บังคับให้ช้อนซ่อมลอยขึ้นไปในทิศทางต่างๆ ทดลองโดย2วิธี ใช้มือและใช้จิต,28 มีนาคม 2549

ในห้อง 'การทดลองทางจิต' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 29 มีนาคม 2006.

  1. ว

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +106
    ผมอยากรู้ว่าผมมีพลังจิตไหม เคยอ่านเรื่องการเดินลมปราณ แล้วลองทำตามผมรู้สึกได้ถึงพลังงานไหลเวียนในตัวนะ แต่ไม่สามารถนำมันออกมาใช้กับสิ่งนอกกายเหมือนกับว่า ผมคิดไปเองหรือเปล่าใคร ใครทำได้มีพลังจิตของจริง ช่วยบอกวิธีฝึกอย่างละเอียดหน่อย อยากพิสูจน์ให้เห็นกับตาผม มีจริงผมทำได้ เรื่องอย่างนี่ต้องพิสูจน์ด้วยตาครับ
     
  2. da5percent

    da5percent Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +98
    สุดยอด มากครับ อ่านแล้วสนใจจังเลย จะเริ่มยังไงได้บ้างครับ ขอลิ้งก์หรือ คำแนะนำด้วยคร้าบ
     
  3. ว

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +106
    การเดินลมปราณ


    การเดินลมเข้าทางด้านหน้า
    ให้ลมหายใจเข้าผ่านจุดสติ(หน้าผากหว่างคิ้ว)คอหอยลูกกระเดือก ต้นจิต กลางหน้าอกราวนม ลิ้นปี่กลางลำตัว เหนือสะดือประมาณสองนิ้วท้องน้อยต่ำกว่าสะดือสี่นิ้ว ปล่อยลมหายใจออกจากจุดท้องน้อยผ่านจุดใกล้ทวารหนักเยื้องไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้นกบ เหนือเอวสองนิ้ว กลางหลังเหนือกลางหลังสี่นิ้ว ต้นคอด้านหลัง ท้ายทอย กลางกระหม่อม ให้ลมออกที่จุดกลางกระหม่อมหรือจุดสติ
    การโคจรลมปราณ
    ลมปราณบังคับลมให้ลึกยาว (แต่ทางปฎิบัติฝึกทั้งลมยาว และลมละเอียดลมละเอียดจะสะสมอำนาจจิตได้มากกว่ารั่วน้อย)
    วิธีการฝึกลมปราณนี้เป็นวิธีฝึกการหายใจให้เกิดความเคยชิน และสืบเนื่องจนเป็นนิสัยที่ดีของการหายใจเพื่อใช้นำการหายใจในการฝึกปฏิบัติสมาธิจิตทุกๆครั้งและหลังจากออกจากสมาธิแล้ว
    ส่วนท่าฝึกใช้ร่วมกันได้
    ด้วยเหตุนี้จึงได้เขียนรวมไว้ในที่นี้
    ฝึกลมปราณสร้างกำลังภายใน
    ก่อนอื่น ใจเย็นๆนั่งลงหายใจตามปรกติก่อน สัก 1 หรือ 2 นาที ถ้าเหนื่อยมาจากงานหรือเพิ่ง
    เดินทางมาถึง นั่งพักสักครู่ก่อนเพื่อให้ใจสงบลงพร้อมที่จะฝึกต่อไป
    จากนี้เลือกท่าฝึกที่เหมาะสมกับสังขารท่าใดท่าหนึ่ง
    โดยปกติคนเราจะหายใจช่วงสั้นและตื้น
    ไม่ได้ใช้ความสามารถของปอดที่สามารถขยายและหดอย่างเต็มที่จึงทำให้ปอดไม่ได้หายใจเอาอากาศดีเข้าและขับอากาศเสียออกจากร่างกายอย่างเต็มที่ปอดจึงไม่สามารถฟอกโลหิตให้สดใสสมบูรณ์ดีเท่าที่ควรเป็นผลให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่าย
    การฝึกลมปราณ ต่อไปนี้จะช่วยป้องกันและรักษาหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้
    ฝึกลมปราณก็ต้องอาศัยการฝึกจิตให้สงบก่อน
    การฝึกนี้ไม่ต้องใจร้อนรีบเร่งไม่ฝืนสังขารและฝืนจิตใจ ทำใจสบายๆ ค่อยๆฝึก และฝึกจนจิตรวมเป็นหนึ่งจึงจะเป็นพื้นฐานที่ดีของการฝึกลมปราณต่อไป
    1. ทำใจให้สงบแล้วค่อยๆหลับลงหุบปากแล้วใช้ปลายลิ้นคํ้า แตะเพียงเบาๆที่เพดาน
    2. หายใจตามปรกติวิสัยจนกว่าจะสงบ รวมจิตเป็นหนึ่งก่อน แล้วจึงหายใจเข้าค่อยๆลึกขึ้นด้วย วิธีถอนหายใจลึกเข้าๆจนสุดแรงดูดลมลมหายใจนั้นจากหยาบให้ค่อยๆปรับให้ละเอียดมากขึ้น จากการหายใจตื้นให้ค่อยๆลึกจากการหายใจช่วงสั้นให้ค่อยๆเป็นช่วงยาวขึ้น ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละขั้นอย่างช้าๆตามลำดับ
    แล้วค่อยๆผลักดันนำส่งลมหายใจที่ดูดเข้ามานั้นให้ตำลงๆจนกว่าจะเลยสะดือลงไป 3 นิ้วเป็นตำแหน่งที่ตั้งของจุด ตั้งช้างการนำล่องลมหายใจให้ตำนี้ไม่ควรจงใจใช้แรงบีบเกร็งกล้ามเนื้อให้ดันลมหายใจตำลงไปแต่เป็นการทำงานที่เรียกว่าจิตสำนึกว่า ความรู้สึกของจิตใจไปจับที่กองลมจึงสมมุติว่าเห็นกองลมที่หายใจเข้านั้นเป็นกลุ่มลมสีขาวกำลังถูกนำผ่านรูจมูกผ่านหลอดลม ผ่านปอดแล้วผ่านช่องท้องและลงตํ่าจนถึงท้องน้อย ซึ่งที่ตั้งของจุด ตั้งช้าง เมื่อลมหายใจถึงจุด ตั้งช้าง แล้วค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออกช่วงที่ลมหายใจเข้าและออก จะต้องฝึกให้ใช้ระยะเวลายาวเท่าๆกันจิตใจก็จะค่อยๆสงบลงมาการหายใจเข้าออกตามวิธีนี้ จะต้องเป็นลักษณะธรรมชาติหายใจไม่มีเสียง ไม่ใจร้อนรีบเร่ง การหายใจเป็นไปอย่างมั่นคง เชื่องช้าต่อเนื่องไม่ขาดช่วง ละเอียดนิ่มนวล ลึก ยาวลักษณะการฝึกการหายใจที่ถูกต้องคือหายใจแล้วไม่รู้สึกลำบากและเหนื่อย ประสาทผ่อนคลายความตึงเครียดจิตใจสงบว่างเปล่า จึงเป็นการถูกต้อง
    3. เมื่อฝึกลมหายใจแบบนี้ผ่านไประยะหนึ่งจะรู้สึกว่าลมหายใจเข้านั้น มีกระแสลมพัดจากเบื้องบนลงสู่เบื้องตำจนถึงจุด ตั้งช้างเหตุที่รู้สึกว่ามีกระแสลมนั้นก็เพราะว่าเวลาถอนหายใจเข้านั้นกล้ามเนื้อซี่โครงจะหดตัวดึงกระดูกซี่โครงให้ยกขึ้นและบานออก ทรวงอกจะพอกโตขึ้นช้าๆท้องน้อยก็จะค่อยๆหดเข้าช่วงนี้ปอดก็จะขยายพองตัวออกดูดอากาศดีเข้าเต็มที่
    ปอดจึงขยายตัวพองโตตั้งแต่ใต้ขั้วปอดลงมาจนถึงปลายกีบของปอดและที่ใต้ปอดนั้นมี กระบังลม ที่มีโครงสร้างคล้ายพังผืดกั้นขวางระหว่างทรวงอกกับ ช่องท้อง เมื่อปอดขยายตัว ก็จะผลักดันให้กระบังลมหดตัวขยับลดต่ำลงมาพอตอนที่ปอดคลายลมหายใจออกนั้น กล้ามเนื้อซี่โครงและกระบังลมจะคลายตัวออกก็จะแฟบลงท้องน้อยก็จะพองคืนสู่สภาพปรกติ
    การหายใจเข้าและออกเช่นนี้จึงเกิดการบีบรัดและผ่อนคลายของอวัยวะภายในทรวงอกและที่ช่องท้องเป็นการเพิ่มการเคลื่อนไหวภายในมากขึ้นจึงรู้สึกว่าเป็นกระแสลมวิ่งตามลมหายใจที่เรียกว่า กระแสพัดพาภายในร่างกาย นั้นการเคลื่อนไหวเช่นนี้จึงเป็นการบริหารภายในร่างกาย
    กำลังภายในเคลื่อนไหวภายในร่างกายหลังจากฝึกลมปราณ หรือ ฝึก สมาธิ ไปได้ระยะหนึ่งแล้วท่านอาจจะรู้สึกว่าท้องน้อยที่เป็นที่ตั้งของจุด " ตั้งช้าง "มีกลุ่มความร้อนเกิดขึ้น
    ระยะเวลาที่ฝึกแล้วจะเกิดกลุ่มความร้อนนี้ใช้เวลาไม่เท่ากันทุกคนต้องแล้วแต่ความสมบูรณ์ของสังขารและความพร้อมของจิตใจที่ได้ฝึกมาถูกต้องเข้าหลักได้ดี เพียงใดก็จะเกิดผลเร็วเพียงนั้น บางท่านฝึกไปในทางจิตสงบหลายท่านตั้งแต่เริ่มฝึกใหม่ๆจนถึงขั้นจิตสงบอาจจะไม่มีกลุ่มความร้อนนี้เกิดขึ้นก็ได้กลุ่มความร้อนนี้เราเรียกกันว่ากลุ่มกระแสกำลังภายใน เป็นพลังงานที่เกิดจากการฝึก ลมปราณกลุ่มความร้อนนี้เมื่อเกิดขึ้นใหม่ๆอาจจะเกิดขึ้นชั่วครู่หนึ่งหรือเกิดความรู้สึกเพียงบางครั้งบางคราวของการฝึกแต่เมื่อใดที่เราจับจุดที่จะเกิดความสำเร็จนี้ได้แล้ว เมื่อคราวใดที่เกิด กลุ่มความร้อน นี้แล้วใจเย็นๆ อย่าเพิ่งลุกจากที่ ไม่ตื่นเต้นดีใจ ไม่เสียใจที่เพิ่งจะสำเร็จ ทำใจสบายๆ วางตัวเป็นกลาง คงฝึกลมปราณธรรมดาต่อไปโดยไม่ต้องเพิ่มแรงบีบรัดกดดันหรือว่า เกร็งบีบประสาท ไม่ช้ากลุ่มความร้อนนั้นก็จะร้อนมากพอสมควรที่เรียกว่า ไออุ่น ” (แต่ไม่ใช่รู้สึกว่าความร้อนมากจนกระวนกระวาย)
    วิธีนำส่ง กลุ่มไออุ่น ให้พัดพาโคจรไปทั่วร่างกาย
    กลุ่มไออุ่น นี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วอาจจะมีโอกาสโคจรไปตามร่างกายเอง โดยเราไม่ต้องนำพาก็ได้แต่เขียนไว้เป็นลักษณะแผนที่ การเดินทาง ของกลุ่มไออุ่นเพื่อว่าถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นที่ใดและจุดใดแล้ว ควรที่ทำอย่างไรต่อไปจะได้ไม่ต้องตกใจ ถ้าประสบกับเหตุการณ์นั้นๆ
    เมื่อเกิด กลุ่มไออุ่น ที่จุด ตั้งช้าง แล้วยังคงฝึกลมปราณไปตามปรกติ
    ตั้งสมมุติฐานจินตนาการว่าเมื่อฝึกลมปราณจนกระแสกำลังภายในทับถม เสริม เพิ่มเติม ที่กลุ่ม ไออุ่น มากขึ้นๆกลุ่มไออุ่นก็เพิ่มจำนวนหนาแน่นรวมกลุ่มใหญ่มากขึ้นหนักขึ้น (ทั้งนี้เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นไม่ใช่แสร้งออกแรงบีบรัดบังคับกล้ามเนื้อ)หลังจากนั้นจึงรวบรวมความสนใจเพื่อใช้เสริมความรู้สึกมากขึ้นจะมีอาการคล้ายๆกับ กำลังถ่ายอุจจาระอยู่และเมื่อฝึกไปๆอาจจะรู้สึกว่ากำลังถ่ายออกมาจริงๆขอให้อั้นกลั้นไว้
    ก่อนฝึกต่ออีกระยะหนึ่ง กลุ่มไออุ่น ก็จะไหลผ่านจุด ฝีเย็บ ” (ตำแหน่งนี้อยู่ระหว่างช่องถ่ายเบากับทวารหนัก) มีข้อสังเกต คือมีกลุ่มไออุ่นไหลผ่านต่อเนื่องหรือเหมือนกระแสไฟฟ้าไหลกระโดด ข้ามทวารหนัก อยู่ตลอดเวลาไปสู่จุดก้นกบ (ตำแหน่งนี้อยู่ที่ปลายสุดของกระดูกสันหลัง) เมื่อกลุ่มไออุ่นรวมถึงจุดก้นกบแล้ว ก็จินตนาการต่อว่า นำกลุ่มไออุ่น ส่งต่อขึ้นไปกระดูกสันหลัง (การนำส่งช่วงนี้ จะรู้สึกว่า มีอาการหดช่องทวารหนักขึ้นไป)กระแสกลุ่มไออุ่นก็จะผลักดันขึ้นสันหลังเอง (โดยไม่ต้องแสร้งชักนำ)ระหว่างที่ไออุ่น ยังเคลื่อนไหวโคจรไปสู่ทั่วร่างกายนั้นก็ยังคงหายใจฝึกลมปราณเสริมทับถมให้กับจุด ตั้งช้าง ต่อไป เหมือนกับว่าเรากรอกนํ้าเติมใส่ที่กรวยอยู่ตลอดเวลา เป็นการผลักดันนํ้าที่ไหลไปก่อนและนํา(กลุ่มไออุ่น) นั้นก็จะไหลไปตามท่อ คือ ผ่านตามจุดต่างๆของร่างกาย กลุ่มไออุ่น ก็ไหลขึ้นตามกระดูกสันหลัง ผ่าน จุดบั้นเอว ผ่านขึ้นไปที่ จุดคอพับ ” (จุดนี้อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังช่วงระหว่างกระดูกต้นคอต่อกับไหล่พอดีสังเกตได้จากเวลาพับคอ จะมีกระดูกนูนขึ้นมาตรงจุดนั้น ) ขึ้นผ่าน จุดท้ายทอย ” (จุดที่กระดูกคอต่อกับหัวกะโหลก) ขึ้นไปสู่จุดกระหม่อม (ตรงกลางของหัวกะโหลกตำแหน่งนี้สังเกตได้จากตอนที่เด็กยังอ่อนๆอยู่กลางกระหม่อมนั้น จะผุดขึ้นลงตามกระแสผลักดันของเลือดที่หัวใจสูบฉีดขึ้นมาหล่อเลี้ยงจุดนั้น) จากนั้น ก็เคลื่อนผ่านกระหม่อม มายัง จุดหน้าผาก ” (กึ่งกลางระหว่างคิ้ว) ลงสู่ จุดลิ้นไก่ ” (จุดนี้อยู่รอยต่อระหว่างโคนลิ้นกับลิ้นไก่ที่เพดานปาก )และไหลผ่านลงมาจุดกึ่งกลางของกระดูกหน้าอก ” (อยู่กึ่งกลางของกระดูกไหปลาร้าหรือเรียกว่าใต้จุดคอหอย)ลงสู่จุดกลางอก (จุดผ่ากลางระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง) ผ่านสะดือและลงสู่ จุดตั้งช้าง อีกครั้งโคจรหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาที่นั่งฝึกอยู่ยังมีอีกกระแสหนึ่ง เรียกว่า กระแสขวาง หรือเรียกว่า กระแสเข็มขัดรัดเอวฝึกลมปราณไปพักหนึ่งแล้วอาจจะเกิดกระแสขวางนี้ขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ คือเมื่อเริ่มมี กลุ่มไออุ่น นั้นบางครั้งไม่วิ่งขึ้นสู่ศีรษะ
    แต่กลับจะวิ่งเป็นแนวขวางบั้นเอว ครบรอบเป็นลักษณะเข็มขัด ซึ่งบางครั้งก็จะวิ่งอ้อมจากซ้ายไปขวา บางครั้งก็จะวิ่งจากขวาไปซ้ายอย่างมีระเบียบโดยประมาณวิ่งรอบครั้งละ36 รอบ
    และเมื่อฝึกไปอีกระยะหนึ่ง กระแสไออุ่นก็จะกระจายไปทั่วถึงปลายเท้าปลายมือ
    การเคลื่อนโคจรของไออุ่นนี้ อาจจะเคลื่อนโคจรผ่านไปทีละจุดและอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงสามารถผ่านอีกจุดหนึ่งจนถึงขั้นโคจรครบทุกจุดทั่วกาย
    บางคนฝึกเป็นปีๆจึงจะสามารถโคจรครบรอบกาย
    ในระหว่างที่ กลุ่มไออุ่น จากลมปราณกำลังโคจรผ่านจุดต่างๆ ของร่างกาย อยู่นั้นเกิดมีความจำเป็นต้องออกจากสมาธิในขณะที่ไออุ่นยังโคจรไม่ครบรอบใดรอบหนึ่ง ก็ค่อยๆคลายออกสมาธิได้และเมื่อเสร็จธุระแล้วควรหาโอกาสฝึกต่ออีกในระยะเวลาที่ใกล้เคียงได้ยิ่งดีซึ่งก็เท่ากับเริ่มต้นใหม่เพื่อเดินลมปราณให้คล่องสะดวก





    ลองไปทำดูนะครับ ผมอ่านจะจากหลายๆที่ หลัก วิธีการเดินลมปราณ เหมือนกัน จะสำเร็จได้จิงไหม ขึ้นอยู่กับความพยายามของตนเองครับ ส่วนผมยอมแพ้ซะก่อน ไว้เดี๋ยวผมจะเริ่มฝึกใหม่
     
  4. obe1

    obe1 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    ผมได้ติดตามกระทู้ของท่าน websnow มาพอสมควรแล้ว โดยส่วนตัวผมว่าเป็น อจินไตย หรือเปล่าครับ

    ศรัทธา ก่อกำเนิด ความเชื่อ
    ความเชื่อ ก่อกำเนิด ปาฏิหารย์
    แล้วจะมีสักกี่คนล่ะที่สามารถแยกระหว่าง ปาฏิหารย์ กับ ความบังเอิน ออกจากกันได้

    อ้างอิง:คำพูดของตัวละครตัวหนึ่งในเรื่อง สายล่อฟ้า
     
  5. kamonpop01

    kamonpop01 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    ฝึกยากแน่ๆเลย.......
     
  6. FieldandMoons

    FieldandMoons สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +5
    หัวใจสำคัญของจักรวาลก็คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันค่ะ

    ลดความรู้สึกแบ่งแยกว่านี่คือเรา นี่คือช้อน ลดจนหมดไป ให้รู้สึกว่า
    เีรากับของสิ่งนั้นคือสิ่งเดียวกัน แล้วก็ยังเป็นสิ่งเดียวกับจักรวาลด้วย
    ผ่อนคลาย ทำความรู้สึกให้ปกติ อย่าเพ่ง อย่าเกร็ง ศรัทธาในตัวเอง
    มองช้อนแล้วกำหนดจิตว่า

    ฉันคือเธอ เธอคือฉัน.. ไปเรื่อยๆ
    เปลี่ยนเป็น ฉันกำลังมองตัวเองเคลื่อนที่
    เปลี่ยนเป็น ฉันกำลังเคลื่อนที่

    มันจะถึงจุดหนึ่งที่คุณรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับของสิ่งนั้น
    แต่ถ้ารู้สึกแบ่งแยกเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็จะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ต่อ

    มนุษย์ทุกคนมีความสามารถแบบนี้อยู่ในตัว
    เพียงแต่ใจไม่นิ่งพอที่จะดึงออกมาใช้
    แต่การทำได้ มันก็เป็นแค่ความรู้สึกปีติในความพิเศษเท่านั้นแหละค่ะ
    ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ :)
     
  7. สมมุต

    สมมุต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    ลึกซึ้งจริงๆ

    คุณ FieldandMoons งอช้อนได้เหมือนในหนัง the matrix หรือเปล่าครับ
     
  8. bugsider

    bugsider สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +0
    สมัครเข้ามาเพิ่จะบอกว่าเวปมาสเตอโคตรขี้โม้
    ทำได้จริง วีดีโอมี ถ่ายมาโชวจ้า

    อุปมา ไร้สาระ
     
  9. sitmatrix

    sitmatrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,365
    ...............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2012
  10. Alphaneomatrix

    Alphaneomatrix Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +77
    ใครจะรู้ว่าความฝันอาจเป็นความจริงอีกมิติหนึ่ง

    ความฝันก็อาจเป็นความจริงอีกมิติหนึ่งก็ได้ เอาง่ายๆ แค่เราฝันเปียก เราก็เปียกจริงๆ เราฝันว่าโดนตามฆ่า เราหนี เราก็เหนื่อยจริงๆ ฝันว่ามีความสุข เราอาจยิ้มจริงๆ ในโลกแห่งความฝัน อาจเป็นโลกความจริงอีกแห่งหนึ่งที่จิตเราได้ไปประสบพบมา และในโลกที่เรียกว่าโลกแห่งความเป็นจริง ก็อาจเป็นโลกแห่งความฝันของเราในอีกมิติหนึ่งก็ได้ เพราะจริงๆแล้ว กายที่เราเห็นก็คือความว่างเปล่าที่เราสมมุติขึ้น เพราะอะไร ก็เพราะร่างกายประกอบขึ้นจากอวัยวะ อวัยวะประกอบขึ้นจากโมเลกุล โมเลกุลประกอบขึ้นจากเซลส์ เซลส์ประกอบขึ้นจากอะตอม อะตอมประกอบขึ้นจากอิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน อิเล็กตรอนประกอบขึ้นจากควาก ควากประกอบขึ้นจากการสั่นสะเทือนของระดับพลังงาน พลังงานไม่มีตัวตนแต่ทำงานได้และมีอยู่จริง ควากไม่มีตัวตน อิเล็กตรอนจึงไม่มีตัวตน อะตอมจึงไม่มีตัวตน เซลส์จึงไม่มีตัวตน โมเลกุลจึงไม่มีตัวตน อวัยวะจึงไม่มีตัวตน ร่างกายจึงไม่มี ทั้งหมดคือการสั่นสะเทือนของพลังงานที่มาประกอบกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ เกิดเป็นการรับรู้ที่สมมุมติสังขารขึ้น จริงๆ ทุกสิ่งคือ อนัตตา

    ดังนั้น โลกที่เราเห็นอยู่ และทึกทักว่าเป็นโลกแห่งความเป็นจริงนั้น แท้จริงแล้วอาจจะเป็นโลกแห่งความฝันในอีกมิติหนึ่ง ทุกสิ่งที่เราเห็น สัมผัส คือระดับของพลังงานที่สั่นสะเทือน ใครจะฟันธงได้ว่า ความฝันไม่ใช่โลกที่แท้ และโลกนี้คือโลกแห่งความเป็นจริง เรากำลังอยู่ในเมตริกแห่งอนันตจักรวาล มีโลกคู่ขนานที่ไร้ขอบเขต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2011
  11. saeioo

    saeioo สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    มันเป็น สิ่งที่ไม่ควรนำมา พูด เลย เอาให้ได้ สัก กอง ได้แล้ว เจอ กัน ข้าง บน
     
  12. saeioo

    saeioo สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    ได้ แล้ว ก็ เฉยๆ

    นิ่ง ไว้ ดี ที่สุดนะครับ คนจะ สับสน กันใหญ่
     
  13. saeioo

    saeioo สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    คนฝึกใหม่จะเพี้ยน กันใหญ่เมื่อ อ่าน

    ออกมาพูดแบบนี้ เพื่อ
     
  14. nuu_oae

    nuu_oae สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +3
    ทดลองในฝันเนี่ยนะ- -* ในฝันหนูยังฝันว่าบินได้แปลงร่างได้เลย- - *
    เหาะลงมาจากฟ้าก็เคฝันสนุกดี แต่มันก็แค่ความฝัน- - *
     
  15. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    น้องเล่าให้ฟังว่า มีหลวงพี่ที่เขานับถือ
    เล่าว่าเคยเห็นคนลอยผ่านหน้าไป
    ก็สนทนาธรรม ไปได้พักท่านก็ว่าท่านยังไม่ถึงขั้นที่ผมถาม
    ท่านยอมรับท่านยังไม่สำเร็จแต่ท่านเล่าท่านเคยเห็นคนเหาะผ่านหน้าท่านไป

    หลวงพี่พยายามเล่าแต่ ก็อยู่ในสภาพที่แย่ป่วยไม่สบายต้องขอตัวไปหาหมอ
    ถามน้องๆที่พาพี่ศรีมาที่นี่เพื่ออะไร พี่ศรีเราหวังมากกว่าแค่มาดูคนเหาะ
    เราหวังกันว่าเราจะได้พบหลวงปู่เทพที่นี่ งั้นก็ดีสินะ
     
  16. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    เคยฝันเหมือนกัน ที่เกี่ยวกับวัตถุ
    - งอช้อน
    - หยุดกระสุน
    - ทะลุกำแพง
    - ฝ่ามือทะลวงเหล็ก
    เป็นต้น
    แต่ที่รู้สึกใกล้เคียงจริงที่สุดก็งอช้อนนี่แหล่ะ

    คือตอนพยามเพ่งๆเท่าไหร่ก็งอไม่ได้นอกจากภาพลวงตาเบลอๆว่างอแต่จริงๆไม่งอ
    พอปล่อยวางความพยายามนั้นไป แล้วจิตสงบขณะที่เรายังคงหวังว่าจะงอมันอยู่ลึกๆ
    งอได้เฉยเลย ทั้งๆที่ไม่ได้รู้สึกว่าต้องออกแรงอะไรเลย แต่พอจิตแกว่งมันก็บังคับไม่
    อยู่ พอปล่อยไปช้อนกลับเป็นทรงปรกติให้เห็น จึงทำให้รู้ตนเองว่าผมกำลังฝันไปครับ
     
  17. badboy_gt10

    badboy_gt10 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +81
    เกิดจากพลังของจิตที่เป็นสาธิ แม้หลับก็รู้ตัว ผมก็ทำบ่อยครับ
     
  18. badboy_gt10

    badboy_gt10 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +81

    ลองอย่านี้ดูสิครับ นั้งสมาธิให้มากขึ้น ถือศีล 5 ให้บริสุทธิ์ เดี๋ยวก็เก่งขึ้นเอง
     
  19. badboy_gt10

    badboy_gt10 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +81

    ลองไปศึกษาเรื่อง paradox ดูครับ
     
  20. badboy_gt10

    badboy_gt10 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +81
    ไม่บ้าหรอกครับ อยู่เว็ปนี้นานๆคุณจะรู้ว่ามีเพื่อนเยอะ ระยะทาง เวลา สถานที่ในฝันมันไม่ได้เรียงต่อกันแบบโลกจริง เพราะงั้น ถึงแม้ว่าจะจำได้ เวลาคุณกลับโลกจริงก็ลืมอยู่ดีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...