ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ต่อเลยนะ!!!

    ด่วนๆ!!!!!

    ทรัมป์ ทวิต ว่า หากผู้ชุมนุมประท้วงปีนกำแพงเข้ามา พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสุนัขป่าและอาวุธที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเห็น

    https://per.euronews.com/2020/05/30...y-vicious-dogs-and-ominous-weapons-were-ready

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก Gossipสาสุข

    อังกฤษ และ NHS
    จากความภาคภูมิใจของชาติ
    สู่ระบบสุขภาพที่ล้มเหลว
    .
    .
    ระบบสุขภาพแห่งชาติสหราชอาณาจักร (National Health Service) หรือ NHS นั้น ถือเป็นระบบบริการสุขภาพที่ขึ้นชื่อว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนาน และได้รับการยกย่องให้เป็นระบบสุขภาพที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
    .
    เพราะระบบนี้ ถือเป็นต้นกำเนิดของระบบ “สวัสดิการ” ด้านรักษาพยาบาล ที่สำคัญ เริ่มต้นจากรัฐบาลพรรคเลเบอร์ ในปี 1945 หรือเมื่อ 75 ปีที่แล้ว หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน ด้วยหลักคิดที่ว่า ประชาชนทุกคนต้องได้รับการบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานที่จำเป็น ควรเข้าถึงบริการสุขภาพอย่าง “เท่าเทียม” ไม่เสียค่าใช้จ่าย และการบริการสุขภาพต้องขึ้นอยู่กับความจำเป็นทางการแพทย์ ไม่ใช่ฐานะทางการเงินของคนไข้
    .
    เมื่อ “ลอนดอน” เมืองหลวงของสหราชอาณาจักร เป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกในปี 2012 ระบบ NHS ถูกแดนนี บอยล์ ผู้กำกับเวทียกย่องใน “พิธีเปิด” โอลิมปิกด้วยว่าเป็น “สถาบันที่เข้มแข็งยิ่งกว่าสถาบันไหนๆ ที่หลอมรวมคนสหราชอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวกัน” และหลายครั้ง สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ที่ 2 ก็ยกย่อง NHS ในฐานะความภาคภูมิใจของคนในชาติ ที่ทำให้การรักษาพยาบาล เป็นเรื่องที่ “เท่าเทียม”
    .
    นอกจากนี้ ระบบ NHS ยังถือเป็นต้นแบบสำคัญ ที่ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการคนแรกของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นำจุดเด่น – จุดด้อย มาประยุกต์ มาปรับใช้ จนกลายเป็นระบบ “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน
    .
    อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อดีอยู่หลายประการ แต่ NHS ก็มีจุดอ่อนหลายเรื่อง ในระยะหลัง ระบบ NHS มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 1.29 แสนล้านปอนด์ (ประมาณ 5 ล้านล้านบาท) ต่อปี รวมกับงบประมาณด้านสุขภาพอื่นๆ อังกฤษจะมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงถึง 1.47 แสนล้านปอนด์ (ประมาณ 5.71 ล้านล้านบาท) ต่อปี มากกว่างบประมาณแผ่นดินของไทย ที่อยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาทเสียอีก ทั้งที่ประเทศนี้ มีจำนวนประชากรอยู่ที่ 66.65 ล้านคน พอๆ กับไทย
    .
    หากค่าใช้จ่ายสูง แล้วคุณภาพดี – บุคลากรแฮปปี้ ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่ในระยะหลัง ภาครัฐพยายาม “รัดเข็มขัด” งบ NHS บริการหลายอย่าง คุณภาพลดลง อัตราความพึงพอใจต่อระบบบริการล่าสุดอยู่ที่ 68% แม้จะขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 5% แต่ก็ลดลงจากในช่วงปี 2010 ซึ่งเคยสูงถึง 70% ขณะเดียวกัน มากกว่า 54% เห็นว่าระบบ NHS ควรจะต้อง “เติมเงิน” เพิ่ม ไม่ว่าจะด้วยภาษีเงินได้ หรือภาษี Earmarked จากขนมหวาน น้ำอัดลม เพื่อให้ระบบนี้อยู่ได้ยั่งยืนขึ้น
    .
    ซีกของผู้ให้บริการในระยะหลัง ก็ประสบปัญหาเช่นกัน หมอ GP จำนวนมาก “ลาออก” เนื่องจากทำงานหนักเกินไป อัตราประชากรสูงอายุพุ่งสูงขึ้น พยาบาลเองก็หายาก ปีที่ผ่านมา อังกฤษเพิ่งประกาศ “นำเข้า” พยาบาลเพิ่ม มีแผนแจกเงินเกือบ 5,000 ปอนด์ต่อปี จูงใจให้นักเรียนเรียนเป็นพยาบาลเพิ่ม
    .
    ปี 2016 การลงประชามติ ให้อังกฤษ ออกจากสหภาพยุโรปนั้น ประเด็นใหญ่ที่แวดล้อม ทำให้ฝ่าย “Leave” ชนะ ก็คือเพื่อนำเงินมาปฏิรูประบบ NHS ให้ดีขึ้น ซึ่งหากทำสำเร็จ บริการหลายอย่าง ยาหลายอย่าง จะก้าวหน้าอย่างผิดหูผิดตา วาระสำคัญหลังนายกฯ บอริส จอห์นสัน ชนะเลือกตั้ง เป็นนายกฯ สมัยที่ 2 ก็มีศูนย์กลาง อยู่ที่การ “รื้อ” ระบบ NHS เช่นกัน โดยเขาบอกว่าการจัดการกับระบบสุขภาพ คือ “ศูนย์กลาง” ของนโยบายทั้งหมด
    .
    แต่ทุกอย่างก็จบลง เมื่อโควิด – 19 มาเยือนเกาะอังกฤษ และเริ่มระบาดตั้งแต่ ปลายเดือน ก.พ.
    .
    เวลานั้น นายกฯ บอริส กำลังสาละวนกับการประกาศ Brexit อย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ม.ค. ทำให้เขาแทบไม่มีเวลานั่งหัวโต๊ะ ประชุมรับมือกับโคโรนาไวรัส 2019
    .
    หลังจาก Brexit ไม่นาน บอริส ก็ปรับคณะรัฐมนตรี ในช่วงกลางเดือน ก.พ. ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องโควิด – 19 เช่นกัน แต่เป็นการปรับเพื่อรับมือเศรษฐกิจหลังออกจากสหภาพยุโรป
    .
    ในช่วงแรก อังกฤษ “ลังเล” ว่าจะใช้วิธีไหนในการจัดการกับไวรัส แพทริค วอลแลนซ์ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ประจำรัฐบาล เสนอแนะให้ใช้ “ภูมิคุ้มกันหมู่” หรือ Herd Immunity ตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. โดยเชื่อว่าหากประชากรติดเชื้อเกิน 60% ในที่สุด ประชากรทั้งประเทศจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ได้เอง
    .
    แม้ แมทท์ แฮนคอก รมว.สาธารณสุข จะปฏิเสธว่ารัฐบาลไม่ “ซื้อ” แนวคิดนี้ และมีเสียงทักท้วงจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ ออกจดหมายเปิดผนึกให้หยุดความคิดนี้กว่า 200 คน แต่สำนักข่าวหลายแห่งก็ยืนยันตรงกันว่ารัฐบาลอังกฤษ “ลังเล” ว่าจะใช้ Herd Immunity ดีหรือไม่ ไปจนถึงช่วงกลางเดือน มี.ค. ซึ่งทำให้การ “ล็อคดาวน์” ของประเทศนี้ ช้ากว่าประเทศอื่นในยุโรป
    .
    ต้องไม่ลืมว่าในช่วงเวลานั้น ประเทศที่ประสบความสำเร็จกับการจัดการโควิด – 19 ทุกประเทศจัดการเหมือนกันหมด คือไล่ตรวจหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ สอบสวนเส้นทางการระบาดโรค แยกตัวผู้ติดเชื้อ และทำการรักษา ไม่มีประเทศไหนคิดเรื่อง Herd Immunity แม้แต่ประเทศเดียว..
    .
    7 มี.ค. ยังคงมีการแข่งขันรักบี้ ระหว่างอังกฤษกับเวลส์ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการจัดเทศกาล Cheltenham Festival ในวันที่ 13 มี.ค. โดยมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 2.5 แสนคน
    .
    ในช่วงนั้น คาดการณ์ว่าอังกฤษน่าจะมีผู้ติดเชื้อใกล้เคียงกับอิตาลี เพียงแต่ยังหาไม่เจอ เพราะยังอยู่ในระยะฟักตัว และนโยบายการตรวจจากรัฐก็ยังไม่ชัด ที่สำคัญคือทั้งอุปกรณ์ป้องกันตัวสำหรับเจ้าหน้าที่ NHS ทั้งเครื่องช่วยหายใจ ก็ไม่ได้เตรียมไว้เพียงพอ...
    .
    กว่าอังกฤษจะเริ่ม “ล็อกดาวน์” ได้ ก็ปาเข้าไปวันที่ 23 มี.ค. ช้ากว่าประเทศยุโรปอื่นๆ ไปเกือบ 2 สัปดาห์ ซึ่ง ณ ขณะนั้น มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 6,650 คน มีผู้เสียชีวิตสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก แล้วกว่า 500 คน เพราะรัฐบาลเองลังเลว่า หากตัดสินใจล็อกดาวน์เร็ว “ตีตนไปก่อนไข้” อาจทำลายเศรษฐกิจหลัง Brexit อย่างราบคาบ
    .
    ความ “ร้ายแรง” ของโรคนี้ ทำให้บรรดาวีไอพีทั้งหลายของประเทศ ติดเชื้อโควิด – 19 ในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ว่าจะเป็น เจ้าฟ้าชายชาร์ลส มกุฎราชกุมารแห่งสหราชอาณาจักรติดเชื้อเมื่อวันที่ 25 มี.ค. แฮนค็อก รมว.สาธารณสุข ติดเชื้อ ในวันที่ 27 มี.ค. และตัวนายกฯ บอริส เอง ติดเชื้อ ในวันที่ 27 มี.ค. เช่นเดียวกัน โดยต้องเข้าไปอยู่ในไอซียู และเกือบเอาชีวิตไม่รอด
    .
    มิหนำซ้ำ ช่วงเวลาที่อังกฤษไม่มีผู้นำ เพราะบอริส เข้าไอซียู นโยบายด้านสาธารณสุขก็สะเปะสะปะ ไม่มีใครกล้าตัดสินใจแทนนายกฯ บอริส ด้วยไม่มีการวาง “ผู้สืบทอด” ไว้ล่วงหน้า
    .
    23 เม.ย. 1 เดือนหลังจากนั้น จำนวนผู้ติดเชื้อในอังกฤษ เพิ่มเป็น 1.38 แสนคน เสียชีวิต 2.27 หมื่นคน และตัวเลขล่าสุดในวันที่ 19 พ.ค. อังกฤษ มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 2.48 แสนคน เสียชีวิต 3.5 หมื่นคน โดยเสียชีวิตมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา
    .
    ด้วยการเมืองที่เชื่องช้า ไม่กล้าตัดสินใจ และการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดทั้งหมด ทำให้โรงพยาบาล บ้านพักคนชรา ทั่วอังกฤษ เต็มไปด้วยผู้เสียชีวิต อังกฤษยังไม่สามารถออกจากการล็อคดาวน์เข้มข้นได้เหมือนประเทสอื่นในยุโรป เพราะจำนวนเทสต์ก็ยังทำได้ไม่มากพอ ไม่ทันจำนวนผู้ติดเชื้อจริง
    .
    ที่สำคัญคืออังกฤษนั้น นอกจากจะมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุจำนวนมากอยู่แล้ว ระบบ NHS ก็ยังขาดแคลนบุคลากร ต้องนำเข้าเจ้าหน้าที่จากประเทศอื่นอีก แม้แต่พยาบาลที่รักษานายกบอริส ยังมาจากนิวซีแลนด์ และมาจากโปรตุเกส ส่วนคนอีกจำนวนมากนั้น ระบบไม่สามารถรองรับได้เพียงพอ ถึงขั้นต้องปล่อยให้ป่วย และปล่อยให้เสียชีวิตที่บ้าน
    .
    ทั้งหมดนี้ ทำให้ NHS ที่ขึ้นชื่อว่า “ดีที่สุดในโลก” พังพาบลงในเวลาไม่กี่วัน ด้วยจำนวนคนไข้ที่ล้นทะลัก โรงพยาบาลที่ไม่เพียงพอ อุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ต้องใช้กันตามอัตภาพ ที่น่าเศร้าก็คือ ข้อมูลล่าสุด มีเจ้าหน้าที่ NHS เสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้วมากกว่า 312 คน
    .
    ในอังกฤษ เป็นเรื่อง “การเมือง” ล้วนๆ ที่ทำลายระบบสุขภาพ NHS และทำให้สูญเสียชีวิตคนไปอย่างไม่จำเป็นหลายหมื่นคน จากการตัดสินใจที่ผิดพลาด น่าเสียดายที่ปัญหาเดิมซึ่งพะรุงพะรังอยู่แล้ว จะตามมาด้วยปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่า หลังจากนี้คนจำนวนมากจะออกห่างจากระบบ NHS ไปเรื่อยๆ เพราะนอกจากค่าตอบแทนจะน้อย งานหนักแล้ว ยัง “เสี่ยงตาย” อีกด้วย
    .
    คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกนาน ในการฟื้นฟูศรัทธา ทั้งจากคนอังกฤษ ทั้งจากเจ้าหน้าที่ NHS ให้กลับมายิ่งใหญ่ เป็นระบบสวัสดิการที่เชื่อถือได้ และเป็นหน้าเป็นตาของประเทศอีกครั้ง

    #covid19 #โควิด19 #อังกฤษ #NHS

    อ้างอิงจาก

    https://www.ft.com/content/af17147c-84a1-11ea-b555-37a289098206

    https://www.nuffieldtrust.org.uk/news-item/public-satisfaction-with-the-nhs-rose-sharply-in-2019

    https://www.theguardian.com/world/2...tain-get-its-response-to-coronavirus-so-wrong

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การเมืองหมอๆ
    ที่ รพ.ขอนแก่น
    เหตุ ปัจจัย และความน่าจะเป็น


    ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดปราฏการณ์สำคัญ เมื่อชาวโรงพยาบาลขอนแก่น ต่างก็ออกมา “ตบเท้า” แสดงพลัง ให้กำลังใจ นพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน หลังมี “ใบปลิว” โจมตีว่าหมอชาญชัย เรียกรับเปอร์เซ็นต์จากบริษัทยา

    อันที่จริง เรื่องบัตรสนเท่ห์กล่าวหารับเปอร์เซ็นต์จากบริษัทยานั้นเป็น “เรื่องปกติ” สำหรับกระทรวงนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะโรงพยาบาลอำเภอ โรงพยาบาลจังหวัด ล้วนมีการกล่าวหาว่าผู้บริหารมีเอี่ยวกับการรับ “ค่าหัวหิว” บางครั้งก็รับกันตรงๆ โอนเข้าบัญชีคนใกล้ชิด บางครั้งก็ได้รับผลตอบแทนผ่านการพาไป “เลี้ยงดูปูเสื่อ” หรือพาไปเที่ยวต่างประเทศครั้งละนานๆ โดยให้บริษัทยาออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

    เรื่องนี้ถ้าถามพวกผู้แทนยา ทุกคนคงหัวเราะ หึๆ เพราะเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ในวงการเขาไม่พูดกันเท่านั้น

    ขณะเดียวกัน ผู้บริหารกระทรวงรู้ดี ว่าทำกันทุกระดับ แม้แต่อดีตปลัดบางคน ก็เคยถูก “แฉ” มาแล้ว ว่าตอนบินไป “ขอตำแหน่ง” ขึ้นเป็นปลัด ยังต้องให้บริษัทยาออกค่าตั๋วเครื่องบิน ออกค่าที่พัก ค่าสนามกอล์ฟให้ ซ้ำยังทำอย่างนี้กันจนกลายเป็นธรรมเนียม

    แต่ “แมลงวัน” ย่อมไม่ตอม “แมลงวัน” ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเสียภาพ “คนดี” ในชุดขาว ที่สั่งสมกันมาว่า “ดี” กว่าข้าราชการกระทรวงอื่น และคนดี ย่อมไม่มีทางที่จะโกงเด็ดขาด เรื่องพวกนี้เลยเป็นที่รู้กันว่ามักจะไม่มีทางเข้าสู่กระบวนการสอบสวน หลายครั้งก็ปล่อยผ่านไป.. เพราะกระทรวงสาธารณสุขประเทศนี้ มีแต่คนดีทั้งนั้น

    ปกติพอไม่ตอมกันเอง เมื่ออยู่ดีๆ เกิดมีเรื่อง “แดง” ขึ้นมา ก็หมายความว่ามีเหตุผิดปกติซึ่งอาจหมายถึงมีใครต้องการที่จะ “เลื่อยขา” ใคร หรืออยากจะ “ต่อรอง” อะไรบางอย่างก็เป็นได้

    กลับมาที่เรื่องหมอชาญชัย มีหนังสือลงนามโดยบุคคล “นิรนาม” อ้างว่าเป็นอดีตข้าราชการของโรงพยาบาลขอนแก่นเจอความไม่ชอบมาพากลของการเรียกรับ 5% ในยุคหมอชาญชัยเป็นผู้อำนวยการ เพื่อตั้งเป็น “กองทุน” ในโรงพยาบาล

    หากเป็นกระบวนการสอบสวนตามปกติ และหมอพิสูจน์ได้ ก็คงไม่มีอะไร แต่รอบนี้ ที่แปลกก็คือมีการ “สลับตัว” ประธานคณะกรรมการสอบสวน จาก พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการ เขต 5 ไปเป็น นพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการเขต 6

    เมื่อมีชื่อ นพ.สุเทพ เป็นคนสอบสวน และเป็น นพ.สุเทพ คนเดียวกับที่ใกล้ชิด “ชมรมแพทย์ชนบท” คนในโรงพยาบาลขอนแก่น จึงเห็นว่า น่าจะมีความพยายาม “เปลี่ยนตัว” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโดยอาศัยเรื่องนี้ก็เป็นได้..

    หากจำกันได้ ย้อนกลับไปปี 2561 ตอนที่ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย รับตำแหน่งปลัดกระทรวงใหม่ๆ มีคำสั่ง “ย้ายสลับ” ผู้อำนวยการโรงพยาบาล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด จนทำให้เกิด “ม็อบหมอ” แต่งชุดดำประท้วงกันเต็มไปหมดเพราะหลายคนถูกย้ายแบบ “ข้ามหัว”

    หนึ่งในคนที่โดนย้ายคือ นพ.ชาญชัย ถูกย้ายจากโรงพยาบาลขอนแก่น ไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี และให้ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมแพ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ผู้ใกล้ชิดปลัดกระทรวง มาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่นแทน

    แน่นอน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย ที่จะย้ายกันภายในจังหวัดจากโรงพยาบาลที่เล็กกว่าขึ้นไปโรงพยาบาลใหญ่รวดเดียว แล้ว “เตะ” ผู้อำนวยการคนเก่าจากภาคอีสานไปอยู่จันทบุรี โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องมาก่อน

    รอบนั้น หมอเกรียงศักดิ์ กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” มาแล้วรอบนึง เมื่อชาวโรงพยาบาลขอนแก่นแต่งชุดดำค้านคำสั่งย้ายหมอชาญชัย และค้านไม่ให้หมอเกรียงศักดิ์มาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น

    จนในที่สุด ปลัดสุขุม ก็ต้องออกคำสั่งใหม่ ย้ายหมอเกรียงศักดิ์ไปอยู่ที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรีแทน แล้วเอาหมอชาญชัย กลับมาขอนแก่น เพื่อลดกระแสคัดค้าน

    รอบนี้ เมื่อมีการพยายามตั้งกรรมการสอบหมอชาญชัย ชาวโรงพยาบาลขอนแก่นจึงพุ่งเป้าไปที่ “หมอเกรียงศักดิ์” ว่าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทันที

    เพราะต้องไม่ลืมว่า ตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมา หมอเกรียงศักดิ์นั้น นอกจากมีคนเห็นว่าเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวห้องทำงานปลัดกระทรวงอยู่บ่อยๆ แล้ว ยังมีเสียงครหาอีกว่าในการจัดทำ “โผ” แต่งตั้งโยกย้าย ไม่ว่าจะในระดับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด หรือผู้อำนวยการโรงพยาบาลนั้น ก็เป็นเขานี่แหละที่ทำโผ

    ไม่เพียงเท่านั้น เกรียงศักดิ์ ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับ อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข รู้จักกันมาเป็น 10 ปี และอนุทิน ก็เคยพูดเองว่าถึงใครจะว่าเกรียงศักดิ์เป็นหมอ “มาเฟีย” แต่ก็เป็น “มาเฟีย” ที่ทำประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง

    เพราะฉะนั้น 1 ปีที่ผ่านมา ชมรมแพทย์ชนบทที่วิจารณ์ รมว.สาธารณสุขทุกคน จึง “แตะ” อนุทินน้อยมาก เพราะรักใคร่ชอบพอกันดีกับรัฐมนตรีคนนี้ และพรรคภูมิใจไทย

    จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากกลุ่มแพทย์ในโรงพยาบาลจะตั้งข้อสังเกตว่ามีความพยายามพาหมอเกรียงศักดิ์กลับบ้านไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ด้วยการย้ายหมอชาญชัยออกไปเพื่อ “เปิดทาง”

    แต่รอบนี้ หากจะเล่นเกมนี้ ก็ต้องบอกว่า “ตื้น” ไปหน่อย เพราะขืนเหาะมา ด้วยการย้ายคนเก่าออก ใครๆ เขาก็รู้ทันกันหมดแล้ว แล้วถ้าหมอเกรียงศักดิ์มา ก็อาจเจอแรงต้าน ต้องเจ็บตัวเปล่าๆ ดีไม่ดี อาจลามไปถึงกระแสต้านแพทย์ชนบท ต้านปลัด ไล่รัฐมนตรี ก็ได้

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ เร่งสอบสวนให้ได้ผลจริง ว่ามีการเรียกรับเปอร์เซ็นต์จริงหรือไม่ และหากจะต้องย้าย นพ.ชาญชัยออก ย้าย นพ.เกรียงศักดิ์ เข้าแทน ก็ควรจะตอบสังคมให้ได้ ตอบองค์กรแพทย์โรงพยาบาลขอนแก่นให้ได้ว่า ในบรรดาแพทย์ที่มีคุณสมบัติเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั้งหมด คนอื่น “มือไม่ถึง” หรืออย่างไร ถึงต้องเอาหมอเกรียงศักดิ์มาเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลนี้เท่านั้น

    อย่าลืมว่าการเมืองหมอนั้นเล่นกันแรง ดีไม่ดีอาจเป็นระเบิดลูกใหม่ และอาจสร้างแรงกระเพื่อมให้ทั้งปลัด ทั้งรัฐมนตรี “เหงื่อตก” มากกว่าโรคโควิด -19 เสียอีก

    #กระทรวงสาธารณสุข #ย้ายหมอ #โรงพยาบาลขอนแก่น #โรงพยาบาลพระปกเกล้า

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก Gossipสาสุข

    นายกฯ จีนยอมรับ
    “ระบบสุขภาพ” มีข้อผิดพลาด
    ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น
    .
    .
    นายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เค่อเฉียง แถลงข่าวเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่า การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้สะท้อนให้เห็นว่าระบบสุขภาพจีนยังมี “จุดอ่อน” อยู่บางจุด โดยเฉพาะการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข
    .
    “หลายสิ่งหลายอย่างที่ประชาชนแสดงออก และให้คำแนะนำ สมควรที่จะได้รับความสนใจจากรัฐมากกว่านี้” นายกฯ จีนระบุ
    .
    เพราะฉะนั้น การทำงาน – หน้าที่หลายๆ อย่างของรัฐบาล สมควรได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ให้ตรงกับความคาดหวังของประชาชนมากขึ้น และ “ชีวิต” ทุกชีวิต คือสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด ซึ่งวิกฤตโคโรนาไวรัส จะทำให้รัฐบาลยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศให้ดีขึ้นกว่าเดิม
    .
    นอกจากนี้ นายกหลี่ ยังสัญญาว่าจะ “ยกเครื่อง” ระบบป้องกัน – ควบคุมโรคติดต่อให้ดีกว่าเดิม โดยจะเริ่มต้นจาก “ระบบแจ้งเตือน” และจะเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับโรคติดต่ออย่างรวดเร็ว โปร่งใส ให้สาธารณชนรับรู้ทุกขั้นตอน ควบคู่ไปกับการลงทุนเพื่อพัฒนาวัคซีน ยารักษาโรค ไปจนถึงสร้างโรงพยาบาลเพิ่มเติม
    .
    สำนักงานองค์การอนามัยโลกประจำประเทศจีน ระบุว่า บทเรียนสำคัญจากโรคโควิด – 19 คือ นโยบาย Health in-All Policies หรือ “สุขภาพ” อยู่ในทุกนโยบาย – ทุกมิติ นั้นสำคัญมาก และหลักการ OneHealth “สุขภาพหนึ่งเดียว” โดยร่วมมือทุกหน่วยงานสาธารณสุขเพื่อควบคุมโรค ป้องกันโรค และรักษาโรคนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะสำหรับหน่วยงานรัฐเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนด้วย
    .
    นายกหลี่ ยังบอกอีกว่า โคโรนาไวรัส 2019 นั้น ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญที่สุด และท้าทายที่สุดสำหรับระบบสาธารณสุขจีน นับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศในปี 1949
    .
    แม้จะได้รับเสียงชื่นชมว่าสามารถจัดการได้รวดเร็ว จนผู้ติดเชื้อต่อวันล่าสุดเหลือ 0 และสามารถเปิดเมือง เปิดธุรกิจทุกอย่างได้โดยใช้เวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่ง จีนก็ถูกวิจารณ์ทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ เรื่องการปกปิดข้อมูล และเป็น “ต้นกำเนิด” ทำให้เกิดการระบาดไปทั่วโลก
    .
    แผลสำคัญที่สุด ก็คือ การดำเนินคดีกับ นพ.หลี่ เหวินเหลียง ผู้ที่ออกมาเปิดเผยว่ามีโรคระบาด “ลึกลับ” เกิดขึ้นในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. ในข้อหาเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ทำให้สังคมตื่นตระหนก รวมถึงการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้นานกว่า 1 เดือน กระทั่งมีการแพร่กระจายของโรคไปยังวงกว้าง และ นพ.หลี่ เหวินเหลียง ก็เสียชีวิตด้วยโรคโควิด – 19 ในเวลาต่อมา
    .
    ทั้งหมดนี้ ยังไม่นับรวมเรื่องที่หลายประเทศกล่าวหาจีนว่าโคโรนาไวรัส 2019 ไม่ได้มาจากตลาดซีฟู้ด กลางอู่ฮั่น หากแต่หลุดจากห้องแล็บ ซึ่งแม้จีนจะปฏิเสธมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้มีการสอบสวนต้นกำเนิดไวรัสอย่างจริงจัง ตลาดซีฟู้ดกลางอู่ฮั่นนั้นถูก “บิ๊กคลีนนิ่ง” ตั้งแต่วันแรก หลังมีข่าวว่าเป็นต้นกำเนิดเชื้อ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปสอบสวนเส้นทางโรคได้ และกว่าจีนจะอนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลกเข้าไปในจีน เพื่อตรวจสอบแหล่งกำเนิดของการระบาด ก็ปาเข้าไปกลางเดือน ก.พ. ซึ่งหลักฐานหลายอย่างเลือนลางไปหมดแล้ว
    .
    ความล่าช้าของระบบแจ้งเตือน และการ “ปิดข่าว” จึงเป็นแผลสำคัญซึ่งสั่นคลอนรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน และอำนาจเบ็ดเสร็จของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขณะเดียวกัน ในเวทีการเมืองโลก ก็ยังกลายเป็นประเด็นใหญ่ เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ออกมาบริภาษทุกวี่วันว่าไวรัสนี้ เป็นไวรัสจีน และมีหลักฐานสำคัญว่าจีน อยู่เบื้องหลังความสะเพร่า ที่ทำให้ไวรัสนี้ระบาดไปทั่วโลก
    .
    แน่นอน จีนปฏิเสธข้อกล่าวหามาตลอด ซ้ำยังยืนยันว่ารัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนเองจัดการได้ดีแล้ว และให้ความร่วมมือ ส่งข้อมูลให้กับองค์การอนามัยโลกในการจัดการเชื้อไวรัสทุกขั้นตอน
    .
    การออกมายอมรับของนายกฯ หลี่ จึงเป็นจุดหักเหสำคัญ ที่ทำให้เห็นว่าในที่สุดจีนก็เปลี่ยนท่าที ยอมรับว่าการจัดการไวรัส มี “จุดอ่อน” จริง
    .
    ด้าน หยาง กงหวน อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคติดต่อจีน เรียกร้องให้จีนหา “ผู้รับผิดชอบ” หากสอบสวนแล้วพบว่าระบบ “เตือนภัย” การระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 มีปัญหาจริง รวมถึงให้มีการทำรายงานสรุปอย่างละเอียดว่ามีข้อผิดพลาดอย่างไร เพื่อนำบทเรียนดังกล่าวไปพัฒนาระบบแจ้งเตือนโรคติดต่อในอนาคตต่อไป
    .
    ส่วนหลิว กวน ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข มหาวิทยาลัยปักกิ่ง กล่าวว่า สิ่งที่จีนต้องเรียนรู้ก็คือ กลไกการรายงาน – สอบสวนเส้นทางโรคติดต่อ ควรจะโปร่งใสกว่านี้ และควรต้องสร้างระบบเพื่อให้เป็นเรื่องสาธารณสุข เรื่องวิชาการล้วนๆ ไม่ให้ฝ่าย ‘การเมือง’ เข้ามาแทรกแซง หรือสร้างความหวาดกลัวกับผู้ที่ทำงานหน้างานจริงได้
    .
    เขายังแนะนำอีกว่า รัฐบาลควรสถาปนากฎหมายใหม่ ให้ชัดเจนไปเลยว่า หากใครจงใจปิดข้อมูล ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลสำคัญต่อสาธารณชน จำเป็นต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย
    .
    ล่าสุด จาง เยซุย โฆษกพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวว่า รัฐบาลอยู่ในระหว่างตั้ง “คณะทำงานพิเศษ” เพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย 17 ฉบับ ในช่วงเวลา 2 ปีหลังจากนี้ รวมถึงจะปรับปรุง กฎหมาย 13 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการจัดการโรคระบาด โดยหนึ่งในนั้นคือกฎหมาย “ความมั่นคงทางชีวภาพ” หรือ Biosecurity ให้จบภายใน 1 ปี
    .
    การเปลี่ยนท่าทีของจีนรอบนี้ นับว่าน่าสนใจยิ่ง และหากจีนสามารถสอบสวนจนหาต้นตอของการระบาดได้ “แรงกดดัน” จากนานาชาติให้จีนรับผิดชอบ ก็จะค่อยๆ เลือนหายไปเอง

    #covid19 #โควิด19 #จีน

    อ้างอิงจาก

    https://www.scmp.com/news/china/soc...-coronavirus-exposed-weak-links-health-system

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำรวจมาตรการ
    หลังโรงเรียนทยอยเปิดทั่วโลก
    ไทยช้าสุดลากยาวถึง ก.ค.
    .
    .
    สถานการณ์การระบาดของโควิด – 19 ทั่วเอเชีย เริ่มใกล้เคียงปกติ Hot Spot ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ จีน สิงคโปร์ หรือไทย ต่างก็สงบลง พื้นที่ที่ห่วงกันว่าจะระบาดรอบ 2 อย่างเกาหลีใต้ ก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว คงเหลือเพียงประเทศที่มีประชากรจำนวนมากอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อินเดีย หรือ บังกลาเทศเท่านั้น ที่ยังอยู่ในสถานะลูกผีลูกคน
    .
    มาตรการขั้นต่อไปของประเทศเหล่านี้คือการเร่งเปิด “โรงเรียน” เพื่อให้ระบบการศึกษายังเดินหน้าต่อได้ เด็กไม่ต้องอยู่กับบ้านโดยไม่มีสังคมจนยาวนานเกินไป เพราะต้องไม่ลืมว่า ตราบใดที่โรงเรียนยังไม่เปิด เด็กจะต้องอยู่ที่บ้านกับผู้ปกครอง เมื่อถึงเวลาที่เมืองเริ่มเปิด ผู้ปกครองเริ่มไปทำงาน เด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็กจะไม่มีใครอยู่ด้วย ต้องอยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย หรือติดตามผู้ปกครองไปที่ทำงานด้วย
    .
    แม้จะมีความพยายามทดลองเรียนออนไลน์ เรียนรู้ด้วยตัวเองที่บ้าน แต่นักการศึกษา นักจิตวิทยาเด็กก็ยืนยันว่า ไม่มีอะไรที่ดีเท่ากับการให้เด็กกลับไปอยู่ใน “สังคม” โรงเรียน ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน และสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่าหน้าจอทีวี
    .
    แต่การเปิดโรงเรียนก็คือการยอมรับความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เพราะแม้ว่าจะมีมาตรการอย่างการวัดไข้ การใส่หน้ากาก การบังคับให้ใส่ Face Shield ขณะเรียน หรือเว้นระยะห่างทางสังคม ทว่า กิจกรรมหลายอย่างที่ต้องทำร่วมกัน และความเป็นเด็ก ที่ผู้ใหญ่ไม่สามารถควบคุมการใช้ชีวิตได้ตลอดเวลา ก็ทำให้รัฐบาลหลายประเทศกังวล
    .
    ยิ่งมีข่าวว่าในฝรั่งเศส มีเด็กติดเชื้อ 70 คน ในโรงเรียน 7 แห่ง สัปดาห์แรกของการเปิดเรียน หลังทดลองเปิดโรงเรียนพรวดเดียว 4 หมื่นแห่ง และยิ่งมีข่าวว่าอาจมี “โรคประหลาด” ในเด็ก โดยมีอาการอักเสบในหลอดเลือด คล้ายโรคคาวาซากิ ซึ่งในอังกฤษมีเด็กป่วย 8 ราย และในนิวยอร์ค ที่เคยเป็นจุดศูนย์กลางการระบาดของโควิด – 19 ก็ยิ่งทำให้ทั่วโลกตื่นตัวการเปิดโรงเรียนมากเข้าไปใหญ่
    .
    อย่างไรก็ตาม ในฝรั่งเศส ยังคงเดินหน้าการเปิดโรงเรียนต่อ เช่นเดียวกับเยอรมัน เดนมาร์ก และออสเตรีย ซึ่งโรงเรียนเปิดหมดแล้วตั้งแต่ ต้น – กลางเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา แม้ประเทศเหล่านี้ยังมีผู้ติดเชื้อรายวันตั้งแต่หลักสิบ – หลักร้อย แต่ก็ถือว่าลดลงมากจากในช่วงพีค เดือน มี.ค. – เม.ย.
    .
    ส่วนโรคประหลาดในเด็กนั้น จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มี “อัตราเร่ง” จนน่ากังวล เพียงแต่ต้องค้นพบสาเหตุให้มากกว่านี้ ลึกกว่านี้ จึงจะบอกว่าโรงเรียน เป็นสถานที่อันตรายได้
    .
    จนถึงขณะนี้ หลายประเทศในเอเชีย ตัดสินใจเปิดโรงเรียน ยอมรับความเสี่ยงบ้าง.. เริ่มจากเกาหลีใต้ ที่เปิดโรงเรียนครบทุกระดับชั้น ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้ว แม้จะมีการลงชื่อผู้ปกครองออนไลน์ เลื่อนเปิดโรงเรียนออกไป เพราะห่วงว่าจะเกิด Second Wave เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มี “คลัสเตอร์” ใหม่ที่ผับย่านอีแทวอนพอดี
    .
    แต่กระทรวงศึกษาธิการเกาหลี ยืนยันว่าดีเลย์ออกไปไม่ได้ เพราะจะกระทบกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับชาติ หรือสอบ CSAT ที่เลื่อนไปแล้วรอบหนึ่งจากเดือน พ.ย. เป็น ธ.ค. ซึ่งหากเลื่อนต่อ จะกระทบกับไทม์ไลน์การเรียนของเด็กมัธยมปลายแน่นอน
    .
    มาตรการของเกาหลี คือการวัดอุณหภูมินักเรียนทุกคน ตั้งเจลล้างมือทุกจุด ให้นักเรียนสวมหน้ากากขณะเรียน มีแผ่นพลาสติกใสกั้นบริเวณโต๊ะเรียน และจัดโต๊ะกินข้าวในรูปแบบ “ซิกแซ็ก” ลดการเผชิญหน้า ไปจนถึงนำพาชนะรับประทานอาหารมาจากบ้านเอง
    .
    วันแรกของการเปิดเรียน มีโรงเรียนปิดไปราว 66 แห่ง จาก 2,356 แห่ง เนื่องจากมีเคสที่โยงจากผับอีแทวอนในโรงเรียน และผลตรวจไข้พบนักเรียนบางคนมีไข้สูง อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาฯ เกาหลี บอกว่าเป็นเพียงส่วนน้อย และความเสี่ยงเหล่านี้ เกาหลีสามารถยอมรับได้
    .
    อีกประเทศหนึ่งที่เริ่มเปิดเรียนคือเวียดนาม หลังจากผู้ติดเชื้อเป็น 0 นาน 3 สัปดาห์ เวียดนามตัดสินใจเปิดการเรียนการสอนตามปกติอาทิตย์ที่แล้ว โดยให้นักเรียนสวมหน้ากากอนามัย มีการวัดอุณหภูมิก่อนเข้าโรงเรียนเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ครูยังแจกเจลล้างมืออย่างต่อเนื่อง
    .
    เช่นเดียวกับญี่ปุ่น สัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลท้องถิ่นในหลายจังหวัด เช่น จังหวัดยามากะตะ จังหวัดโทยาม่า เริ่มเปิดโรงเรียนแล้ว ตามหลังจังหวัดอิวาเตะ ที่เปิดเรียนไปก่อนหน้านี้ หลังไม่มียอดผู้ติดเชื้อต่อเนื่องหลายวัน ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จังหวัดเกียวโต เริ่มเปิดเรียน และเมืองใหญ่ทั่วญี่ปุ่น ก็คาดว่าจะเปิดเรียนภายในเดือน มิ.ย. นี้
    .
    ส่วนฮ่องกง ซึ่งมีผู้ติดเชื้อ 0 คนต่อเนื่องนานหลายวัน ก็เปิดเรียนวันแรกในวันที่ 27 พ.ค. หลังจากชิมลางเปิดเรียนโรงเรียนนานาชาติมาแล้วก่อนหน้านี้ สำหรับมาตรการที่ใช้ อาทิ การลดเวลา – เหลื่อมเวลา เพิ่มลดความแออัด รวมถึงจัดเวลากินข้าวกลางวันใหม่ การจัดที่นั่งให้ห่างกัน รวมถึงติดกล้องสแกนอุณหภูมิร่างกายไว้ที่หน้าโรงเรียน
    .
    สำหรับไทย ถือเป็นประเทศที่เปิดโรงเรียนช้าที่สุด โดยเลื่อนวันเปิดเทอมไปไว้ที่วันที่ 1 ก.ค. ทุกระดับชั้น อนุญาตให้เปิดเพียง “โรงเรียนนานาชาติ” และ “โรงเรียนประจำ” ก่อน โดยกระทรวงศึกษาธิการระบุว่า เพราะมีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า ควบคุมมาตรการ Social Distancing ได้ง่ายกว่า
    .
    ความท้าทายก็คือ ระบบโรงเรียนไทย ที่โรงเรียนรัฐบางแห่งมีเด็กนักเรียนสูงถึง 40-50 คนต่อ 1 ห้องเรียน (ซึ่งกระทรวงฯ พยายามจะลด – เหลื่อมเวลาให้เหลือ 20 คน หลังจากเปิดเทอม ซึ่งไม่น่าจะทำได้!) และหลายโรงเรียน มีนักเรียนระดับ 2,000 – 3,000 คน จะจัดการเรียนการสอนอย่างไร เพื่อให้ลดระยะห่างได้ และลดความเสี่ยงการแพร่กระจายโรคได้จริง
    .
    เพราะต้องไม่ลืมว่า ช่วงเวลาที่โรงเรียนเปิด ไม่ใช่แค่โรงเรียนเท่านั้นที่แน่น แต่ในเขตเมืองใหญ่ รถประจำทาง รถสองแถว ไปจนถึงรถไฟฟ้า ก็จะมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีกมากในช่วงเปิดเทอม
    .
    และในช่วงเวลานั้น ทั้งออฟฟิศเอกชน ทั้งสถานที่ราชการ น่าจะเปิดตามปกติแล้ว
    .
    คิดภาพตามหลังจากนี้ หากยังใช้มาตรการการจัดการที่ “ตึง” อยู่ ยังเคร่งครัดเรื่องการเว้นระยะห่าง การจำกัดจำนวนคนบนรถไฟฟ้า รถเมล์ รวมถึงการใช้ชีวิตในโรงเรียน – การทำกิจกรรมในแบบ New Normal น่าจะ “ป่วน” ระบบโรงเรียนไทยไม่น้อย..

    #covid19 #โควิด19 #เปิดเทอม #เปิดโรงเรียน

    อ้างอิงจาก

    https://www.insider.com/south-korea...iding-screens-canteen-classroom-photos-2020-5

    https://www.thejakartapost.com/seas...s-schools-after-easing-coronavirus-curbs.html

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ICON SIAM จะไปเปิดที่กัมพูชา?
    .
    บอกก่อนว่าแอตเห็นแล้วแปลกใจ เพราะไม่มีข่าวในบ้านเราเลย แต่ในเพจของเขาระบุว่า
    *
    ➜ the biggest Supermarket in ThaiLand has arrived in Cambodia .
    location in Satellite city Chroy ChongVa. Don’t be late ‼️
    *
    เลยกลายเป็นที่น่าคิดว่า ICON SIAM ไปเปิดที่นั้นจริงๆหรือแค่โครงการที่อ้างชื่อ
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อมีม็อบยืนขวางรถเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหารในอเมริกา
    เดาสิ จะเกิดอะไรขึ้น
    เจ้าหน้าที่จะระดมยิงกระสุนยางขู่ใส่ม็อบ.......จนต้องถอยออกจากทาง
    ภาพชุดนี้เหตุเกิดที่เดนเวอร์ #Denver

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจ้าก้อนขน??? ตัวอะไรหนอ?
    .
    เป็นสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่จนท.ยังเดาไม่ค่อยถูกว่าคืออะไร เพราะปกคลุมไปด้วยขนยาวสกปรกเกรอะกรัง ช่วยทำความสะอาดค่อยๆตัดขนออกให้ นน.ขนที่ตัดทิ้งรวมแล้วเกือบ1กิโลทำให้เห็นแมวน่าสงสารที่ไม่ได้เห็นโลกสดใสมานาน ทำความสะอาดเสร็จมีคนรับไปเลี้ยงทันที
    น้องแมวนั่งนิ่งให้ตัดขน..คงอดทนรอวันนี้มานาน ใบหน้าร้องไห้

    ขอบคุณภาพจาก: Arizona Humane Society CR TW #GratitudeDNA

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกิดเหตุฝนตกหนักฝ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดตรังถล่มลงมา

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว คัดค้านสุดตัว!!! เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขงอีสาน เรียกร้องรัฐบาลไทยแสดงจุดยืนคัดค้านการสร้าง 'เขื่อนสานะคาม' เหตุ-ส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ โดยระบุในแถลงการณ์เรื่อง "ข้อเสนอต่อสถานการณ์การผลักดันโครงการก่อสร้างเขื่อนสานะคาม บนแม่น้ำโขง" ตอนหนึ่งว่า...

    การเดินหน้าผลักดันโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขง ได้เกิดขึ้นมาอย่าต่อเนื่องในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงในเขตประเทศจีนไปแล้วกว่า 11 แห่ง และประเทศลาวมีเป้าหมายการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงจำนวน 7 แห่ง โดยแล้วเสร็จไปแล้ว 1 เขื่อนคือเขื่อนไซยะบุรี อีกทั้งยังมีเขื่อนบนแม่น้ำโขงอีก 2 แห่งที่อยู่ในแผนการก่อสร้าง มีที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำโขงพรมแดนไทย-ลาวคือ เขื่อนปากชม อ.ปากชม จ.เลย และเขื่อนบ้านกุ่ม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เขื่อนดังกล่าวเหล่านี้อยู่ในแผนการพัฒนาเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าที่เรียงรายเป็นขั้นบันไดตลอดตามลำแม่น้ำโขง ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเขื่อนแม่น้ำโขงในเขตประเทศจีน รวมทั้งเขื่อนไซยะบุรีในเขตประเทศลาวที่มีการเดินหน้ากักเก็บน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำโขงให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง

    ** จากสถานการณ์ปัญหาดังกล่าวข้างต้น มีข้อเสนอต่อรัฐบาลไทยและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องว่า รัฐไทยควรมีการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อสถานการณ์ปัญหา และผลกระทบทางด้านระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำโขงซึ่งเกิดขึ้นมาจากเขื่อนต่างๆ ในแม่น้ำโขง และรัฐบาลไทยควรมีการทบทวนจุดยืนในการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขง โดยเฉพาะเขื่อนสานะคามที่จะนำมาซึ่งหายนะภัยต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศของแม่น้ำโขง ที่สำคัญต้องมีการเปิดเผยข้อมูลและข้อเท็จจริง อย่างรอบด้านเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหา ผลกระทบที่เกิดจากการพัฒนาลุ่มน้ำโขงสู่สาธารณะ โดยเปิดพื้นที่ให้กับภาคประชาสังคมและภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม ในการนำเสนอปัญหาและเสนอทางเลือกด้านการพัฒนา และแนวทางการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น.
    --------------------------------------------------------
    อ่านต่อ : http://www.voicetv.co.th/read/MimEg...tPFBBPbJyoXDbSJx7CpIiVxVTgIl0oBs36X90Te-e6ZWE

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว กรอบจวนเจียนกินแกลบ!!!! สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ประเทศไทย ได้ทำการสำรวจแบบออนไลน์เรื่องผลกระทบด้านเศรษฐกิจในภาวะการระบาดโรค COVID-19 ซึ่งระบุว่า 73.2% ของคนไทยมีรายได้ลดลงหลังเกิดการระบาด โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 39.9 มีรายได้ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง และพบว่า ผู้มีการศึกษาต่ำมีความเสี่ยงที่จะมีรายได้ลดมากกว่าผู้มีรายได้สูง อนึ่ง 8% ของคนไทยย้ายที่อยู่ระหว่างการระบาด โดยคาดว่าเป็นการย้ายกลับภูมิลำเนา 16.2% กลายเป็นคนว่างงาน ในขณะที่ 1.7% ออกจากกำลังแรงงาน นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังระบุด้วยว่า ผู้ประกอบ 14% ของธุรกิจที่เคยมีลูกจ้างเกิน 10 คนได้ทำการปิดกิจการ อีก 12% ลดจำนวนลูกจ้างเหลือน้อยกว่า 10 คน มีเพียง 65% เท่านั้นที่ยังคงเปิดกิจการต่อ

    ** 70% ระบุว่า ทุกมาตรการ ‘ปิดเมือง’ ของรัฐบาลมีผลกระทบต่อการทำมาหากินทั้งสิ้น

    ความเห็นประชาชนต่อมาตรการช่วยเหลือจากรัฐ
    ▪️1 ใน 4 ระบุว่า ไม่สามารถปรับตัวรับผลกระทบจากมาตรการเหล่านี้ได้
    ▪️เกินกว่าครึ่งตอบว่า พอประคับประคองไปได้ถึงเดือนกรกฎาคมนี้เท่านั้น
    ▪️ส่วนใหญ่อยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแลและช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพ
    ▪️ส่วนใหญ่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น ไม่ได้เงิน 5,000 บาท.
    --------------------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://www.bltbangkok.com/news/231...O_5W1sE1rjgZi9YdS8GPa4lPFFTlxVH9sOeUD_uOdkyco

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [จีนไม่ใช่มหามิตร แต่เป็นผู้เอาเปรียบเห็นแก่ได้]

    #มอร์มูฟเป็นข่าว รัฐบาลไทยต้องมีจุดยืนในเรื่องนี้!!! เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขงอีสาน ออกแถลงการณ์เรื่อง "ข้อเสนอต่อสถานการณ์การผลักดันโครงการก่อสร้าง 'เขื่อนสานะคาม' บนแม่น้ำโขง" โดยมีเนื้อหาระบุว่า ท่ามกลางกระแสการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ทั่วทุกมุมโลก รัฐบาลแต่ละประเทศ รวมทั้งหน่วยงาน องค์กร และภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่างร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างขันแข็ง ด้วยความหวังที่จะรอดพันจากหายนะภัยที่มีต่อมวลมนุษยชาติในครั้งนี้ แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลลาวภายใต้ความร่วมมือกับบริษัทรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานจากประเทศจีน กลับฉวยโอกาสในสภาวะวิกฤติครั้งนี้ เร่งรัดผลักดันโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขง โครงการล่าสุดคือ เขื่อนสานะคาม

    ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขื่อนแม่น้ำโขงในเขตประเทศจีน รวมทั้งเขื่อนไซยะบุรี ในเขตประเทศลาวที่มีการเดินหน้ากักเก็บน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำโขงให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ได้แก่ การผันผวนของระดับน้ำที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาล เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการพังทลายของตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำโขงกับพื้นที่เกษตรริมแม่น้ำโขง การลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพโดยเฉพาะพันธุ์ปลาและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในแม่น้ำโขง ปัญหาการดักตะกอนดินของเขื่อนตอนบนนำมา ซึ่งผลกระทบในด้านธาตุอาหารของระบบนิเวศแม่น้ำล่างและเกิดการเปลี่ยนสีของแม่น้ำอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สิ่งเหล่านี้เป็นผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบทางสังคมที่เกี่ยวโยงกับฐานความมั่นคงทางอาหารของชุมชนแม่น้ำโขงตอนล่างทั้ง 4 ประเทศ ชาวประมงพื้นบ้านต้องสูญเสียอาชีพกับรายได้ และคนในหลายชุมชนต้องสูญเสียพื้นที่ทางการเกษตรริมฝั่งแม่น้ำโขง ตลอดจนผลกระทบที่มีต่อแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติกับพื้นที่สำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ตลอดตามลำน้ำโขงได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ทำให้คนในชุมชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องต้องสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาล ฉะนั้น การผลักดันโครงการเขื่อนสานะคามจึงเป็นการตอกย้ำปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมในแม่น้ำโขงที่มีต่อชุมชนลุ่มน้ำโขงให้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างทบทวี.
    -----------------------------------------------------
    อ่านต่อ : http://www.voicetv.co.th/read/MimEg...tPFBBPbJyoXDbSJx7CpIiVxVTgIl0oBs36X90Te-e6ZWE

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Michael DiFato

    "การบิดของแม่เหล็กและการบีบอัดอย่างรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อสนามแม่เหล็กของโลกและดาวเคราะห์ X เกิดการจัดเรียงแบบเอนด์ - ทู - เอนด์ชั่วคราวที่ซึ่งแม่เหล็กที่ไหลออกจากขั้วแม่เหล็กของโลกไม่สามารถกลับมาสู่โลกได้เนื่องจากแม่เหล็้กที่ไหลออกถูกสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ของดาวเคราะห์ Xรวมหรือดูดซับ (บางสิ่ง) ไว้
    http://poleshift.ning.com/profiles/blogs/mangled-magnetosphere-march-2014?xg_source=activity
    FB_IMG_1590895219186.jpg
    "Magnetic twist and severe compressions occur when the magnetic fields of Earth and Planet X temporarily form an end-to-end alignment, where the magnetons flowing out from Earth's magnetic poles cannot return to Earth because they are subsumed by the larger magnetic field of Planet X".
    http://poleshift.ning.com/profiles/blogs/mangled-magnetosphere-march-2014?xg_source=activity

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สิงคโปรพร้อมรับนักท่องเที่ยว?
    .
    วันนี้สิงคโปรพบผู้ป่วยโควิด19 รายใหม่ 506 ราย แต่ก็ประกาศความพร้อมที่จะ เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาได้อีกครั้ง โดยจะใช้วิธีเปิดแบบ “ระเบียงท่องเที่ยว” หรือ “ทราเวลบับเบิล” สำหรับประเทศที่ควบคุมสถานการณ์โรคโควิด-19 ได้แล้ว
    จำนวนการติดเชื้อที่พบ กับความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เป็นคำถามน่าคิดว่าสิงคโปรพร้อมจริงๆหรือ?

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โรงแรมเลิกไปอีก1 แห่งโรงแรมบูรพาแถวสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน สามยอด สะพานเหล็กเก่า ที่ขายเกมส์

    IMG_20200531_102935.jpg IMG_20200531_102939.jpg IMG_20200531_102824.jpg IMG_20200531_102847.jpg IMG_20200531_102900.jpg
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แอร์เติมเงินแบบมือถือ....ชั่วโมงละ 4 บาท
    .
    บอกก่อนว่าไม่ได้รับเงินโฆษณามาแต่อย่างใดแต่เห็นว่าเรื่องนี้น่าสนใจและแปลกดี
    นี่เป็นโครงการของแอร์ Haier ร่วมกับ AIS ได้สร้างแคมเปญใหญ่ Smart Sharing AC “เย็นดีแค่ 4 บาท” โดยให้ทุกคนสามารถติดแอร์ที่บ้านได้ และคิดค่าใช้จ่ายเป็นชั่วโมงที่ใช้ ที่ 4 บาท/ต่อชั่วโมง มาพร้อมบริการและอุปกรณ์ติดตั้งฟรี มีบริการหลังการขาย รวมถึงเมื่อใช้ครบ 5,200 ชั่วโมง ภายในระยะเวลาสัญญา 3 ปี รับเครื่องปรับอากาศฟรี*
    หลายคนอาจงง ๆ ว่าแบบนี้ ไฮเออร์ จะรู้ได้ไงว่าเราใช้แอร์ไปกี่ชั่วโมง จะหักเงินอย่างไร ต้องให้ทีมงานมากดเครื่องจับเวลาที่หน้าบ้านเราหรือ? ก็คงไม่ใช่
    แคมเปญนี้ ไฮเออร์ จึงได้ดึงเอานวัตกรรม NB-IoT จาก AIS มาใช้ โดยที่แอร์เราไม่ต้องต่อ Wi-Fi หรือใส่ซิมอะไรเลย เพราะเครื่องจะเชื่อมต่อกับสัญญาณ NB-IoT ของ AIS ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศแบบอัตโนมัติ
    ใครที่สนใจสามารถสอบถามอ่านรายละเอียด ข้อตกลง และข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line @haierthailand หรือ Facebook Page: Haier Website: https://www.haier.com/th/

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เป็นเรื่อง เจ้าชายเบลเยียมติดโควิด-19 หลังร่วมงานปาร์ตี้ฝืนล็อกดาวน์
    เจ้าชายโยอาคิม แห่งเบลเยียม ทรงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังทรงร่วมงานปาร์ตี้ในประเทศสเปน ซึ่งตำรวจกำลังสืบสวนว่า งานปาร์ตี้ดังกล่าวละเมิดคำสั่งล็อกดาวน์หรือไม่
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย เอาด้วย กมธ.วิสามัญ
    ฝ่ายค้านฉะ “บิ๊กตู่” เย็นชาต่อระบบรัฐสภา “อนุดิษฐ์” ปูดผู้มากบารมีเริ่มตั้งโต๊ะแบ่งเค้ก “จิรายุ” ให้ระวังข้อครหามุบมิบใช้เงินก้าวไกลไม่ไว้ใจองค์กรตรวจสอบยุคนี้
    Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘หญิงหน่อย’ สับ ‘บิ๊กตู่’ ล้มเหลวแก้เศรษฐกิจ โยนโควิด 19 เป็นแพะรับบาป

    คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า จากการได้ฟังนายกประยุทธ์พูดชี้แจงในสภา ตลอด 4-5 วันที่ที่ผ่ามา จนถึงวันนี้ที่ต้องลงมติ พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับสรุปได้ว่า COVID-19 กลายเป็น “แพะรับบาป” ความล้มเหลวในการแก้เศรษฐกิจของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์เศรษฐกิจก่อน COVID-19 ก็ย่ำแย่มาเรื่อย ตั้งแต่หลังการทำรัฐประหารปี2557 จะเห็นได้จากการจัดเก็บภาษีที่ต่ำกว่าประมาณการมาโดยตลอด แสดงว่าคนไทยไม่มีกำลังซื้อหรือรายได้ต่ำ หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ปัจจุบันเฉลี่ยเกิน 80% ของ GDP แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คนไทยมีรายได้ต่ำ ไม่พอค่าครองชีพ ภาระหนี้สินจึงสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่อันตรายมาก

    ความจริงที่ปรากฏคือ 6 ปีมานี้ คนไทยส่วนใหญ่ยากจนลง ทำมาหากินฝืดเคือง ตั้งแต่เกษตรกรที่ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว เจอทั้งปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ซ้ำเติมด้วยภัยแล้งและน้ำท่วม จนถึงธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง ทั้งหลายที่รายได้หดหาย เพราะกำลังซื้อภายในประเทศตกต่ำต่อเนื่องมาตลอด 6 ปี ที่ พลเอกประยุทธ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี จนธุรกิจต้องทยอยปิดตัวลง

    สิ่งที่น่าห่วงคือ พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินไปมากที่สุด ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ใช้งบประมาณแผ่นดินไปแล้วกว่า 17.5 ล้านล้านบาท ตั้งแต่ปี 2558-2563 แต่ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้เลย กลับย่ำแย่ลงทุกปี นอกจากนั้น รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ยังได้สร้างหนี้สินไว้มากมาย ตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 นายกรัฐมนตรีที่ชื่อพลเอกประยุทธ์ได้สร้างหนี้ให้คนไทยไปแล้วกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ซึ่งถ้านับรวมการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ที่จะเอามาสู้วิกฤต COVID-19 และต้องกู้มาชดเชยการขาดดุลของปีงบประมาณปี 2564 อีกเกือบ 500,000 ล้านบาท นายกรัฐมนตรีที่ชื่อพลเอกประยุทธ์จะสร้างหนี้รวมทั้งหมดสูงถึง 4 ล้านล้านบาท ที่จะเป็นภาระให้คนไทยทุกคนต้องใช้หนี้กันไปชั่วลูกชั่วหลานเลยทีเดียว

    การพิจารณา พ.ร.ก. 3 ฉบับในสภาตลอดสัปดาห์นี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับพี่น้องชาวไทย เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์กู้มา คือ ภาระหนี้สินของประชาชนทุกคนที่ต้องแบกรับ ไม่ใช่เงินที่ได้มาฟรี ๆ โดยเพื่อไทยเราเห็นความจำเป็นในการใช้เงินเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ต้องเอามาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้มีการทุจริตดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ในการควบคุมดูแลให้มีการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยความโปร่งใส โดยเราขอเสนอให้มีการดำเนินการดังต่อไปนี้

    1. ตั้งกรรมาธิการวิสามัญติดตามตรวจสอบการใช้เงินกู้ เพื่อให้รัฐบาลใช้เงินกู้ก้อนนี้อย่างมีประสิทธิภาพ และโปร่งใส

    2. เสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท เพื่อให้มีกลไกการตรวจสอบจากตัวแทนประชาชน

    3.เสนอให้มีการรายงานการใช้เงินกู้ต่อสภาทุก 3 เดือน

    ซึ่งเราหวังว่า ถ้ารัฐบาลมีความจริงใจ และบริสุทธิ์ใจ จะได้สนับสนุนข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทั้ง 3 ข้อเสนอ ขอพี่น้องประชาชนช่วยกันสนับสนุนด้วยนะค่ะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนคนไทยทุกคน

    The post ‘หญิงหน่อย’ สับ ‘บิ๊กตู่’ ล้มเหลวแก้เศรษฐกิจ โยนโควิด 19 เป็นแพะรับบาป appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เดินหน้าโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อชุมชน ดัน 5 วิทยาลัยเกษตรฯ นำร่องโมเดลต้นแบบ “เก็บน้ำใต้ดิน”

    นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า หลังจากที่ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แต่งตั้งคณะทำงานโครงการจัดการน้ำเพื่อชุมชนโดยคุณหญิงกัลยาตามแนวพระราชดำริ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำเพื่อชุมชน สืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ช่วยเกษตรกร ให้มีน้ำใช้ แก้ปัญหาความยากจน เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น

    ขณะนี้โครงการดังกล่าวได้มีความคืบหน้าไปจากเดิม โดยจะเริ่มต้นทำโครงการในพื้นที่ของวิทยาลัยเกษตรที่มีความพร้อมก่อน โดยในเบื้องต้นมี 5 วิทยาลัยที่ได้แสดงเจตจำนงในการทำโครงการนำร่องได้แก่วิทยาลัยเกษตรจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร มหาสารคาม ร้อยเอ็ดและศรีสะเกษ เพื่อสร้างโมเดลต้นแบบการเก็บน้ำไว้ใต้ดิน ก่อนขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ



    นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ



    นางดรุณวรรณ กล่าวว่า เป้าหมายของการขับเคลื่อนโครงการ นอกจากจะใช้พื้นที่ของวิทยาลัยเกษตรและประมงที่มี 47 แห่งทั่วประเทศแล้ว ยังจะขยายผลไปยังชุมชนพื้นที่ใกล้เคียง โดยให้วิทยาลัยเกษตรทำหน้าที่เป็นแกนนำหลักด้านองค์ความรู้ที่จะได้รับการถ่ายทอดจากผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำในชุมชน ที่เป็นคณะทำงานของโครงการ โดยจะมีศูนย์เรียนรู้ภายในวิทยาลัยเพื่อใช้เป็นห้องปฏิบัติการสำหรับชลกร มีการจัดทำหลักสูตรพร้อมจัดอบรมครูอาชีวเกษตรและแกนนำนักเรียน ที่จะนำมาพัฒนาเป็นชลกร คือผู้ทำงานด้านการจัดการน้ำสำหรับชุมชนต่อไปในอนาคต เพื่อทำหน้าที่แนะนำคนในชุมชน ช่วยสอนชาวบ้านให้มีความรู้เรื่องการจัดการน้ำในชุมชน ให้สามารถดำเนินการต่อเองได้



    ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ



    โดยคุณหญิงกัลยาได้ให้แนวทางกับคณะทำงานไว้ว่า “การบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน มีหลักสําคัญตามพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงตรัสไว้ว่า …ต้องมีน้ำ น้ำบริโภคและน้ำใช้ น้ำเพื่อการเพราะปลูก เพราะชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำ คนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้…และจะใช้สามแนวทางตามแนวพระราชดำริ ที่ได้ทรงพระราชทานไว้คื



    1. มีที่ให้น้ำอยู่

    2.มีที่ให้น้ำไหล และ

    3. เก็บน้ำไว้ใต้ดิน



    ทั้งนี้ คณะทำงานโครงการฯ จะเริ่มต้นสำรวจพื้นที่เพื่อใช้สำหรับเก็บน้ำไว้ใต้ดิน เนื่องจากขณะนี้เข้าสู่ฤดูฝน จึงต้องรีบดำเนินการให้ทันเพื่อเร่งกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ โดยจะใช้หลักการธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ประหยัด เพื่อให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ในการประกอบอาชีพ และจะพัฒนาไปยังขั้นตอนอื่นๆ ต่อไปตามลำดับ

    The post เดินหน้าโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อชุมชน ดัน 5 วิทยาลัยเกษตรฯ นำร่องโมเดลต้นแบบ “เก็บน้ำใต้ดิน” appeared first on SpringNews.

    Source : #Springnews #สปริงนิวส์

     

แชร์หน้านี้

Loading...