ทรงยืนรับคลื่นลมการเมืองแทนประชาชนและบ้านเมือง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย foleman, 28 สิงหาคม 2012.

  1. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,632
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขออิริราชศัตรูจงแพ้พ่ายพระบุญญานุภาพแห่งพระองค์

    ขอพระรัตนตรัยแลพระสยามเทวาธิราชตลอดจนเทวทั้งปวง และพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทั้งหลายทรงคุ้มครองและอภิบาลให้พระองค์ทรงพระเจริญ พระพลานามัยพระวรกายแข็งแรงหายจากพระประชวรโดยเร็วพลัน ขอพระองค์สถิตอยู่เป็นหลักชัยและเป็นมิ่งขวัญมิ่งมงคลของพสกนิกรชาวอาณาประชาราษฎร์แห่งสยามประเทศยั่งยืนนานเทอญ

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
     
  2. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    [​IMG]
    ภาณุมาศ ทักษณา
    สืบเนื่องมาจาก สำนักข่าวเจ้าพระยา ผู้ผลิตเว็บไซต์ Chaoprayanews.com จัดพิมพ์หนังสือ รอยยิ้มของในหลวง


    ซึ่งประกอบด้วยบทความของท่านผู้มีเกียรติทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่สรรเสริญพระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกเผยแพร่ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ถึง ๓ ครั้ง ครั้งละ ๕,๐๐๐ เล่ม (รวมเป็น ๑๕,๐๐๐ เล่ม)


    ในการพิมพ์ ๒ ครั้งแรกได้จัดจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป และการพิมพ์ครั้งที่ ๓ พิมพ์ได้แจกจ่ายไปยังสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งในการพิมพ์จำหน่าย ๒ ครั้งแรกนั้น รายได้หลังหากค่าใช้จ่ายแล้ว


    สำนักข่าวเจ้าพระยา ในนำขึ้นทูลเกล้าฯ ผ่านมูลนิธิพระดาบส รวม 2 ครั้งเป็นจำนวนเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท (ครั้งละ ๒๕๐,๐๐๐ บาท) ทำให้ผมได้รับทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงที่ทรงมีต่อเยาวชนผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาอีกเรื่องหนึ่ง


    นั่นคือโครงการพระดาบส ซึ่งเกิดขึ้นตามกระแสพระราชดำริของพระองค์ ที่ทรงพระราชทานมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ โดยทรงมีพระราชดำรัส ถึงเรื่องนี้ว่า “ขณะนี้ยังมีบุคคลอีกเป็นจำนวนมาก ที่มีความตั้งใจจริง มีศรัทธาขวนขวายหาความรู้เป็นวิชาชีพใส่ตน แต่ประสบปัญหา ไม่มีความรู้พื้นฐานและไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาวิชาชีพระดับต่าง ๆ ได้หากมีช่องทางช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ให้มีความรู้วิชาชีพที่ปรารถนา ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติได้”


    ปี ๒๕๑๙ ในหลวงทรงพระราชทานกระแสพระราชดำริให้ดำเนินการทดลองเปิดหลักสูตรวิชาช่างไฟฟ้า วิทยุโดยทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนประเดิม เปิดโรงเรียนพระดาบสขึ้นที่บริเวณด้านหลังหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี หลังจากนั้นในปี ๒๕๒๑ ได้เปิดหลักสูตรวิชาชีพช่างยนต์


    จนกระทั้งปี ๒๕๓๓ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็น มูลนิธิพระดาบสขึ้น ในวันที่ ๑๗ สิงหาคม


    นับจากวันนั้นถึงวันนี้ โรงเรียนพระดาบส ได้เปิดสอนหลักสูตรการเรียน ๑ ปีถึง ๘ หลักสูตร ประกอบด้วย วิชาชีพช่างไฟฟ้า , วิชาชีพช่างอิเล็กทรอนิกส์ , วิชาชีพช่างยนต์ , วิชาชีพการเกษตรพอเพียง , วิชาชีพข่างซ่อมบำรุง ,


    วิชาชีพเคหบริบาล(การดูแลเด็กและผู้สูงอายุ – รับนักเรียนหญิงเข้าเรียน) วิชาชีพช่างไม้เครื่องเรือน และ วิชาชีพช่างเชื่อม และปัจจุบันมีผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนพระดาบสแล้ว จำนวน ๑,๔๖๒ คน


    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริเกี่ยวกับโครงการลูกพระดาบสว่า



    “ให้คงวิธิการศึกษานอกระบบตามแนวพระราชดำริเกี่ยวกับโครงการพระดาบส เป็นแม่แบบตลอดไป ควรสำรวจที่ดินไว้เพื่อการเกษตรเพื่อดำเนินการควบคู่ไปกับโรงเรียนช่างเครื่องยนต์การเกษตร”



    ด้วยพระราชดำริดังกล่าว คณะกรรมการมูลนิธิพระดาบส จึงงได้ดำเนินการจัดสร้างสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา และการพัฒนากิจการโครงการลูกพระดาบสขึ้นในที่ดิน ๙ ไร่ ในซอยเทศบาลบางปู ๑๑๙ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ


    ซึ่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสวนสาธารณะฯ และทอดพระเนตรการพัฒนากิจการโครงการลูกพระดาบส เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๕


    ผมจึงนำเรื่องนี้มาเล่าให้ได้รับทราบโดยทั่วกัน และขอเรียนว่า หากท่านผู้ใจจะบริจาคทรัพย์โดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนมูลนิธิพระดาบสและโรงเรียนพระดาบส เชิญดำเนินการได้ดังนี้ครับ


    1.โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ชื่อ “สำนักงานมูลนิธิพระดาบส” ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)สาขาเทเวศร์ เลขที่บัญชี ๐๒๐-๒-๕๔๙๐๐-๔


    2.โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ชื่อ “โรงเรียนพระดาบส โครงการให้ ๑ ได้ ๒” ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) สาขาสวนจิตรลดา เลขที่บัญชี ๐๖๗-๒-๑๑๙๖๓-๓


    สำหรับรายละเอียดของโครงการลูกพระดาบส ในแง่มุมต่าง ๆ ผมจะทยอยนำมาเรียนให้ทราบในห้วงเวลาที่เหมาะสมต่อไปครับ.

    เพื่อความถูกต้องและป้องกันการผิดพลาดในรายละเอียดโปรดโทรสอบถามข้อมูลไปได้ที่"มูลนิธิพระดาบสและโรงเรียนพระดาบส "ก่อนทุกครั้งครับ!
     
  3. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    วันนี้ทำไมเราถึงต้องนึกถึง “ในหลวง” อยู่ตลอดเวลา

    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    [​IMG]



    อาทิตย์ที่ผ่านมาไปนั่งกินเหล้า ฟังเพลงที่บาร์เล็กๆ ริมน้ำแห่งหนึ่งในเกาลูน มีวงดนตรี ๓ ชิ้นเล่นเพลงแจ๊สรุ่นใหม่ ฟังแล้ว “ทำให้ชีวิตรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมามากมาย” ครับ เพลงโปรดทั้งนั้น เช่น Somewhere beyond the sea, While my guitar gently weeps, This land is your land, Mellow, Little more love ฯลฯ ที่สำคัญคือมีเพลงพระราชนิพนธ์ในสไตล์ “แจ๊ส” เล่นอยู่ ด้วย ๓ เพลง โดยนักร้องประกาศว่าเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ของ King of Thailand ได้แก่ เพลงแสงเดือน, ชะตาชีวิต และใกล้รุ่ง (นักร้องประกาศชื่อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ แต่ผมจำชื่อไม่ได้ครับ) ทุกเพลงได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองถึง “พระอัจฉริยภาพทางดนตรี” ของในหลวงอย่างเต็มที่ ผมเองก็ตื้นตันจนน้ำตาซึมออกมาที่เห็นคนต่างชาติรู้จักในหลวงของเราดีขนาดนี้ มีเพื่อนต่างชาติหลายคนบอกว่ามาเมืองไทยทีไรต้องหาเพื่อนไปดูภาพยนตร์ เพื่ออวดให้เพื่อนเห็นว่าการยืนเคารพในหลวงในโรงภาพยนตร์นั้น เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความผูกพันทั้งทางประเพณีและวัฒนธรรมของประชาชนกับในหลวงที่มีสืบต่อมายาวนานแล้ว เป็นภพที่น่ารักที่ประชาชนจะได้แสดงออกถึงความเคารพต่อในหลวง วันรุ่งขึ้นพอกลับมาผมก็จับปากกาเขียนเรื่องนี้ทิ้งไว้บนโต๊ะมากว่า ๑๐ วัน เพราะกิจธุระของตัวเอง, ของคนอื่น รวมถึงของบ้านเมืองด้วย สับสนวุ่นวายไปหมด



    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]



    ตลอดพระชนม์ชีพของในหลวงและสมเด็จฯ หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศน้อยมากๆ จะเสด็จไปเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะทั้ง ๒พระองค์ต้องการใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนของพระองค์อยู่ภายในประเทศไทย จนมีคำพูดว่า “ไม่มีที่ไหนในแผ่นดินไทยที่พระองค์ไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินไป”



    ในการเสด็จเยือนสหรัฐฯ และยุโรป ๑๘ ประเทศเมื่อปี ๒๕๐๓-๒๕๐๔เพราะความจำเป็นเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศไทยที่สืบเนื่องมาจากการแพร่ขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์และปัญหาทางเศรษฐกิจนั้น ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสถึงประชาชน มีข้อความส่วนหนึ่งว่า


    “...จึงใคร่จะตักเตือนท่านทั้งหลายให้ตั้งหน้าทำงานของท่านให้เต็มที่ ในทางที่ชอบที่ควร ตั้งตัวตั้งใจให้อยู่ในความสงบ จะเป็นผลดีต่อตัวท่านเองและ บ้านเมืองซึ่งเป็นของเราด้วยกันทุกคน”...”


    คำว่าบ้านเมืองเป็นของเราทุกคนนั้น ในปัจจุบันคนไทยหลายคนได้เผลอลืมไปแล้วว่าตนเองก็เป็นเจ้าของประเทศไทยอยู่ด้วย


    การทรงงานช่วยเหลือประชาชนของในหลวงนั้น มีหลักการทรงงานปรากฏอยู่ในพระราชดำรัสเมื่อ ๖ เม.ย. ๒๕๑๒ ว่า “ในการช่วยเหลือนั้นควรยึดหลักสำคัญว่า เราจะช่วยเขา เพื่อให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ต่อไป” เพราะประเทศไหนจะเจริญก้าวหน้าได้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะต้องมี “คุณภาพ พึ่งตัวเองได้” ซึ่งจะทำให้รัฐสามารถนำเงินไปพัฒนาประเทศได้เต็มที่ กระบวนการตรวจสอบการทำงานของรัฐก็จะเข้มแข็งตามไปด้วย โครงการของรัฐในระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งนักการเมืองไม่ชอบทำเพราะ “กินได้น้อย” ก็จะสามารถทำได้อย่างเต็มที่เช่นกัน


    ความห่วงใยต่อพสกนิกรของในหลวงนั้น แสดงให้เห็นได้ชัดเจนเป็นระยะๆ ทั้งการทรงงานและพระราชดำรัสในงานต่างๆ ที่ทรงค้นคว้าชี้ทางให้เห็นถึง “ปัญหา” และ “หนทางที่จะแก้ไขปัญหา” ของชาติบ้านเมืองมาตลอดเวลา เช่น

    - ปี ๒๕๒๑ มีพระราชดำรัสในวันขึ้นปีใหม่ถึงผลกระทบของกระแสโลกาภิวัตน์จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ,สังคม, การเมือง, วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมที่จะไปในทิศทางที่เป็น “ผลลบ” มากกว่าทางทีดี ทรงเตือนให้ประชาชนประหยัด


    - ปี ๒๕๔๐-๒๕๔๑ มีพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมากขึ้นตามลำดับ


    - ปี ๒๕๔๒ จึงพระราชทานหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” ให้กับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ



    - อีก ๗ ปีต่อมา (๒๖ พ.ค. ๒๕๔๙)นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้เข้าทูลเกล้าถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่ในหลวง จากการนำทฤษฎี “เศรษฐกิจพอเพียง” มาเผยแพร่


    - ปี ๒๕๕๕ สหประชาชาติได้ขอร้องให้ประเทศสมาชิกรับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงไปหาทางปฏิบัติเพื่อกอบกู้ภาวะยากจนของโลก แต่ไม่มีการนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะนักการเมืองทั่วโลกต้องการทำเฉพาะประชานิยมเพื่อหาเสียงและหาเงินได้ง่ายกว่า



    ในวันที่ในหลวงทรงเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษาแล้วนั้น ระยะเวลาที่พระองค์บำเพ็ญพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อพัฒนาประเทศและช่วยเหลือราษฎรไทยนั้น ก็ยาวนานมาเป็นเวลา ๖๖ ปีนับตั้งแต่ครองสิริราชสมบัติมา ภารกิจเริ่มแรกของพระองค์คือกาส่งทหารแขกอินเดียของประเทศอังกฤษที่เข้ามาในไทยเพื่อจัดการเชลยศึกญี่ปุ่นให้กลับบ้าน ออกจากประเทศไทยไป, การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยเชื้อสายจีนกับคนไทยในย่านสำเพ็งให้กลับมาอยู่ในภาวะที่ดีเหมือนเดิม ต่อมาด้วยอะไรอีกมากมาย จนถึงปัจจุบันนี้ ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนพร้อมที่จะปฏิบัติตนเองเพื่อในหลวงของเราทุกๆ เรื่อง แต่ขอเพียงเรื่องเดียวครับ คือ “ใช้จ่ายเมื่อจำเป็นจริงๆ” เท่านั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำความดีเพื่อพ่อหลวงของเราครับ


    เขียนเรื่องนี้จบ ก็เข้าใจว่าคงมีคนอ่านไม่เกิน ๕๐๐ คนเท่านั้น เพราะไม่สนุกเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เคยเขียน แต่ขอแค่ ๕๐๐ คนนำไปปฏิบัติตามก็พอแล้วครับ
    **********************************​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    Posted by พล.ท.นันทเดช 26 กันยายน 2555
     
  4. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ในหลวงทรงเตือนบ้านเมืองใกล้ล่มจมเพราะใช้เงินไม่ระวัง

    "ในหลวง" พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ผู้ว่าฯ ธปท.และคณะที่เข้าเฝ้าฯ ทรงขอให้บริหารเงินไม่ให้หมดประเทศ ทรงขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อย ไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจเพราะใช้เงินไม่ระวัง

    เมื่อเวลา 17.31 น.วันที่ 20 สิงหาคม 2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้ นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการบริหารสมาคมธนาคารไทย เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน ซึ่งเป็นรายได้ส่วนเกินจากการเปิดให้ประชาชนแลกซื้อธนบัตรที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ชนิดราคา 16 บาท ในราคาแลกซื้อ 100 บาท เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย

    ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะที่เข้าเฝ้าฯ ความว่า


    "ขอขอบใจที่ท่านได้ทำงานอย่างเข้มแข็ง ได้ทำงานมากในงานของการธนาคาร ขอให้งานธนาคารที่ท่านทำเป็นผลดีสำเร็จ แต่ก่อนเงิน 10 บาท ก็รู้สึกว่าเป็นเงินมาก เดี๋ยวนี้ สิบบาทร้อยบาทพันบาท หรือหมื่นบาทก็ยังน้อย ทำไมมันน้อย แม้ล้านบาทก็ยังน้อย

    เมื่อครั้งไปขอเงินสมเด็จพระพันวษา ขอเงิน 1 บาท ท่านให้ พอกำแหงหน่อยขอ 5 บาท ก็ยังให้ ต่อมาขอท่าน 10 บาท ก็ยังให้ แต่มาถึง 50 บาท ท่านบอกไม่มี ถามว่า งั้น 100 บาทมีไหม ท่านบอกว่า มี แต่ต้องตัดบัญชีที่มีอยู่ อยากใช้เท่าไรก็ได้

    ท่านสอนว่าเราไม่ควรจะถลุงเงิน แม้ 100 บาท ท่านไม่ให้ แต่วันนี้เป็นพันบาทหมื่นบาทแสนบาทล้านบาทท่านก็ให้ ร้อยล้านท่านก็ให้ สมัยนี้เปลี่ยนไป แต่ก่อน 100 บาท ท่านไม่ให้ แต่สมัยนี้ ร้อยพันหมื่นแสนท่านก็เอามาให้ ต้องขอบใจท่านที่มีน้ำใจ เพราะว่าสมเด็จย่าท่านบอกว่า ถ้าให้ก็หมด หมดก็ไม่ให้แล้ว ตอนนี้ท่านให้มาเป็นจำนวนมาก หวังว่าท่านบริหารได้พันล้านหมื่นล้าน ขอให้ท่านทั้งหลายบริหารเงินไม่ให้หมด เพื่อให้ประเทศชาติมีเงินใช้ ขอขอบคุณที่มีความตั้งใจบริหารเงินของชาติไม่ให้หมดไป ให้มีใช้

    ขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อยไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง เพราะใช้เงินไม่ระวัง

    ขอบใจที่ท่านระวังเรื่องการดำเนินด้านการเงิน ขอให้สำเร็จใจการบริหารการเงินของประเทศชาติ ขอบใจท่านที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงิน เรารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อย ลำบากใจ นอกจากเหน็ดเหนื่อยแล้วยังถูกหาว่าทำไม่ได้ดี ทำไม่ถูกต้อง ขอบใจทุกคนที่มาในวันนี้ และยังทำงานอย่างเข้มแข็ง เพื่อให้บ้านเมืองมีเงินใช้ ใครที่บริหารการคลังควรรู้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญของชาติบ้านเมือง


    ขอบใจทุกท่านที่ปฏิบัติงานเพื่อความสำเร็จของชาติบ้านเมือง ขอให้มีความสุขในการงานขอให้สำเร็จ"
    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2551
     
  5. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ในหลวง" ทรงย้ำคนไทยปรองดอง - ยึดหลักพอเพียง ไม่ขาดทุนเสียรู้ฝรั่ง

    ในหลวง" ทรงย้ำให้คนไทยปรองดองก่อนชาติล่มจม ทรงแนะใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ไม่ให้น่าเบื่อ ทรงชื่นชมคนไทยที่ให้กำลังใจ ระหว่างทรงพระอาการประชวร และทรงแนะให้ใช้น้ำมันอย่างประหยัด และพัฒนาไบโอดีเซลไม่ให้เสียเปรียบฝรั่ง-แขก ติงคนไทยใจดีซื้อขายอะไรก็ยอมขาดทุน แต่ก่อนนี้ขาดทุนเสมอ ต้องทำอะไรที่ไม่ขาดทุน คือ ทำเอง ทำอย่างพอเพียง พร้อมทรงแนะให้กองทัพคิดให้ดีเรื่องการซื้ออาวุธ

    วันที่ 4 ธันวาคม 2550 เวลา 16.20 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ มายังศาลาดุสิตาลัย ภายในพระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2550

    ขณะที่ ภายนอกศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ได้มีประชาชน และกลุ่มตัวแทนองค์กร มูลนิธิต่างๆ เฝ้ารอรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กันเป็นจำนวนมาก ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม พร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จผ่าน

    เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระดำเนินเข้ามาภายในศาลาดุสิตาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้ทรงประทับพระราชอาสน์ จากนั้นรองราชเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายที่ประทับ ได้กราบบังคมทูลฯ รายงาน และเบิก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นลำดับต่อไป

    "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเบิกคณะบุคคล ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ นิสิต นักศึกษา พ่อค้า ประชาชน และผู้แทนมูลนิธิ สมาคม สโมสร องค์กรต่างๆ รวม 780 คณะ จำนวน 23,696 คน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เนื่องในอภิลักขิตสมัย วันเฉลิมพระชนมพรรษา ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ซึ่งเวียนมาบรรจบครบรอบปีอีกวาระหนึ่ง ในวโรกาสนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะกราบบังคมทูลพระกรุณา ถวายพระพรชัยมงคล ในนามของผู้ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ"
    จากนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ในนามของคณะบุคคลที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

    "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ณ อภิลักขิตมหามงคลกาล คล้ายวันพระบรมราชสมภพ 80 พรรษา วันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2550 นี้ ข้าพระพุทธเจ้า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในนามของคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีความปีติยินดีเป็นล้นพ้นที่ได้มาประชุมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล แสดงความจงรักภักดีในใต้เบื้องพระยุคลบาท อีกครั้งหนึ่งในวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายต่างชื่นชมโสมนัสในพระบุญญาธิการ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อีกทั้งรู้สึกปีติปราโมทย์ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงสมบูรณ์ด้วยพระพลานามัย ทรงหายจากพระอาการประชวร และไร้ซึ่งอุปัทวันตรายทั้งปวง ทรงสถิตเป็นมิ่งขวัญในราไชศวรรย์สมบัติ อันเป็นฉัตรแก้ว ร่มเกล้าของปวงข้าพระพุทธเจ้าตลอดมา นับเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ได้ถือกำเนิดมาภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร

    การที่ราษฎรตลอดพระราชอาณาเขตประเทศไทย มีความผาสุกสวัสดี บ้านเมืองมีความร่มเย็น ก้าวหน้า มาจนถึงทุกวันนี้ ก็ด้วยพระบุญญาบารมีแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่ทรงสถิตมั่นในธรรม แผ่ปกเกล้าปกกระหม่อมโดยถ้วนหน้า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเมตตา รักใคร่ ปรารถนาให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ทรงพระกรุณาปรารถนาให้ประชาราษฎร์พ้นทุกข์ภัย ทรงยินดีในความสุขความเจริญของเหล่าพสกนิกร ทรงใช้พระบรมราชวินิจฉัยโดยถ่องแท้ แก้ไขปัญหาทุกอย่างของประเทศ และประชาชน ลุล่วงไปด้วยดี ทรงมีขันติ ความอดทนอันยอดเยี่ยม ทรงปฏิบัติต่อราษฎรโดยเสมอหน้า ก่อให้เกิดความผาสุกร่มเย็นทุกแห่งหน เกิดเป็นความจงรักภักดี สำนึกมั่นในพระมหากรุณาธิคุณ แน่นแฟ้น ยาวนาน มาถึงบัดนี้

    เนื่องในมหามงคลสมัยที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในพุทธศักราช 2550 นี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ตั้งสัตยาธิษฐาน จะปกปักรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ และจงรักภักดีเทิดทูนราชบัลลังก์ด้วยชีวิต จักสนองพระราชปณิธานอันประเสริฐ บริสุทธิ์ โดยเต็มความสามารถ พร้อมทั้งขออาราธนาคุณพระรัตนตรัยและอานุภาพแห่งสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดดลบันดาลอภิบาลรักษาให้ทรงพระเกษมสุข ปราศจากโรคาพาธอุปัทวันตรายทุกประการ ขอเทวานุภาพแห่งปวงเทพทั้งหลายอันปกปักรักษาพระราชอาณาจักร อภิบาลบำรุงให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย ธำรงมไหศวรรยาธิปัตย์ยิ่งยืนนาน พระบารมีแผ่ไพศาล มีพระราชประสงค์จำนงหมายสิ่งใดขอจงสัมฤทธิ์ ทรงสถิตสถาพรเป็นร่มฉัตรคุ้มเกล้าชาวไทยตลอดจิรกาลเทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"


    จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ความว่า




    "ขอขอบใจนายกรัฐมนตรีที่ได้กล่าวคำอวยพร และขอบใจท่านทั้งหลายที่ได้มา มาเยี่ยม และมาให้พร ทำให้มีกำลังใจ ความจริงการที่ท่านมานี้ เป็นการให้กำลังใจ ที่บอกว่าดูแข็งแรง ดูมี อนามัยที่ดี ความจริงไม่ใช่ ความดีของแพทย์ เป็นความดีของเราที่ ตั้งใจ ที่จะให้แข็งแรง เพื่อที่จะต้อนรับท่านได้ ถ้าไม่ได้ตั้งใจที่จะแข็งแรงที่จะต้อนรับท่าน ก็จะมาต้อนรับท่านไม่ได้ เพราะว่าเดิน ก็เดิน ขานำไปข้างหน้า ข้างหนึ่ง อีกข้างไปข้างหลัง ไม่ค่อยยอมสามัคคี

    ต้องสามัคคี แล้วก็ได้พูดเมื่อวานซืนนี้ ว่า ทหารก็ตาม พลเรือนก็ตาม ต้องสามัคคี เหมือนขาของเราที่จะต้องเดินสามัคคีกัน หมายความว่า ก้าวไปข้างหน้า แล้วอีกข้างหนึ่ง ก็ยันข้างหลัง และเมื่อยันข้างหลังเรียบร้อยแล้ว ก็ก้าวไปข้างหน้าอีกข้าง อันนี้ก็สามารถเดินได้ แล้วไม่หกล้ม ซึ่งถ้าไม่สามัคคี ก็บอกแล้วว่า ประเทศจะประสบความหายนะ ไม่ได้ใช้คำว่าหายนะ แต่ก็คล้ายกัน ว่าถ้าไม่สามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ประเทศชาติล้ม ถ้าล้มก็ ผลของการล้มนั้น มีหลายอย่าง ถ้าทางกายก็ ร่างกายกระดูกหัก และต้องเข้ารักษา บางทีรักษานานๆ ไม่มีสิ้นสุด ถ้าไม่ระวังประเทศชาติก็ล่ม เมื่อล่มเราจะไปอยู่ที่ไหน ล่มก็หมายถึงว่า ลงไป จม ล่มจม ถ้าเราไม่ระวังประเทศชาติล่มจม ล่มจมก็หมายความว่า ล่มลงไปในทะเล เพราะว่าเมืองไทยนี้ก็ติดทะเล ถ้าล่มไปล่มมา ก็ลงทะเล

    และสมัยนี้เขาก็ ขู่กันว่า น้ำทะเลจะขึ้น แล้วก็เพราะว่าอากาศมันร้อน แต่ทำไปทำมาก็ไม่ได้ร้อนจริง มาตั้งแต่ธันวาฯ นี้คนบ่นว่าอากาศเย็น อากาศหนาว ก็ไม่รู้จะเชื่อใครว่า ตอนนี้จะหนาวหรือจะร้อน แต่ว่าคำว่า ร้อน ร้อนจริงๆ คือ เหงื่อออก ร้อน เดือดร้อน ถึงเดือดร้อนมากกว่า ทุกคนที่มานั่งอยู่ที่นี่ก็จะเดือดร้อน ภาษาไทยใช้คำว่า เดือดร้อน ร้อนแล้วเดือด น้ำเดือดมันร้อน อากาศร้อนก็อากาศทำให้เราไม่สบาย ถ้า ไม่สบายแล้ว อยู่ไม่ค่อยได้

    ที่อากาศร้อน ก็เพราะว่า อากาศ มัน เจอความร้อนของพระอาทิตย์ ซึ่งเมืองไทยก็เคราะห์ดีอยู่เหมือนกันว่า อากาศร้อนไม่ได้เย็น ไม่ได้เย็นเหมือนอเมริกา เดี๋ยวนี้ที่อเมริกา กำลังเดือดร้อน เพราะอากาศเย็น อากาศ หิมะตก ซึ่งตามปกติไม่น่าจะตกอย่างนี้ แต่ว่า อเมริกากำลังร้อน เดือดร้อนในความเย็น เมืองไทยนี้ ก็มีความเดือดร้อน ด้วยความเย็นเหมือนกัน

    แต่ว่าพูดว่าเดือดร้อน เราก็พูดถึงว่าเมืองไทย บ่นว่า เดือด ที่จริงไม่ได้เดือด แต่คนน่ะเดือด คนมันทำเดือด ทำให้คนเดือดร้อน แล้วเวลาเดือดร้อนนี่ มันไม่สบาย น้ำเดือดถึงจะมีประโยชน์ ต้มไข่ได้ แต่ว่าถ้าเดือดเฉยๆ ไม่มีประโยชน์ ทำให้คน เดือดร้อนเนี่ย สิ้นเปลืองเปล่าๆ แล้วก็ เมื่อคนทำให้เดือดร้อน ที่ว่าสิ้นเปลืองเปล่าๆ แล้วก็บ่น บ่นว่า ประเทศลุกเป็นไฟ ก็ต้องระวังไม่ให้ลุกเป็นไฟ เพราะว่าจะทำให้ล่มจม ล่มจมอย่างนี้ ที่ต่างประเทศเขาบอกว่าเมืองไทยจะล่ม จะจม ความจริง ยังไม่ล่ม และเราไม่จม แต่ถ้าไม่ระวังก็จะล่ม จม ฉะนั้น ก็จะต้องระมัดระวัง หรือทุกวันนี้ไม่ปรองดองกัน เมื่อไม่ปรองดอง ไม่ปรองดอง ก็มีรู ก็จะล่ม ล่ม จมลงไป

    ที่จริง พยายามจะอุดช่อง ไว้อย่างมาก เช่น น้ำจะท่วม ก็ปิด กั้น ไม่ให้น้ำท่วม แต่ที่เขาทำ น้ำจะท่วม ก็ต้องสูบน้ำออกไปใส่ในทะเล ทะเลก็ มีน้ำมากเกินไป น้ำก็ล้นเข้ามาในพื้นแผ่นดิน แล้ว มันก็ ประเทศชาติก็ล่มจม ฉะนั้น การป้องกันไม่ให้ล่มจม จะต้อง ระวังไม่ให้น้ำขึ้นมากเกินไป ซึ่งถ้าน้ำขึ้นมามากเกินไป ก็ต้องแก้ไข จะแก้ไขนี่ มีหลายวิธี จะต้องทำเขื่อน แต่ว่าเขาด่ากันว่า ถ้าทำเขื่อน เท่ากับประเทศจะจม จมในน้ำ เพราะว่าตั้งเขื่อน น้ำก็ต้องขังเอาไว้ แต่ว่าการขังน้ำ โดยใช้เขื่อน มันมีหลายวิธี ซึ่งบางที ไม่เข้าใจ ทำเขื่อนแล้วก็ น้ำก็ท่วมบางแห่ง แต่ถ้าหากว่าทำเขื่อนแล้ว ไม่ระวัง ไม่ได้บริหารเขื่อนนั้นให้ดี มันก็อาจจะทำให้น้ำท่วม

    อย่างที่เคยพูดถึง เขื่อนป่าสักฯ เขื่อนป่าสักฯ นี้ ถ้าไม่ได้ทำ ถ้าไม่ได้ทำก็จะ เสียเงินเป็นพันล้านทุกปี แล้วก็เสียเงินอย่างนี้แล้ว ไม่ได้อะไรเลย เดี๋ยวนี้ ที่ได้ทำป่าสักฯ มา ทุกปีมีผลดี คือ ทำการเกษตร กสิกรรมได้ผล แล้วเมื่อได้ผลแล้วก็ได้รายได้ ถ้าไม่ได้ผลก็จะต้อง ก็จะต้อง

    ..นี่เขา (พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรฯ) น้ำท่วมทุ่ง นี่อย่างนี้น้ำท่วมทุ่งหรือ นี่เหมือนพ่อเขา พูดมาก ปู่พูดไม่มาก แต่เวลาพูดเขาก็ว่าบ้าง พูดมาก หาว่าน้ำท่วมทุ่ง ไอ้น้ำท่วมทุ่งนี่มันไม่ดี เพราะว่าเวลาท่วมทุ่งได้ทุ่งนั้นทำอะไรไม่ได้ พืชผลต่างๆ ก็เน่า ถ้าพืชผลเน่าก็เท่ากับทำให้ ทำลายพืชผลนั้น ซึ่งตามปกติพืชผลขึ้นมาสามารถที่จะขายได้แต่พืชผลที่เน่า ขายไม่ได้ พืชผลที่เน่าทำให้เสียหาย

    แต่ที่ปลื้มใจที่ป่าสักฯ นี่น้ำท่วมมีบ้างแต่น้อยมาก คือว่า แต่ก่อนนี้ทุกปีต้องเสียเงินเป็นพันล้านสำหรับแก้ไขเรื่องน้ำท่วม เสียหายไปพันล้านไม่มีรายได้เลยมีแต่รายจ่าย ถ้ามีรายได้ก็ไม่เป็นไร น้ำท่วมที่ เวลา มีน้ำท่วมขึ้นมา ความจริงก็มีรายได้เพราะว่า อย่างเช่น ข้าว ถ้าไม่มีน้ำก็แห้ง แห้งผาก ไม่มีผล แต่อย่างไรไม่มีผลอย่างนั้นยังงอกออกมาได้ ก็ยังมีข้าว แต่อย่างถ้าข้าวถูกท่วมและเน่า ต้องเสีย ข้าวนั่นเสีย ไม่ได้ผล มีแต่ทางเสีย ไม่มีทางได้ ฉะนั้นการที่ทำเขื่อนแล้วก็ ไม่มีน้ำท่วม ก็มีจ่ายเงินสำหรับค่าทำเขื่อน แล้วก็มีเสียหายเล็กน้อย จนถึงเดี๋ยวนี้ เมืองไทยก็มีรายได้มากกว่ารายจ่าย แต่ว่าถ้าไม่ได้ทำ โครงการป้องกันไม่ให้น้ำท่วม มีแต่รายจ่าย ไม่มีรายได้ แล้วอย่างนี้เราก็อยู่ไม่ได้

    อันนี้ พูดเป็นปริศนาว่า ถ้าไม่มีรายได้ ก็ไม่มีรายจ่าย เขาว่าถ้าไม่มีรายได้ ก็ไม่สามารถที่จะจ่ายเพื่ออยู่ดี มีแต่ต้องจ่าย สำหรับป้องกันน้ำท่วมเท่านั้น ป้องกันแล้ว ไม่มีกำไรเลย มีแต่เสีย ฉะนั้นก็ ที่คนเขาว่า ทำโครงการแล้วก็เสีย จริง เสีย เสียเงิน แต่ว่าไม่เสียผลประโยชน์ ฉะนั้น ก็ต้องคิดดีๆ ว่าที่ได้ทำโครงการนั้น ก็มีจุดประสงค์ที่จะให้มีรายได้ แต่ถ้าพูดอย่างที่เขาพูด จ่ายเงินเยอะแยะ ที่จริงจ่ายแยะ แต่ว่าไม่ได้เสีย เพราะว่ามีรายได้ เวลาพูดกลับไปกลับมาอย่างนี้ท่านก็งง ท่านมองหน้าว่า เอ๊ะจะไปไหน ไปน่ะ ต้องทำโครงการนี้ อะไรก็ตาม ก็จะต้องมีเหตุผล ก็ต้องบริหารงานการให้ดี

    พูดถึงบริหาร ข้างหน้านี้ก็มีฝ่ายที่จะเป็นรัฐบาล รัฐบาลก็คือการบริหาร แต่ว่าบริหารนี้มีทุกอย่าง บริหารโครงการ บริหารกิจการต่างๆ บริหารการเงิน ทุกอย่างจะต้องบริหารให้ดี ฉะนั้นถ้าไม่บริหาร ก็ล่มจม แต่คนที่ไม่ได้เป็นฝ่ายบริหาร มีแต่ ตำหนิติเตียนว่าไม่ทำ ที่จริง ฝ่ายบริหารเขาก็ทำ คนที่ติเตียนนั้น ก็เป็นคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ตรงข้าม มีแต่ทำลาย ฉะนั้น ที่มาเมื่อ 2-3 วันนี้ ชักกลุ้มใจ ที่ฟังวิทยุ ที่เขาพูด พูดว่า เมืองไทยนี่ไม่ก้าวหน้าเลย แต่ความจริงก็ก้าวหน้า ถ้า ไม่ทำอะไรเลย ป่านนี้ก็ ล่มจมแล้ว ถ้าไม่ทำ ก็ล่มจมเหมือนเวลาน้ำท่วม ล่มจม

    นี่พูดถึงน้ำมากเกินไปแล้ว เดี๋ยวหาว่าพูดน้ำท่วมทุ่ง แต่ว่า ยังไงก็ตาม ต้องพูด วันนี้ตั้งใจจะต้องพูด ว่า ถ้าไม่ทำอะไร ทำแต่พูด ก็จะไม่ดี นี้ก็พูดมามากแล้ว ในทางที่ว่า คล้ายๆ ปรามไม่ให้พูด แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้ท่านเงียบหมด ทุกคนเงียบ ก็หมายความว่า ท่านก็ตั้งใจจะไม่พูด เราก็ เห็นว่าท่านไม่พูด เราก็จะไม่พูด แต่ก็พูดมากแล้ว

    แล้วก็ ยังไงก็ตาม ก็จะต้อง อธิบายว่า ไปเข้าโรงพยาบาลนี้ เข้าๆ ออกๆ เข้าๆ ออกๆ หนังสือพิมพ์ก็ลง วันนี้เข้า เข้าแต่งสีชมพู ออกมาแต่งสี สีฟ้า เขาเหมือนตำหนิติเตียน ว่าทำไมเปลี่ยน ก็เข้าๆ ออกๆ ก็ต้องเปลี่ยนบ้าง ถ้าเข้าๆ ออกๆ และแต่งเครื่องแบบ มันน่าเบื่อ น่าเบื่อเขาก็ อย่าง อย่างท่านนายกฯ เขาก็แต่งเครื่องแบบ ท่านก็บอก น่าเบื่อ ว่าน่าเบื่อ เบื่อหน้าแล้ว ถ้าเบื่อหน้าก็ไล่ออกซิ ไล่ออก แต่ท่านนายกฯ ไม่ได้ยิน เดี๋ยวหาว่า ท่านนายกฯ เดี๋ยวนี้แก่แล้ว เขาว่าแก่ ที่จริงหนุ่ม หนุ่มนิดเดียว ของเราหนุ่มแบบพรุ่งนี้ จะอายุ 80 ไม่นึกเลยว่า จะถึงอายุ 80 80 ก็ใครจะว่าแก่ ก็ไม่ว่า ใครตำหนิว่าแก่ ไม่ว่า เพราะว่าแก่จริงๆ แต่คนที่อายุ 60 นั้นไม่แก่ แต่ว่าท่านนายกฯ ก็น่าเบื่อ น่าเบื่อเพราะว่า เจอทีไรก็แต่ง แต่งเครื่องแบบขาวนี่ แล้วก็ ความจริงควรจะแต่งสีอื่นบ้าง ของเรา วันนี้ไม่มีขาว สีขาว เป็นสีเหลือง แล้วเนกไทเป็นสีเหลือง แล้วก็มีสีชมพูด้วย ก็หมายความว่า เราก็ เราก็แก่แล้ว ไม่อยากแต่งตัวให้น่าเบื่อ

    วันนี้ก็เตรียมเสื้อคล้ายๆ ท่านองคมนตรี เสื้อเชิ้ตขาว และก็เสื้อ ไม่ใช่ท่านองคมนตรี ประธาน เสื้อสีน้ำเงินแก่ เราก็แต่งสีเทา ที่จริงแต่งงี้ก็ ไม่น่าเบื่อ แต่ยังมีเนกไทสีเหลือง ก็ให้เก๋หน่อย ยังดีไม่ได้ใส่สีชมพู แต่วันนั้นใส่สีชมพู โหเขาตื่นเต้น เวลาใส่สีชมพูแล้วก็ใส่สีเขียว

    ใส่สีอะไรก็ได้ สีแดงก็ยังได้ สีแดงนี่เป็นกาลกิณีของเรา คนที่ว่าเป็นกาลกิณีของเรา ของเราไม่น่าจะใช่ ยังไง ตั้งแต่แม่ ท่านเกิดวันอาทิตย์ ท่านก็สีแดง พี่สาวก็เกิดวันอาทิตย์ พี่ชายก็เกิดวันอาทิตย์ ก็หมายความว่า เป็นสีแดงนะ คนที่รับใช้ก็เกิดวันอาทิตย์ ทุกคนเลย ยังดี ทองแดงก็ดี ก็ไม่ได้เกิดวันอาทิตย์ เขาเกิดวันเสาร์ ก็เป็นสีม่วง ทองแดงสีม่วง เราก็ไม่เดือดร้อน แต่สีม่วงก็ดี วันก่อนนี้ใส่สีม่วง ก็เลยใส่ได้ทุกอย่าง ไม่เหมือนท่านนายกฯ ใส่เครื่องแบบขาวทุกวัน ทุกครั้ง มันน่าเบื่อ ก็จริง น่าเบื่อ แต่ว่าท่านเรียบร้อย แล้วก็แต่งขาว ท่านทำงานได้ดี ก็เลย ถ้าทำงานได้ดี ก็ไม่น่าเบื่อ

    ท่านผู้หญิงแต่งสีเหลือง สีเหลือง แต่เหลืองอ๋อย สีเหลืองเนี่ย ความจริงตามเรื่อง ต้องเป็นสีค่อนข้างเหลืองอ่อนมาก อย่างวันออก เมื่อวานนี้ใส่สีเหลือง สีเหลืองอ่อน นั่นน่ะเป็นสีเหลืองที่ถูกต้อง เพราะว่าเป็น สีเหลืองที่สว่างของพระจันทร์ ก็บรรยาย นี่เขาให้ มีกระต่ายอยู่ด้วย ก็เลยเป็นสีเหลืองที่ถูกต้อง แต่มาพูดบอกว่า ท่านนายกฯ แต่ง แต่งขาวนี่ ก็ได้เหมือนกัน เพราะว่าวันจันทร์ ก็เป็นสีขาวก็มี แล้วก็จะบอก ใครมาบอกว่าท่านนายกฯ น่าเบื่อ มาบอกว่าน่าเบื่อ น่าเบื่อไม่ได้ แต่งสีขาวสวยมาก ดีมาก แล้วทำงาน อะไรก็คล่องแคล่ว ไม่ใช่ ไม่ใช่ทำงานไม่ดี ทำงานดี สีขาว ก็หมายความว่า หมดจดดี

    แล้วก็ ตั้งแต่ ครั้งแรกที่ คนเขาตำหนิ เมื่อปีที่แล้วไปบอกว่า นายกฯ อายุมาก ก็เปรียบเทียบกับนายกฯ เก่า นายกฯ เก่านั่นน่ะ เขาเด็กกว่า แต่ก็ไม่เท่าไหร่ก็ ก็แก่ เพราะฉะนั้น นายกฯ กำลังดี 60 กว่าๆ ก็กำลังดี ไม่เหมือนเรา เราแก่เกินไป เราแก่ แล้วก็นี่ท่านประธานองคมนตรีก็ยิ้มๆ บอกว่า ท่านก็แก่กว่า แต่ท่านเก่ง ท่านแก่กว่า ท่านก็แข็งแรง ท่านแข็งแรง 80 กว่านี่ กำลังดี พรุ่งนี้ข้าพเจ้าก็จะ 80 กว่า กำลังหนุ่ม กำลังแข็งแรง คนอื่นไม่แข็งแรง ยังไม่ 80

    พูดถึง 80 ก็ มีอยู่ว่า พี่สาวอายุ 84 ท่านค่อนข้างจะแก่ แล้วเมื่อวาน เมื่อวานนี้เราไปเยี่ยม ที่จริงไม่ควรจะ.. ควรจะมาพักที่สวนจิตรฯ นี่ แต่ท่าน ท่านไม่สบาย ก็ไม่สบายอยู่มาก ก็ต้องไปให้กำลังใจท่าน วันนี้ก็ไปไม่ได้เพราะว่า มีงาน พรุ่งนี้ก็ไปไม่ได้ มะรืนนี้ก็ไปไม่ได้ แต่ว่าต้องไปเยี่ยม ท่าน ไม่สบาย

    แต่ว่ามีอยู่ว่า ประชาชนไปเยี่ยมอยู่มากมาย ที่โรงพยาบาล มีประชาชนไปเยี่ยมเต็ม เต็มลาน ห้องชุมนุม เต็ม ก็เลยทำให้สบายใจว่า มีคนเอาใจใส่ คนที่ไม่สบาย ให้กำลังใจ อันนี้ต้องชมคนไทยว่า คนไหนไม่สบาย ก็ให้กำลังใจ ถึงว่า คนไหนไม่สบาย รู้ว่ามีคนเอาใจใส่ ก็สบาย

    อย่าง ที่ เข้าโรงพยาบาล ไม่รู้ตัวว่าไม่สบาย เขาหาว่าเรา เราจะแย่ ก็ดูแล คนเขาว่าว่า พิการที่สมอง สมองเรา เราก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไร ทำไปทำมาบอกว่า เป็นที่ลำไส้ เขาบอกว่าพิการ หรือป่วยที่ลำไส้ เขาก็หาใหญ่ ตามธรรมดาลำไส้ที่พิการ เขาจะดูทางซ้าย แต่ว่า ทำไปทำมากลับดูว่าเป็นพิการทางขวา ทางขวาของเรา เขาไปดูทางซ้าย ทางซ้ายไม่มีอะไร เขาก็เคาะใหญ่ เคาะไป ไม่เป็นไร แท้จริงเป็นทางขวา เขาก็บอกว่า ประหลาด ว่าพิการทางขวา

    เรานึกว่า ตัวเรา เราเป็นคนประหลาด เวลาดูว่าป่วยทางไหน ก็มาดู ว่าป่วยทางขวา ก็แล้วไป แต่ทีหลังทำไปทำมาก็เรียบร้อย ดูแล้วไม่เป็นแล้ว ไม่เป็นแล้ว เขาก็บอกว่าเป็นที่สมอง เป็นที่สมองไม่ใช่ของเรา เป็นที่สมองของหมอ ก็เพราะเขาว่า เขาว่าพิการ ที่จริงพิการที่สมองของหมอ แล้วไปเข้าเครื่อง เครื่อง ในเครื่องดังป๊องๆๆๆ ไม่เป็นอะไร ไม่มีพิการ ก็เลยออกจากโรงพยาบาลดีกว่า ถ้าอยู่ในโรงพยาบาล จะพิการจริงๆ

    เพราะว่า อยู่โรงพยาบาลนี่แย่ เกือบจะเปลี่ยนโรงพยาบาล เปลี่ยนไปโรงพยาบาล ที่อยู่ฝั่งนี้ ไปอยู่ฝั่งโน้น จะเป็นบ้า แล้วก็ เลยนึกไป ไปดูว่าทำไมเป็นบ้า เป็นบ้าเพราะน้ำมันจะท่วม น้ำจะท่วม น้ำมันขึ้นเลย ขึ้นไปขึ้นมา แล้วใครมาบอกว่า น้ำจะท่วม แต่น้ำ ไม่ท่วม เพราะมีโครงการ มีโครงการที่พระประแดง แต่ก็พูดไปพูดมา เขาเอาเรือ ของกองทัพเรือ เขาสร้าง มีเรือใหญ่ ก็บอกว่าให้ไปเรือนี้ ก็เอาเรือนั้นมาจอด เรือสวยด้วย ก็เลยร่ำลือกันใหญ่ว่า พรุ่งนี้จะเสด็จฯ

    เรายังไม่ไป เพราะว่ามีงาน มีงานตลอดปี ตลอดทั้งเดือน ก็เลยต้องปฏิเสธ เขาบอกว่า ไม่ใช่พรุ่งนี้หรอก มะรืนนี้สิไป ไป บอกว่าจะไป จะไปเยี่ยมโครงการที่พระประแดง บอกว่ายังไม่ไป ไม่เชื่อ แต่ทำไปทำมาก็เชื่อ เรือไม่เอามาแล้ว ไม่งั้นเอาเรือมาจอด เอาเรือมาจอดให้เราไป เราก็เลยบอกว่า เรือนี่ใช้น้ำมัน เปลืองน้ำมันเหมือนกัน แต่เราจะใช้ไบโอดีเซล เขาบอกว่าใช้ไม่ได้ ถ้าใช้ไม่ได้ เราไม่ไป แต่เรือ เรือที่เป็นเรือแท็กซี่ เขาใช้ไบโอดีเซลได้

    เดี๋ยวนี้กำลังพัฒนาไบโอดีเซล เพราะว่าถ้าใช้ดีเซล เปลือง แล้วก็ดีเซลจะหมดโลกแล้ว แต่ไบโอดีเซลของแบบฝรั่งมัน 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง หมายความว่าไบโอเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ เราไม่ยอม เราจะใช้ไบโอดีเซล 100 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าดีเซลแบบไบโอ แบบพืช ใช้ 100 เปอร์เซ็นต์

    อย่างคราวก่อนนี้ไป แล้วก็นายกฯ ใช้ไบโอ 100 เปอร์เซ็นต์ ไบโอ ใช้น้ำมัน น้ำมันแบบก๊าซโซฮอล์ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ 10 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่เขาใช้ ขึ้นภูเขา ขึ้นตรงเขื่อน ขึ้นชัน ก็ไปได้ดี รถใช้น้ำมัน ก๊าซโซฮอล์ แบบของเรา ก็ขึ้นได้ดี แต่ว่าอาจจะมีน้อยหน่อย ราคาถูกกว่า ถูกกว่าดีเซลเดี๋ยวนี้ ก็ใช้ดีเซลแบบ แบบก๊าซโซฮอล์ มาตอนนี้จะใช้ดีเซลแบบน้ำมันปาล์ม น้ำมันปาล์ม 100 เปอร์เซ็นต์ จะใช้ได้ ไม่ต้องใช้ดีเซลสั่งมาจากเมืองแขก คือถ้าเราใช้ดีเซลจากเมืองแขก อีกหน่อยก็หมด อีกหน่อยหมด แล้วก็ เดี๋ยวนี้เขาก็ เขาก็ไม่ใช้ แต่จะเก็บเอาไว้สำหรับมาขายให้เรา เราต้องเสียแพงๆ

    เราจะใช้ไบโอดีเซลแบบน้ำมันปาล์มที่เราปลูกเอง เราปลูกเองอาจจะมีน้อยหน่อย ก็ใช้น้อย อย่าไปฟุ่มเฟือย ใช้มากเกินไป น้ำมัน ใช้น้อยๆ หน่อย แต่เราจะมี มีใช้ ปลูก ต้นปาล์ม แล้วมามาทำเชื้อเพลิง ต้นปาล์ม มาทอด มาทอดปลา ทอดอะไรต่างๆ ได้ แล้วก็มาใส่ในรถดีเซล ได้ใช้แล้ว ก็ใช้ได้ มันวิ่งช้าหน่อย วิ่งช้า ก็ไม่เป็นไร เราอย่าเร่งรีบ ชีวิตอย่าให้เร่งรีบมากเกินไป แต่ราคาก็ถูก ฉะนั้นก็ ถือหลักว่า ใช้ของราคาไม่แพงเกินไป อาจจะไม่ มีประสิทธิภาพเท่ากับไฮสปีดดีเซล แต่ก็ไปได้ ก็ขอให้คิดว่าทำอะไร ต้องประหยัด คนก็ว่า ประหยัดๆ ดีกว่าไม่มีเลย ถ้าไม่มี ถ้าไม่มีดีเซล เราก็ต้องไปซื้ออยู่ดี

    เราไปซื้อ ก็มี 2 แห่งที่เขาขายเป็นสำคัญ ก็คือของแขก คือของฝรั่ง ของฝรั่งก็คืออเมริกัน เขาไม่ ของอเมริกันน่ะ เขาไม่ค่อยขาย เขาบอกเขาไม่มี แท้จริงเขามีเยอะ แต่ว่าเขาไม่ขายเพราะว่า เขาเก็บเอาไว้ มาขายให้เราแพงๆ ที่จริง น้ำมัน จะเป็นดีเซล หรือน้ำมันเบนซินแรงๆ มันราคาไม่ถึงที่ที่เขาขายกัน จนกระทั่งเขาแย่เพราะว่า เขาขายแพงเหลือเกิน เลยขายไม่ได้ ขายไม่ออก บางทีก็ต้อง ลดราคา เพราะฉะนั้น เราซื้อน้ำมันราคาถูกของเราเอง ถูกกว่าของฝรั่ง ของแขก แล้วก็อาจจะคุณภาพ คือกำลังน้อยกว่าดีเซล ที่ขุดจากดิน แต่ที่จริงที่ขุดจากดินนั้นน่ะ ราคาไม่น่าจะแพงอย่างนั้น แต่เราก็โลภอยากได้น้ำมันที่มีกำลัง ก็เลยยอมเสียเงิน เสียเงิน ซึ่งเราควรจะไปใช้อย่างอื่น

    ฉะนั้นก็ การที่เราเสียรู้ทั้งฝรั่ง ทั้งแขก เสียเงินให้เขา ฝรั่งกับแขก เขาได้เงินเยอะๆ ก็ไปซื้ออาวุธ เขาสลับ สู้รบกันเอง อิรัก เขาก็มีน้ำมันมาก แต่ว่าเขาไม่ขาย เขาไม่ขายเพราะว่าเขาขายไม่ได้ ไม่มีโรงที่จะกลั่น ก็ขายให้เรา แล้วเราเอามากลั่น แล้วเราก็ขายให้แขก แต่เขาซื้อในราคาถูก เขาขายในราคาแพง

    ไอ้นี่มันไม่ค่อยถูกหลักของการค้า การค้าที่รัฐบาลมีผู้เชี่ยวชาญการค้า ต้องขายอะไรให้ราคาแพงจะได้มีกำไร แล้วซื้อในราคาถูก แต่เราทำตรงข้าม เราซื้ออะไรราคาแพง เราขายราคาถูก อย่างนี้เราแย่ เพราะเรา เราไม่มี ไม่มีทางที่จะขายอะไรราคาแพง เพราะเขาก็ต้องบอก อู้..เขาขาดทุน เวลาไปที่ร้านเขาก็บอก ผม..ขาดทุน เป็นเสียงภาษาแขก เสียงภาษาจีน ภาษาฝรั่ง เขาก็ต้องบอกเขาขาดทุน ถ้าเราขายในราคาแพง โห..มันแพงเกินไป แล้วก็เลยซื้อไม่ได้ เขาบอกเขาซื้อไม่ได้ เพราะว่าเวลาจะซื้อเขา เขาก็ขายไม่ได้ เขาขาดทุน

    ที่จริงเราคนไทยนี่ เราใจดีเกินไป เรายอมขาดทุนเรื่อย ความจริงถ้า ถ้าเราขายอะไรไม่ให้ขาดทุน ซื้ออะไรไม่ให้ขาดทุน เรารวย เมืองไทยนี้รวย แต่ว่า เราใจดีเกินไป ต่างประเทศเขาบอกเขาขาดทุน เราก็ลงท้ายก็เดี๋ยวเชื่อเขา ไม่ดี เราขาดทุนไม่ได้ ไม่รู้รัฐบาลชุดนี้จะ จะซื้ออะไรขายอะไรให้ขาดทุน หรือเปล่า แต่ก่อนนี้ ขาดทุนเสมอ ฉะนั้นก็ เราก็จะต้องพยายามจะ ทำอะไรที่ เราไม่ขาดทุน คือทำเอง ต้องทำเอง

    แล้วที่รัฐบาลสนับสนุน เศรษฐกิจพอเพียง พอเพียงเนี่ย หมายความว่า เราไม่ทุกข์ว่า เขาจะว่าว่าเราเอากำไรมากเกินไป เราไม่เอากำไรมาก เราไม่ทำให้ขาดทุน เราไม่ทำให้มี กำไรมากเกินไป เพราะเราขายกันเอง ก็กันเอง ก็ไม่ต้องขายแพง กันเองไม่ต้องซื้อแพง ฉะนั้นน่ะ เศรษฐกิจพอเพียงเนี่ย ไม่ได้หมายความว่า ขาดทุน ขาดทุนก็ขาดทุน แต่ว่า ขาดทุน กำไร ของเราเอง กันเอง

    นี่พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียงมาหลายปีแล้ว ก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน เพิ่งมาเข้าใจสักเดือนหนึ่ง สองเดือนนี้ ฉะนั้นก็ ขอให้ไปศึกษาต่อเรื่อง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง พอเพียงคืออะไร ไม่ใช่เพียงพอ คือว่าไม่ได้หมายความว่า ให้ทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ทำกำไรก็ทำ ถ้าเราทำกำไรได้ดี มันก็ดี แต่ว่าขอให้พอเพียง คือถ้าเอากำไรหน้าเลือดมากเกินไป มันไม่ใช่พอเพียง

    นักเศรษฐกิจก็ว่า พระเจ้าอยู่หัวฯ นี่ คิดอะไรแปลกๆ ก็แปลกสิ ขายไม่ให้ได้กำไร ซื้ออะไรไม่ขาดทุน เป็นเศรษฐกิจพอเพียง คือไม่ต้อง ไม่ต้องหน้าเลือด แล้วไม่ใช่ ไม่ใช่จะมีกำไรมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ให้พอเพียง

    ไม่ใช่เรื่องของการค้าเท่านั้นเอง เป็นเรื่องของการพอเหมาะ พอดี เราทำพอเหมาะพอดี ก็ดี พูดไปพูดมา เรื่อง เดี๋ยวก็จะโกรธเอา

    เราสร้างเรือ เราสร้างเรือให้พอเพียง เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง นั่นน่ะ มันไม่พอเพียง มันเล็กเกินไป ยังเล็กเกินไป ก็อาจจะ ควรจะใหญ่กว่าหน่อย แต่ถ้าใหญ่เกินไป ไม่พอเพียง ถ้าเล็กเกินไปก็ไม่พอเพียง ที่เขาจะทำน่ะ เรือที่เขาจะทำ เรือดำน้ำ เรือดำน้ำดำลงไป ไปปักเลนเลย เดี๋ยวเขาโกรธเอา ว่าเรือแล่นๆ ไป จะลงไป ดำน้ำ ไม่พอ ใครมาเครื่องบิน เห็น เห็นแจ๋วเลย ต้องไปจมเลนถึงจะไม่เห็น แล่นๆ ไปปัก ปักเลน ถ้าอยากไปที่ที่ลึก ก็ไปอยู่นอกเส้น ก็รู้สึกว้าเหว่ ไกลไป ไอ้เรือ เรือดูแลใกล้ฝั่งนี่ดีกว่า แต่ลำที่เราสร้าง ก็ใช้ได้ดีแล้ว แต่ที่ควรจะสร้างต่อไปให้ใหญ่กว่านี้สัก ใหญ่กว่านี้หน่อย แต่ตอนนี้ก็คงไม่มีเงินแล้ว ต้องใหญ่กว่าหน่อย เพราะว่าถ้าไม่ใหญ่พอ จะไม่สามารถที่จะปฏิบัติการ อย่างต่อเนื่อง

    แต่ว่า นี่พูด กลายเป็นราชการลับนะ ที่พูดราชการลับว่า เรือที่พูด ควรจะซื้อเรือของรัสเซีย เรือที่เขาสร้างใหม่ ใหญ่กว่าที่เราสร้าง ไม่มาก นั่นน่าจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าซื้อของรัสเซียเนี่ย ราคาไม่ถึงครึ่งของเยอรมัน ของอเมริกัน อเมริกันก็โกรธแน่ ถ้าเราไปซื้อของรัสเซีย ลองไปดู ลองไปดูเรือ เรือของรัสเซีย แต่เขาอาจจะไม่ขายให้ก็ได้ ลงท้ายทำไมทำมา เขาอาจจะขายให้ราคาแพง แต่ความจริงก็ควรจะขายเรา ขายเรา ไปขอเขาดู มัน ของรัสเซียดีจริงๆ แต่รู้ไม่ได้เดี๋ยว เขาก็ขายให้เราลำโปเกโปเก มาได้

    เพราะฉะนั้นนี่ พูดความลับราชการ แต่เมืองไทยนี่ ความลับราชการ ก็เผยเรื่อย เผยความลับราชการ ก็ไม่รู้ล่ะ นะทองแดง ถ้าเผยความลับราชการก็อาจจะ อาจจะดีก็ได้ เพราะว่าความลับราชการก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี ยังไงก็ จะทำอะไรก็มาเผยกันหมดก็ได้ ทุกกองทัพ กองทัพเรือ ก็มีเรือดำน้ำ กองทัพอากาศ ก็มีเรืออะไรล่ะ สมัยใหม่นี่ก็ แต่เดี๋ยวนี้เขาเกิดจะมาซื้อลำนิดเดียว แต่ราคาแพงเหมือนลำใหญ่ แต่ตอนนั้นน่ะ จะซื้อลำใหญ่ ราคานิดเดียว เหมือนลำเล็ก

    แต่ว่า แต่ก่อนนี้ที่จะซื้อเครื่องบินลำใหญ่ ในราคาของลำเล็ก ก็ชอบกลอยู่นะ ก็รัสเซียเหมือนกันนั่นน่ะ ทำไปทำมาจะซื้อเรือรัสเซีย เรือบินรัสเซีย เราไม่เห็นด้วย แต่จะซื้อเรือ เรือน้ำรัสเซีย ก็น่าใช้ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ก็ได้ชวนกันซื้อเครื่องบิน อย่าซื้อเครื่องบินรัสเซีย ซื้อเรือรัสเซีย ไม่ใช่ ไม่อย่างงั้นจะชนกัน เรือ เรือของรัสเซีย เรือน้ำของรัสเซีย เข้าใจว่าดี เรือบินของรัสเซีย เข้าใจว่าใช้ไม่ได้ ลองไปดู

    นี่ นานๆ ทีได้พบกัน ก็ต้องปรารภ ว่าอะไรควรจะทำ ไม่ควรจะทำ เรือบิน ก็ดูตกลงกันแล้ว แต่ถึงเวลาได้เรือบินมา ก็อาจจะล้าสมัยแล้ว 2 ปีกว่าจะได้ 2 ปีคงล้าสมัยแล้ว เรือบินไม่ใช่รัสเซีย เรือบินของสวีเดนนะ ก็ ดูดี เพราะว่าลำมันไม่ใหญ่ กองทัพบกก็ จะไปซื้อรถ รถล้าสมัย ล้าสมัยเหมือนกัน

    ไม่รู้ว่า คนไทยนี่ ชอบซื้ออะไรล้าสมัย แต่เอามาเล่นก็ดีเหมือนกัน รถถังล้าสมัย แต่เมืองไทยนี่ใช้รถถัง ทันสมัย มันใช้ไม่ได้ มันจมเลน จมเลนแล้วก็ ถ้าจมเลนปั๊บก็ มันก็หมดสมัย มันลำบากที่จะ ซื้อ เดี๋ยวนี้จะซื้อ รัฐบาลก็หมดสมัยแล้ว อีกหน่อยก็หมดสมัย อีกไม่กี่เดือนก็หมดสมัย เอาไว้ให้รัฐบาลใหม่ เขาซื้อ เขาซื้อรถถัง รถอะไรนั่น แต่อย่างนี้ มาแนะนำการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์กลางที่ประชุมนี้ ที่ประชุมนี้ก็ใหญ่กว่า สภาฯ นะ คนมากกว่า มีคนตั้ง 20,000 คน ลงท้าย เขาฟังข้างนอก เขาก็งง ไม่รู้ว่า ไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไร

    ยังไงก็ตาม ที่พูดอย่างนี้นัยให้เห็นว่าเราต้องคิดดีๆ ว่าจะซื้อ จะซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จะซื้อยังไง รู้สึกว่าท่านก็ คงงงหมดแล้ว ว่าไม่ได้พูดถึงพลเรือน ว่าจะซื้ออะไร มีแต่จะซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ต้องซื้อ ต้องมี เพราะว่าเดี๋ยวนี้ น้ำท่วม ก็ใช้กองทัพ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ไปช่วยชาวบ้าน สำหรับพวกพลเรือนไม่มี ไม่มีอาวุธ ที่จะไปช่วยพวกที่ เดือดร้อน พวกที่ ต้องการใช้ เรียกว่าอาวุธ สำหรับช่วยประชาชน ยังไงก็พลเรือนก็ต้อง มีอาวุธเหมือนกัน

    แต่ก่อนนี้พูดถึงตำรวจ เป็นกองทัพ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่เป็นแล้ว แต่ว่าต้องใช้อาวุธ สำหรับช่วย ชาวบ้าน ยังไงก็ คงต้อง ต้องเลิกพูด เพราะว่าถ้าพูดมาก เดี๋ยวท่านก็งงว่า จะมาใช้เงินเยอะแยะ ไหนๆ เรารวยแล้ว

    เดี๋ยวนี้เรารวย เงิน เงินบาทมีราคาสูง สูงเกินไป ก็ใช้สิ เงินบาทสูงเกินไปก็ใช้ ใช้ในที่ที่ควร นี่ไม่ทราบ เราเดี๋ยวนี้ไม่รู้เรื่อง อาจจะเป็นที่หมอเขาว่า สมองเรา เราฝ่อ แต่เรารู้สึก สมองเราไม่ฝ่อ แต่เขาว่าเราฝ่อ ฟังว่า รัฐบาล หรือเมืองไทย ประชาชน มีเงินเยอะ มีเงินเกินนะ ก็ใช้สิ

    เขาหาว่าเราเศรษฐกิจพอเพียง คำว่าพอเพียง ถ้ามีเงินก็ต้องใช้ ไม่ใช่ขี้เหนียว ถ้ามีเงิน ไม่ต้องขี้เหนียว ซื้อไปเถิด อะไรก็ตาม เครื่องบิน เรือ รถถัง ซื้อ ถ้ามีเงินเยอะ ก็ถือว่าสนับสนุนให้จ่าย เดี๋ยวนี้เขาก็ ในหนังสือพิมพ์เห็นว่า เขาสนับสนุนให้จ่าย ถ้ามีก็จ่าย แต่ถ้าไม่มีก็ระงับหน่อย มันเป็นอย่างนี้ คนเราก็พูดเกินไปเสมอ อย่าให้เขา ตอนนี้ ที่ท่านมาให้พรให้ อวยพร ก็นับว่าดีมาก ทำให้มีกำลังใจ

    แต่ไม่ทราบว่าคิดถูกหรือไม่ถูกเพราะว่า ท่านไม่ได้บอกอะไร เรามีเงินเยอะใช่ไหม ดูท่าทางว่า approve ว่า มีเงินเยอะ ก็ถ้ามีเงินเยอะก็จ่าย ใช้เงินให้ สมกับที่เรามีเงิน ถ้าไม่มีเงินแล้วจ่ายจะอันตราย แต่ถ้ามีเงินแล้วไม่จ่าย ก็อันตรายเหมือนกัน เพราะว่า คนที่มีเงินแล้วไม่จ่าย หมายความว่า จะเก็บไว้ทำอะไร บางคนมีเงินแล้วไม่จ่าย ให้คนอื่นจ่าย ก็หมายความว่า คนที่ไม่มีเงิน บอก ใช้เงินเถอะ เพื่อที่จะได้กำไร คนที่มีเงินยิ่งอยาก อยากได้กำไร อย่างนี้ไม่ดี

    ฉะนั้นก็ต้อง คนที่มี มีเงินก็จ่าย แล้วก็ช่วย คนที่ไม่มีเงิน นี่ รู้สึกตัวว่าพูดอะไรที่ ถูกต้อง คือคนที่มีเงินต้องจ่าย คนที่ไม่มีเงินต้องไม่จ่าย แต่คนเขาคิดตรงข้าม คนที่ไม่มีเงินต้องจ่าย อย่างสมัยนี้ คนไม่มีเงิน ให้ใช้เงิน ใช้เงินมากๆ เพราะว่าถ้าคนไม่มีเงินใช้เงินมากๆ ก็ต้องไปกู้ คนที่มีเงินมากๆ ก็ได้กำไร ไม่พอเพียง

    ก็ยังไงก็ ขอให้ที่ท่านมานี้ ได้ผลไปคิด ให้ไปคิดว่าควรจะทำอะไร แล้วท่านก็มีความคิดดีอยู่แล้ว ก็อย่าไปคิดว่า อย่าไปมีปมด้อยว่า ไม่มีความคิด ซื้อเรือ ซื้อเครื่องบิน ซื้อรถถัง ก็ไปซื้อเถิด คือเรือ สร้างเอง ให้เขาสร้าง เรืออันไหนที่สร้างไม่ได้ ไปสร้างที่อื่น แล้วก็ไปสร้างที่ๆ เขาแล่นๆ ไปนั่นนะ มันคลอนหมด ไปซื้อเรือที่แล่นๆ น่ะ จะไปสู้กับเขาไม่ได้ เพราะว่ามันคลอนหมด สร้างเองดีกว่า นี่เขางงว่า ว่าทำไม ยุให้สร้าง สร้างเรือ สร้างเรือเอง ให้คุณภาพดี ไม่ให้คลอน แต่เครื่องบินไม่ต้องไปสร้างเอง มันตก

    ก็ยังไงก็ คง พูดมากเกินไป ทองแดงก็เมื่อย แต่พูดอะไรก็เห็นด้วยนะ อ้าว ยัง ยังไม่ไป ยังไม่ไป ก็ขอบใจที่ท่านมา ขอให้ท่านสามารถที่จะมี จิตใจที่เข้มแข็ง แข็งแรง แล้วก็เพื่อที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ก็จะเป็นประโยชน์แก่ท่านเอง ก็ขอขอบใจ อีกทีที่ได้ทำ"


    โดย ผู้จัดการออนไลน์ วันอังคาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2550
     
  6. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    เตรียมทูลเกล้าฯ ถวายรายงานในหลวง-สมเด็จพระเทพฯ แก้น้ำท่วม-แล้งลุ่มน้ำยมยั่งยืน

    ความเดิม
    พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ ในหลวงพระราชทานทุน 84 ล้าน ก่อตั้งมูลนิธิอุทกพัฒน์

    จากกลางปีที่แล้ว มูลนิธิอุทกพัฒน์ได้ดำเนินงานผ่านพ้นการศึกษารายละเอียดเสร็จสิ้น ได้ลงนามทำความตกลงกับกองทัพบก ดำเนินการแก้ปัญหาลุ่มน้ำยมตามแนวพระราชดำริเสร็จสิ้น พร้อมดำเนินการในขั้นต่อไปทันที

    พิธีลงนาม MOU ระหว่างมูลนิธิอุทกพัฒน์และกองทัพบ

    เตรียมทูลเกล้าฯ ถวายรายงาน แก้น้ำท่วม-แล้งลุ่มน้ำยมสำเร็จ

    มูลนิธิอุทกพัฒน์เผย แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งลุ่มน้ำยมสำเร็จ เตรียมทำรายงานทูลเกล้าฯ ถวาย ‘ในหลวง-พระเทพฯ’ พร้อมจับมือกองทัพสนับสนุนการจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริแก้ท่วม-แล้ง

    เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 56 ที่มูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระราชูปถัมภ์ มีพิธีลงนามความร่วมมือ การป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง และการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ โดยมีนายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ร่วมลงนาม โดยนายสุเมธ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างมูลนิธิอุทกพัฒน์กับกองทัพบก มีวัตถุประสงค์ให้เกิดการปฏิบัติงานร่วมกัน โดยเฉพาะด้านการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศด้านต่างๆ และสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการบริหารจัดการน้ำชุมชน ที่จะช่วยป้องกัน แก้ไขปัญหาอุทกภัย และภัยแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กองทัพเห็นความสำคัญในเรื่องอุทกภัย และช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง และมีแนวคิดว่า การป้องกันปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น โดยกองทัพและมูลนิธิฯ มีโครงการแก้ไขปัญหาเพื่อเพิ่มความสามารถในการระบายน้ำ และการสำรองน้ำช่วยบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งในชุมชน 10 พื้นที่ อาทิ จ.นครสวรรค์ สุโขทัย พิษณุโลก ปัตตานี ราชบุรี

    ต่อมา นายสุเมธ ให้สัมภาษณ์หลังร่วมลงนามว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วม น้ำแล้งในประเทศไทยค่อนข้างรุนแรง โดยปัญหาเฉพาะหน้า คือ ปัญหาภัยแล้งที่ได้ลุกลามอยู่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัญหาคือจะบริหารจัดการน้ำอย่างไรจึงจะพอเพียง ทั้งนี้จากการที่ตนได้ลงพื้นที่พบอุปสรรคสำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง คือชาวบ้านไม่อยากเสียพื้นที่ เพื่อขุดสระน้ำทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก สำหรับเก็บน้ำในหน้าฝนเอาไว้ใช้ในหน้าแล้ง ดังนั้น การสร้างความเข้าใจให้กับชาวบ้านเรื่องน้ำ จึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตามขณะนี้มีนิมิตหมายที่ดีในการแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง คือการแก้ปัญหาลุ่มน้ำยมที่เป็นต้นเหตุของปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งของประเทศไทยตลอดทั้งเส้น ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ คือตั้งแต่ จ.แพร่ พิจิตร สุโขทัย พิษณุโลก และนครสวรรค์ ที่ชาวบ้านได้ร่วมกันตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง โดยให้ตนเป็นประธาน และแก้ไขปัญหากันเอง โดยการสร้างแบบจำลองขึ้นมาในแต่ละพื้นที่ว่า พื้นที่ไหนเหมาะกับการสร้างเขื่อน สร้างอ่าง หรือสร้างฝาย เพื่อเก็บและชะลอน้ำ ซึ่งชาวบ้านในแต่ละพื้นที่จะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด ปรากฏว่าจากเดิมที่ชาวบ้านแต่ละจังหวัดที่เคยโทษกันไปมาว่าแต่ละพื้นที่เป็นต้นเหตุของปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ก็กลับมาปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหา และที่น่าดีใจที่สุดคือ กลุ่มเอ็นจีโอที่เคยต่อต้านมาตลอด ก็เข้าร่วมด้วย จนขณะนี้การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งลุ่มน้ำยมสำเร็จ และถือเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างชุมชนต่อชุมชน

    นายสุเมธ กล่าวต่อว่า ส่วนการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ที่จะแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ขณะนี้ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะสร้างแล้ว หลังจากที่ชาวบ้านหารือกัน และพบว่าไม่มีเหตุผลพอที่จะสร้าง ซึ่งสร้างไปก็กลายเป็นอนุสาวรีย์โด่เด่ขึ้นมาเปล่าๆ โดยชาวบ้านที่บ้านสะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ ก็เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว เพราะสิ่งที่กองทัพบกกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ได้ไปทำ คือขุดคลองและบึงที่มีอยู่แล้ว แต่ตื้นเขินให้กลับมามีสภาพที่ใช้งานได้ ก็สามารถที่จะเพิ่มพื้นที่เก็บน้ำในฤดูน้ำท่วม และเป็นแหล่งสำรองน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งได้ การแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำยมที่สำเร็จ ถือว่าสำคัญมากในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในประเทศไทย โดยมูลนิธิอุทกพัฒน์จะทำรายงานนี้ ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพฯ ภายในเดือน มี.ค.นี้

    ด้าน นายรอยล จิตรดอน ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้ความจำเป็นในการสร้างเขื่อนของประเทศไทย ไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะสภาพฝนและทะเลเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ทั้งจากมหาสมุทรอินเดีย ทะเลจีนใต้และมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อทะเลเปลี่ยน ฝนเปลี่ยน ทำให้การคาดการณ์ในเรื่องทิศทางฝนและลมเปลี่ยนไปด้วย กรณีการไม่สร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นชัดเจนที่สุด โดยตั้งแต่ปี 2549-2555 น้ำที่ท่วมในภาคเหนือตอนล่าง ไม่ได้เกิดมาจาก จ.แพร่ ที่เป็นพื้นที่ที่จะมีการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น แต่ส่วนใหญ่ ฝนและน้ำจะมาจาก จ.สุโขทัยเป็นหลัก ดังนั้นสิ่งที่ประเทศไทยควรทำ คือสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็ก รวมทั้งการเสริมพื้นที่แก้มลิง โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการน้ำ

    นายรอยล กล่าวต่อว่า กรณีลุ่มน้ำยมที่มีปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งมาตลอด พบว่าน้ำที่ไหลจากสุโขทัยไปยัง จ.แพร่ มีปริมาณ 1,200 ลูกบาศก์เมตร แต่เมื่อไหลไปยัง จ.พิจิตร กลับเหลือเพียง 550 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะบริเวณนั้นมีลักษณะเป็นคอขวด ทำให้พื้นที่การรองรับน้ำมีน้อย ดังนั้น ต้องเปลี่ยนวิธีคิดวิธีการจัดการน้ำแบบใหม่ เพราะธรรมชาติเวลานี้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เช่นจากเดิมเรายึดหลักว่า ถ้าปีไหนเป็นปีเอลนีโญ่ ปีนั้นจะมีฝนน้อยและแล้ง แต่สิ่งที่พบเวลานี้คือ ปีนี้เป็นปีเอลญีโญ่ แต่กลับมีฝนเยอะและน้ำท่วมภาคใต้ วิธีจัดการน้ำจึงต้องคิดใหม่ เขื่อนไม่ใช่คำตอบอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็ก ก็ต้องวางแผนอย่างรัดกุม กรณีการสร้างอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำยม จะต้องมีการเวนคืนพื้นที่จากชาวบ้าน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะการเวนคืนพื้นที่จากชาวบ้าน คือการเวนคืนชีวิตไม่เหมือนกับการเวนคืนพื้นที่ในกรุงเทพฯ ที่เป็นการเวนคืนที่อยู่กับที่ทำงานเท่านั้น

    ไทยรัฐออนไลน์


    ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ ล้นกระหม่อม

    ขอขอบพระคุณมูลนิธิฯ ผู้ดำเนินการและกองทัพ ที่สานฝันให้เป็นจริง

    พอกันทีน้ำท่วม ภัยแล้งลุ่มแม่น้ำยม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...