ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ในตลาดน้ำอัดลม เราพอจะเดากันได้ไม่ยาก ว่าผู้ครองตลาดก็คือ Coca-Cola กับ Pepsi

    แม้ปัจจุบัน ยอดขายทั่วโลกนั้น Pepsi จะมียอดขายเป็นรอง Coca-Cola อยู่ก็ตาม

    แต่ย้อนกลับไปในอดีต มีเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่งที่ Coca-Cola เองก็ไม่สามารถทำได้

    นั่นคือการเป็นบริษัท "อเมริกัน" ที่ทำเครื่องดื่มสุดฮิตหนึ่งเดียวใน "สหภาพโซเวียต"

    แถมขายดีถึงขั้นที่โซเวียตต้องยอมเอาเรือรบ จ่ายเป็นค่าสินค้ามาแล้ว!!

    เรื่องราวแปลกๆ แบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง!? ติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ...


    [การผลักดัน Pepsi ให้คนรัสเซียได้รู้จัก]

    ย้อนไปในปี 1958 หลังจากการเสียชีวิตของ Joseph Stalin ผู้นำคนแรกของสหภาพโซเวียต

    ส่งผลให้ Khrushchev ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน และเขาก็เป็นผู้นำที่มีแนวคิดการปกครอง ที่ค่อนข้างเปิดกว้างกว่าพอสมควร

    ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกค่ายแรงงาน ให้โอกาสคนโซเวียตเดินทางไปนอกประเทศได้มากขึ้น

    แต่ยังรวมถึงการเปิดโอกาสให้อริอย่างสหรัฐอเมริกา เข้ามาจัดแสดงนิทรรศการในกรุงมอสโก เพื่อศึกษาธุรกิจ เทคโนโลยี และความเป็นอยู่แบบอเมริกัน


    แม้มันจะฟังดูแปลก แต่สำหรับบริษัทเอกชนอเมริกัน นี่คือโอกาสอันดีที่อาจจะได้ขายของไปให้คนโซเวียต

    หนึ่งในนั้นก็คือเครื่องดื่มอย่าง Pepsi ที่มีคุณ Donald Kendall ทำหน้าที่ดูแลด้านการขายระหว่างประเทศอยู่

    คุณ Donald สนใจการทำตลาดในโซเวียต จนถึงขั้นใช้เสนสายขอร้องให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตอนนั้นอย่าง Richard Nixon มอบเครื่องดื่มให้กับผู้นำรัสเซียโดยตรง


    ไม่รู้ว่าเพราะเส้นใหญ่ หรือเพราะประธานาธิบดีอยากเล่นด้วย ปรากฏว่าผู้นำสหรัฐฯ ก็ยอมนำเสนอ Pepsi ให้กับผู้นำรัสเซียโดยตรง

    และผลปรากฏว่า Khrushchev และคณะผู้นำชาวรัสเซียเองก็ชื่นชอบเครื่องดื่มสีดำนี้เป็นอย่างมาก

    รวมถึงคนที่มาร่วมงานนิทรรศการดังกล่าว ต่างก็เห็นฟ้องกันว่าน้ำอัดลมชนิดนี้ มันจะต้องกลายเป็นสินค้ายอดฮิตได้ไม่ยาก

    ทำให้ Pepsi ได้มีโอกาสเริ่มทำตลาดในรัสเซีย ผ่านเส้นสายของผู้นำทั้งสองประเทศ

    แต่ตอนนี้ติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่งก็คือ.. เงินรูเบิลของโซเวียตตอนนั้น เป็นสกุลเงินปิดที่กำหนดค่าโดยโซเวียตเอง และแทบไม่มีค่าในการค้าระหว่างประเทศ อ่าว!!


    [ถ้าเงินไม่มีค่า งั้นก็เอาสินค้ามาแลกกัน]

    ก่อนหน้าที่จะเกิดระบบเงินตราขึ้น มนุษย์ก็ใช้วิธีแลกเปลี่ยนสินค้าที่มองว่ามีมูลค่าเท่าเทียมกัน

    เมื่อเงินโซเวียตใช้ในการชำระค่าสินค้าระหว่างประเทศไม่ได้ พวกเขาเลยเจรจาหาทางออก เพื่อหาสินค้าที่เท่าเทียมกันมาแลกเปลี่ยนแทน

    และก็ได้ข้อสรุปว่า.. รัสเซียจะได้นำเข้า Pepsi แลกกับการรับวอดก้า Stolichnaya เข้ามาขายในสหรัฐฯ


    การแลกเปลี่ยนนี้ดำเนินมาจนถึงปี 1972 พอเห็นว่าคนโซเวียตนิยมดื่ม Pepsi กันมาก ทางบริษัทก็เลยขอสัญญาผูกขาดทางการค้า ซึ่งโซเวียตก็ตกลง

    ทำให้ Pepsi ปาดหน้า Coca-Cola กลายเป็นเครื่องดื่มน้ำดำอเมริกันเจ้าเดียว ที่ได้ไปขายในโซเวียตจนถึงปี 1985

    ซึ่งช่วงระหว่างที่ผูกขาดนั้นเอง กลายเป็นปีทองของ Pepsi เพราะสามารถขายได้มากกว่าพันล้านขวด


    แต่.. เมื่อขายดีเกินไป ก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกอย่างก็คือ

    คนโซเวียตดื่ม Pepsi มากเกินไป มากกว่าที่จะสามารถขายวอดก้า Stolichnaya ให้กับคนอเมริกันได้ทัน

    เท่ากับว่าตอนนี้ Pepsi อยู่ในจุดที่เสียเปรียบ จึงขอสิ่งแลกเปลี่ยนที่สามารถขายออกเป็นเงินได้ง่ายกว่าวอดก้า


    และแล้วในปี 1989 คุณ Kendall ซึ่งตอนนี้กลายเป็นซีอีโอของบริษัท ก็รายงานผลประกอบการที่ทำให้โลกเซอร์ไพรส์

    เมื่อบริษัท Pepsi จู่ๆ ก็ได้เป็นเจ้าของเรือลาดตระเวน เรือรบ เรือพิฆาต และเรือดำน้ำรวม 17 ลำ

    ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นเรือของโซเวียต ที่นำมาแลกเปลี่ยนกับ Pepsi ทั้งสิ้น

    เท่านั้นยังไม่พอ ในปีต่อมา Pepsi ยังจ้างโซเวียตให้สร้างเรือขนน้ำมัน 10 ลำ โดยแลกเปลี่ยนกับ Pepsi มูลค่า 30,000 ล้านบาทด้วย


    ก็ทำให้ในช่วงเวลานั้น กลายเป็นเรื่องตลกว่า บริษัท Pepsi มีกองทัพเรือดำน้ำที่ใหญ่ติดอันดับท็อป 10 ของโลกเลย

    แถมมันตลกขึ้นไปอีก เมื่อหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ออกมาแสดงความกังวลเรื่องที่บริษัทเอกชน มีชื่อครอบครองเรือรบของประเทศคู่อริ

    แต่ซีอีโอของ Pepsi ก็ไม่ได้หวั่นไหวอะไร แถมยังตอกกลับแบบเจ็บๆ ไปอีกว่า

    "ผมปลดอาวุธโซเวียต ได้เร็วกว่าพวกคุณอีกนะ"

    หลังจากเปิดเผยทรัพย์สินดังกล่าว ไม่นานบริษัทก็ทั้งขายเรือทิ้ง หรือแยกชิ้นส่วนเรือพวกนั้น จำหน่ายออกเป็นเศษเหล็กอย่างรวดเร็ว


    [แต่ยุคทองของ Pepsi ในโซเวียต ก็ใช้ว่าจะอยู่ตลอดไป]

    ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นกับ Pepsi คือจู่ๆ ในปี 1991 การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ทำให้ลูกค้าคนสำคัญหายไปทันที

    แถมสัญญาการต่อเรือในตอนนั้นก็ดันกลายเป็นโมฆะ และทรัพย์สินบางส่วนก็ถูกแยกออกไป เช่น..

    การล่มสลายของโซเวียค ทำให้ตอนนี้อู่ต่อเรือของ Pepsi อยู่ในยูเครน

    ในขณะที่บริษัทผลิตวัสดุอื่นๆ ตอนนี้ตกเป็นของประเทศรอบๆ อย่างเบลารุส

    แทนที่จะคุยกับโซเวียตแล้วทุกอย่างจบ Pepsi ต้องเร่งเจรจากับประเทศที่แยกตัวออกมาใหม่ เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของทรัพย์สินเหล่านั้น

    แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะยินยอมทำตามคำขอพวกเขาแต่โดยดี


    ยังไม่จบลงแค่นี้ เพราะในช่วงเข้าตาจนนี้เอง Coca-Cola คู่แข่งรายสำคัญ ก็สามารถเข้าไปทำตลาดในรัสเซียได้อย่างสบายแล้วตอนนี้

    พวกเขาซื้อโรงงานในรัสเซีย ช่วงที่เศรษฐกิจบอบช้ำที่สุด ทำให้ต้นทุนถูกลงไปอีก

    แถมยังทุ่มงบโปรโมตโฆษณา เพื่อให้คนรัสเซียมารู้จักน้ำดำอีกยี่ห้อที่อร่อยไม่แพ้กัน

    ทำให้ในปี 1996 Coca-Cola ก็สามารถพิชิดตลาดรัสเซีย และขึ้นมามีส่วนแบ่งเหนือกว่า Pepsi ได้เป็นครั้งแรก


    ใครจะคิดว่าอีกสิบปีต่อมา ในปี 2007 Coca-Cola ได้ส่วนแบ่งตลาดน้ำหวานใน รัสเซียไป 17.3%

    ส่วน Pepsi เหลือส่วนแบ่งทางการตลาดรัสเซียเพียง 10.3%


    และในปี 2017 ในขณะที่ Coca-Cola มีส่วนแบ่งเพิ่มมาเล็กน้อยเป็น 17.8%

    Pepsi ก็เหลือส่วนแบ่งทางการตลาดรัสเซียแค่ 8.4%


    แม้ทุกวันนี้ Pepsi จะไม่ใช่เครื่องดื่มฮิตที่สุดในรัสเซีย ด้วยเหตุผลต่างๆ

    ทั้งสินค้าที่มีให้เลือกมากขึ้น คู่แข่งรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการผูกขาดที่ทำไม่ได้อีกแล้ว

    แต่พวกเขาก็กลายเป็นกรณีศึกษาทางธุรกิจที่น่าสนใจ

    ใครจะคิดว่าในโลกยุคใหม่ที่มนุษย์มีเงินตราเป็นสิ่งสำคัญในการแลกเปลี่ยน เราจะได้เห็นการย้อนยุคกลับไป แล้วใช้ "เหล็ก" แลกกับ "เครื่องดื่ม"

    อย่างที่เราเคยใช้หมูแลกไก่ ในอดีตอีกครั้งหนึ่ง...


    -----------------------------------------


    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ

    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/

    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หากภาพพวกนี้เป็นเรื่องจริง
    บางคนอาจได้รับการแจ้งเตือนล่วงถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่ โดยพวกเขา (มนุษย์ต่างดาว)
    ผ่านทางกระแสจิต และ คร็อบเซอร์เคิล
    FB_IMG_1591454003381.jpg
    พวกเขาจะมาเตือนก่อนภัยพิบัติครั้งใหญ่เสมอ
    #ไม่ต้องเชื่อแต่ให้เตรียมตัวระวังไว้!! ● 2020

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ⚠️ #มันเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมเมื่อคืนนี้ตัวเลขจ้างงานสหรัฐถึงออกมาพลิกล็อคที่สุดในรอบ 100 ปี ? ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐดีดขึ้นต่อเนื่องไปอีก +3% เมื่อคืนนี้ ! จนวันนี้นักวิเคราะห์ทุกคนจึงยอมรับผิดเป็นเสียงเดียวกันและกล่าวว่า #เศรษฐกิจสหรัฐผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว !

    ตัวเลขตัวการจ้างงาน (Nonfarm Payrolls) และเลขคนตกงานในสหรัฐ (Unemployment Rate) ของเดือนพฤษภาคมออกมาช็อกตลาดมากที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บรายงานตัวเลขมา โดยทั้งตลาดคาดว่าจะมีการจ้างงานติดลบและมีคนตกงานมากขึ้น แต่ตัวเลขนั้นกลับพลิกออกมาว่า มีการจ้างงานมากขึ้นถึง +2.5 ล้านตำแหน่งและอัตราการว่างงานลดลงมาเหลือ 13.3% แทนที่จะขึ้นไปเป็น 20% ตามที่ตลาดคาด

    สร้างความตกตะลึงให้กับนักวิเคราะห์และบรรดานักลงทุนทั่วโลก ! ทางเราได้แนบข้อความทวีตถึงความตกใจต่างๆนี้ไว้ใน Comment นะครับ

    #ทำไมทุกๆคนถึงมองผิดกันไปหมด ?

    ทำไมตัวเลข Initial Jobless Claim หรือผู้ขอสวัสดิการตกงานประจำอาทิตย์ของสหรัฐยังสูงเป็นหลักล้านอยู่เป็นอาทิตย์ที่ 11 ติดต่อกันแล้ว รวมในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมามีคนขอสวัสดิการตกงานเกิน 42 ล้านคนเข้าไปแล้ว ! แต่ทำไมอยู่ดีๆตัวเลขการจ้างงานกลับดีขึ้นอย่างไม่คาดคิด ?

    นั้นก็เพราะว่า #ผู้ขอสวัสดิการตกงาน กับ #การจ้างงานนั้น ไม่ใช่ตัวเลขเดียวกันครับ

    ก่อนหน้าที่จะเกิดไวรัสโควิดระบาดนั้นทั้ง 2 ตัวเลขยังพอที่จะมีความสัมพันธ์กัน (Correlated) เพราะคนตกงานมากขึ้นจะสื่อว่าการจ้างงานโดยรวมจะลดน้อยลง

    แต่ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ไวรัสระบาดนี้แทบจะเป็นเหตุการณ์ที่กระทบกับตลาดแรงงานสหรัฐมากที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว จำนวนงานที่สร้างขึ้นมากว่า 20 ปีกลับโดนเลิกจ้างหายกันไปในเวลาสั้นๆเดือนเศษๆ ระบบคำนวนตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐนั้นไม่เคยโดนสร้างให้รองรับตัวเลขการว่างงานระดับนี้มาก่อนเลย ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนมองผิดผลาดไป

    ตัวเลขที่มีปัญหาคือ Initial Jobless Claim หรือผู้ขอสวัสดิการตกงาน

    เรื่องนี้ทางเพจเคยเขียนอธิบายไปแล้วว่า ระบบราชการในรับสวัสดิการตกงานของสหรัฐนั้นเก่ามากๆ ไม่ได้พัฒนามากว่า 10 ปีแล้ว หลายๆที่ยังใช้เป็นการรับกระดาษ รับเรื่องทางโทรศัพท์ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะสามารถกรอกรับสวัสดิการ Online ได้ มีหลายคนที่พยายามโทรติดต่อไปหลายอาทิตย์แล้วแต่ก็ไม่สามารถรับสวัสดิการณ์ได้ ทำให้จำนวนคนที่ขอนั้นมีการทำได้ไม่เท่าจำนวนจริงๆในอาทิตย์นั้นและติดข้างมาจากอาทิตย์ก่อนๆ

    และตัวเลขการจ้างงาน Nonfarm Payrolls นั้นออกมาเดือนละครั้ง และการที่นักวิเคราะห์ไม่เคยเจอเหตุการณ์ Black Swan แบบนี้มาก่อน หลายๆคนจึงใช้ตัวเลข Initial Jobless Claim นี้มาเป็นฐานในการพยายามคาดการณ์ตัวเลขการจ้างงาน เพราะเป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว

    ซึ่งพวกเขาออกมายอมรับเลยว่า #พวกเขาผิดอย่างมหันต์ !

    เพราะในเหตุการณ์ที่ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการตกงานกำลังตกค้างมาจากอาทิตย์ก่อนๆ #มันจะไม่มีทางสื่อถึงตัวเลขการจ้างงานใหม่ๆ !

    และตัวเลขเมื่อคืนนี้ได้ชี้ให้เห็นชัดเลยว่า การจ้างงานต่างๆเริ่มกลับมาแล้วในสหรัฐตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาที่หลายๆเมืองมีการปลด Lock Down ลงแล้ว

    #เศรษฐกิจสหรัฐได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

    นักวิเคราะห์ทุกคนยอมรับเลยตอนนี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม การเดินทางเริ่มมากขึ้น การใช้น้ำมันเริ่มกลับมาแล้วซึ่งดูได้จากเลข EIA อย่างชัดเจน เหลือก็เพียงการจ้างงาน... ซึ่งตัวเลข NonFarm Payrolls ก็ได้ออกมายืนยันิย่างชัดเจน

    เศรษฐกิจสหรัฐและ GDP จะค่อยๆเริ่มโตขึ้นแล้วต่อจากนี้ เหลืออยู่ก็เพียงแต่ #ความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายการค้ากับจีน ความตึงเครียดของ 2 ประเทศมหาอำนาจ หรือแม้แต่เรื่องประท้วงก็ตาม

    #แต่วันนี้นักลงทุนทุกท่านคงเข้าใจดีแล้ว ว่าทำไมตลาดหุ้นสหรัฐถึงยังทยอยปรับตัวสูงขึ้นมาเรื่อยๆท่ามกลางความเสี่ยงเหล่านั้น เพราะว่า #การจ้างงาน นั้นเริ่มกลับมาแล้วนั้นเองครับ

    ⛔️ ติดตามทุกความเคลื่อนไหวและวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกไปกับเพจเราได้

    ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ

    #ทันโลกกับKP #OilTraderKP

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ⚠️ ด่วนนนนนน ⚠️ #ตลาดแรงงานสหรัฐปรับตัวดีขึ้นอย่างกลับตาลปัด มันเกิดอะไรขึ้น ?!?!

    ตัวเลขคนตกงานในสหรัฐ (Unemployment Rate) และการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ (Nonfarm Payrolls) ของเดือนพฤษภาคออกมาดีกว่าที่คาดเยอะมาก ! ตัวเลขออกมากลับข้างสวนตลาดทั้งคู่ ! ทำให้ ดัชนีหุ้น Futures สหรัฐเด้งทันที +3% !

    ✅ ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐกลับตาลปัด !

    ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ (Nonfarm Payrolls) ที่คาดการณ์ไว้จะลดลงที่ -7.5 ล้านราย กลับออกมาที่ +2.5 ล้านราย ! เทียบกับที่ติดลบไป -20.7 ล้านรายเมื่อเดือนก่อน

    และทางด้านตัวเลขคนตกงานในสหรัฐ (Unemployment Rate) ที่ตลาดคาดว่าจะขึ้นไปแตะ 19%-20% ในเดือนนี้ กลับปรับตัวลงมาเหลือ 13.3% ! ลดลงมาจากเดือนก่อนที่ +14.7%

    ก่อนหน้านี้ตัวเลขคนขอสวัสดิการณ์ตกงานยังเพิ่งพุ่งทะลุ 42 ล้านคนไปหยกๆ แต่ตัวเลขกลับปรับตัวดีขึ้นคืนนี้แบบไม่ทันตั้งตัว

    ✅ ตลาดหุ้นสหรัฐเด้งขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำมันเด้งตามและทองโดนเทขายทันที !

    แน่นอนว่าเงินยิ่งไหลเข้าทรัพย์สินเสี่ยงอย่างต่อเนื่องคืนนี้ และ Safe Haven อย่างทองจึงโดนเทขาย

    สหรัฐ ดัชนี Dow Jones Futures +2.5% = 26,900 จุด
    สหรัฐ ดัชนี S&P500 +1.5% = 3,160 จุด
    ยุโรปดัชนี Euro Stoxx +2.9% = 3,340 จุด

    ราคาน้ำมันดิบ Brent +5% หรือ +2.02 เหรียญ ขึ้นไปเกินระดับ 42 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว
    ราคาทอง -2.3% = 1,685 เหรียญ

    ✅ แน่นอนว่าหากตลาดหุ้นทั่วโลกบวกหนักขนาดนี้ในคืนนี้และยังขึ้นต่อเนื่องในอาทิตย์หน้า เชื่อว่าดัชนี #SET ของไทยเรา็กมีสิทธิไป 1,500 จุดอาทิตย์หน้าเช่นกันครับ

    ⛔️ ท่านใดไม่อยากพลาดข่าวสารในตลาดจากทีมงาน แนะนำให้กด Like ที่โพสต์เรื่อยๆ หรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ที่เมนูมุมขวาบนของเพจได้เลยครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ของทีมเราที่อัพเดทใหม่ๆครับ
    #ทันโลกกับKP #OilTraderKP

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มีรายงานงานจากสื่อต่างประเทศว่า เมื่อวานนี้ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ออกมาร่วมแสดงจุดยืน และไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ด้วยการนั่งคุกเข่าข้างเดียว พร้อมกับกลุ่มผู้ประท้วงรายอื่น บริเวณด้านหน้ารัฐสภา เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านการเหยียดสีผิว
    .
    โดย จัสติน ทรูโด ได้ออกมาคุกเข่าแสดงจุดยืนร่วมกับผู้ชุมนุม สวมหน้ากากสีดำ และได้ถือเสื้อยืดที่มีข้อความ “แบล็ค ไลฟ์ส แมทเทอร์” ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของบอดี้การ์ด
    .
    โดยนายกฯ ทรูโดนั่งคุกเข่าราว 8 นาที 46 วินาที ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาเดียวกับที่ฟลอยด์ ถูกตำรวจมินเนอาโปลิสใช้หัวเข่ากดที่คอจนขาดอากาศหายใจ โดยผู้ประท้วงต่างกล่าวขอบคุณผู้นำที่มาร่วมรณรงค์ “Black lives matter” ในครั้งนี้
    .
    "ชาวแคนาดาต่างรู้สึกกลัว และกังวัลต่อการกระทำที่รุนแรงของบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รักษากฎหมาย และการแบ่งแยกสีผิวต้องยุติลง" ทรูโด กล่าว
    .
    แม้ทรูโดจะไม่ได้ขึ้นร่วมกล่าวปราศรัยในการชุมนุม แต่เขาได้เดินพบปะทักทายผู้ร่วมชุมนุมคนอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม มีหลายฝ่ายวิจารณ์การกระทำของเขาในครั้งนี้ว่า ทรูโดออกมาร่วมแสดงจุดยืนต่อต้านการเหยียดสีผิว แต่กลับแทบจะนิ่งเฉยต่อกรณีเร่งรัดให้ปฏิรูปตำรวจแคนาดา ที่ใช้ความรุนแรงในลักษณะไม่ต่างกันกับสหรัฐฯ ทั้งที่ตัวนายกฯ เองมีอำนาจ
    .
    จากกรณีของ Chantel Moore หญิงชนพื้นเมืองวัย 26 ปี ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงจนเสียชีวิต และกลายเป็นข้อถกเถียงในสังคมอย่างมาก ถึงระเบียบปฏิบัติในของเจ้าหน้าที่ตำรวจในแคนาดา

    -------------------------------
    แหล่งข่าว



    https://www.cbc.ca/news/politics/trudeau-anti-racism-parliament-hill-1.5600803

    https://www.posttoday.com/world/625370

    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/883901
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อวานนี้ ศาสตราจารย์มาร์ติน แลนเดรย์ แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ ออกมาแถลงกับผู้สื่อข่าวว่า เหล่านักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษเลิกทดลองยาต้านมาลาเรีย hydroxychloroquine แล้ว หลังจากที่พบว่า ยาดังกล่าว ไม่ได้ช่วยในการรักษาโควิด-19 แต่อย่างใด
    .
    โดยแลนเดรย์ ศาสตราจารย์ด้านเวชภัณฑ์ และระบาดวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ขยายความว่า ผลเบื้องต้นจากการทดลองแบบสุ่มนั้นค่อนข้างชัดเจนแล้วในขณะนี้ว่า ยา hydroxychloroquine ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแต่อย่างใด
    .
    ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบสหรัฐฯ ออกตัวแรงสนับสนุนยา hydroxychloroquine ว่า มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโควิด-19 แล้วยังบอกว่าตัวเองยังได้รับประทานยาดังกล่าว เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ด้วย ซึ่งได้จุดประกายความหวังให้วงการแพทย์ ว่าจะสามารถใช้ยา hydroxychloroquine ซึ่งมีราคาถูก และหาได้ง่ายนี้ในการต่อสู้กับโรคโควิด-19
    .
    ในเวลาต่อมาได้มีการโต้แย้งเกี่ยวกับยาดังกล่าวเพิ่มขึ้น หลังจากที่ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ The Lancet เมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้ยาดังกล่าว และทำให้ต้องยุติการทดลองใช้ยาดังกล่าวในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://www.theguardian.com/world/2...-does-not-cure-covid-19-say-drug-trial-chiefs

    https://www.bbc.com/news/health-52937153

    https://www.thansettakij.com/conten...m_medium=internal_referral&utm_campaign=world

    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook : https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ธปท.จ่องัดมาตรการ 'คุมบาท' เรียก 'เทรดเดอร์' ถกปัญหาค่าเงินแข็ง หวังสกัดต่างชาติเก็งกำไร : “แบงก์ชาติ” เรียกเทรดเดอร์ถกสถานการณ์ค่าเงิน เล็งงัดมาตรการคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายใช้ หากเงินบาทแข็งค่าเร็ว ห่วงทุนนอกไหลเข้ามาพักเงินระยะสั้น “กสิกร” เชื่อไม่ถึงขั้นเก็บภาษีลงทุนบอนด์ แต่อาจเพิ่มความยุ่งยากในการเข้ามาลงทุน

    การแข็งค่าของเงินบาทเริ่มกลับมาเป็นประเด็นที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ให้ความกังวลอีกครั้ง เพราะนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.2563 จนถึงปัจจุบัน เงินบาทแข็งค่าแล้วราว 2.81% ถือเป็นการแข็งค่าอันดับสองในภูมิภาค รองจากเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย และการแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้ ยังไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง

    ส่วนกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย พบว่า เริ่มไหลเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา สะท้อนผ่านยอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ไทย ที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิ โดยตั้งแต่วันที่ 1-5 มิ.ย.ที่ผ่านมา นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวม 6,065 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดบอนด์ไทยอีก 14,756 ล้านบาท รวมทั้ง 2 ตลาดซื้อสุทธิจำนวน 20,821 ล้านบาท

    มีรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา ธปท. ได้เชิญผู้บริหารระดับสูงฝั่ง “ห้องค้าเงิน” หรือ “เทรดเดอร์” ของธนาคารพาณิชย์ที่ดูแลตลาดเงินเข้าหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นที่มีต่อภาวะตลาดเงินในปัจจุบัน หลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

    **เล็งงัดมาตรการคุมทุนเคลื่อนย้าย

    การหารือดังกล่าว ธปท. ยังได้สอบถามถึงผลดีและผลเสียในด้านต่างๆ หากจะมีการนำมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย(แคปปิทัลคอนโทล) มาใช้ เช่น การเรียกเก็บภาษีจากผู้ลงทุนที่เข้ามาลงทุนในบอนด์ระยะสั้น หรือ การเก็บดอกเบี้ยเพิ่มเติมกรณีที่มาแลกเงินบาท

    ขณะเดียวกันยังพูดคุยถึงผลดีและผลเสีย หาก ธปท. จะลดการออกบอนด์ระยะสั้นลง รวมทั้งยังหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาเงินบาทที่ผันผวนจากแรงซื้อขายของผู้ค้าทองคำ

    รายงานข่าวระบุด้วยว่า สาเหตุที่ ธปท. เข้ามาติดตามการเคลื่อนไหวในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดในช่วงนี้เนื่องจากเริ่มเห็นเงินทุนเคลื่อนย้ายของต่างชาติมาในลักษณะเก็งกำไรมากขึ้น ทำให้เงินบาทแข็งค่าสร้างความไม่สบายใจให้กับ ธปท. เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อ่อนแอลง และ ธปท. กังวลว่า การแข็งค่าของเงินบาทจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยด้วย

    นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักวิเคราะห์ตลาดการเงินและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าในรอบนี้ สาเหตุหลักไม่น่าจะเกิดจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามา เพราะเงินที่ไหลเข้ายังถือว่าน้อยมาก อีกทั้งยังเพิ่งเป็นการเข้ามาได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น โดยสาเหตุที่แท้จริงน่าจะเกิดจากการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง

    “ที่เราควรต้องกังวล คือ แนวโน้มเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง เพราะหลายปัจจัยเอื้อให้เกิดภาวะนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองในสหรัฐ นโยบายการเงินที่เอื้อให้เงินดอลลาร์อ่อนลง และเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลออกจากสหรัฐ ทั้งหมดนี้เป็นตัวเร่งให้เกิดการขายเงินดอลลาร์ออกมา ซึ่งถ้าดูดัชนีเงินดอลลาร์ตอนนี้อยู่ที่ระดับ 97 จุด จากช่วงพีคๆ ที่อยู่ระดับ 103 จุด และในอดีตเงินดอลลาร์ก็เคยลงไปอยู่ที่ระดับ 80 จุดต้นๆ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เงินดอลลาร์อาจจะอ่อนลงต่อเนื่อง กดดันให้เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น”
    ส่วนกรณีที่ ธปท. ได้เรียกเทรดเดอร์เข้าหารือเพื่อพูดคุยถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท รวมทั้งสอบถามถึงการนำมาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายมาใช้นั้น โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะอย่างที่บอกสาเหตุที่แท้จริงของการแข็งค่าของเงินบาท คือ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์

    **ฟันธงบาทแข็งทะลุ31ต่อดอลลาร์

    นายจิติพล กล่าวว่า หาก ธปท. ต้องการดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทจริง อยากเสนอให้ใช้วิธีเดียวกับธนาคารกลางสิงคโปร์ซึ่งเขาจะมีประมาณการในแต่ละปีว่า ปีนั้นการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะเป็นเท่าไรแล้วทิศทางค่าเงินจะเป็นอย่างไร ช่วยให้ผู้ประกอบการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินได้ ส่วนของไทยแม้จะมีประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัดแต่ไม่มีประมาณการเรื่องของค่าเงิน ทำให้การคาดการณ์ของผู้ประกอบการเป็นไปได้ยาก

    ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทระยะข้างหน้า เชื่อว่ามีโอกาสสูงที่เงินบาทจะแข็งค่าต่อเนื่องจนทะลุกระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์ เพียงแต่จะไม่แข็งค่าลงไปเท่ากับช่วงปลายปี 2562 ที่เงินบาทเคลื่อนไหวในระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์

    **คาดธปท.จ่องัดใช้มาตรการเร็วๆนี้

    นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาธปท.ได้เรียกฝ่ายตลาดเงิน และเทรดเดอร์ของธนาคารเข้าไปพบจริง เพื่อหารือร่วมกันเกี่ยวกับการแข็งค่าของค่าเงินบาท โดยหวังลดแรงกดดันของค่าเงินบาทและดูในส่วนที่มีผลกระทบค่าเงินเช่นธุรกรรมการซื้อขายทองคำ จึงเชื่อว่าระยะข้างหน้า ธปท.อาจออกมาตราการเพื่อดูแลเงินบาทเพิ่มเติม แต่คงไม่ใช่มาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายเหมือนในอดีต ที่มีการเก็บภาษีเงินไหลเข้ามาลงทุน

    สำหรับมาตรการที่คาดว่า ธปท. จะดำเนินการ น่าจะเป็นลักษณะเพิ่มความยุ่งยากให้กับนักลงทุนที่หวังเข้ามาพักเงินระยะสั้น เช่นขอดูเอกสารเพิ่มเติมในธุรกรรมการซื้อขายสินทรัพย์บางประเภท เพื่อลดความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมลง การทำแบบนี้เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้นักลงทุนที่หวังเก็งกำไรค่าเงินบาทได้รับทราบว่า ธปท. จับตาดูอยู่ ซึ่งจะช่วยลดการเก็งกำไรลงได้

    “คิดว่าคงไม่มีการเก็บภาษีเงินไหลเข้าเหมือนในอดีต เพราะเราเคยทำในอดีตแล้วเกิดผลกระทบมากมาย แบงก์ชาติคงมีบทเรียนในส่วนนี้แล้ว ดังนั้นมาตรการถ้าจะออกในคราวนี้ ก็คงเป็นลักษณะที่ลดความคล่องตัวในการทำธุรกรรม เพื่อแสดงให้นักลงทุนเห็นว่าแบงก์ชาติตรวจสอบอยู่"

    **จับตาธปท.ลดออกบอนด์สั้น

    อย่างไรก็ตาม หากระยะข้างหน้ายังพบการเข้ามาเก็งกำไรในค่าเงินต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้ที่ ธปท.จะลดการออกพันธบัตรระยะสั้นลง เพื่อลดช่องทางให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินมากพักเอาไว้ ซึ่งก็คงช่วยลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาทลงได้บ้าง
    นายกอบสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า การแข็งค่าของค่าเงินบาท เชื่อว่าไม่ได้มาจากทองคำ หรือแรงเก็งกำไรระยะสั้นอย่างเดียว ดังนั้นหากต้องการแก้ไขการแข็งค่าของค่าเงินบาท ต้องมองไปถึงเงินทุนไหลเข้า ที่ถูกดึงกลับจาก FIF หรือบัญชีเงินฝากในต่างประเทศ ที่ไหลกลับมาในภาวะที่ธุรกิจขนาดสภาพคล่องด้วย

    "เราอาจต้องพิจารณาในหลายมิติมากขึ้น เพื่อหาแนวทางการป้องกันบาทแข็งค่า หรือหามาตราการรองรับกลุ่มนี้ เพื่อหนุนไม่ให้นำเงินกลับมาในประเทศมากนัก"

    **‘อีไอซี’คาดจีดีพีปีนี้ติดลบ7.3%

    นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic intelligence center หรือ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า อีไอซี ได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เป็นหดตัว 7.3% จากเดิมที่คาดติดลบเพียง 5.6% หลังได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 มากกว่าคาด ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงทำให้ภาคการท่องเที่ยวหดตัว 75% หรือมีนักท่องเที่ยวเพียงระดับ 9.8 ล้านคน จากปีก่อนหน้าที่มีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน ขณะที่คาดมูลค่าส่งออกติดลบสูงถึง 10.4%

    ขณะที่แนวโน้มจีดีพีไตรมาสสอง คาดติดลบที่ 12% และน่าจะเป็นจุดที่เศรษฐกิจต่ำสุด โดยคาดเศรษฐกิจจะติดลบต่อเนื่องในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 แต่จะทยอยติดลบน้อยลง ส่วนประเด็นที่ต้องจับตา คือความเปราะบางของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ที่อาจเห็นแนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องว่างงานที่คาดมีโอกาสเห็นเพิ่มเป็น 3-5 ล้านคน

    สำหรับนโยบายการเงิน คาดว่ากนง.น่าจะคงดอกเบี้ยที่ 0.50% ต่อไปตลอดทั้งปีนี้ ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนคาดว่ามีแนวโน้มอ่อนค่าลง หลังคลายล็อกดาวน์มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจเริ่มกลับมา ทำให้คาดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลได้ 2.4% ปีนี้ ทำให้ประเทศไทยอาจไม่ได้เป็นเซฟเฮฟเว่นในสายตานักลงทุน ซึ่งหนุนให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ในระยะข้างหน้า หากเทียบกับระดับปัจจุบัน ซึ่งทั้งปี คาดเงินบาทอยู่ที่ 31.50-32.00 บาท

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news...medium=internal_referral&utm_campaign=finance

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำนักข่าว CBS ของสหรัฐฯ เผยแพร่บันทึกข้อความจากบิ๊กเพนตากอน ที่มีต่อกำลังพลของกองทัพสหรัฐฯ ทุกเหล่าทัพที่เขียนโดย พลเอกมาร์ก เอ. มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมฯ (Chairman of the Joint Chiefs of Staff) โดยมีสาระสำคัญตอนหนึ่งที่น่าสนใจโดยระบุว่า
    .
    พลเอกมาร์ก ย้ำให้กำลังพลในทุกหน่วยยึดมั่นต่อคำปฏิญาณที่ให้ไว้ว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมสหรัฐและรับใช้ประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าทั้งชายและหญิงต่างเกิดมาด้วยสิทธิเสรีและเท่าเทียม และควรได้รับการอย่างมีเกียรติ

    นอกจากนี้ประธานเสธฯ สหรัฐฯ ยังได้กล่าวว่า กองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมม็อบในขณะนี้ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ว่าการรัฐในแต่ละมลรัฐ ไม่ใช่ทำตามคำสั่งประธานาธิบดี และเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงรักษาความสงบ และความปลอดภัยสาธารณะ
    .
    แม้บันทึกดังกล่าวจะเพิ่งได้รับการเปิดเผย แต่ในหัวของบันทึกนี้ได้ลงวันที่ 2 มิถุนายน ซึ่งตรงกับวันที่ทรัมป์สั่งให้กองกำลังพิทักษ์พรมแดน และตำรวจใช้กระสุนยางและแก๊สน้ำตาเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงที่ด้านนอกทำเนียบขาว เพื่อเปิดทางให้เขาเดินไปยังด้านหน้าของโบสถ์เซนต์จอห์น เพื่อถ่ายรูปกับคัมภัร์ไบเบิล ซึ่งหลายฝ่ายได้วิจารณ์อย่างหนักว่าทรัมป์กำลังใช้ประเด็นทางศาสนา มาหาเสียงสร้างความชอบธรรมในการปราบปรามม็อบจอร์จ ฟลอยด์
    .
    ท่าทีของพลเอกมาร์ก เอ. มิลลีย์ มีขึ้นตามมาหลังจากที่เมื่อวานนี้ นายมาร์ก เอสเปอร์ รมว.กลาโหม ได้ออกมาแสดงจุดยืนคัดค้านทรัมป์ที่ต้องการให้ใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง เช่นเดียวกับพลเอก เจมส์ แมตทิส อดีตรัฐมนตรีกลาโหมคนแรกของรัฐบาลทรัมป์ ต่างก็ออกมาแสดงจุดยืนคัดค้านรวมถึงวิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ว่าเป็นผู้สร้างความแตกร้าวในสังคมอเมริกันมาตลอดสามปีที่ดำรงตำแหน่งผู้นำ

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://nypost.com/2020/06/04/joint...ans-memo-reminds-troops-of-oath-to-americans/

    https://www.thenation.com/article/society/military-milley-mattis-protests/

    https://www.posttoday.com/world/625268
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินโดนีเซียติด COVID-19 วันเดียวสูงสุด 993 คน รวมทะลุ 3 หมื่นราย

    กระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซีย เผยว่าตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 รายใหม่รวม 993 รายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา นับเป็นตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อสูงสุดในหนึ่งวันของอินโดนีเซีย ทำให้ขณะนี้ตัวเลขผู้ป่วยสะสมของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นเป็น 30,514 รายแล้ว โดยอินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่มีผู้ติด COVID-19มากเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนเป็นรองเพียงสิงคโปร์ที่มีผู้ติดเชื้อ 37,527 คน

    https://www.tcijthai.com/news/2020/6/asean/10468

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (ขณะนี้อินโดนีเซียติด COVID-19 วันเดียวสูงสุด 993 คน รวมทะลุ 3 หมื่นราย)

    19 กุมภาพันธ์ เวลา 07:09 น. ·
    ประเทศเราไม่พบคนป่วย COVID-19 เพราะพวกเราสวดภาวนา

    นี่เป็นคำกล่าวจริงๆของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของประเทศอินโดนีเซีย
    โดยปัจจุบันนั้นอินโดนีเซียยังไม่มีการพบผู้ติดเชื้อในประเทศ จนหลายคนเกิดคำถามว่าที่ไม่พบ ไม่พบจริงๆหรือเครื่องมือของอินโดฯไม่พร้อม
    โดยรัฐมนตรี ให้เหตุผลของการที่ไม่พบเชื้อและผู้ป่วยที่ติด COVID-19 เพราะการละหมาดและการภาวนา
    “Medically, [it’s thanks] to doa (prayer). It’s all because of doa,” Health Minister Terawan Agus Putranto said during a press conference in Jakarta on Saturday, as quoted by Detik.

    “I am certain that doa is what makes [Indonesians] like this (seemingly immune to COVID-19).”

    https://www.msn.com/en-sg/news/worl...qK1foKgZ7yZAm6W4-yIWNrr9pesZH2FOSfdV_t_GT2Irw

    แชร์จาก คัดข่าว
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทางการอิร่านเผย เหตุเรืออัปปางในน่านน้ำอิรัก

    Mousa Ali Zadeh Tabatabaei ผู้ช่วยเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำอิรักเปิดเผยสาเหตุเรือสัญชาติอิหร่านล่มบริเวณน่านน้ำอิรักเมื่อค่ำวันพฤหัสที่ผ่านมา ระบุเรือเคราะห์ร้ายลำดังกล่าวได้เผชิญกับพายุและสภาพอากาศที่เลวร้าย ก่อนจมลงในเขตน่านน้ำเมืองบัศเราะฮ์ ทางตอนใต้ของอิรัค

    เขายังระบุต่อว่า เรือลำดังกล่าวมีลูกเรือ 7 คน โดยลูกเรือ 4 คนได้รับการช่วยเหลือไว้ได้ ในขณะที่พบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 คน และหายสาบสูญอีก 2 คน

    รออัพเดท

    https://www.almasdarnews.com/articl...or-ships-sinking-in-iraqi-territorial-waters/

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรณีศึกษา มูลค่าเศรษฐกิจของศาสนาในสหรัฐอเมริกา - MarketThink

    ศาสนานั้นเกิดขึ้นมานานกว่า 3,000 ปี
    มีความเชื่อกันว่าศาสนานั้นเกิดขึ้นมาเพราะความกลัวของมนุษย์
    ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง
    ความกลัวของมนุษย์เราก็ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

    เราลองมาดูตัวอย่างของหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลก
    ในสหรัฐอเมริกา มูลค่าทางเศรษฐกิจของศาสนานั้นมีมูลค่าสูงถึง 37 ล้านล้านบาทต่อปี
    ซึ่งมูลค่านี้ เทียบเท่ากับบริษัท Amazon ทั้งบริษัทเลยทีเดียว

    โดยมูลค่าทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ
    คือ สถาบัน การรวมกลุ่มทางศาสนา และธุรกิจที่เกี่ยวกับความเชื่อ

    ส่วนแรกคือสถาบัน มีสัดส่วน 26% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 9.7 ล้านล้านบาท
    ประกอบไปด้วย องค์กรการกุศล การบริการทางสาธารณสุข และสถาบันการศึกษาขนาดใหญ่

    โดยเฉลี่ย คนอเมริกัน 1 คน ในทุกๆ 6 คน มักจะใช้บริการของโรงพยาบาลคาทอลิก

    ตัวอย่างเช่น Adventist Health เป็นหนึ่งในองค์กรทางศาสนาที่ดูแลเรื่องสุขภาพของผู้คน
    โดยมีการให้บริการในกว่า 80 ชุมชนในฝั่งตะวันตกของประเทศ และมลรัฐฮาวาย
    องค์กรนี้มีพนักงานกว่า 78,000 คน และมีโรงพยาบาลถึง 46 แห่ง

    มหาวิทยาลัยอันดับที่ 40 ของโลกอย่าง Brandeis University ในสหรัฐฯ
    ก็เป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่เกิดจากศาสนายิว

    ส่วนที่สองคือ การรวมกลุ่มทางศาสนามีสัดส่วน 36% คิดเป็นมูลค่า 13.4 ล้านล้านบาท
    โดยส่วนนี้เป็นเม็ดเงินที่เกิดขึ้นจาก โบสถ์ มัสยิด วัด

    โดยประกอบไปด้วยกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายต่างๆ
    เช่น การแต่งงาน การเรียน หรือแม้แต่การท่องเที่ยว

    ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ จะทำให้เกิดการกระจายรายได้ในชุมชน
    เช่น ค่าดอกไม้ ค่าระบบเครื่องเสียง ค่าซ่อมบำรุง และค่าสาธารณูปโภค

    โรงเรียนเองก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนี้ด้วย
    ในสหรัฐฯ มีครูที่เป็นพนักงานประจำของโรงเรียนศาสนากว่า 420,000 ตำแหน่ง
    สอนนักเรียนกว่า 4.5 ล้านคนในแต่ละปี

    สิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าศาสนสถานในสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพียงที่สักการะบูชาพระเจ้าเท่านั้น
    แต่เป็นสถานที่ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
    และยังทำให้เกิดการชุมนุมทางศาสนากันอย่างน้อย 344,000 คนต่อปี

    ส่วนสุดท้ายคือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดอยู่ที่ 38%
    คิดเป็นมูลค่า 14 ล้านล้านบาท

    หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับความนิยมคือ ธุรกิจอาหาร
    เพราะศาสนิกชนจำนวนมากต้องทานอาหารตามหลักของศาสนาอย่างเคร่งครัด
    เช่น อาหารฮาลาล อาหารโคเชอร์ (อาหารที่ได้มาตรฐานตามกฎของยิว)

    นอกจากนี้ ศาสนาก็ยังมีอิทธิพลกับธุรกิจสื่ออีกด้วย
    สื่อโทรทัศน์อย่าง EWTN เป็นเครือข่ายโทรทัศน์ของคาทอลิก
    ส่วน CBN เป็นเครือข่ายของโปรเตสแตนท์

    ตัวอย่างธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น ธุรกิจขายดิน
    บริษัท Holy Land Earth นำเข้าดินจากอิสราเอลเพื่อมาขายในสหรัฐอเมริกา
    ซึ่งดินที่ขายนี้ก็ไม่ใช่ดินธรรมดาๆ
    แต่เป็นดินศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวยิว
    ที่นิยมนำมาใช้ในการฝังศพ ปลูกต้นไม้ หรือแม้แต่สร้างบ้าน
    รวมถึงนำมาประกอบกิจกรรมต่างๆ ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้พิธีมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น

    ในตอนนี้เราอาจจะเห็นว่า หลายๆ ธุรกิจกำลังเผชิญกับวิกฤติทางเศรษฐกิจ

    แต่หนึ่งในธุรกิจที่น่าจะดำเนินกิจการต่อไปได้
    อาจจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ก็เป็นได้..

    อ้างอิง :
    -https://www.weforum.org/agenda/2017/01/religion-bigger-business-than-we-thought/
    -https://www.weforum.org/agenda/2016/05/fastest-growing-major-religion
    -https://www.theguardian.com/world/2016/sep/15/us-religion-worth-1-trillion-study-economy-apple-google
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Adventist_Health
    -https://www.usnews.com/best-colleges/brandeis-university-2133
    -https://www.forbes.com/lists/top-charities/#ea4db5d5f501
    -https://www.dallasnews.com/news/faith/2007/06/05/holy-dirt/

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทรัมป์ บอก “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ทำพลาดที่ขายหุ้นสายการบิน

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านตามเวลาท้องถิ่น ที่ทำเนียบขาว หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม ที่ดีเกินกว่าคาดมาก

    โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร เพิ่มขึ้น 2.5 ล้านราย จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 7.5 ล้านราย
    และอัตราการว่างงาน 13.3% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ในระดับเกือบ 20%
    จนทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งทะยานตอบรับข่าวดี อย่างดัชนี Dow Jones ปิดบวกไป 3%

    ทรัมป์ ก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
    ว่าได้ทำเรื่องผิดพลาดเมื่อเร็วๆ โดยการเทขายหุ้นสายการบินทิ้งหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    “วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายสายการบินเมื่อไม่นานมานี้”
    “ทั้งชีวิตของเขา ลงทุนอย่างถูกต้องมาโดยตลอด”
    “ฉันเคารพเขามาก”
    “แต่เขาได้ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ เขาควรจะเก็บหุ้นสายการบินเอาไว้
    เพราะราคาหุ้นสายการบินได้ทะลุเพดานไปแล้วในวันนี้” ทรัมป์กล่าว

    ส่วนทาง บัฟเฟตต์ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตอบสนองต่อถ้อยคําของทรัมป์แต่อย่างใด

    ทั้งนี้ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของ Berkshire Hathaway ในวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
    บัฟเฟตต์ รายงานว่าได้ทำการเทขายหุ้นสายการบิน American Airlines Group, Delta Air Lines, Southwest Airlines และ United AIrlines Holdings
    ไปในเดือนเมษายน รวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 189,000 ล้านบาท

    โดยบัฟเฟตต์ มองว่าโรคระบาดโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการบินครั้งใหญ่
    และเขาไม่มั่นใจว่า ธุรกิจสายการบินจะฟื้นตัวเร็วแค่ไหน หรือในอนาคตจะเป็นอย่างไร

    เมื่อภาพในอนาคตไม่ชัดเจน เขาเลยทำสิ่งที่ชัดเจนในตอนนี้ก่อน ก็คือการจำกัดความเสี่ยง
    ยอมตัดขาดทุน แล้วรอดูสถานการณ์จากนอกสนามแทน

    ซึ่งเมื่อวานนี้ ราคาหุ้นสายการบินหลายตัวได้พุ่งขึ้น หลังจากที่สามารถกลับมาให้บริการเที่ยวบินได้อีกครั้ง
    รวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด

    American Airlines Group หุ้นบวก 11%
    Delta Air Lines หุ้นบวก 6%
    United AIrlines Holdings หุ้นบวก 8%

    อ้างอิง :
    https://www.reuters.com/article/us-...-mistake-selling-airline-stocks-idUSKBN23C2U7

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #นาโต้ไม่หวั่นโควิดซ้อมรบครั้งใหญ่ประจำปีในบอลติกพุ่งเป้ารัสเซีย !! ที่ไหนเป็นแหล่งพลังงานที่นั่นมีการซ้อมรบ !! กองทัพเรือนาโต้จาก 19 ประเทศรวมตัวกันครั้งใหญ่ในทะเลบอลติกเพื่อซ้อมรบประจำปี (BALTOPS 2020) แสดงศักยภาพของทัพนาโต้ต่อรัสเซีย เริ่ม 7-16 มิ.ย. นี้ ระดม หน่วยปฏิบัติการทางทะเล 29 หน่วย เครื่องบิน 29 ลำและบุคลากร 3,000 คนจาก 17 ประเทศสมาชิกนาโตและอีก 2 ประเทศพันธมิตร ได้แก่ : แคนาดา, เดนมาร์ก, เอสโตเนีย, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีซ, อิตาลี, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, สเปน, สวีเดน, ตุรกี, สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา
    .
    อย่างไรก็ตาม ด้านกัปตันของเรือรบ Lübeck ชาวเยอรมันกล่าวว่า ทีมของเขาจะพยายามอยู่ห่างกัน 1.5 เมตร เพื่อรักษาระยะห่างทางสังคมและป้องกันการแพร่กระจายของ COVID-19 ทั้งนี้ "บอลติก" เป็นจุดยุทธศาสตร์เพราะรัสเซียใช้เป็นเส้นทางท่อส่งก๊าซน็อตดัม 2 จากรัสเซียไปยังเยอรมนีที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์เต็มทีแล้ว ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐพยายามขัดขวางโครงการเมกะโปรเจคนี้ เพื่อกีดกันยุโรปซื้อพลังงานจากรัสเซีย
    .
    Sputnik

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คุ้มครองวิถีชีวิตของผู้คนในช่วงวิกฤตโควิด-19 หรือ เสี่ยงให้พวกเขาเหล่านั้นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น

    -ไนจีเรีย ร้อยละ 95 ของประชาชน (ที่ ICRC สอบถาม) ระบุว่าแหล่งรายได้ของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างหนัก
    -อิรัก ร้อยละ 83 ระบุว่าวิถีชีวิตของพวกเขาได้รับผลกระทบ
    -ยูเครน ร้อยละ 75 ระบุว่าราคาข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันเพิ่มสูงขึ้นมาก

    เจนีวา-ผลการสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะก่อให้เกิดความลำบากด้านเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่การพึ่งพาความช่วยเหลืออย่างหนักโดยเฉพาะในประเทศที่มีความขัดแย้งและไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล สถาบันการเงินระหว่างประเทศ รวมถึงองค์กรด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา

    หากไม่มีการสนับสนุนจากประชาคมโลก คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) คาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะทำให้ความต้องการด้านมนุษยธรรมเพิ่มสูงขึ้น และ มีแนวโน้มว่าจะมีความต้องการด้านสาธารณสุขและการป้องกันทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเกิดขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าบรรดาชุมชนต่างๆ จะต้องการความช่วยเหลืออย่างแน่นอน

    ผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจและความปลอดภัยทางอาหารขยายวงกว้างและมีแนวโน้มจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ ในประเทศที่มีความขัดแย้ง ประชาชนหลายล้านคนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ไร้ซึ่งบริการด้านสาธารณสุข ขาดแคลนอาหาร น้ำ และ ไฟฟ้า ราคาสินค้าที่ไม่แน่นอนรวมถึงสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ถูกทำลาย ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้อันนำมาซึ่งปัญหาความยากจนและความหิวโหยที่หนักหนากว่าเดิม

    ดัชนีชี้วัดเบื้องต้นในพื้นที่ขัดแย้งซึ่ง ICRC ทำงานอยู่แสดงให้เห็นว่า

    -ไนจีเรีย ร้อยละ 95 ของประชาชน 313 คนที่ ICRC สอบถามระบุว่า รายได้ของพวกเขาลดลงอันเป็นผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 ส่วนที่อิรักร้อยละ 83 (จากการสอบถาม 130 คน) และ ลิเบีย ร้อยละ 52 (จากการสอบถาม 190 คน)

    -ในอิรักร้อยละ 77 ตอบว่าไม่มีเงินเก็บสำหรับรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ โดยในลิเบียคิดเป็นร้อยละ 85 และ ไนจีเรียร้อยละ 48

    -ในไนเจอร์ ร้อยละ 93 ของประชาชน 300 ครัวเรือนกล่าวว่าพวกเขาสูญเสียแหล่งรายได้หรือวิถีชีวิต โดยร้อยละ 61 กลายเป็นคนว่างงานและร้อยละ 20 ถูกลดเงินเดือน

    -ในยูเครน ร้อยละ 75 ของประชาชน 215 คน พบว่าราคาข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ร้อยละ 47 กล่าวว่าพวกเขาเข้าถึงสินค้าในตลาดได้น้อยลง

    “โควิด-19 ทำให้เกิดสภาวะชะงักงันทางการเงินของครอบครัวโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการสู้รบ ฉันเกรงว่าหากรัฐบาลหรือหน่วยงานด้านมนุษยธรรรมไม่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ จะต้องเกิดผลกระทบในระยะยาว” ชาร์ล็อต เบนน์บอร์น หัวหน้ากิจกรรมเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของ ICRC กล่าว

    คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เรียกร้องให้โครงการคุ้มครองทางสังคมยังคงดำเนินหรือขยายระยะเวลาออกไป และ ต้องครอบคลุมกลุ่มคนเปราะบาง ทั้งนี้กิจกรรมด้านมนุษยธรรมที่เน้นด้านความปลอดภัยทางอาหาร โภชนาการและวิถีชีวิตจะต้องได้รับการสนับสนุน

    อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากลไกทั่วไปที่ครอบครัวมักนำมาใช้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินจากเพื่อนบ้านหรือครอบครัว ลดการใช้จ่าย ใช้เงินเก็บ ได้ถูกนำมาปรับใช้จนหมดสิ้น สิ่งที่ยากลำบากที่สุดและกระทบกับครัวเรือนคือความปลอดภัยทางอาหารและการไม่สามารถออกไปตลาดหรือไม่มีเงินซื้อสิ่งของอันเนื่องมาจากผลกระทบของโควิด-19

    สิ่งที่น่าวิตกอีกประการหนึ่งก็คือความหิวโหยและภาวะขาดโภชนาการจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับโควิด-19 เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นมาแล้วพร้อมกับการแพร่ระบาดของอีโบล่า ซาร์ส และ เมอร์ส ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยทางอาหารและเพิ่มอัตราการขาดแคลนอาหารให้สูงขึ้น การปรับปรุงระบบสาธารณสุขในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งจะทำให้เกิดผลลัพธ์ในแง่บวกตามมาทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก

    “ในระยะเวลาอันใกล้ การทำให้ระบบสาธารณสุข น้ำ และ สุขอนามัยเข้มแข็งจะเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ เพื่อป้องกันและจัดการการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อ” เอสเปรันซ่า มาร์ติเนซ หัวหน้าแผนกสุขภาพของ ICRC กล่าว

    นอกจากนี้การขาดรายได้อาจส่งผลต่อครอบครัวในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายในการจัดหาบริการที่จำเป็นและทำให้การขาดแคลนอาหารสำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงต้องเลวร้ายลงไปอีก และเมื่อมีการจำกัดการเคลื่อนที่ ประชาชนจะเผชิญกับทางเลือกที่เลวร้ายระหว่างการหาเลี้ยงชีพและดูแลสุขภาพตัวเอง

    หลายครอบครัวที่พึ่งพารายได้จากญาติที่เป็นแรงงานข้ามชาติก็ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเช่นกันเพราะโอกาสในการหารายได้แม้ในประเทศที่มั่งคั่งก็ลดถอยลงด้วย ธนาคารโลกระบุว่า การโอนเงินต่างประเทศมีแนวโน้มจะลดลงร้อยละ 20 ในปี 2563 เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-19 ยกตัวอย่างเช่น ในเยเมน โควิด-19 ทำให้เกิดการลดลงของการโอนเงินที่อาจจะสูงถึงร้อยละ 70 เพราะราคาของอาหาร เช่น ข้าว ถั่วเลนทิล นม แป้ง ถั่ว น้ำมันทำอาหาร น้ำตาลและเกลือ มีราคาสูงขึ้นถึงร้อยละ 60 นับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งในประเทศตั้งแต่ปี 2558
    .
    ที่มา : คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ทรัมป์จะชนะเลือกตั้งสมัย2 ?? เดวิด เคย์ จอห์นสตัน นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์มองว่า ยังไงเลือกตั้งสมัย 2 "ทรัมป์" ก็นอนมา ไม่ว่าจะเจอโควิดตายกว่า 100,000 ราย ตัวเลขตกงานพุ่งเกือบ 43 ล้าน มาเจอประท้วงผิวสี จอร์จ ฟลอยด์ อีก เพราะอันที่จริงแล้ว "ชาวมะกัน" ส่วนใหญ่ชอบทรัมป์ !! แม้ความเคลื่อนไหวล่าสุดทางฝั่งเดโมแครตก็ได้ "โจ ไบเดน" เป็นตัวแทนของพรรคลงชิงดำกับทรัมป์แล้วในเดือนพฤศจิกายนนี้
    .
    Daily Mail

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ลุงทรัมป์งอนป้าแมร์เคิลหันซูฮกจีนเตรียมถอนทหารในเยอรมันกลับบ้านด่วน !! หลังความสัมพันธ์ "มะกัน-เยอรมนี" ไม่ค่อยหวานชื่นเห็นต่างกันหลายประเด็น การลงขันนาโต้ที่ต่างฝ่ายต่างเกี่ยงกันออกค่าใช้จ่าย เยอรมนีหันไปซื้อก๊าซจากรัสเซีย อีกทั้งเรื่องการประชุม จี-7 ล่าสุด ทาง "แมร์เคิล" พี่ใหญ่แห่งอียู หันไปสานสัมพันธ์หวานชื่นกับ "จีน" จึงมีคำสั่งให้ถอนทหารสหรัฐในเยอรมนี 9,500 นาย กลับประเทศและบางส่วนย้ายไปประจำการที่จุดอื่น ด้าน "โปแลนด์" ขันอาสาในฐานะสมาชิกนาโต้ดูแลเยอรมนีให้ปลอดภัยจาก "รัสเซีย"
    .
    RT / Reuters

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ญี่ปุ่น มีแผนที่จะห้ามต่างชาติจากอีก 18 ประเทศกลุ่มเสี่ยงโควิดเดินทางเข้าญี่ปุ่น

    นายโมเตงิ โทชิมิตสึ รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่นกล่าวว่า ญี่ปุ่นอาจจะมีการเพิ่ม 18 ประเทศห้ามเข้าญี่ปุ่น เช่น คิวบาและเลบานอน ฯลฯ ถ้าญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมาประเทศที่ห้ามเข้าญี่ปุ่นนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 129 แห่ง จาก 111 แห่ง

    ล่าสุดรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาที่จะผ่อนคลายการห้ามเข้าญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทย ออสเตรเลีย และประเทศอื่น ๆ อีก 2 ประเทศ

    อ้างอิง : https://www3.nhk.or.jp/

    ----------------------------------------------------
    กดติดตามเพจนี้ "คนไทยในญี่ปุ่น" และกดเห็นโพสต์ก่อน เราจะคัดข่าวและคอนเท้นต์ที่มีคุณภาพสู่มือถือของคุณในทุกๆวัน!

    (สังคมคนชื่นชอบญี่ปุ่น)
    เข้ากลุ่ม "คนไทยในญี่ปุ่น" : https://bit.ly/357lfXY
    Line กลุ่ม : https://bit.ly/2YDHCTo

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลุ่มติดอาวุธชุดดำมาเข้าร่วมชุมนุมอยู่แถวหน้ากับผู้ประท้วงแล้วหลังจากทนเห็นเจ้าหน้าที่ทำร้ายชาวบ้านไม่ไหว...ถ้าออกมากันเยอะๆ สงครามกลางเมืองแน่ครับ

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,481
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนอเมริกันผิวขาว ไม่เพียงแต่ดูถูกคนผิวดำ แม้แต่คนเอเซียก็ยังดูถูก ดังกรณีคลิปที่เห็นนี้ คนอเมริกันผิวขาวเดินเข้ามาหาเรื่องซึ่งๆ หน้า แต่บังเอิญคนเอเซียคนนี้ มีดีติดตัว จึงสั่งสอนให้เป็นบทเรียนได้

     

แชร์หน้านี้

Loading...