ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไม่นานมานี้สื่อต่างชาติชื่อดังอย่าง National Geographic ได้เผยแพร่บทความจากการบอกเล่าของช่างภาพชาวไทย Sirachai Arunrugstichai ผ่าน RACHEL HARTIGAN ผู้สื่อข่าวของ NG เกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ในประเทศไทย
    .
    ซึ่งเมื่อบทความนี้เผยแพร่ออกไป ได้มีทัศนะของชาวต่างชาติ เกี่ยวกับมุมมองเรื่องการรับมือการระบาดในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ชื่นชมความร่วมแรงร่วมใจ และความสามัคคีของประชาชนคนไทย ที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ปัญหา ตามมาตรการป้องกันอย่างจริงจัง โดยบทความดังกล่าวมีเนื้อหาดังนี้

    ....

    ช่างภาพชาวไทยบอกกับ RACHEL HARTIGAN ว่า ตั้งแต่ช่วงแรกของการระบาด เมื่อมีข่าวการระบาดเกิดขึ้นในเดือนมกราคมความไม่สบายใจก็แพร่กระจายไปในหมู่ประชาชน มีคนเพียงไม่กี่คนที่มั่นใจว่ารัฐบาลจะเราสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังเป็นนักธุรกิจที่ไม่มีพื้นฐานด้านสาธารณสุข จนคนไทยหลายคนคิดว่าคงจะต้องดูแลตัวเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
    .
    แต่ที่เหนือความคาดหมายคือรัฐบาลไทยมีประสิทธิภาพในการรับมือ และตัดสินใจเหมาะสมที่จะใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์มาเป็นแกนนำหลักเพราะคนไทยให้ความเคารพบุคคลากรทางแพทย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเนื่องจากไทยไม่สามารถใช้วิธีตรวจสอบในวงกว้างได้ จึงใช้วิธีการตามรอยผู้ติดเชื้อแทน
    .
    ผู้เขียนเล่าว่า ตอนแรกเขาสงสัยอย่างมากถึงจำนวนผู้ป่วยที่ต่ำ เพราะสะท้อนให้เห็นว่ามีการตรวจเชื้อที่ไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามเนื่องจากไม่ได้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รายงานทางการจึงดูเหมือนจะถูกต้องแล้ว
    .
    ที่สำคัญคือความร่วมมือของประชาชน ผู้เขียนชี้ว่าความร่วมมือของประชาชนทั่วไปมีบทบาทสำคัญในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค และจากการวิจัยหนึ่งพบว่า 95% ของคนไทยสวมหน้ากากในที่สาธารณะในช่วงการระบาดใหญ่ ซึ่งเป็นอัตราสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสาธารณชนเข้มงวดกันเองเรื่องการสวมหน้ากากาอนามัย
    .
    บทความนี้ยังกล่าวถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นจากการระบาด ซึ่งยังต้องรอรับมือกันต่อไป
    .
    แม้ว่าบทความนี้จะเล่าโดยคนไทย แต่หลังจากที่บทความนี้ถูกเผยแพร่ในเฟซบุ๊กของ National Geographic มีชาวต่างชาติแสดงความเห็นในทำนองชื่นชมประเทศไทยหลายคน เช่น

    ...

    Brian Ramer
    "ทั้งครอบครัวของคู่หมั้นผมอาศัยอยู่ที่นั่นและเป็นจริง 100% พวกเขาทำได้ดีมาก"
    .
    Keith Hawkes บอกว่า "ผมเป็นชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 14 ปี เราล็อคดาวน์เต็มที่ เคอร์ฟิวที่ถูกบังคับใช้และการสวมหน้ากากเป็นสิ่งที่ต้องทำเวลาเข้าไปร้านค้า/อาคารสาธารณะ เป็นวันที่ 28 แล้วและไม่มีกรณีติดเชื้อใหม่ภายในประเทศ! มีเพียงกรณีที่คนไทยที่กลับจากต่างประเทศเท่านั้น ทำดีมากประเทศไทย!"
    .
    Adam Chamberlain
    "ผมรักประเทศไทย ยินดีด้วยที่ควบคุมมันได้"
    .
    Maximiliano Couvillier Parra
    "ความมีวินัย และแสดงให้เราเห็นว่า ต้องสวมหน้ากาก"
    .
    Alegna
    "เยี่ยมมากประชาชนคนไทย ถ้าเพียงแต่เรามีความร่วมมือและการจัดการที่เหมาะสมโดยรัฐบาลของเรา .. เราจะไม่มีกรณีติดเชื้อถึง 30,000 ราย! พวกเราสิ้นหวัง .."
    .
    Thulitha Abayawardana
    "ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ คนเอเชียมักจะสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว และเข้าใจถึงความสำคัญของการเสียสละ พวกเขาไม่ได้ทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในความเสี่ยง เพราะเห็นแก่ตัวอยากทำเรื่องจุกจิกเช่นแค่อยากจะตัดผม"
    .
    Julie Lavigne
    "นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณมีความคิดแบบ "พวกเรา" ไม่ใช่ความคิดแค่ "ตัวฉัน"
    .
    Valerie Johnson ชมคนไทยแต่เหมือนกับจะกระทบไปถึงประชาชนบางประเทศว่า "ฟังดูเหมือนคนฉลาดที่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจ คุณต้องทำแบบนี้"
    .
    Chad Griffiths บอกคล้ายๆ กันว่า
    "ความร่วมมือกัน: คือแนวคิดที่เกินสติปัญญาที่จำกัดของคนอเมริกันส่วนใหญ่"

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://www.nationalgeographic.com/..._0R3DA_sEzXl_K7Kq7evmCJuHQnZKNgY6snc-b7enhVjk



    https://www.posttoday.com/world/626605
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion
    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
    Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDeS2riffyohV9FW2QEWjHQ

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศบค.ปรับแผนดูแลผู้กักตัว 14 วัน หากมีประวัติป่วยต้องเข้า รพ. จะให้อยู่ Hospitel แทนโรงแรม

    เผยหนุ่มหาดใหญ่อ้างป่วยโควิด มีอาการทางจิต ขาดการรักษา ล่าสุดผลตรวจเป็นลบ เข้ารับการรักษา รพ.หาดใหญ่แล้ว

    เร่งประสานพม่า-องค์การอนามัยโลกสอบสวนโรค เคสแรงงานพม่า 23 รายติดโควิดหลังกลับจากไทย

    #Qol #MGROnline #COVID19 #โควิด19

    https://mgronline.com/qol/detail/9630000064143

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศธ.เผยโรงเรียน 3.1 หมื่นโรง จัดห้องเรียนเว้นระยะห่าง 1.5 เมตรได้ เด็กสามารถมาเรียนตามปกติทุกคนทุกวัน

    ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่ 4.5 พันโรง ยังต้องสลับกันมาเรียน เผยมีทั้งสลับเช้าบ่าย สลับอาทิตย์ สลับวันคู่คี่ โดยคนอยู่บ้านให้เรียนผ่านออนแอร์และออนไลน์แทน

    ระบุโรงเรียนผ่านประเมินมาตรการคุมโรคแล้ว 90% พร้อมเปิดเทอมแน่นอน 1 ก.ค.

    ชี้ ม.6 ต้องสอบแน่ ส่วนชั้นอื่นรอหารือก่อนประกาศใน 1-2 สัปดาห์

    ส่วน ร.ร.ชายขอบยังห้ามคนข้ามแดนมาเรียน แต่จะส่งใบงานผ่าน ตม.

    #Qol #MGROnline #โควิด19 #COVID19 #เปิดเทอม

    https://mgronline.com/qol/detail/9630000064213

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สพฐ.ส่งเขตพื้นที่ดูแล ร.ร.กินนอน หลังพบ 49 เขตพื้นที่ ยังเจอปัญหาที่พักนอนแออัด แนะปรับห้องเรียน ห้องประชุมเป็นที่นอนเพิ่ม แต่ต้องมีมาตรการคุมโรค ย้ำ ร.ร.เจอ นร.ต้องสงสัยโควิด ห้ามนำเข้าห้องพยาบาล ให้แจ้งสาธารณสุขทันที

    #Qol #MGROnline #เปิดเทอม

    https://mgronline.com/qol/detail/9630000064314

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักวิชาการอิสระมอบรายชื่อ 186 รพ.รับเงินบริษัทยา 5% ให้ คกก.ตรวจสอบข้อเท็จจริง ย้ำเป็นแค่การสำรวจ ไม่ได้ฟันว่าทำผิด

    เผย รพ.และบริษัทยายังสับสนเรื่องการบริจาคและผลประโยชน์ต่างตอบแทน ต้องทำความเข้าใจให้ชัด เงินส่วนลดต้องเข้าตะกร้าเงินหลวง ห้ามจัดซื้อแบบมีเงื่อนไขไม่ว่าบริษัทยาจะชนะประมูลหรือไม่

    ด้าน ปธ.กรรมการฯ ยันยังไม่ผิด เตรียมประชุมเพิ่ม 26 มิ.ย. เชิญกลุ่ม รพศ./รพท. และ รพช.ให้ข้อมูล

    #Qol #MGROnline #เงินบริจาค

    https://mgronline.com/qol/detail/9630000064346

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรมควบคุมโรค แจง #แรงงานพม่า 23 รายตรวจเจอ #โควิด19 หลังออกไทย

    พบ 19 ราย เคยอยู่ศูนย์กักต่างด้าว แต่รักษาหายแล้ว คาดพม่าตรวจเจอสารพันธุกรรม อาจเป็นแค่ซากเชื้อ เตรียมประสานข้อมูลเพิ่ม ตรงนี้ไม่น่ากังวล

    ส่วนอีก 4 รายที่เหลือต้องสอบสวนเส้นทาง ชี้อาจติดเชื้อได้ทั้งจากฝั่งไทยและพม่า เหตุข้ามกลับไป 8 มิ.ย. ตรวจเชื้อ 17 มิ.ย. เจอ 19 มิ.ย.

    ย้ำหากไทยการ์ดไม่ตก สวมหน้ากากตลอด โอกาสเกิดซูเปอร์สเปรดเดอร์น้อย

    #Qol #MGROnline #COVID19

    https://mgronline.com/qol/detail/9630000064353

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ป่าไม้เขตร้อนทั่วโลกกำลังวิกฤติ เครื่องมือต่อต้าน Climate Change กำลังถูกทำลาย
    อัตราการสูญเสียป่าไม้มีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ และกำลังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก
    การสูญเสียป่าไม้กำลังเป็นเหตุการณ์ที่คุกคามไปทั่วโลก และยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบริษัทองค์กร และประเทศต่าง ๆ จะให้คำมั่นว่าจะอนุรักษ์ป่าเขตร้อนแล้วก็ตาม แต่ป่าของโลกก็ยังคงหายไปในอัตราที่น่าตกใจ การคุกคามทรัพยากรธรรมชาตินี้นักวิทยาศาสตร์มองว่าเป็นการเข้าสู่วิกฤติการณ์ของการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปแล้ว เพราะป่าถูกทำลายไปจำนวนมาก
    ป่าไม้บนโลกมีการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณหนึ่งในสี่ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมของมนุษย์ในแต่ละปี และการทำลายป่าไม้ทั้งหมดของโลกจะมีการปลดปล่อยคาร์บอนที่กักเก็บไว้ออกมาในปริมาณที่เทียบเท่ากับการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ผลิตได้ทั้งหมดของโลก
    Frances Seymour นักวิจัยอาวุโสของสถาบันทรัพยากรโลก (WRI) กล่าวว่า "การสูญเสียป่าเขตร้อนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีความพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพของสภาพภูมิอากาศโลก" และ "ทุก ๆ เฮคเตอร์ของป่าไม้ที่หายไปนั้น หมายถึงว่าเรากำลังเข้าใกล้สถานการณ์ที่เลวร้ายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากโลกมีป่าไม้ไม่เพียงพอในการดูซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้น"
    รายงานการสูญเสียป่าไม้ของมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ซึ่งเผยแพร่โดย Global Forest Watch ของ WRI ซึ่งทำการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วโลกโดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและประเมินผลโดยคอมพิวเตอร์ พบว่าตัวเลขการสูญเสียพื้นที่ป่าทั่วโลกในปี 2018 นั้นน้อยกว่าปี 2016 และ 2017 เนื่องจากปีเหล่านั้นมีการสูญเสียป่าไม้สูงเนื่องจากมีไฟป่าเป็นจำนวนมาก ซึ่งแนวโน้มการสูญเสียป่าโดยรวมของโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 2000
    นักวิจัยยังระบุด้วยว่าระบบนิเวศป่าเขตร้อนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งป่าเก่าแก่และสมบูรณ์มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนที่มากกว่าป่าอายุน้อย และเป็นตัวช่วยลดความร้อนที่สำคัญของโลก ซึ่งป่าเหล่านี้ได้ลดลงเกือบ 9 ล้านเอเคอร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใหญ่กว่าประเทศเบลเยียมเสียอีก “นั่นคือป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์และเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ และมีการกักเก็บคาร์บอนมากที่สุด ดังนั้นจึงเป็นความสูญเสียป่าเขตร้อนที่สำคัญที่สุดที่เรามี” Liz Goldman นักวิจัยจาก Global Forest Watch กล่าว
    ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาบราซิลและอินโดนีเซียมีสัดส่วนการสูญเสียป่าไม้เขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดคิดเป็นสัดส่วนเกือบสองในสามของการลดลงของป่าไม้เขตร้อนทั่วโลก
    คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) กล่าวว่าการป้องกันการสูญเสียป่าไม้และการปลูกป่าใหม่ทดแทนเป็นขั้นตอนสำคัญและจำเป็นในการพยายามรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส และเพื่อให้อยู่ในขอบเขตที่กำหนดภาคอุตสาหกรรมจะต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 45 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030
    ภายใต้ข้อตกลงด้านภูมิอากาศของปารีสปี 2015 มีการกำหนดเป้าหมายในการรักษาภาวะโลกร้อนโดยควบคุมให้อุณภูมิสูงขึ้นไม่เกิน 2 °C และพยายามควบคุมให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 °C ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าร่วมในโครงการ REDD+ ได้ซึ่งเป็นโครงการการอนุรักษ์ป่าไม้เพื่อลดการปล่อย CO2
    โปรแกรม REDD+ อาศัยการระดมทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อไม่นาน นี้ ซึ่งกองทุนสหประชาชาติ Green Climate Fund ได้อนุมัติการชำระเงินครั้งแรกให้กับประเทศบราซิล ซึ่งขณะนี้ประมาณหนึ่งในสามของประเทศที่ลงนามในข้อตกลงปารีสได้รวมเอาโปรแกรม REDD+ ไว้ในแผนลดการปล่อยก๊าซแห่งชาติ

    "รายงาน IPCC นั้นชัดเจน" นายมัวร์กล่าว "เราแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนไม่ได้ถ้าไม่มีป่า"

    Reference

    GUSTIN, G. (2019). Alarming Rate of Forest Loss Threatens a Crucial Climate Solution. Inside Climate News. Retrieved June 18, 2020 from https://insideclimatenews.org/news/...s-tropics-climate-solution-carbon-storage-wri

    ที่มาของภาพประกอบ: Ricardo Beliel/Brazil Photos/LightRocket via Getty Images. Retrieved June 18, 2020 from https://insideclimatenews.org/news/...s-tropics-climate-solution-carbon-storage-wri

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #สาหร่ายสีแดง (Asparagopsis taxiformis) #ความหวังลดโลกร้อนในอุตสาหกรรมปศุสัตว์
    เนื่องจากวัวต้องเรอและผายลมเพื่อระบายก๊าซออกทั้งวัน ซึ่งประมาณ 90% เป็นการเรอ ที่เหลืออีก 10% เป็นการตด โดยวัวตัวหนึ่งจะมีการปล่อยก๊าซมีเทน (CH4) ออกมาถึง 200-500 ลิตรต่อวัน ซึ่งข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรกรรมของสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่าการทำปศุสัตว์ทั่วโลกทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่ากับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 7 พันล้านตันต่อปี หรือคิดเป็น 14.5% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมมนุษย์ทั้งหมด
    จากวิจัยของ โรเบิร์ต คินลีย์ นักวิทยาศาสตร์จาก CSIRO ในออสเตรเลีย และร็อคกี เดอ นีส์ ศาสตราจารย์ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแห่งมหาวิทยาลัยเจมส์คุ๊กในออสเตรเลีย ซึ่งได้ทำการทดลองผสมสาหร่ายชนิดต่างๆกว่า 20 ชนิดลงในกระเพาะวัวจำลองในขวดแก้ว กระเพาะวัวจำลองนี้มีจุลชีพนานาชนิดเหมือนในกระเพาะวัวจริงๆ การทำเช่นนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถวัดก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการหมักได้อย่างแม่นยำ ผลปรากฎว่าในขวดที่มีสาหร่ายแดง Asparagopsis taxiformis ที่ร็อคดี เดอ นีส์ บรรยายว่า “โดดเด่นที่สุด” ในบบรรดาสาหร่ายที่ทดสอบทั้งหมด สามารถลดการเกิดก๊าซมีเทนได้มากเกือบทั้งหมด หรือลดลงมากถึงร้อยละ 99
    ซึ่งการทดลองในแกะซึ่งก็ได้ผลคล้ายกัน ซึ่งการทดลองได้ผสมสาหร่ายแดง Asparagopsis taxiformis ในอาหารสัตว์ด้วยสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 2 และปรากฎว่าการปล่อยก๊าซมีเทนลดลงไปถึงร้อยละ70

    ดังนั้นสาหร่ายสีแดง (Asparagopsis taxiformis) จึงเป็นความหวังในการลดมีเทน (CH4) และการลดภาวะโลกร้อนในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของโลก

    Reference

    เพชร มโนปวิตร. (2017). สาหร่ายแดงลดโลกร้อน…ความหวังของคนกินเนื้อและนม. มูลนิธิโลกสีเขียว. Retrieved June 18, 2020 from https://greenworld.or.th/green_issue/สาหร่ายแดงลดโลกร้อนคว/

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เยอรมนีเพิ่มความโหด กม.Hate Speech ส่งข้อมูลส่วนตัว - IP ผู้ต้องสงสัย ให้ตำรวจโดยตรง
    .

    เมื่อปี 2017 รัฐบาลเยอรมนีออกกฎหมาย Network Enforacement law หรือ NetzDG เพื่อควบคุม Hate Speech และเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเมืองที่ไม่เหมาะสม เช่น การสนับสนุนฝ่ายขวาจัด - นาซีเยอรมนี ซึ่งกลายเป็น Talk of the town ทั้งในเยอรมนีและทั่วโลก เพราะมีคนจำนวนไม่น้อย กังวลเรื่อง ‘เสรีภาพของการแสดงความเห็น’ ว่าจะถูกละเมิดตรงนี้หรือไม่
    .

    ตัวบทกฎหมาย NetzDG ที่เยอรมนีประกาศออกมา ไม่ได้ระบุการตีความและกำหนดขอบเขตของประเด็นถูกกฎหมาย-ไม่ถูกกฎหมาย และ เหมาะสม-ไม่เหมาะสม อย่างชัดเจน รวมถึงการกำหนดค่าปรับสูงถึง 50ล้านยูโร สำหรับแพลตฟอร์ม อย่าง Facebook, Twitter, Instagram หากไม่ลบเนื้อหาที่ขัดต่อกฎหมายเหล่านั้น ภายใน 24 ชั่วโมง
    .

    ล่าสุด เยอรมนีเพิ่มความโหดของกฎหมายฉบับนี้ พร้อมกับกระเพื่อมกระแสความกังวลการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวและลิดรอนการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ด้วยการแก้กฎหมาย กำหนดให้เจ้าของแพลตฟอร์มที่มีเนื้อหาต้องสงสัยเข้าข่ายผิดกฎหมายปรากฎอยู่บนนั้น ต้องแจ้งรายละเอียดของผู้โพสต์เนื้อหา ทั้งข้อมูลส่วนตัว และ IP Address ไปให้ทางสำนักงานตำรวจทางอาญาประเทศเยอรมนีโดยตรง
    .

    ท่ามกลางเสียงวิจารณ์และกระแสกังวลต่อเสรีภาพการแสดงความเห็นที่อาจถูกลิดรอนจากกฎหมาย ทางรัฐบาลเยอรมนีให้เหตุผลว่า “Hate Speech เป็นตัวการสำคัญที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพการแสดงความเห็น เพราะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความหวาดกลัว และไม่กล้าที่แสดงความคิดจริงๆออกมา ซึ่งขัดต่อประชาธิปไตยที่ควรเป็น”
    .

    อ้างอิงจาก:

    https://techcrunch.com/2020/06/19/g...-platforms-send-reports-straight-to-the-feds/

    https://www.engadget.com/germany-netzdg-update-171502170.html

    https://newsvoice.com/i/4649540

    #onUFO #Germany #NetzDG #HateSpeech #Law

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Starbucks ปรับแผน เน้นร้าน ‘Pick-Up’ ปิด 400 สาขานั่งดื่มทั่วอเมริกา หลังเจอวิกฤต สูญ 2 พันล้านดอลลาร์
    .

    Starbucks เชนร้านกาแฟชื่อดังระดับโลก กำลังปรับกระบวนท่าใหม่ ‘ปิดสาขากว่า 400 แห่งในอเมริกา และเปิดร้านแบบ Pick-up Only ขึ้นมาแทน’ หลังการระบาด COVID-19 มีผลทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป เมื่อ Social Distancing กลายเป็น New Normal การนั่งดื่มด่ำรสชาติกาแฟภายในร้าน จึงอาจไม่จำเป็นอีกต่อไป
    .

    หลังจาก Starbucks เปิดร้าน Pick-Up ซื้อกลับบ้าน แบบให้ลูกค้าสั่งผ่านแอปและมารับที่ร้าน เป็นครั้งแรก ที่ New York ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตอนนี้พวกเขาประกาศทิศทางใหม่ของบริษัท ด้วยการตัดสินใจปิดร้านสาขารูปแบบเดิม - นั่งกินที่ร้าน ราว 400 สาขา ทั่วสหรัฐอเมริกา ในอีก 18 เดือนต่อจากนี้ และเปิดร้าน Pick-Up ขึ้นมาแทน 300 สาขา ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตโรคระบาด Starbucks ตั้งเป้า ขยายสาขามากถึง 600 สาขา

    อีกทั้ง ยังปรับลดเป้ารายได้ไตรมาสสาม ลดลงเหลือ 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 99,000 ล้านบาท) โดยยอมรับว่าวิกฤตครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทไปแล้ว 2,000 - 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 61,000 – 68,000 ล้านบาท)

    .

    แต่ Starbucks ก็ยังคงเป็น Starbucks ที่มีจุดเด่นของการตกแต่งร้านและสร้างบรรยากาศที่คอกาแฟทั่วโลกต่างหลงรัก ดังนั้น ร้าน Pick-Up จึงถูกออกแบบที่ยังคงสัมผัสได้ถึงเอกลักษณ์ของความเป็นเชนร้านกาแฟระดับโลก แต่เพิ่มเติมด้วยการใส่เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับลูกค้า เช่น การสั่งผ่านแอป และ หน้าจอขนาดใหญ่ภายในร้าน Pick-Up ที่สามารถดูได้ทันทีว่าแต่ละ Order อยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว
    .

    ความยากของ Starbucks ไม่ใช่การฝ่าวิกฤตเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเข้าถึง และทำให้ลูกค้าเปิดรับ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ เพราะเราต่างทราบกันดีว่า คนจำนวนมากไม่ได้ใช้บริการ Starbucks แค่กินกาแฟ แต่เป็นการดื่มด่ำบรรยากาศและพบปะผู้คนที่นั่น
    .

    อ้างอิงจาก:

    https://www.businessinsider.com/starbucks-pickup-only-store-review-2019-11

    https://www.businessinsider.com/starbucks-plans-to-close-up-to-400-stores-in-us-2020-6

    https://www.businessinsider.com/starbucks-takes-3-billion-hit-to-revenue-during-pandemic-2020-6

    #onUFO #Starbucks #PickUp #Pandemic

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนแห่ใช้ ‘หุ่นยนต์’ ผลิตแทนแรงงานคน ป้องกัน COVID-19 ระบาดซ้ำ ยอดผลิตหุ่นยนต์เดือน พ.ค. โต 16.9%
    .

    วิกฤตการระบาด COVID-19 นอกจากจะส่งผลทางด้านอนามัยไปทั่วโลกแล้ว ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยตรงด้วย เพราะธุรกิจต้องหยุดชะงักไปในช่วงระบาดหนัก แต่มีบางธุรกิจกำลังเติบโตสวนวิกฤต COVID-19 อย่าง อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในจีน

    .

    โดยมีรายงานออกมาจากทาง สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ว่า ระหว่างเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม การผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรมในประเทศจีน ผลิตออกมาเป็นจำนวน 72,619 ชิ้น เติบโตสูงขึ้น 6.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 ซึ่ง ปี 2019 เป็นปีที่ยอดการผลิตของจีนตกลงไป 3.1% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลก แต่มาเติบโตมากขึ้นช่วง COVID-19 ปีนี้

    และที่น่าสนใจคือ ภายในเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียว จีนผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรม 17,794 ชิ้น เพิ่มขึ้น 16.9% จากปีก่อนหน้า

    .

    เป็นไปได้ว่า การผลิตหุ่นยนต์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมของจีน ได้รับการผลิตมากขึ้น เป็นผลมาจาก โรงงานและผู้ประกอบการในจีน ต่างพากันกังวลถึงการติดเชื้อ COVID-19 ในกระบวนการทำงาน ถ้าหากมีการใกล้ชิดของพนักงานที่กลับมาทำงานอีกครั้ง ดังนั้น จึงนำ หุ่นยนต์ มาช่วยทั้งในภาคการผลิต การทำงาน และ ป้องกัน COVID-19 ทั้งในช่วงระบาดหนัก และหลังระบาด

    .

    จีนพยายามอย่างหนักในการผลิตหุ่นยนต์เพื่อใช้ในภาคการผลิตภายในประเทศจีน เพราะตอนนี้ กำลังเผชิญปัญหาจำนวนผู้คนวัยทำงานลดน้อยลง ประกอบกับค่าแรงที่สูงขึ้นด้วย

    ทั้งนี้ จีนประกาศยกระดับการพัฒนาหุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรม ในปี 2016 โดยมีเป้าหมาย ผลิตหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ การบิน เคมี สิ่งทอ และเครื่องใช้ภายในบ้าน เป็นต้น
    .

    อ้างอิงจาก:

    http://www.ecns.cn/news/sci-tech/2020-06-22/detail-ifzxmrfw2768674.shtml

    http://www.chinadailyhk.com/article/134482

    #onUFO #IndustrialRobot #China #COVID19

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Ecocapsule บ้านแคปซูลรักษ์โลก ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์-ลม กรองน้ำจากน้ำฝน-ลำธาร-ทะเลสาบ
    .

    เทรนด์ ‘รักษ์โลก’ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ยังคงแรงอย่างต่อเนื่องในช่วงสามสี่ปีมานี้ โดยมีสาเหตุหลักมาจาก ทุกคนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ และผลกระทบที่เกิดขึ้น อย่างภาวะโลกร้อน ทำให้มีการพูดถึงการใช้ชีวิตที่สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ และนี่คือที่มาของ Ecocapsule บ้านแคปซูลพลังงานธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
    .

    Ecocapsule เป็นผลงานการออกแบบของ Nice Architects บริษัทนักออกแบบสถาปัตยกรรม ในประเทศสโลวาเกีย มีจุดเริ่มต้นจาก ออกแบบ Ecocapsule ส่งประกวดในงาน 2008 architecture and design competition แม้ไม่ได้รางวัลชนะเลิศ แต่ผลงานของพวกเขาได้รับเลือกจาก inhabitat.com เว็บไซต์ชื่อดังด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมที่อิงกับสิ่งแวดล้อม ให้เป็น 1 ในผลงานที่น่าสนใจ ซึ่งผลงานชิ้นนี้ได้รับการตอบรับอย่างดี และหลายปีต่อมา โปรเจค Ecocapsule ถูกแปลงจากผลงานออกแบบมาเป็นบ้านแคปซูลอย่างสมบูรณ์ ในปี 2014

    .

    บ้านแคปซูลพลังงานธรรมชาติ ขนาด 88.3 ตารางฟุต (ราว 8.2 ตารางเมตร) พื้นที่ใช้สอยจริง 67.8 ตารางฟุต (ราว 6.3 ตารางเมตร) เป็นบ้านขนาดย่อม รองรับผู้อยู่อาศัยสูงสุด 2 คน ที่มีทั้งห้องครัว ห้องน้ำ พื้นที่นั่งเล่น และห้องนอน โดยใช้แหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่ 9.7 กิโลวัตต์ ซึ่งหากใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอสำหรับใช้ชีวิตราว 4 วัน แต่แบตเตอรี่สามารถชาร์จได้ด้วยพลังงานลมจากกังหันลม 750 วัตต์ และพลังงานแสงอาทิตย์ จากแผงโซลาร์เซลล์ 880 วัตต์ ถ้าหากใครอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าแบบปกติ ก็มีระบบเชื่อมต่อไฟบ้านเช่นกัน

    นอกจากระบบไฟฟ้าพลังงานธรรมชาติ ภายในบ้านยังมีระบบกักเก็บน้ำที่สามารถกรองน้ำจากน้ำฝน หรือแหล่งน้ำธรรมชาติ ทะเลสาบ แม่น้ำ ลำธาร ได้อีกด้วย
    .

    จุดประสงค์แรกเริ่มของผู้สร้าง Eocapsule คือ ออกแบบมาเพื่อเป็นบ้านพักที่เคลื่อนย้ายง่าย (รองรับการติดตั้งบนฐานรถพ่วง สำหรับทำเป็นรถบ้าน) สำหรับคนที่ต้องการปลีกวิเวกไปอยู่กับธรรมชาติ หรือคนที่ต้องทำงานในพื้นที่ป่า ที่สาธารณูปโภคพื้นฐาน อย่างไฟฟ้า เข้าไม่ถึง แต่ต่อมา พบว่า กลุ่มคนรายได้ในเมืองใหญ่ เช่น New York และ Silicon Valley ต่างเริ่มอยากได้แคปซูลหลังนี้ ไปเป็น สตูดิโอ ออฟฟิศ หรือแม้กระทั่งห้องนั่งเล่นบนดาดฟ้า
    .

    สำหรับราคาของ Ecocapsule สนนอยู่ที่ 89,632 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าใครอยากได้ราคาย่อมเยาลงมา มีให้เลือกในรุ่น SPACE ตัดฟังก์ชันบางอย่างออกไป โดยเหลือราคาอยู่ที่ 55,774 ดอลลาร์สหรัฐ

    สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ecocapsule.sk/
    .

    อ้างอิงจาก:

    https://www.businessinsider.com/ecocapsule-tiny-homes-powered-by-wing-and-solar-2020-6

    #onUFO #Ecocapsule #SPACE #GreenEnergy #OffGridLiving

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักวิจัยชี้ COVID-19 ติดเชื้อซ้ำได้ Antibody อยู่ได้เพียง 2-3 เดือน โดยเฉพาะติดเชื้อแบบไม่มีอาการ

    .
    ตามปกติแล้ว หากร่างกายของเราได้รับเชื้อโรค ระบบภูมิคุ้มกันจะมีกระบวนการต่อต้าน และสร้าง Antibody หรือภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคชนิดนั้นขึ้นมา เพื่อป้องกันการติดเชื้อในอนาคต ซึ่งโดยส่วนใหญ่ สามารถป้องกันได้หลายปี หรืออย่างน้อยก็ราว 1ปี
    .

    แต่สำหรับภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้อ COVID-19 อาจอยู่ในระดับแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น ตามการรายงานของ The New York Times ซึ่งอ้างอิงงานวิจัยล่าสุดของกลุ่มนักวิจัยจากประเทศจีน ที่ตีพิมพ์ใน Nature Medicine วารสารงานวิจัยทางการแพทย์
    .

    นักวิจัยศึกษาผู้ติดเชื้อในประเทศจีน 74 ราย แบ่งเป็น ติดเชื้อแบบมีอาการ และแบบไม่มีอาการ กลุ่มละ 37 ราย พบว่า ทั้งสองกลุ่ม เมื่อติดเชื้อ ร่างกายสร้าง Antibody ตามปกติ แต่ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ระดับของ Antibody ในร่างกาย เริ่มลดต่ำลง โดยลดลง 40% ในกลุ่มผู้ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ และ 13% ในกลุ่มติดเชื้อแบบมีอาการ และอาจหายไปจนหมด ราว 2-3 เดือน โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ ซึ่งนั่นหมายความว่า อาจกลับมาติดเชื้อได้ หากร่างกายไม่มี Antibody แล้ว
    .

    กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ มีจำนวนเพียง 74 ราย ดังนั้นอาจไม่สามารถสรุปได้แน่นอนว่า ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทุกราย จะเป็นเช่นนี้ ซึ่งต้องมีการเพิ่มจำนวนกลุ่มตัวอย่าง เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่ชัดเจนขึ้น แต่มีผู้เชี่ยวชาญบางคน เห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันของผลลัพธ์ที่ได้ อย่างเช่น Danny Altmann นักภูมิคุ้มกันวิทยา Imperial College London ที่ไม่ได้ร่วมวิจัยในงานชิ้นนี้ โดยระบุว่า

    “แม้จำนวนผู้ติดเชื้อที่ทางนักวิจัยได้ศึกษา จะมีจำนวนไม่มาก แต่ผลที่ได้ สอดคล้องกับความกังวลในประเด็นภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของโคโรนาไวรัส ค่อนข้างสั้น”
    .

    โดยภูมิคุ้มกันไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดโรค SARS และ MERS มีอายุประมาณ 1 ปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ต่างหวังว่า ภูมิคุ้มกันที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะมีระยะเวลามากกว่า หรือใกล้เคียงกับทั้งสองโรคก่อนหน้า

    .

    สามารถอ่านเปเปอร์งานวิจัยของกลุ่มนักวิจัยจีนเกี่ยวกับการศึกษา Antibody ของผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มเติม ได้ที่ https://www.nature.com/articles/s41591-020-0965-6

    .

    อ้างอิงจาก:

    https://futurism.com/neoscope/coronavirus-antibodies-fade-after-few-months

    https://www.nytimes.com/2020/06/18/world/coronavirus-cases-usa-world.html#link-7ea3a132

    #onUFO #COVID19 #Antibody #Research

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ประจวบคีรีขันธ์-ชาวบ้านตำบลทรายทอง อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร้องสื่อมวลชนเดือดร้อนหนัก และแห่เข้าแจ้งความตำรวจ สภ.บางสะพานน้อย หลังไม่สามารถถอนเงินจากสถาบันการเงินชุมชนบ้านทรายทองได้ มูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งทางสถาบันฯแจ้งว่ามีเจ้าหน้าที่ยักยอกเงินไปหมดแล้ว
    #ทุจริต

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ญี่ปุ่นเปิดตัวแอป ‘ติดตาม COVID-19’ แจ้งเตือนทันทีหากใกล้ผู้ติดเชื้อ นายกญี่ปุ่นย้ำ ไม่เก็บข้อมูลส่วนตัว

    .

    รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเปิดตัว ‘COVID-19 Contact App’ แอปพลิเคชันเตือนคนที่พบปะหรือเข้าใกล้ ผู้ติดเชื้อ COVID-19 โดยเป็นลักษณะของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ใช้สัญญาณ Bluetooth ในการเก็บข้อมูลสมาร์ทโฟนทุกคนที่อยู่ใกล้กัน ในระยะน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 เมตร เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที
    .

    ถ้าหากผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ ระบบจะแจ้งเตือนไปยังสมาร์ทโฟนทั้งหมดที่เก็บข้อมูลเอาไว้ ซึ่งจะทำให้สามารถแจ้งเตือนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ นอกเหนือจากที่เคยใช้ระบบการสัมภาษณ์ผู้ติดเชื้อ ว่า เคยไปไหน หรือพบปะใครบ้าง
    .

    แอปพลิเคชันนี้ สร้างความกังวลในประเด็น ‘ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล’ ไม่น้อย โดยชาวญี่ปุ่นหลายคนกลัวว่า หากติดตั้งลงไปในสมาร์ทโฟนของตนเอง รัฐบาลญี่ปุ่นรวมถึงบุคคลอื่น สามารถเข้ามาดูข้อมูลของพวกเขาได้

    แต่ทางนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ‘ชินโช อาเบะ’ ชี้แจงชัดเจนว่า ไม่มีการเก็บข้อมูลใดๆ ที่บ่งบอกถึงตัวผู้ใช้งาน เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์มือถือ และตำแหน่งที่ตั้ง โดยแอปพลิเคชันเก็บข้อมูลลักษณะของ ‘ชุดตัวเลข’ เพื่อใช้แทนการระบุตัวตนด้วยข้อมูลส่วนตัว และระบบจะลบข้อมูลอัตโนมัติหลังจากผ่านไป 14 วัน
    .

    ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีต่างออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ต้องมีจำนวนผู้ใช้งานแอปจำนวนมากพอ ถึงจะใช้ประสิทธิภาพจากวิธีนี้ได้อย่างเต็มที่ โดยนักวิจัยต่างประเทศระบุว่าต้องใช้งานจำนวนอย่างน้อย 60% ของจำนวนประชากรทั้งหมด

    แต่ดูเหมือนว่าความเป็นจริงในหลายประเทศ ยังคงห่างไกลจากคำว่า ‘จำนวนมากพอ’ เพราะต่างประสบปัญหา ประชาชนกังวลเรื่อง ‘ความเป็นส่วนตัว และ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล’ แบบที่ชาวญี่ปุ่นกังวลเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น สิงคโปร์ และ ฝรั่งเศส มีผู้ใช้งานแอป COVID-19 เพียง 25% และ 55% ของประชากรทั้งประเทศ ก็ต้องจับตาดูว่า ในญี่ปุ่น จะเป็นเช่นไร
    .

    อ้างอิงจาก:

    https://www.japantimes.co.jp/news/2...an-contact-tracing-app-launched/#.Xu2TYWgzaUm

    #onUFO #COVID19ContactApp #Japan #COVID19

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐต่อซีเรีย คือ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

    Mark Taliano นักเขียนและนักวิเคราะห์การเมือง ชาวแคนาดา กล่าวว่า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐต่อซีเรีย ซึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถือว่าเป็น การก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

    เขากล่าวเสริมว่า สหรัฐและเหล่าพันธมิตรของเขาสนับสนุนการคว่ำบาตรต่อประเทศ ถือว่าเป็นมะเร็งร้ายต่อโลก

    การกำหนดมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อซีเรีย ที่เรียกกัน กฏหมายซีซาร์ เมื่อวันที่17 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยพุ่งเป้าไปที่การแซงชั่นต่อเศรษฐกิจของประเทศซีเรีย

    The US economic embargo against Syria which doesn’t have the approval of the UN Security Council is a “crime against humanity,” a Canadian political commentator has said

    #เพจเก็บตกตะวันออกกลาง

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทรัมป์ ขู่ ถ้าผู้ใดก็ตามที่เผาธงชาติสหรัฐ เขาจะต้องถูกจับคุก 1 ปี

    ‘If you burn the flag, you go to jail'

    ตามรายงานจากเว็บไซต์สภาคองเกรสของสหรัฐ ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เสนอกฏหมายที่ว่า ถ้าหากผู้ใดก็ตามที่ทำการจุดไฟเผาธงชาติสหรัฐ อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องถูกจับขัง 1 ปี

    ทรัมป์ได้เปิดเผยว่า เราจะต้องมีกฏหมายดังกล่าวนี้ โดยกำหนดว่า ผู้ใดก็ตามที่จุดไฟเผาธงชาติสหรัฐ อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะต้องถูกขังคุก เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งเราจะกระทำในสิ่งนี้ และเราได้พูดเกี่ยวกับความเป็นอิสระทางคำพูด แต่การละเมิดที่นอกจากนี้ ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ

    ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ก็เคยเสนอกฏหมายเช่นนี้มาแล้ว แต่การเปิดเผยของทรัมป์ครั้งนี้มีขึ้น หลังจากที่มีการประท้วงทั่วประเทศสหรัฐ เนื่องจากการเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายชาวผิวสี โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสังหาร และยังมีการจุดไฟเผาธงชาติของสหรัฐอีกด้วย

    ‘If you burn the flag, you go to jail’: Trump says he wants a law criminalizing desecration of the symbol

    #เพจเก็บตกตะวันออกกลาง

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชื่อ "อิหร่าน" ถูกกล่าวในหนังสือ "โบลตัน" 753 ครั้ง

    ประเทศที่มีกล่าวถึงอย่างมากในหนังสือของอดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของรัฐบาลทรัมป์ คือ "อิหร่าน" ที่มีกล่าวถึง 753 ครั้ง

    หลังจากประเทศอิหร่าน ,เกาหลีเหนือ 459 ประเทศยุโรป 167 อิรัก 124 อิสราเอล 102 ครั้ง กลุ่มไอซิส 67 และซาอุดิอาระเบีย 49 ครั้ง

    #เพจเก็บตกตะวันออกกลาง

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หลับฝันดีครับ
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,501
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก Sinthorn ผมเขียนบทความนี้ไว้ว่า ทางที่เรากำลังเดินไปเจอ ไม่ใช่ Hyperinflation แต่เป็น Deflation หรือ เงินฝืด เพราะอะไรถึงคิดอย่างนี้ และจะเกิดผลกระทบอะไร อ่านต่อได้ที่ https://www.finnomena.com/mr-messenger/hyperinflation-vs-deflation/ [ รู้ให้ลึก ตอน เรากำลังเข้าสู่ยุคเงินฝืดจริง ๆ หรือ? Mr.Messenger Mr.Messenger 17/06/20 รู้ให้ลึก ตอน เรากำลังเข้าสู่ยุคเงินฝืดจริง ๆ หรือ? ใครที่ติดตามสภาวะการลงทุนของโลกในช่วงตั้งแต่พบกับการระบาดของ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้เฟดต้องประกาศอัดฉีดครั้งประวัติศาสตร์ตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. จะพบว่า มีแนวคิดใหม่ ๆ หรือ ทฤษฎีเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกหลังจากนี้ออกมาเป็น 2 แนวทาง ซึ่งอยู่ในขั้วตรงกันข้ามกันเลย นั่นก็คือ ฝั่งหนึ่ง เชื่อว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (Hyperinflation) ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเชื่อว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคเงินฝืด (Deflation) ฝั่งที่เชื่อว่า โลกกำลังจะเข้าสู่ Hyperinflation ในสายตาของนักลงทุนธรรมดา ๆ อย่างเรา ๆ ก็มองว่า มันดูมีความเป็นไปได้มากทีเดียว สาเหตุเพราะ ปริมาณเงินที่ทุก ๆ ธนาคารกลางของโลกอัดฉีดเพิ่มขึ้นมา มันคือการเพิ่มอุปทาน (Supply) ของเงินอย่างที่ไม่เคยเยอะมากกว่า เราก็เชื่อไปว่า ยิ่งปริมาณเงินเยอะขึ้น เงินมันก็ควรจะเฟ้อ และยิ่งปริมาณเงินมันเยอะขึ้นมาก ๆ เงินมันก็ต้องยิ่งเฟ้อหนักขึ้นไปอีก (Hyperinflation) แต่สำหรับอีกฝั่งของนักเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อว่า สิ่งที่ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังทำอยู่นี้ กำลังจะพาโลกไปสู่ยุคเงินฝืด (Deflation) เราอาจจะยังไม่เข้าใจเหตุผลของมันมากพอ วันนี้ผมจะพยายามลองอธิบายดูนะครับ อย่างแรกก่อน เราต้องเข้าใจก่อนว่า เราจะดูแค่สถานการณ์เศรษฐกิจตรงหน้าว่า “เหล่าผู้ประกอบการกำลังจะจัดการลดราคากระหน่ำ เพื่อดึงยอดขายกลับมา ทำให้เงินเฟ้อจะติดลบในไตรมาสหน้า” หรือมองอีกด้านว่า “ราคาอาหารจะพุ่งปรี๊ดแน่ ๆ เพราะคนกลัว COVID-19 รอบสองต้องตุนอาหารกันอีกเพียบ” แบบนี้คงไม่ได้ มันง่ายเกินไปที่เราจะตัดสินใจบนข้อมูลดิบแบบนี้ว่า โลกกำลังจะเคลื่อนไปสู่ทิศทางไหน แต่สำหรับค่ายของนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนที่เชื่อว่า เงินฝืด รอเราอยู่ หนึ่งในข้อถกเถียงซึ่งเมื่อหยิบขึ้นมาอธิบายปั๊บ ก็ดูมีเหตุผลทันที ก็คือ เราอาจกำลังโดนหลอกด้วยภาพลวงตาที่เราเชื่อมาตั้งแต่เกิดวิกฤตซับไพรม์ตอนปี 2008 ว่า QE คือ การพิมพ์เงิน และเพิ่มปริมาณเงิน หรือ (Money Supply) แบบตรง ๆ ความจริง QE นั้นเพิ่มฐานเงิน หรือ Monetary Base (ไม่ใช่เพิ่ม Money Supply) ซึ่งไม่ได้นำไปสู่การใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจจริง ตราบใดที่ธนาคารซึ่งได้เงินไปแล้วไม่ได้เอาไปปล่อยกู้ ผู้บริโภคไม่ได้กู้ไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ดังนั้นถึงแม้เฟด และธนาคารกลางทั่วโลก (รวมถึงมาตรการจากการคลัง) จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบตอนนี้ในปริมาณมหาศาล แต่ Money Velocity หรือ การหมุนของเงินก็ยังอยู่ในระดับต่ำมากจากมาตรการ Lockdown และการทำ Social Distancing ยิ่งมีความเสี่ยงที่ประเทศแกนหลักของเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐฯ จีน และ ญี่ปุ่น มีความเสี่ยงจะต้องเจอกับการระบาดรอบสอง ก็ทำให้คนในประเทศ และผู้ประกอบการทั้งหลายระมัดระวังในการใช้เงินเพิ่มขึ้นไปอีก การหมุนของเงินในระบบเศรษฐกิจจริงจึงยังไม่กลับมาที่จุดเดิมได้เร็ววันแน่ ๆ Supply Shock นำไปสู่ Demand Shock หากดูจากเศรษฐกิจจีนเป็นตัวอย่าง เราอาจจะมองโลกในแง่ดีว่า ตัวเลข PMI ฟื้นกลับมาขยายตัวได้แล้ว คนเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอยกันแล้วหลัง COVID-19 ผ่านไป กับประเทศอื่น อาจไม่เป็นเช่นนั้น สหรัฐฯ ยังมีปัญหากลุ่มผู้ประท้วง และอัตราการว่างงานที่พุ่งไปเกิน 40 ล้านคน ฐานะการคลังของกลุ่มประเทศในยุโรปที่มีหนี้ปริมาณไม่น้อยอยู่ก่อนหน้าวิกฤตครั้งนี้ คนไม่มีงานทำ จะเอาเงินที่ไหนมาใช้? และถึงได้เงินจากรัฐบาลมาใช้ จะใช้ได้เท่า ๆ กับก่อนหน้าที่เขาเหล่านั้นยังมีงานทำจริง ๆ หรือ? แสดงว่าเฟดไม่ควรทำ QE แล้ว? ดูเหมือนว่า ที่ตลาดการเงินทั่วโลกกลับมาผันผวนอีกครั้งตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว สาเหตุหลักก็มาจากการที่เฟดส่งสัญญาณว่า จะยังไม่อัดเงินเพิ่ม และเมื่อดูจากข้อมูลที่เฟดรายงานออกมา เดือนพ.ค. เฟดทำการซื้อสินทรัพย์ผ่านโครงการ QE ลดลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงแรกของการเกิดวิกฤต เป็นไปได้สองทางครับ 1) เฟด เห็นสัญญาณแล้วว่า Unlimited QE ที่ทำไปรอบนี้ผลของมันอาจไม่เวิร์คเท่า ๆ กับ QE รอบก่อน ๆ หรือ 2) เฟดกำลังศึกษาหาทางเลือกอื่นมาใช้ควบคู่ เพราะรู้ว่า การขยายวงเงิน QE โดยไม่มีกลไกในการบริหารโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองในระยะยาว ไม่ว่าการที่เฟดชะลอการซื้อสินทรัพย์ลง จะเป็นไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม เชื่อว่า มาตรการ Yield Curve Control (YCC) หรือ การกำหนดเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในการควบคุมเส้นอัตราดอกเบี้ย จะถูกปล่อยออกมามาในไม่ช้าแน่ ๆ เพราะหากดูจากอดีตตอนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ตัดสินใจทำ YCC ตอนปี 2016 จะพบว่า ช่วงที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงต่ำ ๆ หรือติดลบ BOJ ไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการอัดฉีดจำนวนมากอย่างธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ ที่เจอปัญหาแบบเดียวกัน สุดท้าย ตอนเราจะรู้ว่า โลกจะวิ่งไปที่จุดใดระหว่าง Hyperinflation VS. Deflation มันอาจจะอยู่ตรงที่ตลาดกังวลตอนนี้ละครับว่า เศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลก จะปิดเมืองรอบสองหรือไม่? Mr.Messenger]
     

แชร์หน้านี้

Loading...