ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สเปนมีดีอะไร ถึงมีรายได้จากการท่องเที่ยวอันดับ 2 ของโลก /โดย ลงทุนแมน
    84 ล้านคน คือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มาเยือนประเทศสเปนในปี 2019
    ทำให้ประเทศนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงฝรั่งเศส และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอับดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา

    ที่น่าสนใจคือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ มากกว่าประชากรสเปนที่มี 47 ล้านคน เกือบ 2 เท่า

    เช่นเดียวกันกับรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
    ในปี 2018 สเปนดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ถึง 2.3 ล้านล้านบาท
    มากกว่าการท่องเที่ยวไทยที่ดึงดูดได้ 1.9 ล้านล้านบาท

    แต่หากถามคนไทยส่วนใหญ่
    สเปน อาจไม่ได้อยู่ในรายชื่อจุดหมายปลายทางยอดนิยมในยุโรป เหมือนฝรั่งเศส อิตาลี หรือสหราชอาณาจักร

    แต่ถ้าถามคำถามนี้กับชาวยุโรป
    คำตอบที่ได้จะต่างไป

    เพราะ สเปน เป็นหนึ่งในจุดหมายที่นิยมมากสุดในชาวยุโรปด้วยกันเอง

    เรื่องนี้เป็นเพราะอะไร?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    ก่อนอื่นมารู้จักกับสภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศสเปนกันสักนิด

    สเปนตั้งอยู่บนคาบสมุทรไอบีเรีย ทางตอนใต้ของทวีปยุโรป
    มีขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย

    ด้วยความที่เป็นคาบสมุทร ทำให้มีทะเลล้อมรอบหลายด้าน
    ชายฝั่งตอนเหนือและตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก
    ส่วนชายฝั่งตะวันออกและทางตอนใต้ ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

    สเปนจึงเป็นประเทศที่มีชายฝั่งทะเลยาวกว่า 4,900 กิโลเมตร

    โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นทะเลเขตอบอุ่น
    เนื่องจากได้รับอิทธิพลความร้อนจากทวีปแอฟริกา
    จึงส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของเมืองในสเปน อบอุ่นกว่าหลายประเทศในยุโรป

    พื้นที่ส่วนใหญ่ของสเปนยังมีแสงแดดจ้ายาวนานถึงปีละ 2,500 ชั่วโมง
    สูงเป็นอันดับต้นๆ ของยุโรป และสูงกว่าอิตาลีที่อยู่ในละแวกเดียวกัน

    เท่ากับว่าแสงแดดในสเปนส่องเฉลี่ยวันละ 6-7 ชั่วโมง ซึ่งจะยาวนานเป็นพิเศษในช่วงฤดูร้อน

    เมื่อเทียบกับประเทศในยุโรปตอนเหนือ เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี
    สแกนดิเนเวีย และตอนเหนือของฝรั่งเศส
    ประเทศเหล่านี้มีชายฝั่งทะเลที่ลมแรง อากาศหนาวเย็น และท้องฟ้าขมุกขมัว

    สิ่งที่ผู้คนในประเทศเหล่านี้ล้วนโหยหา
    ก็คือ ชายหาด อากาศอบอุ่น และแสงแดดเจิดจ้า

    สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นกับประเทศไทย และประเทศในแถบเส้นศูนย์สูตร
    แต่สิ่งสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ
    สเปนมีครบทุกอย่าง ในระยะทางที่ไม่ไกลจากประเทศในยุโรปด้วยกันเอง..

    พูดง่ายๆ สำหรับชาวยุโรปแล้ว ถ้าคิดถึงทะเล ที่แรกที่จะคิดถึงก็คือ “สเปน”

    ทำให้นักท่องเที่ยว 3 อันดับแรกที่มาเยือนสเปนในปี 2018 ล้วนมาจากประเทศในยุโรป
    อันดับ 1 สหราชอาณาจักร 18.5 ล้านคน
    อันดับ 2 เยอรมนี 11.4 ล้านคน
    อันดับ 3 ฝรั่งเศส 11.3 ล้านคน

    โดยเฉพาะในฤดูร้อน ช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ชายหาดของสเปนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
    ไล่มาตั้งแต่บาร์เซโลนา บาเลนเซีย มาลากา เกาะปัลมาเดมาญอร์กา
    จะเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวที่พากันมานอนอาบแดด เล่นน้ำทะเล

    เมื่อรวมกับปัจจัยด้านค่าครองชีพ ที่เมืองในสเปนจะต่ำกว่าเมืองในยุโรปตะวันตก
    ทั้งฝรั่งเศสและอิตาลี

    เมืองชายทะเลเหล่านี้จึงมีรายได้มหาศาล ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของ บริการต่างๆ
    รายได้จากการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 15% ของ GDP ประเทศสเปน
    แต่สัดส่วนนี้ก็ยังน้อยกว่า สัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวต่อ GDP ของไทย ที่ 21%

    นอกจากทะเลแล้ว สเปนก็ยังมีของดีอีกหลายอย่าง..

    ชายแดนทางตอนเหนือของสเปนส่วนที่ติดกับฝรั่งเศส ถูกกั้นด้วยเทือกเขาพิเรนีส
    เทือกเขาที่สูงกว่า 3,400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลแห่งนี้
    เหมาะจะเป็นแหล่งเล่นสกีชั้นดีในฤดูหนาว

    นอกจากทะเลและภูเขาแล้ว
    สเปนยังมีมรดกทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่า
    ประเทศนี้มีมรดกโลกทางวัฒนธรรมมากถึง 42 แห่ง เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอิตาลี

    ครั้งหนึ่งในอดีต สเปนเคยเป็นมหาอำนาจ
    เป็นผู้นำชาวยุโรปไปค้นพบกับโลกใหม่ คือทวีปอเมริกา และมีประเทศในอาณานิคมมากมาย

    มรดกจากความมั่งคั่งในยุคทองของสเปน สะท้อนผ่านอาคารบ้านเรือน
    สถาปัตยกรรมของสเปนล้วนงดงามตระการตา
    และที่สำคัญ สเปนวางตัวเป็นกลางตลอดสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง
    ทำให้อาคารสวยงามหลายแห่ง ยังคงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้

    สเปนยังมีเทศกาลและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งเทศกาลปามะเขือเทศ
    ระบำฟลามิงโก การสู้วัวกระทิง ไปจนถึงการแข่งขันฟุตบอลลาลีกา

    ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมด
    ล้วนถูกเชื่อมโยงด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่เตรียมพร้อมรองรับการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ

    ในการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว
    ของ World Economic Forum ในปี 2019

    จากทั้งหมด 140 ประเทศ สเปนอยู่อันดับที่ 1

    การจัดอันดับนี้ ประเมินจากหลายปัจจัย ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ มรดกทางวัฒนธรรม
    รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐาน ความปลอดภัย และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม

    สเปนได้รับคะแนนโดดเด่นในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งทางรถไฟ ทางอากาศ และทางถนน

    รู้หรือไม่ว่า สเปนมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงประเทศจีน
    ด้วยระยะทางกว่า 3,400 กิโลเมตร

    รถไฟความเร็วสูง AVE (Alta Velocidad Española) เชื่อมระหว่างเมืองใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ
    เช่น มาดริด บาร์เซโลนา เซบียา บาเลนเซีย ด้วยความเร็วสูงสุด 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    และมีเส้นทางรถไฟระหว่างเมือง ที่เชื่อมเมืองใหญ่เข้ากับเมืองเล็กๆ อีกที
    ส่วนในเมืองใหญ่ๆ ก็มีระบบขนส่งมวลชนทั้งรถไฟใต้ดิน รถราง และรถเมล์รองรับการเดินทาง

    นักท่องเที่ยวจึงสามารถเดินทางจากสนามบิน มายังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้สะดวก
    ผ่านระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ

    นอกจากโครงสร้างพื้นฐาน สเปนยังโดดเด่นในเรื่องความปลอดภัย
    เมื่อเทียบกับหลายประเทศในยุโรป
    สเปนมีอัตราการก่อการร้าย อัตราอาชญากรรม และคดีฆาตกรรมต่ำกว่ามาก

    ในขณะที่รัฐบาลสเปนก็ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
    มีการควบคุมการบุกรุกพื้นที่ป่าจากกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด
    จัดการน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ
    ควบคุมการปล่อยมลภาวะในเขตเมืองใหญ่ และให้ความสำคัญกับการกำจัดขยะ

    จากการจัดอันดับนี้ แสดงให้เห็นว่า
    การที่สเปนดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้จนเป็นอันดับ 2 ของโลก
    ไม่ได้มีเพราะ “บุญเก่า” อย่างทรัพยากรธรรมชาติ และมรดกทางวัฒนธรรมเท่านั้น

    แต่การจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้สมบูรณ์
    และมีระบบโครงสร้างที่พร้อมให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาพักผ่อนอย่างสะดวก
    สะอาดและปลอดภัย คือสิ่งสำคัญ ที่ช่วยส่งเสริมความโดดเด่นของสถานที่ท่องเที่ยวที่มี

    แม้ในปี 2020 จะเป็นปีที่หนักหนาสาหัสสำหรับการท่องเที่ยวสเปน
    เนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19
    แต่ด้วยศักยภาพที่มีพร้อม
    เป็นไปได้สูงว่า หากมีวัคซีนเมื่อไหร่ การท่องเที่ยวสเปนก็จะกลับมาคึกคักได้อีกครั้งหนึ่ง

    หันกลับมามองที่ประเทศไทย
    การท่องเที่ยวไทยสร้างรายได้จากชาวต่างชาติสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก
    ด้วยมูลค่ากว่า 1.9 ล้านล้านบาท

    แต่ไทยกลับได้อันดับที่ 31 ในขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว

    โดยมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน
    ความมั่นคงปลอดภัย รวมไปถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม

    จึงเป็นสิ่งที่น่าคิดต่อไป หากประเทศไทยต้องการจะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้อย่างสเปน
    จำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาสิ่งเหล่านี้

    เพราะจากการจัดอันดับในหลายๆ ด้านของ World Economic Forum
    มีเพียงด้านเดียวที่ไทยโดดเด่นกว่าสเปน
    นั่นคือ “ราคา”..
    ╔═══════════╗
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -https://www.caixabankresearch.com/en/three-strong-points-spains-tourism-industry
    -https://knoema.com/atlas/Spain/topics/Tourism/Travel-and-Tourism-Total-Contribution-to-GDP/Contribution-of-travel-and-tourism-to-GDP-percent-of-GDP
    -https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Europe_sunshine_hours_map.png
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Tourism_in_Spain
    -http://www3.weforum.org/docs/WEF_TTCR_2019.pdf
    -https://www.mots.go.th/download/article/article_20190925130927.pdf

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จับตา: อุตสาหกรรมเหล็กไทยเผชิญความท้าทายจากผลกระทบของ COVID-19

    Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) วิเคราะห์อุตสาหกรรมเหล็กไทยเผชิญความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญทั้งด้านอุปสงค์และราคา จากผลกระทบของ COVID-19 แนะผู้ประกอบการควรเร่งปรับตัว

    https://www.tcijthai.com/news/2020/6/watch/10536

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Cathay Pacific สายการบินที่ซวย 3 เด้ง /โดย ลงทุนแมน
    สายการบิน ธุรกิจหนึ่งที่ต้องรับแรงกระแทกอย่างหนัก
    จากการระบาดไปทั่วโลกของโควิด-19

    เครื่องบินทั่วโลกเกินกว่า 70% ไม่ได้ขึ้นบิน
    ทำให้หลายสายการบินต้องหยุดจ่ายค่าจ้าง หรือเลิกจ้างพนักงาน
    หรือบางแห่งหนักถึงขั้นต้องขอล้มละลาย

    แต่รู้หรือไม่ว่ามีสายการบินหนึ่ง ที่เจอเรื่องหนักหนาสาหัสมาหลายครั้งก่อนโควิด-19 จะระบาดเสียอีก
    สายการบินนี้ชื่อว่า “Cathay Pacific”

    สายการบินนี้ผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
    มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    Cathay Pacific รู้จักกันในนามสายการบินแห่งชาติของฮ่องกง
    ที่มีเส้นทางการบิน และขนส่งสินค้า (Cargo) ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศทั่วโลก

    แล้วสายการบินนี้มีอะไรดี?

    Cathay Pacific ได้รับรางวัลสายการบินยอดเยี่ยมจากการจัดอันดับของ Skytrax ถึง 4 ปี
    คือ ในปี ค.ศ. 2003, 2005, 2009 และ 2014

    และยังเป็นสายการบินสำหรับขนส่งสินค้า (Cargo) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชีย
    เป็นรองเพียงแค่ เอมิเรตส์แอร์ไลน์ และ กาตาร์แอร์เวย์

    และด้วยฮ่องกงเป็นจุดสำคัญของการค้าโลกแห่งหนึ่ง
    จึงทำให้ Cathay Pacific ยิ่งมีความสำคัญในฐานะสายการบินแห่งชาติของฮ่องกง

    แต่ใครจะไปคิดว่า ความซวย จะมาพร้อมๆ กันถึง 3 เด้ง..

    เด้งที่ 1

    เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ ต่อต้าน พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดนในฮ่องกงช่วงต้นเดือนมิถุนายนปี 2019
    ทำให้ฮ่องกงกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย และไม่ดึงดูดนักท่องเที่ยว นักธุรกิจจากทั่วโลก

    เท่านั้นยังไม่พอ
    Cathay Pacific ยังตกเป็นเป้าโจมตีของชาวฮ่องกง
    เมื่อสายการบินไล่พนักงานที่เข้าร่วมการประท้วงในฮ่องกงออก
    จนเกิดเป็นกระแส “แบน” Cathay Pacific ของชาวฮ่องกง

    ทำให้ใน ปี 2019
    จำนวนผู้โดยสารของสายการบินลดลงจากปีก่อนหน้า 10%
    โดยเฉพาะเส้นทางการบินระหว่างฮ่องกงกับจีนแผ่นดินใหญ่ จำนวนผู้โดยสารลดลงถึง 26%
    และเส้นทางบินระหว่างฮ่องกงกับอเมริกาเหนือ จำนวนผู้โดยสารลดลง 7.5%

    เด้งที่ 2

    สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และ จีน ที่เริ่มขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2019 เช่นกัน
    ทำให้เกิดความตึงเครียดในการค้าโลก

    โดยเฉพาะฮ่องกง ที่เป็นจุดศูนย์กลางการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของเอเชียและของโลก
    ส่งผลให้รายได้จากบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ (Cargo) ของปี 2019 ลดลง 16%

    ผลประกอบการของ Cathay Pacific หลังเจอมรสุมอย่างหนักในช่วงครึ่งปีหลัง
    ปี 2018 Cathay Pacific มีรายได้ 443,400 ล้านบาท กำไร 11,000 ล้านบาท
    ปี 2019 Cathay Pacific มีรายได้ 427,000 ล้านบาท กำไร 6,700 ล้านบาท

    และเด้งที่ 3 ที่รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ

    เมื่อเกิดการระบาดไปทั่วโลกของโควิด-19
    ผู้โดยสารที่เคยใช้บริการหายไปเกือบหมด

    รายได้จากการส่งสินค้าทางอากาศก็ลดลงจากห่วงโซ่การผลิตที่มีปัญหา
    ทำให้ Cathay Pacific ที่จากเดิมอ่อนแออยู่แล้ว ทรุดหนักเข้าไปอีก

    ในที่สุด เมื่อรวมความซวย 3 เด้งเข้าด้วยกัน
    Cathay Pacific ก็ไปต่อไม่ไหว
    บริษัทต้องประกาศเพิ่มทุน และเจรจาให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ
    จนรัฐบาลฮ่องกงต้องอัดฉีดเงิน 120,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับโครงสร้างบริษัท
    โดยจะมีคนของรัฐบาลเข้าไปเป็นบอร์ดบริหาร 2 คน

    ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะทำให้ Cathay Pacific รอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้หรือไม่
    แต่ทั้งหมดนี้ทำให้เราได้เห็นว่า
    ถ้าเราต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน หรือที่เราเรียกว่า “Black Swan”
    ความสำเร็จอันสวยหรูในอดีตที่ผ่านมา ก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย

    เหมือนกับที่ Cathay Pacific กำลังเจอในตอนนี้
    ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน เรามีโอกาสซวยซ้ำซวยซ้อนได้เสมอ
    แต่สิ่งที่ควรทำ ก็คงไม่ต้องไปโทษโชคชะตา
    ยื่นมือรับเรื่องโชคร้ายที่เกิดขึ้น แล้วค่อยๆ แก้ไปทีละเรื่อง
    ไม่ว่าจะซวยกี่เด้ง เราก็คงผ่านมันไปได้ในที่สุด..
    ╔═══════════╗
    อัปเดตสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจกับ Blockdit
    มีพอดแคสต์ให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
    Blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    References
    -Cathay Pacific Financial Report 2019
    -https://www.cathaypacific.com/
    -https://atlas-network.com/cathay-pacific-whacked-by-trade-war-hong-kong-protests/
    -https://news.cathaypacific.com/cathay-pacific-group-releases-combined-traffic-figures-for-november-2019
    -https://asia.nikkei.com/Business/Transportation/Bailout-of-Hong-Kong-s-Cathay-Pacific-gets-investors-scrutiny
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Cathay_Pacific

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สรุปเศรษฐกิจไทย ย้อนหลัง 35 ปี /โดย ลงทุนแมน
    จริงๆ แล้ว ช่วงก่อนเกิด Covid-19 เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตที่ชะลอตัวอยู่แล้ว
    ซึ่งแน่นอนว่า การระบาดของ Covid-19 ก็ทำให้เศรษฐกิจของเรายิ่งย่ำแย่ลงไปอีก

    ตอนนี้สงคราม Covid-19 ในประเทศไทยดูเหมือนจะใกล้จบลง
    แต่สงครามเศรษฐกิจที่เรากำลังเจอนั้นดูเหมือนจะไม่ยอมจบลงง่ายๆ
    เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    <ad>รับฟัง “พลิกธุรกิจอย่างก้าวกระโดดรับมือกับ New Normal ด้วยเทคโนโลยี Digital Transformation for New Normal Era” 25 มิ.ย. เวลา 13.30 – 15.00 น. ทางเพจ Metro Systems BIG
    ลงทะเบียนเข้าร่วมฟังได้ที่ https://bit.ly/3bVHbqA
    ╚═══════════╝
    หนึ่งในจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตในอดีต เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1985

    เมื่อสหรัฐอเมริกาที่ตอนนั้นขาดดุลการค้ามหาศาลต้องการลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก เช่น เงินเยนของญี่ปุ่นและเงินมาร์คของเยอรมนีตะวันตก ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นนำไปสู่การทำข้อตกลง Plaza Accord

    แม้ประเทศไทยจะไม่ได้มีส่วนกับเรื่องดังกล่าวโดยตรง แต่การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก

    เนื่องจากช่วงเวลานั้น ประเทศไทยมีการตรึงค่าเงินบาทไว้กับตะกร้าเงินสกุลหลักของโลก 10 สกุล แต่กว่า 80% นั้นผูกไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงทำให้ภาคการส่งออกของไทยนั้นได้รับอานิสงส์ไปด้วย

    นอกจากนี้ การที่เงินเยนของญี่ปุ่นนั้นแข็งค่าขึ้นกว่าเท่าตัว ก็ได้กระทบกับภาคการส่งออกของประเทศอย่างหนัก

    เรื่องนี้ทำให้รัฐบาลและภาคเอกชนของญี่ปุ่น จำเป็นต้องมองหาฐานการผลิตที่มีศักยภาพเพื่อทำการส่งออก โดยเฉพาะในประเทศที่มีความพร้อมและต้นทุนค่าแรงไม่สูงมาก

    ขณะที่ความไม่สงบเรียบร้อยเนื่องจากสงครามระหว่างเวียดนามและกัมพูชา ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของฐานการผลิตที่สำคัญของญี่ปุ่น และหลายประเทศ

    เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไหลเข้ามาประเทศไทย จนสร้างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ทศวรรษแห่งการเติบโตของประเทศไทย

    นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard Development) สำหรับเป็นพื้นที่ในการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยในระยะยาว

    เรื่องนี้จึงทำให้ในช่วงระหว่างปี 1987-1996 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.3% โดยเฉพาะในปี 1988 ที่เคยขึ้นไปถึงระดับ 13.3%

    เรื่องนี้จึงทำให้หลายคนถึงกับบอกว่า ไทยจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย หรือประเทศที่เศรษฐกิจมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วเหมือนอย่าง ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่ง 4 ประเทศหลังนี้ได้กลายมาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบัน

    แต่ภาพแบบนี้ที่หลายคนหวังจะให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยอีกครั้ง ดูเหมือนว่า เลือนรางไปเรื่อยๆ
    เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้เศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง

    ปี 2010-2014 GDP ประเทศไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 3.9%
    ปี 2015-2019 GDP ประเทศไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 3.4%

    ล่าสุดในไตรมาส 1 ปี 2020 เศรษฐกิจไทยติดลบไป 1.8% และค่อนข้างจะแน่นอนว่าไตรมาสที่ 2 ที่กำลังจะจบลงนั้น เศรษฐกิจไทยก็คงจะติดลบหนัก เพราะสูญเสียนักท่องเที่ยว และมีการเว้นระยะห่างทางสังคม

    ปี 2019 ภาคการส่งออกมีมูลค่าถึง 7.6 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 45% ของมูลค่า GDP

    โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมีมูลค่าถึง 1.9 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 11% ของ GDP

    ซึ่งขีดความสามารถในการแข่งขันของทั้ง 2 ภาคอุตสาหกรรมนี้ ยังขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทด้วย

    ตอนนี้ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้นมาอีกครั้ง จนทำให้หลายฝ่ายออกมาแสดงความกังวลว่าจะกระทบกับรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวในอนาคต แม้สถานการณ์ Covid-19 ในประเทศไทยจะดูดีขึ้น

    แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามเข้ามาดูแลป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งมากเกินไป ด้วยการขายเงินบาทและซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ

    หลักฐานก็คือ ทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐที่เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมปีนี้ แต่ดูเหมือนว่าค่าเงินบาทก็ยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    แน่นอนว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็มีทั้งผลดีและผลเสีย
    แต่สำหรับประเทศไทยที่พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่มาก ดูเหมือนว่าจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมไม่น้อย

    ช่วงที่ผ่านมา เรามักได้ยินข่าวหลายบริษัททยอยปิดกิจการ หลายบริษัทลดการลงทุน เนื่องจากไม่สามารถทนกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำ เราจึงเห็นจำนวนผู้ว่างงานในประเทศเพิ่มขึ้น

    สิ้นไตรมาส 1/2019 มีจำนวนผู้ว่างงานในประเทศไทย 346,480 คน
    สิ้นไตรมาส 1/2020 มีจำนวนผู้ว่างงานในประเทศไทย 391,770 คน

    เมื่อรวมกับนักศึกษาจบใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานปีละประมาณ 400,000 คน อาจทำให้จำนวนผู้ว่างงานนั้นเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

    ซึ่งข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมระบุว่า จำนวนโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตและแจ้งประกอบกิจการนั้นมีแนวโน้มลดลง

    4 เดือนแรกของปี 2019 จำนวนโรงงาน 1,054 แห่ง
    4 เดือนแรกของปี 2020 จำนวนโรงงาน 876 แห่ง

    นอกจากนี้ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศซึ่งเป็นการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง ผ่านการนำเอาทรัพยากรการผลิต แรงงาน และเทคโนโลยี เข้าไปยังประเทศปลายทางซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในระยะยาวนั้น สำหรับประเทศไทยมีแนวโน้มชะลอตัวนับตั้งแต่ ปี 2018

    ปี 2018 เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเท่ากับ 426,749 ล้านบาท
    ปี 2019 เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเท่ากับ 196,350 ล้านบาท

    โดยเฉพาะเงินลงทุนจากญี่ปุ่น ในปี 2019 ลดลงเหลือเพียง 79,264 ล้านบาท ต่ำกว่าระดับแสนล้านบาท เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2015

    ดูเหมือนว่า แม้สถานการณ์ของ Covid-19 ของไทยจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่กำลังท้าทายเศรษฐกิจของประเทศ

    เราจะทำอย่างไรให้ประเทศกลับไปเติบโต
    เราจะทำอย่างไรให้ประเทศเราก้าวพ้นจากประเทศกำลังพัฒนาไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว
    เพื่อทำให้คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

    ซึ่งคำถามพวกนี้
    เป็นคำถามที่อยู่ในใจของคนไทยหลายคนมานาน
    และก็น่าจะยังคงเป็นคำถามต่อไปในรุ่นลูกหลานของเรา..
    ╔═══════════╗
    <ad>รับฟัง “พลิกธุรกิจอย่างก้าวกระโดดรับมือกับ New Normal ด้วยเทคโนโลยี Digital Transformation for New Normal Era” วันที่ 25 มิ.ย. 63 เวลา 13.30 – 15.00 น.
    ทาง Facebook Live เพจ Metro Systems BIG กับ 3 วิทยากรมากประสบการณ์

    คุณเกษมสันต์ วีระกุล นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญ AEC
    คุณกิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ Country Manager, IBM Cloud & Cognitive Software
    คุณมีลาภ โสขุมา Digital Transformation Officer, เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น

    ลงทะเบียนเข้าร่วมฟังได้ที่ https://bit.ly/3bVHbqA
    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-089-4938
    ╚═══════════╝
    References
    -https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=TH
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Economy_of_Thailand
    -https://en.wikipedia.org/wiki/Map_Ta_Phut_Industrial_Estate
    -https://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=10212&filename=QGDP_report
    -http://tradereport.moc.go.th/Report/Default.aspx?Report=TradeBalanceMonthly&Lang=Th
    -https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/BOTWEBSTAT.aspx?reportID=80&language=TH
    -https://www.diw.go.th/hawk/content.php?mode=spss63
    -https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/ReportPage.aspx?reportID=653&language=th

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [UPDATE] เยาวราช กลับมาคึกคักอีกครั้ง ลงทุนแมนประเมิน ผู้คนกลับมาประมาณ 70% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ร้านที่คิวยาวคือ ปาท่องโก๋ ก๋วยเตี๋ยวหลอด ขนมปังปิ้ง ก๋วยจั๊บ ส่วนร้านซีฟู้ดยังคนน้อย

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [UPDATE] ธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้แจงประเด็น การขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่าย "เงินปันผลระหว่างกาล" และ "งดซื้อหุ้นคืน"

    นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่าย "เงินปันผลระหว่างกาล" และ "งดซื้อหุ้นคืน" ว่า การแพร่ระบาดของโควิด 19 เป็นสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก ส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจไทย ยังไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ และจะจบอย่างไร การรักษาภูมิคุ้มกันให้กับระบบเศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงินเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยกว่าการรักษาภูมิคุ้มกันให้กับสุขภาพของคนไทยแต่ละคน

    ภูมิคุ้มกันที่สำคัญมากอันหนึ่งของธนาคารพาณิชย์คือระดับเงินกองทุน ที่เป็นกันชนรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว และความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้เงินกองทุนจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเมื่อการแพร่ระบาดของโควิด 19 คลี่คลายลง และเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ช่วงฟื้นฟูอย่างเต็มที่

    การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์และแนวทางบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวังที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ระดับเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยเข้มแข็ง (ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงหรือ BIS ratio ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ที่ร้อยละ 18.7) ธนาคารพาณิชย์จึงสามารถออกมาตรการช่วยดูแลและเยียวยาลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้หลากหลายมาตรการ ในระยะข้างหน้าที่เรายังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง เราไม่ควร "การ์ดตก" ควรจะรักษาระดับเงินกองทุน หรือ "กันชน" ของธนาคารพาณิชย์ให้อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง การขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่าย "เงินปันผลระหว่างกาล" และ "งดซื้อหุ้นคืน" เป็นมาตรการเพื่อไม่ให้ธนาคารพาณิชย์ "การ์ดตก" ให้รักษาระดับเงินกองทุนให้เข้มแข็งต่อเนื่องจนกว่าจะจัดทำแผนบริหารจัดการเงินกองทุนใหม่ได้ชัดเจนขึ้น

    การประเมินระดับเงินกองทุนที่เหมาะสมของธนาคารพาณิชย์ก็เหมือนการตรวจสุขภาพที่ต้องทำเป็นประจำ ในรอบที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ได้ประเมินและจัดทำแผนบริหารจัดการเงินกองทุนก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 ซึ่งสถานการณ์วันนี้ได้เปลี่ยนไปมาก นอกจากนี้ ทั้งการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์และของลูกค้าก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม และมาตรการล๊อกดาวน์ด้วย ลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ก็อยู่ในช่วงที่ต้องได้รับการเยียวยา ปรับตัว หรือวางแผนธุรกิจใหม่ ธนาคารพาณิชย์จึงไม่สามารถประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทั้งลูกค้าและแผนธุรกิจของตนเองได้อย่างชัดเจน ธปท. จึงขอให้ธนาคารพาณิชย์เร่งทบทวนแผนบริหารจัดการเงินกองทุนในช่วง 1-3 ปีข้างหน้าโดยคำนึงถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก

    นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการหลากหลายด้านเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ และผ่อนผันกฎเกณฑ์การกำกับดูแลหลายเรื่องเพื่อส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์เร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ด้วย ธนาคารพาณิชย์อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการเยียวยาและปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ ซึ่งต้องคำนวณผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผลประกอบการและระดับเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์อย่างละเอียดในสถานการณ์ต่างๆ (scenarios) ในอนาคตด้วย

    ในภาวะปกติ ธนาคารพาณิชย์บางแห่ง (ไม่ใช่ทุกแห่ง) จะจ่าย "เงินปันผลระหว่างกาล" ให้แก่ผู้ถือหุ้นในช่วงเดือนสิงหาคม "เงินปันผลระหว่างกาล" หรือ interim dividend เป็นการจ่ายเงินปันผลนอกรอบระยะเวลาบัญชี โดยไม่ต้องรอคำนวณผลการดำเนินงานเมื่อครบปี หรือครบรอบระยะเวลาบัญชี โดยอาจจะคำนวณจากผลประกอบการในรอบครึ่งปีแรกและผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนำมาจ่ายเป็น "เงินปันผลระหว่างกาล" ให้แก่ผู้ถือหุ้นในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม

    ส่วนการ "ซื้อหุ้นคืน" นั้น ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์บางแห่งที่คิดว่ามีเงินกองทุนในระดับสูงเกินความจำเป็น หรือเห็นว่าราคาหุ้นในตลาดลงไปอยู่ในระดับต่ำเกินควร ได้มีแผน "ซื้อหุ้นคืน" จากผู้ถือหุ้นทั่วไป ซึ่งหมายถึงการซื้อหุ้นของตัวเองจำนวนหนึ่งออกจากตลาดหลักทรัพย์มาเก็บไว้ หรือเพื่อนำไปลดทุนในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้ระดับเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ลดลง (การงดการซื้อหุ้นคืนของธนาคารพาณิชย์นั้น "ไม่กระทบ" ต่อการซื้อขายหุ้นธนาคารพาณิชย์ในตลาดหลักทรัพย์ของประชาชนตามปกติแต่อย่างใด)

    การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ไม่ปกติ ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจไทยไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ หรือลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบรุนแรง และยังจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ธนาคารพาณิชย์จึงควรใช้เวลาประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ วางแผนการดำเนินงานอย่างระมัดระวัง และทำงานกับลูกค้ากลุ่มต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้แผนบริหารจัดการเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ที่จัดทำใหม่สอดคล้องกับสถานการณ์ข้างหน้า และสอดคล้องกับบทบาทของธนาคารพาณิชย์ที่จะต้องปล่อยสินเชื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยภายหลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด 19 คลี่คลายลงด้วย

    การขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่าย "เงินปันผลระหว่างกาล" และ "งดซื้อหุ้นคืน" นี้ แม้ว่าจะกระทบต่อผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ในช่วงสั้นๆ แต่จะเป็นผลดีสำหรับผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ในระยะยาว เป็นผลดีต่อผู้ฝากเงิน และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมด้วย เพราะจะช่วยให้ระบบสถาบันการเงินไทยเข้มแข็ง รักษาระดับเงินกองทุนให้อยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่อง มีกันชนที่จะรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก โดยเฉพาะถ้าเกิดการแพร่ระบาดโควิด 19 ระยะใหม่ๆ

    การประกาศเรื่องนี้เป็นนโยบายกลางของ ธปท. นอกจากจะช่วยให้เกิดความชัดเจนแก่ผู้ร่วมตลาดแล้ว ยังช่วยลดความกังวลให้แก่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ด้วย โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการบริหารจัดการแบบระมัดระวังเป็นพิเศษ ในช่วงที่ผ่านมาผู้บริหารธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้แจ้งความกังวลให้ ธปท. ทราบว่าผู้ถือหุ้น และผู้ฝากเงินอาจจะเข้าใจผิดได้ ถ้าธนาคารพาณิชย์บางแห่งที่เคยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประกาศงดจ่ายในปีนี้ หรือยกเลิกแผนการซื้อหุ้นคืนด้วยตนเอง อาจจะถูกเข้าใจผิดไปว่าธนาคารพาณิชย์ที่ต้องการรอบคอบระมัดระวังเป็นพิเศษหรืออยาก "ตั้งการ์ดสูง" เป็นธนาคารพาณิชย์ที่กำลังมีปัญหาเรื่องฐานะการเงินหรือได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 รุนแรงกว่าธนาคารพาณิชย์อื่น ถ้า ธปท. ไม่ออกแนวนโยบายกลางให้ชัดเจน ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่เคยจ่าย "เงินปันผลระหว่างกาล" ก็คงจะต้องจ่ายไปตามปกติ ทั้งที่อยากจะสร้างกันชน และใช้เวลาประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบระมัดระวัง ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง

    ใครที่ติดตามเรื่องของธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินรอบโลกก็คงไม่แปลกใจกับนโยบายเรื่องนี้ของ ธปท. ในขณะที่ ธปท. เพิ่งขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่าย "เงินปันผลระหว่างกาล" และ "งดซื้อหุ้นคืน" ในระหว่างทบทวนแผนบริหารจัดการเงินกองทุนใหม่ ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลหลายประเทศทั่วโลกได้ออกนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปก่อนหน้านี้หลายเดือน บางประเทศ (เช่น อังกฤษ) ขอให้งดซื้อหุ้นคืน และไปไกลถึงขนาดขอให้งดการจ่ายเงินปันผลประจำปีจากผลประกอบการของปีที่แล้วด้วย บางประเทศ (เช่น สหภาพยุโรป และนิวซีแลนด์) ขอให้งดซื้อหุ้นคืนและงดการจ่ายเงินปันผลไประยะเวลาหนึ่งเพื่อรอความชัดเจนของสถานการณ์โควิด 19 ก่อน บางประเทศ (เช่น ออสเตรเลีย) ขอให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำ stress test ใหม่ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ ก่อนที่จะพิจารณาจ่ายเงินปันผล หลายประเทศที่เป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ก็มีแนวนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่ายเงินปันผลเช่นกัน รวมทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมาสนับสนุนให้ธนาคารกลางและผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินทั่วโลกมีนโยบายระงับการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืนของธนาคารพาณิชย์ด้วย

    แนวนโยบายเรื่องการขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่าย "เงินปันผลระหว่างกาล" และ "งดซื้อหุ้นคืน" ในระหว่างที่ธนาคารพาณิชย์จัดทำแผนบริหารจัดการเงินกองทุนใหม่นี้ จะเป็นผลดีสำหรับผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ในระยะยาว เป็นผลดีต่อผู้ฝากเงิน และเป็นผลดีต่อระบบสถาบันการเงิน จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์รักษาระดับเงินกองทุนให้อยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่อง เป็นกันชนรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต และมีเงินกองทุนที่จะสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเมื่อการแพร่ระบาดของโควิด 19 คลี่คลายลง

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ธนาคาร กำลังเจอคลื่นซัด /โดย ลงทุนแมน
    ข่าวใหญ่ของเมื่อวาน เรื่องแบงก์ชาติประกาศให้ทุกธนาคาร
    งดการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล งดซื้อหุ้นคืน
    ในระหว่างจัดทำ “แผนบริหารจัดการระดับเงินกองทุน”

    เรื่องนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า แบงก์ชาติกำลังกังวล กับผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้น
    แล้วเรื่องนี้เราควรรู้อะไร?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
    ╔═══════════╗
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    โมเดลธุรกิจของธนาคาร ปกติแล้วจะมีการ LEVERAGE คือมีทุนของเจ้าของเพียงส่วนหนึ่ง และมีการใช้เงินคนอื่นมาทำธุรกิจอีกส่วนหนึ่ง

    เงินคนอื่นในที่นี้ ก็คือ เงินฝากของคนทั่วไป

    ส่วนการทำธุรกิจหลักของธนาคาร ก็คือ การปล่อยกู้ต่อให้ภาคธุรกิจหรือบุคคลทั่วไป ในดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

    ยกตัวอย่าง งบไตรมาส 1 ปี 2020
    KBANK ส่วนของเจ้าของ 407,000 ล้านบาท มีเงินรับฝาก 2,202,000 ล้านบาท มีเงินให้สินเชื่อ 1,929,000 ล้านบาท

    SCB ส่วนของเจ้าของ 407,000 ล้านบาท มีเงินรับฝาก 2,276,000 ล้านบาท มีเงินให้สินเชื่อ 1,989,000 ล้านบาท

    ถ้าโลกนี้ดำเนินไปอย่างปกติ
    ธนาคารก็จะได้ดอกเบี้ยที่มากเกินค่าใช้จ่าย ไหลลงมาเป็นกำไรให้ธนาคาร
    ได้เงินต้นคืนจากผู้กู้ เมื่อครบกำหนดชำระ แล้วก็นำเงินนั้นไปปล่อยกู้ต่อ วนไปเรื่อยๆ

    ถึงแม้ว่าระหว่างนี้จะมีผู้กู้เบี้ยวหนี้บ้าง ไม่จ่ายดอกเบี้ยบ้าง
    ก็เป็นเรื่องปกติที่ธนาคารได้ตั้งสำรอง และคาดการณ์ไว้แล้ว

    แต่ประเด็นมันอยู่ที่ในวันที่เกิดเรื่องแย่ๆ แบบโควิด-19
    ทุกอย่างมันแย่พร้อมกันหมด
    ต่อให้สำรองเงินไว้มากเท่าไร
    มันก็ไม่แน่ใจเลยว่าจะเพียงพอหรือไม่

    ยกตัวอย่างถ้าให้กรณีที่รุนแรงที่สุด ถ้าเงินให้สินเชื่อของธนาคารเป็นหนี้เสีย 30% ด้วยหนี้เสียระดับนี้ถ้ามูลค่าหลักประกันมีน้อย ก็อาจเพียงพอแล้วที่จะทำให้ส่วนเงินกองทุนของธนาคารหายไปจนหมด

    และเมื่อเงินทุนธนาคารหายไปหมด มันก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบกับเงินรับฝากจากประชาชน

    ซึ่งตอนนี้มันไม่มีใครรู้ว่าตัวเลขหนี้เสียจะเป็นเท่าไร
    มันจะรุนแรงขนาดไหน

    “สถาบันการเงินเป็นธุรกิจที่ดี จนกว่าจะถึงวันเจ๊ง”
    คำพูดของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร อธิบายได้ดีถึงเรื่องนี้

    นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้แบงก์ชาติออกมาให้ ทุกธนาคารทบทวนแผนเงินกองทุนใหม่
    ให้ธนาคารตรวจสอบว่าลูกค้าที่ได้ขอกู้เงินไป เขาเป็นยังไง มีความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสียหรือไม่

    ลูกค้าที่เป็นร้านอาหาร เงินที่กู้ไปตกแต่งร้านอาหาร ยังมีคนเข้ามากินอยู่ไหม
    ลูกค้าที่เป็นโรงแรม เงินที่กู้ไปสร้างโรงแรม มีคนเข้ามาพักบ้างไหม
    ลูกค้าที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เงินที่กู้ไปสร้างคอนโดขาย มีลูกค้ามาซื้อคอนโดหรือไม่

    แต่ถ้าให้มองความจริง
    สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อธนาคารไปตรวจสอบผู้กู้
    มันก็รู้ๆกันอยู่ว่า ตอนนี้มันพังกันทั้งระบบ

    ผู้กู้เองก็จะตอบว่า “เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน” ต้องรอเรื่องนี้ให้จบก่อนถึงจะรู้ว่า เขาจะจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นไหวหรือไม่

    เมื่อธนาคารได้ทราบเรื่องแบบนี้ก็สองจิตสองใจ
    ธุรกิจรายไหนจะตีว่า มีโอกาสกลับมาได้เป็นปกติ ผ่อนผันให้ไปก่อน
    หรือ ธุรกิจรายไหนน่าจะแย่แน่ ไม่มีวันกลับมาได้แล้ว

    ประเด็นต่อไปก็คือ แล้วเมื่อไรมันจะจบ
    คำว่าจบมันก็ตีความได้ยากมาก ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ

    เช่น ถามคำถามเดียวว่า ธุรกิจสายการบิน เมื่อไรจะจบ?
    ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญปราดเปรื่องในเรื่องสายการบิน ก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร
    แล้วจะให้ธนาคารมาประเมิน ธนาคารก็ไม่รู้

    ดังนั้น
    ธนาคารไหนมีหลักการที่ Conservative มาก กำไรของธนาคารก็จะลดลงมาก อาจถึงขั้นขาดทุนหนัก

    ส่วนธนาคารไหนมีหลักการ Conservative น้อย ก็อาจมีตัวเลขสวย แต่ข้างในเสี่ยงกว่า

    บอกได้เลยว่า
    กำไรที่แสดงในงบการเงินของแต่ละธนาคารที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3 ปีนี้ จะเอามาเทียบกันตรงๆไม่ได้

    สิ่งที่เกิดขึ้นกับธนาคารตอนนี้จึงกลายเป็นดินแดนพิศวง ที่กำลังถูกคลื่นซัด
    และก็เป็นที่มาว่า ทำไมตลาดยอมให้มูลค่าของธนาคาร เหลือเพียง 0.5 เท่าของมูลค่าตามบัญชี
    เพราะนักลงทุนไม่รู้เลยว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น

    อย่าว่าแต่นักลงทุนเลย
    ธนาคาร ก็ไม่รู้ว่าเงินให้สินเชื่อเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร
    อย่าว่าแต่ธนาคาร
    ผู้ขอสินเชื่อเอง ก็ไม่รู้ว่ากิจการเขาจะเป็นอย่างไร

    เพราะเหตุการณ์นี้
    พวกเรา ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต เหมือนกันทั้งหมด
    และพวกเรา ก็น่าจะได้พบคำตอบ ไปพร้อมๆกัน เร็วๆนี้..
    ╔═══════════╗
    อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
    เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
    สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
    Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
    Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - ลงทุนแมน
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    Line - page.line.me/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประกาศสถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต
    ที่ ๑๕/๒๕๖๓
    เรื่อง มาตรการของทางการคูเวตสืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19
    -----------------------------------
    สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอเรียนว่า เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ คณะรัฐมนตรีคูเวตได้มีมติเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการของทางการคูเวตในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในคูเวต ดังนี้
    ๑. ตามแผนการมาตรการผ่อนปรนของทางการคูเวตเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตโดยปกตินั้น ขณะนี้ยังอยู่ในระยะที่ ๑ โดยกระทรวงสาธารณสุขคูเวตจะประเมินอัตราการติดเชื้อและผลการดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในสัปดาห์หน้าเพื่อพิจารณาไปสู่ระยะที่ ๒
    ๒. คณะรัฐมนตรีคูเวตมีมติให้ปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการห้ามไม่ให้ประชาชนออกนอกเคหสถาน/ที่พักอาศัย เป็นระหว่างเวลา ๑๙.๐๐ - ๐๕.๐๐ น. ตั้งแต่วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๓
    ๓. ยกเลิกมาตรการห้ามไม่ให้ประชาชนออกนอกเคหสถาน/ที่พักอาศัย ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ในเขต Hawalli, Al-Nugra, Maidan Hawalli และ Khaitan ตั้งแต่เวลา ๐๕.๐๐ น. ของวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๓ เป็นต้นไป
    ๔. โดยที่คูเวตยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น โดยล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ มีผู้ติดเชื้อจำนวน ๖๐๔ ราย และเสียชีวิต ๕ ราย ทำให้ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อไวรัสสะสมในคูเวต รวมทั้งสิ้น๓๘,๖๗๘ ราย สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอให้ชุมชนคนไทยในคูเวตมีมาตรการในการป้องกันตนเอง โดยปฏิบัติ ดังนี้
    ๔.๑ รักษาความสะอาดและสุขอนามัย โดยหมั่นล้างมือด้วยเจลหรือสบู่ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน และสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกจากเคหสถาน/ที่พักอาศัย ตลอดจนไปพบแพทย์ทันทีที่มีอาการป่วย
    ๔.๒ ปฏิบัติตามมาตรการการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล (Social Distancing)
    ๔.๓ ติดตามและปฏิบัติตามมาตรการที่ออกโดยทางการคูเวตอย่างเคร่งครัด

    ทั้งนี้ หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ทางหมายเลขฉุกเฉิน +๙๖๕ ๖๐๗๑ ๙๘๘๘ และ +๙๖๕ ๖๐๗๑ ๘๘๘๙ หรือติดต่อกระทรวงสาธารณสุขคูเวตได้ที่หมายเลขฉุกเฉิน ๑๕๑

    จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน

    สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต

    ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๓

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โพสต์เดียวครบ...อัพเดตความคืบหน้าก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ
    เส้นไหนจะได้ใช้ เส้นไหนพร้อมสร้าง ทั้งเฟส 1 และ เฟส 2
    .
    ถ้าช่วงนี้ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างทางรถไฟติด ๆ กัน หลายโพสต์ ก็อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ เพราะว่าช่วงนี้มันมีอัพเดตโครงการต่าง ๆ ออกมาต่อเนื่อง เพราะเป็นสิ่งที่มองเห็นความคืบหน้าได้เป็นรูปธรรมที่สุดโครงการหนึ่ง ซึ่งเหมือนว่าข่าวช่วงนี้มันดูลงล็อคพอดีเป๊ะเลยสำหรับเรื่องของรถไฟ ที่วันก่อนผมเขียนเรื่องการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงช่วง กรุงเทพฯ – นครราชสีมา ก็มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แล้ววันนี้ก็มีความคืบหน้าของบริษัทที่เป็นผู้รับเหมานำภาพการก่อสร้างตอม่อทางยกระดับของรถไฟเส้นนี้มาโพสต์บนเพจของบริษัท ซึ่งเป็นคนละบริษัทกับที่ผมเคยยกตัวอย่างในโพสต์ก่อนหน้านี้ ทำให้เห็นว่าการก่อสร้างกำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมจะนำภาพมาให้ดูในคอมเมนท์
    .
    อีกเรื่องก็คือวันนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. ได้ออกมาแจ้งความคืบหน้าการดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 (เฟส 2) ทั้งหมด 7 เส้นทาง รวมระยะทางทั้งสิ้น 1,483 กม.วงเงินก่อสร้างกว่า 2.67 แสนล้านว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการเร่งปรับปรุงแก้ไขรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ในทุกเส้นทาง ก่อนจะเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติภายในสิ้นเดือนนี้ และส่งต่อให้กับที่ประชุมคณะรัฐมนตรีลงมติพิจารณาไม่เกินช่วงเดือนกันยายน เรียกว่าข่าวรถไฟมาแบบรัว ๆ กันในช่วงนี้เลยทีเดียว
    .
    รถไฟทางคู่เฟส 2 ทั้ง 7 เส้นทางที่จะก่อสร้างนั้นตอนนี้ผ่าน EIA แล้ว 2 เส้นทางคือ
    ช่วงขอนแก่น - หนองคาย : ระยะทาง 167 กม. วงเงินก่อสร้าง 2.58 หมื่นล้านบาท
    ช่วงชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ : ระยะทาง 45 กม. วงเงินก่อสร้าง 7.86 พันล้านบาท
    .
    เส้นทางที่เหลือที่รอการผ่าน EIA ได้แก่
    ช่วงปากน้ำโพ - เด่นชัย : ระยะทาง 285 กม. วงเงินก่อสร้าง 5.93 หมื่นล้านบาท
    ช่วงชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี : ระยะทาง 308 กม. วงเงินก่อสร้าง 3.66 หมื่นล้านบาท
    ช่วงชุมพร - สุราษฎร์ธานี : ระยะทาง 168 กม. วงเงินก่อสร้าง 2.3 หมื่นล้านบาท
    ช่วงสุราษฎร์ธานี - ชุมทางหาดใหญ่ - สงขลา : ระยะทาง 321 กม. วงเงินก่อสร้าง 5.61 หมื่นล้านบาท
    ช่วงเด่นชัย - เชียงใหม่ : ระยะทาง 189 กม. วงเงินก่อสร้าง 5.79 หมื่นล้านบาท
    .
    เส้นทางรถไฟทางคู่อีก 2 เส้นทางใหม่ ที่หลายคนรอคอยมานานก็มีความคืบหน้าการดำเนินโครงการแล้ว คือ
    สายเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ : ระยะทาง 323 กม. วงเงินก่อสร้าง 7.29 หมื่นล้านบาท
    สายบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม : ระยะทาง 355 กม. วงเงินก่อสร้าง 5.46 หมื่นล้านบาท
    .
    ระยะทางรวม 678 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 1.27 แสนล้านบาท ขณะนี้ผ่านการอนุมัติโครงการจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ฝเรียบร้อยแล้ว โดย รฟท. อยู่ระหว่างจ้างที่ปรึกษาจัดการประกวดราคา และที่ปรึกษาการเวนคืนที่ดิน ซึ่งสายเด่นชัย – เชียงราย - เชียงของ ได้ที่ปรึกษาฯ เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างจัดทำร่างรายละเอียดการประกวดราคาหรือ TOR คาดว่าจะเปิดประมูลได้ประมาณเดือนตุลาคมนี้
    .
    สำหรับรถไฟทางคู่เฟส 1 ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและให้บริการไปแล้วมี 2 เส้นทาง คือ
    ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า – แก่งคอย
    ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น
    .
    ปี 2564 จะเปิดให้บริการสำหรับสายใต้
    ช่วงนครปฐม – ชุมพร
    .
    ปี 2565 จะเปิดให้บริการสำหรับสายเหนือ
    ช่วงลพบุรี - ปากน้ำโพ
    .
    นี่คือข้อมูลความคืบหน้าล่าสุดสำหรับโครงการก่อสร้างระบบรถไฟทางคู่ทั่วประเทศทั้งเฟส 1 และ เฟส 2 ที่สรุปมาให้ได้อัพเดตข้อมูลกัน ส่วนโพสต์หน้าจะพาไปทำความรู้จักกับรถไปแบบใหม่ที่จะนำมาให้บริการกับผู้โดยสาร ซึ่งถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่จะได้ใช้รถไฟใหม่ระบบนี้จำนวน 186 คัน และมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของรถไฟไทย ที่พลิกโฉมหน้าการเดินทางด้วยระบบรางของประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารและคนไทยมองภาพลักษณ์ของรถไฟไทยเปลี่ยนไป (สำหรับคนที่ตามข่าว และเปิดใจไม่ยึดติดกับภาพเก่าๆ) รออ่านกันตอนต่อไป เพราะถ้าเขียนยัดไปในนี้คือยาวเกินแน่ๆ

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รู้จัก Bi-Mode Train รถไฟลูกครึ่ง
    เชื่อมจุดเปลี่ยนผ่านจากรถไฟดีเซลราง - ไฟฟ้า
    .
    จากบทความในโพสต์ที่แล้วเรื่องความคืบหน้าโครงการก่อสร้างระบบรถไฟทางคู่ทั้งเฟส1 และเฟส 2 ซึ่งในช่วงท้ายบทความผมได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ประเทศไทยอาจได้มีการยกระดับการเปลี่ยนแปลงตัวขบวนรถไฟครั้งใหญ่จากโครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศสำหรับบริการเชิงพาณิชย์จำนวน 184 คัน โดยที่ประชุมคณะกรรมการการรถไฟได้แห่งประเทศไทย หรือบอร์ด รฟท. มีมติจัดซื้อขบวนรถไฟดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
    .
    มันมีคำศัพท์เรียกประเภทรถไฟชนิดใหม่ที่คนไทยไม่คุ้นหูเกิดขึ้น ก็คือ "รถไฟดีเซลรางไฟฟ้า" หรือ "Bi-Mode Multiple Unit" ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่า "รถไฟ Bi-Mode"
    .
    ปกติแล้วในประทศไทยมีรถไฟอยู่ 2 แบบใหญ่ๆ ที่แบ่งตามสิ่งที่ใช้ในการขับเคลื่อนมันก็คือ รถไฟดีเซลราง/ดีเซลไฟฟ้า และรถไฟฟ้า (รถไฟฟ้าในเมือง+รถไฟชานเมือง) แต่รถไฟ Bi-Mode คือการผสมผสานทั้ง 2 ระบบเข้าด้วยกัน ซึ่งนับว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่มีในประเทศไทย นั่นทำให้รถไฟ Bi-Mode นับเป็นระบบรถไฟที่จะเข้ามาอุดช่องว่างระหว่างรถไฟที่ใช้น้ำมันและรถไฟที่เป็นระบบไฟฟ้า
    .
    หลักการทำงานของมันผมขออธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ว่า ปกติแล้วรถไฟทางไกลที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะมีแนวสายส่งไฟฟ้าแบบระบบจ่ายไฟเหนือหัว ให้นึกถึงภาพรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิ้งค์ หรือ รถไฟความเร็วสูงชิงคันเซ็น ที่จะมีสายส่งกำลังไฟฟ้าติดตั้งไปตลอดแนวรางรถไฟ โดยตัวรถไฟจะมีการติดตั้งอุปกรณ์รับกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่า "Pantograph" หรือ "แหนบรับไฟ" ไว้บนหลังคาเพื่อรับกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ตัวรถไฟเป็นพลังงานในการขับเคลื่อน ซึ่งรถไฟ Bi-Mode ก็มีการติดตั้งแหนบรับไฟไว้บนหลังคาเช่นกัน เพื่อใช้รับกระแสไฟฟ้าในช่วงที่วิ่งอยู่บนรางรถไฟที่ติดตั้งระบบจ่ายไฟแบบเหนือหัว
    .
    แต่หากวิ่งพ้นระบบจ่ายไฟฟ้าแบบดังกล่าวไปแล้ว เหลือเพียงรางรถไฟเปล่าๆ เหมือนทางรถไฟทั่วแบบที่เราเห็นในประเทศไทย ระบบการขับเคลื่อนจะเปลี่ยนจากระบบไฟฟ้าจากสายส่งเหนือหัวมาเป็นระบบดีเซลไฟฟ้าเหมือนหัวรถจักรทั่วไปที่เรามีแทน
    .
    ข้อดีของรถไฟ Bi-Mode ก็คือ เป็นรถไฟที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูงเหมาะสำหรับประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงการรอยต่อเปลี่ยนผ่านจากรถไฟดีเซลรางไปสู่ระบบไฟฟ้า เนื่องจากการติดตั้งระบบไฟฟ้าสำหรับรถไฟทางไกลระยะทางหลายร้อยหลายพันกิโลเมตรใช้ระยะเวลาในการติดตั้งนานและมีต้นทุนค่าติดตั้งและดูแลรักษาที่สูง ซึ่งบางเส้นทางรถไฟที่เป็นสายรองหรือรถไฟท้องถิ่นที่ความถี่ในการใช้งานไม่มากก็อาจจะไม่คุ้มค่าต่อการติดตั้งระบบไฟฟ้า รถไฟ Bi-Mode จะช่วยวิ่งให้บริการเสริมในเส้นทางเหล่านี้ได้ ที่สำคัญยังมีรูปลักษณ์ที่ดูดี สวยงาม ไม่ต่างกับรถไฟฟ้าอีกด้วยเพราะมันเพิ่งผลิตในช่วงศตวรรษนี้
    .
    และด้วยการเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกผลิตขึ้นมาใช้งานครั้งแรกในปี 2005 ดังนั้นเรื่องของการก่อมลพิษทั้งทางอากาศและเสียงจึงต่ำมาก ทั้งยังประหยัดพลังและประหยัดเวลาในการเปลี่ยนไปสู่การเป็นรถไฟฟ้าในระหว่างกำลังทำการติดตั้งระบบด้วย
    .
    ปัจจุบันมีผู้ผลิตรถไฟ Bi-Mode เพื่อใช้งานจริงในหลายประเทศทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน รัสเซีย แคนนาดา และญี่ปุ่น ส่วนออสเตรเลียจะเริ่มใช้งานรถ Bi-Mode ในปี 2023 ซึ่งผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงได้แก่
    .
    Hitachi Class 800 ประเทศอังกฤษ ความเร็วเฉลี่ย 200 กม./ชม.
    Bombardier B 82500 ประเทศฝรั่งเศส ความเร็วเฉลี่ย 160 กม./ชม.
    Stadler Class 755 ประเทศอังกฤษ ความเร็วเฉลี่ย 160 กม./ชม.
    Bombardier Aventra / ประเทศอังกฤษ ความเร็วเฉลี่ย 200 กม./ชม.
    Alstom IC Class B 85000 แคนนาดา ความเร็วเฉลี่ย 160 กม./ชม.
    .
    สำหรับประเทศไทย ตอนนี้ขั้นตอนการจัดซื้อทั้ง 184 คันอยู่ระหว่างรอการเข้าสู่วาระการประชุมเพื่อผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายนและเปิดประมูลช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี พร้อมกับโครงการจัดซื้อรถดีเซลราง 216 คัน วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท พร้อมกับทยอยส่งมอบเป็นล็อตให้ครบทุกคันภายในปี 2566
    .
    นอกจากนี้ยังมีโครงการเช่าหัวรถจักรดีเซลพร้อมซ่อมบำรุงจำนวน 50 หัว วงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท โครงการจัดหารถโบกี้ปั้นจั่น 3 คัน วงเงิน813 ล้านบาท โครงการจัดหารถจักรสับเปลี่ยน 20 คันและ โครงการปรับปรุงระบบห้ามล้อลมดูด 197 คัน อย่างไรก็ตามแผนทั้งหมดนี้จะต้องได้รับมอบรถไฟภายในปี 2566-2567 เพื่อรองรับการเปิดใช้รถไฟทางคู่เฟส 1
    .
    ซึ่งหากผ่านมติความเห็นชอบของ ครม.แล้ว ไทยจะเป็นประเทศแรกของอาเซียนที่มีระบบรถไฟ Bi-Mode ใช้งาน และภายในปี 2565 ก็จะได้เห็นโฉมหน้าของรถไฟรุ่นใหม่ในประเทศไทย และรถไฟหน้าแหลมๆ ที่คนไทยอยากได้อยากมีก็จะมาวิ่งว่อนไปทั่วประเทศ

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สรุปการชี้แจงรื้อถอนอาคารเก่าแก่เมืองแพร่อายุ 127 ปี
    ชาวบ้าน – กรมศิลป์ จัดหนักรุมผู้ว่าฯ - จนท. แทบใบ้กิน
    .
    ประเด็นเรื่องการรื้ออาคารโบราณของ บริษัท บอมเบย์ เบอร์มา (Bombay Burma Trading Corporation) ของอังกฤษ บริษัทโบราณที่เคยเข้ามาทำสัมปทานไม้ในจังหวัดแพร่ อายุ 127 ปีจนเหลือแต่ซาก กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง เพราะเมื่อวานนี้มีการประชุมเพื่อชี้แจงถึงสาเหตุการรื้ออาคาร โดยมีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ผอ.สำนักพื้นที่อนุรักษ์ 13 จังหวัดแพร่ ตัวแทนบริษัทแพร่โกสินก่อสร้าง ผู้รับเหมารื้อถอนอาคาร เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร สื่อมวลชน รวมทั้งภาคประชาสังคมเมืองแพร่ และชาวบ้านอีกกว่า 200 คน ซึ่งบรรยากาศเรียกได้ว่า ชาวเมืองแพร่แทคมือกับกรมศิลป์ รุมเสียบเจ้าหน้าที่รัฐแทบทุกดอกจนร่างพรุน เพื่อหาว่าใครคือคนสั่งให้รื้ออาคารมรดกทางวัฒนธรรมล้ำค่าแห่งดินแดนล้านนานี้จนราบเป็นหน้ากลอง
    .
    จากข้อมูลที่ได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวท้องถิ่นที่เข้าไปติดตามการประชุมเมื่อวานนี้ บอกเลยว่าในห้องประชุมนั้นค่อนข้างดุเดือด เพราะชาวบ้านเองต่างก็สงสัยว่าการรื้อถอนครั้งนี้ไม่ชอบมาพากล แถมผู้รับเหมาและคนงานรื้อถอนบางคนก็เป็นคนในชุมชนที่คุ้นหน้าคุ้นตา ซึ่งจะอ้างไม่รู้ไม่ได้ว่าอาคารนี้มีคุณค่าและเก่าแก่เพียงใดต่อจังหวัดแพร่ และต่ออาณาจักรล้านนา ซึ่งก็โดนคนเฒ่าคนแก่ที่เข้าร่วมเมื่อวานต่อว่าด้วยความสุภาพแบบชาวเหนือ แต่แสบสันเหมือนโดนตบหน้าจนชา เพราะมันไม่มีทางที่จะพูดแก้ตัวใด ๆ ได้เลย
    .
    ดอกแรกจัดไปที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ก่อนเลย เพราะผู้ว่าฯ นั่งอยู่ข้างล่างเวทีเตรียมพูดชี้แจงถึงประเด็นการทุบอาคาร แต่ชาวบ้านตะโกนบอกให้ผู้ว่าฯ ขึ้นไปพูดบนเวที เพราะชาวบ้านไม่เห็นหน้าผู้ว่าฯ ซึ่งผู้ว่าฯ ก็ยอมโดยดีและพูดยอมรับว่าเป็นคนเซ็นอนุมัติโครงการจริง แต่ไม่ได้ให้รื้อ ให้ทำการปรับปรุงซ่อมแซม โบ้ยไปที่ผู้รับเหมาดันไปรื้ออาคาร และสัญญาว่าจะเร่งฟื้นฟูให้เหมือนเดิมขอให้ชาวแพร่สบายใจ แต่ชาวบ้านได้ยกมือทักท้วง แถมนำเอกสารการทำทีโออาร์ มาใช้สอบถามหลายข้อ เช่น ผู้ว่าฯ บอกว่าตัวเองไม่ได้ให้รื้อ แต่ในทีโออาร์นั้นมีอยู่ชัดเจนว่ามี "ค่ารื้อถอน" ไม่ว่าจะเป็นเสา 8 ต้น ผนัง คอนกรีต ก็คือเท่ากับรื้อทั้งหลัง พร้อมกับพูดย้อนกลับไปที่ผู้ว่าฯ ว่าไม่อ่านในทีโออาร์ก่อนจะเซ็นอนุมัติเหรอ? อีกทั้งในทีโออาร์ที่ทำก่อนการอนุมัติมีหลายข้อส่อทุจริต เช่น การใช้วัสดุใหม่ทั้งหมด มีราคาชัดเจน แต่การชี้แจงกลับบอกว่าจะใช้ของเก่าทั้งหมด ซึ่งพอชาวบ้านไล่ต้อนหนัก ๆ ก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่มีใครสามารถตอบข้อสงสัยของชาวบ้านได้
    .
    ชาวบ้านยังถามจี้ต้อไปยังฝ่ายรื้อถอนอาคาร ซึ่งก็คือ ผอ.สำนักพื้นที่อนุรักษ์13 จังหวัดแพร่ เจ้าของพื้นที่ที่อ้างว่าอาคารหลังนี้ไม่ใช่โบราณสถานและอยู่นอกเขตอนุรักษ์เมืองเก่าที่ได้ประกาศเอาไว้ จึงไม่ถูกระบุว่าจะต้องทำตามขั้นตอนการประชาพิจารณ์ความเห็นของพื้นที่ ทำให้ผู้รับเหมาโครงการดำเนินการรื้อถอนตามสัญญาว่าจ้าง จึงไม่เข้าเกณฑ์โบราณสถาณ แต่ภาคประชาชนสวนหมัดกลับเสยคางอีกรอบ โดยงัดกฎหมายคุ้มครองอาคารโบราณสถานมาตอกหน้าให้เห็นว่าอาคารหลังนี้เข้าองค์ประกอบของการเป็นโบราณสถานตามกฎหมายทุกประการณ์ แม้จะไม่ได้อยู่ในเขตอนุรักษ์เมืองเก่า แต่เมื่ออายุตั้งแต่ 100 ปีขึ้นไปถือว่าเป็นโบราณสถานที่จะต้องขออนุญาตทางกรมศิลปากร และถามความเห็นกับชุมชนก่อนจะกระทำการใดๆ เล่นเอาฝั่งเจ้าหน้าที่ใบ้กินไปอีกรอบ

    ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมศิลปกรก็ย้ำให้น้ำหนักว่า อาคารหลังนี้มันคือโบราณสถาน ดังนั้นทั้งผู้รับเหมา เจ้าหน้าที่ หรือวิศวกรจะมาอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ ครั้นพอถามอีกครั้งว่าใครเป็นคนสั่งให้ทุบ กลับกลายเป็นว่าต่างคนต่างโยนกันไปโยนกันมา พูดอ้อมแอ้มไม่เต็มปากสักคน ชาวบ้านก็เริ่มไม่พอใจเพราะไม่มีใครกล้าที่จะออกมารับผิดชอบ
    .
    ตัวแทนบริษัทแพร่โกสินก่อสร้าง ได้ขึ้นชี้แจงที่เหมือนกับไม่ชี้แจง เพราะพูดคลุมเครือ ชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมต่างทักท้วงและขอให้ตอบชัดเจน ว่าใครเป็นคนจ้างให้ทุบ ตัวแทนผู้รับเหมาจึงเอาเอกสารสัญญาจ้างมาอ่าน สัญญาทำวันที่ 29 พ.ค. 2563 โดยทำสัญญากับ ผอ.สำนักพื้นที่อนุรักษ์ 13 สัญญาจ้าง การรื้อและก่อสร้าง 180 วัน ในวงเงิน 4,560,000 บาท
    .
    ตัวแทนชาวบ้านคนหนึ่งลุกขึ้นถามจี้ไปยังผู้ว่าฯ ถึงการขออนุมัติการใช้เงินของกลุ่มจังหวัด โดยเฉพาะในเรื่องนี้ น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีข้อผิดสังเกตหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติโครงการ ผู้นำเสนอโครงการ โดยทางการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นคนลงนาม แต่ในข้อเท็จจริง โครงการนี้ออกมาก่อนที่ผู้บริหารการท่องเที่ยวและกีฬาจะมารับหน้าที่ แต่ทำไมถึงมีชื่อในโครงการ เรื่องนี้ต้องตอบให้ได้ อีกทั้งในการนำเสนองบประมาณต่อกรรมาธิการงบประมาณในรายละเอียดของการใช้งบประมาณในขณะนั้น ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และในทีโออาร์นั้นชัดเจน คือ แบบแปลนงานสถาปัตยกรรมมีงบซื้อหลังคา เชิงชาย เพดานปูพื้น ผนัง ประตู เสาคาน ราวบันได แสดงว่าตั้งใจรื้อ แล้วซื้อใหม่ทั้งหมดแล้วไม้เก่าจะเอาไปที่ไหน นั่นแสดงว่าไม้เก่าจะไม่ใช้เลย แต่พอมีเรื่องกลับมาบอกว่าจะใช้ของเก่าแบบนี้มันเข้าข่ายทุจริตหรือไม่ ซึ่งผู้ว่าฯ ก็ลุกขึ้นชี้แจง แต่ไม่มีการพูดถึงในรายละเอียดที่ชาวบ้านสอบถามแต่อย่างใด พูดเพียงว่าจะเร่งฟื้นฟูอาคารให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
    .
    ต่อมาวิศวกรนำภาพมาประกอบการชี้แจงว่าฐานรากคอนกรีตของอาคารเสื่อมสภาพ เสาก็ผุพังเพราะปลวกแทะ การจะซ่อมแซมได้ต้องทุบทิ้งแล้วทำฐานใหม่ เมื่อทำฐานเสร็จก็จะนำไม้ที่รื้อออกมาประกอบเป็นตัวอาคาร เมื่อประกอบเสร็จคาดว่าก็จะมีคนบอกว่าไม่เหมือนเดิมแต่ถ้าไม่ซ่อมแซมอาคารก็จะพัง เพราะผ่านมาเป็น 100 กว่าปีแล้ว ฝั่งของกรมศิลป์ไม่เห็นด้วยที่รื้ออาคาร เพราะส่วนที่เป็นไม้ผุพังนั้นมันเกิดจากการที่กรมป่าไม้มีการดัดแปลงอาคารหลังนี้เป็นสำนักงานป่าไม้เขตแพร่ ไม่ใช่ไม้ดั้งเดิมตั้งแต่ต้น และเมื่อถูกถามว่าได้มีการศึกษาโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมก่อนที่จะมีการรื้อถอนหรือไม่ ผอ.พื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 ก็ตอบไม่ตรงคำถาม พยายามพูดอ้อมไปอ้อมมา เพื่อให้ดูเหมือนว่าได้ทำแล้ว แต่เมื่อถูกถามว่าถ้าทำแล้วขอดูรายงานฉบับนั้นหน่อย สุดท้ายจนมุมยอมรับสารภาพออกมาว่า "ไม่ได้ทำ"
    .
    มีชาวบ้านถามจี้ไปยัง ผอ.พื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 อีกครั้งเรื่องความรู้ความสามารถของบริษัทผู้รับเหมานี้ ว่ามีความเชี่ยวชาญเพียงพอที่จะมารับงานนี้หรือไม่? ผอ.พื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 ก็ตอบว่าบริษัทรับเหมานี้มีความรู้สามารถเพียงพอ ทีนี้ก็จี้ถามไปที่วิศวกรของบริษัทรับเหมาถึงการทำรหัสไม้ที่ใช้ในการถอดและประกอบบ้านไม้แบบโบราณ ซึ่งเป็นหลักการซ่อมแซมโบราณสถานของช่างฝีมือไทย วิศวกรได้ทำรหัสกำกับไม้นี้หรือไม่? ปรากฏว่าวิศวกรพยายามพูดเฉไฉออกนอกประเด็นคำถาม จนชาวบ้านที่น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องงานก่อสร้างต้องคาดคั้นถามที่คำถามเดิม โดยให้ตอบมาแค่ว่า "ได้ทำ" หรือ "ไม่ได้ทำ" สรุปก็คือ "ไม่ได้ทำ" ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมศิลป์รอบนี้ได้ตำหนิตรง ๆ เลยว่า ทำไมถึงไม่มีการทำตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น จนเกิดความเสียหายต่ออาคารโบราณแห่งนี้ แถมการยื่นหนังสือไปที่กรมศิลป์ก็ทำไม่ถูกต้อง และยังให้ช่างที่ไม่มีความชำนาญมารับเหมางานแบบนี้อีก
    .
    ✴️ อย่างไรก็ตามก็จะต้องมีการสร้างอาคารหลังนี้กลับขึ้นมาใหม่ให้ได้ แต่มันเป็นงานที่ยากมากเพราะว่า ไม่ได้มีการรื้อถอนตามรูปแบบการบูรณอาคารโบราณอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาในการหาข้อมูลจากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่รวบรวมมาเป็นแบบในการก่อสร้างที่ถูกต้องใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด ซึ่งทางกรมศิลป์จะนำเจ้าหน้าที่ของทางกรมที่มีความเชี่ยวชาญงานช่างมาช่วยงานและจะเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด ส่วนรองอธิบดีกรมอุทยานฯ ที่แทบจะนั่งเป็นใบ้ตลอดการประชุมก็รับปากว่าจะหางบประมาณมาก่อสร้างอาคารหลังนี้ขึ้นมาใหม่ โดยตามกำหนดแล้วจะสร้างปรับปรุงอาคารเสร็จภายใน 180 วัน และเคสนี้จะเป็นอีกบทเรียนของเจ้าของพื้นที่ที่มีอาคารโบราณเหล่านี้ หากจะทำการรื้อถอน หรือบูรณะก็จะต้องทำให้ถูกต้องตามขั้นตอน อย่ามาบิดพลิ้วหรืออ้างไม่รู้ เพราะยุคนี้สังคมโซเชียลมันเร็วไม่ใครปกปิดความผิดพลาดได้ ประชาชนจับตาอยู่ตลอดเวลา อย่าคิดว่าทำอะไรจะไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น
    .
    ถ้าเป็นในต่างประเทศที่มีอาคารประวัติศาสตร์แบบนี้อายุขนาดนี้ การดูแลรักษาแทบจะเรียกว่า "ประคบประหงม" กันเลยทีเดียว เพราะมันคืออาคารที่ทรงคุณค่า และสังเกตดูว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วจะดูแลรักษาอาคารโบราณไว้เป็นอย่างดี บางอาคารยังใช้งานได้มาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีการรื้อหรือทุบทิ้งเพื่อสร้างอาคารคอนกรีตดาดๆ หรือถ้าจะสร้างก็จะสร้างในพื้นที่ถัดออกไป แต่รักษาอาคารดั้งเดิมไว้ ซึ่งเรื่องการรักษาอาคารเก่า ๆ ในเมืองไทยที่ไม่ใช่วัด วัง หรือโบราณสถานสำคัญ ยังคงถูกละเลยความสำคัญ เห็นได้จากภาพถ่ายเก่าๆ ที่สะท้อนให้เห็นอาคารโบราณดังเดิมที่เป็นเอกลักษณ์สวยงาม แต่ปัจจุบันได้ถูกรื้อทิ้งกลายเป็นตึกแถวกล่องๆ เหลี่ยมๆ ที่ไม่มีคุณค่าทางศิลปะวัฒนธรรมใด ๆ ในขณะที่ประเทศซึ่งมีวัฒนธรรมเก่าแก่ใกล้เคียงกับประเทศไทย ยังรักษาตึกงามๆ เหล่านี้เอาไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาคารไม้หรืออาคารคอนกรีตก็ตาม

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'ดีอีเอส' ให้ 'ทีโอที' เดินหน้าเอาสายสื่อสารลงดิน 48.7 กม. ภายใน 3 เดือน

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ระบุเมื่อกลางเดือน มิ.ย. 2563 ถึงผลหารือ เรื่องการนำสายสื่อสารลงใต้ดินพื้นที่กรุงเทพ ได้ข้อสรุปให้ทีโอที ดำเนินการในพื้นที่ที่ทีโอที พร้อมให้บริการได้ทันที คือ 12 เส้นทาง จำนวน 48.7 กิโลเมตร ตามที่ทีโอทีเสนอว่าพร้อมดำเนินการได้ภายใน 3 เดือน โดยไม่ต้องทำจุดเชื่อมต่อจากท่อใต้ดินสู่ริมฟุตบาทเพื่อเข้าไปยังบ้านเรือนประชาชน

    https://www.tcijthai.com/news/2020/6/current/10521

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชาวต่างชาติจะเข้าเขมรต้องจ่าย ค่ามัดจำโควิด 93,000 บาท
    หากป่วย – ตาย ต้องจ่ายเพิ่มอีก 180,000 บาท
    .
    แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครอยากจะขึ้นเครื่องบินเดินทางข้ามประเทศไปไหนมาไหนกันอย่างแน่นอน เพราะหลายประเทศก็ยังไม่พร้อมเปิดรับนักเดินทางที่จะให้คนต่างถิ่นเข้าประเทศตัวเอง แต่หากจะต้องเดินทางจริง ๆ อย่างน้อยก็ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการคัดกรองเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ใครก็ตามนำไวรัสมาปล่อยระบาดในดินแดนของตัวเอง
    .
    แต่ถ้าใครจะต้องเดินทางเข้าประเทศกัมพูชาช่วงนี้อาจจะต้องเตรียมใจไว้เลยว่า คุณอาจจะต้องโดนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่งอกออกมานับแสนบาท สำหรับการเข้าประเทศนี้ เพราะล่าสุดสำนักงานการต่างประเทศของกัมพูชาแจ้งว่า ชาวต่างชาติที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรจะถูกเรียกเก็บเงินราว 2,400 – 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (74,400 – 93,000 บาท) ทันทีที่เหยียบสนามบิน เพื่อเป็นค่ามัดจำการบริการด้านโรคโควิด – 19 โดยไม่มีข้อยกเว้น
    .
    ไม่เพียงเท่านั้นหากเกิดมาติดเชื้อในกัมพูชาจนต้องล้มป่วยก็จะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด ซึ่งจะจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้ ที่สำคัญจะต้องทำประกันการเดินทางที่มีวงเงินคุ้มครองมูลค่าไม่น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ (1,550,750 บาท)
    .
    ถ้าจำแนกค่าใช้จ่ายเมื่อมาถึงกัมพูชาแล้วก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายดังนี้
    ค่าธรรมเนียมการขนส่งทไปยังศูนย์คัดกรองเชื้อ 5 ดอลลาร์ (155 บาท)
    ค่าใช้จ่ายในการทดสอบหาเชื้อ 100 ดอลลาร์ (3,100 บาท)
    ค่าโรงแรมเพื่อรอผลตรวจ 30 ดอลลาร์/คืน (930 บาท) และอีก 30 ดอลลาร์/วัน (930 บาท) สำหรับค่าอาหาร 3 มื้อ
    .
    หากพบว่ามีผู้ติดเชื้อ ทุกคนบนเครื่องบินลำนั้นจะต้องถูกแยกกักกันโรคทั้งหมดเป็นเวลา 14 วัน และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมดังนี้
    ค่าพี่พักที่รัฐบาลกำหนด 1,176 ดอลลาร์ (36,473 บาท) รวมค่าอาหาร 15 ดอลลาร์ (465 บาท) ค่าซักรีดวันละ 5 ดอลลาร์ (155 บาท) ค่าใช้จ่ายด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย 3 ดอลลาร์ (93 บาท)
    ค่าตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 100 ดอลลาร์ (3,100 บาท) [หากผลเป็นบวกต้องตรวจอีก 4 ครั้ง ครั้งละ 100 ดอลลาร์]
    ค่ารักษาในโรงพยาบาล 3,150 ดอลลาร์ (97,697 บาท)
    ค่าใบรับรองสุขภาพเมื่อรักษาหายและประสงค์ออกนอกประเทศ 30 ดอลลาร์ (930 บาท)
    หากเสียชีวิตมีค่าฌาปนกิจ 1,500 ดอลลาร์ (46,522 บาท)
    .
    รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 237,000 บาท (ในกรณีที่รักษาตัวนานค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก)
    .
    ค่าทำเนียมนี้ปฏิบัติบังคับใช้กับนักเดินทางชาวต่างชาติทุกคนที่เข้าประเทศกัมพูชา ยกเว้นผู้ที่เดินทางเพื่อการเจรจาต่อรองทางธุรกิจกับรัฐบาล
    .
    ส่วนประเทศไทยนั้นหากเป็นคนไทยก็รักษาฟรีตามสิทธิ์ ส่วนชาวต่างชาติก็ใช้สิทธิ์การรักษาตามวงเงินประกันเอกชนที่มี และไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม เห็นแบบนี้แล้วประเทศไทยดูเป็นพ่อพระ – แม่พระเลย ซึ่งล่าสุด ณ วันนี้ 20 มิถุนายน 2563 มีผู้ป่วยที่ยังคงรักษาในโรงพยาบาลเพียงแค่ 71 รายเพียงเท่านั้น จากจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 3,147 ราย และรักษาหายไปแล้ว 3,018 ราย
    .
    แหล่งอ้างอิง
    https://www.bangkokpost.com/world/1937796/visitors-to-cambodia-must-pay-3-000-deposit

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถาบัน IMD ของสวิตเซอร์แลนด์เผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
    ปรากฏว่า สิงคโปร์คว้าอันดับที่ 1 ฮ่องกงร่วงลงมาจากอันดับที่ 2 เมื่อปีที่แล้ว กลายเป็นอันดับที่ 5 ในปีนี้ สหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับที่ 10 ลดอันดับลงติดต่อกันเป็นปีที่ 2 สำหรับไต้หวันอยู่ในอันดับที่ 11 ขยับขึ้นจากปีที่แล้ว 5 อันดับ และเป็นอันดับที่ 3 ในเอเชีย นำหน้าเกาหลีและญี่ปุ่น

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินโดนีเซียเล็งใช้ Travel Bubble เดือนหน้า เริ่มต้น 4 ประเทศ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

    นาย Odo Manuhutu รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ เผยว่า กระทรวงต่างประเทศเตรียมร่างเงื่อนไขสำหรับโครงการ Travel Bubble กับ 4 ประเทศคือ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย แม้ว่าในบางประเทศจะยังไม่มีสัญญาณว่า COVID-19 จะระบาดน้อยลง โดยโครงการดังกล่าวเป็นการทำความตกลงระหว่าง 2 ประเทศหรือมีจำนวนประเทศที่มากกว่านั้นที่สามารถควบคุมจัดการ COVID-19 ได้ ในการเปิดพรมแดนให้ประเทศใดประเทศหนึ่งเข้าไปและค่อยๆ ฟื้นคืนภาวะการเดินทางแบบปกติคืนมา

    https://www.tcijthai.com/news/2020/6/asean/10548

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    5G กวนจานดำ กสทช. แนะตัดสินใจให้ดีก่อนเปลี่ยนหัวรับสัญญาณดาวเทียม

    กสทช. ระบุว่าในช่วงนี้มีการร้องเรียนเรื่องการตั้งเสาสัญญาณ 5G รบกวนจานดำ จนทำให้ดูโทรทัศน์ดาวเทียมตามปกติไม่ได้ ล่าสุดมีผู้ที่พักอาศัยแถวสุขุมวิทร้องเรียนมาที่ กสทช. โดยแจ้งว่าช่างติดตั้งจานดาวเทียมได้ไปดูแล้วยืนยันว่าเป็นการรบกวนจากเสาสัญญาณ 5G ที่เพิ่งติดตั้งใหม่ในบริเวณนั้น และช่างยังบอกด้วยว่าพบปัญหานี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    https://www.tcijthai.com/news/2020/6/current/10514

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เผยผลสำรวจ สพฐ. พบเด็กเข้าใจเนื้อหาผ่านทีวีดิจิทัลเพียง 65% มีความสุข 56%

    สพฐ.เผยผลการประเมินการเรียนออนไลน์ระหว่างวันที่ 18 -28 พ.ค. 2563 เก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ นักเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ปกครองนักเรียน รวม 17,916 คน พบเด็กเข้าใจเนื้อหาผ่านทีวีดิจิทัลเพียง 65% และมีความสุข 56%

    https://www.tcijthai.com/news/2020/6/current/10515

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบกแดด: เรากำลังพึ่งสหประชาชาติเพื่อตอบโต้การโจมตีของตุรกี

    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิรักย้ำว่า ตุรกีกำลังใช้ข้ออ้างในการปกป้องความมั่นคงของชาติเป็นข้ออ้างสำหรับการปฏิบัติการในภาคเหนือของอิรัก

    Ahmed al-Sahf โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิรักกล่าวกับสำนักข่าว Al-Mayadin ว่า:เราได้ประท้วงต่อเอกอัครราชทูตตุรกีเพื่อต่อต้านการปฏิบัติการทางตอนเหนือของอิรักและแจ้งให้เขาทราบว่าเราจะพึ่งสหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศเพื่อตอบสนองต่อการปฏิบัติการเหล่านี้

    เขากล่าวว่า การทูตอิรักจะอาศัยกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้นในการร่วมมือกับตุรกี ตุรกีใช้การป้องกันความมั่นคงแห่งชาติเป็นข้ออ้างในการดำเนินงานในภาคเหนือของประเทศ

    เขาได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเคารพอธิปไตยของอิรักและการประสานงานกับรัฐบาลอิรัก

    กระทรวงการต่างประเทศอิรักได้เรียกเอกอัครราชทูตตุรกีประจำกรุงแบกแดดเข้าพบ เมื่อวันพฤหัสบดีและประกาศการประท้วงต่อต้านการดำเนินงานของตุรกีในทางตอนเหนือของอิรัก

    ข่าวโลกที่3

    http://www.isna.ir/news/99033119095/بغداد-برای-پاسخ-به-حملات-ترکیه-به-سازمان-ملل-رجوع-می-کنیم

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ด่วน.... กองกำลัง ฮัชดฺ ชะอ์บี ถล่ม “แหล่งกบดานของไอซิส” หลายแห่งในเมือง ซามัรรอ อิรัก

    เว็บไซต์ข่าวของ Al-Hashd al-Shabi รายงานว่า กองกำลังของ Al-Hashd al-Shabi ได้ปฏิบัติการทำลายที่หลบซ่อนของ ISIS หลายแห่งในเมืองซามัรรอ อิรัก

    เว็บไซต์ข่าวของ Al-Hashd al-Shabi รายงาน วันนี้ ว่า กองกำลังของ Al-Hashd al-Shabi ได้จัดการทำลายที่หลบซ่อนของ ISIS หลายแห่งในภาคเหนือของ อิรัก

    รายงานเผยว่า กลุ่มปฏิบัติการซามัรรอร่วมมือกับตำรวจสหพันธรัฐ ได้ทำลายที่หลบซ่อนของ ISIS หลายแห่งเมื่อคืนนี้ ด้วยปืนครกในเขตพื้นที่ Al-Hawijat, Al-Buknaan และ Umm Al-Fahm ทางตะวันตกของเมืองซามัรรอ

    การปฏิบัติการตรงตามข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งตามที่กองพันของกลุ่ม Al-Hashd al-Shabi ที่314 ระบุว่าองค์ประกอบบางอย่างของ ISIS กำลังใช้ที่ซ่อนตัวเพื่อทำการโจมตีก่อการร้ายต่อกองกำลังความมั่นคง

    เว็บไซต์ดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ผลของการปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้สมาชิกของไอซิสได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก

    ข่าวโลกที่3

    https://www.farsnews.ir/news/13990331000504/الحشد-الشعبی-چند-مخفیگاه-داعش-را-در-سامراء-منهدم-کرد

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หัวหน้าหน่วยความมั่นคงที่อันตรายที่สุดของ ISIL ถูกฆ่าตายในซีเรีย

    อัลมายาดินรายงานว่า หัวหน้าด้านความมั่นคงที่อันตรายที่สุดของกลุ่มก่อการร้าย ISIS ในซีเรียถูกสังหารแล้ววันนี้

    รายงานเปิดเผยว่า แกนนำ ISIL ถูกสังหารในเมืองอาเลปโปทางตะวันออกของซีเรียวันนี้

    Al-Mayadin กล่าวว่า "Faiz al-Akal ซึ่งเป็นสมาชิกด้านความมั่นคงที่อันตรายที่สุดในกลุ่มผู้ก่อการร้าย ISIS ตกเป็นเป้าหมายและถูกสังหารโดยโดรนของกองทัพซีเรีย ในเมืองทางตะวันออกของ Aleppo ในวันนี้"

    ข่าวโลกที่3

    https://www.farsnews.ir/news/13990331000984/المیادین-خطرناک‌ترین-سرکرده-امنیتی-داعش-در-سوریه-کشته-شد

     

แชร์หน้านี้

Loading...