึ่งส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทในครั้งนี้
    .
    อนึ่ง ตาม “วิธีการจัดอันดับเครดิตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ”(Government-Related Entity Rating Methodology) ทริสเรทติ้งประเมินอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทการบินไทยจากการพิจารณาสถานะเครดิตเฉพาะของบริษัทก่อนแล้วจึงรวมกับปัจจัยเสริมอันดับเครดิตหรือการปรับเพิ่มอันดับเครดิตซึ่งสะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับระดับของโอกาสที่บริษัทจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
    .
    ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประเมินสถานะเครดิตเฉพาะของบริษัทการบินไทยที่ระดับ “BB” และปรับลดคะแนนที่ได้จากปัจจัยเสริมลงจาก 6 ขั้นเหลือ 3 ขั้นตามเหตุผลที่อธิบายไว้แล้วข้างต้น
    .
    ในกรณีที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือด้านการเงินโดยตรงแก่บริษัทได้ตามแผนการปฏิรูปองค์กร อันดับเครดิตของบริษัทตามที่ประกาศใน “เครดิตวาระ” ครั้งนี้จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีมติชัดเจนที่จะให้บริษัทดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยผ่านกระบวนการล้มละลายและส่งผลให้บริษัทต้องระงับการชำระคืนหนี้แล้ว อันดับเครดิตของบริษัทจะได้รับการปรับลดลงสู่ระดับ “D” หรือ “Default”
    .
    - แนวโน้มเครดิตพินิจ
    ทริสเรทติ้งคง “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” สำหรับอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทการบินไทยโดยเป็นการสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนในช่วงที่บริษัทประสบปัญหาทางการเงิน นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนที่ค่อนข้างสูงเกี่ยวกับโอกาสที่กิจการของบริษัทจะฟื้นคืนกลับมาได้จากผลกระทบที่รุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 อีกด้วย
    .
    อ่านต่อได้ที่ : https://misterban.com/whatsup/ทริสเรทติ้งปรับลดอันดั/
    .
    #การบินไทย #ทริสเรตติ้ง #อันดับ #BBB #Misterban

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    May 16 , 2020 โรงงานจิวเวอรี่ปลดพนักงานประมาณ 500 คน ด้านพนักงานร่ำไห้เขียนเสื้ออำลา
    .
    ภายหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก รวมถึงไทย และต่อเนื่องไปจนถึงภาคแรงงาน ที่ต้องถูกเลิกจ้าง จากหลายกิจการที่ปิดตัวลง
    .
    ล่าสุดเฟซบุ๊กแฟนเพจที่นี่นวนคร มีงานบอกกันด้วย เปิดเผยภาพของบรรดาพนักงานโรงงานทำจิวเวลรี่แห่งหนึ่ง รวมกลุ่มกันในโรงงาน เพื่อร่วมเขียนเสื้อทำงาน เป็นที่ระลึก หลังจากโรงงานจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงาน 300-500 คน ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนพนักงานโรงงานด้วยกัน
    .
    พร้อมระบุแคปชั่นว่า "วันสุดท้ายของการทำงาน มีพบก็ต้องมีจากขอให้ทุกคนโชคดีครับ ทั้ง 300-500 คน"
    .
    #โรงงาน #จิวเวลรี่ #ไวรัสโควิด19 #เลิกจ้าง #Misterban

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    May 16, 2020 โควิด-19 เล่นงานไม่หยุด ห้างสรรพสินค้ายักษ์เก่าแก่กว่า 100 ปีประกาศล้มละลาย

    เจ ซี เพนนี ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ชื่อดังในสหรัฐ ซึ่งมีสาขากว่า 850 แห่งทั่วสหรัฐ ประกาศล้มละลาย และขอคุ้มครองทรัพย์สินตามกฎหมายมาตรา 11 ของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ สาเหตุจากภาวะโรคระบาดโควิด-19 ในสหรัฐ ส่งผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อธุรกิจขายปลีกทุกระดับ นอกจากนี้ การแข่งขันค้าปลีกออนไลน์ในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นอย่างรุนแรงทั้งในสนามแข่งขันระหว่างห้างสรรพสินค้าด้วยกัน และแข่งขันกับยักษ์อีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้กำไรของห้างดังกล่าวลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มีหนี้สินเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 132,000 ล้านบาท

    ทั้งนี้ ห้างสรรพสินค้า เจ ซี เพนนี ยอมรับว่า มีความจำเป็นที่ต้องปิดสาขาในบางอย่างถาวร ซึ่งมีจำนวน 200 แห่ง ในขณะที่บางแห่ง ต้องเข้าสู่ขั้นตอนการขายสาขาเพื่อให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาซื้อไป ห้างเจ ซี เพนนี เป็นธุรกิจที่เก่าแก่มากว่า 118 ปี มีสาขากระจายทั่วสหรัฐอเมริกามากถึง 1,600 แห่ง เคยจ้างงานชาวอเมริกันมากถึง 200,000 คน

    #ล้มละลาย #ปิดสาขา #ตกงาน #ห้างสรรพสินค้า #เจซีเพนนี #สหรัฐ #misterban #jcpenny #covid19

     

แชร์หน้านี้

Loading...