ติดตามสถานะการณ์

น้ำป่าเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านน้ำพรมอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก หลังน้ำป่า เอ่อล้นตลิ่ง เข้าท่วม ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา

เมื่อกลางดึกที่ผ่านมาได้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่บ้านน้ำพรม ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง พิษณุโลก โดยมีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายหลังน้ำได้ไหลทะลักเข้าท่วม พื้นที่ภายในบ้าน เมื่อกลางดึกที่ผ่านมาขณะไม่ทันตั้งตัว หลัง มีฝนตกติดต่อกันนานหลายชั่วโมง ส่งผลให้น้ำไหลเอ่อ ลงจากเขาเข้าท่วมพื้นที่หมู่บ้าน

ล่าสุดเช้าวันนี้ด้านนายสมพงษ์ พิมเสน ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ได้ออกตรวจสอบความเสียหายพร้อมทั้งเร่งช่วยกันดำเนินการเก็บกวาดเศษซากขยะที่ไหลมากับน้ำและดินโคลนออกจากหมู่บ้าน พร้อมกับเปิดเผยว่า ปีนี้ สถานการณ์ ฝนตกหนักมาเร็วกว่าทุกปี ส่งผลให้ในลำน้ำเข็ก มีปริมาณน้ำมากและไหลรุนแรงประกอบกับพื้นที่ต้นน้ำ ด้านจังหวัดเพชรบูรณ์มีฝนตกลงมาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องจึงทำให้มีปริมาณน้ำสะสมในพื้นที่ และ มวลน้ำทั้งหมดได้ไหลลงลำน้ำเข็ก ส่งผลให้เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ต่ำ ซึ่งหลังจากนี้คงต้องแจ้งชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบบริเวณริมน้ำให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ฝนตกในพื้นที่อย่างต่อเนื่องต่อไป.

 

หลังฝนตกเกิดทะเลหมอกสวยงามที่ร่องกล้าอำเภอนครไทย

วันนี้( 31 พ.ค.) ทีมข่าวรายงานว่า ในช่วงนี้ฝนได้เริ่มตกทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่จังหวัดพิษณุโลก ที่ได้มีฝนตกทั่วทั้งจังหวัด ส่งผลให้เกิดเห็นทะเลหมอก ไปทั่วโดยเฉพาะบริเวณยอดดอย ต่างๆ โดยที่จุดชมวิวร่องกล้าฮั้นแน้ว อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อ.นครไทย จ.พิษณุโลก จุดพักรถ ณ โค้งศาลาชมวิวก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯ 4 กิโลเมตร สภาพอากาศเริ่มเย็นสบายตลอดทั้งวะน อุณหภูมิต่ำสุดระยะนี้อยู่ที่ 17 องศาเซลเซียส หลังจากฝนตกใหม่ ก็เกิดทะเลหมอก ที่ปกคลุม ทั่ว ต.หนองกะท้าว ต.นครไทย อ.นครไทย ในเบื้องล่างอย่างสวยงาม ถึงแม้ว่าในช่วงนี้ ยังไม่ได้เปิดอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าก็ตาม แต่ความสวยงามของทะเลหมอก หลังฝนตกก็สวยงามไม่แพ้ทะเลหมอก ที่อื่นเช่นกัน

 

ไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่เว้นระยะห่างทางสังคม

 

ด่วนมาก
1 เมื่อ 3 ชั่วโมงที่แล้ว มีข่าวม็อบบุกไปที่ทำเนียบขาวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ โดยมีตำรวจคุมเชิงอยู่ด้านใน และมีรายงานว่าลุงตั้ม ได้ออกจากทำเนียบขาวไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีต้องหนีม็อบ ขอให้ลุงตั้มปลอดภัยนะครับ
2 วันก่อนคนผิวดำ ในขณะประท้วงได้ชูรูปภาพ พลเอกกอซิมสุไลมานี อดีตผู้บัญชาการกองทัพกุ๊สของอิหร่าน และตะโกนร้องว่า"อัลเลาะห์อักบัร" เป็นครั้งแรกในสหรัฐ
3 เมื่อ1พค.ชาวอเมริกัน ผิวขาวเดินขบวนประกาศตั้งสหพันธ์ สาธารณรัฐสังคมนิยม พร้อมทั้งชูธงอันเป็นสัญลักษณ์ของคอมมิวนิสต์ เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน(ตามภาพ)
4 คนจีนในหลายประเทศเช่นที่อังกฤษ ระดมกันแชร์ข่าวการจลาจลในสหรัฐอย่างคึกคัก
ณ.เวลานี้การจลาจลยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติลง
5 มีการเดินขบวน ประท้วงในอีกหลายประเทศเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐ ยุติการใช้ความรุนแรงกับประชาชน และเลิกการเหยียดผิว

 

ด่วนมาก
มีรายงานล่าสุดว่าขณะนี้ เรือบรรทุกน้ำมัน ของอิหร่านลำที่ 5 ได้เข้าสู่น่านน้ำของเวเนซุเอลาเรียบร้อยแล้ว
เป็นอันว่า กองเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูป5ลำ ซึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่มาก ได้เดินทางถึงเวเนซุเอลาโดยปลอดภัย โดยที่กองเรือรบ4ลำของสหรัฐ ที่ลุงตั้มเคยประกาศส่งเข้าควบคุมกองเรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านไม่ได้ปฏิบัติการใดๆ!! ความสำเร็จ ของอิหร่านในครั้งนี้คือ
1 ประกาศแก่ชาวโลกว่า ยุคของการข่มเหงอิหร่านสิ้นสุดลงแล้ว 2 อิหร่านมีโรงกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปใหญ่ที่สุดของโลก และได้ผลิตน้ำมันสำเร็จรูปออกจำหน่ายได้ทั่วโลกแม้กระทั่งเดินทางขนส่งนับหมื่นกิโลเมตร ก็ทำได้สำเร็จมาแล้ว
3 เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าอิหร่านคือเจ้าใหญ่ที่สุดของโลกที่ผลิตน้ำมันสำเร็จรูปออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งมีราคาจำหน่ายถึง 5 ราคาแล้วแต่เส้นสายความสัมพันธ์
ใครอยากซื้อน้ำมันสำเร็จรูปราคาถูกมาขายก็เป็นโอกาสอันดี

 

สหรัฐ : ศาลากลางของรัฐ โอไฮโอ
# ม๊อบบุก
/ แก้ไข

 

เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ประเทศจีนได้สร้างสายส่งไฟฟ้าแรงดันสูงกระแสตรง(UHVDC)แห่งแรกของโลกที่มีตัวแปลงหลายสถานี มีความยาวทั้งสิ้น 1,452 กิโลเมตร ซึ่งพาดผ่านสี่มณฑลด้วยกัน รวมทั้งยูนนาน กุ้ยโจว กว่างซี กว่างตง(กวางตุ้ง)

 

วันที่ 29 พฤษภาคม 2020 สำนักข่าว Global Times ของประเทศจีนรายงานว่า กลุ่มชาวเน็ตในจีน ได้แสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ Weibo กรณีของตำรวจอเมริกันที่กระทำเกินกว่าเหตุต่อชาวผิวสี ในเมืองมินนีโพลิส (Minneapolis) รัฐมินนีโซตา ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมาก เกิดความไม่พอใจ จนนำไปสู่การก่อจลาจลในหลายเมืองทั่วประเทศสหรัฐฯ

.
การตายของนายจอร์จ ฟลอยด์ ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวผิวสีและประชาชนในเมืองมินนีโพลิส ซึ่งความโกรธแค้นนี้ ผลักดันให้พวกก่อเหตุบุกทุบทำลายห้างร้านค้าต่างๆ และบุกจุดไฟเผาสถานีตำรวจย่อยแห่งหนึ่งใน มินนีโพลิส แม้ว่าตำรวจที่กระทำเกินกว่าเหตุ คือนายเดเรก ชอวิน (Derek Chauvin) และเจ้าหน้าที่ตำรวจในที่เกิดเหตุอีก 3 นาย จะถูกไล่ออกและถูกดำเนินคดีย้อนหลัง แต่ความโกรธแค้นเช่นนี้ก็ยังไม่หยุดลง และแผ่ขยายไปสู่เมืองใหญ่ๆ ทั่วสหรัฐฯ
.
เมื่อปีที่แล้ว นางแนนซี เพโลซี ประธาน ส.ส. เสียงข้างมากฝ่ายค้านของพรรคเดโมแครต เคยเอ่ยถึงการประท้วงในฮ่องกง ว่าเป็นการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยที่ "งดงาม" ทั้งๆ ที่การเคลื่อนไหวในฮ่องกงเป็นการก่อจลาจล โดยที่กลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมาก ได้ทุบทำลายทรัพย์สินและจุดไฟเผาสถานที่ต่างๆ ซึ่งแนวคิดของนางเพโลซี เป็นแนวคิดแบบเดียวกับพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เป็นฝ่ายรัฐบาล และเป็นแนวคิดเดียวกันกับ National Endowment for Democracy (NED), Human Rights Watch (HRW), Freedom House, National Democratic Institute (NDI) และ International Republican Institute (IRI) ซึ่งองค์กรเหล่านี้ เป็นองค์กรในเครือข่าย CIA ที่คอยสนับสนุนม็อบฮ่องกง
.
แต่เมื่อเหตุจลาจลเช่นนี้ เกิดขึ้นในแผ่นดิน "ประชาธิปไตย" ของสหรัฐฯ เสียเอง ชาวเน็ตในประเทศจีนหลายคนก็ได้แสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ Weibo ในทำนองว่า การทุบทำลายทรัพย์สินต่างๆ การจุดไฟเผาร้านค้าและสถานีตำรวจในสหรัฐฯ คือสิ่งที่ "งดงาม" เพื่อเยาะเย้ยความ 2 มาตรฐาน ของรัฐบาลสหรัฐฯและนักการเมืองอเมริกัน
.
ทั้งรัฐบาลพรรครีพับลิกันของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐบาลพรรคเดโมแครตของนายบารัก โอบามา ทั้ง 2 รัฐบาล ต่างก็แทรกแซงกิจการประเทศอื่น ด้วยการสนับสนุนม็อบก่อเหตุจลาจลในประเทศต่างๆ แต่ก็ต้อง "กลืนไม่เข้า คายไม่ออก" เมื่อม็อบก่อเหตุจลาจลเกิดขึ้นในบ้านของตนเอง ตั้งแต่กรณีของ "ไมเคิล บราวน์" ในสมัยของโอบามา เมื่อปี 2014 จนมาถึงกรณีล่าสุดของ "จอร์จ ฟลอยด์" ในสมัยของทรัมป์ โดยนายทรัมป์เรียกผู้ก่อเหตุจลาจลในสหรัฐฯว่าเป็นพวก "อันธพาล" (thugs) แม้ว่ารัฐบาลของนายทรัมป์จะให้การสนับสนุนแก่ผู้ก่อเหตุจลาจลในฮ่องกง ซึ่งมีพฤติกรรมแบบ "อันธพาล" ไม่ต่างไปจากผู้ก่อเหตุจลาจลในสหรัฐฯ
.
ในช่วงที่รัฐบาลกรุงปักกิ่งผ่านร่างกฎหมายควบคุมความมั่นคงของฮ่องกง รัฐบาลกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แสดงความไม่พอใจที่กรุงปักกิ่งผ่านร่างกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ตนเอง ในการใช้อำนาจทางการทหารควบคุมสถานการณ์ในฮ่องกง แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับโพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ข่มขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งไม่ต่างไปจากกรุงปักกิ่งที่จะใช้อำนาจทางทหารเพื่อควบคุมสถานการณ์ในฮ่องกง และทรัมป์ยังกล่าวในทวิตเตอร์อีกด้วยว่า กองทัพบกสหรัฐฯ สนับสนุนการทำงานของผู้ว่าการรัฐมินนีโซตา ในขณะที่นายกเทศมนตรีเมืองมินนีโพลิส ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมเหตุจลาจล พร้อมกับมีการส่งกำลังทหาร 500 นาย (รายงานล่าสุดคือ 2,500-13,200 นาย) จากกองกำลังรักษาดินแดน (National Guard) เข้าควบคุมเหตุจลาจลในเมืองมินนีโพลิส
.
และด้วยเหตุนี้ จึงมีชาวจีนหลายคนแสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ Weibo เพื่อเปรียบเทียบ ท่าทีของรัฐบาลสหรัฐ ระหว่างกรณีเหตุจลาจลในฮ่องกง กับกรณีเหตุจลาจลในเมืองมินนีโพลิสและอีกหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ เช่น "จีนยังไม่เคยใช้กำลังทหาร แม้ว่าจะมีเหตุวุ่นวายในฮ่องกงมานานเป็นปี แต่ทรัมป์ขู่ใช้กำลังทหารหลังมีการประท้วงได้แค่ 4 วัน ม็อบฮ่องกงควรพิจารณาดูประเทศที่พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือเสียด้วย" ซึ่งความคิดเห็นตรงส่วนนี้ พยายามเปรียบเปรยว่า หากฮ่องกงอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐฯ ม็อบฮ่องกงจะเจอกับกองกำลังทหารภายในไม่กี่วัน
.
มีบางความคิดเห็นที่เปรียบเทียบ กรณีที่ตำรวจปราบจลาจลเมืองมินนีโพลิส จับกุมสื่อมวลชนของ CNN กับกรณีที่ตำรวจฮ่องกงต้องทำงานอย่างอดทนอดกลั้น กับการที่ถูกสื่อมวลชนต่างประเทศจำนวนมาก จับจ้องการปฏิบัติงานปราบปรามผู้ก่อเหตุจลาจลในฮ่องกง ซึ่งผู้แสดงความคิดเห็นบางคนในเว็บไซต์ Weibo เรียกร้องให้ตำรวจฮ่องกงใช้มาตรการทางกฎหมายที่เคร่งครัดกับสื่อมวลชนต่างประเทศให้มากขึ้น ในขณะที่บางความคิดเห็นกล่าวว่า สหรัฐฯมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 เกิน 100,000 คน อัตราการว่างงานก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และปัญหาการเหยียดผิวก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ แต่รัฐบาลสหรัฐกลับพยายามแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกง
.
และยังมีอีกหลายความคิดเห็นในเว็บไซต์ Weibo ที่เปรียบเทียบ ประชดประชัน และเสียดสีความ 2 มาตรฐานของรัฐบาลสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น
.
"เราควรเรียกเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ มาเข้าพบ เพื่อแสดงความเป็นห่วงและเตือนสหรัฐฯ เกี่ยวกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือเสนอกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อคว่ำบาตรผู้บังคับบัญชากรมตำรวจและคนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง หรือนำประเด็นนี้ยื่นเข้าสู่ที่ประชุมประสหประชาชาติ เพื่อให้มีการลงมติประณามประเทศสหรัฐฯ"
.
"ข้อเรียกร้อง 5 ข้อ จากมินนีโซตา: ปล่อยผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมทั้งหมด, ตั้งกรรมการสืบสวนสอบสวนการใช้กำลังของตำรวจ, ยุบหน่วยงานตำรวจผิวสี (disband US 'black cops), ยกเลิกกฎหมายด้านความมั่นคงแห่งชาติ, และยกเลิกระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ" ซึ่งความคิดเห็นนี้ เป็นการเสียดสี 5 ข้อเรียกร้องของม็อบฮ่องกง และเป็นม็อบที่สหรัฐฯให้การสนับสนุน
.
"คุณเป็นประเทศที่สร้างขึ้นมาจากการโกหกหลอกลวง ตอนนี้คุณก็ยังคงสร้างคำโกหกหลอกลวง เกี่ยวสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ทั้งที่ทุกคนกำลังหัวเราะเยาะความล้มเหลวของคุณ"
.
อย่างไรก็ตาม การที่มีชาวจีนบางคนสนับสนุนให้ชาวอเมริกัน ก่อม็อบเคลื่อนไหวในเมืองต่างๆทั่วสหรัฐฯ แต่ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า มีบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร หรือหน่วยงานของรัฐบาลจากจีน ที่ให้การสนับสนุนผู้ประท้วงและผู้ก่อเหตุจลาจลในสหรัฐฯ ในขณะที่ม็อบฮ่องกงมีหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนว่า องค์กรในเครือข่ายของ CIA ให้การสนับสนุนม็อบฮ่องกง

-------------------------------
แหล่งข่าว

https://www.globaltimes.cn/content/1189966.shtml



-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

 

การประท้วงทวงความเป็นธรรมให้ จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสี เริ่มสั่นคลอนรัฐบาลสหรัฐฯ ไปทีละน้อย ล่าสุด ผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย เคนตักกี้ โอไฮโอ วอชิงตัน และเท็กซัสสั่งให้กองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติ (National Guard) ซึ่งเป็นหน่วยทหารประจำรัฐต่างๆ เตรียมความพร้อมออกปฏิบัติการ
.
หลังจากการประท้วงทวีความรุนแรงในชั่วข้ามคืน หลังเกิดความไม่พอใจไปทั่วประเทศที่ตำรวจคุกเข่านั่งทับที่คอของชายผิวดำที่ชื่อจอร์จ ฟลอยด์จนเสียชีวิตตามมาด้วยประท้วงที่ระเบิดขึ้นในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา เป็นที่แรก
.
ในขณะนี้มีการประกาศเคอร์ฟิวเวลากลางคืนในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน เมืองซินซินแนติ รัฐโอไฮโอและที่อื่นๆ และบางเมืองนายกเทศมนตรีได้ขอร้องให้ National Guard ออกมาช่วยรักษาความสงบด้วย เช่นเมืองฮัดสัน รัฐวิสคอนซิน และมีรายงานว่าเตรียมนำทหารหน่วยนี้ออกมารักษาความสงบที่ลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย

-------------------------------
แหล่งข่าว

https://news.sky.com/story/more-nat...otests-grow-over-george-floyds-death-11997797
https://www.bbc.com/news/world-us-canada-52863506

https://www.posttoday.com/world/624874
-------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

 

✈️ ถึงแม้ว่าหลายๆประเทศจะเริ่มเปิดเมืองกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่หากการบินระหว่างประเทศยังไม่สามารถกลับมาได้ใกล้เคียงเหมือนเดิม การจับจ่ายใช้สอยเพื่อกระตุ้นสภาพเศรษฐกิจก็คงยังไม่กลับมาอย่างเต็มที่ เพราะกำลังใช้จ่ายหลักๆของแต่ละประเทศโดยเฉพาะของไทยเรานั้นมาจากการท่องเที่ยวด้วย... ทำให้คำถามที่ว่า

#การบินและการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นปกติได้เมื่อไหร่ ?

เป็นคำถามที่ทุกคนกำลังรอคำตอยอยู่ในวันนี้ และทาง World Economic Forum ก็เพิ่งทำบทวิเคราะห์ถึงผลกระทบและแนวโน้มเรื่องนี้ออกมาอย่างละเอียดครับ

#โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจต่างๆดังนี้ ‍✈️

1️⃣ กำลังมีคนกว่า 100-120 ล้านคนทั่วโลกที่อาจตกงานเพราะการบินและการท่องเที่ยวยังไม่กลับมาเป็นปกติ

เครื่องบินและโรงแรมต่างๆนั้นโดนปิดตัวหรือจอดเก็บไว้เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว แต่สิ่งต่อไปที่กำลังตกอยู่ในอันตรายก็คือคนและอาชีพต่างๆในธุรกิจท่องเที่ยวและการบิน โดยทางองค์การท่องเที่ยวโลกหรือ World Tourism Organization (UNWTO) ได้ประเมินไว้ว่ามีคนที่เข้ากลุ่มเสี่ยงนี้อยู่สูงถึง 100-120 ล้านคนทั่วโลก

2️⃣ การเดินทางทั่วโลกในปีนี้นั้นอาจหดตัวลงไปถึง 80% เลยทีเดียว มากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้อย่างมาก

ทางองค์การท่องเที่ยวโลกเคยคาดการณ์ไว้เมื่อ 2 เดือนก่อนว่าการบินของทั่วโลกนั้นจะลดลง 30% ในปีนี้ แต่ล่าสุดได้ออกมาปรับลดการคาดการณ์ลงและมองว่าการเดินทางนั้นอาจหายไป 60-80% เป็นอย่างน้อย และตัวแปลที่สำคัญที่สุดก็คือนโยบายในการเปิดประเทศของรัฐบาลต่างๆทั่วโลกว่าจะเข้มข้นหรือผ่อนคลายแค่ไหน

3️⃣ วิกฤตไวรัสโควิดนั้นเป็นวิกฤตที่รุนแรงที่สุดต่อการท่องเที่ยวทั่วโลกในรอบ 70 ปี !

ภายในแค่ 3 เดือนแรกของปีนี้ เราได้มีผู้โดยสารเดินทางที่ลดลงไปมากถึง 67 ล้านคนทั่วโลกแล้ว และนี่ยังไม่นับช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผลกระทบจะหนักกว่าหลายเท่าจนคาดว่าจะมีการเดินทางลดลงและเสียโอกาศไปอีกมากกว่าหลายร้อยล้านคนทั่วโลกอย่างแน่นอน

โดยเหตุผลเดียวที่ทำให้วิกฤตนี้รุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปีนั้นเป็นเพียงเพราะทางองค์การท่องเที่ยวโลกเพิ่งเริ่มเก็บข้อมูลการเดินทางไว้ตั้งแต่ปี 1950 เท่านั้น ! แต่จะเรียกได้ว่านี่เป็น #หายนะต่อวงการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เลยก็ว่าได้

4️⃣ ทาง World Tourism Organization ได้ประเมินไว้ว่าการกลับมาของการบินนั้นจะแบ่งออกได้เป็น 3 สถานการณ์ด้วยกัน

โดยเคสทั้งหมดนั้นหลักๆจะขึ้นอยู่กับเวลาที่รัฐบาลต่างๆพร้อมเปิดให้มีการบินระหว่างประเทศอีกครั้ง

1) หากมีการค่อยๆเปิดเริ่มใน #เดือนกรกฎาคม - การเดินทางทั่วโลกจะหดไปเพียง -58% ในปีนี้ และจะกลับมาอยู่ที่เพียง -20% ภายในเดือนธันวาคม

2) หากมีการค่อยๆเปิดเริ่มใน #เดือนกันยายน - การเดินทางทั่วโลกจะหดไป -70% ในปีนี้ และจะกลับมาอยู่ที่ -50% ภายในเดือนธันวาคม

3) แต่หากการเปิดเริ่มใน #เดือนธันวาคม เลย - การเดินทางทั่วโลกจะหดไปโดยรวมถึง -78% ในปีนี้ และจะยังอยู่ที่ระดับ -80% ในช่วงสิ้นปี ไม่มีการกลับมาดีขึ้นมากนัก

5️⃣ ความแตกต่างของเคสต่างๆนั้นจะมีมูลค่าเสียหายต่างกันถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว !

โดยทางองค์การท่องเที่ยวโลกประเมินว่าจะมีความเสียหายเพิ่มขึ้นจากการกลับมาเปิดการบินในเดือนกรกฎาคมเทียบกับเดือนธันวาคมนั้นสูงถึง 0.9 - 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากจำนวนผู้เดินทางที่อาจต่างกันถึง 0.85 - 1.1 พันล้านคนทั่วโลก

6️⃣ การเดินทางนั้นจะกลับมาแน่ๆ แต่อาจจะมาจากการบินในประเทศก่อน

ทางองค์การท่องเที่ยวโลกประเมินว่าในเคสที่เป็นไปได้ที่สุดในแต่ละช่วงเวลาจะมีการบินในที่ต่างๆเพิ่มกลับขึ้นมาดังนี้ (กราฟแนบในคอมเม้นท์)

1) ในเดือนพ.ค. - มิ.ย. เพิ่มขึ้นอีก = ในประเทศ 15% และระหว่างประเทศ 3%
2) ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้นอีก = ในประเทศ 45% และระหว่างประเทศ 24%
3) ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ เพิ่มขึ้นอีก = ในประเทศ 25% และระหว่างประเทศ 34%
4) ในสิ้นปีหน้าทั้งปีนั้นจะเพิ่มขึ้นอีก = ในประเทศ 15% และระหว่างประเทศ 39%

หรือแปลง่ายๆได้ว่าภายในสิ้นปีนี้ การเดินทางในประเทศทั่วโลกจะกลับมาอยู่ที่ 84% และระหว่างประเทศที่ 61% และภายในสิ้นปีหน้านั้นการเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศทั่วโลกจะกลับมาอยู่ที่ 100% เหมือนเดิม

7️⃣ องค์การท่องเที่ยวโลกมองว่าการกลับมาบินและท่องเที่ยวนั้น #จะกลับมาเหมือนเดิมภายในสิ้นปีหน้า

ตัวเลขและมุมมองเหล่านี้นั้นถือว่าดีกว่านักวิเคราะห์อื่นๆ แม้แต่ทาง Warren Buffet นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกยังมองว่าการบินอาจจะไม่กลับมาเหมือนเดิมแล้ว หรือแม้แต่ผู้บริหารของ Boing ก็ยังมองว่าน่าจะเป็นช่วงปี 2022 หรือ 2023

8️⃣ การเดินทางระหว่างประเทศจะเริ่มกลับมาที่ทวีปตะวันออกกลางก่อน

องค์การท่องเที่ยวโลกมองว่าทวีปตะวันออกกลางจะเป็นทวีปแรกที่กลับมาเริ่มเดินทางก่อน และต่อมาก็เป็นทางเอเชีย และก็ต่อไปที่ทางยุโรป ส่วนแอฟริกานั้นอาจจะเป็นที่ก่อนสุดท้าย แต่ทางสหรัฐอเมริกานั้นน่าจะเป็นที่สุดท้ายแน่ๆ ที่จะมีการบินระะหว่างประเทศเกิดขึ้นอีกครั้ง

โดยแต่ละทวีปจะมีการทยอยกลับมาบินระหว่างประเทศได้มากน้อยแค่ไหนหรือเริ่มในเดือนไหนนั้นทางเราแนบกราฟไว้ให้ในคอมเม้นท์แล้วครับ

และนี่ก็คือภาพรวมของการคำจอบที่ว่า #การบินและการท่องเที่ยวทั่วโลกจะกลับมาเมื่อไหร่ ?

โดยต้องบอกว่าทาง World Economic Forum และ World Tourism Organization ถือว่ามองโลกไว้ในแง่ดี (Optimism) มากๆ แต่ทางเราก็หวังว่าจะเป็นจริงเช่นนั้นเพื่อที่เศรษฐกิจของโลกและประเทศไทยจะได้กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าต้องมากับมาตรการควบคุมที่ปลอดภัยด้วยครับ

Cr:ทันโลกกับKP
บทวิเคราะห์ของWorld Economic Forum www.weforum.org

 

ซาอุดีฯ แก้ไขระเบียบกำหนดจำนวนการชุมนุม/ การรวมตัวทุกรูปแบบได้สูงสุดไม่เกิน 50 คน และกำหนดค่าปรับ 1,000 ริยาล สำหรับผู้ที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย

อ้างถึงประกาศเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 กระทรวงมหาดไทยซาอุดีฯ ได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎเกณฑ์การชุมนุม ดังนี้

1. แก้ไขจำนวนการชุมนุม/ การรวมตัวทุกรูปแบบได้สูงสุดไม่เกิน 50 คน

2. กำหนดค่าปรับ 10,000 ริยาล สำหรับภาคเอกชนที่ไม่ปฏิบัติตามประกาศ กระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ได้แก่ การให้พนักงานของตนเองได้เข้างานโดยไม่สวมใส่หน้ากาก การไม่จัดเตรียมเจลฆ่าเชื้อโรค การไม่จัดเตรียมเครื่องวัดอุณหภูมิเพื่อตรวจพนักงานและลูกค้า การไม่ทำการฆ่าเชื้อโรค เช่น รถเข็น พื้นที่ขายของ การไม่ปิดแผนกขายของเล่นเด็ก และห้องลองเสื้อผ้า

3. กำหนดค่าปรับ 1,000 ริยาล สำหรับการเจตนาฝ่าฝืนมาตรการควบคุมและป้องกันที่กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 โดยรวมถึงพฤติกรรมอื่น เช่น การไม่สวมใส่หน้ากาก การไม่รักษาระยะห่าง (Distancing) การไม่ให้ความรวมมือตรวจอุณหภูมิร่างกายเมื่อเข้าไปยังสถานที่ภาครัฐและภาคเอกชน การไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดสำหรับบุคคลที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงถึง 38 องศาเซลเซียส

 

ด่วน ! ทรัมป์ได้ประกาศให้ ANTIFA #กลุ่มผู้ประท้วงที่ใช้ความรุนแรง #กลุ่มที่ต่อต้านการเหยียดสีผิว เป็นกลุ่มผู้ก่อก่ารร้ายในประเทศสหรัฐแล้ว !

ทางเราคิดว่ากลุ่มผู้ประท้วงในสหรัฐตอนนี้นั้น น่าจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ

1️⃣ กลุ่มผู้ประท้วงอย่างเงียบสงบ ที่ไม่พอใจต่อการเสียชีวิตของฟลอยด์จริงๆ

2️⃣ กลุ่มผู้คนที่เห็นโอกาสในการปล้นสะดมจากเหตุการณ์ชุลมุน

3️⃣ กลุ่มหัวรุนแรงในประเทศหรือกลุ่ม ANTIFA นี้จริงๆ

น่าสงสารคนกลุ่มแรกที่กำลังอาจจะโดนเหมารวมไปอยู่ด้วยโดยความไม่ตั้งใจ เพราะตอนนี้การประท้วงเกิดขึ้นเพราะหลายสาเหตุมากๆ

โดยทรัมป์ได้ประกาศผ่านทวีตของเขาว่า "The United States of America will be designating ANTIFA as a Terrorist Organization"

กลุ่ม ANTIFA หรือ Anti-Fascist Action คือกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงเพื่อต่อต้านการเผด็จการ ความไม่เสมอภาค หรืออาจจะเป็นการเหยียดสีผิวหรือเหยียดชนชั้นต่างๆได้ ซึ่งในคราวนี้ทางประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่ากลุ่ม ANTIFA นั้นได้อยู่เบื้องหลังในการปลุกระดมกลุ่มผู้ประท้วงทั้งหลายให้ใช้ความรุนแรง และฉวยโอกาสในการประท้วงนี้สร้างความปั่นป่วนหรือปล้นสะดมร้านค้าต่างๆด้วย

กลุ่ม ANTIFA คือกลุ่มแนวคิดด้านซ้าย ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกลุ่ม Fascist ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมขวาจัด เป็นผู้ยึดถือแนวคิดว่าคนผิวขาวเป็นใหญ่ ซึ่งทั้งส่องกลุ่มมีการใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ไม่แพ้กัน

โดยหากกลุ่ม ANTIFA นี้โดนประกาศให้เป็นผู้ก่อการร้ายแล้วแปลว่าทหารจะสามารถเข้าใช้กำลังจับกุมได้ ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าการประกาศนี้จะช่วงคุมสถานการณ์ประท้วงให้ดีขึ้นหรือรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ...

⛔️ ติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์การประท้วงนี้อย่างใกล้ชิดไปกับเพจเราได้ เพราะนอกจากจะมีผลต่อ #ตลาดที่จะเปิดในต้นสัปดาห์นี้แล้ว ยังอาจมีผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสังคมและการเลือกตั้งของสหรัฐได้เลยทีเดียว

Cr : ทันโลกกับKP

 

โอมาน : เมือง dhofar พายุเข้าฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ทำให้ทะเลทรายกลายเป็นแม่น้ำ เจ้าหน้าที่เร่งกู้ภัยประชาชนที่ติดน้ำท่วมตามบ้าน

 

ที่นี่เมฆฝุ่นดาวตกแช่แข็งมาอีกครั้ง

เมฆ Noctilucent
นำโดย Paul Botten เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2020 @ Morsden - Norfolk - สหราชอาณาจักร

Here come the frozen meteor dust clouds again.

Noctilucent Clouds
Taken by Paul Botten on May 31, 2020 @ Morsden - Norfolk - United Kingdom

 

สหรัฐฯ ส่งยาคลอโรควิน 2 ล้านโดสให้บราซิล หลังยอดตายโควิดขึ้นที่ 4 โลก
สหรัฐฯ ส่งยาไฮดร็อกซีคลอโรควิน ซึ่งเชื่อว่ารักษาโรคโควิด-19 ได้จำนวน 2 ล้านโดสให้บราซิลแล้ว หลังบราซิลมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้ขึ้นอันดับ 4 ของโลก
Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

 

#ทรัมพ์โทษกลุ่มซ้ายจัดเป็นผู้จัดม๊อบ
#เตรียมประกาศกลุ่มANTIFAเป็นผู้ก่อการร้าย

หลังจากกจุดเริ่มต้นจากการทำร้าย นาย จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำวัยกลางคน โดยตำรวจผิวขาว ด้วยการใช้บังคับให้นอนราบบนพื้นถนนแล้วกดต้นคอเขาด้วยเข่าโดยใช้น้ำหนักทั้งตัวนานมากกว่า 8 นาที จนเขาเสียชีวิตในเวลาต่อมานั้น

ภาพที่ออกสื่อไม่ต่างจากสัญลักษณ์ของการกดขี่ของคนผิวขาว ที่มีต่อคนผิวดำที่เป็นปัญหาสังคมในอเมริกามานานแสนนาน จนระเบิดออกมากลายเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ของกลุ่มชาวผิวสีในหลายเมือง กระจายทั่วทุกมุมของสหรัฐ

และเมื่อมีม๊อบ ก็จะมีความโกลาหล ความรุนแรง ตามมา ยิ่งมีผู้นำประเทศคอยสาดน้ำมันราดบนกองไฟ แทนที่จะช่วยดับไฟ อย่างท่านเสี่ย โดนัลด์ ทรัมพ์ของเรานี่ไง

และวันนี้ ท่านเสี่ยอ่าง ก็ยังเติมเชื้อไฟอย่างต่อเนื่อง ด้วยการ กล่าวหาว่า กลุ่มซ้ายจัดกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่า ANTIFA หรือ กลุ่ม Anti-Fascist Action อยู่เบื้องหลังความรุนแรงของการเดินขบวนประท้วง จนนำไปสู่การเผาเลยครับพี่น้อง แล้วมาร้องเพลง โอ้เมื่อมีไฟ ไฟ ไฟ ลุกขึ้นแจ่มจ้าด้วยกัน

กลุ่มซ้ายจัดไม่เอาฟาสซิส มาเกี่ยวข้องอะไรกับการประท้วงของกลุ่มคนผิวสี อันนี้ชาวบ้านก็ยังงงๆ แต่ทรัมพ์เชื่อเช่นนั้น เพราะกลุ่ม ANTIFA นั้น ไม่ถูกกับทรัมพ์

กลุ่ม ANTIFA มีมานานแล้วที่ในยุโรป ตั้งแต่ช่วงหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 และก่อกำเนิดอิทธิพลของพรรคนาซี เยอรมัน ที่ใช้แนวคิดชาตินิยมขวาจัด ส่วนกลุ่ม ANTIFA ก็จะต่อต้าน ทำลายร้ายล้างความคิดเหล่านั้นด้วยความรุนแรงเช่นกัน ดังนั้นกลุ่ม ANTIFA จึงเป็นขั้วตรงข้ามของกลุ่มขวาจัดอย่างกลุ่มอนุรักษ์นาซี หรือ Neo-Nazi หรือพวกกลุ่มลัทธิบูชาคนขาว White Supremacy

สำนักข่าว BBC ให้ข้อมูลว่า กลุ่ม ANTIFA มีเครือข่ายใต้ดินในแถบรัฐโอเรกอน และเริ่มกลับมามีบทบาทอีกครั้งในอเมริกาในยุคของเสี่ยอ่าง โดนัลด์ ทรัมพ์นี่แหละ ที่แกชอบไปพูดสนับสนุนกลุ่ม White Supremacy ในอเมริกา เพราะเป็นฐานเสียงของแก

พูดง่ายๆคือ กลุ่ม ANTIFA ในสหรัฐ คือกลุ่มที่ไม่เอาทรัมพ์ และไม่ลงคะแนนเลือกตั้งให้แน่นอนอยู่แล้ว พอมีม๊อบของกลุ่มคนผิวสี ที่ไม่พอใจต่อการกระทำของตำรวจผิวขาว เขาก็ออกมาร่วมแจมด้วย แต่จะร่วมเผาด้วยรึเปล่า ก็ยังไม่มีหลักฐานถึงขนาดนั้น

แต่เสี่ยทรัมพ์แกปักธงไปแล้วว่า กลุ่ม ANTIFA พวกนี้แหละ ที่อยู่เบื้องหลังม๊อบชาวผิวสี และก่อความรุนแรงในหลายๆเมือง แกจึงประกาศผ่าน Twitter วันนี้ว่า แกจะเตรียมขึ้นบัญชีกลุ่ม ANTIFA เป็นกลุ่มก่อการร้าย

ถึงแม้ว่า นาย ทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิสโซตา จะบอกว่า ฝ่ายพวก White Supremacy ต่างหาก ที่ลงมา สร้างความวุ่นวาย ป่วนให้เหตุการณ์ มันบานปลายขึ้น

แต่เสี่ยทรัมพ์แกจะเชื่อเหรอ ก็ในเมื่อผู้ว่าการรัฐคนนี้ เป็นฝ่ายเดโมแครต แล้วแฟนคลับของเสี่ย จะทำแบบนี้ได้ยังไง ไม่จริ๊ง

ก็สุมไฟ ใส่น้ำมัน ตอกลิ่มความแตกแยกทุกวัน มันจะไม่ให้บานปลายได้อย่างไรคะ เสี่ยขา

กลายเป็นทุกอย่าง ทุกหายนะ มาประดังกันอยู่ในช่วงปีสุดท้ายของสมัยทรัมพ์ 1 นี่ยังไม่ถึงช่วงฤดูมรสุม ไต้ฝุ่น เฮอร์ริเคน เลยนะค้า แล้วยังเหลืออีก 5 เดือนกว่าจะถึงเลือกตั้ง เราคงได้เห็นแกเซ็นสั่งอะไรแปลกๆ ออกมาอีกแน่ และน่าจะเป็นปีที่ป่วนที่สุดที่สหรัฐต้องจารึกทีเดียว

แหล่งข้อมูล

https://thehill.com/homenews/admini...ill-designate-antifa-a-terrorist-organization

https://www.bbc.com/news/world-us-canada-52868295

https://www.bbc.co.uk/programmes/ar...7C/seven-things-you-need-to-know-about-antifa

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Antifa_(United_States)

 

ไข้สูงเพียบ คนไทยกลับจากนอก
เริ่มใจชื้น! ไทยพบผู้ติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 รายใหม่แค่ 4 คน ล้วนเดินทางมาจากต่างประเทศ ไร้คนป่วยตายเพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อในประเทศช่วงสองสัปดาห์มีแค่ 9 ราย ส่วนอัตราการรักษาจนหายดีมีสูง
Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

 

ผวาโรคไข้เลือดออก คร่าไปแล้ว 11 ชีวิต
สธ.เผย “โรคไข้เลือดออก” คร่าชีวิตพุ่ง 11 ราย พร้อมเปิด 5 จังหวัดพบผู้ป่วยมากสุด พ่วงภาคที่มีผู้ป่วยสูง สั่งจับตาภาคอีสาน หลังมีผู้ป่วยพุ่งอย่างมีนัยสำคัญ ส่งเจ้าหน้าที่เร่งควบคุมพ่นหมอกควัน
Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธานศูนย์บริหารสถานการณ์ระบาดโควิด-19 (ศบค.) ตัดสินใจเทกระจาดคลายล็อกเฟส 3 ครั้งใหญ่ ทั้งธุรกิจที่จำเป็นและไม่จำเป็น มีผลตั้งแต่วันนี้ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป และ จะทยอยปลดล็อกเฟส 4 ให้หมดในเดือนมิถุนายนนี้ สร้างความเป็นห่วงในวงการแพทย์ อาจเกิดการระบาดรอบ 2 ได้ หลายธุรกิจที่ผ่อนคลายในเฟส 3 ผู้ประกอบการเองก็ไม่สบายใจ เปิดไปก็ไม่มีผู้ใช้บริการอยู่แล้ว แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่เมื่อ ศบค. และ คณะกรรมการผ่อนคลาย ตัดสินใจไปแล้ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้แล้ว ทุกอย่างก็ต้องเดินหน้าต่อไป การระบาดรอบ 2 จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ต้องรอดูกันต่อไป มีตัวอย่างให้เห็นแล้วทั้ง เกาหลีใต้ และ สิงคโปร์ ยิ่งช่วงนี้เข้าสู่ “หน้าฝน” แล้ว การเป็น “ไข้หวัด” ก็ยิ่งง่ายขึ้นกว่าเดิม

ผมก็หวังว่า ทุกคนดูแลตัวเองให้ปลอดภัย และ ไม่ประมาทเกินไป ตอนนี้หลายสถานที่ปลดล็อกในเฟส 2 เริ่มหย่อนมาตรการป้องกันจนน่าเป็นห่วง เพราะไม่มีใครไปตรวจเช็ก

การปิดล็อกเศรษฐกิจในช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมา สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกมากขนาดไหน ยังไม่มีใครสามารถประเมินได้ การระบาดยังไม่จบ ความเสียหายก็ยังไม่จบ แต่แค่ 5 เดือนแรกของปีนี้ที่ผ่านมาก็สาหัสกันถ้วนหน้า สหรัฐฯ ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพิ่งปรับตัวเลขใหม่ จีดีพีไตรมาส 1 ติดลบไป 5% มากกว่า 4.8% ที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ และ ไตรมาส 2 จะยิ่งสาหัสกว่าไตรมาส 1 หลายเท่า เพราะแค่สิ้นเดือนพฤษภาคม ตัวเลข ผู้ว่างงานในสหรัฐฯพุ่งขึ้นไปกว่า 40 ล้านคนแล้ว ยังไม่รู้เมื่อไหร่จะมีงานทำอีก ธุรกิจการค้าเก่าแก่อายุเป็นร้อยปีก็ทยอยล้มละลาย บริษัทยักษ์ใหญ่ก็ยังทยอยปลดคนงาน จีดีพีสหรัฐฯ ไตรมาส 2 ติดลบหนักกว่าไตรมาส 1 แน่นอน เมื่อจีดีพีติดลบต่อเนื่องกัน 2 ไตรมาส ก็ถือว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ทันที

จีน ที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก จีดีพีไตรมาส 1 ก็ดิ่งลึกลงไปติดลบ 6.8% จีดีพีไตรมาส 2 ก็คาดว่าจะติดลบมากกว่าไตรมาสแรก ทำให้นายกรัฐมนตรีจีนประกาศยกเลิกเป้าจีดีพีในปีนี้ เมื่อจีดีพีจีนติดลบต่อเนื่อง 2 ไตรมาส ก็ถือว่าเข้าข่าย “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” เช่นเดียวกัน ญี่ปุ่น มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลก เข้าสู่ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ล่วงไปเรียบร้อยแล้ว และจีดีพีไตรมาส 3 อาจจะติดลบต่อเนื่องอีก

สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เมื่อจบไตรมาส 2 ผมเชื่อว่า ประเทศไทย ก็ไม่พ้น “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” แน่นอน ไตรมาสแรกติดลบไปแล้ว 1.8% ไตรมาส 2 หลายสำนักคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดิ่งลึกติดลบเป็นตัวเลขสองหลัก แต่ไม่ว่าหนึ่งหลักหรือสองหลัก จีดีพีไทยก็ติดลบต่อเนื่องกัน 2 ไตรมาส เข้าสู่ “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” เช่นเดียวกัน

คุณดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงถึงเศรษฐกิจไทยเดือนเมษายนว่า หดตัวสูงขึ้น จากมาตรการควบคุมโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจหยุดชะงักลง เครื่องยนต์ทุกหมวดหดตัว ยกเว้นการใช้จ่ายภาครัฐ เสถียรภาพเศรษฐกิจเปราะบาง ที่กังวลเป็นพิเศษก็คือ การว่างงาน โดย ภาคการท่องเที่ยวติดลบ 100% ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเลย

การส่งออก (ไม่รวมทองคำ) ที่มีสัดส่วน 70% ของจีดีพี เดือนเมษายน ติดลบ 15.9% มากที่สุดตั้งแต่ทำดัชนี เนื่องจากดีมานด์ประเทศคู่ค้าหายไป การส่งออก 2 เดือนข้างหน้าแนวโน้มติดลบต่อเนื่อง และ การบริโภคภาคเอกชน สัดส่วนราว 50% ของจีดีพี พบว่า หดตัวในทุกหมวดสินค้า เดือนเมษายนติดลบ 15.1% มากที่สุดนับตั้งแต่ทำดัชนีมา และ แนวโน้มเศรษฐกิจเดือนพฤษภาคม จะยัง “หดตัว” หรือ “ติดลบ” ในระดับสูง

ที่ผมเป็นห่วงก็คือ หมดเงินเยียวยา 5 พันบาทเดือนมิถุนายนนี้แล้ว เราจะไปกันต่อยังไงดี??? เป็นโจทย์ที่ใหญ่กว่าการเปิดธุรกิจเฟส 3 ที่ นายกฯตู่ จะต้องตัดสินใจ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

 

MisterBan

June 1, 2020 ตำรวจอเมริกันเล่นแรงอีก ถูกไล่ออก 2 พักงาน 3 นาย ทหารกว่า 5,000 คนตรึงทั่ว 15 รัฐ ประท้วงผุดในหลายประเทศ เตือนชุมนุมประท้วงติดโควิด-19 เด้งสูง
เข้าสู่คืนที่ 6 สถานการณ์ชุมนุมประท้วงรุนแรงในเมืองมินเนโซตา นับว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ซึ่งเป็นผลจากตำรวจผิวขาวทำเกินกว่าเหตุกับนายจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวสีถึงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ทำให้เกิดสถานการณ์มากมายดังนี้
มินนิแอโพลิส รัฐมินนิโซตา: นางแองเจลา คอนลีย์ ประธานคณะกรรมาธิการชุมชนแห่งมินนิโซตา เปิดเผยว่า การชุมนุมประท้วง และการเผชิญหน้ากับตำรวจ อาจจะมีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวอีก 3 คนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นจะถูกจับกุมและดำเนินคดีเช่นเดียวกันกับนายดิเรค โชววิน ตำรวจผิวขาวที่เป็นคนใช้เข่ากดลำคอของนายจอร์จ ฟลอยด์ ถึงกับเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ ช่วงบ่ายของวันอาทิตย์(เวลาในมินนิโซตา) เกิดเหตุการณ์คนขับรถบรรทุกน้ำมัน จะขับฝ่ากลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงบนถนนไฮเวย์ แต่ในที่สุด ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ผู้ชุมนุมประท้วงพยายามขวางรถบรรทุกให้จอด และนำตัวคนขับรถลงมาจากรถคันดังกล่าว
แอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย: ผู้ว่าการรัฐ ไคชา แลนซ์ และหัวหน้าตำรวจแห่งแอตแลนต้า เอริก้า ชิลด์ ร่วมแถลงการไล่ออกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย และสั่งพักการทำงานอีก 3 นาย เหตุจากหลังตรวจสอบคลิปวีดีโอที่เผยแพร่ในสื่อโซเชียลมีเดีย พบว่ามีการกระทำต่อชาวอเมริกัน 2 คนในรถยนต์ส่วนตัวที่เกินกว่าเหตุทั้งๆที่ทั้ง 2 คนไม่ขัดขืนแต่อย่างใด
กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.: เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากตรึงกำลังรอบทำเนียบขาว โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมมากกว่า 1,000 คนรวมตัวประท้วงปักหลักอยู่ที่บริเวณสวนสาธารณะลาฟาแยตต์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทำเนียบขาว ที่ทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะที่นางมิวเรียล โบวเซอร์ ผู้ว่าการดี.ซี. สั่งใช้เคอร์ฟิวมีผลตั้งแต่เวลา 23.00 น.ของคืนวันอาทิตย์ไปถึงเวลา 6.00 น.ของเช้าวันจันทร์ (ตามเวลาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.) และเตือนชาวอเมริกันว่า การชุมนุมประท้วงทำให้เกิดความกังวลว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าผู้ประท้วงจใส่หน้ากากอนามัย แต่ไม่มีระยะห่างซึ่งกันและกัน
ซาวันนา รัฐจอร์เจีย: ผู้ว่าการรัฐ นายไบรอัน เคมพ์ มีคำสั่งให้กองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติสหรัฐ จำนวน 3,000 คนเข้าควบคุมสถานการณ์ประท้วงอย่างน้อยใน 3 เมืองสำคัญ ได้แก่ เอเธนส์ ซาวันนา และเมืองอื่นๆที่ผู้ชุมนุมประท้วงวางแผนจะเริ่มจัดการประท้วง
ฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลวาเนีย: เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตายิงใส่เพื่อสลายฝูงผู้ชุมนุมประท้วงที่บริเวณตะวันตกของเมืองฟิลาเดลเฟีย และจุดชุมนุมที่บริเวณศาลาว่าการเมืองฟิลาเดลเฟีย ในขณะที่ผู้ชุมนุมเผาทำลายสถานที่หลายแห่ง เผารถตำรวจ 1 คัน เกิดการปล้น และขโมยสินค้าในร้านแบรนด์เนมจำนวนมาก ตำรวจจับผู้ชุมนุมมากกว่า 200 คน รวมกับจำนวนที่จับได้เมื่อวานนี้อีก 10 คน ด้านประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ทวิตข้อความว่า กฎหมายและกฎระเบียบต้องมีในฟิลาเดลเฟีย
ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์: กองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติสหรัฐ เข้าควบคุมสถานการณ์ประท้วงตามจุดสำคัญทุกแห่ง
นิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก: ตำรวจจับกุมผู้ชุมนุมประท้วงมากกว่า 350 คน ขณะที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 50 คน
กรุงลอนดอน อังกฤษ: การชุมนุมประท้วงมีเกิดขึ้นที่ในกลางกรุงลอนดอน บริเวณจัตุรัสทราฟังการ์ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมถือป้ายประท้วง พร้อมตะโกนคำว่า No Justice, No Peace! เดินขบวนไปที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำอังกฤษ เมื่อถึงด้านหน้าทางเข้า ผู้ชุมนุมประท้วงได้คุกเข่าลงพร้อมกัน แสดงออกทางสัญลักษณ์การประท้วงการกระทำเกินกว่าเหตุของตำรวจอเมริกันผิวขาวที่เมืองมินนิโซตา นอกจากนี้ ยังเกิดการชุมนุมประท้วงในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เดนมาร์ก อิตาลี ในขณะที่รัสเซียแสดงการตำหนิต่อการกระทำที่เกินกว่าเหตุดังกล่าว บราซิลมีการจัดเดินประท้วงแต่ในที่สุดถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองริโอ เดอจาเนโร เข้าสลายฝูงชน ส่วนที่เลบานอน พรรคฝ่ายค้านในเลบานอนใช้โลกโซเชียลมีเดีย แสดงความเสียใจกับสหรัฐ ติดแฮชแทกคำว่า Americarevolts
ทั้งนี้ การชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 5 วันผ่านมาตามรัฐและเมืองต่างๆในสหรัฐนั้น ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายที่ชัดเจนได้ อย่างไรก็ตาม นับเป็นเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงรุนแรงเกี่ยวกับผิวสีในรอบ 28 ปี ซึ่งเคยเกิดขึ้นที่ลอส แองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อนายตำรวจผิวขาวทำร้ายร่างกายนายร๊อดนีย์ คิง ชาวอเมริกันผิวสี ในเหตุการณ์ครั้งนั้น สร้างความไม่พอใจและโกรธแค้นอย่างมากให้กับชาวอเมริกันทั่วไป เกิดการชุมนุมประท้วงรุนแรงนานถึง 5 วันติดต่อกัน มีผู้เสียชีวิตกว่า 60 ราย มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 2,000 ราย มีผู้ถูกจับกุมดำเนินคดีมากกว่า 1,000 คน ขณะที่ทรัพย์สินเสียหายรวมกันกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ