ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ข่าวสารจากจิตจักรวาล ฉบับที่2 กรุงเทพฯจะรอดจากภัยพิบัติหรือไม่ ..knmark
    โดย International Channeling (ทีมส่งผ่าน)

    [FONT=&quot]จากแผนที่ประเทศไทยยุคพลังงานใหม่ ของจิตจักรวาล[/FONT]
    [FONT=&quot]พบว่าพื้นที่สีแดงครอบคลุมจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นบริเวณพื้นที่เขตภัยพิบัติ (จมหาย)แต่พื้นที่สีแดงกลับ...ครอบคลุมกรุงเทพมหานครไม่มากนัก แสดงว่ากรุงเทพฯจะรอดจากภัยพิบัติหรือเปล่า[/FONT][FONT=&quot]?...[/FONT]
    [FONT=&quot] [FONT=&quot]คำตอบเดียวสั้นๆและไม่ต้องคิดนานก็คือว่า"ไม่รอดพ้นไปได้หรอก...ไม่รอดแน่นอน" ..[/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot] [FONT=&quot]แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า "แผ่นดินกรุงเทพฯจะจมหายไปหมดหรือเปล่า[/FONT][FONT=&quot]?" ..[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot] [FONT=&quot]คำตอบเดียวสั้นๆและไม่ต้องคิดนานเหมือนกันก็คือว่า "จมหายไปแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น"...[/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot] [FONT=&quot]คุณต้องรู้ว่าถ้าดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้เปรียบเหมือนตะข้องใส่ปลา
    ตัวคุณและทุกสรรพสิ่งย่อมเสมือนเป็นอะไรๆที่รวมกันอยู่ในตะข้องใบนั้นนั่นเอง
    หากเกิดอะไรขึ้นภายในตะข้องใบนั้น เช่น ถ้าร้อนทุกสิ่งก็จะร้อนเหมือนกัน
    ถ้ามันเย็นทุกสิ่งในนั้นก็จะเย็นเหมือนกัน ถ้าเทน้ำลงไปข้างในทุกอย่างก็จะเปียกปอนไปด้วยกัน
    จะต่างก็ตรงเปียกมากเปียกน้อยกว่ากัน
    และที่สำคัญสิ่งที่อยู่ด้านล่างของตะข้องใบนั้นก็มีโอกาสจมอยู่ในน้ำมากกว่า สิ่งที่อยู่ด้านบนๆขึ้นมา ใช่หรือไม่[/FONT]
    [FONT=&quot]?[/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot] [FONT=&quot]กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ใกล้ชิดติดกันกับบริเวณพื้นที่สีแดงของจังหวัดใกล้เคียง
    และยังมีผู้คนที่ป่วยทางจิตสำนึกกันอยู่มากมาย
    ที่วันๆเอาแต่ผลิตสร้างพลังงานด้านลบที่โลกไม่ต้องการออกมาจากจิตป่วย
    ก็ยิ่งกระตุ้นให้โอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติ...ไปกับเขาด้วยนั้นมีสูงขึ้นไป อีก[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] [FONT=&quot]จงจำไว้ว่าพื้นที่สีแดงในแผนที่ที่เรา สร้างขึ้นไว้นั้น
    หมายถึง บริเวณที่ประมาณว่าจะจมหายไปชั่วนิรันดร์หลังการชำระโลกเสร็จสิ้นแล้วทั้งสิ้น[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] [FONT=&quot]แต่จงอย่าเข้าใจผิดคิดว่า ที่ยังเห็นเป็นพื้นที่ปกติอยู่
    เพราะไม่มีสีแดงทาทับนั้นจะรอดปลอดภัยจากปฏิบัติการชำระโลกไปได้

    ทุกอณูพื้นที่ของโลกรวมทั้งกรุงเทพฯด้วย จะต้องเผชิญภัยกันอย่างพร้อมหน้าเลยทีเดียว
    ดีกว่าหน่อยก็ตรงที่ว่า เมื่อภัยร้ายผ่านพ้นไปแล้ว
    แผ่นดินย่านนั้นมันจะถูกเลือกไว้ให้ดำรงอยู่ต่อไปบนโลกนี้ เพื่อจิตวิญญาณผู้มาใหม่จากฟ้าสีคราม
    จะได้ใช้ดำรงอยู่สำหรับทำหน้าที่ของมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ ([/FONT]
    [FONT=&quot]New Age) ต่อไปได้[/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot] [FONT=&quot]....สิ่งที่กรุงเทพฯและคนกรุงเทพฯ จะต้องเผชิญและให้เตรียมตัวไว้
    ในแผนปฏิบัติการชำระแค้นของบรรดาช่างเทคนิค
    ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ที่เขาจับมือกันจากทั่วโลก หล้า รวมทั้งภัยที่มีเหตุมาจากภาวะโลกร้อนมีดังนี้[/FONT]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] [FONT=&quot]1.พายุ หมุนจะพัดถล่ม ไม่น้อยกว่าสามลูก อาจวันเดียวกันเลยหรือทะยอยถล่ม
    เพื่อให้คนดีๆได้มีโอกาสตั้งตัวปรับสภาวะจิต และเปิดโอกาสให้บางคนได้มีจิตสำนึกด้านบวกขึ้นมาได้บ้างจ
    ากภัยพิบัติที่เผชิญในครั้งครานั้น หากไม่ดันสติแตกกันเสียก่อน...
    ตึกสูงๆจะไม่ปลอดภัย ป่าคอนกรีตที่เป็นป่าใหญ่ๆ
    คือที่หมายของการชำระหมู่บ้านย่านอาศัยของคนไม่ดี ไม่มีธรรมะ จะโดนพายุทำลาย
    จะจมอยู่ใต้ธารน้ำสีดำสกปรกอยู่นานวัน สะพานแขวนสะพานสูงจะมีการขาดโค่นพังลงมาเช่นกัน [/FONT]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] [FONT=&quot]2.น้ำ จะท่วมทั่วกรุงเทพฯเพราะน้ำทะเลหนุนเนื่องจากอำนาจดวงจันทร์
    และเมื่อวันที่ แกนโลกเอียงส่ายไปมามากกว่าวันนี้ และจะท่วมเพราะพายุฝนกระหน่ำกรุง
    น้ำเหนือไหลบ่าลงมา เจ้าพระยาป่วยหนัก...[/FONT]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] [FONT=&quot]3.อยากเจอไม่อยากเจอพายุลูกเห็บ...ก็ต้องเจอ[/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot] [FONT=&quot]4.ให้ ระวังโรคระบาดที่อาจเข้ามาอาละวาดกับคนกรุง เชื้อโรคเป็นสิ่งสกปรก
    คนที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ (สกปรกโสมมจมปลักในกิเลสตัณหา) จะมีโอกาสรองรับเชื้อโรคร้ายๆมากกว่าใครเพื่อน
    เพราะสิงสกปร...กมันจะชอบอยู่ในที่ๆสกปรกจริงมั้ย?
    ถ้าใครสกปรกมากสุดๆพอได้รับเชื้อเข้าไปอาจถึงตายใน 3 วัน 7 วัน[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]คล้ายๆกับคำที่คนไม่ดีชอบกล่าวสาบานจนติดปากกันนั่นไงล่ะ...[/FONT]

    [FONT=&quot] [FONT=&quot]5.ใน ปี 2011 นี้ รัฐบาลและประชาชนควรร่วมมือกัน
    จัดให้การรับมือภัยพิบัติเป็นวาระแห่งชาติ เพราะทั้งประเทศจะเป็นปีแห่งหายนะภัยน้อยใหญ่
    ไม่ว่าจำนวนครั้งที่จะเกิดและความรุนแรงที่คนไทยต้องเผชิญ มันจะหนักหนากว่าอดีตที่ผ่านมา
    ทั้งๆที่เป็นปีแห่งภัยพิบัติของไทย ในระยะที่ 1 แค่ขั้นอนุบาลเท่านั้น
    สาเหตุเพราะพวกสมองวัวทั้งหลายงมงายอยู่กับความเชื่อผิดๆของตัวเองว่า
    อะไรที่มันยังไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยหรือในกรุงเทพฯ พวกนี้จะเชื่อว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้
    โดยจะใช้ประวัติศาสตร์มาอ้างอิงเสมอ สัญชาติวัวนั้นมันจะคิดไกลไม่เป็น
    เป็นแต่จดจำในสิ่งที่ตนเคยเป็นเคยผ่านพบเจอมาจากอดีตยันปัจจุบันจนคุ้นเคยเท่านั้น
    เพราะวัวไม่มีวิสัยทัศน์ คือ มองไกลไม่เป็นและมองไม่เห็น มันจึงเป็นแต่มองปัจจุบันกับที่ผ่านๆมาในอดีต
    คงกลัวจะเสียฟอร์มหรือเปล่าก็ไม่รู้เลยยึดมั่นยืนยันอยู่กับข้อมูลสถิติใน อดีต เอะอะก็อ้างข้อมูลอดีต
    เพราะคาดคิดไปข้างหน้าไม่เป็น-คิดไม่ได้ เพราะยังใช้ปัญญาวัวกันอยู่
    นี่เราพูดจริงๆตามศาสตร์ด้านอภิปรัชญานะ...ไม่ได้ว่าใคร
    [/FONT]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] [FONT=&quot]6.อัคคีภัย ใหญ่ๆ อุบัติเหตุใหญ่ๆ ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ไปนั้น
    ล้วนมีช่างเท็คนิคอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น การตายหมู่จึงจะมีให้เห็นมากขึ้น
    การฆ่าตัวตายด้วยวิธีแปลกๆก็จะเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น คนไทยจะแสดงความใจร้ายต่อกันชัดเจนมากขึ้น...[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] [FONT=&quot]
    ท่าน ทั้งหลาย จงรับรู้ไว้ว่า [/FONT]
    [FONT=&quot]6 ข้อที่ว่ามาน่ะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภัยพิบัติของคนกรุงทั้งนั้น
    ยังมีอีกหลายรูปแบบของภัย...แต่อย่าเพิ่งรู้ไปในวันนี้เลยนะ[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] [FONT=&quot]อ้อ...ฝากบอก คนเสื้อสี ด้วยว่า ให้ดูประเทศเกาหลีบนล่างไว้เป็นเยี่ยงอย่างว่าตีกันตาย
    ฆ่ากันตายเสียเองแล้วสุดท้ายทั้งตนเอง ประเทศชาติ และประชาชนได้อะไรขึ้นมามั่ง
    สู้หันหน้าเข้าหากันเตรียมตัวตายร่วมกันด้วยความรักในวันที่ภัยมาเยือน จะดีกว่าฆ่าแกงกันเองให้วุ่นวาย
    ภัยกำลังจะมาต้องเสี่ยงเสียชีวิตกันมากมายรออยู่ในวันหน้าแล้ว
    ยังคิดว่าจะว่างพอที่จะลุกมาเข่นฆ่ากันเองอยู่อีกหรือ[/FONT]
    [FONT=&quot]?....คนเอ๋ย ยังทำตัวเป็นผู้ที่คนไม่เสร็จ ไม่ทั่วถึงอีกเหรอ....
    ถ้าอยากตาย รอวันหายนะภัยที่กำลังจะมาเยือนแล้วตายแบบนั้น จะดูดีและสมน้ำสมเนื้อดีกว่าไหม?....[/FONT]
    [/FONT]

    [FONT=&quot](ผู้ตอบ: ป.วิสุทธิปัญญา)[/FONT]
    [FONT=&quot]21 ธันวาคม 2010 เวลา 14:35 น.[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2011
  2. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    <table id="post2252033" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175">Angel_Internet
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jun 2009
    ข้อความ: 54
    พลังการให้คะแนน: 30 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_2252033" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>ข่าวดี !!! เหตุการณ์ที่โลกหยุดหมุน 1 วินาทีนี้ จะยังไม่เกิดขึ้นใน 3 ปีนี้ (พ.ศ.2552-2554) อย่างแน่นอน

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <ins style="display: inline-table; border: medium none; height: 280px; margin: 0pt; padding: 0pt; position: relative; visibility: visible; width: 336px;"><ins id="aswift_0_anchor" style="display: block; border: medium none; height: 280px; margin: 0pt; padding: 0pt; position: relative; visibility: visible; width: 336px;"></ins></ins>
    ข่าวดี !!! เหตุการณ์ที่โลกหยุดหมุน 1 วินาทีนี้ จะยังไม่เกิดขึ้นใน 3 ปีนี้ (พ.ศ.2552-2554) อย่างแน่นอน

    ข้อมูลจาก พี่เกษม สุดหล่อ

    ที่มา
    ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

    *เหตุการณ์ที่โลกหยุดหมุน 1 วินาทีนี้ จะยังไม่เกิดขึ้นใน 3 ปีนี้ (พ.ศ.2552-2554) อย่างแน่นอน
    เพราะฉนั้นเรายังมีเวลาสั่งสมบุญกุศลอีกตั้ง 3 ปี ก่อนที่ภัยพิบัติล้างโลกจะมาในปี พ.ศ.2555 นี้
    จงใช้เวลาที่เหลืออย่างคุ้มค่านะคะ* /แองจี้


    อาจารย์ปริญญา ตันสกุล ผู้สามารถสื่อสารกับจิตจักรวาลได้ ยืนยันมา เพราะฉะนั้นยังมีเวลาเตรียมตัวกันอยู่ใน 3 ปีนี้

    และอีกประการหนึ่งประเทศไทย ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องคุ้มครองรักษา(เฉพาะคนดีมีศีลธรรม) และยังมีพระอรหันต์ พระอริยะสงฆ์ พระอริยะเจ้า และท่านผู้ทรงอภิญญาชั้นสูง อีกมากมายคอยช่วยเหลืออยู่ครับ

    กุญแจสำคัญของเงื่อนเวลา ที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ก็คือสงครามนิวเคลียร์นี่เอง เพราะถ้ามีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์พร้อมๆ กันไปทั้งโลก โลกและจักรวาลนี้ก็จะเกิดการเสียสมดุลเป็นอย่างมาก ระบบการโคจรของดวงดาวต่างๆ ที่จะเกิดการเสียสมดุล ทำให้เป็นอันตรายกับชีวิตบนดาวดวงอื่นๆ ด้วย

    สมาพันธ์ระหว่างดวงดาวในจักรวาลต่างๆ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการล้างโลกด้วยน้ำทะเล จากการทำให้โลกนี้หยุดหมุน 1 วินาที ซึ่งจะทำให้น้ำทะเลจำนวนมหาศาลล้นทะลักเข้ากวาดล้างทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ อย่างฉับพลันทันที และลาวาใต้โลกก็จะปะทุขึ้นมาเป็นภูเขาไฟระเบิด พร้อมๆกันไปทั้งโลก สงครามนิวเคลียร์จึงไม่อาจจะดำเนินต่อไปได้ ด้วยเหตุผลนี้

    ถ้าจะมองว่ามนุษย์ต่างดาวใจร้ายกับมนุษย์โลก ก็คงไม่ถูกต้องนักเพราะเขาก็เตรียมช่วยเหลือคนดีที่มีจิตใจดีงามให้มีชีวิต อยู่รอด ด้วยการอพยพย้ายไปอยู่ดาวอื่นเป็นการชั่วคราว ส่วนพวกเศรษฐีรวยๆ ที่มีจิตใจด้านลบอยู่มาก ที่เตรียมที่หลบภัยไว้แล้วก็คงยากที่จะมีชีวิตอยู่รอดไปได้ เพราะสนามแม่เหล็กโลกที่แปรปรวน จากพายุสุริยะที่จะรุนแรงในช่วงนั้น จะทำให้อุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ ของพวกเขาไม่สามารถทำงานได้

    สำหรับประเทศไทย จะมีคนเหลือรอดมากกว่าประเทศอื่นๆ ก็เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระอภิญญา คอยให้ความช่วยเหลือคนดีมีศีลธรรมให้อยู่รอดครับ ผมขอยกตัวอย่าง การช่วยเหลือของพระผู้ทรงอภิญญา ที่เคยช่วยยับยั้งภัยพิบัติมาแล้ว เพื่อให้ท่านที่เป็นคนดีมีศีลธรรมทั้งหลาย ได้สบายใจและอุ่นใจ ดังนี้ครับ

    "หยุดสึนามิด้วยฝ่ามือ"
    (คัดลอกจากนิตยสารโลกลี้ลับ)

    ปลายปีพ.ศ. 2547 จนถึงปลายปี พ.ศ.2549 จะเป็นช่วงวิบากกรรมของประเทศไทย โดยเริ่มจาก สึนามิลูกแรก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ตามขอบ อ่าวเบงกอล และทะเลอันดามัน ตามที่เป็นข่าวโศกนาฏกรรมดังไปทั่วโลก ตามมาด้วย ตึกยุบ และรถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน อย่างไร ก็ตามจาก การมองเห็นอนาคตด้วยจิตและคำยืนยันของมนุษย์ต่างดาว ที่ได้เชิญมาสนทนากัน มีคนมาร่วมฟังและช่วยกันซักถามเกือบ 10 คน ได้แนวโน้มว่า

    ในระยะอันใกล้นี้จะเกิดภัยพิบัติทางน้ำอย่างน้อยอีก 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในทะเลอันดามันอีกครั้ง จุดศูนย์กลางการไหวจะเคลื่อนไปทางเหนือของครั้งที่แล้ว จะเป็นผลให้เกิดภัยพิบัติแก่ฝั่งทะเลของประเทศพม่า กับบังคลาเทศมากที่สุด ประเทศอินเดีย ศรีลังกา ไทย มาเลเซีย จะเสียหายมากน้อยตามลำดับ ประเทศไทยนั้นแนวชายฝั่งจะเฉียงและขนานกับแนวคลื่น ความรุนแรงจึงไม่มากเท่าครั้งแรก เพราะไม่ได้ชนโดยตรง แนวโนมว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ภายในเดือน กุมภาพันธ์ 2548

    ในประเทศไทยมีรอยแตกแยกใต้ทะเลมาถึงจังหวัดระนอง และมีรอยเลื่อนขึ้นไปทางทิศเหนือ จะผ่านขึ้นไปถึงเชียงราย แพร่ น่านตลอดรอยเลื่อน มีเขื่อนใหญ่ในเขตเมืองกาญจนบุรีอยู่สองเขื่อนที่น่าจะจับตาระวังเป็นพิเศษ

    (ขอแทรกนิดนึงว่าเขื่อนที่ว่านี้ผู้พิมพ์มีญาติเปิดร้านอาหารอยู่ที่อำเภอ ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ขอเรียกว่าอาตุ๊ อาตุ๊บอกกับข้าพเจ้าว่า รถสิบล้อมันขนปูนไปที่เขื่อนเขาแหลม กับเขื่อน ศรีนครินทร์ กันเป็นร้อยคัน มันบอกว่าเอาปูนไปยิงเขื่อนเพราะมีรอยแตกเยอะมาก บางคนไม่ได้กลับบ้านเลยตลอดสัปดาห์ อันนี้ขอยืนยันว่าจริง แต่ทางราชการบอกว่าไม่แตก ไม่มีรอยร้าว มันตอแหล)

    ภัยพิบัติลำดับต่อมาคือ จะเกิดทางน้ำอีกเช่นกัน ในอ่าวไทย เนื่องจากการแตกและยุบของพื้นทะเล ด้วยสาเหตุที่โครงสร้างใต้พื้นมีการเปลี่ยนแปลงจากแผ่นดินไหว 2 ครั้งก่อนหน้านั้นกอร์ปกับการเกิดโพรงและความดันตก เนื่องจากมีการสูบแก๊สธรรมชาติมาใช้เฉลี่ยวันละ 40-45 ล้านลูกบาศ์กฟุตมาเป็นเวลา 25 ปี และเนื่องจากระดับความลึกของทะเลในอ่าวไทยตอนบนค่อนข้างตื้น โดยเฉลี่ย 20-40 เมตร อิทธิพลของคลื่นจึงไม่รุนแรงมาก เป็นคลื่นสูงใหญ่กว่าปกติ

    อย่างไรก็ตามเพื่อความไม่ประมาท มีพระสงฆ์ และผู้มีอภิญญาได้ร่วมกันใช้อภิญญาปิดปากแม่น้ำที่สำคัญโดยการเนรมิตเขื่อน ทางจิต เพื่อป้องกันมิให้คลื่นและน้ำเข้าทำลายและท่วมเมืองและนครใหญ่ ๆ โดย องค์พระเหนือโลก ได้เดินทางด้วยตนเองปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา เรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันกรุงเทพมหานคร และได้มอบหมายให้คณะบุคคลจาก "กลุ่มโลกทิพย์" ไปดำเนินการปิดปากแมม่น้ำตาปีเพื่อป้องกันเมืองสุราษฎร์ธานี และที่สำคัญคือ "พระบรมธาตุไชยา" โบราณศาสนสถานสำคัญของภาคใต้ที่สร้างขึ้นใน ยุคศรีวิชัย ขณะรุ่งเรืองอย่างสูงสุด

    วันที่ 23 ม.ค.2548 "กลุ่มโลกทิพย์" รวม 4 คน ได้เดินทางโดยเครื่องบินไปถึงสนามบิน สุราษฎร์ธานี เวลา 11.00 น. เมื่อรับประทานอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว จึงเดินทางเข้าสู่ อ.ไชยาเป็นอันดับแรก คณะของเราและสมาชิกโลกทิพย์ในพื้นที่ ที่มารอร่วมไปด้วยกันอีก 5 คน ไปถึง วัดพระบรมธาตุไชยา ราชวรวิหาร ประมาณบ่ายสองโมงเมื่อไปถึงมองเห็นองค์พระเจดีย์สูง องค์พระบรมธาตุมีสีขาว มีกำแพงล้อมรอบเป็นรูปเหลี่ยม มีประตูกำแพงเข้าได้หลายด้าน เราเข้าทางด้านหน้าซึ่งเป็นลานจอดรถที่หน้าประตูด่านแรก เราสัมผัสถึงพลังและบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ

    จึงหยุดที่หน้าประตูยืนสำรวมจิตขออนุญาติเข้าที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้า ดูแลตามมารยาทอันควรของแขกผู้มาเยี่ยม ในชั่วอึดใจเห็น พญานาคสีทองเจ็ดเศียร เลื้อยมาต้อนรับที่หน้าประตู เป็นนาคตระกูลแผ่เต็มเบี้ย ซึ่งมีอำนาจมากกว่านาคตระกูลที่คอยาวเป็นนิ้วเหมือนนิ้วมือมนุษย์ พญานาคนั้นหันกลับเดินนำ เราจึงเดินตามเข้าไป ปรากฎว่าด้านในมีกำแพงอีกชั้นก่อนที่จะเข้าไปถึงเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ เราจึงกำหนดจิตขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าของที่อีกครั้ง เมื่อก้าวเข้ามาสู่ด้านในสุดอันเป็นหัวใจของพระบรมธาตุไชยา พลังและอณูอากาศ มีความอบอุ่นและสั่นสะเทือนบีบหัวใจในกายของเราให้เต้นและสั่นในความถี่ที่ คงที่

    เมื่อตั้งขบวนเครื่องบูชาอันประกอบด้วย ดอกบัวและธูปเทียนเรียบร้อยแล้ว เราจึงคุกเข่าลงกราบ สวดมนต์กำหนดจิตอธิษฐาน ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้องค์พระบรมธาตุไชยาพ้นจากภัยพิบัติด้วย เถิด กำหนดจิตให้ลึกจึงมองเห็นว่า ควันจากธูปที่จุดไว้ และละอองหมอกสีขาว เป็นเส้นไหมจากจิตที่กำหนดตั้งจิตอฐิษฐานแผ่กุศลและส่วนบุญ ลอยออกไปจากพวกเราและธูปที่ปักเหมือนสายไหมที่พุ่งเข้าไปสู่จุดรวมของทอผ้า จุดรวมเส้นไหมของแรงกุศลและอธิษฐานหมุนเป็นเกลียวปั่นในทิศทางหมุนทวนเข็ม นาฬิกา เข้าสู่จุดกลางของช่องว่างที่มีสีดำรูปวงรี คิดอยู่ในใจว่า ช่องว่างดำนั้นคือสิ่งใด

    เมื่อจิตคิดถามคำตอบก็มาทันทีมองเห็นชัดว่าเป็นปากของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั่นคือปากของราหู เป็นปากของยักษ์ที่เคยเห็นประจำในรูปแบบของราหูอมจันทร์ สายไหมหรือสายใยแห่งกุศล แห่งแรงอธิษฐานลอยเข้าไปเหมือนถูกดูดจนหมดภายใน เวลาประมาณ 5 นาที เราจ้องมองดูจึงเห็นว่าราหูหน้ายักษ์ ค่อย ๆ ลอยขึ้นสูงอย่างช้า ๆ จนเลยยอดพระเจดีย์ขึ้นสูงหายไป ซึ่งหมายความว่า ราหูที่ถือกันว่าเป็นสิ่งมีอำนาจในการทำลายล้าง

    เมื่อสองสัปดาห์ข้าพเจ้ามองเห็น กำลังอมอ่าวไทยทั้งหมดอยู่ในปากอันแสดงว่าเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงในอ่าวไทย ขึ้น บัตนี้ได้ถอยออกไปและคืนพระบรมธาตุกลับมาด้วยแรงกุศล และแรงอธิษฐานของพวกเรา เสมือนเป็นการบอกว่า พระบรมธาตุไชยากลับคืนมาสู่สันติและความสงบเป็นมิ่งขวัญของชาว จังหวัดสุราษฎ์ธานีสืบไป

    เมื่อทุกอย่างคลี่คลายพวกเราจึงพากันคลี่ผ้ายกสีทอง หน้ากว้างห่มรอบพระองค์เจดีย์โดยรอบ มีความยาวสี่ด้านประมาณ 25 เมตร เป็นการห่มถวายด้วยจิตที่เบิกบาน การห่มผ้าครั้งนี้เป็นผืนที่สาม เพราะมีร่องรอยของผู้มีจิตแรงกล้าได้มาถวามไว้ก่อนหน้าที่พวกเราจะมาแล้ว 2 ผืน เมื่อการห่มถวายเสร็จเรียบร้อยพวกเราจึงค่อยถอยห่างออกมา

    พระบรมธาตุไชยาสร้างขึ้นในพุทธศัตวรรษที่ 13-14 หรือนานกว่า 1200 ปีมาแล้ว ในยุคศรีวิชัยกำลังรุ่งโรจน์ การก่อสร้างเป็นศิปะมหายานปนฮินดูเป็นองค์พระธาตุแบบสี่เหลี่ยมจตุรมุข ย่อซ้อนกันสามชั้น ตามมุมและหน้าบันที่อยู่เหนือซุ้มประตู เป็นที่สถิตขององค์เทพของฮินดู มีองค์พระพรหม พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ คชสิงห์ นกยูงและบรรดาสัตว์ในป่าหิมพานต์ ตามระเบียงคตโดยรอบมีพระพุทธรูปวางเรียงรายจนเต็ม เช่นเดียวกับที่เคยเห็นในระเบียงคตวัดโพธิ์

    เมื่อจบขบวนการเราจึงถอยกลับออกมาสู่ด้านนอก พบว่าที่หน้าลานกว้างมีต้นโพธิ์ใหญ่ยืนต้น และมีอะไรอย่างหนึ่งที่มาบอกจิตว่า ณ โคนต้นโพธิ์นั้นพระแม่ธรณีท่านรออยู่ ทุกคนจึงเดินไป ณ ที่นั้น เมื่อถึงก็คุกเข่าก้มลงกราบถวายของบูชาพร้อมอธิษฐาน ขอให้พระแม่ธรณีช่วยคุ้มครององค์พระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย จากการมองด้วยตาใน เห็นองค์พระแม่ธรณีทรงยื่นพระหัตถ์ออกมารับของบูชาถวาย เท่ากับเป็นความหมายว่า พระแม่ธรณีทรงเป็นองค์อุปถัมป์คุ้มครองแผ่นดินบริเวณ พระบรมธาตุไชยา เป็นที่น่าอนุโมทนายิ่งแล้ว

    จุดหมายที่ 2 คือ ปากแม่น้ำตาปี สายน้ำของตาปีไหลผ่านตัวเมืองสุราษฏ์ ภาพคลื่นยักษ์ และกระแสน้ำพัดเข้ามาความเสียหายอาจจะเกิดขึ้นคาดไม่ได้ว่าจะรุนแรงแค่ไหน ทางที่ดีคือกันไว้ดีกว่าแก้ ตามคำแนะนำของ องค์พระเหนือโลก คณะของเรามุ่งตรงไปบริเวณปากแม่น้ำ เมื่อไปถึงก็พบว่า ที่บริเวณปากแม่น้ำที่ข้าพเจ้าเคยมาเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งเป็นสถานที่ชายทะเลที่เงียบสงบ โดยเฉพาะยามเย็นเป็นสถานที่พักผ่อนเยี่ยงสวนสาธารณะ ริมหาดมีเรือนแพจัดเป็นภัตตาคารขายอาหารทะเลที่ได้รสชาด ดีที่สุดในภาคใต้

    แต่บัดนี้กลายเป็นสถานที่กองวัตถุดิบ ยิปซั่ม ที่กองเป็นภูเขาเลากาบริเวณกลายเป็นท่าเรือใหญ่ของเอกชน เป็นการทำลายทัศนียาภาพของดีเมืองสุราษฏ์ และนำความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมมากองสุมแทน ตามสัจจะธรรมที่ว่า เมื่อความเจริญทางด้านวัตถุมาถึง ความสะอาดและความสงบย่อมหายไป

    เมื่อมาถึงปากแม่น้ำตาปี ทอดสายตาไปทิศออกทะเล มองเห็นช่องปากแม่น้ำเป็นแนวกว้างพอประมาณ สองริมฝั่งขนาบด้วยป่าโกงกางหนาทึบที่คาดว่า จะลดความรุนแรงของกระแสคลื่นและน้ำลงไปได้มาก มองลงไปในสายน้ำด้วย ตาที่สาม ภาพที่เห็นคือ กระแสน้ำสีแดงเหมือนสายเลือดแดงฉานกำลังไหลขึ้นมาจากทะเล เข้าสู่ภายในปากแม่น้ำ เสมือนหนึ่งจะนำความตายและความพินาศเข้ามาด้วย ทำให้ใจรู้สกสยดสยอง

    วิธีบูชาบวงสรวงจึงได้เริ่มขึ้น โดยการอธิษฐานขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขออำนาจของพระแม่คงคา และบอกกล่าวมนุษย์ตั้งแต่ ปีชวด ถึงปี กุน ให้ตั้งมั่นอยู่ใน ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อจะได้อยู่ในพระพุทธศาสนา ขออำนาจแห่งการ แผ่กุศลจากพวกเราทุกคน ช่วยคุ้มครองแม่น้ำสายนี้ด้วยเถิด เพื่อความอยู่รอดของภาคใต้ทั้งหมด ทันใดที่มีการหลั่งอุทก ลงในกระแสน้ำ สิ่งนั้นเกิดขึ้นแก่จักษุคือ น้ำสีแดงฉานจากสายเลือดนั้น ไหลกลับออกปากอ่าวทันที ทุก ๆ นาทีที่ผ่านไป สีแดงของน้ำค่อย ๆ จางลง และใสเป็นปรกติภายในเวลา 10 นาทีต่อมา

    หมายความว่า อำนาจแห่งความกระหายเลือดได้หมดไปแร้ว เหลือเพียงว่าจะไม่ให้ไหลเข้ามาได้อีกอย่างไร คำตอบคือเนรมิตเขื่อนปิดปากแม่น้ำ
    องค์พระเหนือโลก ผู้กำหนดให้พวกเรามาก่อนบอกไว้ว่า เมื่อมาถึงก่อนตัวท่านจะตามมา บัดนี้ได้เวลาแล้วท่านมาแล้วหรือยัง กำหนดจิตบอกไปว่าพวกเรารอท่านอยู่ บัดดลมองเห็นสิ่งหนึ่งลอยลิ่วมาจากทางขวา พุ่งโลดไปยังจุดที่เป็นปากแม่น้ำจิง ๆ มองเห็นจีวรสีกรักพัดไสว

    ท่านเหาะมาเหมือนโยคีขี่รุ้ง ในเรื่องพระภัยมณี มองเห็นเป็นสายรุ้งสีกรัก พระเหนือโลกมาแล้ว พวกเราจึงรวมจิตอีกครั้งมองเห็นชัดว่า จุดที่พระเหนือโลกลงไปที่ปากแม่น้ำแปรปรวนเต็มไปด้วยหมอกหนาสีขาวขุ่น หมอกหนานั้น ค่อย ๆ อัดตัวแน่นเป็นกำแพง สีขาวสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 5 เมตร เป็นกำแพงนิมิตรที่กั้นแม่น้ำป้องกันการรุกล้ำของอุทกภัยที่เป็นอันตราย นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิต ที่เห็นการอุบัติของกำแพงน้ำกั้นปิดปากแม่น้ำ เพื่อความอยู่รอดของปวงประชา เมื่อขบวนการเสร็จสิ้น องค์พระเหนือโลกได้เหาะวนกลับออกมา เหมือนขี่รุ้งสีกรักโบกมือในความสำเร็จ และลอยหายลับไปในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่ท่านมา

    การปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยาก็เพื่อป้องกันวัดศรีรัตนศาสดาราม ป้องกันองค์พระแก้วมรกตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมือง ซึ่งสร้างบูชาถวายโดย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผู้เป็นพระปฐมต้นราชวงศ์จักรี ที่ยืนยงมาถึง รัชกาลที 9 เพื่อให้ประเทศได้ยืนยงต่อไป ภายใต้เศวตฉัตรอันประกอบด้วยทศพิศราชธรรม อาณาจักรรุ่งเรือง ประชาราชเป็นสุข การปิดปากแม่น้ำตาปี ก็เพื่อรักษาอาษาจักรศรีวิชัยและพระบรมธาตุไชยา ซึ่งเป็นเหตุปฐมของการตั้งบ้านตั้งเมือง ของสุวรรณภูมิ ควบคู่กับยุคหริภุญไช ของพระแม่จามเทวี เมื่อกว่า 1200 ปีมาแล้ว และได้กลายเป็นประเทศสยาม และเป็นประเทศไทยในที่สุด ทั้งหมดคือขบวนการรักษาปฐมเหตุของการตั้งชาติ และรักษาความศักดิ์สิทธิ์รวมถึงอำนาจของราชวงศ์จักรี

    พวกเราทุกคนขอน้อมจิตและแผ่ส่วนกุศล ให้สรรพสัตว์โลกทั้งหลายจงพ้นจากทุกข์ในคราวนี้ด้วยเทอญ(โปรดติดตามตอนต่อ ไป) ก็ไปซื้ออ่านกันเอาเองนะจ๊ะสำหรับผู้ที่กำลังติดตาม คุณตาที่สาม ที่ข้าพเจ้าพิมพ์มาทั้งหมดนี้ คัดลอกมาจาก หนังสือโลกลี้ลับ ปีที 22 ฉบับที่243 ประจำเดือนมีนาคม 2548



    *เหตุการณ์ที่โลกหยุดหมุน 1 วินาทีนี้ จะยังไม่เกิดขึ้นใน 3 ปีนี้ (พ.ศ.2552-2554) อย่างแน่นอน
    เพราะฉนั้นเรายังมีเวลาสั่งสมบุญกุศลอีกตั้ง 3 ปี ก่อนที่ภัยพิบัติล้างโลกจะมาในปี พ.ศ.2555 นี้
    จงใช้เวลาที่เหลืออย่างคุ้มค่านะคะ* /แองจี้




    อย่าประมาทนะครับ ไม่ใช่ว่าปีนี้จะไม่มีภัยพิบัติ แค่ภัยพิบัติโหมโรงในปีนี้ก็อาจจะอ่วมแล้วและตายกันเยอะแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านสอนว่า เวลาเหลือน้อย...ให้เร่งปฏิบัติ


    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2011
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    [​IMG]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2011
  4. กล้วยป่า

    กล้วยป่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +170

    แหม! ทำให้ดูน่าตื่นเต้น แต่รู้สึกว่าไม่เห็นจะเป็นข่าวดีเลยอะค่ะ :eek: ก็ที่ว่า 3 ปีนี้..หมายถึงปี 2554 เป็นปีสุดท้าย..แล้วอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงปี 2555 แล้วนี่คะ มันอาจจะเกิดขึ้นในปี 2555 หรือ 2555 ต่อปี 2556 ก็ได้

    เท่าที่จำได้ เรื่อง โลกหยุดหมุน 1 กิ๊กนี้ "ลุงคนเชียงใหม่" ได้เคยเขียนอธิบายไว้ดัง quote ข้างล่างนี้ค่ะ..น่าจะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแกนหมุนของโลกเพื่อปรับสมดุล น้ำไม่ได้หยุดหมุนตามโลก..ส่งผลให้น้ำในมหาสมุทรกระฉอกเข้ามาในแผ่นดิน คำว่ากระฉอกอาจดูเล็กน้อย..แต่เราตัวน้อยเดียวบนโลก คงได้สัมผัสกับน้ำเป็นปริมาณมหาศาล


    <!-- google_ad_section_end -->
     
  5. กล้วยป่า

    กล้วยป่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +170
    แผนที่ประเทศไทยในอนาคต จมใต้บาดาลอย่าถาวร

    Posted on February 2, 2011 by mekaje
    <!-- .entry-meta -->รูปนี้เป็นแผนที่ประเทศไทยหลังการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะมาถึง
    จะเห็นบริเวญสีแดงๆ คือแผ่นดินและเกาะเล็กๆน้อยๆ จะหายไปอย่างถาวร รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านเราบางส่วน ตามที่ทราบมาคือน้ำหนักมวลบนพื้นผิวโลกจำเป็นต้องลดลง 1 ใน 3 ส่วน ตามชายฝั่งทะเลได้รับผลกระทบมากที่สุด เกาะเล็กๆจะหายไปเกือบหมด สังเกตดูจะเห็นว่า ทางใต้ บ้านเราค่อนข้างหนัก เพราะพื้นใต้ดินจะเป็นหินปูนที่มีโพลงเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเกิดแผ่นดินไหวจะทำให้การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก รอยเลื่อนต่างๆขยับ ส่งผลให้แผ่นดินยุบตัวลง น้ำทะเลจะเข้าแทนที่ในบริเวณนั้น..

    [​IMG]
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    โลกหยุดหมุน 1 วินาที อาจจะเกิดขึ้นจาก 2 เหตุการณ์นี้

    [​IMG]


    [​IMG]

    2.ดาวหางอีลินิน พุ่งเข้ามาชนโลก
    ดาวหางอีลินิน Elenin comet - จะมาถึงเดือนสิงหาคม 11 นี้

    ทั้งดาวหางนิบิรุ และดาวหางอีลินิน ดูเหมือนจะถูกควบคุมวิถีทางโคจรจากมนุษย์ต่างดาว จึงทำให้บางครั้งก็มองเห็นได้บ้าง บางครั้งก็มองไม่เห็น(ไปหลบอยู่หลังดวงอาทิตย์) และดูเหมือนพวกเขา(มนุษย์ต่างดาว) จะรอเวลาให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นบนโลกเสียก่อน จึงค่อยบังคับทิศทางให้ดาวหางทั้งสอง เดินทางมาใกล้โลกเพื่อหยุดยั้งสงครามนิวเคลียร์ ไม่ให้ลุกลามต่อไปอีก​

    โดยที่ดาวหางอีลินินมีขนาดเล็ก จึงถูกแรงดึงดูดของโลก ให้ตกลงมาในพื้นผิวของมหาสมุทร แต่ดาวหางนิบิรุ มีขนาดใหญ่กว่าโลก 2 เท่า จึงเพียงเดินทางเข้ามาใกล้โลก แต่ก็ทำให้เกิดภัยพิบัติอย่างมหาศาลกับโลกได้เช่นเดียวกับดาวหางอีลินิน -เกษม-​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • nibiru1.jpg
      nibiru1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.6 KB
      เปิดดู:
      51
    • nibiru2012-top.JPG
      nibiru2012-top.JPG
      ขนาดไฟล์:
      48.4 KB
      เปิดดู:
      1,701
    • deepimpact.jpg
      deepimpact.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.7 KB
      เปิดดู:
      1,728
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2011
  7. Soul Collector

    Soul Collector เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +610
    ผมว่ามันยิ่งกว่าบังเอิญอีกนะครับ ผมจะลองเปรียบเทียบให้ฟัง

    Deep Impact (1998) ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนกับเจ้าดาวหางเอลีนิน (เทียบขนาด)

    When Worlds Collide (1951) ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนเจ้าดาวแดงเนบิรู (ดูขนาด)
     
  8. rehacked

    rehacked เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +8,013
    น่าจะรวมถึงสภาพอากาศตอนนี้ด้วยมั้งครับ เมฆตอนทุ่มนึงยังบางๆตอนนี้เต็มเลย
     
  9. เกาะแก้ว

    เกาะแก้ว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2011
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +58
    ผมเพิ่งเป็นสมาชิกใหม่ ขอมนุโมทนา สาธุ กับ ทุกๆ ท่านที่ให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ผู้ที่สนใจในการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันได้ใช้เป็นข้อมูลในการค้นคว้าและพิจารณาด้วยตนเอง และจะได้เตรียมตัวเพื่อรับกับภัยภิบัติอย่างมีสติ อย่างน้อยเมื่อมีภัยมาถึงก็จะได้ไม่เป็นภาระแก่บุคคลอืน และจะได้ช่วยเหลือบุคคลอื่นอีกด้วย เพราะขณะนี้ยังมีผู้ที่หลงอยู่ในความประมาทอีกมาก สำหรับผมจากการได้อ่านบทความต่างๆ ในเวปนี้ และข้อมูลจากเวปอื่นบ้าง ประกอบกับความเชื่อโดยส่วนตัวอยู่แล้วว่าทุกสิ่งใดๆในโลกนี้ล้วนอนิจจัง มีสูงสุดก็ต้องมีต่ำสุด ตามวัฎจักร ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจุบันผมเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจพอสมควร พยายามตั้งมั่นอยู่ในทาน ศีล ภาวนา และคอยติดตามข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆ ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ และเวปพลังจิต ผมจึงขอแนะนำให้ผู้ที่เข้ามาหาข้อมูลอยู่และลังเลใจอยู่ว่าจะมีเหตุการการภัยธรรมชาติอีกหรือไม่ในอนาคตนั้น ขอจงมีความมั่นใจในคำเตือนของ พระอริยสงฆ์เจ้าทุกพระองค์ นักวิทยาศาสตร์ต่างๆ สถาบันเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และผู้รู้อีกหลายๆท่านในเวปนี้ เพราะผมได้ตรวจสอบและศึกษาเรื่องภัยพิบัตินี้มานานพอสมควร จึงอยากให้ทุกท่านไม่ตกอยู่ในความไม่ประมาท โปรดเตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ ตั้งแต่วันนี้
    ผมมีคำเตือนเรื่องภัยพิบัติในอนาคต จากพระอริยเจ้าอ่ีกพระองค์หนื่งซึ่งผมได้อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ของวัดแห่งหนึ่งที่ผมเป็นสมาชิกอยู่ แต่ผมไม่ขอเอ่ยชื่อท่านนะครับ เดี๋ยวจะมีคนปรามาสท่าน จะเป็นบาปเปล่าๆ เอาเนื้อหาแบบย่อๆ ก็แล้วกันนะครับ
    ท่านบอกว่า หลวงปู่พระอาจารย์ของท่าน พยากรณ์เอาไว้ว่า ต่อไปโลกนี้จะเดือดร้อน จะมีภัย 3 อย่าง น้ำจะท่วมภาคใต้ฝั่งตะวันตกตายกันเยอะ (เกิดแล้วตอนซึนามิ) แล้วก็ตายไม่เท่าน้ำท่วมกรุงเทพ กรุงเทพนี่น้ำท่วมมาก ท่วมตึก 4 ชั้นเลย ท่านแนะนำให้เตรียมน้ำมันรถไว้ให้ดีนะ เตรียมรถให้ดี อย่าใช้รถเก่านะ ถ้ามันท่วมกรุงเทพเนี่ยฝนจะตก 7 วัน 7 คืน ฟ้าจะมืดหมด ไม่มีแสงอาทิตย์ แสงตะวัน แล้วไฟดับหมด เงินไม่มี ค่าเงินไม่มีความหมาย เอาข้าวตากไว้ดีกว่า กรุงเทพคนจะตายกันเยอะ ถ้าน้ำท่วมมาถึงชลบุรี โกยเลยนะ ไปโน้นเลย สระบุรี ไปเขาใหญ่เลยจะไม่ตาย
    แล้วจะเกิดสงครามพระ สงครามพระจะไปลุกทุกหย่อมหญ้าเลย ท่านบอกว่าท่านกรรมฐานมานาน ท่านบอกว่ามันเป็นกรรมของคนไทย
    ทั้งหมดนี้ท่านไม่ได้บอกวันและเวลาที่จะเกิดไว้นะครับ

    ผมขอให้ทุกท่านที่ได้อ่านลองพิจารณาดูนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2011
  10. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    พอจะขยายความเรื่องสงครามพระได้มั้ยครับ
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    [​IMG]

    [​IMG]

    คงจะหมายถึงสงครามศาสนาคริสต์กับอิสลามครับ เรื่องที่พระของชาวอิสลาม(อิหม่าม)โกรธแค้นพระของชาวคริสต์(บาทหลวง) ที่ไปเผาพระคัมภีร์อัลกุรอานที่พวกเขานับถือนั่นเองครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. Aqua-ma-rine

    Aqua-ma-rine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +1,242
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อริโศกพูดถึงภัยพิบัติและพระเจ้าจักรพรรดิ์

    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->bluebaby2<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4588843", true); </SCRIPT> สมาชิก

    ก่อนที่บุคคลทั้งสองจะปรากฎตัว ทุกๆประเทศในโลก จะต้องพบกับภัยพิบัติ มีการสูญเสียดินแดน และสูญเสียประชากรประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศ ผู้คนทั่วโลกจะล้มตายเป็นจำนวนมาก เพราะมีพื้นน้ำถึงสามส่วน พื้นดินมีแค่ส่วนเดียว

    มนุษย์ทุกคนต่างหนีเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ แต่ผู้ที่จะรอดชีวิตได้นั้น จะต้องเป็นบุคคลที่มีศีลธรรมหรือทำความดีไว้มากกว่าทำความชั่ว จึงรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้ เฉพาะประเทศไทยนั้นจะมีผู้เสียชีวิตถึงสามสิบล้านคน น้ำท่วมตั้งแต่เกาะสิงคโปร์ ประเทศมาเลเซีย ภาคใต้ทั้งหมด กรุงเทพมหานครจะจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด เนื่องมาจากคลื่นยักษ์ที่มีความรุนแรงมากกว่าที่เคยมีมาและสูงมากกว่าหนึ่งร้อยเมตร จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและจะทำลายล้างทุกพื้นที่ในทางใต้ของประเทศทั้งหมด

    สำหรับทางภาคเหนือนั้น จะเกิดพายุหมุนที่มีความเร็วรุนแรงและสูงมากกว่าร้อยเมตร หรือจะเรียกว่ามหาซุปเปอร์ทอนาโดร์เช่นเดียวกัน อีกทั้งแผ่นดินเกิดการทรุดตัว ทำให้เกิดความเสียหายเป็นอันมาก พายุลมและคลื่นน้ำจะมาบรรจบรวมกันเป้นหนึ่งเดียว และจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างพินาศราบเป็นหน้ากลอง

    บุคคลที่ขาดคุณธรรมความดีจะถูกทำลายล้าง ผู้มีคุณธรรมความดีจะอยู่รอดจากภัยพิบัติ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ สิ่งที่จะต้องพบภายในประเทศบ้านเมืองนี้คือ ผู้คนภายในประเทศจะขาดความสามัคคี ใส่ร้ายป้ายสียุยงให้แตกแยก แย่งชิงอำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ใครที่ขัดผลประโยชน์ก็คิดหาทางกำจัดออกไป เกิดการเปลี่ยนแปลงแย่งชิงอำนาจในระดับผู้นำ ทำให้บ้านเมืองเสียหายนำมาสู่ความล่มจม

    ส่วนประชาชนต่างๆ แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่มีความสามัคคี จนเกิดเหตุการณ์บานปลาย ก่อให้เกิดสงครามกลางเมือง ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย นอกจากนี้ยังเกิดโรคระบาดร้ายแรงตามมาอีก ก่อให้เกิดความสูญเสียเป็นอันมาก ภายหลังจากเกิดสงคราม ผู้คนล้มตายจำนวนมากจากการแย่งชิงอำนาจแล้ว บ้านเมืองขาดผู้นำ ในช่วงนั้นก็เกิดภัยพิบัติ ที่เกิดขึ้นใหญ่โตด้วยพายุลมและคลื่นน้ำที่บังเกิดขึ้นพร้อมกัน และพัดทำลายล้างทุกสิ่งสรรพในสภาวะที่น่าสพรึงกลัวนั้น

    ในที่สุดประเทศไทยจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง จึงได้บังเกิดผู้มีบุญปรากฏกายขึ้น พร้อมด้วยดวงแก้วสัญลักษณ์แห่งอาร์เอเธอร์นอล และได้ใช้พลังแห่งดวงแก้วและพลังบุญบารมี เข้ามาช่วยเหลือประชาชนที่มีคุณธรรมความดีให้รอดพ้นจากภัยพิบัติในครั้งนั้น และได้สร้างบ้านเมืองใหม่ให้เป็นที่อยู่อาศัย

    บ้านเมืองแห่งใหม่ที่ว่านั้น อยู่ในดินแดนอีสานของไทยทั้งหมด ในพื้นที่ภาคอีสานจะรอดพ้นจากภัยพิบัติ จะมีผลกระทบเล็กน้อยมาก ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นบริเวณที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทย และในยุคนั้นจะยิ่งใหญ่ไพศาลมาก แผ่อำนาจไปทั่วทุกสารทิศ จะมีประเทศเพื่อนบ้านที่เหลือรอดจากภัยพิบัติในครั้งนั้น เข้ามาสวามิภักดิ์และรวมเป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน ประเทศไทยจะรุ่งเรืองสุดขีด เป็นผู้นำโลกในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะประเทศไทยนั้นโชคดีที่ได้ผู้มีบุญและมีความสามมารถ ในการสร้างประเทศและบ้านเมือง ทั้งมีผู้นำศาสนาที่ดี

    ในอนาคตข้างหน้านี้ ผู้ที่รอดชีวิตและลูกหลานจะได้อยู่เมืองใหม่ ที่เจริญก้าวหน้าทั้งด้านวิทยาศาสตร์และด้านวัฒนธรรม ศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง ผู้คนทั้งหลายในประเทศไทย จะอยู่กันอย่างเป็นสุขจนถึงยุคสมัยแห่งพระศรีอริยะเมตไตรย ประเทศไทยขณะนั้นประชาราษฎรจะอยู่อย่างมีความสุข พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมียวดยานอวกาศและเป็นผู้นำของโลก มีความก้าวหน้าและความเจริญแห่งวัฒนธรรม ภายใต้การปกครองของพระมหาจักรพรรดิและผู้นำศาสนา

    หลวงปู่ขาวเล่าเรื่องภัยพิบัติและหลวงปู่ใหญ่
    ครูบาเจ้าบุญคุ้ม ปสันโน พูดถึงภัยพิบัติ
    หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก พูดเรื่องภัยพิบัติ
    ครูบาอริยชาติ อริยจิตโต นิมิตพบครูบาศรีวิชัยเตือนภัยพิบัติ
    หลวงพ่อวัชระ เอกวัณโณ พูดถึงเรื่องภัยพิบัติและกองทัพพญานาค

    13-04-2011, 03:30 PM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/อริโศกพูดถึงภัยพิบัติ.287513/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2011
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ภาพยนต์ขยายความเรื่องสงคราม(คริสต์กับอิสลาม)?

    [​IMG]

    หนังเรื่องนี้กล่าวถึงการแย่งชิงคัมภีร์ไบเบิ้ลเล่มสุดท้าย ที่เหลือรอดจากการถูกเผาทำลาย ซึ่งจะตรงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้พอดี ที่บาทหลวงในศาสนาคริสต์กำลังเผาคัมภีร์อัลกุรอาน ของศาสนาอิสลาม และอาจจะลุกลามจนกลายเป็นการแก้แค้นของคนที่นับถือศาสนาอิสลาม บุกเข้าเผาทำลายคัมภีร์ไบเบิ้ล โบสถ์วิหารและศาสนสถานของชาวคริสต์เพื่อเป็นการแก้แค้นเอาบ้าง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป.....จึงเหมือนกับเหตุการณ์ในภาพยนต์ เรื่อง The Book of Eli ได้แสดงเอาไว้ครับ

    เรื่องย่อ The Book of Eli

    โลกแห่งอนาคต..30 ปีหลังจากสงครามมนุษยชาติครั้งสุดท้าย ชายคนหนึ่งได้เดินทางผ่านดินแดนรกร้างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศอเมริกา เมืองร้าง ถนนที่ทรุดโทรม แผ่นดินที่แตกระแหง ทุกอย่างรอบตัวเขาล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่ ที่นี้ไม่มีอารยธรรมไร้กฎหมาย ถนนเป็นที่ที่คนฆ่ากันได้ง่าย ๆ เพื่อเพียงแค่แย่งชิงรองเท้าเพียงซักคู่....น้ำซักแก้ว.…หรือก็แค่....ฆ่าไปงั้น ๆ เอง

    อีไล (เดนเซล วอชิงตัน) ผู้เป็นนักสู้ด้วยความจำเป็น ชายผู้ที่ต้องการเพียงความสงบสุข แต่ถ้าเขาถูกท้าทายเมื่อไหร่ล่ะก็ เขาก็จะล้มคู่ต่อสู้ของเขาก่อนที่พวกเขาจะทันรู้ซึ้งถึงความผิดพลาดของตัวเอง สิ่งที่เขารักษาอย่างหวงแหนไม่ใช่ชีวิตของตัวเขาเอง หากแต่เป็นความหวังสำหรับอนาคต มันเป็นความหวังที่เขาอุ้มชูและคุ้มครองมากว่า 30 ปีและมุ่งหวังที่จะทำให้มันกลายเป็นจริง ด้วยความมุ่งมั่นและแรงศรัทธาในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง อีไลทำในสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตรอด และเดินหน้าต่อไป

    มีคนอีกเพียงคนเดียวเท่านั้นในโลกที่ย่อยยับใบนี้ที่เข้าใจในพลังที่อีไลมี และเขาก็ต้องการจะแย่งชิงมันมาเป็นของเขาให้ได้ คนผู้นั้นคือ คาร์เนจี้ (แกรี โอลด์แมน) ผู้ตั้งตนเป็นใหญ่ในเมืองที่เต็มไปด้วยขโมยและมือปืน หากแต่ โซลารา (มิลา คูนิส) เด็กสาวที่คาร์เนจี้อุปการะเป็นลูก กลับหลงใหลในตัวอีไลด้วยเหตุผลที่เขาเป็นฮีโร่... ชายผู้ที่เป็นฮีโร่มากกว่าพ่อเลี้ยงของเธอเอง แต่ทั้งคู่ก็พบว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะหยุดยั้งคารเนจี้ ไม่มีสิ่งใด และไม่มีใครสามารถมาขวางกั้นเขาได้ อีไลจะต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อทำตามชะตากรรมของตัวเองและนำความช่วยเหลือมาสู่มนุษยชาติที่กำลังประสบวิกฤติการณ์เลวร้าย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a3-low_s.jpg
      a3-low_s.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60 KB
      เปิดดู:
      2,412
    • eli-01.jpg
      eli-01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50 KB
      เปิดดู:
      64
    • eli-02.jpg
      eli-02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.4 KB
      เปิดดู:
      63
    • eli-03.jpg
      eli-03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.7 KB
      เปิดดู:
      63
    • eli-04.jpg
      eli-04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.7 KB
      เปิดดู:
      77
    • eli-05.jpg
      eli-05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40 KB
      เปิดดู:
      69
    • eli-06.jpg
      eli-06.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.3 KB
      เปิดดู:
      170
    • eli-07.jpg
      eli-07.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.9 KB
      เปิดดู:
      60
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2011
  15. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    [​IMG]
    14 เม.ย. 54 รายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อเวลา 06.47 น.วันที่ 14 เม.ย.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติแจ้งข้อความผ่านระบบโทรศัพท์มือถือว่า เมื่อ06.35 น. ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้นในทะเล 4.5 ริกเตอร์ ความลึก 52 กม.บริเวณเกาะTalaud ประเทศอินโดนีเซีย
    และขณะเดียวกันเมื่อเวลา 03.20 น. ก็ได้แผ่นดินไหวในทะเล ขนาด 6.2 ริกเตอร์ ลึก 25 กม. บริเวณชายฝั่งตะวันออกของเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่นด้วย
    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ีรายงานการแจ้งเตือนสึนามิแต่อย่างใด
    Mthai News


    [​IMG]
    มาลี ดวงดี หญิงสาวที่สูงที่สุดในโลก ถึง 212 เซนติเมตร
    Mthai news: สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความผิดติของการเจริญเติบโต ของนางสาว “มาลี ดวงดี” ที่มีอายุเพียง 19 ปี แต่ปัจจุบัน มาลีมีความสูงถึง 212 เซนติเมตร
    มาลี ดวงดี ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมองกดทับต่อมควบคุมการเจริญเติบโตจนทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมความเติบโตของร่างกายได้ ส่งผลให้ร่างกายสูงใหญ่ผิดปกติแม้อายุยังน้อย จนต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ นับตั้งแต่แพทย์ตรวจวินิจฉัยพบความผิดปกติในร่างกายเธอตั้งแต่อายุ 9 ขวบ
    [​IMG]
    ทั้งนี้ มาลี เพิ่งจะจบการศึกษาจากโรงเรียนใน จ.ตราด ปัจจุบันต้องใช้ชีวิตประจำวันไปด้วยความยากลำบาก เพราะความที่ตัวสูงกว่าคนปกติ รวมทั้งยังต้องรักษาด้วยการฉีดยาควบคุมการเจริญเติบโต เพราะเธอยังมีสิทธิ์ที่จะสูงมากกว่านี้ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 32,000 บาทต่อเดือน และจำเป็นต้องฉีดยาดังกล่าวเป็นประจำทุก 3เดือนตลอดทั้งปี
    อย่างไรก็ตาม มาลีกล่าวว่า หลังจากจบการศึกษา เธอพยายามสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ถึงแม้จะมีความผิดปกติทางร่างกายจนเป็นที่สังเกตของผู้คนก็ตาม แต่อย่างน้อยก็มั่นใจในความเป็นตัวเธอ ก่อนหน้านี้เคยใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยวด้วยตนเอง แต่ก็กลับรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะอยู่โดยปราศจากบุคคลรอบข้าง ส่วนในอนาคตเรื่องการแต่งงาน เธอไม่มีคิดว่า จะมีใครยอมแต่งงานกับคนแบบเธอ เพราะเธอแตกต่างจากคนอื่นๆ มาก
    [​IMG]
    “ฉันรู้สึกว่าสูงกว่าคนอื่นๆ นับตั้งแต่จำความได้ ซึ่งต้องรับประทานยามาโดยตลอด เวลาไปไหนมาไหน พ่อจะไม่อนุญาตให้ไปคนเดียว เพราะเกรงว่าจะทำอะไรลำบาก” มาลี กล่าว
    ด้านผู้เป็นแม่กล่าวว่า ลูกสาวต้องรับการรักษาที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก นั่นเป็นปัญหาอย่างมากแก่ครอบครัว
    ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2009 ความสูงของเธอ ถูกบันทึกชื่อลงในหนังสือ กินเนสส์ บุค เวิร์ล เรคคอร์ด ให้เป็นวัยรุ่นหญิงที่มีความสูงที่สุดในโลกอีกด้วย
    [​IMG]
    มาลี พบกับ ชายที่ตัวเล็กที่สุด ในปี 2008
    โดย Mthai news
    <LI class=news_src_item>[​IMG]

    [​IMG]
    วันนี้เว็บไซต์กูเกิ้ลดอทคอม (Google) เว็บไซต์ชื่อดังระดับโลก เปลี่ยนโลโก้สัญลักษณ์หน้าเว็บ ต้อนรับวันสงกรานต์ในไทย
    โดยโลโก้ดังกล่าวมีลักษณะเด่นเป็นรูปก่อกองทราย โดยประกอบด้วย ตัว G และตามด้วย กองทรายปักดอกไม้และธง 2 กอง แทนตัวโอ และตามด้วย gle โดยข้อความระบุว่า “รื่นเริงสามัคคี ก่อเจดีย์ทรายร่วมกันวันสงกรานต์”
    ทั้งนี้จากโลโก้ดังกล่าว ชาวเน็ตได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ตัวอักษรโลโก้ดังกล่าว มีลักษณะตัวอักษรคล้าย อักษรล้านนา และภาษาเขมร
    Mthai News
    —————————————————————————————
    [​IMG]
    มูลเหตุของการก่อเจดีย์ทราย ประเพณีวันสงกรานต์
    มูลเหตุของการ ก่อเจดีย์ทรายวันสงกรานต์ มีเรื่องเล่าว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมบริวาร ได้เห็น หาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา
    เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศชื่อเสียง หากตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวจึงทำให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทรายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้
    ในประเทศไทยนั้น ประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายถือว่าเป็นประเพณีหนึ่งที่มีที่มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาโดยตรง โดยคนไทยผูกโยงประเพณีนี้เข้ากับคติความเชื่อเรื่องเวรกรรมในพระพุทธศาสนา มีการก่อพระเจดีย์ทรายถวายวัดเพื่อนำเศษดินทรายที่ติดเท้าออกจากวัดไปมาคืนวัดในรูปพระเจดีย์ทราย และเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้เป็นกุศลอานิสงส์ และนอกจากประเพณีเพื่อเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังเป็นกุศโลบายของคนในอดีตให้มีการรวมตัวของคนในชุมชนเพื่อร่วมกันจัดประเพณีรื่นเริงเป็นการสังสรรค์สร้างความสามัคคีของคนในชุมชนด้วย
    ปัจจุบันประเพณีนี้พบเพียงในประเทศไทยและลาวเท่านั้น โดยจัดในช่วงเทศกาลสำคัญเป็นการเฉลิมฉลองการเปลี่ยนศักราช เช่นในวันตรุษและวันสงกรานต์ เป็นต้น โดยในบางหมู่บ้านอาจเป็นประเพณีบุญคูนลาน บุญขวัญข้าว (ก่อเจดีย์ข้าวถวายเป็นพุทธบูชา) ก็อาจนับว่าเป็นประเพณีก่อเจดีย์ทรายได้เช่นเดียวกัน เพราะไม่ได้สร้างเป็นพุทธศาสนสถานถาวรวัตถุใหญ่โต แต่เป็นเพียงเจดีย์ชั่วคราวเพื่อมุ่งถวายเป็นพุทธบูชาในการประเพณีหนึ่ง ๆ เท่านั้น
    ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก วิกิพีเดีย
    <LI class=news_src_item>[​IMG]
     
  16. pangbualun

    pangbualun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2010
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +285
    13เมษายน วันสงกรานต์ทที่เชียงใหม่ฝนตก ท้องฟ้าครึ้ม..14เมษายน ที่พะเยาตอนเช้ามีหมอกลงจัด อากาศหนาวเหมือนหน้าหนาว...หมอกลงจัดมาก..
     
  17. เกาะแก้ว

    เกาะแก้ว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2011
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +58
    คำว่าสงครามพระ หรือศึกพระ โดยความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าน่าจะหมายถึงความขัดแย้งของวงการพระสงฆ์ไทยในปัจจุบันและอนาคต แต่คงไม่ได้หมายความถึงว่าพระท่านจะถือมีดถือดาบมาฆ่าฟันกันหรอกนะครับ น่าจะเป็นการขัดแย้งกันในด้านความคิด การตีความหมายของพระธรรมตามพระไตรปิฎกที่แตกต่างกันออกไป และหลักในการบริหารจัดการเกี่ยวกับวัด หรือสายการปฏิบัติ เพื่อแย่งคนให้ขึ้นกับสายปฏิบัติสายของตนเองให้มากที่สุด หมายถึงเครือข่ายนะครับ ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มที่มีให้เห็นกันแล้วนะครับ แต่ถ้าทุกคนที่ตั้งใจบวชเป็นพระสงฆ์มีปฏิปทาเพื่อการดับทุกข์ และการทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ก็คงไม่มีความขัดแย้งกันในหมู่พระสงฆ์หรอกนะครับ ไม่ว่าจะปฏิบัติตามครูบาอาจารย์สายใหนก็ตาม

    ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความลงตัวของมันอยู่แล้วครับ
     
  18. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมกันแชร์ข้อมูลครับ
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สงครามพระ อาจจะหมายถึงเรื่องนี้...

    พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของนอสตราดามุส

    [​IMG]

    " เสียงนุ่มนวลแห่งมิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินจากแผ่นดินทิพย์ แสงเพลิงมนุษย์ ฉายรองรับเสียงประเสริฐนั้น จะเป็นเหตุให้โลกต้องเปื้อนเลือด สมณเพศทั้งหลายที่ยึดถือศีล (พรหมจรรย์) และนำไปสู่การทำลายโบสถ์วิหารที่ไร้ความบริสุทธิ์ "
    (ซ.1 ค.96 )

    นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์อย่างมากเลยทีเดียว ที่นอสตราดามุสได้เขียนโคลงทำนายบทนี้ขึ้นเมื่อ 450 ปีก่อน ภายใต้สังฆจักรโรมันคาทอลิก สมมุติว่าท่านได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีประวัติยาวนานถึง 2,000 ปีกว่ามาแล้วในสมัยนั้น ท่านคงจะไม่กล่าวถึงพระศรีอาริยเมตไตรยอย่างแน่นอน ถ้าในจิตทัศน์ของท่านไม่ได้เห็น สัจธรรมบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีส่วนสัมพันธ์กับศรัทธาใหม่ของโลกโดยตรง คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " นี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพระนามของพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคำว่า " เมตไตรย " นี้ แปลว่า " เพื่อน " ในความหมายของภาษาบาลี สันสกฤต บุคคลผู้นี้เป็น Sacred Friend จะเป็นใครก็ตาม แต่การใช้คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " หรือ " เพื่อนผู้ศักดิ์สิทธิ์ " แสดงให้เห็นว่าผู้ที่จะมาโปรดสัตว์ในโลกยุคนี้ จะไม่ใช่เป็นบุคคล

    ธรรมดาอย่างแน่นอน อีกทั้งมาจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ Holy Ground อีกด้วย ก็ยิ่งชี้ชัดว่าน่าจะเป็นองค์พระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งนายจอห์น ฮอค ฟันธงว่าจะเสด็จมาในโลกนี้ประมาณ ระหว่างคริสต์ศักราช 2000 ( พ.ศ.2543 ) หรือกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งใกล้เคียงกับวันเวลาที่พระเยซู หรือพระมาซิ อาร์ พระมะห์ดีร์ ตามความเชื่อของมุสลิม จะเสด็จมาในวันพิพากษาโลกนี้ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อกันอย่างเงียบๆ ว่าอาจจะเป็นพระศาสดาโพธิสัตว์องค์เดียวกันก็ได้

    การเสด็จมาของพระศรีอาริยเมตไตรย ก็คงต้องมาชำระสะสางความเสื่อมของศาสนาอยู่แล้ว ในภาวะที่มีการวิวัฒนาการ บรรดาพระสงฆ์สมณเพศผู้ยึดถือพรหมจรรย์ ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับนักบุญทั้งหลายผู้เสียสละในอดีต วันเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นคงต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติวิสัย ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีความเจ็บปวดอันเกิดจากการต่อต้าน หรือขัดแย้งทางอุดมการณ์และความคิดเกิดขึ้น ซึ่งในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นในอดีต การเสียสละของนักบุญอาจถึงกับต้องเลือดตกยางออก

    " อังคารกับคฑาของจูปิเตอร์ (พฤหัส) เล็งลัคน์
    เกิดสงครามมหาวิบัติภายใต้ราศีกรกฎ
    หลังจากนั้นไม่นาน กษัตริย์ใหม่จะถูกสถาปนา
    เป็นผู้นำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์เป็นเวลายาวนาน "
    ( ซ.6 ค.24 )

    วรรคที่น่าสนใจในโคลงบทนี้ ได้แก่วรรคที่มีคำว่ากษัตริย์ ที่จะนำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ หลายฝ่ายตีความกันว่า นอสตราดามุสกำลังพูดถึงวันที่โลกชำระบาปแล้ว หลังจากกลียุคอันเกิดจากสงคราม ภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติ หรือโรคระบาด โลกจะปรากฎผู้นำใหม่ที่มาในมิติที่อยู่เหนือธรรมชาติ อาจจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย พระมาซิอา พระมะห์ดี หรือพระยาธรรมิกราช ที่เสด็จมาโปรดสัตว์ตามพุทธทำนาย ตามคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิล หรือตามพระวัจนะในพระคัมภีร์กุรอ่านก็ได้

    ตามการคำนวนทางโหราศาสตร์ โดยอาศัยหลักของดาราศาสตร์ ดาวอังคารจะเล็งลัคน์กับดาวพฤหัสหลังปี ค.ศ.1999 เป็นครั้งแรกในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.2002 (พ.ศ.2545) เพราะฉะนั้นเหตุการปาฎิหาริย์ที่จะทำให้ชาวโลกตะลึง น่าจะเกิดขึ้นในกำหนดเวลาดังนี้

    ระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม ค.ศ.2004 ( พ.ศ.2547 )
    ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ.2006 ( พ.ศ.2549 )
    ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 (พ.ศ.2552 )
    ระหว่างเดือนเมษายน- พฤษภาคม ค.ศ.2011 ( พ.ศ.2554 )

    วันเวลาดังกล่าวที่บันทึกไว้ข้างต้นนี้ น่าจะเป็นการคำนวนเวลาของวาระแห่งการสิ้นยุค ของสังคมมนุษย์โลกจากหลักฐานต่างๆ เท่าที่จะเสาะหามาได้

    " บรรยากาศ ท้องฟ้า แผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนา ยังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ.... "
    ( ซ.9 ค.83 )

    คำทำนายของนอสตราดามุสข้างต้นนี้ คล้องจองกับพุทธทำนายที่บอกว่า ท้องฟ้าจะมืดเจ็ดวันเจ็ดคืน ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนจรจะกลับกรุง ฟูกจะมีหนาม ผีป่าจะเข้าบ้าน ผีบ้านจะเข้าไพร....และในพระคัมภีร์ไบเบิลกับพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน ทำนายว่าพระอาทิตย์จะมืดลง ดวงจันทร์จะหยุดส่องแสง ดวงดาวบนท้องฟ้าจะร่วงหล่น...ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยทีเดียว.....

    ( คัดลอกมาจาก หนังสือนอสตราดามุส ฉบับเพิ่มเติมเกี่ยวกับศรัทธาใหม่ เขียนโดยศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน )

    พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก กัณฑ์ที่ ๙

    สมณพราหมณ์หมู่ใดที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จะถูกไล่สึกเสียทั้งสิ้น ส่วนสมณะพราหมณ์หมู่ใดอยู่ในธรรมวินัยของตถาคตที่ได้บัญญัติไว้ ก็จะให้อยู่รักษาพระพุทธศาสนา จำนวนภิกษุที่ปฏิบัติชอบด้วยพระธรรมวินัยที่ไม่ได้ไปสึกนั้น ในสกลชมพูทวีปทั้งสิ้นจะมีประมาณ ๖ ร่มไม้นิโครธ (บางฉบับว่า ๒ ร่มไม้นิโครธ) ต้นใหญ่ พระยาธรรมิกราชองค์นั้นจะอยุ่เสวยราชสมบัติตราบอายุ ๒๐๐ ปี บุญสมภารการแห่งตน
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พุทธทำนาย"เรื่องพระยาธรรมิกราช"ในพันปีที่สาม (พ.ศ.๒๐๐๑-๓๐๐๐)

    [​IMG]

    ดูรา สัปบุรุษทั้งหลาย ยังมีในกาลครั้งหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่ง ทรงรำพึงถึงพระยายักษ์ใหญ่ตนหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่ ดอยอ่างสรง (ถ้ำเชียงดาว) อันมีอยู่ในเมืองหริภุญชัย (เวลานั้นเมืองหริภุญชัยคือเมืองลำพูน มีอาณาเขตถึงเชียงดาว) พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยทิพยจักขุญาณแห่งพระองค์ แล้วก็เสด็จไปสู่บริเวณเขตแดนดอยอ่างสรงที่นั้น

    ส่วนพระยายักษ์ที่อาศัยอยู่ในดอยอ่างสรงนั้น มีมีปรกติแสวงหาคนและสัตว์มากินเป็นอาหารเสมอมาเป็นประจำ ในวันนั้น พระยายักษ์ก็ออกจากที่อยู่แห่งตน เพื่อไปแสวงหาอาหาร มันไปทางใดก็ไม่พบคนหรือสัตว์แม้แต่ตัวเดียว แล้วมันก็ไปพบพระพุทธเจ้า เมื่อมันเห็นแล้ว มันหาได้รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า มันคิดว่า "โชคกูยังดีอยู่ ถึงได้มาพบมาปะชายผู้นี้ อาหารของกูเดินทางมาหากูแล้ว" เมื่อมันเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็แสดงฤทธิ์เดชอันเป็นยักษ์แห่งมัน แล้วก็วิ่งไปหาพระพุทธเจ้า ด้วยอาการอันรีบด่วน "กูจะจับบุรุษผู้นี้เป็นอาหาร"

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบวารจิตแห่งพระยายักษ์จึงตรัสว่า "ดูก่อนพระยายักษ์ ท่านอย่าคิดว่าจะกินเราเลย จะเป็นบาปอันหนักแก่ท่านต่อไปในภายหน้าหาที่สุดไม่ได้ เราตถาคตนี้มิใช่คนธรรมดาสามัญ เราเป็นสัพพัญญูพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าโลกทั้งสาม" พระยายักษ์ได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าเช่นนั้น ก็บังเกิดความสะดุ้งตกใจกลัว มีร่างกายอันสั่นสะท้าน มีความกลัวต่อมรณภัยเป็นอย่างยิ่ง เข้ามากราบขออภัยไว้ชีวิตจากพระพุทธเจ้า แล้วถอยหลังกลับคืนสู่ถ้ำอันเป็นที่อยู่แห่งตน แล้วจึงบอกกล่าวยังเหตุอันนั้นแก่ลูกเมียว่า

    "ดูรานาง วันนี้พี่ออกไปแสวงหาอาหารตลอดวันไม่พบคนและสัตว์แม้แต่ตัวเดียว แต่พี่ไปพบบุรูษผู้หนึ่ง มีรูปโฉมผิวพรรณอันงดงาม พี่นึกว่าเป็นคนธรรมดาสามัญ เมื่อพี่วิ่งทะยานเข้าไปนึกว่าจะจับเอามาเป็นอาหารแห่งเราทั้งสอง บุรุษผู้นั้นกลับเปล่งสีหนาทแก่พี่ว่า "ดูรา พระยายักษ์ ท่านอย่าคิดว่าจะกินเราเลย จะเป็นบาปอันหนัก เหตุว่าตถาคตนี้มิใช่คนธรรมดาสามัญเหมือนคนและสัตว์ทั้งหลาย หากแต่เราเป็นผู้ประเสริฐกว่าโลกทั้งสาม" พี่ได้ฟังคำเช่นนั้น ก็บังเกิดความสะดุ้งตกใจกลัวต่อมรณภัยเป็นอันมาก ก็ก้มกราบแล้วถอยหนีกลับคืนมาหาที่อยู่แห่งเรานี้แหล่ะ เมื่อนั้น นางยักษ์ได้ฟังพระยายักษ์ผู้เป็นสามีแห่งตนกล่าวเช่นนั้น ก็กำหนดรู้ด้วยปัญญาแห่งตนว่า บุคคลผู้นั้นต้องเป็นพระพุทธเจ้าองค์ประเสริฐอย่างเดียว"

    เมื่อกำหนดรู้เช่นนี้แล้วจึงกล่าวแก่พระยายักษ์ว่า "ข้าแต่เจ้ากูผู้เป็นสามี ผู้ที่เห็นมาปานนั้นมิใช่คนธรรมดาสามัญ ต้องเป็นคนที่มีบุญสมภารเป็นอันมาก ที่แท้พี่ท่านได้พบพระสัพพัญญองค์ประเสริฐล้ำเลิศเป็นที่ยิ่งแล้ว พี่ท่านจงอย่าคิดว่าจักใคร่กินเลย จะเป็นบาปอันหนักแก่พี่ท่าน บัดนี้ท่านองค์ประเสริฐนั้นยังสถิตอยู่ ณ ที่ใดหนอ" พระยายักษ์ก็กล่าวว่า "ดูรา นางเจ้าองค์ประเสริฐนั้น ยังคงอยู่ที่นั้นยังไม่ทันจะไปที่ไหนหรอก" นางยักษ์จึงกล่าวว่า "ข้าแต่เจ้ากูจงรีบขวนขวายหาปรมามิสบูชา มีข้าวตอกดอกไม้และของหอมทั้งหลาย ไปขอขมาพระพุทธเจ้าองค์ประเสริฐนั้นเถิด พี่ท่านจงขอให้พระพุทธเจ้าลดโทษแก่ท่านเถิด"

    พระยายักษ์ได้ฟังคำที่ภริยาแห่งตนกล่าวตักเตือนเช่นนนั้น ก็บังเกิดความยินดี จึงพูดว่า "ดูรา นางเป็นการดีแท้แล" แล้วพระยายักษ์ก็รีบขวนขวายหาปรมามิสบูชา คือดอกไม้ของหอมได้แล้ว ก็รีบกลับคืนมาสู่สำนักพระพุทธเจ้าแล้วก็กราบทูลขอขมาด้วยคำว่า "ข้าแด่พระพุทธเจ้าผู้หาทุกข์มิได้ ข้าพระพุทธเจ้าก็กราบขอพระพุทธเจ้า โปรดจงบังเกิดพระมหากรุณาธิคุณลดโทษแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด เพราะข้าพระองค์ไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้วิ่งพรวดเข้ามาเพื่อจะจับพระองค์กินเป็นอาหาร การกระทำเช่นนี้ก็บังเกิดเป็นโทษแก่ข้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดอภัยโทษเหล่านั้น แล้วโปรดทรงพระกรุณาสั่งสอนข้าพระองค์เถิด"

    ขณะนั้นสมเด้จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นพระยายักษ์ตนนั้นเป็นผู้มีบุญสมภาร ซึ่งจักต้องปรากฏด้วยบุญและคุณแห่งตนในภายภาคหน้าเป็นอันมาก ก็ทรงรับเอาปรมามิสบูชา และทรงลดโทษแก่พระยายักษ์ตนนั้นด้วยดี แล้วทรงสั่งสอนพระยายักษ์ให้เข้าถึงสรณาคมน์และรักษาเบญจศีล พระยายักษ์ก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการ แล้วนั่งเฝ้าปรนนิบัติพระพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธอค์ทรงพยากรณ์ว่า "ดูรา ยักขราชผู้เป็นใหญ่ ต่อไปในอนาคตเบื้องหน้าในระหว่างแห่งศาสนาที่ตถาคตตั้งไว้นั้น ท่านจะได้เกิดมาเป็นพระยาธรรมิกราชองค์หนึ่ง ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สาม

    ท่านจะได้ส่งเสริมยกย่องพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก เหตุการณ์เช่นนี้จะมีต่อไปในกาลภายหน้าอย่างแน่นอน เมื่ท่านเกิดมาเป็นพระยาธรรมิกราชนั้น ท่านจะมีอายุยืน ๒๐๐ ปี ในกาลนั้นพระพุทธศาสนาล่วงไปแล้วสองพันปีกว่า จะย่างเข้าสู่สามพันปี ในระหว่างนี้แหละที่ท่านจะได้เป็นพระยาธรรมิกราชภายหลังแต่นั้น อายุแห่งพระพุทธศาสนาจะเหลือประมาณ ๒,๐๐๐ ปี ดูรามหายักษ์ โดยที่ในระหว่างศาสนา ตถาคตที่ตั้งไว้ ๕,๐๐๐ ปี นัแต่ตถาคตนิพพานไปนั้น จะมีพระยาธรรมิกราชมาเกิด ๕ พระองค์ (ไม่ได้เรียงตามลำดับเวลา)คือ

    องค์ที่ ๑ จะเกิดนเมืองปาฏลีบุตรนคร มีนามบัญญัติว่า ปัตตมาลิก (บางฉบับว่าปุตตมาลิก) คือพระเจ้าอโศกราช

    องค์ที่ ๒ จะเกิดในเมืองสาวัตถีคือเมืองหงสาวดี ท่านองค์นี้จะได้อาชีพค้าขายเมื่ยง เวลานั้นเมี่ยงจะราคาแพง น้ำหนัก ๑,๐๐๐ จะขายได้เงิน ๓๒ ลูกเงินตลิง

    องค์ที่ ๓ จะเกิดในเมืองอังวะ องค์นี้จะเป็นพ่อค้าเกลือ คือในเวลานั้นเกลือจะมีราคาแพง คือเกลือน้ำหนักสองพันปลายสามร้อยธ๊อก จะขายได้ ๓๒ ลูกเงินตลิง

    องค์ที่ ๔ จะเกิดในเมืองอโยธิยา องค์นี้จะเกิดมาเป็นพ่อค้าพลู เวลานั้นพลูจะมีราคาแพง พลู ๑๐๐ ใบจะขายได้ ๓๐ ลูกเงินตลิง

    องค์ที่ ๕ องค์นี้เกิดมาเป็นพ่อค้าข้าวสาร คือในเวลานั้นข้าวสารจะมีราคาแพง คือ ข้าวหมื่นน้ำหนัก (ประมาณ ๑๒ กก.) จะขายได้เงิน ๗๐ ลูกเงินตลิง คือว่าหมื่นข้าวมีราคา ๓๐๖ เถ้ (ธ็อก) เงินตลิง ๑ ลูกมีน้ำหนัก ๕ ผิน (ไม่ทราบมาตรโบราณ ต้องค้นคว้าต่อไป ฝ่านท่านผู้รู้ช่วยคิดด้วย)

    ในพระยาธรรมิกราช ๕ องค์นี้พระยาธรรมิกราชองค์ชื่อว่า พระเจ้าอโศกราชจะเกิดก่อน ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาหนึ่งพันวัสสาแรก พระยาธรรมิกราชองค์ที่ ๒ มีชื่อว่า ตัมพลุ อนุรุทธรรมิกราช ที่เป็นพ่อค้าเมี่ยง เกิดในเมืองพุก่ำในเมืองหงสาวดี ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สอง พระยาธรรมิกราชเป็นพ่อค้าพลู จะมาเกิดในเมืองอโยธิยาทวารวดี ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สอง

    พระยาธรรมิกราชที่เป็นพ่อค้าข้าวสาร จะมาเกิดในเมือง โยนกโลก หรือเมืองหริภุญชัยนคร ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สาม

    พระยาธรรมิกราชองค์ที่เป็นพ่อค้าเกลือจะมาเกิดในเมืองอังวะ ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สี่ ดูรา ยักขราช ท่านจะได้เกิดเป็นพระยาธรรมิกราชในศาสนาตถาคตในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สาม คือว่าหลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว ตถาคตจะตั้งพระพุทธศาสนาไว้ ๕,๐๐๐ พรรษา ในเมื่ออายุพระพุทธศาสนาล่วงไปแล้วได้ ๒,๐๐๐ ปีบริบูรณ์และย่างเข้าสู่พรรษาที่สามมาถึงเมื่อใด เมื่อนั้นท่านจะได้เกิดเป็นพระยาธรรมิกราช จะได้เกิดในเมืองที่นี้ จะเสวยราชสมบัติเป็นสุขในเมืองเชียงดาวที่นี้ ท่านจะได้ยกย่องส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก

    ภูเขาลูกใหญ่ดอยอ่างสรงนี้ ซึ่งใหญ่และกว้างได้โยชน์ สูงก็ได้โยชน์หนึ่ง มีถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งสูง ๑,๐๐๐ วา และมีรูปยักษ์ใหญ่ ๔ ตนอยู่เฝ้ารักษาพระพุทธรูปที่นั้น ดูรา ยักขราช ในกาลต่อไปภายหน้า เมื่อศาสนาตถาคตล่วง ๒,๐๐๐ ปีเข้าสู่เขต ๓,๐๐๐ ปี ในเมืองหริภุญชัยนครนี้จะมีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งพระนามว่า นครสีสา ภาษาไทยว่า พระยาหัวเวียง จะเสวยราชสมบัติในเมืองหริภัญชัยนคร ในเวลานั้นจะมีหญิงโสเภณีคนหนึ่ง จะยุยงสนลส่อเท็จทูลให้พระองค์เบียดเบียนเสนาอำมาต์ประชานาราษฎร์ทั้งหลายคือ ให้ปรับไหมให้ถึงความฉิบหายเป็นอันมาก อีกประการหนึ่งพระยาองค์นี้จะมัวเมาในการเล่น ชอบไปเที่ยวตลาดทุกวัน เสนาอำมาตย์ไม่พอใจ จึงพร้อมใจกันปลดจากพระเจ้าแผ่นดิน แล้วยกย่องพระยาองค์อื่นขึ้นเสวยราชสมบัติแทน

    ต่อมาก็เปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินถึง ๒๐ รัชกาล ในสมัยที่โอรสพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒๐ ขึ้นครองราชสมบัตินั้น ข้าศึกพวกลัวะยกพลมาจากเมืองโกสัมพี เข้ามาตีนครหริภุญชัย จะเกิดเป็นโกลาหลกลียุคเป็นเวลานาน ศึกสงครามครั้งนั้นจะชนะกันด้วยรี้พลคนกล้าหาญก็หามิได้ แต่จะชนะกันด้วยคนบ้าคนหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาจะไม่มีเชื้อสายท้ายพระยากษัตริย์เสวยเมืองเป็นเวลานานยิ่งนัก จนถึงปีกัดไค้ถึงปีเล้า ในระหว่างนั้นท่านจะได้มาเกิดเป็นพระยาธรรมิกราช ได้ยกย่องส่งเสริมศาสนาแห่งตถาคต

    และปีเบิกสันพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าแก่เทวดาทั้งหลาย จะเสด็จลงมาจากชั้นฟ้าดาวดึงส์ มาตีกลองแก้วใบหนึ่ง เป่าหอยสังข์ ให้คนทั้งหลายในสกลชมพูทวีปทั้งสิ้น ให้ได้ยินได้ฟังทุกแห่ง เพื่อให้สมณพราหมณ์และคฤหัสถ์หญิงชายทั้งหลายได้กระทำบุญให้ทาน รักษาศีลเจริญเมตตาภาวนาเป็นนิรันดร์เถิด ต่อจากนั้นจะบังเกิดภัยอันใหญ่คือ พระอาทิตย์และพระจันทร์จะปรากฏแก่ตาโลกเห็นเป็นสองดวง จะมีต่อไปภายหน้า

    ในกาลต่อไปนับจากนั้น จะมีพระยาธรรมิกราชองค์หนึ่ง ซึ่งเกิดมาในปีกกัดเล้า เดือนเพ็ญวันเสาร์ จะได้เป็นพระยาธรรมิกราชองค์ประเสริฐ เมื่อพระยาธรรมิกราชองค์นี้เกิดขึ้นมา คนทั้งหลายคือท้ายพระยา เสนาอำมาตย์และสมณพราหมณ์ผู้ที่เป็นคนพาล ใจบาป เขาย่อมเกลียดชังไม่มีใจรักพระยาธรรมิกราชองค์นั้น ท่านจะเกิดในตระกูลฃช่างหูก ในประเทศที่อยู่ตอนล่างแม่น้ำ พระยาธรรมิกราชองค์นั้นเป็นผู้มีปัญญาอันวิเศษ มีปรกติสั่งสอนสมณะและคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยเรื่องที่เป้นบุญเป็นกุศลบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้สมณะและคฤหัสถ์ทั้งหลายผู้เป็นพาลมีใจบาป จึงไม่ชอบไม่พอใจพากันเกลียด

    ในกาลต่อมาท่านผู้มีบุญมากนั้นจึงขึ้นไปเลี้ยงชีวิตแห่งตน ทางตอนต้นน้ำแม่ระมิงค์ (น้ำปิง) ตั้งแต่นั้นต่อไปภายหน้าสมณะและคฤหัสถ์ทั้งหลายจะประสบอุบาทว์โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เป็นต้นว่า ปวดท้อง ลงเลือดตาย ยิ่งกว่านั้นจะบังเกิดเป็นโกลาหลกลียุค จะฆ่าฟันกันตายเป็นอันมาก หญิงชายจะตายเพราะทุพภิกขภัยอดอยากเป็นจำนวนมาก ประการหนึ่งคนทั้งหลายจะตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บเป็นต้นว่า เป็นตุ่ม, เป็นฝี, เป็นหิด, เป็นเหา เป็นโรคเรื้อนตายกันมาก ประการหนึ่ง คนทั้งหลายจะอยู่ในสงคราม คนใดเกิดยามนั้น จะกระทำบุญรักษาศีลพังธรรรม เมตตาภาวนาอยู่ตลอดเวลา จงอย่าประมาทเลย

    ในกาลยามนั้นจะเกิดทุพภิกขภัยข้าวจะแพงยิ่ง ข้าวสารหมื่นน้ำเป็นราคา ๗๒ ตลิง เป็น ๓๐๖ ธ็อก ก็ยังหาคนขายมิได้ เหตุนั้นเจ้าตนมีบุญจึงเป็นพ่อค้าข้าวสาร ในเวลาที่เจ้าตนมีบุญจะได้เป็นพระยาธรรมิกราชนั้น ท่านจะไปค้าขายข้าวสารตามลำดับ แล้วจะไปพักอยู่ใน ดอยสากก้อมคือภูดินแดง อันมีอยู่ในเขตเมืองฝ้่างทัี่นั้น ในเวลานั้นพระอินทร์ทอดพระเนครเห็นแล้ว จะเสด็จนำม้าตัวหนึ่งชื่อมัญกัณฐัก เข้ามาสู่ดอยดินแดงในเมืองฝางนั้น เมื่อมาถึงพ่อค้าผู้นั้นแล้วจะกล่าวว่า

    "ดูรา พ่อค้า ขอท่านกรุณาถือเชือกม้าไว้ให้ข้าพเจ้าครู่หนึ่งเถิด ข้าพเจ้าจะไปกินน้ำรินสามสบสักประเดี๋ยว แล้วอินทมานพก็เอาข้าวต้มมัด ๓ ลูกให้แก่พ่อค้าแล้วสั่งว่า "ขอท่านโปรดจงรักษาม้าข้าพเจ้าไว้สักระยะเถิด ท่านหิวข้าว ท่านจงกินข้าวต้ม ๓ ลูกนี้เถิด หากว่าม้าต้วนี้มันดิ้นส่งเสียงร้องลำพองนัก ท่านจงขึ้นขี่เหนือหลังมัน มันก็จะหยุดร้องคะนองทันที" เมื่อสั่งเสร็จแล้ว อินทราธิราชก็เสด็จไปแอบอยู่ที่แห่งหนึ่ง ต่อมาพ่อค้าผู้นั้นรู้สึกหิวข้าวเป็นอันมาก ก็แกะข้าวต้มห่อหนึ่งออกกิน เมื่อกินแล้วปัญญาอันเป็นทิพย์ก็บังเกิดแก่พ่อค้าผู้นั้นทันที ในกาลนั้นม้าก็ดิ้นส่งเสียงร้อง พ่อค้าผู้มีบุญก็ขึ้นขี่บนหลังม้าตัวนั้น

    ม้าตัวนั้นก็พาท่านเหาะมาทางอากาศ ท้าวจตุโลกบาล เทวดา พญานาค ยักษ์ คนธรรพ์ ทั้งมวลในหมื่นโลกธาตุ ก็พร้อมใจกันบรรเลง ๕ ประการ อบรมสมโภช บูชาเป็นโกลหลเอกเกริกทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ คนทั้งหลายในสกลชมพูทวีป ไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อน เมื่อได้ยินแล้วก็สะดุ้งตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง และพระอินทร์ ท้าวจตุโลกบาล เทวดา ยักษ์ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์และสุรางคณาทั้งหลาย ก็พร้อมกันนำเอาท่านผู้มีบุญนั้น ขึ้นไปสู่เมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็พร้อมกับอุสสวราชาภิเษกด้วย เบญจกกุธภัณฑ์ อันเป็นทิพย์แล้วจึงเชิญพระยาธรรมิราชองค์นั้นลงมา

    หมู่คนและเทวดาอินทร์พรหม ก็พร้อมกันอุสสวราชาภิเษกในเมืองเชียงดาว เขตแห่งเมืองหริภัญชัยนคร ที่นั้นปราสาททิพย์ ๓ หลังคือ ปราสาทแก้ว ๑ หลัง ปราสาททอง ๑ หลัง ปราสาทเงิน ๑ หลัง สูง ๖๗ วา กว้าง ๓๐ วา จะโผล่ออกมาใต้ปฐพีขึ้นมา ปราสาททางกลางเวียงเชียงดาวที่นั้น ยามนั้นทองคำสี่แท่งที่มีอยู่ในหนองสรงเกศ อันตั้งอยู่ในหัวหนองไคร้ ที่จะโผล่ออกมาอยู่ที่มุมปราสาททั้ง ๔ มุม ต่อจากนั้นจะมีรินทองคำ พาดแต่หัวดอยอ่างสรงโพ้นลง พระอินทร์พร้อมด้วยเทวดาทั้งหลาย จะพร้อมกันรดสรงด้วยน้ำมูรธาภิเษกในรินทองคำนั้น รินทองคำจะพาดแต่จอมดอยภูหวดโน้นลงมา

    ยามนั้น สมณพราหมณ์ท้าวพระยาเสนามาตย์และคนทั้งหลาย พากันอุสสาราชาภิเษกในรินทองคำอันนั้น ในกาลครั้งนั้นคนทั้งหลายก็จะได้เห็นเทวดา พระอินทร์ พระพรหมทุกองค์ เพราะเทวดาเหล่านั้นได้มาอุสสาราชาภิเษกพ่อค้าข้าวสาร ที่เป็นลูกช่างหูกซึ่งเป็นพระยาธรรมิกราชนั้นแล เมื่อท่านผู้มีบุญได้เป็นพระยาธรรมิกราชแล้ว ต้นกัลปพฤกษ์ทิพย์ทั้งหลาย ๑,๖๐๐ ต้น ก็จะโผล่จากใต้แผ่นดินออกมา แวดล้อมปราสาทและเวียงเชียงดาวทั้งหมด จะเป็นที่รุ่งเรืองปรากฏไปทั่วชมพูทวีปทั้งสิ้น

    มนุษย์ชายหญิงทั้งหลายเมื่อเข้ามาถึงที่นั้นแล้ว ก็จะถอดเสื้อผ้าออกกองไว้สูงประมาณ ๗ ศอก ลมจะพัดเสื้อผ้าเก่าเหล่านั้นทิ้งไปทั้งหมดถึง ๗ ครั้ง คนทั้งหลายจะได้นุ่งวัตถาภรณ์อลังการผืนใหม่ที่เป็นทิพย์ทุกคน ในกาลใดที่ท่านยักขราชได้เกิดเป็นพระยาธรรมิกราช ในกาลนั้นท่านจะได้เสวยทิพยสมบัติสุขทุกคน ในเมืองเชียงดาวอันอยู่ในแว่นแคว้นเขตเมืองหริภัญชัยนคร ชาวเมืองโกสัมพีทั้งหลายจะเข้าพึ่งบรมสมภารชั้นใน คือเป็นพ่อครัวของพระยาธรรมิกราชองค์นั้น สมณพราหมณ์หมู่ใดที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จะถูกไล่สึกเสียทั้งสิ้น ส่วนสมณะพราหมณ์หมู่ใดอยู่ในธรรมวินัยของตถาคตที่ได้บัญญัติไว้ ก็จะให้อยู่รักษาพระพุทธศาสนา

    จำนวนภิกษุที่ปฏิบัติชอบด้วยพระธรรมวินัยที่ไม่ได้ไปสึกนั้น ในสกลชมพูทวีปทั้งสิ้นจะมีประมาณ ๖ ร่มไม้นิโครธ (บางฉบับว่า ๒ ร่มไม้นิโครธ) ต้นใหญ่ พระยาธรรมิกราชองค์นั้นจะอยุ่เสวยราชสมบัติตราบอายุ ๒๐๐ ปี บุญสมภารการแห่งตน ดูรายักขราช เมื่อถึงเวลาที่ท่านจะได้เป็นพระยาธรรมิกราชองค์นั้น ภัยอุบาทว์ศัตรูจะมีแก่คนทั้งหลาย จะต้องถึงความพินาศฉิบหายเป็นอันมากก่อน ในเมื่อภัยอุบาทว์จะบังเกิดมีนั้น... จะมีกวางทองตัวหนึ่งซึ่งเทวบุตรเนรมิตเป็นกวางทองตัวนั้นจะล่องมาจากทิศเหนือ และมีเทวบุตรองค์หนึ่งเนรมิตเป็นกระต่ายเผือกตัวหนึ่งขึ้นมาแต่ทิศใต้ ทั้งสองสัตว์มาพบกันในที่แห่งหนึ่ง กว่างทองก็ถามกระต่ายเผือกว่า

    "ดูรา สหายท่านมาจากที่ไหนหนอ" กระต่ายตอบว่า "ดูรา เรามาแต่ทิศใต้" กว่างทองจึงถามต่อไปว่ "ดูรา สหายท่านนี้อันโลกทั้งหลายสมมุติว่าเป็นสัปบุรุษบัณฑิตเรียกว่า กระต่ายตัวเป็นนักปราชญ์โดยแท้ ดูราท่านบัณฑิต ข้าพเจ้าจะถามท่าน ถ้าท่านพอรู้จงบอกข้าพเจ้าเถิด ดูราสหายบ้านเมืองทางทิศใต้นั้นคนยังมีทุกข์สุขประการใด" กระต่ายตอบว่า "ดูราสหาย บ้านเมืองทางทิศใต้เท่าที่ข้าพเจ้าได้พบได้เห็นมา มหาภัยเป็นอันมากย่อมบังเกิดขึ้น คือว่าน้ำขุ่นน้ำเน่ามาปนกันกับน้ำอันใสสะอาด คือว่า คนใจบาปเข้ามาปะปนยุ่งกับคนใจบุญ สมณะผู้ใจบาปก็ปะปนยุ่งกับด้วยสมณะผู้บริสุทธิ์ผู้มีบุญเป็นอันมาก ประการหนึ่ง

    บุพนิมิตบางแห่งการพินาศแห่งคนทั้งหลาย ก็จะบังเกิดมีหลายอย่าง เป็นต้นว่า ม้ากลับกินหญ้าอย่างวัว คนจะหวีผมลงมาคลุมตา คนพา (สะพาย) ถุงหลวงกำด้ามดาบอันยาว... (กระทู้, หลัก) รั้วนา คนทือ (ถือ) งาหูล้ำหน้าพ่อค้ามักสืบคำโจร ผีโหงมักบินโยน (กระโดดโลดเต้น) ในอากาศ คนฝูงเป็นนักปราชญ์ บ่หุมบุญ (ไม่ชอบทำบุญ) เป็นขุนเป็นนายบ่รู้ตกแต่ง คนทั้งหลายมักเอาผ้าสี่แจ่ง (ผ้าเช็กหน้า) แปลงถง (ถุง) ฝนตกลงบ่ใช่เมื่อ (ไม่ตกตามฤดูกาลหรือเวลา คือ กาลที่ควรตกกลับไม่ตก) คนทั้งหลายบ่อเชื่อในธรรม

    (คือว่าคฤหัสถ์บรรพชิตทั้งหลายได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนเป็นบุญ กลับเข้าใจเสียว่าไม่เป็นบุญ ให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนาก็ไม่ทำให้คนดีขึ้น ทำหรือไม่ทำ รักษาหรือไม่รักษาก็เหมือนกัน ที่เป็นบาปกลับเข้าใจว่าไม่ร้ายไม่ดีอะไร แม้จะทำบาปอยู่บ่อยๆ ก็ไม่เป็นอะไรขึ้นมา ก็ยังคงมีเงินมีทองเจริญด้วยศักดิ์อยู่) "คนบ่ยำนักบวช" (ไม่ยำเกรง...) "มักต้านโจทก์อาจารย์" คือว่าคนทั้งหลายเห็นนักบวชไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ไม่สำรวมในอินทรีย์ ไม่เคารพในพระธรรมคำสอนว่าเป็นนักบวช การอยู่การกินอาการลีลาต่างๆ ตลอดถึงการนุ่งผ้าก็เป็นเช่นเดียวกับคฤหัสถ์ จึงหาความเคารพยำเกรงไม่ได้ ประการหนึ่ง

    นักปราชญ์อาจารย์ผู้มีปัญญา มีความสงสารกรุณาตักเตือนสั่งสอนตามธรรม คนทั้งหลายก็จะกล่าวคำอันธพาลโจทก์ จะหาเรื่องด้วยคำอันเป็นผรุสวาจา ตำหนิติเตียนว่าร้ายเป็นอันมาก บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลายก็จะหาอุบายหยุดหย่อนผ่อนเสีย คือ หาทางหยุดนิ่ง ถึงรู้ก็จะไม่พูดอะไรเลย สมณะปฏิบัติผิดคลองโบราณว่าไว้ คือว่า คลองวัตรปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์ได้ชี้แจงแนะนำไว้ ชอบพระธรรมวินัย สมณะทั้งหลายก็จะละและเหยียบย่ำเสีย ไม่ปฏิบัติตาม แต่จะตั้งขึ้นมาใหม่ผิดวินัยไปตลอด แม้นท้ายพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ก็จะเลิกละเหยียบย่ำโบราณประเพณีอันเป็นคลองธรรมของกษัตริย์ และผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยปฏิบัติและบัญญัติไว้โดยชอบธรรมแล้วจะเอาอย่างอื่นขึ้นมาใหม่

    เวลานั้นผู้ไร้จะกลับเป็นคนมี คือคนที่ทุกข์ไร้เข็ญใจทั้งหลายทุกข์ ไม่มีความกลัวตายอะไร จะมีใจหยาบกล้าหาญในการรบ การทำงานตามความใบ้ว่าได้ไปเป็น (ตามความโง่ ว่าอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้) ก็เลยเกิดมียศ มีสมบัติสิ่งของเรื่องเหล่านี้จะมีต่อไปภายหน้า ประการหนึ่ง " ผู้หญิงอายุ ๑๐ ปีจะมีชู้ " คือว่าเป็นเวลาที่ทุกข์เข็ญเป็นอันมาก ลูกหญิงยังไม่ถึงเวลาที่สมควรจะมีผัว พ่อแม่พี่น้องจักเล้าโลมให้เอาผัว ละทิ้งข้อวัตรปฏิบัติ จะอยู่ด้วยความประมาทซึ่งกันและกัน จะเป็นบาปเป็นเวรที่แน่นหนา จะหาใครสั่งสอนไม่ได้จะพากันล่มจมฉิบหายในชาตินี้และชาติต่อไป

    "ผู้รู้ท่านบ่นับ" คือคนทั้งหลายเห็นนักบวชผู้รู้ ผู้เรียนจบพระไตรปิฏกหรือเห็นคฤหัสถ์ผู้รู้ธรรมคำสอนอันเป็นข้อวัตรปฏิบัติเป็นบุญเป็นบาป คนทั้งหลายก็ไม่เคารพยำเกรงไม่เข้าสู่ไปหา ไม่เล่าไม่เรียนไม่สืบไม่ถาม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อวัตรปฏิบัติก็สูญสลายหายไปไม่มีใครรู้ คนทั้งหลายก็จะทำตามวิสัยใจของเขา ประการหนึ่ง "ขับฝูงชีหนีจากที่" ท่านสมณะและคฤหัสถ์ทั้งหลาย เห็นนักบวชผู้ประกอบชอบพระธรรมวินัยก็จะไม่พอใจ จะช่วยกันบังคับขับไล่ให้หนีจากไป จะทิ้งนักบวชและคนฝูงใจบาปอยู่ด้วยกัน พวกเขาเข้าใจว่าเป็นการดีเป็นการควรแท้แล ประการหนึ่ง

    "สายฟ้าจะคลี่เป็นทุง" คือว่า สายฟ้าแลบจะคลี่ลงมาเหมือนธงแผ่นผ้า จะเป็นอุบาทว์แก่คนทั้งหลาย ประการหนึ่ง "ผีรุงเกี้ยวอากาศ" คือจะปรากฏในอากาศ มันจะเกี่ยวพันกันแล้วย้อยมากินน้ำในบ้านในเมือง จะเป็นอุบาทว์แก่คนทั้งหลายประการหนึ่ง "นักปราชมักรู้ล่ารู้พลาง" คือได้แก่คนพาลไม่ใช่สัตบุรุษ แต่พอมีความรู้ระเบียบสักเล็กน้อย ไม่แจ่มแจ้ง คนทั้งหลายจะเข้าใจและสมมุติว่าเป็นนักปราชญ์ คนพาลประเภทนี้ยิ่งเพิ่มมายาเป็นทนงองอาจ สักแต่ว่าพูดไปตามวิสัยอันไม่ค่อยรู้ ให้คนทั้งหลายเห็นว่าดีว่าเก่ง แต่เป็นโกหกหลอกลวงเป็นส่วนมาก จะเป็นบาปเป็นกรรมแก่มันอย่างหนักต่อไป ประการหนึ่ง

    "คนทั้งหลายเทียวทางมักยกโทษ" คือคนพาลหาปัญญาไม่ได้ หากว่าได้เดินทางไปด้วยกันก็ดี ได้ถืออาชญากฏหมายไปก็ดี เมื่อพบเห็นท่านผู้อื่นกระทำผิด จะน้อยหรือจะมากก็ตาม ย่อมจะหาเรื่องจับกุมให้ผู้อื่นได้เสื่อมเสียได้ หากว่าเขามีโทษน้อยก็หาเรื่องโทษมาใส่ให้มาก แม้นไม่มีโทษก็ยกเอาโทษคือหาเรื่องให้เขา จะจับเอาไปถึงโรงถึงศาล เป็นการให้เขาถึงพินาศฉิบหาย ประการหนึ่ง "นักบวชบ่เรียนธรรม" ได้แก่บุคคลทั้งหลายเป็นคนขี้เกียจไม่ทำงาน กลายเป็นคนยากคนจน ไม่หาทางเลี้ยงตนอย่างไร จึงเข้าไปบวชเพื่อเลี้ยงชีวิต

    ชอบประดับตกแต่งและเห็นแก่กิน ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ไม่รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ไม่ศึกษาข้อปฏิบัติให้รู้อย่างไหนผิดอย่างไหนถูก มีแต่ตัณหาในลาภสักการ ไม่แสวงหาหนทางแห่งพระนิพพาน จะมีใจยินดีในทางที่จะล่มจมอยู่ในวัฏฏสงสารนั้นประการหนึ่ง "เงินคำพ้อยจักถูกกว่าเบี้ย" คือเบี้ย ๑๐๐ จะมีค่า ๒๐ จะบังเกิดทุพภิกขภัยเอาเงินเอาคำหาซื้อสิ่งของไม่ได้ ผู้ที่มีสิ่งของดูถูกเงินคำเหล่านั้น เป็นของไร้ค่าหาคุณอันใดมิได้เลย คนทั้งหลายจะหาอุบายบังคับกดขี่ ข่มเหงเอาสิ่งของของกัน แม้นว่าจะเอาเงินคำมาทุ่มมาหยดกอง ก็จะหาคุณค่าอันใดมิได้ ค่าของเงินคำจะถูกยิ่งนัก

    แม้นจะเอาเงินเอาทองมาทำเครื่องประดับหรือเอาทำเครื่องใช้สอย ก็จะไม่มีคุณค่าอะไรเลย คนทั้งหลายจะดูถูกเงินทองเป็นอันมาก แม้นจ่ายเบี้ยก็ไม่เต็มร้อย จะสมมุติกันว่าเต็มร้อย คามสุขสมบัติของคนก็จะเรียวลงเหมือนดังเบี้ยหรือเงินที่ขาดจากจำนวนร้อยนั้น บ้านเมืองทั้งหลายก็จะแปรเปลี่ยนไป คือเมืองใหญ่จะกลายเป็นเมืองเล็ก บ้านใหญ่จะกลายเป็นบ้านเล็ก เจ้านายผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นเจ้าเล็กเจ้าน้อยไป ประการหนึ่ง

    "ชาวเมืองมักช่างล่าย" คือชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายจะเป็นคนขี้คร้าน ไม่ชอบประกอบกิจการงานเอาแต่ความสบาย จึงต้องเป็นคนโกหกหลอกลวงซึ่งกันและกัน เมื่อจับได้ไล่ทันก็จะเกิดเป็นโทษภัยความพินาศฉิบหาย ประการหนึ่ง "ผู้น้อยมักม่ายกินเมือง" คือข้าราชการผู้น้อย กลับได้เป็นใหญ่รุ่งเรืองแทนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บุญสมภารมีน้อยก็จะพาตนไปสู่ความวอดวาย ประการหนึ่ง

    "ขุนนายเรืองไถ่ข้า" (บางฉบับว่าขุนนางเรืองไถ่ข้า) คือว่าเจ้าขุนทั้งหลายจะเบียดเบียนไพร่ฟ้าข้าเมืองให้ได้วัตถุสิ่งของมาเป็นสมบัติตน ภายหลังไพร่ฟ้าฉิบหายเกิดเป็นโทษเป็นภัยขึ้นแล้ว เจ้าขุนทั้งหลายจะเอาสมบัติวัตถุออกจ้างออกไถ่ เพื่อเอาคนเหล่านั้นมาเป็นข้าบริวารของตน จะบังเกิดมีต่อไปภายหน้า ประการหนึ่ง "ฟ้าร้องเป็นดั่งลวา (ลา) " มีเมื่อใด "หมู่กาตามอากาศหยาดเพ้าเถียง" (จับยายกันเป็นกลุ่มส่งเสียงร้องเถียงกัน)

    "เสียงดังนั้นเนืองบ่ขาด" มีเมื่อใด "ฝูงนักปราชญ์พ้อยเลี้ยงมิจฉาทิฏฐิ" (ปราชญ์กลับนับถือทรงเจ้าเข้าผี) "ฝูงเป็นชีหุมช่างค้า" (พระภิกษูสามเณรชอบไปทางค้าขาย) "ห่มนุ่งผ้ากุยเชิง" (ชอบนุ่งผ้าปล่อยชาย) "พ่อค้าเนิงช่างลัก" (พ่อค้าไม่ซื่อสัตย์โลภมักโกง) "นักบวชและคนมักกินเหล้า" "คนบ่ยำผู้เฒ่าผู้แก่พ่อแม่ลุงอาว" (ผู้คนจะไม่เคารพยำเกรงผู้เฒ่าผู้แก่ตลอดถึงบิดามารดา) "ชาวสรมณ์มักทือกบคระยวง" (สมณะชอบถือหมวก) "ฝูงชีชวง"(ถือดาบมีตัณหาด้วยลาภทาน) "อาจารย์มักกิ๋นเหล้า" (มัคคทายกชอบทานเหล้า)

    "ต้นข้าวจะลาบเสีย นาทุ่งหลวงจักตายแล้ง น้ำบ่อแห้งเขาะกิ๋น" (ต้นข้าวจะไม่มีรวง ทั่วทั้งท้องทุ่งจะแห้งแล้ง น้ำก็จะแห้งต้องขอดกิน) "คนจะหาศีลบ่ได้ต้นดอกไม้บ่เผยชอบฤดู" (ผู้คนไม่มีศีล ดอกไม้จะไม่บานตามฤดู) "ศัตรูจักแผ่กว้าง คนทั้งหลายจักสร้างบ่ได้ลูก ปลูกบ่ได้กิน เรือนหลวงจักกลายเป็นเรือนน้อยบ่ช่างอูบผิดกัน (อูบหมายถึงเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่) ไก่จะขันทักแขก บ้านเมืองจักแตกเป็นผง คนทรงเถื่อนไม้ทุกอ่อนให้ในยม(ยมหมายถึงน้ำ)

    เมืองใหญ่จักข่มนิคม ชาวสรมณืจักไปแอ่วค้า (เมืองใหญ่ประเทศใหญ่จะข่มเหงประเทศเล็ก พระภิกษุจะเที่ยวค้าขาย) "จักสะว้านผ้าเหน็บแอว" คือภิกษุห่มจีวรไม่เรียบร้อย คือ ตระหวัดจีวรห่มไม่เป็นระเบียบนุ่งสบงหยักรั้ง) "ฝนตกแผวบ่พอดินชุ่ม" (ฝนตกไม่ชุ่มแผ่นดิน) "เสียงฟ้ารุ่มปุนกลัว" (เสียงฟ้าร้องครวญครางน่ากลัว) "เตโชดินแห้งแดด" (บางฉบับว่า "เตโชเลิงแห้งแดด") "แขวดน้ำล้องเป็นนา" (กำหนดเอาบวกหนองเป็นนา) "ท้าวพระยาจักเอาส่วยไรมาก" (รัฐบาลจะเก็บภาษีอากรมาก)

    "จักทุกข์ไร้ยากปานตาย" "หญิงชายจักโลภตาชั่ง" (ผู้หญิงผู้ชายจะโกงตาชั่ง) "คนรั่งจักจ่ายเงินผิดเมือง" (คนรั่ง คือคนมั่งมี) "สมบัติเรืองจักถอยไป" (บางฉบับว่า "สมเร็จจักถอยไป, สมณะรีตจักถอยถกไป") "สัตว์จังไรจะมากินข้าวกล้า" (สัตว์จัญไรจะมากานข้าวกล้า) "ฟ้ามืดแล้วบ่มีฝน" "คนแปลงนาบ่อได้เข้า (ข้าว)" "เท่าจักไว้กล้าแต่งเยีย" (ครึ่มฟ้าครึ้มฝนทำท่าจะตกแต่ไม่มีฝนตก ทำนาก็ไม่ได้ข้าว ถึงได้ก็น้อยกองอยู่มุมยุ้งฉางเท่านั้น ) "คนจักเรรนอิดหอด" (หมู่คนจะเกิดความสับสนด้วยความหิวกระหาย) "อึบกลั้นข้าวรอดทุกปี" (จะอดอยากข้าวปลาอาหารทุกปี)

    "คนจะขายครัวหนีเสียบ้าน" (ครัวหมายถึงสมบัติ) "จักค้านการเมือง" (จะพ่ายแพ้ต่อการบ้านการเมือง) "ผีลงเนืองมาหาโอกาส" (ทรงเจ้า เข้าผีมาแนะนำสั่งสอน) (บางฉบับว่า "ผีหลวงเนืองมาจากโอกาส") "ผีหัวหลวง จักร้องอากาศ" "ผีหลวงเนืองอากาศ" "บอกโอวาสสอนคน" (หมายถึงทรงเจ้าเข้าผี ให้มีสั่งสอนคน) "จักมาปองปุนตั้งแต่ง" (ผีจะมารวมตั้งแต่สิ่งต่างๆ ให้) " มีชุแห่งชุพาย" (จะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง) "ลูกน้องบ่ยำนาย ลูหญิงชายบ่ยำพ่อแม่" (ลูกน้องไม่เคารพผู้เป็นนาย ลูกหญิงลูกชายก็ไม่เคารพพ่อแม่) "ฝูงเฒ่าแก่บ่รักลูกหลาน" "แต่งของเมาเหล้า" (เวลานั้นคนตระเตรียมไทยธรรมจะดื่มสุรา)

    "ชาวเจ้าสูตรเหมือนขับซก" (พระจะสวดมนต์เหมือนร้องเพลง) "วันคืนนั้นนอท่านจะขับไปเศิกไปเวียก" (ไม่ว่าเวลากลางคืนหรือกลางวันจะถูกบังคับให้ไปรบ หรือให้ไปทำงาน) "ท่านจะร้องเรียกหาการ" "ยินผานใจ๋ จกอกแตก" (ท่านจะร้องยกไปทำงานเท่านั้น รู้สึกลำบากใจเหมือนกับอกจะแตก) "ฝูงคนแขกจะมียาม" (ในเวลานั้นไม่มีใครไปหากัน) "การสงครามแดนจักเกิดใกล้" "คนจะได้ไห้ตาแดง" "ขัดดาบแฝงกับช้าง" "วันคืนอ้างคำการ" (การสงครามจะต้องเกิดขึ้นแน่ คนจะร้องไห้จนตาเป็นสายเลือด ดาบปืนจะต้องติดตัวอยู่ตลอดเวลาทุกวันทุกคืนจะเต็มไปด้วยความลำบาก)

    ดูราสหาย นิมิตทั้งหลายตามที่กล่าวมานี้ แม้นว่าเกิดมีมากในประเทศหรือในนครใด ภัยทั้งหลายก็จะเกิดแผ่กระจายไปทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น คนในชมพูทวีปทั้งมวลจะเป็นทุกข์ลำบากใจยิ่ง จะเลี้ยงปากก็ไม่พอจะเลี้ยงคอก็ไม่อิ่ม" กระต่ายกล่าวจบแล้ว กวางทองจึงถามต่อไปว่า "ดูรา สหาย เคราะห์ภัยพิบัติของบ้านเมืองหมดสิ้นแล้วหรือ" กระต่ายตอบว่า ดูรา สหาย เคราะห์ร้ายทั้งมวลยังไม่หมดแค่นี้ ตั้งแต่ปีกาบไจ้เป็นต้นถึงปีรวายไจ้ ในระหว่างนี้ภัยกลียุคจะลุกเป็นเปลวถึง ๗ ครั้ง

    เพราะเหตุว่าอาณารัฐประเทศกลางชมพูทวีปจะรบราฆ่าฟันกัน คนจะตายเป็นจำนวนมากจนกระทั่งเลือดท่วมข้อเท้าช้าง" กวางทองถามต่อไปอีกว่า "เคราะห์บ้านเคราะห์เมืองจะมีเท่านั้นแลฤา" กระต่ายตอบว่า "ดูราเจ้าสหายเคราะห์ยังหาได้หมดไปไม่ ตั้งแต่ปีรวายไจ้ไปถึงปีเบิกยี จะมีเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง มีช้างม้ามากนัก แต่หาคนขี่มิได้และมีเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่ง มีท้ายพระยารี้พลมาก แต่หาช้างม้าขี่มิได้ ยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งมีแต่ผู้หญิงแต่หาผู้ชายมิได้ ยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งมีข้าวน้ำปัจจัยมาก

    ข้าวสัดหนึ่งจะขายราคา ๑ ซีก ก็ไม่มีคนซื้อ ดีกว่ามีข้าวไว้แต่หาคนกินมิได้ มีเรือนไว้แต่หาคนอยู่มิได้ ยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งมีคนไว้ แต่ไม่มีข้าวจะกิน คือว่าข้าวสารหมื่นน้ำหนึ่ง (ประมาณ ๑๐ ลิตร) ให้ราคา ๒๐๕ ธ็อก ก็หาคนขายไม่ได้ ข้าพเจ้าจะอุปมาให้แจ้งดังนี้เปรียบเหมือนสระใหญ่แห่งหนึ่ง กว้างแสนโยชน์ยาวก็แสนโยชน์ แต่ความลึกมีเพียงประมาณ ๑ ข้อมือ สระนั้นคงมีปลาและสัตว์ทั้งหลายอยู่บ้าง แต่ไม่มีมากเหมือนแต่ก่อน เพราะว่ามีหญ้างอกงามรุกล้ำเข้ามาเป็นอันมาก น้ำก็แห้งไปสิ้นและสระนั้นไม่มีผู้ใดจะดูแล"

    กวางทองจึงถามต่อไปว่า "ดูราสหาย เคราะห์ร้ายลียุคหมดสิ้นแค่นั้นแล้วหรือ" กระต่ายกล่าวว่า "ดูราสหายฯ ตั้งแต่ปีเบิกยีต่อไปภายหน้าจะมีพระยาใหญ่ ๔ องค์มาแต่ทิศทั้งสี่จะมาชุมนุมกันในหนองนั้น คือว่า เมืองใหญ่ที่นั้น พระองค์องค์ที่มาจากทิศตะวันออกจะถามพระยาใหญ่ ๓ องค์นั้นว่า "ดูรา สหายทั้งสาม ตามที่ข้าพเจ้าได้ยินมานี้ว่า บ้านเมืองในชมพูทวีป ซึ่งกว้างได้หมื่นโยชน์ มีสัณฐานเหมือนหน้า ตั้งแต่ปฐมกัปป์มาถูกน้ำมหาสมุทรท่วมไปเสียสี่พันโยชน์ เป็นป่าหิมพานต์เสียสามพันโยชน์ เหลือเฉพาะที่อยู่ของคนสี่พันโยชน์

    มีแม่น้ำใหญ่ ๕ แม่น้ำ คือแม่น้ำคงคา, แม่น้ำยมมุนา, แม่น้ำจิรวดี, แม่น้ำสรภู, แม่น้ำมหิ, แม่น้ำเหล่านี้ย่อมไหลไปสู่ราชธานีเมืองใหญ่โน้นทั้งสิ้น ไม่ไหลไปสู่ปัจจันตประเทศแม้แต่แม่น้ำเดียว บ้านเมืองปัจจันตประเทศที่นี้ มีแต่เพียงแม่น้ำห้วยไคร้เท่านั้น ที่เป็นแม่น้ำไหลมาจากหนองพระยากาจก ในเมืองมิถิลานคร ไหลผ่านเมืองไทยหมดแล้ว แล้วไหลไปถึงเมืองสุวรรณภูมิโน้น ฟากห้วยไคร้ไปทางทิศตะวันตก เป็นเขตแดนเมืองโกสัมพีนครทั้งสิ้น แม้นเมืองกุจฉิราราย, เมืองกาลี, เมืองหงสาวดี ก็อยู่ฟากนี้ทั้งหมดสิ้นฟากน้ำห้วยไคร้ไปทางทิศตะวันออกตามลำดับไปจนถึงหนองพระยากาจก เป็นเกาะเสียเป็นส่วนมาก

    ทางทิศเหนือหากเป็นเมืองอาฬวี คือเมืองลี้ ภายใต้น้ำห้วยไคร้นั้น เป็นเมืองยวมเมือง -ย ทั้งหมด แม้นเมืองสุโขทัย, เมืองจำปานครและเมืองสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ทางทิศนี้ทั้งสิ้น น้ำจากหนองพระยากาจกหากกำหนดเขตแดนเมืองสุวรรณภูมิทั้งสิ้น ฟากน้ำหนองแสพระยากาจกไปทางทิศตะวันออกเป็นเขตเมืองอุตตระปัญจะ, เมืองจุฬนี, เมืองตักกสิลา, เมืองปาไวย, เมืองอนุราธะ, เมืองเจตรัฏบะ, เมืองพาราณสี นอกเหนือจากเมืองที่กล่าวมานี้ ข้าพเจ้าไม่อาจจะกล่าวได้ตั้งแต่เขตแดนเมืองคนเราไปทางทิศเหนือเป็นป่าไม้ทั้งสิ้น (บางฉบับว่าเป็นป่าหิมพานต์)

    ต่อจากป่าไม้นั้นไปทางทิศเหนือเป็นเขาสิเนโรตั้งอยู่ ฟากน้ำห้วยไคร้ไปทางทิศตะวันตกเมืองทั้งหลายเหล่านั้นเป็นภาษาเดียวกันคนทั้งหลายที่อยู่ฟากตะวันตกเฉียงเหนือของถ้ำจากหนองแสพระยากาจก เขาไม่มีภาษาเหมือนกัน แผ่นดินในเมืองชมพูทวีป แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนเท่าๆ กัน พระยาใหญ่องค์ที่อยู่ทิศตะวันออกจะได้บอกกล่าวเช่นนี้" กระต่ายกล่าวจบแล้วก็ถามกวางทองว่า "ดูราสหาย ส่วนที่ว่าเจ้าองค์ที่มีบุญจะเป็นที่พึ่งแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นที่ท่านรู้จักแจ่มแจ้งหรือไม่" กวางทองจึงกล่าวว่า

    "ดูรา สหาย ส่วนว่า เจ้าองค์มีทมียุญสมภารมากนั้น ข้าพเจ้ามีความรู้บ้างเล็กน้อย แต่ว่าไม่ควรจะพูดถึงที่อยู่แห่งท่านผู้มีบุญนั้นได้ ข้าพเจ้าจะกล่าวอุปมาให้ท่านทราบ เพราะว่าท่านผู้มีบุญนั้น คนทั้งหลายย่อมปรารถนาจะใคร่เห็นหน้าท่านทุกวันทุกเวลา แต่ผู้ที่จะได้เห็นนั้นรู้สึกว่าเป็นการยาก เหตุว่ายังไม่ถึงคราวตามที่ข้าพเจ้าได้ยินมานี้ ท่านยังจะได้เป็นพ่อค้าข้าวสารเสียก่อน ท่านเป็นลูกของช่างหูกผู้หนึ่งอยูในปัจจันตประทเศ คือชนบทบ้านนอก เพราะเหตุที่กล่าวเช่นนั้น เพราะว่าเมืองมัชฌิมาประเทศทั้งหลายนั้น อุปมาเหมือนสระน้ำอันแห้งหาน้ำไม่ได้ ผู้มีบุญจะหาสิ่งใดบริโภคลำบาก

    ส่วนเมืองปัจจันตลชนบท บ้านนอกเป็นเมืองคับแคบ ที่ใดชุ่มชื้นเย็นใจ ท่านก็าตนไปเลี้ยงชีวิตตามสุขสำราญในที่นั้น เมื่อใดสระน้ำใหญ่อันเก่านั้นมีน้ำบริบูรณ์บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขผู้คนมาก ในกาลครั้งนั้น พระอินทร์จะลงมา ท้าวจตุโลกบาล, ยักษ์, คนธรรพ์และกุมภัณฑ์ทั้งหลายก็จะพร้อมกันเล็งดูหมู่คนในโลก ให้รู้ว่าคนบุญหรือคนบาป แล้วจะได้ยกออกเสียตามวิบากกรรมทั้งหลาย ทุกบ้านทุกเมือง เป็นต้นว่าให้เสือกกัด งูฉก ฟ้าผ่า ตายลงเลือดอาเจียนเป็นโลกหิตเป็นหนองเป็นฝี เป้นอหิวาตกโรค หรือเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หรือรบพุ่งฆ่าฟันกัน

    คนมีบาปและพระเณรที่มีบาปย่อมจะฉิบหายไปสิ้น พระเณรและคนทั้งหลายที่เหลือ ก็จะสะดุ้งตกใจกลัวต่อภัยทั้งหลาย เขาก็พร้อมเพรียงกันสามัคคีเว้นจากการทำบาป จะพร้อมกันทำบุญกุสลต่างๆ เป็นต้นว่า ให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ เจริญเมตตาภาวนา จะเป็นเช่นนี้ทุกบ้านทุกเมืองทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่ปีเบิกยีตราบถึงปีเบิกสัน ในกาลนั้นท้าวจตุโลกบาลและเทวดาทั้งหลาย ก็จะลงมาเลียบดูโลกทุกบ้านน้องเมืองใหญ่ทุกแห่ง เห็นพระเณรและท้าวพระยาเสนาอำมาตย์ทั้งหลายตลอดถึงคนทั้งปวง ยึดเอาแก้ว ๓ ประการเป็นสรณะที่พึ่ง มุ่งประกอบแต่เฉพาะบุญอย่างเดียว ไม่กระทำบาปแล้วเช่นนั้น

    เทวดา, พระอินทร์, พระพรหมและเทวคณาทั้งหลาย ก็จะพร้อมกันอุสสาราชาภิเษกเจ้าตนบุญนั้น ขึ้นเป็นพระธรรมิกราชให้เสวยทิพยสมบัติในเวียงเชียวดาวที่นั้น เทวดาทั้งหลายจะไปเอานางแก้ว อุดรชมพูทวีปมาเป็นเอกอัครมเหสีของพระยาธรรมิกราช" กวางทองและกระต่ายทั้งคู่อันเป็นสัตว์เนรมิตได้ถามและตอบซึ่งกันและกันเช่นนั้น ต่างก็อำลาซึ่งกันกลับไปอยู่ที่อยู่แห่งตน"

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระเทศนาพยากรณ์ พระยายักขราชได้ฟังเช่นนี้ เมื่อได้พังพระพุทธทำนายตนเช่นนั้น ก็บังเกิดความยินถืออภิวาทกราบไหว้พระพุทธเจ้า แล้วกลับคืนไปสู่ดอยอ่างสรงอันเป็นที่อยู่แห่งตน พระพุทธเจ้าก็เสด็จพรากจากที่นั้น ทรงจาริกไปโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายต่อไป แลฯ

    ที่มา พุทธตำนาน:พระเจ้าเลียบโลก - PaLungJit.
    <!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • daohua.jpg
      daohua.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.3 KB
      เปิดดู:
      1,583
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...