ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐอเมริกา - ไฟป่าทวีความรุนแรง มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 400 เอเคอร์ใน Pismo Beach, California, 15 มิถุนายน

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐอเมริกา - ภาพสถานการณ์ที่ผู้อยู่อาศัยใน พิสโมบีช (pismo beach) รัฐแคลิฟอร์เนีย เผชิญกับไฟป่าครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เม็กซิโก - ปลดปล่อยเถ้าภูเขาไฟออก จากกิจกรรมของภูเขาไฟ Popocatépetl ที่เห็นจากปวยบลา เมื่อวานวันที่ 15 มิถุนายน

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MEXICO - ภูเขาไฟPopocatépetlได้เกิดการปะทุหลายครั้งในช่วงเช้าของวันที่ 16 มิถุนายนด้วยการปล่อยวัสดุร้อน

    ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ภูเขาไฟมีการหายใจออก 302 ครั้งในช่วงกลางคืนเวลา 22:00 น. และเมื่อเวลา 05:00 น. มีการหายใจออก 82 ครั้งและการปะทุ 4 ครั้ง การเตรียมพร้อมยังคงเป็นสีเหลืองในระยะที่ 2

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จับตา: เปิดรายงานศึกษาผลกระทบจากประกาศ-คำสั่ง คสช.

    เปิดรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง 'ผลกระทบจากประกาศ คสช. คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. ศึกษากรณีการดำเนินคดีต่อพลเรือนในศาลทหาร การจำกัดเสรีภาพการแสดงออกและการจำกัดเสรีภาพสื่อมวลชน' ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร

    https://www.tcijthai.com/news/2020/6/watch/10519

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สิงคโปร์ตกงานหนักสุดในรอบ 10 ปี ชี้สิ้นปีอาจตกงานรวมกว่า 2 แสนคน

    นาย Josephine Teo รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานสิงคโปร์ เผยว่าสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลต่อตลาดแรงงานสิงคโปร์อย่างหนักที่สุด เพราะมีอัตราการว่างงานสูงสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการจ้างงานก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยอัตราการว่างงานค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นจาก 2.3% ในไตรมาสก่อนหน้า เพิ่มเป็น 2.4% ขณะที่อัตราการว่างงานของชชาวสิงคโปร์ก็เพิ่มจาก 3.3% เป็น 3.5%

    https://www.tcijthai.com/news/2020/6/asean/10530
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฟิลิปปินส์ขยายเวลาล็อกดาวน์กรุงมะนิลาเพิ่มอีก หลังผู้ติดเชื้อ COVID-19 ใกล้ถึง 3 หมื่นราย

    นาย Harry Roque โฆษกรัฐบาลฟิลิปปินส์ ประกาศว่านายโรดิโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ได้ตัดสินใจขยายเวลาการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในกรุงมะนิลาออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้ เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามภายใต้การยายมาตรการล็อกดาวน์ ระบบขนส่งมวลชนในกรุงมะนิลาจะได้รับอนุญาตให้บริการอย่างจำกัด และที่ประชาชนจะต้องรักษาระยะห่างทางสังคม

    https://www.tcijthai.com/news/2020/6/asean/10522

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ต้นตอของวิกฤติคือ การไม่เดินทาง /โดย ลงทุนแมน
    จริงๆ แล้ววิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากคนไม่เดินทาง เพราะคนกลัวติดเชื้อโรค

    ดังนั้นถ้ามองให้ลึก ต้นตอของปัญหานี้ก็คือ “การไม่เดินทาง” ของผู้คนทั่วโลก
    และดูเหมือนว่า แค่คำนี้คำเดียว
    จะทำให้กับโลกต้องเจอกับ วิกฤติเศรษฐกิจที่หนักสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

    ประเทศอังกฤษบอกว่าเขากำลังเจอ GDP ติดลบมากที่สุดในรอบ 300 ปี
    ไม่ว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 2 ก็ไม่หนักเท่าครั้งนี้

    ประธานธนาคารกลางสหรัฐบอกว่า สหรัฐอเมริกากำลังเจอเศรษฐกิจย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์

    เรื่องนี้เป็นเพราะในรอบ 300 ปี ที่ผ่านมา ผู้คนในอังกฤษไม่เคยหยุดเดินทาง
    เช่นกัน ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้คนในสหรัฐอเมริกาก็ไม่เคยหยุดเดินทาง

    ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่ทำให้วิกฤติย่ำแย่ที่สุด
    กลับไม่ใช่สงคราม ไม่ใช่ฟองสบู่ทางการเงิน
    แต่เป็น “การที่คนไม่เดินทาง”
    ╔═══════════╗
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    เพราะการไม่เดินทาง หมายถึง การหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด
    ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายสินค้า สายการบิน หรือแม้กระทั่งธุรกิจที่เรานึกไม่ถึงอย่าง แท็กซี่ หรือ คนขายลอตเตอรี่

    ดังนั้นครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่วิกฤติได้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในหลากหลายอาชีพ
    ไล่ตั้งแต่เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ ผู้ประกอบการขนาดกลาง ไปจนถึงพนักงานรับจ้างอิสระ

    ถ้าให้ไปถามเจ้าของธุรกิจในตอนนี้ว่าธุรกิจจะไปรอดไหม
    พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรอดหรือไม่

    ให้ไปถามนายธนาคารว่าสินเชื่อที่ปล่อยไปจะเป็นหนี้เสียหรือไม่
    ธนาคารก็คงตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน แบงก์ชาติให้ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษไม่ต้องตั้งเป็นหนี้เสีย ก็รอให้ผ่านช่วงพิเศษนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

    ในตอนนี้สิ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกันก็คือ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องชั่วคราว กิจกรรมทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม รายได้กลับมาเหมือนเดิม.. ธุรกิจก็ไม่ล้ม หนี้ก็ไม่เสีย

    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เรื่องนี้ลากยาวมาหลายเดือนแล้ว
    ทุกอย่างที่ดูเหมือนชั่วคราว ไม่ได้กลับมาเร็วแบบที่คิด
    จากเดิมที่มีเงินพออยู่ได้ ในวันนี้มีหลายธุรกิจที่เลือกจะปิดตัวลง

    และเมื่อจบช่วงฮันนีมูนจากแบงก์ชาติแล้ว ประเทศเราจะพบหนี้เสียมากมายที่ปะทุขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    คำถามต่อไปก็คือ แล้วเราควรทำอย่างไรให้ทุกอย่างกลับมาเร็วที่สุด?

    คำตอบง่ายๆ ก็คือ การเดินทาง..

    หลังจากการควบคุมโรคระบาดได้
    เราจะเห็นรัฐบาลทั่วโลก สนับสนุนให้คนมีการเดินทางกันมากขึ้นนับต่อจากนี้
    เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่า มันคือต้นตอที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้

    สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดที่รัฐบาลไทย มีแคมเปญ “เที่ยวปันสุข” และ “เราไปเที่ยวกัน” เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว 40% ของค่าเดินทาง และ 40% ของค่าโรงแรมที่พัก เพื่อให้คนออกมาเดินทางกันมากขึ้น

    คำถามที่สำคัญต่อไปก็คือ แล้วการเดินทางจะกลับมาอยู่ในจุดเดิมก่อนเกิดวิกฤติเมื่อไหร่
    เพราะถ้าทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม
    เศรษฐกิจก็มีโอกาสที่จะฟื้นคืนกลับมาได้เช่นกัน

    แต่ดูเหมือนว่าในเวลานี้ การกลับมาเป็นเหมือนเดิมจะถูกแบ่งกลุ่ม
    มีบางอย่างที่เป็นเหมือนเดิมได้เร็ว
    มีบางอย่างที่เป็นแค่เงาเลือนลางในการกลับมา

    เช่น การเดินทางไปต่างจังหวัดใกล้เคียงอาจกลับมาได้เหมือนเดิม
    การเดินทางไปห้างสรรพสินค้าอาจกลับมาได้เหมือนเดิม

    แต่การเดินทางนั่งเครื่องบินไปท่องเที่ยวจังหวัดไกลๆ อาจดูยังไม่ใช่ทางเลือกของผู้คนในตอนนี้
    และยิ่งเป็นเรื่องการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเมืองไทย ก็อาจเป็นแค่เงาเลือนลาง

    ปี 2020 จะเป็นปีที่ท้าทายมากๆ สำหรับประเทศไทย และทั่วโลก

    สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ เราทุกคนไม่เคยเจอ ไม่ว่าเขาจะเกิดขึ้นมาบนโลกนี้แล้วกี่ปี
    เพราะเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคนี้

    ถ้าให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว โลกคงไม่กระทบอะไรมาก
    เพราะโลกในเวลานั้น ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่มากมายแบบทุกวันนี้
    และโลกในวันนั้นไม่ได้สนใจว่า เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี..

    ต่างกับโลกในวันนี้ วันที่ทุกคนต่างเคลื่อนไหว และเดินทาง
    และคำว่า “GDP” ที่ต้องเติบโต เป็นสิ่งที่ทุกประเทศใฝ่ฝัน

    แต่เมื่อมีสิ่งกีดขวาง รถเบรกกะทันหัน GDP ก็แตกสลาย

    ในวันนี้ทุกคนเคลียร์สิ่งกีดขวาง และอยากให้รถกลับมาวิ่งอีกครั้ง
    ซึ่งเราที่อยู่บนรถ ก็น่าจะได้รู้พร้อมกันเร็วๆ นี้
    ว่าเครื่องยนต์ที่ถูกเบรกกะทันหันไป
    มันจะจุดติดได้เหมือนเดิมหรือไม่..
    ╔═══════════╗
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    SAP อดีตลูกจ้าง IBM ที่ตอนนี้ใหญ่กว่านายจ้าง /โดย ลงทุนแมน
    หากเราเป็นพนักงานในบริษัทแห่งหนึ่ง
    แล้วโปรเจกต์ที่ทำอยู่ ถูกเจ้านายบอกให้ยกเลิกกะทันหัน
    เราจะตัดสินใจอย่างไร?

    วันนี้ เรามาดูตัวอย่างของอดีตลูกจ้างของบริษัท IBM
    ที่เคยเผชิญปัญหานี้ แต่พวกเขากลับเปลี่ยนให้มันเป็นโอกาสทางธุรกิจ

    โอกาสทางธุรกิจคือการก่อตั้งบริษัท SAP
    ที่ปัจจุบัน มีมูลค่าบริษัท 5.2 ล้านล้านบาท
    เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี

    แถมยังใหญ่กว่า IBM บริษัทนายจ้างในอดีต
    ที่มีมูลค่าบริษัท 3.5 ล้านล้านบาท

    แล้วอดีตพนักงาน IBM เห็นโอกาสอะไร?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
    มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    เรื่องราวของ SAP เกิดขึ้นกับวิศวกรชาวเยอรมัน 5 คน
    คือคุณ Dietmar Hopp, Hans-Werner Hector, Hasso Plattner, Klaus Tschira
    และ Claus Wellenreuther ในปี ค.ศ. 1971 หรือ 49 ปีก่อน

    พวกเขาเป็นพนักงานของบริษัท IBM สาขาประเทศเยอรมนีที่ได้รับมอบหมาย
    ให้ออกแบบ และพัฒนาซอฟต์แวร์องค์กรสำหรับลูกค้ารายหนึ่งของบริษัท

    แต่อยู่ดีๆ ทางบริษัท IBM ก็ได้ยกเลิกโปรเจกต์ดังกล่าวกะทันหัน
    และแจ้งกับวิศวกรทั้ง 5 คนว่างานที่พวกเขาทำอยู่ “ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว”

    หากเราเป็นหนึ่งในวิศวกรที่อยู่ในสถานการณ์นั้น
    เราจะตัดสินใจกันอย่างไร?

    วิศวกรทั้ง 5 คนนี้ตัดสินใจลาออก และร่วมกันก่อตั้งบริษัทขึ้นมาในปี ค.ศ. 1972

    บริษัทนี้ชื่อว่า SAP ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร เพราะพวกเขามองว่าธุรกิจนี้จะกลายเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต

    ในปีนั้น SAP ได้จ้างพนักงานทั้งหมด 9 คน และเริ่มต้นพัฒนาระบบเก็บข้อมูลทางบัญชี

    นอกจากนั้น บริษัทก็ได้ต่อยอดระบบบัญชีไปยังซอฟต์แวร์สำหรับวางแผนข้อมูลและทรัพยากร
    ทางธุรกิจขององค์กร หรือที่เรียกกันว่า Enterprise Resource Planning (ERP)

    แล้วระบบบัญชี ที่เป็นระบบ ERP
    มันสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดไหน?

    เราลองมาดูตัวอย่างง่ายๆ เช่น..

    บริษัท Adidas ส่งคำสั่งผลิตรองเท้ารุ่นใหม่
    หลังจากโรงงานผลิตเสร็จแล้ว จึงส่งสินค้าไปเก็บไว้ที่คลังสินค้า
    ขั้นตอนสุดท้าย หากมีการสั่งของ
    ก็จะทำการจัดส่งสินค้าให้กับผู้จัดจำหน่าย

    หากธุรกิจเรามีขนาดใหญ่
    การที่เราจะติดต่อระหว่างโรงงานผลิต คลังสินค้า ฝ่ายขาย บัญชี ที่อยู่ต่างสถานที่กันนับว่ายากแล้ว
    แต่การที่เราจะอัปเดตข้อมูลให้ตรงกัน ไม่คลาดเคลื่อนถือเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก

    ปัญหาสมัยก่อนก็คือ
    เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ถ้าเราขายสินค้าออกจากคลังไปแล้ว
    แล้วรายได้ที่เราบันทึก จะตรงกับฝั่งบัญชีหรือไม่?
    ถ้าเราไม่บันทึก ก็จะแปลว่าสินค้าหายไป แต่เราไม่มีรายได้

    เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ SAP มองเป็นโอกาสที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์องค์กรเพื่อให้บริษัทต่างๆ นำไปประยุกต์ใช้ และวางแผนข้อมูลทั้งหมดของบริษัทให้อยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน

    ซอฟต์แวร์องค์กรที่ SAP คิดค้นจะทำให้
    เมื่อมีคำสั่งการผลิต โรงงานรู้ทันที
    เมื่อโรงงานส่งของไปแล้ว คลังรู้ทันที
    เมื่อคลังจำหน่ายสินค้าไปแล้ว ฝ่ายขายรู้ทันที

    ที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลแบบเรียลไทม์
    ซึ่งจะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น
    และประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจก็จะมากขึ้นตามเช่นกัน

    ด้วยคอนเซ็ปต์นี้ จึงทำให้ SAP เป็นบริษัทที่มีผู้ใช้บริการทั่วโลกให้ความสนใจ และเติบโตตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

    แล้วผลประกอบการตอนนี้เป็นอย่างไร?
    บริษัท SAP

    ปี 2017 รายได้ 8.4 แสนล้านบาท กำไร 1.4 แสนล้านบาท
    ปี 2018 รายได้ 8.7 แสนล้านบาท กำไร 1.4 แสนล้านบาท
    ปี 2019 รายได้ 9.7 แสนล้านบาท กำไร 1.2 แสนล้านบาท

    โดยแบ่งโครงสร้างรายได้ตามแต่ละภูมิภาคมาจาก
    โซนเอเชีย 15%
    โซนอเมริกา 41%
    โซนยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 44%

    ซึ่งบริษัทก็มีฐานลูกค้าเป็นองค์กรชั้นนำมากมาย
    โดยเฉพาะองค์กรในประเทศเยอรมนีที่ทุกๆ 100 บริษัท
    จะใช้ซอฟต์แวร์ของ SAP รันระบบหลังบ้านอยู่กว่า 80 บริษัท

    ตอนนี้ SAP เริ่มปรับโมเดลรายได้จากการขายสิทธิ์ไปเป็นบริการบนเทคโนโลยีคลาวด์ ทำให้บริษัทเข้าถึงกลุ่มธุรกิจที่มีขนาดเล็กลงได้มากขึ้น จากเดิมที่มีฐานลูกค้าเป็นองค์กรขนาดใหญ่

    ทั้งหมดนี้ทำให้บริษัท SAP มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
    จนกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี
    มีมูลค่า 5.2 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่านายจ้างอย่าง IBM
    ที่พวกเขาลาออกมาเมื่อ 49 ปีก่อน..

    แล้วเรื่องนี้ให้ข้อคิดอะไรเรา?

    หากเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันมีคุณค่า
    เราก็ต้องไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคอะไรก็ตาม

    เหมือนอย่างวิศวกรผู้ก่อตั้งบริษัท SAP
    ที่แม้ว่าจะโดนยกเลิกโปรเจกต์ไป แต่พวกเขาก็ยังเชื่อมั่น

    เชื่อมั่นถึงขนาดที่ตัดสินใจลาออก
    และร่วมกันก่อตั้งบริษัทเพื่อสานต่อโปรเจกต์ต่อไป
    จนโปรเจกต์เล็กๆ ที่ไม่มีใครเห็นค่าในตอนนั้น กลับมีมูลค่าสูงกว่าบริษัทนายจ้างไปแล้ว นั่นเอง..
    ╔═══════════╗
    อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
    มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://www.featuredcustomers.com/vendor/sap-hana/customers
    -https://www.readycontacts.com/target-account-profiling/sap/
    -http://www.fundinguniverse.com/company-histories/sap-ag-history/
    -https://en.wikipedia.org/wiki/SAP_SE

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมืองปักกิ่ง มีความสำคัญ มากแค่ไหน? / โดย ลงทุนแมน
    ปักกิ่ง เมืองหลวงของจีนกลับมาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
    หลังจากพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 ระลอก 2 ในตลาดค้าส่งอาหาร
    ที่น่าตกใจคือ ใน 1 วัน มีผู้คนจำนวนหลายพันคนเข้ามาจับจ่ายซื้อของที่ตลาดแห่งนี้

    แล้วเราเคยคิดไหมว่า ถ้าปักกิ่งได้รับผลกระทบจากโรคระบาดดังกล่าว
    จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนมากแค่ไหน
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ปักกิ่งนับเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นหนึ่งในเมืองที่มีอายุเก่าแก่มากแห่งหนึ่งในโลก โดยมีอายุไม่ต่ำกว่า 3,000 ปี

    ในปี 2019 ปักกิ่งเมืองเดียวมีมูลค่า GDP สูงถึง 15.4 ล้านล้านบาท พอๆ กับประเทศไทยทั้งประเทศ

    ปักกิ่งจึงถูกจัดลำดับให้เป็นหนึ่งในเมืองที่มี GDP สูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก

    ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนปักกิ่งนั้นมากกว่า 729,000 บาทต่อปี มากกว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนจีนทั้งประเทศกว่าเท่าตัว ที่ปัจจุบันเท่ากับ 313,000 บาท

    ปักกิ่งยังเป็นศูนย์กลางของประเทศหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ศูนย์กลางทางการเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษา และการคมนาคม

    ที่สำคัญยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์ยาวนาน เช่น จัตุรัสเทียนอันเหมิน กำแพงเมืองจีน พระราชวังฤดูร้อน พระราชวังกู้กง

    ปี 2019 ปักกิ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งภายในและต่างประเทศมาเยี่ยมเยือนถึง 322 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้เมืองปักกิ่ง กว่า 2.7 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 18% ของมูลค่า GDP ของปักกิ่ง

    ปักกิ่งยังเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ของประเทศ ซึ่งติดอันดับรายชื่อใน Fortune Global 500 เช่น

    - Sinopec Group บริษัทพลังงานและปิโตรเคมีแบบครบวงจรรายใหญ่ของโลก
    - State Grid Corporation of China บริษัทสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    ที่น่าสนใจคือ ปักกิ่งยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มีจำนวน Billionaire มากที่สุดในโลก
    โดยในปี 2019 มี Billionaire มากถึง 55 คน ตามหลังแค่ นิวยอร์ก ฮ่องกง ซานฟรานซิสโก มอสโก และลอนดอน

    แต่แล้วการระบาดของ Covid-19 รอบใหม่ที่ปักกิ่ง ทำให้รัฐบาลประกาศห้ามการเดินทางข้ามเมืองและสั่งงดเว้นกิจกรรมการแข่งขันกีฬาทุกชนิด พร้อมทั้งประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน

    แล้วถ้าเรามาเทียบกับอู่ฮั่น เมืองที่เป็นต้นกำเนิดของ Covid-19 รอบแรกจะเป็นอย่างไร

    ปักกิ่งมีจำนวนประชากร 21.5 ล้านคน มากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ
    อู่ฮั่นมีจำนวนประชากร 11.1 ล้านคน มากเป็นอันดับที่ 9 ของประเทศ

    ขณะที่มูลค่า GDP ของปักกิ่งนั้นมากกว่ามูลค่า GDP ของอู่ฮั่นกว่าเท่าตัว

    ความหนาแน่นต่อพื้นที่ของประชากรที่อาศัยอยู่ในปักกิ่งนั้นสูงกว่า ดังนั้น อาจมีความเสี่ยงของการระบาดที่อาจจะขยายวงกว้างเร็วกว่า ที่สำคัญคือ ปักกิ่งเป็นเมืองที่มีผู้คนเดินทางไปมาจำนวนมาก

    และเนื่องจากขนาดเศรษฐกิจของปักกิ่งนั้นใหญ่กว่า ดังนั้น ถ้าทางการจีนควบคุมการแพร่เชื้อไม่ดีพอ อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจจีนรุนแรงกว่าครั้งที่เกิดที่เมืองอู่ฮั่นเสียอีก

    ทำให้ตอนนี้คงไม่ใช่แค่ประเทศจีน
    แต่รวมถึงทุกประเทศทั่วโลก ต้องเอาใจช่วยให้ปักกิ่งสามารถควบคุมการระบาดให้ได้

    เพราะถ้าหากการระบาดแพร่ไปทั่วประเทศจีน
    จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่โลกจะสูญเสียผู้ผลิต และตลาดขนาดใหญ่ไป

    ลองนึกภาพว่า หากคนจีนชะลอการนำเข้าสินค้าต่างๆ จากประเทศไทย
    ประเทศไทยก็คงได้รับผลกระทบหนัก “ไม่แพ้” การที่นักท่องเที่ยวจีนหายไปจากประเทศไทย..
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://www.theguardian.com/world/2020/jun/13/beijing-china-new-covid-19-cases-linked-to-food-market
    -http://www.china.org.cn/business/2020-01/21/content_75637227.htm
    -https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Beijing
    -https://www.statista.com/statistics/990568/china-tourism-industry-revenue-in-beijing/
    -https://webunwto.s3.eu-west-1.amazonaws.com/s3fs-public/2019-11/beijingcasestudy.pdf
    -http://www.sunflowerhotelbeijing.com/news/1535.html
    -https://www.marketwatch.com/story/this-us-city-has-the-most-billionaires-per-capita-in-the-world-its-not-new-york-2019-05-09
    -https://www.statista.com/topics/1317/employment-in-china/
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Fortune_Global_500#Breakdown_by_country
    -https://en.wikipedia.org/wiki/National_Central_City
    -https://news.cgtn.com/news/2020-06-14/COVID-19-in-Beijing-Inside-Xinfadi-biggest-wholesale-market-in-Asia-RjgKHh6HPW/index.html

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jim Simons จากนักคณิตศาสตร์ สู่ผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ 3 ล้านล้าน /โดย ลงทุนแมน
    หากพูดถึงนักลงทุนที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก คนส่วนใหญ่อาจนึกถึง
    วอร์เรน บัฟเฟตต์, เรย์ เดลิโอ หรือ จอร์จ โซรอส
    แต่ถ้าเป็นชื่อของ “จิม ไซมอนส์” หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน

    เขาคือผู้ก่อตั้งเฮดจ์ฟันด์ Renaissance Technologies
    ที่ปัจจุบันมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
    สิ่งที่น่าสนใจคือ กองทุนไม่ได้ใช้วิธีวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
    แต่กลับเน้นเก็งกำไรระยะสั้น ตามหลักการทางคณิตศาสตร์

    เรื่องราวการลงทุนของชายคนนี้น่าสนใจอย่างไร
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    จิม ไซมอนส์ (Jim Simons) เป็นชาวอเมริกัน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1938 ปัจจุบันมีอายุ 82 ปี

    เขาเรียนจบปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์
    และได้เข้าทำงานเป็นคนถอดรหัสข้อมูลข่าวกรองให้กับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ
    รวมทั้งเป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยสโตนีย์บรูก ในนิวยอร์ก

    เวลานั้น ไซมอนส์กำลังมั่นใจสุดขีด ถ้าเป็นเรื่องตัวเลข เขาเชื่อว่าตัวเองเก่งไม่แพ้ใครแน่นอน
    จึงเกิดความคิดว่า ทำไมไม่ลองถอดรหัสตัวเลขในตลาดหุ้น เพื่อทำเงินมหาศาลดูบ้างล่ะ?

    ต่อมาเมื่ออายุ 44 ปี เขาตัดสินใจออกมาตั้งบริษัทกองทุนชื่อว่า Renaissance Technologies

    แนวทางลงทุนที่ไซมอนส์วาดภาพไว้ในหัว คือการซื้อขายตามสูตรคำนวณเชิงคณิตศาสตร์และสถิติ ที่สามารถคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคตได้

    เพราะเขาเชื่อว่า การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ มีรูปแบบที่พิสูจน์ได้ด้วยสมการตัวเลขซ่อนอยู่
    และถ้ามันขึ้นลงผิดไปจากปกติที่ควรเป็น ก็อาจมีโอกาสทำกำไรได้

    อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกที่โมเดลยังไม่สมบูรณ์ บริษัทลองใช้วิธีถือลงทุนระยะยาว
    ซึ่งประสบความล้มเหลว ขาดทุนไปถึง 40% จนต้องหยุดพักกิจการชั่วคราว

    แต่ไซมอนส์ยังไม่ถอดใจ เขาเร่งศึกษาข้อมูล เพื่อพัฒนาสูตรคำนวณให้สำเร็จ
    โดยจ้างนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักสถิติ มาช่วยคิดอีกแรง
    จนสุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จในการหาวิธีที่เหมาะสม..

    ในแต่ละวัน Renaissance Technologies จะเก็บข้อมูลต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กับราคาสินทรัพย์กว่าหลายพันกิกะไบต์ เข้ามารวมกับฐานข้อมูลเดิมอีกหลายล้านกิกะไบต์ ตั้งแต่ยุคปี 1700

    แล้วใช้อัลกอริทึมคอมพิวเตอร์นำ Big Data เหล่านั้น ไปแทนค่าในสูตรสมการหลายตัวแปร
    และคัดกรองสินทรัพย์ที่ราคาเคลื่อนไหวต่างจากรูปแบบปกติ

    จากนั้นจะปล่อยให้ระบบ AI (Artificial Intelligence) ทำหน้าที่ซื้อขายโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากอารมณ์ความโลภหรือความหวาดกลัวของมนุษย์ ในเวลาที่ราคาผันผวน

    เคยมีนักข่าวไปสัมภาษณ์ไซมอนส์ถึงมุมมองต่อตลาดหุ้น
    เขาตอบเพียงว่า “ไม่มีความเห็น เพราะคอมพิวเตอร์คือสิ่งที่ให้ความเห็น และเราแค่ทำตามที่มันบอกเท่านั้น”

    ด้วยเหตุนี้ Renaissance Technologies จึงกลายเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่เข้าไปเก็งกำไรในสินทรัพย์หลากหลายประเภท และปิดสถานะทันทีเมื่อราคากลับสู่ภาวะปกติ โดยจะถือครองสินทรัพย์เฉลี่ยแค่ราว 2 วัน

    ผลปรากฏว่า วิธีนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
    กองทุนหลักของบริษัทชื่อว่า Medallion Fund สร้างสถิติผลตอบแทนสูงสุดในวอลล์สตรีต

    โดยระหว่างปี 1988-2018 นั้น Medallion Fund ทำกำไรเฉลี่ย 66% ต่อปี
    และหลังจากหักค่าธรรมเนียม ก็ยังเหลือผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 39% ต่อปี

    แม้แต่ช่วงเดือนมีนาคม 2020 ที่โลกเผชิญกับเหตุการณ์ระบาดของ COVID-19 จนตลาดหุ้นถูกเทขายอย่างหนัก เช่น ดัชนี S&P 500 ติดลบไปราว 12.7% แต่กองทุนนี้กลับมีผลตอบแทนบวก 9.9%

    สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นผลมาจากการปรับปรุงข้อมูลและสูตรคำนวณอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

    ทำให้กองทุน Renaissance Technologies มีกำไรสะสมมากกว่า 3,200,000 ล้านบาท นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกิจการขึ้นมา

    และแม้ว่า จิม ไซมอนส์ ได้เกษียณออกจากตำแหน่งบริหารไปเมื่อปี 2010
    แต่ด้วยรากฐานที่เขาสร้างไว้ ส่งผลให้ในปัจจุบัน บริษัทเติบโตจนมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารถึง 3,500,000 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก

    ขณะที่อันดับ 1 คือ Bridgewater Associates เฮดจ์ฟันด์ของนักลงทุนชื่อดังอย่าง เรย์ เดลิโอ ที่บริหารทรัพย์สินมูลค่า 4,200,000 ล้านบาท

    ส่วนตัวของไซมอนส์เอง ก็มีทรัพย์สินร่ำรวยถึง 667,000 ล้านบาท
    พร้อมทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย

    เรื่องราวความสำเร็จนี้ พิสูจน์ให้เราเห็นว่า

    “ข้อมูล” ถือเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญมาก
    ถึงจะครอบครองข้อมูลชุดเดียวกัน แต่หากนำมาใช้ด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน
    คุณค่าและผลลัพธ์ ย่อมแตกต่างกันออกไป

    นอกจากนี้ในอนาคต ผู้ที่จะวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    คงไม่ใช่มนุษย์ ที่มีขีดจำกัด
    แต่เป็นเครื่องจักรไร้อารมณ์ ที่ทำงานได้แม่นยำและรวดเร็วกว่าเราหลายเท่า

    อย่างไรก็ตาม
    เรื่องเหล่านี้มันก็มาพร้อมกับของจริง และของปลอมที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
    พอมีเรื่องสำเร็จเหล่านี้
    ก็ทำให้ผู้คนต่างแอบอ้างความสามารถในการทำเงินของหุ่นยนต์ AI ที่ตัวเองมีอยู่
    ซึ่งความเป็นจริงอาจจะมีเพียงแค่ 1% จากทั้งหมดที่ประสบความสำเร็จจริงๆ
    ส่วนอีก 99% ที่เหลือ อาจเป็นแค่เรื่องราวสวยหรูที่แต่งขึ้นมาเท่านั้น..
    ╔═══════════╗
    Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
    เจาะลึกแบบ deep content
    ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://en.m.wikipedia.org/wiki/Jim_Simons_(mathematician)
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Renaissance_Technologies
    -https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_hedge_funds
    -https://www.cnbc.com/2020/04/17/renaissance-hedge-fund-reportedly-having-one-of-its-best-years-ever.html
    -https://www.cnbc.com/2019/11/05/how-jim-simons-founder-of-renaissance-technologies-beats-the-market.html
    -https://www.forbes.com/sites/forbesdigitalcovers/2019/11/08/jim-simons-the-man-who-solved-the-market-gregory-zuckerman-book-excerpt/#2b157bc413b6

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'บราซิล'พบป่วย'โควิด-19'เพิ่มสูงสุดวันเดียวเฉียด35,000 ดันยอดรวมทะลุ9.2แสน

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    17 มิถุนายน 2563 บ่ายนี้ เส้นสุขุมวิท
    แถวๆโลตัส,ตึกคอม จ.ชลบุรี ยังไม่ถึงอ่างศิล บริเวณนี้เป็นแอ่งกะทะ ถ้าฝนตกหนักๆจะท่วมแบบนี้ และมันก็ตกหนักจริงๆชุ่มฉ่ำทั้งชลบุรี
    #มภสจTH. Cr.// คนชลฯ
    มิตรภาพสัญจร THAILAND

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ต้นไม้ล้มทับรถกระบะ!! ซอยรามคำแหง 40
    เวลา 15.40น. รายงานเหตุต้นไม้ล้มทับรถกระบะ กลางซอยรามคำแหง 40 เสียหาย 2คัน
    cr. ดต.สุพจน์ หัวหมาก
    #fm91

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ในแวดวงผู้ฝึกยุทธชาวไทยและต่างประเทศในสมัยก่อน จะมีวาทกรรมอย่างหนึ่งว่า “วิทยายุทธจีนของแท้ที่จีนหายไปหมดแล้ว ครูมวยเก่งๆหนีไปอเมริกา ไต้หวัน ฮ่องกง ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ที่สอนๆกันอยู่ที่จีนในยุคนี้คือศิลปะการร่ายรำแบบกีฬาวูซู”

    ส่วนหนึ่งเพราะความเข้าใจผิดผ่านสื่อภาพยนตร์ การ์ตูน สารคดี ที่ตีขลุมสรุปเรื่องจีนแบบมีอคติในช่วงที่จีนปิดประเทศ

    อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะแค่เหตุผลตื้นๆที่ว่า ตัวเองเรียนมาจากอเมริกา ไต้หวัน ฮ่องกง จึงต้องกล่าวอวยสายตัวเองไว้ก่อนโดยไม่คิดถึงความเป็นจริง

    ผู้เขียนเองก็ถูกวาทกรรมนี้หลอกหลอนมากว่าครึ่งชีวิต จนได้ตาสว่างในช่วงที่ได้ทำงานดีลกับประเทศจีนอย่างเป็นทางการช่วง 3-4 ปีมานี้ และด้วยตำแหน่งหน้าที่ของผู้เขียนที่มีส่วนคาบเกี่ยวกับหน่วยงานของรัฐจีนบางหน่วย ประกอบกับการเข้าไปอย่างอ่อนน้อมเพื่อหาความรู้ ทำให้การได้พบได้เจอกับเหล่าปรมาจารย์เป็นเรื่องไม่ยากนัก

    ผู้เขียนจะขอเขียนถึงเรื่องมวยจีนในจีนก่อน จากนั้นจะต่อด้วยเรื่องวัฒนธรรมมวยจีนที่คนไทยเข้าใจคลาดเคลื่อน

    ว่าด้วยมวยจีนในจีน:

    1. การปฏิวัติวัฒนธรรมได้มีการเล่นงานครูมวยจีนส่วนหนึ่งไปจริง ครูมวย นักบวช และผู้มีความรู้จำนวนหนึ่งได้อพยพออกนอกประเทศไปจริง แต่ครูมวยที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ที่ประคองชีวิตอยู่จนรอดพ้นการทารุณมาได้ก็มี เช่น หวังเผย์เซิง แห่งสำนักไท่จี๋สายอู๋เหนือ , หม่าเยว่เหลียง แห่งสำนักไท่จี๋สายอู๋ใต้ , เฉินเจ้าขุย สำนักไท่จี๋สายเฉิน ลูกชายเฉินฟาเคอ ฯลฯ

    2. ครูมวยบางคนที่มีเส้นสายกับผู้นำก็ไม่ถูกเล่นงาน เช่น หวังจื้อผิง สำนักถานถุ่ยมุสลิม ที่เป็นครูมวยและองครักษ์นายกฯโจวเอินไหล , หนิวชุนหมิง สำนักไท่จี๋สายหยาง ที่เป็นครูมวยไท่จี๋ของท่านประธานเหมาเจ๋อตุง

    3. ผู้ที่อยู่ในเมืองแต่ด้วยเหตุว่าไม่ได้สอนมวยเป็นอาชีพก็ไม่โดนเล่นงานเพราะไม่มีผู้ชี้เป้า เช่น วังหย่งเฉวียน กับ จูหวายหยวน สำนักไท่จี๋สายหยาง , ส่วนผู้ที่อยู่นอกเมืองจนห่างไกลการควบคุมจากส่วนกลางก็รอดพ้นไปได้เช่นกัน เช่น มวยแปดสุดยอด(ปาจี๋ฉวน) , มวยซินอี้ ตามชนบท

    4. ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราพบที่ผู้ที่ไปเรียนมวยจีนตามสถานที่ประวัติศาสตร์เช่น เฉินเจียโกว เขาบู๊ตึ๊ง หรือวัดเส้าหลิน เราก็จะเข้าใจว่าเขาอาจต้องการแบรนด์หรือทำการบ้านมาไม่พอถึงไปเจอของจริงบางส่วนเข้า เพราะยุคนี้คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ดีพอแม้จะอ่านจากอินเตอร์เนตก็จะทราบอยู่แล้วว่า สุดท้ายแล้วมวยที่สืบสายตรงที่ต้องการอยู่แถวไหน แต่ถ้าศึกษาไม่พอก็ไม่ต่างอะไรกับคนต่างชาติมาไทยเพื่อเรียนนวดไทยจากครูกะโหลกกะลาแล้วกลับไปเปิดร้าน ไทย มาสซาจ ต่างจากคนต่างชาติที่ทำการบ้านมาดีหน่อยก็อาจทราบว่าควรไปเรียนที่สถาบันไหนที่คนไทยเองยังเชื่อถือ

    5. ประเทศจีนนั้นกว้างใหญ่ ใหญ่มากกว่าจินตนาการของคนที่วันๆเล่นเนตอ่านการ์ตูนดูซีรีส์ จะนึกถึงได้ ลำพังครูมวยมีฝีมือที่ผู้เขียนรู้จักในช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็ยังเป็นแค่เศษเสี้ยวของคนดีมีฝีมือที่ยังเหลืออยู่ ยังมีที่อยากรู้จักแต่ไม่มีโอกาสจะรู้จักก็อีกมากมายนัก และแต่ละท่านที่ผู้เขียนไปพบ ก็จะมีคนฝึกวิทยายุทธรุ่นใหม่ที่มาจาก ไต้หวัน ฮ่องกง อเมริกา ยุโรป บินมาเรียนก็ไม่น้อย ต่างจากวาทกรรมที่เคยเชื่อว่าของแท้ได้อพยพไปอยู่ที่เหล่านั้นหมดโดยสิ้นเชิง

    6. ขอลงชื่อครูมวยจีนที่น่าเชื่อถือได้ที่รู้จักกันกับผู้เขียนและยังมีชีวิตอยู่ไว้อ้างอิงว่า ครูมวยเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่และสืบสายวิชาที่มีประวัติศาสตร์มาจริง ที่ไม่ใช่เกิดตามสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์หรืออุปโลกน์ตนเองขึ้นมา เช่น หม่าฉางซวิน และจางหย่งเต๋อ สำนักไท่จี๋สายอู๋แห่งปักกิ่ง , จูชุนเซวียน และ ศาสตราจารย์เฉินเย่าถิง สำนักไท่จี๋หยางแห่งปักกิ่ง , ศาสตราจารย์ซุนซินเฉิง สำนักปากว้าแห่งเจิ้งโจว , สือเสียวอู่ สำนักซินอี้ลิ่วเหอแห่งโจวโข่ว , เจียงหลาน ไท่จี๋สายเถียนเจ้าหลินแห่งเจียซิง , หยางเฉียง มวยแปดสุดยอดแห่งเทียนจินฯลฯ

    ว่าด้วยวัฒนธรรมมวยจีนที่คนไทยเข้าใจคลาดเคลื่อน:

    1. มวยจีนคือวิถีชีวิตของคนจีน เหมือนการสวดมนต์เป็นวิถีชีวิตของคนไทย จริงอยู่ว่าคนไทยไม่ได้สวดมนมนต์นั่งสมาธิจริงจังทุกคน คนจีนก็ไม่ได้ฝึกมวยจริงจังทุกคนเช่นกัน แต่คนส่วนใหญ่จะมีโอกาสประสบพบเห็นหรือทดลองฝึกอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต เช่น วิชาพละ หรือการฝึกรำตามเพื่อน

    2. มวยจีนพอผ่านไปสู่ดินแดนที่ไกลจากส่วนกลางมักจะกลายสภาพเป็นลัทธิ หรือ แกงค์ เพื่อความอยู่รอด ต่างจากมวยจีนที่อยู่ใกล้ส่วนกลางที่ทำอย่างนั้นไม่ได้(อาจเพราะเกรงอำนาจรัฐว่าจะเพ่งเล็งเรื่องการซ่องสุมกำลังพล) มวยจีนทางเหนือสมัยก่อนโดยส่วนมากจึงสอนตามบ้านหรือสวนสาธารณะ อย่างดีก็เช่ายิมสอน ไม่มีการเปิดแพรเชิดสิงโตเสมือนทำบุญขึ้นบ้านใหม่เวลาเปิดสำนักเหมือนสำนักมวยสมัยนี้

    3. เมื่อศิษย์เคารพอาจารย์ อาจารย์เองก็ต้องเคารพศิษย์ อย่างน้อยก็ให้เกียรติกันในฐานะความเป็นมนุษย์ แม้จะมีวาทกรรมว่า “เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นพ่อตลอดชีวิต” แต่ก็เป็นการสงเคราะห์แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ไม่ใช่การเรียกร้องความภักดีแบบอำนาจนิยมดังที่เราเห็นในหนังจีนหรือเห็นในหนังที่อิงจากระบบมาเฟียฮ่องกง ยุคนี้ครูมวยที่ทำแบบนั้นศิษย์มีแต่จะหนีหาย ครูมวยด้วยกันเองก็ยังไม่อยากคบหาสมาคมด้วย

    4. ปัจจุบันคนฝึกมวยจีนที่ซ้อมกันจริงจังเพื่อที่จะใช้สู้บนเวทีก็ยังคงมีอยู่ แต่น้อยมาก และก็เป็นการซ้อมแบบผสมผสานเทคนิคสมัยใหม่เข้าไปแล้ว เพราะเทคนิคมวยจีนบางอย่างในสมัยก่อนก็ใช้ไม่ได้กับการต่อสู้บนเวที เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนจีนเองก็รู้กัน จะมีแต่พวกอยากดังที่น่าจะไม่เคยแม้กระทั่งซ้อมลงนวมกับคนที่ไม่ใช่ศิษย์ตัวเอง ที่ออกมาพูดว่าสู้กับมวยไทยหรือMMAได้ และที่ลงมาแล้วดับก็ยังมีให้เห็นหลายราย

    5. แม้จะมีความเข้าใจว่ามวยจีนใช้สู้บนเวทีไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของมวยจีนลดลง ปัจจุบันยังมีคนฝึกมวยจีนอย่างทุ่มเทอยู่จำนวนไม่น้อย(แม้จะน้อยลงกว่าแต่ก่อนพอควร)ในบริบทที่ว่า สิ่งนี้เป็นวัฒนธรรม ที่ฝึกแล้วมีประโยชน์หลายเรื่อง เช่น เรื่องการจัดระเบียบร่างกาย การดูแลสุขภาพ การเรียนรู้ปรัชญาการแพทย์จีน อย่างแย่สุดก็ยังเป็นกีฬาที่ฝึกคนเดียวแบบไม่ต้องใช้อุปกรณ์ ที่เหมาะกับชีวิตคนเมือง

    6. วันใด ถ้ามีใครสงสัย และตั้งคำถามเชิงหาเรื่อง(ที่ไม่ได้เพื่อหาความรู้)ว่า “ฝึกมวยจีนไปทำไม สู้มวยเวทีได้ไหม?” ก็ลองย้อนถามกลับไปดูว่า “เรียนหนังสือหรือขยันทำงานไปทำไม สู้ซัคเคอร์เบิร์คหรือแจ็คหม่าได้ไหม?” คำตอบก็สื่อนัยยะคล้ายๆกัน

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สิงคโปร์: ตกงานหนักสุดในรอบ 10 ปี นักเศรษฐศาสตร์คาดสิ้นปีจะตกงานราว 200,000 คน

    หลังโควิด-19 โจมตีหนักหน่วง ส่งผลให้สิงคโปร์มีอัตราการว่างงานสูงสุดในรอบ 10 ปี รวมทั้งการจ้างงานก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสแรกของปีนี้ กระทรวงแรงงานสิงคโปร์รายงานว่า อัตราการว่างงานค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นจาก 2.3% ในไตรมาสก่อนหน้า เพิ่มเป็น 2.4% โดยอัตราการว่างงานของพลเมืองชาวสิงคโปร์เพิ่มจาก 3.3% เป็น 3.5%

    ไตรมาสแรกของปีนี้ มีพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดตัวของธุรกิจต่างๆ ราว 1,537 คน เพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้าสองเท่าอยู่ที่ 628 คน

    สิงคโปร์: อัตราการว่างงานสูงสุดในรอบ 10 ปี

    พนักงานถูกโยกให้ไปทำงานในชั่วโมงที่น้อยลงหรืออาจจะถูกพักงานราว 4,190 คน สูงจากไตรมาสก่อนถึง 5 เท่าซึ่งอยู่ที่ 840 คน แต่ถือว่าน้อยกว่าช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินโลกซึ่งมีจำนวนมากถึง 26,530 คน กระทรวงแรงงานระบุว่า นายจ้างต้องการที่จะลดกำลังคนเพียงชั่วคราวเพื่อจะลดต้นทุนบริษัทในช่วงวิกฤต อุตสาหกรรมด้านการค้าและการท่องเที่ยว รวมถึงก่อสร้างล้วนได้รับผลกระทบหมดจนต้องลดจำนวนพนักงาน

    อัตราการว่างงานในเดือนมีนาคมปีนี้อยู่ที่ 46,300 คน เทียบกับเดือนธันวาคมปีที่แล้วอยู่ที่ 52,700 คน ซึ่งธุรกิจที่มีการได้รับผลกระทบหนักสุดมีตั้งแต่ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ศิลปะ บันเทิง สวนทางกับธุรกิจประเภทเทคโนโลยีและด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Josephine Teo รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานระบุว่า ได้พยายามอย่างดีที่สุดสำหรับคนหางาน จากนั้นก็อ้างถึงยุทธศาสตร์งานโดยมีเป้าหมายว่าจะสร้างงานให้ได้มากถึง 100,000 ตำแหน่ง

    ไม่ใช่แค่คนสิงคโปร์ แต่คนต่างชาติที่ไปทำงานสิงคโปร์ก็เสี่ยงตกงานสูง

    โควิด-19 กระทบผู้คนอย่างหนักแท้จริง ทั้งคนสิงคโปร์ตลอดจนคนต่างชาติที่ทำงานในสิงคโปร์ล้วนเสี่ยงตกงานกันทั้งนั้น

    ตัวอย่างของวิถีชีวิตคนที่ต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อจะได้รับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันได้ Martha Liv ชาวต่างชาติที่ไปทำงานในสิงคโปร์ ตั้งใจว่าจะทำงานและอาศัยอยู่ในสิงคโปร์เพื่อเก็บเงินซื้อบ้านเมื่อย้ายกลับยุโรปได้ แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อโควิดเข้ามา สามีของเธอถูกลดเงินเดือนราว 20% แค่นั้นไม่พอ การที่เธอและสามีพยายามจะขอลดค่าเช่าบ้านในสิงคโปร์ที่ต้องจ่ายเป็นเงินราว 1,948 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 60,582 บาท) แต่เจ้าของที่พักก็ไม่ยอมลดให้

    Liv เปลี่ยนพฤติกรรมจากที่เคยต้องจับจ่ายใช้สอยอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็เปลี่ยนมาซื้อหาอาหารในตลาดสดแทน เธอต้องหันมาซื้ออาหารท้องถิ่นมากกว่าจะซื้ออาหารนำเข้าจากชาติตะวันตก เธอบอกว่า การใช้ชีวิตที่สิงคโปร์นั้นมีค่าครองชีพที่แพงเอาการอยู่ เธอบอกว่าเธอต้องเอาเงินออมออกมาใช้เพื่อรักษากำลังซื้อของเธอให้สามารถใช้จ่ายได้อย่างปกติ

    เศรษฐกิจสิงคโปร์หดตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนับตั้งแต่ได้เอกราช (ปี 1965) หดตัวมากถึง 7% ซึ่ง Lee Ju Ye นักเศรษฐศาสตร์จาก Maybank Kim Eng คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีจะมีคนตกงานมากถึง 150,000-200,000 คน โดยชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศคาดว่าจะตกงานราว 60%

    ทั้งนี้ รัฐบาลก็พยายามจะประคับประคองสถานการณ์จนอัดฉีดเงินไปแล้ว 4 ครั้งราว 1 แสนดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท) ซึ่งก็มีทั้งโครงการสนับสนุนเรื่องการสร้างงานราว 25-75% เช่น สนับสนุนเงินเดือนเดือนละ 4,600 เหรียญสหรัฐ เป็นเวลา 10 เดือน (ประมาณ 1 แสนบาท) แต่แผนการนี้ก็ส่งเสริมเฉพาะพลเมืองชาวสิงคโปร์หรือผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในสิงคโปร์เป็นเวลายาวนานเท่านั้น

    โดย Parichat Chk

    Source: Brandinside
    https://brandinside.asia/jobless-in-singapore-highest-in-10-years/

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานการณ์ของปักกิ่งวันนี้ (17.06.2020) หลังจากยกระดับมาตรการป้องกันเป็นระดับที่ 2 โดยภาพรวมแล้วยังถือว่าอยู่ในขั้นปกติ

    สาระสำคัญในมาตรการป้องกันระดับที่ 2 ที่ทางการกรุงปักกิ่งประกาศมามีด้วยกัน 15 ข้อ แต่มี 9 ข้อที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดนั่นคือ

    1. ยกระดับการเฝ้าระวังในแต่ละชุมชนให้อยู่ในระดับสูงที่สุด รวมถึงการตรวจอุณหภูมิคนเข้าออก และเฝ้าระวังความเสี่ยงของคนในชุมชน

    2. การตรวจวัดอุณหภูมิในพื้นที่และขนส่งสาธารณะต้องเป็นไปอย่างเข้างวด

    3. การเข้า-ออกกรุงปักกิ่ง คนที่เดินทางจากต่างประเทศต้องมีการตรวจกรดนิวคลีอิก เฝ้าระวังอาการ ไม่อนุญาตให้คนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงระดับปานกลาง-มาก และมีความเชื่อมโยงกับตลาดต่างๆ ในปักกิ่งที่มีความเสี่ยงออกนอกกรุงปักกิ่ง

    4. บุคลากรผู้มีความเสี่ยงสูง เช่นหมอที่ต้องรักษาคนที่มีไข้ ให้อยู่ในการควบคุมดูแล

    5. ควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลและระบบการแพทย์อย่างเข้มงวด

    6. หากมีความเสี่ยงให้ยินยอมเข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยความเต็มใจ

    7. ดูแล ป้องกันและควบคุมสถานที่สำคัญเช่นตลาดสินค้าเกษตร ร้านอาหารในตลาดสดและร้านอาหารทั่วไป

    8. ปฏิบัติตาม "ความรับผิดชอบร่วมกันของหน่วยงานสี่ฝ่าย" อย่างเคร่งครัด รวมถึงปฏิบัติตามระบบการติดตามและรายงานสุขภาพของหน่วยงานและบุคคล

    9. ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด เช่นการล้างมือบ่อยๆ การสวมหน้ากากอนามัย และการมีระยะห่างทางสังคม
    (ข้อมูลจากสำนักข่าวจีน)

    สำหรับสถิติของผู้ติดเชื้อรอบใหม่ในกรุงปักกิ่งจนถึงวันนี้ (17.06.2020) ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย และเป็นคนที่อายุระหว่าง 30-49 ปี (ข้อมูลจาก CCTV)

    เขตที่พบผู้ติดเชื้อใหม่ในกรุงปักกิ่งจนถึงวันนี้มีด้วยกัน 5 เขต ไม่พบผู้ติดเชื้อ 11 เขต แต่มี 9 เขตในกรุงปักกิ่งที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดในครั้งนี้ จบข่าว #ชาวบ้านปักกิ่งรายงาน #bo3rdyearinbeijing #รีวิวชีวิตโควิด19 #อัพเดทสถานการณ์โควิด19ในปักกิ่ง
    #โปรดติดตามตอนต่อไป

    ขอบคุณภาพประกอบ คุณ Timmy CRI

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การเหยียดสีผิว เหยียดชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย เป็นเชื้อไวรัสของสังคมอเมริกัน
    .
    1/ สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก ตามความเป็นจริงคือ เริ่มระบาดในจีน เริ่มแพร่กระจายในเอเชีย และลุกลามไปทั่วโลก
    .
    2/ จีนเคยเป็นศูนย์กลาง ตามมาด้วยยุโรป สหรัฐอเมริกา และล่าสุดศูนย์กลางการระบาดเปลี่ยนไปที่พื้นที่อเมริกาใต้แล้ว
    .
    3/ หลีกเลี่ยงและห้ามไม่ได้เลยกับความคิดและทัศนคติของคนที่มีความโกรธแค้น โยงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ว่า ชาวจีน ชาวเอเชีย เป็นต้นเหตุ จนเกิดการเกลียดชังและหวาดกลัวชาวจีนชาวเอเชีย อาจเรียกชื่อเหตุการณ์เหล่านี้ได้ว่า ‘การเหยียด’ หรือในอีกคำที่นิยมใช้คือ ‘บูลลี่’
    .
    4/ การเหยียดเกิดขึ้นในยุโรปตามที่เป็นข่าว และดูเหมือนจะรุนแรงในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียไม่กล้าไปอยู่ในพื้นที่สาธารณะ เพราะกลัวถูกทำร้ายร่างกาย
    .
    5/ จริงๆแล้ว การเหยียด หนึ่งในประเภทของการเหยียดคือ เหยียดสีผิว ฝังลึกในสังคมอเมริกันมายาวนาน เหตุการณ์เกี่ยวกับ จอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) จึงทำให้เกิดการประท้วงวุ่นวายในสหรัฐฯอยู่ทุกวันนี้
    .
    6/ ผู้ประท้วงชาวอเมริกันเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมของคนผิวดำ แต่ในกรณีที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียถูกเหยียดจากประเด็นไวรัสโควิด-19 กลับไม่มีใครออกมาเรียกร้องสิทธิ
    .
    7/ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเรียกไวรัสโควิด-19 ว่า ‘ไวรัสจีน’ นักการเมืองสหรัฐฯใช้คำว่า ‘กังฟูไวรัส’ ตอกย้ำความเกลียดชัง/ความหวาดกลัวต่อคนเอเชียว่าเป็นผู้แพร่กระจายไวรัส ตอกย้ำสังคมอเมริกันให้เกิดความเข้าใจผิด
    .
    8/ การเหยียดจึงไม่ต่างกับ ‘ไวรัส’ ที่แพร่กระจายไปไวกว่าไวรัสโควิด-19 เสียอีก
    .
    9/ ผู้นำกลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียบางกลุ่มเสนอว่า แม้ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเป็นพลเมืองสหรัฐฯเช่นกัน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ อาจจะต้องแสดงความจริงใจต่อสังคมอเมริกัน ต้องเข้าร่วมกิจกรรมสังคม และใส่เสื้อที่มีธงชาติสหรัฐฯ การกระทำเช่นนี้อาจเป็นการประนีประนอม ผ่อนคลายอคติลงได้บ้าง
    .
    10/ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการเหยียดคงไม่หายไปจากโลกนี้ง่ายๆ และคงไม่หายไปจากสังคมชาวอเมริกันได้ง่ายๆเช่นกัน
    .
    11/ บทความนี้ มีจุดประสงค์อยากให้ทุกคนในโลกร่วมมือกัน ต่อต้านพฤติกรรมและการกระทำที่ทำร้ายกันด้วย ‘การเหยียด/การบูลลี่’ เพราะมันเป็นไวรัสของสังคมโลก
    .
    ที่มา: หนังสือพิมพ์ The New York Time https://cn.nytimes.com/opinion/20200610/coronavirus-game-us/
    .

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนล้ำไปอีกขั้น! ประสบความสำเร็จ ผลิต ‘เรือไฮบริด’
    ดีต่อสิ่งแวดล้อม ดีต่อเศรษฐกิจ ดีต่อใจ
    .
    1/ จีนก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว กับความสำเร็จในการคิดค้นและผลิตเรือที่ใช้เครื่องยนต์แบบไฮบริด คือสามารถใช้พลังงานได้จากทั้งน้ำมันดีเซล ก๊าซธรรมชาติ (LNG) และพลังงานไฟฟ้า
    .
    2/ เรือไฮบริดลำนี้ เป็นลำแรกของจีน มีชื่อว่า นิวแยงซีริเวอร์ 26007 - New Yangtze River 26007 เชื่อมั่นในความปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ 100%
    .
    3/ เรือมีความยาว 110 เมตร กว้าง 19.2 เมตร ลึก 5.6 เมตร สามารถรับน้ำหนักบรรทุกสินค้าได้ถึง 7,000 ตัน
    .
    4/ นิวแยงซีริเวอร์ 26007 แล่นอวดโฉมต่อชาวโลกแล้วที่บริเวณเขื่อนสามผา ในแม่น้ำแยงซี เทศบาลนครฉงชิ่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
    .
    5/ นิวแยงซีริเวอร์ 26007 นอกจากจะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นประโยชน์ด้านเศรษฐกิจอีกด้วย
    .
    6/ ข้อดีในด้านสิ่งแวดล้อมคือ เรือลำนี้แทบไม่ปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ออกไซด์ออกมาเลย และลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ได้ถึง 90%
    .
    7/ ส่วนข้อดีในทางเศรษฐกิจคือ ช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้ 20%
    .
    8/ คุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งในเรื่องสิ่งแวดล้อมและลดต้นทุน ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า นิวแยงซีริเวอร์ 26007 จะเป็นที่นิยมและเป็นต้นฉบับนำไปสู่การพัฒนาการเดินเรือในอนาคต
    .
    ชมวีดิโอ ‘นิวแยงซีริเวอร์ 26007’ ล่องในแม่น้ำแยงซี อวดโฉมชาวโลก ได้ที่นี่ครับ

    .

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปักกิ่งกำลังถูกทดสอบครั้งสำคัญในการต่อสู้กับ ‘ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์’
    .
    1/ กรุงปักกิ่งกำลังเผชิญกับวิกฤตไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดรอบใหม่ ครั้งนี้จุดศูนย์กลางการแพร่ระบาดอยู่ที่ตลาดซินฟาตี้ ในเมืองเฟิงไท่ ตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรและอาหารทะเลขนาดใหญ่ที่สุดของกรุงปักกิ่ง
    .
    2/ เซิง กวง หัวหน้านักระบาดวิทยา ของศูนย์ควบคุมโรคระบาดในจีนเปิดเผยว่า การระบาดรอบใหม่ของไวรัสโควิด-19 ในกรุงปักกิ่งครั้งนี้ ไวรัสที่ตรวจพบไม่เหมือนกับไวรัสที่เคยแพร่ระบาดในจีน ที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองอู่ฮั่น
    .
    3/ เพราะผลเบื้องต้นของการจัดลำดับยีนไวรัสจากสองตัวอย่าง แสดงให้เห็นว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 ในปักกิ่งครั้งนี้ ไม่ได้มีลักษณะคล้ายกับชนิดที่เคยแพร่ระบาดทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ก่อนหน้า
    .
    4/ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขแนะนำให้ทำการเปรียบเทียบการจัดลำดับยีนไวรัสจากประเทศต่างๆด้วย เพื่อตรวจสอบว่าไวรัสโควิด-19 ที่ตรวจพบในปักกิ่ง มาจากประเทศที่จีนนำเข้าปลาแซลมอนหรือไม่?
    .
    5/ ทั้งนี้เพราะ มีการตรวจสอบพบ ‘เขียงแล่ปลาแซลมอน’ ในตลาดซินฟาตี้มีเชื้อไวรัสปะปน และสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นต้นตอของการระบาดรอบใหม่ในกรุงปักกิ่ง
    .
    อ่านเพิ่มเติม: พบเชื้อโรคบนเขียงปลาแซลมอน ไวรัสมาจากเขียงหรือมาจากปลา?
    .
    6/ ในแต่ละปี จีนนำเข้าปลาแซลมอนแช่แข็งจากต่างประเทศราวๆ 80,000 ตัน ส่วนใหญ่มาจากชิลี นอร์เวย์ หมู่เกาะแฟโร ออสเตรเลีย และแคนาดา
    .
    # ปักกิ่งรับมือรวดเร็ว #
    .
    1/ นักระบาดวิทยาท่านเดิม (จากข้อ 2 ข้างต้น) กล่าวว่า ปักกิ่งกำลังถูกทดสอบครั้งสำคัญในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 เพราะหากปักกิ่งควบคุมไม่ได้ มันจะแพร่ขยายเป็นการระบาดระลอกที่สองในจีนแผ่นดินใหญ่
    .
    2/ แต่...โชคดีที่ปักกิ่งมีความไวต่อสถานการณ์ รับมือเร็ว เคลื่อนไหวเร็ว จนรู้ต้นตอของการระบาด
    .
    3/ มีการตรวจพบอย่างรวดเร็วว่า มีเชื้อไวรัสบนเขียงแล่ปลาแซลมอนในตลาดซินฟาตี้ จนทำให้ผู้ติดเชื้อได้รับเชื้อมาจากสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนในตลาด หรือมีการติดต่อกับผู้ที่ได้รับเชื้อ นั่นก็คือมีทั้งการสัมผัสทางตรงและทางอ้อม
    .
    4/ เฉิน จิน รองศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุข จากมหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า ชาวปักกิ่งไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไปเกี่ยวกับการระบาดของไวรัส เพราะรัฐบาลจีนมีประสบการณ์มากมายในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19
    .
    5/ ขอให้เชื่อมั่นว่า ปักกิ่งมีความสามารถในการป้องกันไวรัส ไม่ให้แพร่ระบาดขยายวงกว้าง
    .

     

แชร์หน้านี้

Loading...