ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. Bee2

    Bee2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +16
    บรรยายพิเศษ [FONT=CordiaUPC-Bold][SIZE=6][COLOR=#0000ff][FONT=CordiaUPC-Bold][SIZE=6][COLOR=#0000ff][FONT=CordiaUPC-Bold][SIZE=6][COLOR=#0000ff]การพัฒนาความสามารถทางจิตให้มีพลังด้วยตนเอง [/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][I][FONT=AngsanaNew-BoldItalic][SIZE=6][COLOR=#830000][FONT=AngsanaNew-BoldItalic][SIZE=6][COLOR=#830000][FONT=AngsanaNew-BoldItalic][SIZE=6][COLOR=#830000]โดย อาจารย์ มงคล กริชติทายาวุธ[/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/I]
    ที่สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย และชมรมวิทยาศาสตร์ทางจิตการ


    28
    กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 13.00 – 16.30 .
    ห้องสีดา 3 ชั้นล่างของ โรงแรม
    รัตนโกสินทร์ หัวมุมถนนราชดำเนิน ริมคลองหลอด ใกล้สนามหลวง
    ใครว่างก็ไปนะคะ เก็บข้อมูลมาเล่าให้ฟังด้วยนะคะ( เสียดายมากเพราะอยู่ต่างประเทศเลยไม่ได้ไปร่วมงาน)
    http://www.mongkoldham.com/text/sanRMC_553.pdf
    http://www.mongkoldham.com/text/sanRMC_549.pdf
    http://www.mongkoldham.com/article.asp?p=1
    .......................................

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ช่วงนี้ก็ยังขอย้ำให้ระวังไฟป่า ปัญหาแล้งรุนแรงยาวนาน ที่ต้องประสพกันหลายพื้นที่แน่นอนครับ

    อย่างน้อยแจ้งเตือนเรื่องการเก็บกักน้ำดื่มให้พอเพียงมากๆกันเป็นอย่างน้อยครับ ปีนี้แล้งยาวกว่าทุกปีครับ

    และขณะเดียวกันให้ระวังพายุฤดูร้อนที่จะกระโชกเเรง ป้ายขนาดใหญ่ล้มถล่มจำนวนมาก

    รู้ล่วงหน้าเพื่อหาทางแก้ไขและป้องกันความเดือดร้อนเสียหายครับ

    อย่านิ่งนอนใจกัน โดยเฉพาะท่านที่เป็นหน่วยงานราชการในแต่ละพื้นที่

    หากประชาชนเรามีสุข ก็เกิดบุญกุศลมหาศาลเพราะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมครับ กุศลคล้ายสังฆทานเพราะเป็นทานเพื่อประโยชน์สุขของคนหมู่มากเป็นที่ตั้ง
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    หลังจากที่พวกเราทุกๆคนได้มารวมตัว รวมใจกัน
    ใน " ห้องภัยพิบัติและการเตรียมการ " แห่งนี้

    ตอนนี้ก็นับเนื่องได้เกือบจะสามปีเต็มๆในการทำงานของพวกเรา เวลาที่ผ่านไปก็พาพวกเราหลายๆคน
    ให้ได้มาพบเจอกันและสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าเคยรู้จักันมาช้านานบางคนก็หายไป
    ตามเหตุตามปัจจัย ตามแรงกรรมของตนเอง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ ทุกอย่างที่พวกเรา
    ทำงานกันไป " มีเหตุมีผลอยู่ ว่า ทำอะไร ทำไปทำไม ทำเพื่ออะไร "

    ซึ่งตอนนี้หลายๆท่านก็ได้รู้ได้ทราบด้วยตนเองด้วยจิตของเราเองแล้วว่าเป็นเพราะ สิ่งที่เราได้อธิฐานกัน
    ก่อนการลงมาเกิดในชาตินี้เพื่อที่พวกเราจะได้ ร่วมกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองจน
    ครบ ห้าพันปีการช่วยผู้คนให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติ ครั้งใหญ่ และรุนแรงครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
    ของมวลมนุษย์


    ต่อไปงานที่พวกเราทำจะต้องค่อยๆใหญ่ขึ้น และ ครอบคลุมการทำงานกว้างขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
    รวมทั้งพวกเราหลายคนจะต้องแยกย้ายกันออกไปทำงานกระจายแต่ละจุดที่เกี่ยวพันกับอดีตของ
    ตนเองรวมทั้งจะปรากฏกลุ่มต่างๆเข้ามาร่วมงานร่วมมือกับพวกเรามากขึ้นอีกมากมายหลายกลุ่มมาก

    ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ พวกเราทุกคน (รวมทั้งเพื่อนๆที่มาใหม่) จะได้เห็นหรือเข้าใจในภาพรวม
    ของงานเรื่องภัยพิบัติและการเตรียมการทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจในแนวทางที่ตรงกัน

    งานของพวกเราเริ่มต้นตั้งแต่ ก่อนการเกิดภัยพิบัติ

    งานในช่วงนี้ การเริ่มต้นก็คือ ให้ข้อมูลข่าวสารเรื่องภัยพิบัติโดยผู้กระตุ้นเตือนคนแรก
    ในเวบไซท์ก็คือคุณ Koymoo และ รับช่วงเป็นผู้ดุแลกระทู้ "ประเทศไทยจะเกิดภัยพิบัติจริง
    หรือไม่ " โดยพี่เกษม ซึ่งกระทู้นี้มีคนเข้ามากที่สุดในเวบพลังจิตแล้ว

    [​IMG] [​IMG] ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

    ต่อมาก็เป็น การไขกุญแจปลุกผู้ที่มีหน้าที่ในงานนี้ให้ตื่นขึ้นมา จากกระทู้
    " ขอให้ผู้มีหน้าที่เรื่องภัยพิบัติมารวมตัวกัน " ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นแรกๆ
    ของการรวมตัวกันทำงานในเบื้องต้นจนได้กลุ่มสตาฟจริงๆในปัจจุบันนี้

    มาสเตอร์แปลน ที่แท้จริงของงานนี้ พระท่านสั่งงานลงมาผมเองก็ว่าไปตามที่พระท่านบอก
    ภาพรวมใหญ่ท่านให้ทราบตั้งแต่ต้นจนเสร็จสิ้นแต่รายละเอียดปลีกย่อย พระท่านบอกใกล้ๆ
    ไม่บอกมากเพื่อที่จะปรับไปตามสถานการณ์

    ช่วงแรกพระท่านให้พวกเรา พัฒนาตนเองในคุณธรรม ธรรมมะ การปฏิบัติให้มากที่สุดสูงที่สุด
    เท่าที่จะทำได้ จนถึงได้อภิญญา หรือ โลกุตรธรรมตามบารมีที่แต่ละท่านได้อธิฐานกันมาดังนั้นเนื้อหา
    ในห้องนี้จึงไม่เป็นเฉพาะวิชาการเท่านั้นแต่ทุกคนมีความเข้าใจในธรรมระดับดีกันเลยทีเดียวเพื่อ
    รองรับความเจริญของพระพุทธศาสนาในอนาคตเป็นการเพิ่มบารมีทั้งสามสิบทัศน์ให้เต็ม
    เป็นการเพิ่มกำลังในการทำงาน

    นอกจากนี้ก็เป็น " การส่งเสริมคุณธรรม ศีลธรรมในสังคม " โดยพวกเรา

    [​IMG][​IMG][​IMG]

    - มี โครงการแจก CD VCD ธรรมมะ เป็นธรรมทาน
    โดยนาคามูระและทีมไรท์ซีดีซึ่งที่ผ่านมาได้แจกไปหลายพันชุด

    1.เชิญรับ DVD MP3 ธรรมะ + E-book หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ฟรี !
    http://palungjit.org/showthread.php?t=77783

    2. แจกฟรี CD,DVD ธรรมะหลวงพ่อฤาษีฯ,หลวงปู่มั่น และอีกหลายรายการ อัพเดตเรื่อยๆ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=120684

    3. เชิญรับ CD รวมพระไตรปิฎก + พจนานุกรมพุทธศาสน์ + บทสวดมนต์ ฟรี !
    http://palungjit.org/showthread.php?t=82893

    - จัดกิจกรรมนัดหมายทำสมาธิหมู่ทุก ๆ วัน เพื่อช่วยเพิ่ม
    พลังงานบวกในการบรรเทาพลังงานกรรมในโลก

    - การสร้างพระพุทธรูปการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยร่วมกับหลวงพ่อวิญช์จุฑาในโครงการ
    ซ่อมแซมพระพุทธรูปชำรุดทั่วประเทศการร่วมบูรณะพระธาตุจอมกิตติ การทำบุญในงานพระธาตุต่างๆ

    - การให้พวกเราตั้งมั่นอยู่ในบุญในกุศล อยู่ในความดี เป็นเกราะแก้วคุ้มกายให้สมาชิกทุกคนรอดพ้น
    ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง และ ประการสำคัญก่อนที่พวกเราจะไปช่วยคนอื่นได้นั้น เราเองก็ต้อง
    "ดี "ภายในให้ได้เสียก่อนปฏิบัติโดยไม่ต้องแสดงให้คนอื่นเห็น ทำดีไม่ต้องการผลตอบแทนเสียสละ
    เพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริงซึ่งขณะนี้ทุกคนก็สามารถทำได้กันเป็นปกติ

    [​IMG] [​IMG]

    ส่วนทางโลกทางวิชาการ พวกเราก็ได้ให้ความรู้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเชิงวิชาการทั้งทาง
    ด้านภัยพิบัติชนิดต่างๆ การเตรียมอุปกรณ์ การเตรียมตัว ในกรณีต่างๆ

    -โดยมีการเผยแพร่ผ่านระบบวิกี้พีเดียเพื่อเป็นวิทยาทานให้บุคคลที่สนใจทั่วไป

    - การให้ข้อมูลเรื่องสถานที่ปลอดภัย และระดับความสูงของสถานที่ต่างๆในประเทศไทย

    - การทำระบบเตือนภัยของเอกชนที่มีระบบแจ้งเตือนภัยผ่านอีเมล์ และ
    เอสเอ็มเอสโดยเป็นอาสาสมัครทั้งที่อยู่ไทย และ ที่อยู่ในต่างประเทศ


    และ สำหรับในช่วงเวลาต่อไปจากนี้พวกเราจะได้ร่วมมือกับกลุ่มทำงานอื่นๆมากยิ่งขึ้น
    เริ่มก้าวเข้สู่การเตรียมสถานที่ที่ปลอดภัยจากภัยพิบัติเริ่มลงพื้นที่จริงมากยิ่งขึ้น


    งานต่อๆไปของพวกเรานอกเหนือจากงานเดิมที่พวกเราต้องดำเนินการต่อไปอยู่แล้วนับตั้งแต่งานการฝึกจิต การเผยแพร่ธรรมมะ งานบุญ

    ต่อไปเราจะเริ่ม
    ทำเครือข่ายในแต่ละภาค เพื่อการประสานงานกระจายงาน
    ( จากที่เคยวางรากฐานเอาไว้แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควรมีเพียงส่วนกลางที่แอคทีฟ )

    การให้ข้อมูลและข่าวสารยังศูนย์ต่างๆ การสำรวจ สถานที่ปลอดภัย
    ในแต่ละพื้นที่ การเข้าไปช่วยพัฒนา สถานที่นั้นๆ

    โดยสรุปก็คืองานต่อไปของพวกเรา ก็คือการเข้าไปพัฒนาสถานที่ปลอดภัยให้เป็นประโยชน์
    ทั้งในยามปกติตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและใช้แนวคิดพึ่งพาตนเองของเศษฐกิจพอเพียง
    ในยามเกิดภัยพิบัติ

    ดำเนินการโดย

    - ขอข้อมูลของพื้นที่จากศูนย์ต่างๆในส่วนของสถานที่ปลอดภัยในเขตอำเภอหรือจังหวัดนั้นๆ
    - ทีมสำรวจเข้าไปสำรวจเก็บข้อมูล ทั้งทางหยาบและละเอียด
    - ส่งแผนในการพัฒนาสถานที่แห่งนั้นให้มีศักยภาพสูงสุดในการรองรับคน(ขาดที่พัก
    ก็สร้างที่พัก ขาดแทงค์น้ำก็ทำระบบน้ำ ขาดเสบียงก้ทำธนาคารข้าวเป็นต้น)
    - ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนโดยรอบให้เป็นหมู่บ้านแผ่นดินธรรม
    แผ่นดินทอง ( ปฏิบัติในศีลในธรรม ) เศรษฐกิจพอเพียง

    ด้วยแผนงานนี้ไม่ว่าภัยพิบัติจะเกิดหรือไม่เกิด เลื่อนหรือไม่เลื่อน ทุกคนได้ประโยชน์สูงสุดคนพื้นที่
    ได้ประโยชน์ วัดหรือถ้ำแห่งนั้นได้พัฒนา ชุมชนเข้มแข็งมีคุณธรรมประเทศชาติมีรากฐานที่มั่นคง
    ไปทีละน้อย

    แผนงานนี้กำลังรอกลุ่มที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ ภาครัฐ และ สายทุน ที่จะเข้ามาในอีก
    ไม่นาน ซึ่งเราก็รอดูกันไป เป็นหน้าที่ของพระท่านสงเคราะห์ครับ

    หากสำเร็จเราจะมีสถานที่ปลอดภัยจากภัยพิบัติเพิ่มขึ้นอีกมากครับ ทั่วประเทศ
    และในยามที่ยังไม่เกิดภัยพิบัติก็เป็นโครงการที่สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน
    และ ประเทศชาติตามแนวทางขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



    ขอเริ่มปรับกำลังใจของทุกๆคนกันก่อนครับ

    " ขอให้ทุกๆท่านจงตั้งกำลังใจเอาไว้ว่าเราจะทำคุณประโยชน์ให้กับส่วนรวม
    มีความอยู่รอดของชาติการสืบต่อพระบวรพุทธศาสนาให้ครบ ห้าพันปี
    ค้ำชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้คู่แผ่นดินนี้ตลอดไป "

    งานที่พวกเราร่วมใจกันเราร่วมใจกันเพื่อ งานของส่วนรวมเป็นสำคัญ ไม่ใช่เพื่อหน้าตา
    ไม่ใช่เพื่อเกียรติไม่ใช่เพื่อการยกย่องสรรเสริญ ทำเพื่อผลสัมฤทธิ์ของงาน ไม่ใช้มานะแข่งดี
    ต่อกันไม่มีทิฐิเอาชนะกันในการทำงาน ทำสิ่งที่จิตสำนึกส่วนดีในจิตของเราบอกว่าสิ่งนี้
    เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สมควรทำเราจึงทำลงไปอย่างเต็มที่เพราะมันเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง
    สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม "

    เมื่อวางกำลังใจเอาไว้ถูกแล้วจะทำให้เราทุกๆคนเข้าใจในพระราชดำรัส
    ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องการปิดทองหลังพระ <o>:p</o>:p
    <o>:p</o>:p

    จากนั้นเรามามองภาพรวมของงานก่อนว่าเป็นงานที่กว้างครอบคลุมพื้นที่จำนวนมากทั่วประเทศไทย

    ในขณะที่บุคคลากรของเราก็มีจำนวนน้อย แถมเงิน
    ก็ไม่มีแต่เราจะทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างไร


    1.ฝึกสมาธิ ยกระดับจิตยกระดับศักยภาพของบุคลากรของกลุ่มให้สูงที่สุดเท่าที่เขาจะไปได้

    2.รวบรวมความสามารถด้านต่างต่างของทุกคนเอาไว้ (ลองสืบค้นได้จากแหล่งข้อมูล
    ของห้องภัยพิบัติแห่งนี้จะพบว่ามีผู้รู้มากมายในศาสตร์ต่างๆรอบด้าน)

    3.การใช้ระบบเครือข่าย เพื่อช่วยขยายผลในการทำงานให้กระจายได้เร็วขึ้น

    4.กราบขอบารมีพระท่านในการทำงานซึ่งอันที่จริงท่านก็เมตตา
    กำกับการทำงานของพวกเรามาโดยตลอด

    5.ความจริงใจที่เรามีต่อทุกๆคน ทุกๆฝ่ายที่ได้ลิงค์ได้เกี่ยวข้องกัน <o>:p</o>:p
    <o>:p</o>:p
    ขณะนี้แผนงานหลักได้เริ่มดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว



    การช่วยคนให้รอดพ้นจากภัยพิบัติประกอบไปด้วย

    - การสร้างคนให้เข้าถึงธรรมมะตามแนวทางสัมมาทิฐิ (เพื่อให้ธรรมรักษาเขาให้ปลอดภัย
    จากภัยพิบัติแต่หากเป็นกฏของกรรมก็ให้เขาไปยังสุคติภพ มีพระนิพพานเป็นที่สุด )

    - การสร้างสถานที่ปลอดภัยเพื่อรองรับคนในช่วงภัยพิบัติ สำหรับในข้อนี้ วิธีการที่ประหยัดที่สุด
    ก็คือการ ปรับสถานที่เช่นวัด สำนักสงฆ์หรือถ้ำ เพื่อใช้รองรับผู้คนในยามเกิดภัยพิบัติมีหลายแห่ง
    ที่ท่านได้เตรียมกันเอาไว้แล้วซึ่งเราก็ช่วยกันรวบรวมมาเพื่อเป็นข้อมูลและเผยแพร่เป็นกรณีไป<o>:p</o>:p
    <o>:p</o>:p

    และ งานสำคัญที่กำลังได้ดำเนินการอยู่ก็คือ

    " การออกเดินทางไปทั่วประเทศเพื่ออัญเชิญ
    พระบรมสารีริกธาตุ ไปยังวัด และ จุดต่างๆทั่วประเทศ "

    โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

    1. เพื่อพุทธานุภาพของพระบรมสารีริกธาตุจะได้แผ่ปกปักรักษาเขตนั้นและพื้นที่ใกล้เคียงเพิ่มกุศล
    เพิ่มบารมีของพระอาจารย์ที่ท่านดูแลสถานที่แห่งนั้นและหุนบุญของคนในพื้นที่ให้สูงขึ้น เกิดศรัทธา
    มั่นคงในพระพุทธศาสนาเพื่อรองรับความเจริญดั่งสมัยพุทธกาลอีกครั้ง (โดยจะมีการนำไปพล๊อตจุด
    ในแผนที่เพื่อวางแผนงานให้พุทธบารมีคุ้มผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิให้ครบ)

    2.เมื่อได้เดินทางไปได้ไปผูกสัมพันธ์กับผู้คนในพื้นที่ได้มีน้ำจิตน้ำใจให้กัน ได้สงเคราะห์กัน
    เมื่อมีมิตรจิตมิตรใจให้กันแล้วยามทุกข์ยากยามเกิดภัยพิบัติก็ย่อมไม่ทิ้งกันด้วย

    3.เมื่อได้ลงไปในพื้นที่ได้หาข้อมูลของสถานที่นั้นๆ ทางด้าน พิกัดที่ตั้ง ความสูง สภาพอากาศ
    ปริมาณน้ำ การรองรับผู้คนและอื่นๆ เพื่อมาประเมินผล ว่ามีศักยภาพในการรองรับภัยพิบัติหรือไม่

    <o>:p</o>:pเป้าหมายคือการถวายพระบรมสารีริกธาตุพร้อมผะอบทองคำ ให้ได้ 300 แห่งใน 3 ปีนี้

    เพราะสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือเพื่อถวายพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ให้พระองค์ทรงพระพลานามัยแข็งแรงแผ่พระบารมีปกเกล้าชาวไทยตลอดไป

    <o>:p</o>:pงานต่อไปที่พวกเราได้ประชุมตกลงกันก็คือ
    เรื่องของฐานข้อมูลองค์รวม( Package Know age )
    ที่เราในฐานะอยู่ส่วนกลางสามารถรวบรวมองค์ความรู้ต่างๆ เหล่านี้จากอินเตอร์เนทได้ง่ายๆ

    โดยความรู้ต่างๆเหล่านี้อาทิเช่น

    - การสร้างแหล่งพลังงานง่ายๆในท้องถิ่น
    - การเกษตรพึ่งพาตนเองการทำปุ๋ยชีวภาพแบบต่างๆ
    - การทำน้ำยาต่างๆรวมใช้ในชุมชน
    - การพัฒนาแหล่งน้ำจากปัญหาดินไม่อุ้มน้ำ
    - การปลูกพืชและการใช่ยาสมุนไพรพื้นฐาน
    - การสร้างโรงสีข้าวชุมชนที่ไม่เหลือวัสดุเหลือใช้การเกษตร

    เป็นต้น

    ที่จริงมีมากกว่านี้ แต่เป็นฐานข้อมูลที่วัดหรือชุมชนรอบวัดนำไปใช้ก็จะต่อยอด ระบบ
    เศรษฐกิจพอเพียงให้ชุมชนนั้นเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่งพึ่งพาตนเองได้อย่างเหลือเฟือ

    และเมื่อชุมชนรอบวัดในพื้นที่ปลอดภัย ( มีบารมีพระธาตุเป็นหมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
    เป็นเขตของสัมมาทิฐิ ) เข้มแข็งก็พร้อมที่จะเผื่อแผ่ผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็นในยามเกิดภัยพิบัติต่อไป

    <o>:p</o>:pเมื่อวานจึงได้มีการแบ่งงานกันซึ่งค่อนข้างแปลกจากงานทางโลกนั่นคือแบ่งงานกันโดยอาศัย
    สิ่งที่แต่ละท่านได้อธิฐานจิตกันก่อนลงมาเกิดนั่นคือหน้าที่ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
    แต่ละท่านที่ตั้งใจมาทำเพื่อส่วนรวมกัน


    โดยเราจะแบ่งงานเป็นกลุ่มการทำงานเฉพาะด้าน (Working Group) ซึ่งแต่ละคนอาจจะอยู่หลายกลุ่มก็ได้หากมีความสามารถหลายๆด้าน

    จากที่ประชุมเมื่อวานได้พบความเป็นอัฉริยะของสมาชิกหลายๆท่านรวมทั้งมี
    หลายๆท่านเป็นเพชรที่กำลังถูกเจียระไนอยู่ เพื่อเป็นเพชรน้ำงามในอนาคต

    <o>:p</o>:pกลุ่มทำงานต่างๆขอเชิญตั้งกระทู้ใหม่เพื่อแบ่งงานรวบรวมข้อมูลเลือกเฟ้นข้อมูลที่สำคัญ
    เป็นประโยชน์ใช้งานได้จริงเข้าใจง่าย ( แบบชาวบ้าน ) รวมทั้งเพื่อใช้ฟื้นฟูประเทศ
    ในยามหลังการเกิดภัยพิบัติ

    กลุ่ม Working Group ต่างๆ มีดังนี้ (หากตกหล่นช่วยเพิ่มเติมด้วยครับ)

    -กลุ่มไอที

    -กลุ่มการแพทย์

    -กลุ่มการเกษตร

    -กลุ่มพลังงาน

    -กลุ่มการก่อสร้างและออกแบบ

    -กลุ่มสื่อสาร

    -กลุ่มสมาธิ

    -กลุ่มอภิญญา

    -กลุ่มโภชนาการ

    -กลุ่มฐานข้อมูล

    กลุ่มไหนขาด หรือกลุ่มใดซ้ำซ้อนกันช่วยแนะนำแก้ไขได้ครับ

    และขออาสาสมัครมาร่วมทำงานหาข้อมูลกันในกลุ่มทำงานด้วยครับ

    ทำงานกันทางเนทได้ครับ

    <o>:p</o>:pน่าชื่นใจที่หลายๆท่านได้เห็นความสำคัญของงานในจุดนี้ครับ

    สิ่งที่อยากจะเน้นอีกประการหนึ่งก็คือชุดความรู้นี้อยากจะเร่งถ่ายทอดให้กับคนในพื้นที่
    ตามจุดต่างๆรวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี่โดยผ่านวัดเป็นจุดศูนย์กลาง (เพื่อให้คน
    ในชุมชนหวนกลับมา มีวัด มีพระ มีธรรมมะในจิตเป็นที่พึ่งอีกครั้งกุศโลบาย หมายถึง
    อุบายในการทำให้ผู้คนได้เข้าถึงกุศล )

    เมื่อชาวบ้านกินดีอยู่ดี ก็ต้องมีที่รู้คุณพระ รู้คุณวัดรู้คุณแห่งพระพุทธศาสนา ก็จะย้อน
    กลับมาทำประโยชน์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและงานส่วนรวมกันโดยอัตโนมัติ

    ดังนั้นฐานข้อมูลเหล่านี้เราต้องจัดทำในรูปแบบ " ของการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน "
    แต่มุ่งที่ทำให้ ชาวบ้านรับได้อ่านแล้วเกิดความตระหนักรู้ นำไปใช้ปรับปรุงชีวิตได้จริง


    ซึ่งเรื่องนี้เป็นการสนองพระราชดำริเรื่องสังคมแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองและเศรษฐกิจพอเพียง
    ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นการช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจของพระองค์ท่าน


    ดังนั้นหากคิดตามและสังเกตให้ดีๆแล้วทุกสิ่งที่พวกเราร่วมใจกันทำนั้น ไม่ว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติ
    จะเกิดหรือไม่เกิดจะเลื่อนหรือไม่เลื่อน ก็ตาม เรามั่นใจได้ว่า สิ่งที่เราได้ทำอยู่นี้เป็นคุณประการต่อชาติ
    บ้านเมือง พระบวรพุทธศาสนาอย่างแน่นอน และ เมื่อเห็นผล ปรากฏผลแจ้งแก่ใจแล้วเราก็จงมั่นใจ
    และลงมือทำอย่างไม่ต้องไปลังเลสงสัยอะไรอีกเมื่อวางกำลังใจอยู่ในกุศล วางกำลังใจ
    เพื่อการเสียสละ เพื่อส่วนรวม รู้ว่าเรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร

    เมื่อนั้นใครจะหาว่าเราบ้าก็ช่างเขาแค่เราปรารถนาได้เห็นดินแดนแห่งสันติสุข ผู้คนมีมิตรไมตรีกัน
    มีความสุขสมบูรณ์จิตใจดีงาม เป็นดินแดนแห่งสัมมาทิฐิถวายองค์ในหลวงของเรา

    เงินทุนเรามีน้อย แต่เรามีทุนแห่งกำลังใจ ทุนแห่งความสามัคคีทุน
    แห่งความเสียสละ เป็นสำคัญ มาลองดูกันว่าทุนเหล่านี้อัศจรรย์อย่างไร ..
     
  4. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +954
    กราบท่านพี่ kananun น้อมรับด้วยใจครับ ผมจะเข้าถึงหลักปฏิบัติให้ถึงจุดที่เข้าร่วมกับพวกพี่ๆให้จงได้ รวมถึงเวลา เว้นจากการการดำเนินชีวิตของตนเองแล้วผมจะพยายามครับผมจะพยายาม กราบๆๆๆๆสาธุ ซาปซึ้งในการบำเพ็ญเพียรครั้งนี้มากครับ
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อธิมุตโต <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_1901332", true); </script>
    นักบวช

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2006
    สถานที่: วัฏฏะสังสารวัฏ
    ข้อความ: 4,421
    <if condition=""></if> พลังการให้คะแนน: 1817 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    <!-- icon and title --> <center>พระภิกษุทิ้งวัดหนีภัยแล้ง เหนือ-ใต้เริ่มวิกฤติระดมช่วยชาวบ้าน

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> <!-- ads code --> <script type="text/javascript"><!-- google_ad_client = "pub-2576485761337625"; /* 250x250, created 31/01/09 */ google_ad_slot = "7252767143"; google_ad_width = 250; google_ad_height = 250; //--> </script> <script type="text/javascript" src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </script><script src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></script><script>window.google_render_ad();</script><ins style="border: medium none ; margin: 0pt; padding: 0pt; display: inline-table; height: 250px; position: relative; visibility: visible; width: 250px;"><ins style="border: medium none ; margin: 0pt; padding: 0pt; display: block; height: 250px; position: relative; visibility: visible; width: 250px;"><iframe allowtransparency="true" hspace="0" id="google_ads_frame1" marginheight="0" marginwidth="0" name="google_ads_frame" src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&dt=1235141706755&lmt=1235141706&output=html&slotname=7252767143&correlator=1235141706755&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Fshowthread.php%3Ft%3D175252&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2F&frm=0&ga_vid=569510014.1216557784&ga_sid=1235140872&ga_hid=294194964&ga_fc=true&flash=10.0.12&u_h=900&u_w=1440&u_ah=866&u_aw=1440&u_cd=32&u_tz=420&u_his=50&u_java=true&u_nplug=21&u_nmime=112&dtd=15&w=250&h=250&xpc=QvayTOoAvT&p=http%3A//palungjit.org" style="left: 0pt; position: absolute; top: 0pt;" vspace="0" scrolling="no" width="250" frameborder="0" height="250"></iframe></ins></ins>
    ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ตไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว
    [​IMG]

    <table id="Table1" width="550" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td style="border-bottom: 1px solid;" colspan="2">พระภิกษุทิ้งวัดหนีภัยแล้ง/เหนือ-ใต้เริ่มวิกฤติระดมช่วยชาวบ้าน</td></tr><tr><td colspan="2">แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ


    </td></tr><tr><td colspan="2">
    </td></tr><tr><td colspan="2" valign="top" align="middle">
    </td></tr><tr><td colspan="2" valign="top"><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td style="border-bottom: 1px solid;">เมื่อ วันที่ 19 ก.พ.52 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ภัยแล้งว่า ได้ขยายวงกว้างไปในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ โดยพื้นที่หลายจังหวัดเจ้าหน้าที่เร่งส่งน้ำเข้าช่วยเหลือประชาชนซึ่งประสบ ภัย

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ที่ จ.ตาก สถานการณ์ภัยแล้งเริ่มทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง หลายโรงเรียนในพื้นที่ ต.น้ำรึม ต.ตลุกกลางทุ่ง ต.โป่งแดง และต.วังประจบ อ.เมือง จ.ตาก ขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค เนื่องจากน้ำบริการของอบต.แต่ละแห่งไม่เพียงพอ โดยเฉพาะโรงเรียนวังประจบวิทยาคมขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้อย่างหนัก ทำให้เด็กนักเรียนต้องนำน้ำจากบ้านมาดื่มประทังชีวิต
    <o>:p</o>:p

    นายศักดา โพล้งพนม ผอ.รร.วังประจบวิทยาคม กล่าวว่า ที่ผ่านมาทุกปีทางโรงเรียนขาดแคลนน้ำ จึงต้องให้นักเรียนใช้น้ำอย่างอย่างประหยัด เพื่อจะได้แบ่งปันกันใช้ให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤต จึงขอความร่วมมือให้นักเรียนนำน้ำดื่มมาจากบ้านเพื่อบรรเทาความขาดแคลนน้ำ
    <o>:p</o>:p

    ด้าน พระอธิการบุญมี ฐิตสาโร เจ้าอาวาสวัดลานเต็ง กล่าวว่า ขณะนี้ทางวัดขาดแคลนในการอุปโภคและบริโภค เนื่องจากเป็นวัดในถิ่นกันดาน อยู่ไกลจากแหล่งน้ำ พระลูกวัดต้องหนีภัยแล้งไปจำวัดในตัวเมือง เหลือเพียงอาตมาจำวัดเพียงรูปเดียว


    http://www.siamrath.co.th/UIFont/NewsDetail.aspx?cid=108&nid=32899<o>:p</o>:p


    ยามหนาวเราทักทอหมวกไหมพรหมถวาย ยามแล้งพระท่านหนีจากวัด เรามาระดมสมอง สติปัญญาช่วยกันแก้ไขภัยพิบัติกันครับ
     
  6. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    กำลังนึกถึงคุณก้องเลยครับ พระอาจารย์ที่วัดพุทธไชโย หัวหินท่านมีโครงการร่วมกับทหารและตชด. จะนำเสื้อผ้าของใช้ไปแจกจ่ายให้ประชาชนยากไร้ในถิ่นทุรกันดาร โดยเป็นโครงการตามพระราชดำริ

    ท่านขอให้พวกเราไปร่วมกิจกรรมด้วยครับ

    อย่างไรจะขอประสานงานกับสมาชิกพลังจิตที่หัวหินคือคุณวีนัสก่อนครับ เผื่อว่าเพื่อนๆจากเทรคกิ้งไทยจะสนใจกิจกรรมนี้ครับ
     
  8. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    ถึงคุณเล็ก คณานันท์ ครับ

    ถ้ามีโอกาสหรือเวลา อะไรพอที่ให้ทางกลุ่ม (Jungle 4x4 Group) ช่วยได้ เรายินดีเสมอ ครับ

    ขอให้ติดต่อมาเท่านั้นครับ

    สำหรับ Project ใหม่ ที่ช่วยเหลือ สนับสนุน น้ำดื่มให้แก่เจ้าหน้าที่ดับไฟป่า เป็นในนามเฉพาะกลุ่ม Jungle 4x4 โดยใช้กองทุน "ออฟโรดเพื่อน้องในถิ่นทุรกันดาร" ที่ทางกลุ่มตั้งขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือ พี่น้อง เด็กๆ ในถิ่นทุรกันดารครับ

    http://www.jungle4x4group.com/forum/index.php?topic=4.0

    แต่ที่ไปโพสใน tkt เพื่อต้องการหาความเห็นเพิ่มเติม จากกลุ่มอื่นๆ ที่เคยช่วยเหลือกันมา ก่อนน่ะครับ เผื่อจะได้ไอเดียใหม่ๆ

    ซึ่ง Project นี้ ยังเป็นแค่แนวคิดอยู่ครับผม

    เรายังมีเสื้อผ้าบริจาคมากมายครับ และมีโครงการอีกหลายโครงการที่คิดไว้ แต่ยังไม่มีเวลาทำกันเลยครับ

    ภาพข้างล่าง เป็นเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาค และได้ทำการคัดแยก เรียบร้อยแล้วครับ

    [​IMG]



    ก้อง Jungle 4x4 Group
     
  9. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    ใจเย็นๆ กันครับท่านทั้งหลาย

    จงอย่าประมาทในธรรม
     
  10. Kongp

    Kongp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +3,909
    สุดท้ายแล้ว ขอกล่าวเล็กๆ ครับ

    คนดี หรือ ไม่ดี อยู่ที่การกระทำ ครับ

    หากผมพูดจา ไม่ดี ก็ต้องขออภัย พี่ๆ เพื่อนๆ ในนี้ ด้วยครับ

    "อารมณ์เป็นส่วนน้อย เทคนิคเป็นส่วนใหญ่"
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ล้างอาถรรพณ์ยุคแปดด้วยเทพอสูร

    [​IMG]
    รูปเศียรพระพิราพ(พระไภรวะ)

    ตามคติความเชื่อของปราชญ์ชาวจีนโบราณ.....ว่าโลกมนุษย์ที่เราอาศัยนี้ แบ่งไว้ 9 ยุคทั้ง 9 ยุคนี้จะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปดั่ง ฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันไป ยุคหนึ่งๆจะกินเวลาถึง 20 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา โลกเราเข้าสู่ยุคที่ 8 เป็นยุคที่ชาวจีนเชื่อกันว่า ประตูผีประตูนรกเปิดออก และ เป็นยุคที่พญามังกรได้หันหน้าผันมาสู่ตะวันออกสู่แดนเอเซีย ซึ่งชาวจีนถือว่าเป็นศิริมงคล

    แสดงว่าตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นไปดินแดนแถบเอเซียจะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ หลายพื้นที่ในดินแดนแถบนี้จะมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว แต่เพราะเหตุว่า ความเจริญรุ่งเรืองของเอเซียนั้นจะเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับประตูผี ประตูนรกเปิดออก ก็จะมีเรื่องของวิญญาณภูติผีปีศาจออกมาอาละวาด คนจะนิยมทำไสยศาสตร์ ใช้อำนาจมนต์ดำทำร้ายกัน จะเกิดโรคระบาดร้ายแรงที่ไม่สามารถรักษาได้ เกิดภัยธรรมชาติ ที่ไม่มีใครคาดคิด เช่น เกิดน้ำท่วมใหญ่ และ แผ่นดินไหว

    เหล่าภูติผีปีศาจจะเข้าสิงสู่จิตใจคนเรา ทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง ทำให้เกิดความแตกแยกสามัคคี ทำให้จิตใจคนวิปริต รวมไปถึงโรคร้าย เช่น คนโบราณเชื่อกันว่า โรคระบาดอย่างอหิวาต์นั้น เป็นโรคที่เกิดจากแรงผีปีศาจ จึงเรียกกันว่า ผีห่าลง หรือ โรคห่า ทั้งดินฟ้าอากาศก็วิปริต แม้ว่าจะมีความเจริญทางวัตถุมากขึ้นแต่ทางจิตใจนั้นเสื่อมลง ธรรมชาติรอบตัวก็เสื่อมลง

    คนมีความร่ำรวยมากขึ้น แต่จะเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น จนลืมคุณธรรม ประดุจว่าภูติผีปีศาจเข้าสิงใจคนเรานั่นเอง

    และคนในยุคนี้จะมีความเชื่อด้านจิตวิญญาณกันมากขึ้น มีทั้งเชื่อในทางที่ถูกต้อง และ เชื่อในทางที่ผิด ผู้ที่เชื่อในทางที่ผิดจะหันไปเล่นทางไสยศาสตร์ ใช้อำนาจมนต์ดำเอาชนะคนอื่น ทางแก้อาถรรพ์ยุคนี้ต้องบูชาสิ่งที่มีอำนาจ กำราบปีศาจ ในทางวัชรยานของทิเบต มหายานของจีน และ ฮินดู แม้ชาวพุทธในไทยก็ตาม เชื่อว่ารูปที่สามารถขจัดภัยจากปีศาจ ได้นั้นต้องเป็นรูปที่น่าเกรงขาม

    จึงมีพระโพธิสัตว์ในภาคดุร้ายเพือปราบมาร พุทธนิกายมหายานของจีนก็มีพระโพธิสัตว์ที่แปลงกายเป็นเทพอสูรเพื่อกำจัดมาร ในฮินดูเทพเจ้าก็มีการแปลงภาคให้น่ากลัว เพื่อพละกำลังที่สามารถทำลายล้างอสูรได้อย่างราบคาบ เช่น พระแม่อุมาแปลงภาคเป็นพระแม่กาลี พระศิวะแปลงภาคเป็นพระไภรวะ (พระพิราพ)อย่างไทยพุทธ ฝ่ายเราก็มีการนับถือ ท้าวเวสสุวรรณ ในรูปยักษ์ยืนถือกระบอง มักทำเป็นผ้ายันต์ผืนสีแดง ติดไว้ที่หน้าประตูบ้านเพื่อป้องกันวิญญาณร้ายเช่นกัน ทวยเทพเทวะภาคมหาปราบ (ภาคปราบมาร) มักปรากฎในรูปลักษณะ ของเทพอสูรผู้ผดุงคุณธรรม มีศีล มีสัตย์ มีคุณงามความดีที่ควรเคารพนับถือ มีอำนาจในการทำร้ายล้างมนต์ดำ

    พระพิราพ , ท้าวเวสสุวรรณ ,พระราหู , นับว่าเป็นเทพเจ้าที่มีลักษณะเป็นเทพอสูร ที่ได้รับความนับถือมากที่สุด และ เป็นที่พึ่งยามเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ ทุกยุคทุกสมัย ดังนั้น ในช่วงที่โลกเข้าสู่ยุค แปด นี้ เป็นยุคที่มีความรุ่งเรือง มาพร้อมกับภัยจากปีศาจ อำนาจแห่งเทพอสูรดังกล่าว ย่อมเป็นพลังงานที่จะต้านทานทำลายล้างสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย ทำลายล้างความดำมืด ขจัดภัยจากมนต์ดำ ขจัดมารร้ายที่เที่ยวเพ่นพ่าน ตามรังควานผู้คนทั้งหลายได้

    พระพิราพ มิใช่ยักษ์ธรรมดา แต่เป็น "พระไภรวะ" ปางดุร้ายของพระศิวะมหาเทพ แห่งการทำลาย ความตาย และ ชีวิต ผู้ให้กำเนิดทางนาฎศิลป์ ผู้ที่รำหน้าพาทย์พระพิราพ จึงมิใช่แสดงเป็นตัวยักษ์ธรรมดา แต่รำเป็นมหาเทพ เช่นเดียวกับ รำเป็นพระศิวะนาฎราช ซึ่งมิใช่เป็นเพียงนาฎศิลป์เท่านั้น แต่เกี่ยวกับความเป็น ความตายอีกด้วย จึงเป็นที่เกรงกลัวยิ่งนัก .....

    การร่ายรำของพระศิวะนาฎราชนั้น เป็นการสร้างสรรค์และทำลาย อยู่ในตัว ทรงเหยียบอสูรไว้ด้วยพระบาทขวา หมายถึง การทำลายความชั่ว พระบาทซ้าย ยกขึ้นทำท่ารำงดงาม หมายถึง การสร้างสรรศิลป์ รอบๆ เป็นวงเปลวเพลิง หมายถึง การหมุนเวียนของจักรวาล บางคติเชื่อว่า เมื่อใดที่ทรงยุติการร่ายรำแล้ว ไฟบรรลัยกัลป์จะเผาจักรวาล บางคติเชื่อว่า เมื่อใดที่ทรงยุติการร่ายรำแล้ว ไฟบรรลัยกัลป์จะเผาจักรวาลนี้ให้พินาศและเกิดจักรวาลใหม่ ฉะนั้น การฟ้อนรำเป็นการสร้าง และ ธำรงรักษาจักรวาลให้หมุนเวียนอยู่ ในขณะที่ความชั่วถูกทำลายลง ก็มีการสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาแทนที่ วนเวียนอยู่ในดุลยภาพแห่งเอกภพนั้น....

    (คัดลอกมาจากบันทึกหนังสือปฎิทินฤกษ์บน-ฤกษ์ล่าง ของอ.จำรัส ศิริ )

    ที่มา http://www.thepsatid.com/forum/viewtopic.php?p=938&sid=1feeb15ed4fb6496508a523a939dbb13
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2009
  12. ปิยนาถ

    ปิยนาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +298
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เมื่อความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯกับไทยชักจืดจาง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ฌอร์น ดับเบิลยู คริสพิน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 กุมภาพันธ์ 2552 22:04 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

    When allies drift apart
    By Shawn W Crispin
    13/02/2009

    การที่ระยะหลังๆ มานี้ประเทศไทยไม่ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯในเรื่องบางเรื่องซึ่งวอชิงตันถือเป็นประเด็นสำคัญทางด้านความมั่นคง เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความจืดจางคลายตัวอย่างเด่นชัดของ “ความเป็นพันธมิตรที่เป็นมรดกตกทอด” ระหว่างประเทศทั้งสอง สายสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับไทยในยุคสงครามเย็นที่อยู่ในลักษณะของการพึ่งพาแบบผู้อุปถัมภ์-บริวาร ได้เกิดการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับระเบียบใหม่ในภูมิภาค ซึ่งจีนกำลังเข้ามีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องของเรื่องก็คงเป็นอย่างที่อดีตนักการทูตไทยผู้หนึ่งพูดเอาไว้ว่า “สหรัฐฯเพียงแต่มีความสำคัญสำหรับเราน้อยลงกว่าในสมัยก่อน” เท่านั้นแหละ

    กรุงเทพฯ – เมื่อปีที่แล้วศาลไทยได้ปฏิเสธไม่ยอมส่งตัวบุคคลสัญชาติอิหร่าน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของสหรัฐฯกล่าวหาว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในปฏิบัติการลักลอบขนส่งชิ้นส่วนขีปนาวุธ นั่นเป็นความล้มเหลวครั้งแรกของการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างประเทศที่เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์อย่างยาวนานทั้งสอง ฝ่ายไทยวินิจฉัยว่าเนื่องจากผู้ต้องสงสัยเป็นนายทหารอิหร่านที่ยังคงรับราชการอยู่ บุคคลผู้นี้จึงได้รับยกเว้นไม่เข้าข่ายตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ไทยทำไว้กับสหรัฐฯ

    เวลานี้ทั้งสองฝ่ายก็กำลังต่อสู้กันอุตลุดอีกครั้งในเรื่องการส่งตัว วิกตอร์ บุต ชาวรัสเซียผู้ถูกกล่าวหาเป็นพ่อค้าอาวุธ ซึ่งถูกรวบตัวที่กรุงเทพฯเมื่อปีที่แล้วในปฏิบัติการจู่โจมของสำนักงานปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ ถึงแม้ฝ่ายอเมริกันอ้างว่าบุตมีการสมรู้ร่วมคิดเพื่อสังหารพลเมืองอเมริกันหลายๆ คน แต่ฝ่ายไทยก็ดำเนินกระบวนการพิจารณาทางศาลที่ใช้เวลามาแล้วหลายเดือน มีรายงานว่าทางอัยการไทยไม่ได้ซักพยานตามแนวทางที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯเสนอแนะ และพวกเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศไทยก็บอกกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯว่า ในการดำเนินการเกี่ยวกับคดีนี้ พวกเขาจะต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียด้วย

    การที่ประเทศไทยไม่ให้ความร่วมมือในเรื่องที่สหรัฐฯอ้างว่าเป็นประเด็นด้านความมั่นคงอันสำคัญยิ่งเช่นนี้ เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความจืดจางคลายตัวในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง เป็นสัญญาณแสดงให้บางคนเห็นว่า วอชิงตันกำลังสูญเสียอิทธิพลเหนือประเทศที่เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของตนรายนี้อย่างช้าๆ แต่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันเพิ่งผ่านมาเพียง 5 ปีนี้เองที่สหรัฐฯมอบฐานะความเป็นพันธมิตรสำคัญนอกองค์การนาโต้ให้แก่ประเทศไทย เพื่อเป็นรางวัลทางทหารสำหรับการที่กรุงเทพฯให้ความร่วมมือกับวอชิงตันในการรณรงค์ทำ “สงครามต่อสู้การก่อการร้าย” ซึ่งรวมถึงการจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นอัลกออิดะห์คนสำคัญมาก นั่นคือ ริดูอัน อิซามุดดีน หรือที่รู้จักโด่งดังในชื่อ ฮัมบาลี

    ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยและฝ่ายสหรัฐฯในเวลานี้ต่างยอมรับว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกันได้จางคลายลงไปแล้ว สืบเนื่องจากผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ที่ไปกันคนละทาง และความตึงเครียดทางการค้าที่กำลังเพิ่มทวีขึ้น ทั้งในประเด็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการประสบความล้มเหลวในการเจรจาทำข้อตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ)ระหว่างสองประเทศ ซึ่งพวกเจ้าหน้าที่ไทยเมื่อคิดทบทวนย้อนหลังไปแล้วก็รู้สึกว่าพวกเขาถูกหลอกลวงถูกยัดเยียด การที่ประเทศไทยกำลังมีเจตนารมณ์อย่างใหม่ที่กล้าเผชิญหน้ากับสหรัฐฯในประเด็นแกนกลางทางยุทธศาสตร์และทางการค้าเช่นนี้ เสมือนเป็นการป่าวร้องให้ทราบถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญมาก จากยุคสมัยที่มีเพียงขั้วอำนาจเดียว นั่นคือสหรัฐฯซึ่งมีอำนาจครอบงำทั่วไปหมด มาสู่ยุคใหม่ที่เกิดสมดุลแห่งอำนาจในระดับภูมิภาคจากการที่มี 2 ขั้วอำนาจ โดยที่มีจีนเข้ามาเกี่ยวพัน

    สหรัฐฯกำลังสูญเสียที่มั่นอันสำคัญๆ ในภูมิภาคนี้ให้แก่จีน ซึ่งกำลังยกระดับความริเริ่มในทางอำนาจอ่อน (soft power) และการบูรณาการทางเศรษฐกิจ ให้กลายเป็นดอกผลทางอำนาจแข็ง (hard power) เป็นต้นว่า การร่วมซ้อมรบกับประเทศไทย อันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วในช่วงต่อไปของปีนี้ ยังจะมีการฝึกซ้อมปฏิบัติการของหน่วยรบพิเศษกับไทยอีกด้วย จริงอยู่ที่สหรัฐฯนั้นยังคงรักษาสายสัมพันธ์ที่เป็นเนื้อเป็นหนังเอาไว้กับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านการทหาร, ข่าวกรอง, และการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งการฝึกร่วมทางทหารประจำปี “คอบราโกลด์” ทว่านักวิเคราะห์บางรายในเวลานี้ให้เหตุผลโต้แย้งว่า นี่กลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับไทยอยู่ในลักษณะถูกแปรให้มีแต่เรื่องความมั่นคงมากจนเกินไป

    ขณะเดียวกัน สายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯกับไทยกลับตกลงมาจนถึงจุดต่ำสุดใหม่ โดยมีต้นตอจากการที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯมีมติในปี 2007 ให้จัดประเทศไทยอยู่ใน “บัญชีรายชื่อผู้ที่จะต้องถูกจับตามอง” เนื่องจากเป็นผู้ล่วงละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเลวร้ายที่สุด การลดเกรดของไทยคราวนี้เป็นปฏิกิริยาต่อการที่รัฐบาลไทยประกาศใช้สิ่งที่เรียกว่า “การบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา” เพื่อที่จะผลิตและจำหน่ายจ่ายแจกยาชื่อสามัญทางยาที่มีราคาถูกกว่า อาทิ ยาต้านเชื้อเอชไอวี/เอดส์, และยาต่อสู้มะเร็ง ซึ่งพวกบริษัทยาสหรัฐฯถือสิทธิบัตรอยู่ การต่อสู้กันคราวนี้ ทั้งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯและเจ้าหน้าที่ไทยต่างยอมรับว่า กำลังทำลาย “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ระหว่างกันในสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้งสอง

    พ้นไปจากเรื่องธุรกิจแล้ว ยังเป็นที่กระจ่างชัดเจนว่าประเทศไทยล้มเหลวไม่ได้ร่วมส่วนเห็นดีเห็นงามกับความรับรู้เข้าใจของสหรัฐฯที่ว่า การผงาดโดดเด่นขึ้นอย่างรวดเร็วในระดับภูมิภาคของสหรัฐฯ คือสิ่งที่ต้องถือว่าเป็นภัยคุกคาม พวกข้าราชการไทยที่ทำงานด้านนโยบายการต่างประเทศชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า จีนได้เข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือของสมาคมอาเซียนมาตั้งแต่ปี 2003 ขณะที่สหรัฐฯนั้นแม้หลังจากนั้นมา 5 ปีก็ยังปฏิเสธไม่ยอมร่วมลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ นักการทูตจีนที่มีฐานอยู่ในกรุงเทพฯผู้หนึ่งกล่าวว่า ไม่ว่าสหรัฐฯจะใช้ความพยายามอย่างไรเพื่อปิดล้อมจีน ก็ล้วนแล้วแต่ไม่ “สอดคล้องกับความเป็นจริง” หรือไม่ “สอดคล้องกับการปฏิบัติได้จริง” ทั้งสิ้น เนื่องจากจีนกำลังเพิ่มการบูรณาการทางเศรษฐกิจกับภูมิภาคแถบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐฯก็จะ “ไม่มีการสนับสนุน” จากประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

    อย่างไรก็ดี การประเมินสถานการณ์ดังกล่าวบางทีอาจจะถูกต้องเพียงครึ่งเดียว นายฐิตินันท์ พงศ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS) ในกรุงเทพฯ มองว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเกิดการแบ่งขั้วกันเป็นประเทศที่อยู่บนคาบสมุทร กับประเทศที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ โดยที่พวกรัฐแผ่นดินใหญ่กำลังตกอยู่ใต้อิทธิพลของปักกิ่ง แต่พวกชาติที่เป็นเกาะ (รวมทั้งเวียดนามที่เป็นชาติชายฝั่ง) กลับรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยต่อการผงาดขึ้นของจีน และอยู่ในชมรมทางยุทธศาสตร์เดียวกันกับฝ่ายสหรัฐฯ ด้วยการที่กัมพูชา, ลาว, และพม่าเวลานี้ต่างอยู่ในวงโคจรของจีนอย่างมั่นคงแล้ว ประเทศไทยที่ยังปักหลักอยู่กับทั้งสองค่าย จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญของปักกิ่งในการมุ่งรวมตัวผนึกแผ่นดินใหญ่

    เอมมา แชนเลตต์-เอเวอรี ผู้เชี่ยวชาญผู้หนึ่งของสำนักงานบริการวิจัยแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ มองสายสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับไทยว่ามี “ความเป็นพันธมิตรที่เป็นมรดกตกทอด” โดยไม่ได้มี “การพูดจาสนทนาทางยุทธศาสตร์อันยั่งยืน” เธอบอกว่าสถาบันด้านกลาโหมของสหรัฐฯมีความสงสัยข้องใจว่าสามารถที่จะไว้เนื้อเชื่อใจไทยเสมือนเป็นพันธมิตรร่วมสนธิสัญญาผู้หนึ่งได้หรือไม่ ถ้าหากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีนปะทุขึ้นมา บททดสอบประการหนึ่งที่สามารถใช้วัดความภักดีในเรื่องนี้อย่างได้ผล อาจจะอยู่ในลักษณะการขอร้องของฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งกำลังมีแผนการปรับเปลี่ยนและโยกย้ายจัดกำลังทหารกันใหม่อยู่แล้ว ที่จะขอโยกย้ายทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์จากย่านเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ มายังสถานที่ตั้งทางทหารของไทย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้อเสนอที่สหรัฐฯอาจจะทำจริงๆ เช่นนี้ จะต้องถูกต่อต้านจากฝ่ายจีนแน่นอน

    **เพื่อนมิตรชั้นยอดรายใหม่**

    เป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอนไม่มีข้อสงสัยเลย ที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯคนใหม่ ฮิลลารี คลินตัน เลือกที่จะเยือนอินโดนีเซียและมองข้ามไทย ในระหว่างการเดินทางสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เที่ยวแรกของเธอ บางคนในกรุงเทพฯมองเห็นการดูแคลนไทยตั้งแต่กกำหนดการเดินทางของคลินตันแล้ว นั่นคือนักการทูตระดับสูงสุดของสหรัฐฯผู้นี้เดินทางเยือนภูมิภาคแถบนี้และจากไป เพียง 1 สัปดาห์ก่อนที่ไทยจะเล่นบทเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีระดับผู้นำของอาเซียน อันเป็นงานที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันในอดีตเคยมาเข้าร่วม ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่าการเยือนอินโดนีเซียของคลินตันมีลักษณะเป็นสัญลักษณ์ ในแง่ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่งเมื่อตอนเป็นเด็ก แต่คนอื่นๆมีความเห็นว่ามันเป็นบทโหมโรงบทแรกเพื่อมุ่งที่จะสานความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ครั้งใหม่กับชาติหมู่เกาะรายนี้

    พวกผู้เชี่ยวชาญทางทหารกล่าวว่า หากสหรัฐฯสามารถได้ฐานทัพนาวีแห่งใหม่ๆ นอกเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ก็จะทำให้กองทัพเรือที่ 7 ของสหรัฐฯมีสมรรถนะใหม่ๆ ทางนาวีอันสำคัญมากเมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความสามารถของสหรัฐฯที่จะเข้าไปปิดล้อมช่องแคบมะละกาที่อยู่ใกล้ๆ ถ้าหากมีความขัดแย้งกับจีน ทั้งนี้ ในปัจจุบันเชื้อเพลิงนำเข้าของจีนราว 70-80% ทีเดียวต้องผ่านช่องแคบแห่งนี้ เชื่อกันว่าอินโดนีเซียซึ่งกำลังอ้างสิทธิทางทะเลหลายๆ อย่างทับซ้อนกับจีน รวมทั้งพื้นที่ซึ่งอุดมด้วยน้ำมันและก๊าซ กำลังเฝ้ามองด้วยความระแวงระวังต่อสมรรถนะทางนาวีของจีนที่มีการปรับปรุงยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว

    อย่างไรก็ดี ยังไม่มีความชัดเจนว่าสหรัฐฯตั้งใจที่จะลดระดับคำมั่นสัญญาทางยุทธศาสตร์ต่อประเทศไทยในเร็ววันนี้อย่างแน่นอนแล้ว พวกนักการทูตสหรัฐฯและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศไทยยังคงพูดถึงความจำเป็นที่จะต้อง “เพิ่มพลัง” ให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง ยังไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงยกเครื่องอย่างมโหฬาร แต่ถ้าหมากทีเด็ดของโอบามาคือการเปลี่ยนรูปโฉมด้านการทูตของสหรัฐฯ โดยเน้นไปยังพวกประเทศที่ (อนุมานเอาว่า) ให้ความสำคัญกับคุณค่าแห่งระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกับสหรัฐฯแล้ว ประชาธิปไตยที่ผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วของอินโดนีเซีย ก็อาจจะพูดได้ว่าเข้ากับหลักเกณฑ์เช่นนี้ได้ดีกว่าการเมืองของไทยที่ถอยหลังกลับสู่อิทธิพลของทหาร และปราบปรามการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี

    คำประกาศของโอบามาที่ว่าเขาจะสั่งปิดคุกลับทุกแห่งที่คณะรัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู บุช จัดตั้งขึ้นมาตามประเทศพันธมิตรต่างๆ เพื่อคุมขังและสอบสวนผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ก่อการร้ายที่ถูกจับตัวมา ถือได้ว่าเป็นการพูดเล็งตรงมายังประเทศไทยตลอดจนการที่ไทยสมรู้ร่วมคิดกับนโยบายอันก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างสูงของรัฐบาลบุชนี้ เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯในกรุงเทพฯผู้หนึ่งเคยยอมรับก่อนหน้านี้ว่า สถานที่ประเภทนี้ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ในประเทศไทย ทว่ามันได้ถูกปิดลงภายหลังหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เปิดโปงคุกลับแห่งนี้ อีกทั้งในเวลาต่อมายังได้รายงานเปิดโปงเทคนิคในการทรมานต่างๆ ที่ใช้กับผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ก่อการร้ายในคุกลับนี้ด้วย

    สายสัมพันธ์อันสนิทสนมที่สหรัฐฯมีอยู่กับชนชั้นนำและพวกนายทหารไทยเกษียณอายุผู้ทรงอิทธิพล โดยเป็นความสัมพันธ์อันยาวนานที่มักก่อตัวขึ้นในท่ามกลางความขัดแย้งแห่งยุคสงครามเย็นนั้น อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นอันตรายต่อความสามารถของวอชิงตันที่จะส่งเสริมสนับสนุนอย่างแท้จริงต่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยด้วยซ้ำ ในยุคของบุชนั้น วัตถุประสงค์ด้านนโยบายการต่างประเทศเหล่านี้ ถูกถือว่ามีความสำคัญด้อยกว่าความเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ โดยที่บ่อยครั้งการคำนึงทางด้านยุทธศาสตร์เช่นนี้ กลายเป็นการทำลายความริเริ่มส่งเสริมประชาธิปไตยด้วยซ้ำ ดังที่นโยบายคุกลับของสหรัฐฯได้แสดงให้เห็นแล้ว

    สหรัฐฯมีเจตนารมณ์หรือไม่ที่จะลดระดับคำมั่นสัญญาทางยุทธศาสตร์ต่อประเทศไทย ถือเป็นบททดสอบอันสำคัญต่อความมุ่งมั่นผูกพันกับประชาธิปไตยของโอบามา ในการประชุมของ ISIS ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เข้าร่วมประชุมจากสหรัฐฯผู้หนึ่งกล่าวถึงความสำคัญของการที่สหรัฐฯจะต้องสามารถเข้าไปใช้ฐานทัพอากาศอู่ตะเภาของไทย อันเป็นสนามบินแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศักยภาพในการสนับสนุนการปฏิบัติการส่งกำลังบำรุงขนาดใหญ่ๆ ได้ โดยผู้เข้าร่วมประชุมผู้นี้ย้ำว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะประเมินค่าให้ต่ำเกินไป” ในเรื่องผลประโยชน์ทางทหารของฐานทัพแห่งนี้

    สหรัฐฯนั้นได้ใช้สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ของไทยเหล่านี้อย่างเสรีตามใจชอบ รวมทั้งในการให้เครื่องบินที่เดินทางข้ามแปซิฟิกตามเส้นทางไปปฏิบัติการทางทหารในอิรักและอัฟกานิสถาน ได้ลงจอดและเติมน้ำมัน ดังนั้น บางคนจึงเชื่อว่าพลวัตแบบพึ่งพาในลักษณะผู้อุปถัมภ์-บริวาร อันเป็นลักษณะโดดเด่นของสายสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไทยในระหว่างสงครามเย็น โดยที่วอชิงตันคอยหว่านโปรยความช่วยเหลือทางการทหารและทางเศรษฐกิจให้แก่กรุงเทพฯนั้น ได้เกิดการแปรเปลี่ยนไปสู่ระเบียบใหม่ระดับภูมิภาคที่มีสองขั้วเสียแล้ว อดีตเอกอัครราชทูตไทยผู้หนึ่งพูดเอาไว้ว่า “สหรัฐฯเพียงแต่มีความสำคัญสำหรับเราน้อยลงกว่าในสมัยก่อน” เท่านั้นแหละ

    ฌอว์น ดับเบิลยู คริสพิน เป็นบรรณาธิการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียไทมส์ออนไลน์ อาจติดต่อกับเขาได้ที่ swcrispin@atimes.com</STRONG>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. ปิยนาถ

    ปิยนาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +298
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>จีนก็กำลังอยู่ตรงขอบปากเหว</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย แพตริก โชวาเนก</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>14 กุมภาพันธ์ 2552 22:46 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> (จากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

    China on the brink
    By Patrick Chovanec
    11/02/2009

    ตลาดหุ้นในเซี่ยงไฮ้ยังคงทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และภัตตาคารตลอดจนศูนย์การค้าในปักกิ่งก็เต็มแน่นด้วยผู้คน ราวกับจะบ่งชี้ให้เห็นว่า พลเมืองในประเทศจีนนั้นไม่ได้รับความเจ็บปวดอะไรจากภาวะเศรษฐกิจโลกทรุดฮวบ อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกเข้าไปตามดินแดนตอนในของประเทศ ตลอดจนอีกปลายหนึ่งของลำดับฐานะรายได้ ก็กลับได้พบกับความเป็นจริงที่กำลังเลวร้ายลงทุกขณะ

    ภัตตาคารต่างๆ ในกรุงปักกิ่งถูกจองเต็ม บรรดาศูนย์การค้าก็เนืองแน่นไปด้วยนักช็อป ราคาอสังหาริมทรัพย์ในนครหลวงแห่งนี้ยังคงวิ่งโลดลิ่วสดใส ฝ่าฝืนแบบแผนธรรมเนียมซึ่งเคยเป็นมาในอดีตที่ว่า เมืองไหนเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก หลังมหกรรมกีฬาผ่านพ้นไป ราคาบ้านและที่ดินจะต้องตกฮวบฮาบ

    พวกธนาคารของจีนต่างกำลังสาละวนกับการปล่อยกู้ให้แก่ลูกค้าทุกรายที่ก้าวเข้ามา ช่างตัดแย้งอย่างเด่นชัดกับพวกแบงก์ในโลกตะวันตก แม้กระทั่งตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ซึ่งหล่นวูบลงมากว่า 70% จากตอนที่มีมูลค่าสูงสุดในปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ยังเสมือนกับติดสปริงไว้ที่ฝ่าเท้า โดยที่ในปีนี้ดัชนีหุ้นคอมโพสิตของตลาดเซี่ยงไฮ้บวกเพิ่มขึ้นมา 24% แล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา(6) จิม แครเมอร์ นักเฝ้าจับตามองวอลล์สตรีท ยังยกกรณีประเทศจีน ให้เป็นอันดับ 4 ใน “10 สุดยอดเหตุผลที่ทำให้เราควรต้องมองเศรษฐกิจโลกในแง่ดี”ของเขา

    ประเทศจีนกำลังเกิดอะไรขึ้นหรือ ประเทศจีนจะสามารถรอดพ้นจากชะตากรรมเดียวกับที่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่อย่างหนักหนาสาหัสในเวลานี้ได้จริงๆ หรือ

    พวกโฆษกรัฐบาลจีนนั้นต่างอยู่ในอาการสงวนท่าที จึงยังไม่มีแนวทางนโยบายอย่างชนิดที่ถือเป็นทางการ แต่สำหรับความคิดเห็นอย่างไม่เป็นทางการนั้น (อย่างน้อยก็ในขณะนี้) ดูเหมือนจะอยู่ในลักษณะมุ่งคุยอวดว่า ระบบตลาดของจีนที่รัฐเข้าไปมีอิทธิพล กำลังพิสูจน์ตนเองให้เห็นแล้วว่า มีความเหนือล้ำกว่าโมเดลแบบตะวันตกที่ “ไร้ระเบียบกฎเกณฑ์”ยิ่งกว่าของจีน คำอวดอ้างนี้ยังไปถึงขั้นบอกว่า เนื่องจากแดนมังกรประสบความสำเร็จในการป้องกันตนเองอย่างฉลาดเฉลียว จนสามารถรอดพ้นจากภาวะตลาดปั่นป่วนผันผวน จีนจึงกำลังอยู่ในตำแหน่งที่จะพุ่งผงาดขึ้นไปข้างหน้า ในฐานะที่เป็นอภิมหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายใหม่ของโลก

    อย่างไรก็ตาม โปรดอย่าเพิ่งรีบพูดเช่นนั้นเลย แรงกระเพื่อมที่ออกมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกคราวนี้ ในตอนแรกๆ อาจจะดูเหมือนเป็นระลอกน้อยๆ เวลาที่มันเดินทางไกลข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก แต่แท้ที่จริงแล้ว ระลอกเหล่านี้กำลังจะเข้าโจมตีเล่นงานประเทศจีนด้วยพลังรุนแรงเต็มเปี่ยมของคลื่นยักษ์สึนามิอยู่รอมร่อแล้ว และในบรรดาคณะผู้นำจีนก็มีความกังวลใจกันจริงๆ ว่าแรงกระทบกระแทกของมัน อาจจะล้ำเลยเกินกว่าอะไรที่เรากำลังเห็นอยู่ในสหรัฐฯหรือยุโรปเวลานี้เสียอีก นั่นก็เพราะวิกฤตทางเศรษฐกิจในประเทศจีน กำลังก่อรูปขึ้นด้วยความแตกต่างถึงระดับรากฐาน จากในประเทศซึ่งเป็นต้นกำเนิดของวิกฤตคราวนี้

    วิกฤตที่ปะทุขึ้นในบรรดาตลาดตะวันตกนั้น เริ่มต้นที่ระดับยอด จากนั้นจึงส่งผลกระทบลงล่าง เมื่อฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯแตกระเบิดออก มันสร้างความเจ็บปวดให้แก่พวกเจ้าของบ้านบางราย ทว่าความเสียหายอันแท้จริงที่มันก่อให้เกิดขึ้นมา คือการไปทำลายความเชื่อถือในเครื่องมือทางการเงินอันซับซ้อน ตลอดจนพวกธนาคารที่ถือครองเครื่องมือทางการเงินเหล่านี้เอาไว้ โดยเนื้อหาสาระแล้วมันจึงเป็นความแตกตื่นตกใจทางการเงิน และบุคคลแรกที่ถูกปลดออกจากงานก็คือพวกจบเอ็มบีเอที่ทำงานอยู่วอลล์สตรีท ในวาณิชธนกิจและกองทุนเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ

    ภาคเศรษฐกิจแท้จริงกว่าที่จะได้รับผลสะเทือนสะท้าน ก็ต้องเป็นเวลาหลังจากนั้นระยะหนึ่ง กล่าวคือ ต่อเมื่อพวกแบงก์ชื่อดังๆ พากันเจ๊ง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดำดิ่งเหว และเมื่อธนาคารที่ยังอยู่รอดมาได้ต่างพากันมุ่งรักษาเนื้อรักษาตัว ทำให้สินเชื่อที่ปล่อยให้แก่ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ จึงเหือดแห้งหายไปหมด จวบจนกระทั่งถึงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ซึ่งก็คือ 6 - 9 เดือนภายหลังแบงก์ใหญ่แห่งแรก อันได้แก่ แบร์สเติร์นส์ ได้ล้มครืนลงไป ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จึงสำแดงอิทธิฤทธิ์อย่างสำคัญในการทำให้ชนชั้นผู้ใช้แรงงานต้องกลายเป็นคนว่างงาน

    กระบวนการที่กำลังคลี่คลายตัวอยู่ในประเทศจีนเวลานี้ กลับอยู่ในลักษณะกลับตาลปัตรเป็นตรงกันข้าม ภัยคุกคามไม่ได้เกิดขึ้นกับพวกที่อยู่ยอดสูงซึ่งเป็นผู้บงการเศรษฐกิจ หากแต่เป็นภัยคุกคามต่อระดับรากหญ้า ตลอดทั่วแนวชายฝั่งของจีน โรงงานเล็กๆ นับหมื่นนับแสนแห่งที่ต้องพึ่งพาการส่งออกไปสู่ตลาดสหรัฐฯและยุโรปอย่างสิ้นเชิง กำลังพากันตัดลดการผลิตหรือถึงขั้นปิดกิจการ ตั้งแต่เริ่มต้นทีเดียว อัตราผลกำไรของพวกเขาก็บางเฉียบอยู่แล้ว และเวลานี้คำสั่งซื้อสินค้าก็กำลังหดเหี้ยน พวกแรกที่ได้รับความกระทบกระเทือน จึงไม่ใช่พวกมืออาชีพระดับโลกซึ่งพำนักอาศัยอยู่ตามตัวเมืองใหญ่ๆ ของจีน แต่คือคนงานอพยพย้ายถิ่นซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้โรงงานต่างๆ เหล่านี้เดินเครื่องจักรกันได้

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พวกเจ้าหน้าที่จีนยอมรับว่าคนงานอพยพย้ายถิ่นอย่างน้อย 20 ล้านคน (หรือทุก 1 ใน 6 คน) ซึ่งเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงตรุษจีนนี้ จะไม่มีงานรออยู่ให้เดินทางกลับมาทำ เปรียบเทียบกับการสูญเสียตำแหน่งงานของคนอเมริกัน ซึ่งจวบจนถึงเวลานี้ก็มีจำนวนราวๆ 3.5 ล้านคนเมื่อพูดกันเป็นตัวเลขกลมๆ กองทัพคนว่างงานของจีนตอนนี้ ดูจะกำลังจมอยู่ในความรู้สึกท้อแท้มากกว่าโกรธกริ้ว พวกเขาจำนวนมากใช้เวลาช่วงเทศกาลตรุษอย่างยาวนานขึ้น อยู่กับครอบครัวที่บ้านเกิด และจนกระทั่งถึงตอนประมาณเวลานี้แหละ จึงค่อยหลุดคลายออกจากความสิ้นหวัง และหวนกลับมาพยายามหางานทำอย่างมุ่งมั่นจริงจัง ไม่มีใครทราบว่าความอดทนของพวกเขาจะยืนยาวไปได้นานแค่ไหน หรือกองทัพของพวกเขาจะขยายตัวไปอีกมากน้อยเพียงใดในช่วงหลายๆ เดือนต่อจากนี้

    รัฐบาลของประเทศจีนนั้นตระหนักถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี และได้พยายามรับมือด้วยยุทธศาสตร์ลงมือกระทำใน 3 ด้านพร้อมๆ กัน ด้านแรก อำนวยการให้พวกธนาคารของรัฐปล่อยสินเชื่อแบบเอื้ออาทร เพื่อสนับสนุนส่งเสริมผู้ส่งออกที่กำลังลำบากย่ำแย่ ด้านที่สอง ประกาศดำเนินโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าสูงๆ จำนวนมาก เพื่อประคับประคองให้ยังมีการจ้างงานเอาไว้ ด้านที่สาม กำลังมีการใช้มาตรการต่างๆ หลากหลายเพื่อมุ่งกระตุ้นอุปสงค์ความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ เพื่อเป็นการชดเชยการส่งออกที่ตกต่ำลงไป

    อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่หวังกันว่าจะบังเกิดขึ้นนั้นยังคงอยู่ในลักษณะจำกัด มาตรการกระตุ้นที่เน้นไปยังเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะดำเนินการได้ อีกทั้งผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับอุตสาหกรรมบางแขนงเท่านั้น อาทิ เหล็กกล้า และการก่อสร้าง ปล่อยให้พวกสิ่งทอและกิจการที่เป็นผู้จ้างงานรายสำคัญๆ อื่นๆ ไม่ได้รับความช่วยเหลือ

    สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นอีกก็คือ พวกนักวิเคราะห์ดูจะกำลังให้น้ำหนักน้อยเกินไป ในเรื่องที่ว่าอุปสงค์ความต้องการภายในประเทศของจีนนั้น ได้รับการผลักดันมากน้อยแค่ไหนจากบรรดาเงินทองที่พวกคนงานอพยพย้ายถิ่นส่งกลับไปให้แก่ครอบครัวของพวกเขาในดินแดนตอนในของประเทศ โดยที่รายได้ดังกล่าวนี้ในขณะนี้จะต้องหดหายไปเมื่อมีการปิดงานงดจ้างกันมากขึ้น ตรงกันข้ามกับความเชื่อของผู้คนจำนวนมาก ความต้องการภายในประเทศของจีนกำลังอยู่ในกระบวนการของการถูกลดทอนอ่อนแอลงไป ไม่ใช่เข้มแข็งขยายตัวมากขึ้นเลย พวกเงินกู้ดอกเบี้ยถูกในโลกนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทดแทนลูกค้าที่หายสูญไป ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าระดับในประเทศและต่างประเทศ

    ข้อเท็จจริงที่ว่าการชะลอตัวของจีนกำลังมีจุดเริ่มต้นจากฐานรากแล้วแผ่ขยายขึ้นข้างบน แทนที่จะเป็นจากบนลงล่าง เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลสืบเนื่องสำคัญหลายๆ ประการแตกต่างออกไปจากโลกตะวันตก ประการแรกเลยคือความปรากฏชัดเจนของปัญหา ทุกวันนี้ พวกพื้นที่เขตเมืองใหญ่ที่มีระดับรายได้สูงของจีน กำลังรุ่งเรืองสดใสกันแบบหลอกๆ เนื่องจากพวกธนาคารต่างปล่อยเงินสดออกมาให้อย่างง่ายๆ เพื่อมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ทว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ อยู่เบื้องลึกลงไปก็คือ พวกบริษัทของจีนต่างกำลังปรับตัวเลขประมาณการผลกำไรให้ต่ำลง โดยมีการลดลงถึง 50% สำหรับปี 2008 ข่าวร้ายเช่นนี้ยังไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็นกันชัดๆ เท่านั้น

    ความแตกต่างประการที่สองคือเรื่องของการแก้ปัญหา ไม่เหมือนกับในโลกตะวันตก ประเทศจีนไม่ได้เผชิญกับปัญหาการขาดสภาพคล่อง ซึ่งพวกตลาดการเงินอยู่ในสภาพถูกแช่แข็งเป็นอัมพาต และรัฐบาลกำลังพยายามทำให้มันละลายด้วยการปล่อยเงินสดอัดฉีดเข้าไป ประเทศจีนนั้นประสบกับการทรุดฮวบของอุปสงค์แท้จริง สืบเนื่องจากที่ผ่านมามีการพึ่งพาอาศัยตลาดภายนอกมากเกินไป โดยที่การพึ่งพาตลาดภายนอกนี้แหละคือองค์ประกอบส่วนแกนหลักของโมเดลการเติบโตด้วยซ้ำไป จุดอ่อนข้อบกพร่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจอย่างแรง จึงจะสามารถแก้ไขได้

    เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในระยะเฉพาะหน้านี้ก็คือ ผลกระทบทางด้านสังคม การปิดงานงดจ้างกำลังเริ่มแสดงฤทธิ์เดชในสหรัฐฯและยุโรป แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีความรู้สึกพึงพอใจแบบทื่อๆ (แม้ว่าคงจะมีอยู่เพียงระยะสั้นๆ) ที่ได้เห็นพวกคนทำงานในภาคการเงินการธนาคาร ซึ่งเคยถูกเรียกขานกันว่าเป็น “เจ้านายผู้บงการจักรวาล” ต้องได้รับโทษทัณฑ์ก่อนคนอื่นๆ โดยที่ทั้งคนซึ่งอยู่สูงและอยู่ต่ำ ต่างก็ได้รับความเจ็บปวดกันถ้วนหน้า

    ตรงกันข้าม การชะลอตัวของจีนกำลังมีอันตรายที่จะกลายเป็นการตอกลิ่มเพิ่มความแตกแยกระหว่างพวกยากไร้ในชนบทผู้ซึ่งกำลังกลายเป็นคนแบกรับผลกระทบอันหนักหน่วงไว้ทั้งหมด กับพวกมั่งมีในเมืองผู้ซึ่งยังคงใช้ชีวิตอย่างหรูหรา มันเป็นมุมมองอันน่ากังวลใจซึ่งดูจะกำลังทำให้บรรดาผู้นำระดับท็อปของจีนถึงขั้นนอนกันไม่หลับในบางคืน และก็สมควรที่จะเป็นที่สนใจของโลกให้มากขึ้นด้วย

    แพตริก โชวาเนก เป็นรองศาสตราจารย์ที่คณะเศรษฐศาสตร์และการบริหาร มหาวิทยาลัยชิงหวา ในกรุงปักกิ่ง</STRONG>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. ปิยนาถ

    ปิยนาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +298
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เศรษฐกิจมาเลเซียถูกทิ้งให้เคว้งคว้าง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย อานิล เน็ตโต</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 กุมภาพันธ์ 2552 23:52 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> (จากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

    Malaysian economy left to drift
    Anil Netto
    03/02/2009

    การต่อสู้เพื่อกุมอำนาจบริหารในรัฐเประของมาเลเซีย และความพยายามของรองนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ในอันที่จะเร่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตัวเอง ก่อนที่จะมีการถ่ายโอนอำนาจในระดับรัฐบาลกลาง อาจจะกลับกลายเป็นการหักเหความใส่ใจออกจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่ย่ำแย่หนัก

    ปีนัง – เประอันเป็นรัฐใหญ่อันดับสองของคาบสมุทรมาเลเซีย ได้รับฉายาจากประชาชนในประเทศว่า ดารุล ริดซวน หรือ ดินแดนแห่งความงามสง่า กระนั้นก็ตาม ปัจจุบันนี้ แทบจะไม่มีความงามสง่าใดๆ ปรากฏให้เห็นในการเมืองของรัฐแห่งนี้ ในเมื่อมันได้กลายเป็นสมรภูมิการเมืองล่าสุดของประเทศไปเสียแล้ว

    แนวร่วมพันธมิตรประชาชน (People's Alliance หรือ PA) ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในระดับประเทศ แต่เป็นฝ่ายที่ได้ปกครองรัฐเประด้วยการชนะเลือกตั้งแบบเฉือนกันบางเฉียบนั้น พยายามหลบหลีกไม่ไปต่อกรกับคู่แข่งคือ แนวร่วมแห่งชาติ (เขียนเป็นภาษามาเลย์ว่า Barisan Nasional หรือ BN) ซึ่งเป็นรัฐบาลในระดับชาติ และกำลังสู้หนักเพื่อดึงอำนาจปกครองรัฐนี้กลับคืนให้สำเร็จ ในการนี้ บีเอ็นมีเดิมพันสูงมากเพราะนาจิบ ราซัก ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ต้องเร่งเพิ่มความน่าเชื่อถือของตน เพื่อเตรียมรับสืบทอดอำนาจจากนายกฯ อับดุลเลาะห์ บาดาวี ในเดือนหน้า

    ในช่วงประมาณครึ่งปีมานี้ บีเอ็นแพ้เลือกตั้งซ่อมสมาชิกรัฐสภาถึงสองครั้ง ซึ่งส่งผลเป็นการเสียขวัญกำลังใจอย่างแรงเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ภายหลังจากต้องประสบความถดถอยอย่างสำคัญในคราวเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ความพ่ายแพ้ในสองครั้งดังกล่าวคือ เมื่อเดือนสิงหาคม และเดือนมกราคมที่เพิ่งผ่านมา นาจิบเป็นหัวหอกรณรงค์การเลือกตั้งด้วยตนเองทั้งสิ้น ทั้งนี้ เประเป็นหนึ่งในห้ารัฐที่ตกอยู่ในมือของพีเอในคราวเลือกตั้งทั่วไปปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติเประ ซึ่งพีเอกุมได้มากกว่าบีเอ็นเพียงนิดเดียว สถานการณ์ย่อมสามารถพลิกแบบกลับตาลปัตรได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่เพียงว่า ฝ่ายบีเอ็นจะประสบความสำเร็จในการดูดสมาชิกนิติบัญญัติให้แปรพักตร์มาอยู่กับตนได้เมื่อใด

    เดิมพันการเมืองนั้นสูงนัก ขณะเดียวกันนาจิบก็จำเป็นต้องแสดงแสนยานุภาพให้ประจักษ์แก่พรรคพวกในพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรคแกนนำของรัฐบาลผสมระดับชาติในปัจจุบัน และมีกำหนดการที่จะไปพบปะกันในวาระการประชุมสมัชชาใหญ่ หลังจากตกอยู่ในภาวะระส่ำขวัญเสียมาตั้งแต่ที่เสียหายมากมายในการเลือกตั้งต่างๆ

    อย่างไรก็ตาม เดิมพันที่ประเทศมาเลเซียแบกรับอยู่เวลานี้กลับใหญ่โตกว่า ในเมื่อการต่อสู้ทางการเมืองอาจหักเหความใส่ใจออกจากปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่หนัก และเห็นได้ชัดจากสถิติของทางการแล้วว่าใกล้จะหมดโมเมนตัมที่จะวิ่งขึ้นหน้าต่อไป

    แพ็กเก็จกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 7,000 ล้านริงกิต (1,900 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 68,000 ล้านบาท) ที่เทียบเท่ากับ 1% ของจีดีพีประเทศโดยประมาณ ซึ่งประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว มาถึงบัดนี้ก็ยังไม่สามารถสร้างผลกระทบที่จะไปกระตุ้นการเติบโตได้เป็นเรื่องเป็นราว ในการนี้ รัฐบาลตั้งประมาณการไว้ว่าจะกันวงเงิน 5,000 ล้านริงกิตของแพ็กเก็จนี้ให้แก่บรรดาโครงการขนาดเล็กที่เกี่ยวกับการก่อสร้างและพัฒนา เช่น ที่อยู่อาศัย ถนน โรงเรียน สะพาน และโรงพยาบาล ตลอดจนการปรับปรุงอาคารสถานที่ของทางการทหารและตำรวจ

    แผนใช้จ่ายเหล่านั้นถูกมองโดยทั่วกันว่าออกจะน้อยเกินไป-ช้าเกินไป นักวิเคราะห์ได้ชี้ถึงรูรั่วที่ปรากฏในรูปแบบของการส่งเงินตราออกนอกประเทศโดยบรรดาแรงงานต่างชาติในภาคก่อสร้าง ซึ่งมักที่จะส่งเงินกลับบ้านมากกว่าจะนำมาใช้จ่ายให้ได้หมุนเวียนและกระตุ้นระบบเศรษฐกิจในมาเลเซีย ฝ่ายที่สนับสนุนพันธมิตรฝ่ายค้านเชื่อว่าด้วยความที่โครงการต่างๆ ของรัฐบาลไม่สู้จะได้รับการตอบรับนัก อานิสงส์จากโครงการย่อมขาดโอกาสที่จะไปสร้างผลเชิงทวีคูณทางเศรษฐกิจที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของประเทศได้

    ในไม่ช้า รัฐบาลคงจะประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระลอก 2 ซึ่งชวนให้วิตกว่า แพ็กเก็จกระตุ้นผ่านการใช้จ่ายภาครัฐดังกล่าวจะผลักดันให้การติดลบทางการคลังของมาเลเซียพุ่งสูงลิ่วในปีนี้ โดยน่าจะไปถึงระดับติดลบ 5.5%ของจีดีพี จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.8% เรียบร้อยแล้ว ในเวลาเดียวกัน สัญญาณอันตรายก็ระรัวดังขึ้นทั่วทั้งภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ที่ผ่านมาข่าวร้ายเกี่ยวกับภาคการผลิตหลั่งไหลทบทวีตัวขึ้นอย่างมากมาย โดยไปมากพิเศษในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในภาคการผลิต

    อินเทล ยักษ์ไฮเทคของสหรัฐฯ ปิดโรงงานไปแล้ว 5 แห่งทั่วโลก โดยที่ 2 แห่งนั้นคือโรงงานในปีนัง ซึ่งเป็นหัวใจของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของมาเลเซีย การตัดสินใจดังกล่าวของอินเทลได้รับการคาดหมายจากนักวิเคราะห์ว่าจะส่งผลเป็นการเลิกจ้างพนักงานราว 5-6 พันตำแหน่งทั่วโลก แม้ทางบริษัทระบุไว้ในคำแถลงว่า ไม่ใช่พนักงานทุกรายจะถูกเลิกจ้าง โดยจะมีบางส่วนที่จะได้งานในส่วนงานอื่นๆ ของอินเทล ทั้งนี้ อินเทลยังมีโรงงานอยู่ในมาเลเซียอีก 4 แห่ง ดังนั้น แม้คนมาเลย์จะตกงานไม่มากจากกรณีปิดโรงงาน 2 แห่ง แต่ผู้คนก็ไม่วายจะผวาว่าจะมีการปิดโรงงานอื่นๆ ตามกันมาหรือไม่

    ในเดือนพฤศจิกายน ภาคส่งออกของมาเลเซียแผ่วไปราว 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันในปี 2007 โดยเป็นผลจากความต้องการที่หดหายไปจากตลาดโลกและสืบเนื่องจากระดับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคดิ่งตกต่ำลงไป ในการนี้ ส่วนใหญ่ของภาคส่งออกของมาเลเซียประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คือคิดเป็นสัดส่วนได้สูงถึง 40% ตามด้วยน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม 11% น้ำมันปาล์มกับผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์ม 10% เมื่อแจกแจงตัวเลขละเอียดลงไปพบว่าการหดตัวในภาคส่งออกของมาเลเซียไปหนักอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งส่งออกลดลง 16%

    แม้โดยภาพรวมแล้วมาเลเซียยังมีการเกินดุลการค้าขยายตัวประมาณ 10.6% กระนั้นก็ตาม ดัชนีหลายตัวได้ส่งสัญญาณเตือนถึงความลำบากเดือดร้อนที่รออยู่ในภายภาคหน้า ภาคส่งออกโดยรวมมีการหดตัว 9% ในเดือนพฤศจิกายน โดยที่ส่วนใหญ่ที่หดหายไปนั้นสืบเนื่องกับการหดตัวในการนำเข้าสินค้าขั้นกลาง ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 72% ของการนำเข้าทั้งหมด ปรากฏการณ์นี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการหดตัวในดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม

    จำนวนการจ้างงานที่เกี่ยวข้องอยู่กับภาคการผลิตก็ลดต่ำลง 5% ในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า ระดับการว่างงานที่ประกาศเป็นทางการนั้นอยู่ที่ระดับ 3.1% ในไตรมาส 3 ปี 2008 แต่มันมีความเป็นไปได้สูงว่าตัวเลขจะเขยิบขึ้นไปเรื่อยๆ ในปี 2009 เนื่องจากอาจมีจำนวนบริษัทผู้ผลิตเพื่อการส่งออกตัดสินใจลดการจ้างงานมากขึ้น ทั้งนี้ ตลาดใหญ่ๆ ของสินค้าจากมาเลเซียล้วนแต่สาหัสอยู่กับปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ สหรัฐฯ หรือญี่ปุ่น ดัชนีวัดความมั่นใจของภาคธุรกิจและของผู้บริโภค ที่จัดทำโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งมาเลเซีย ต่างชี้ให้เห็นความรู้สึกในทางลบ

    นักวิเคราะห์เศรษฐกิจบางรายทำนายว่า การเติบโตของจีดีพีมาเลเซียจะแผ่วลงสู่ระดับแค่ 1% ในปีนี้ ในเวลาเดียวกัน นักวิเคราะห์รายอื่นๆ กลับเชื่อว่าประมาณการดังกล่าวเป็นการมองโลกแง่ดีมากเกินไปอย่างยิ่ง พร้อมกับฟันธงเลยว่ามาเลเซียกำลังมุ่งสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ด้านแบงก์เนการา หรือแบงก์ชาติมาเลย์ ยังพอจะมีพื้นที่ให้ดำเนินการลดคลายความรุนแรงของปัญหาอยู่บ้างด้วยการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนปรนและการหั่นลดดอกเบี้ย เมื่อไม่นานมานี้ แบงก์เนการาเพิ่งหั่นดอกเบี้ยนโยบายประเภทดอกเบี้ยข้ามคืนที่เป็นตัวอ้างอิงสำหรับระบบการเงินลงฮวบ 0.75% สู่ระดับ 2.5% กระนั้นก็ตาม นักวิเคราะห์ติงไว้ว่าในยามที่ความเชื่อมั่นอยู่ในกระแสขาลง การดำเนินการดังกล่าวคงไม่สามารถส่งผลไปโหมความรู้สึกอยากจับจ่ายใช้สอยในหมู่ผู้บริโภคได้อย่างเป็นมรรคเป็นผล

    ฝ่ายต่างๆ ล้วนแต่หวังว่าแพ็กเก็จกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา จะสามารถสกัดการร่วงไหลลงต่ำของระบบเศรษฐกิจได้ แต่ด้วยรูรั่วที่น่าจะมีอยู่จริง ความพยายามดังกล่าวยังไม่สามารถรับประกันอะไรได้มากมายนัก พร้อมกับเป็นเรื่องที่ต้องรอลุ้นรอดูกันอีกพักใหญ่ว่าแพ็กเก็จที่สองนี้ จะออกแบบมาได้ดีกว่าแพ็กเก็จแรกในอันที่จะกระตุ้นลงไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าได้เพียงใด

    น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า พวกผู้นำทางการเมืองของแนวร่วมบีเอ็นที่เป็นฝ่ายรัฐบาลกลาง ดูเหมือนจะถูกงำอยู่แต่ด้วยเรื่องของการแก้ปัญหาฐานสนับสนุนอ่อนตัวให้เรียบร้อยในช่วงก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่ของอัมโนและการเลือกตั้งภายในของพรรค ที่จะมีขึ้นในเดือนมีนาคม มากกว่าจะมาทุ่มเทกับปัญหาเศรษฐกิจที่เท้งเต้งอยู่ในทิศทางขาลง

    ภาพที่จะให้ทวีรายละเอียดแก่ปัญหาอันซับซ้อนขณะนี้คือ ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปชี้ว่า นายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ บาดาวี ยังคงได้รับกระแสนิยมมากกว่า นาจิบ ผู้เป็นรองฯ และว่าที่ผู้สืบทอดอำนาจ ทั้งๆ ที่อับดุลเลาะห์ถูกกล่าวโทษจากฝ่ายต่างๆ ภายในอัมโน ว่าเป็นตัวการต่อความถดถอยของฝ่ายรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่างๆ

    ด้วยเหตุนี้ ในเมื่ออันวาร์ อิบราฮิม และแนวร่วมพีเอ ซุ่มกำลังพร้อมอยู่นี้ ทำใจรอได้เลยว่าแผนร้ายทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจถูกลอยแพจะยิ่งเข้มข้นในหลายๆ เดือนข้างหน้านี้

    อานิล เน็ตโต เป็นนักเขียนซึ่งพำนักอยู่ที่ปีนัง</STRONG>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. ปิยนาถ

    ปิยนาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +298
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ความหวาดผวาติดตามดาวเทียมอิหร่านขึ้นสู่วงโคจร</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย วาลิด ฟาเรส</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>9 กุมภาพันธ์ 2552 23:05 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> (จากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

    Fears orbit with Iranian satellite launch
    By Walid Phares
    06/02/2009

    ไม่ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านจรวด ก็สามารถบ่งบอกถึงเจตนารมณ์เบื้องลึกของเตหะราน ในการส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เทคโนโลยีเช่นนี้ไม่เพียงสามารถใช้รบกวนสัญญาณวิทยุ, สัญญาณดาวเทียม, และการสื่อสารด้วยอีเมล์เท่านั้น หากยังสามารถใช้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของบรรดาทรัพย์สินทางทหารและทรัพย์สินทางเศรษฐกิจอีกด้วย

    การปล่อยดาวเทียมอิหร่านดวงหนึ่งขึ้นสู่วงโคจร โดยบอกกันว่าเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในทาง “เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร” และ “การเฝ้าติดตามแผ่นดินไหว” คงจะถูกรายงานโดยถือเป็นข่าวธรรมดาชิ้นหนึ่ง ซึ่งควรจะได้รับเนื้อที่ความสำคัญไม่เกินไปกว่าข่าวเรื่องอินเดียส่งยานอวกาศไปยังดวงจันทร์เมื่อเดือนที่แล้ว

    ทว่าพวกสำนักข่าวต่างๆ ทั่วโลกกลับแจ้งให้เราทราบว่า บรรดากระทรวงทบวงกรมและหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติของประเทศฝ่ายตะวันตก ให้ความสนใจติดตามความเป็นไปของเรื่องนี้กันอย่างเคร่งเครียดจริงจังยิ่ง ทั้งสำนักข่าวเอพีและบีบีซีต่างเรียกปฏิกิริยาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ว่า เป็น “ความกระวนกระวาย” ถึงแม้การอภิปรายถกเถียงเกี่ยวกับคุณค่าของเทคโนโลยีด้านอวกาศของอิหร่าน ตลอดจนสมรรถนะด้านจรวดเชิงพาณิชย์ของประเทศนั้น มักลงเอยด้วยการระบุว่าเตหะรานยังห่างไกลจากระดับที่พึงได้รับความเคารพนับถือ และนักวิเคราะห์ด้านกลาโหมจำนวนมากทีเดียวก็เพิกเฉยกับประเด็นเรื่องนี้ โดยมองว่าเป็นเพียงเรื่องราวความพยายามที่จะแปรประเทศเข้าสู่อุตสาหกรรมของสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้เท่านั้น ทว่าอันที่จริงแล้วนี่คือเรื่องราวความพยายามของการแปรดาวเทียมให้เป็นอาวุธต่างหาก

    ดาวเทียมซึ่งได้รับการขนานนามว่า “โอมิด” อันเป็นคำภาษาเปอร์เซียที่แปลว่า “ความหวัง” ดวงนี้ ทางสื่อมวลชนแห่งรัฐของอิหร่านวาดภาพให้เห็นว่า มันเป็นอุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลสำหรับใช้ในการวิจัยและการสื่อสาร และถูกส่งขึ้นไปอยู่ในวงโคจรรอบโลกระดับต่ำๆ วันส่งดาวเทียมดวงนี้ ตรงกับวาระครบรอบ 30 ปีแห่งการปฏิวัติอิสลามอิหร่าน และการส่งดาวเทียมคราวนี้ ก็มีประธานาธิบดีมาหมุด อาหมัดดิเนจัด คอยทำหน้าที่อำนวยการ

    อิหร่านได้เคยส่งดาวเทียมดวงแรกขึ้นสู่วงโครจรตั้งแต่เมื่อปี 2005 โดยอาศัยไปกับจรวดรัสเซีย ทว่าการส่งดาวเทียมโอมิดคราวนี้ นับเป็นครั้งแรกที่เตหะรานสามารถส่งขึ้นไปกับจรวดที่ทำโดยอิหร่าน และก็ปล่อยขึ้นไปจากดินแดนของอิหร่านเอง ตามรายงานของสำนักข่าวฟารส์ จรวดที่ส่งดาวเทียมคราวนี้ เป็นการนำเอาจรวด ซาฟีร์ 2 ซึ่งเป็นขีปนาวุธพิสัยไกล มาดัดแปลงใช้งาน อีกทั้งอิหร่านสามารถสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้สำเร็จ แม้จะถูกเล่นงานจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอันเข้มงวดของสหประชาชาติ

    เห็นชัดเจนว่า การส่งดาวเทียมดวงเดียวเช่นนี้ ยังไม่ถึงกับเป็นการทะลุทะลวงข้ามเส้นเข้าสู่ปริมณฑลใหม่ ทว่ามันก็เป็นก้าวแรก แล้วยังมีการแถลงบอกกล่าวถึงก้าวต่อๆ ไปที่จะตามติดมาอีกด้วย สิ่งที่ดูประหนึ่งเป็นความเห็นพ้องระดับฉันทามติไปแล้วในเวลานี้ ก็คือ เจตนารมณ์ทางยุทธศาสตร์ของห้องวอร์รูมของเตหะราน ซึ่งปัจจุบันตกอยู่ในการดูแลอย่างเต็มที่ของ กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (ปาสรารัน) โครงการอวกาศนี้ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการจัดเตรียมกำลังพลทางยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค ด้วยเหตุนี้จึงสมควรที่จะวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จากมุมมองยุทธศาสตร์เช่นนี้

    สำนักข่าวเอพีเปิดเผยต่อโลกเมื่อวันอังคาร(3)ว่า “ตามรายงานของเตหะรานระบุว่า อิหร่านประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมที่สร้างขึ้นเองภายในประเทศดาวแรกขึ้นสู่วงโคจร โดยที่มี มาหมุด อาหมัดดิเนจัด เป็นผู้ประกาศข่าวนี้” ทว่าขณะที่ประธานาธิบดีอิหร่านผู้นี้อ้างว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนา “วิทยาศาสตร์เพื่อมิตรภาพ ภราดรภาพ และความยุติธรรม” เอพีก็กลับตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็น “ก้าวสำคัญของโครงการอวกาศอันมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานยิ่ง ซึ่งได้สร้างความวิตกให้แก่ผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศจำนวนมาก”

    การอภิปรายถกเถียงกันเกี่ยวกับโครงการอวกาศของอิหร่านเช่นนี้ กำลังจะคล้ายๆ กับเสียงแหบห้าวขัดข้อง ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากความระแวงแคลงใจเกี่ยวกับความทะเยอทะยานทางด้านนิวเคลียร์ของประเทศนี้ สำนักข่าวเอพีนั้นรายงานเอาไว้ดังนี้ “อิหร่านบอกเอาไว้ว่าต้องการส่งดาวเทียมของตนเองหลายๆ ดวงเข้าสู่วงโคจร เพื่อติดตามเฝ้าระวังภัยพิบัติทางธรรมชาติในประเทศซึ่งเผชิญกับแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง ตลอดจนเพื่อปรับปรุงสมรรถนะทางการสื่อสารของตน”

    ในเวลาหลายๆ สัปดาห์และหลายๆ เดือนต่อจากนี้ไป กลไกโฆษณาชวนเชื่อแห่งรัฐของอิหร่าน ตลอดจนพวกที่ฝักใฝ่เข้าข้างอิหร่านในโลกตะวันตก จะต้องเร่งรุดกันออกมายกย่องสรรเสริญบรรดาเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์อันแท้จริงของโครงการนี้ ขณะที่พวกผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงแห่งชาติของประเทศต่างๆ ก็จะเฝ้ามองหาจุดที่น่าสงสัยข้องใจของโครงการ ทว่าสำนักข่าวเอพีจัดว่ามีความว่องไวมาก ที่รีบจัดหาข้อมูลเพื่อการเปิดหูเปิดตาเอาไว้ตั้งแต่ในรายงานข่าวชิ้นแรกของตน โดยที่ข้อมูลเปิดเผยความจริงดังกล่าวเป็นคำพูดที่มาจากเตหะรานเสียด้วย “พวกเจ้าหน้าที่อิหร่านพากันชี้ไปที่อเมริกาซึ่งใช้ดาวเทียมเพื่อเฝ้าติดตามอัฟกานิสถานและอิรัก และบอกว่าพวกเขาก็ต้องการความสามารถทำนองเดียวกันนี้สำหรับความมั่นคงปลอดภัยของพวกเขา” และนี่คือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราเห็นความสลับซับซ้อนและลึกล้ำของปัญหานี้

    ไม่ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านจรวด ก็สามารถบ่งบอกถึงสิ่งที่ระบอบปกครองอิหร่านมองว่าเป็นเรื่องสำคัญลำดับแรกสุดในการที่พวกเขายิงจรวดคราวนี้ นั่นก็คือ เพื่อให้ตนเองมีสมรรถนะทางด้านข่าวกรองซึ่งดาวเทียมเท่านั้นที่จะทำให้ได้ พวกเขาไม่เพียงแต่จะสามารถรบกวนสัญญาณวิทยุ, สัญญาณดาวเทียม, และการสื่อสารด้วยอีเมล์เท่านั้น หาก(มีการพัฒนาเทคโนโลยีไปจนอยู่ในระดับสูงเพียงพอ) ยังสามารถใช้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของบรรดาทรัพย์สินทางทหารและทรัพย์สินทางเศรษฐกิจอีกด้วย

    ถึงแม้รัสเซียได้ขายระบบอาวุธที่มีสมรรถนะต่อต้านอากาศยานและต่อต้านขีปนาวุธให้แก่อิหร่าน เพื่อใช้พิทักษ์ป้องกันสถานที่ทางนิวเคลียร์ของเตหะราน ทว่ารัสเซียก็ไม่ได้มอบสมรรถนะในการตรวจตราเฝ้าระวังไปทั่วโลกอย่างที่ดาวเทียมทำได้ให้แก่อิหร่าน หากมีระบบเรดาร์และการเฝ้าระวังจากดาวเทียมติดตั้งใช้งานพร้อมพรักแล้ว ใครที่จะมาโจมตีสถานที่ทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน ก็จะต้องประสบความยากลำบากขึ้นอีกมากมายนัก

    พวกทำหน้าที่แก้ต่างให้อิหร่านจะต้องรีบออกมาอ้างความเห็นที่บอกว่า อิหร่านนั้นยังจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่จะแข่งขันกับสหรัฐฯและยุโรปในปริมณฑลนี้ได้ ทว่าทันทีที่ดาวเทียมถูกส่งขึ้นไปได้ดวงหนึ่งและสามารถปฏิบัติหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์ได้ เมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายดาวเทียมครั้งต่อไปก็จะเป็นรุ่นที่ใช้เทคโนโลยีซึ่งพัฒนามากขึ้นไปอีก โดยที่สรรถนะทางการทหารอาจจะมีการปรับเปลี่ยน จนกระทั่งเป็นภัยคุกคามต่อจุดอ่อนอันใหญ่หลวงที่สุดจุดเดียว ที่หน่วยงานทางทหารและทางข่าวกรองของสหรัฐฯมีกันอยู่ ซึ่งก็คือ ระบบดาวเทียมในอวกาศที่ปราศจากการคุ้มครองป้องกัน

    สำนักข่าวเอพีรายงานว่า “อิหร่านหวังที่จะส่งดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีก 3 ดวงภายในปี 2010 รัฐบาลประเทศนั้นบอกเอาไว้เช่นนี้” ทันทีที่สามารถติดตั้งสร้างเครือข่ายดาวเทียมขึ้นมาได้ สมรรถนะทางยุทธศาสตร์ของเตหะรานในการสกัดกั้นประดาความเคลื่อนไหวที่พุ่งเป้าไปยังสถานที่ตั้งทางนิวเคลียร์และสถานที่ทางด้านอื่นๆ ของตน ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อถึงปี 2010 และถัดจากนั้นไป เป็นที่คาดการณ์กันว่าระบบอาวุธทางยุทธศาสตร์ของอิหร่านจะมีการพัฒนาก้าวไกลไปอีก ภายในปี 2012 อิหร่านอาจจะไปถึงจุดหลักหมายซึ่งเป็นที่กลัวเกรงกันนัก นั่นคือการเป็นเจ้าของทั้งอาวุธนิวเคลียร์, ระบบปล่อยอาวุธนิวเคลียร์สู่เป้าหมาย, และสมรรถนะทางดาวเทียมที่จะตรวจจับปฏิบัติการใดๆ ซึ่งมุ่งต่อต้านพวกเขา

    ระบอบปกครองอิหร่านมีวาระทางยุทธศาสตร์ซึ่งทั้งชัดเจนและได้ประกาศออกมาแล้วด้วย อันได้แก่ การขยายอำนาจในภูมิภาคแถบนี้ พัฒนาการอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวงทางด้านการทหาร, ข่าวกรอง, และเทคโนโลยี ต่างก็มุ่งสนองโลกทัศน์ดังกล่าวนี้ หากเตหะรานไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโครงการทางด้านอุดมการณ์เชิดชูความรุนแรง โดยที่มีเครือข่ายโยงใยเป็นหนวดปลาหมึกยืดยาวไปไกลถึงอิรัก, อัฟกานิสถาน, เลบานอน, กาซา, และส่วนอื่นๆ ของโลกแล้ว การส่งดาวเทียมเพื่อการสื่อสารเพียงดวงเดียวขึ้นสู่อวกาศเพื่อ “เฝ้าระวังแผ่นดินไหว” ก็จะเป็นรายงานข่าวที่ดูดีชิ้นหนึ่ง ทว่าแผ่นดินไหวที่ระบอบปกครองอิหร่านกำลังเฝ้ามองหาอยู่นั้นกลับมีลักษณะที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหาทางทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในทางการเมืองและในทางอัตลักษณ์ของทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้

    เมื่อเป็นเช่นนั้น การอ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคราวนี้ให้ได้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่สุด จึงควรที่จะเป็นวิธีการอ่านอย่างง่ายๆ ตรงไปตรงมา ทว่าอาจจะชวนให้เกิดความหวั่นผวา นั่นคือ ขณะที่คณะรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯกำลังแสวงหาทางให้ได้นั่งลงพูดจากับพวกมุลเลาะห์อิหร่าน เพื่อพยายามลดความตึงเครียดในอิรักและอัฟกานิสถานนั้น ทางฝ่ายพลังปาสดารันของเตหะรานกลับกำลังเล็งไกลไปในอวกาศแล้ว ในความพยายามที่จะแผ่อิทธิพลออกไปทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้

    ดร.วาลิด ฟาเรส เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “the Confrontation: Winning the War against Future Jihad” เขาเป็นผู้อำนวยการโครงการการก่อการร้ายในอนาคต ณ มูลนิธิเพื่อการป้องกันชาติประชาธิปไตย (Foundation for Defense of Democracies) และเป็นนักวิชาการรับเชิญ ณ มูลนิธิยุโรปเพื่อประชาธิปไตย (European Foundation for Democracy) </STRONG>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. ปิยนาถ

    ปิยนาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +298
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อิหร่าน-สหรัฐฯจะจับมือกันเพราะอัฟกานิสถาน?</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ไซเอด ซาลีม ชาห์ซาด</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>8 กุมภาพันธ์ 2552 00:41 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> (จากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

    Iran and the US: United over Afghanistan?
    By Syed Saleem Shahzad
    06/02/2009

    การประชุมประจำปีว่าด้วยความมั่นคงแห่งมิวนิก (Munich Security Conference) ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่สุดสัปดาห์นี้ โดยมีผู้นำโลก, นักการทูตและเจ้าหน้าที่ด้านกลาโหมระดับท็อป, จำนวนรวมหลายสิบคนไปชุมนุมกัน นับว่ามีวาระการหารือที่น่าสนใจเป็นจำนวนมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพปัจจุบันที่สถานการณ์ของอัฟกานิสถานกำลังเลวร้ายลงทุกที ทั้งนี้ปัญหาที่ปากีสถานและซาอุดีอาระเบียอาจจะเกิดความไร้เสถียรภาพขึ้นนั้น ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่ก่อให้เกิดความกังวลเป็นอย่างมาก กระนั้นก็ดี เรื่องหลักเรื่องเอกซึ่งกำลังพูดจากันเซ็งแซ่ทั่วไป ย่อมต้องเป็นเรื่องความเป็นไปได้ที่จะมีการต่อรองกันครั้งสำคัญระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน

    การาจี - การประชุมว่าด้วยความมั่นคงแห่งมิวนิก (Munich Security Conference) ซึ่งปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 45 แล้ว โดยที่มีผู้นำโลกสิบกว่าคน และนักการทูตกับเจ้าหน้าที่ด้านกลาโหมระดับท็อปอีกประมาณ 50 คนมารวมตัวกัน เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวันศุกร์(6) สำหรับเรื่องที่โดดเด่นทรงความสำคัญอยู่ในวาระของการประชุมถกแถลงกันคราวนี้ ย่อมได้แก่เรื่องระเบียบโลกที่มีสหรัฐฯเป็นผู้นำในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อพิจารณาถึงความยุ่งยากวุ่นวายที่ต้องเผชิญอยู่ทั้งในอัฟกานิสถานและอิหร่าน รวมถึงการเจอทางตันในการติดต่อรับมือกับอิหร่าน

    สหรัฐฯนั้นส่งคณะผู้แทนระดับสูงมาร่วมประชุมคราวนี้ นำโดยรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน และ ริชาร์ด โฮลบรูก ผู้แทนพิเศษดูแลเรื่องอัฟกานิสถานและปากีสถาน เป็นที่คาดหมายกันว่าพวกเขาจะหาทางสนทนาอย่างไม่เป็นทางการกับฝ่ายอิหร่าน ซึ่งก็ส่งผู้แทนระดับสูงมาเช่นกัน นำโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ มานูเชอห์ร มอตตากี และ ประธานรัฐสภา อาลี ลาริจานี

    การติดต่อพูดจากันรอบนอกการประชุมคราวนี้ น่าจะเน้นหนักไปที่เรื่องบทบาทของอิหร่านในอิรัก และความจำเป็นที่จะต้องให้เตหะรานเข้ามีส่วนร่วมมือในเรื่องอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอนุญาตให้องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ(นาโต้) เปิดเส้นทางลำเลียงสัมภาระที่ไม่ใช่ด้านทหารเข้าสู่อัฟกานิสถาน โดยผ่านเมืองท่า ชาบาฮาร์ ของอิหร่าน

    ประเด็นนี้กำลังกลายเป็นเรื่องสำคัญถึงขั้นเป็นตายสำหรับนาโต้ไปแล้ว เมื่อคำนึงถึงว่าพวกตอลิบานประสบความสำเร็จในการก่อกวนสร้างความสูญเสียอย่างสาหัสให้แก่ขบวนลำเลียงของนาโต้ ที่ใช้เส้นทางผ่านช่องแคบไคเบอร์ ในปากีสถาน ทั้งนี้ในหตุการณ์ครั้งล่าสุดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์นี้เอง พวกตอลิบานได้ระเบิดสะพานแห่งหนึ่งบนถนนระหว่างเปชาวาร์-ตอร์กัม อันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางลำเลียงสายนี้ ทำให้คาดหมายกันว่าสัมภาระของนาโต้จะต้องติดแหง็กอยู่เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน

    จากการที่สัมภาระถึงประมาณ 80% ของนาโต้ต้องลำเลียงผ่านทางปากีสถาน แล้วยังกำลังจะมีการส่งทหารอเมริกันเพิ่มอีก 30,000 คนเข้าไปในอัฟกานิสถานอีก จึงเป็นเรื่องสำคัญถึงขั้นเป็นตายทีเดียว ที่จะต้องพิทักษ์คุ้มครองเส้นทางลำเลียงเหล่านี้ หรือไม่ก็ต้องไปหาเส้นทางสายอื่น

    ถึงแม้นาโต้ได้ทำข้อตกลงกับบางประเทศในเอเชียกลางตลอดจนรัสเซีย เพื่อที่จะขนส่งสัมภาระที่มิใช่ด้านทหารผ่านดินแดนของประเทศเหล่านี้ ทว่าเส้นทางพวกนี้ก็จะเป็นเส้นทางยาวกว่าและแพงกว่าที่ผ่านปากีสถานเป็นอย่างมาก ดังนั้น นาโต้จึงดูยังจะต้องพยายามเจรจากับอิหร่าน

    ไจลส์ โดร์รอนโซโร ผู้เชี่ยวชาญที่โดดเด่นในเรื่องอัฟกานิสถานและตุรกี โดยที่เคยทำงานอยู่ในประเทศทั้งสองมากว่า 20 ปี ให้ความเห็นไว้ว่า “พวกตอลิบานมีความสามารถในการปรับตัวรับมือกับยุทธวิธีต่างๆ ของพวกพันธมิตร (กองกำลังทหารนานาชาติที่นำโดยนาโต้ในอัฟกานิสถาน) ได้อย่างรวดเร็วมาก เส้นกราฟแห่งการเรียนรู้ของพวกเขาอยู่ในระดับดี และพวกเขาก็มีแรงกระตุ้นทางจิตวิทยาด้วย” เขาเขียนเอาไว้ใน Carnegie Policy Briefing (จุลสารบทสรุปด้านนโยบายของมูลนิธิคาร์เนกี) เรื่อง Focus and Exit: An Alternative Strategy for the Afghan War (จุดเน้นและทางออก: ยุทธศาสตร์ทางเลือกสำหรับสงครามอัฟกัน)

    “สถานการณ์ในปี 2009 อาจจะกำลังเลวร้ายลงไปอีก ทว่าการเพิ่มจำนวนทหารใดๆ จะบังเกิดผลแค่ไหนนั้น ยังเป็นเรื่องลำบากที่จะประเมินโดยต้องรอจนกว่าจะถึงฤดูร้อนปี 2010 ในกรณีที่การเพิ่มทหารนี้ประสบความล้มเหลว คณะรัฐบาลสหรัฐฯก็จะแทบไม่มีทางเลือกอื่นๆ หลงเหลืออยู่ เพราะหากจะส่งทหารไปอีก 30,000 คน ย่อมจะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองอันหนักอึ้ง นี่คือเหตุผลที่ทำไมจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ที่ในการส่งทหารเพิ่มเข้าไปนั้น จะต้องรวมศูนย์ความสนใจไปยังเรื่องพื้นที่ซึ่งจะสามารถก่อให้เกิดความแตกต่างขึ้นได้อย่างเห็นชัดเจน (เป็นต้นว่า ต้องส่งไปที่กรุงคาบูล ไม่ใช่เมืองเฮลมานด์), เปิดทางให้พันธมิตรสามารถสร้างสถาบันต่างๆ ของอัฟกันชนิดที่มีความยั่งยืน, แล้วถอนกำลังทหารของพวกเขาออกมาในที่สุด”

    โดร์รอนโซโรนั้นเป็นผู้ที่มีความคิดเห็นว่า ประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นที่จะต้องรวมศูนย์ความพยายามไปที่เรื่องการสร้างเสถียรภาพขึ้นในอัฟกานิสถาน ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขอันจำเป็นเพื่อให้ดำเนินการถอนกองทหารออกมาในที่สุด

    อย่างไรก็ตาม ความพยายามของสหรัฐฯที่จะสร้างความก้าวหน้าในอัฟกานิสถานนั้น จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน อาจขึ้นอยู่มากทีเดียวกับสถานการณ์ความเป็นไปใน 2 ประเทศพันธมิตรสำคัญยิ่งของอเมริกา นั่นคือ ซาอุดีอาระเบีย และอัฟกานิสถาน

    รายงานชิ้นหนึ่งที่เขียนโดย ไซมอน เฮนเดอร์สัน ให้แก่องค์การศึกษาวิจัย “สถาบันวอชิงตัน” (Washington Institute) ได้เปิดเผยให้เห็นถึงสภาพอันยุ่งเหยิงภายในซาอุดีอาระเบีย พร้อมกับคาดเดาว่า จากการที่มกุฎราชกุมารสุลต่านทรงพระประชวรอาการหนัก ส่วนพระสุขภาพของกษัตริย์อัลดุลเลาะห์ก็ย่ำแย่ลงทุกที ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจึงเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดสถานการณ์ ซึ่งเป็นปัญหาท้าทายอันสาหัสสำหรับพวกผู้กำหนดนโยบายอเมริกัน

    “ภายหลังมีข่าวลือคาดเดากันมาหลายเดือนเกี่ยวกับพระสุขภาพของมกุฎราชกุมารสุลต่าน องค์รัชทายาทผู้จะสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากกษัตริย์อับดุลเลาห์ ในเวลานี้พวกเจ้าหน้าที่ซาอุดีก็กำลังพูดจาอย่างเปิดเผยถึงพระอาการประชวรของสุลต่าน ราชอาณาจักรแห่งนี้ (ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดสนิทสนมของสหรัฐฯ, เป็นผู้ประกาศตัวเองเป็นผู้นำของโลกอิสลาม, เป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก, และล่าสุดนี้ก็เป็นแหล่งที่มาของเงินทุนทางการเงินอันกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับเศรษฐกิจที่โซซัดโซเซของโลก) กำลังบ่ายหน้าไปสู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนถ่ายผู้นำ อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ในอนาคตจะเป็นผู้ใดนั้น จวบจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่เป็นที่ทราบกัน และส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่ไม่อาจทำนายอะไรได้” เฮนเดอร์สันตั้งข้อสังเกต

    เฮนเดอร์สันยังอภิปรายถกเถียงอย่างละเอียด ถึงความสลับซับซ้อนในการเลือกมกุฎราชกุมารองค์ต่อไป รวมทั้งความเป็นไปได้ที่จะเกิดความไม่สงบอย่างร้ายแรงในพระราชวงศ์ ซึ่งอาจส่งผลลดทอนศักยภาพของซาอุดีอาระเบีย ในการสนับสนุนการวางแผนดำเนินการต่างๆ ของอเมริกันในภูมิภาคแถบนั้น

    “วอชิงตันนั้นหวังที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อพิพาทกันภายในราชวงศ์ซาอุดี ... ริยาดจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอนหากมีการแทรกแซงหรือคำแนะนำจากภายนอกในเรื่องดังกล่าว ทว่าผลลัพธ์ของการเปลี่ยนผ่านที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ย่อมเป็นที่สนใจอย่างแรงกล้าของสหรัฐฯตลอดจนของประเทศจำนวนมากในโลก” เฮนเดอร์สัน ซึ่งเป็นนักวิจัยและผู้อำนวยการของโครงการอ่าวเปอร์เซียและนโยบายพลังงาน แห่งสถาบันวอชิงตัน กล่าวเช่นนี้ในการสรุปรายงานของเขา

    ขณะเดียวกัน ทางด้านปากีสถาน สถานการณ์ปัจจุบันของประเทศพันธมิตรนอกนาโต้รายสำคัญที่สุดของสหรัฐฯใน “สงครามต่อสู้การก่อการร้าย” แห่งนี้ ก็อยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพเช่นเดียวกัน

    แคว้นพรมแดนตะวันตกเฉียงเหนือ (North-West Frontier Province) ซึ่งมีชายแดนติดกับอัฟกานิสถาน เวลานี้ในทางเป็นจริงแล้วตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกตอลิบาน ซึ่งได้ทำลายสมรรถนะของกองทัพปากีสถาน ในการสนับสนุนความพยายามของสหรัฐฯที่กำจัดปราบปรามพวกหัวรุนแรง

    กองทัพปากีสถานไม่สามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างเช่นการระเบิดสะพานในเขตไคเบอร์ เอเยนซี ดังที่กล่าวถึงข้างต้น อีกทั้งพวกตอลิบานก็สามารถตรึงกำลังทหารเอาไว้ในหลายๆ แนวรบ ด้วยแรงบีบคั้นจากอเมริกัน ทางปากีสถานได้เข้าสู้รบกับพวกหัวรุนแรงในเขตบาจาอูร์ เอเยนซี และ โมฮัมหมัด เอเยนซี ทว่ากองทหารรัฐบาลก็ไม่สามารถสร้างความคืบหน้าใดๆ ในท่ามกลางการถูกโจมตีแบบหน่วยจรยุทธ์อย่างไม่ยอมเลิกรา

    เมื่อเร็วๆ นี้ พวกตอลิบานได้เพิ่มกิจกรรมของพวกตนในเขตหุบเขาสวาท ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงอิสลามาบัดเป็นระยะทางขับรถเพียงแค่ 3 ชั่วโมง และยกเว้นเพียงพื้นที่อีกไม่กี่บริเวณแล้ว พวกเขาก็คือสามารถยึดทั่วทั้งหุบเขาเอาไว้ได้หมด

    สถานการณ์อาจจะเลวร้ายลงไปอีกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ต่อไป เนื่องจากพวกพรรคฝ่ายค้านได้ประกาศที่จะจัดการรณรงค์ “เดินทัพทางไกล” เพื่อคัดค้านรัฐบาลในวันที่ 9 มีนาคม ขณะเดียวกันก็มีรายงานข่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างนายกรัฐมนตรีไซเอด ยูซุฟ ราซา กิลลานี และประธานาธิบดีอาซิฟ อาลี ซาร์ดารี ซึ่งจะทำให้รัฐบาลขยับไปทางไหนก็ยากลำบาก

    ความขัดแย้งยังกำลังปรากฏขึ้นระหว่างประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ กับคณะผู้นำทางทหารอเมริกัน “การต่อสู้เช่นนี้สะท้อนถึงการตัดสินใจเลือกในขั้นพื้นฐานทีเดียว ระหว่างการถอนตัวในทางยุทธศาสตร์จากอิรัก และความพยายามที่จะยืดเวลาการคงกำลังทหารสหรัฐฯเอาไว้ในประเทศนั้นภายหลังปี 2011” นี่เป็นข้อสังเกตของ แกเรธ พอร์เตอร์ นักหนังสือพิมพ์เชิงสืบสวนชาวอเมริกัน ในบทความที่เขียนให้กับวารสาร เลอมง ดิปลอมาติก (ดูเรื่อง Obama not bowing to top brass ใน Asia Times Online, February 4, 2009 ประกอบ)

    โอบามายืนกรานว่าเขาจะไม่ปรับเปลี่ยนกำหนดการของเขา เพื่อทำให้มันสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของพล.อ.เดวิด เพเทรอัส ผู้บัญชาการกองบัญชาการทหารเขตกลางของสหรัฐฯ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลทั้งอิรักและอัฟกานิสถาน “งานของประธานาธิบดี” โอบามาบอก “คือการบอกพวกนายพลว่า ภารกิจของพวกเขาคืออะไร”

    เหล่านี้คือพัฒนาการบางประการที่จะมีการอภิปรายไต่ตรองกันในการประชุมมิวนิกคราวนี้ จากการที่คาดหมายกันไว้ว่าปี 2009 นี้จะเป็นปีอันเลวร้ายที่สุดในอัฟกานิสถานของสหรัฐฯนับตั้งแต่ที่ขับไล่พวกตอลิบานลงจากอำนาจในปี 2001 จึงมีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายอเมริกันจะยอมสละผลประโยชน์จำนวนมากของพวกเขาในอิรักเพื่อเอาอกเอาใจฝ่ายอิหร่าน และในทางกลับกัน เตหะรานก็จะยินยอมเปิดให้สัมภาระที่ไม่ใช่ด้านทหารของนาโต้ลำเลียงผ่านเมืองท่าชาบาฮาร์

    ไซเอด ซาลีม ชาห์ซาด เป็นหัวหน้าสำนักงานปากีสถานของเอเชียไทมส์ออนไลน์ สามารถที่จะติดต่อกับเขาได้ทางอีเมล์ saleem_sharzad2002@yahoo.com </STRONG>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ผู้ใดห้ามผู้อื่นให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าอมิตร

    [​IMG]

    ผู้ใดห้ามซึ่งการให้ทาน หรือเป็นผู้ขัดขวางการทำทานกุศลของผู้อื่น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นบุคคลจำพวกอมิตร คือ เป็นบุคคลที่ต้องห้ามการคบค้าสมาคมด้วย ดังมีปรากฏใน (อง.ติก.) ความว่า
    “วัจฉะ ผู้ใดห้ามผู้อื่นให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าอมิตร ผู้ทำอันตราย ๓ สิ่ง คือ ทำอันตรายต่อบุญของทายก ทำอันตรายต่อลาภของปฏิคาหก และตัวเองก็ขุดรากตัวเอง กำลังตัวเองเสียแต่แรกแล้ว วัจฉะ ผู้ที่ห้ามผู้อื่นให้ทาน ชื่อว่า เป็นอมิตร ผู้ทำอันตราย ๓ สิ่ง ดังนี้แล”
    นี้เป็นเรื่องราวที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงบุคคลที่ชอบห้ามหรือขัดขวางการทำบุญทำทานของผู้อื่น บางคนเคยปรารภว่า ประกอบธุรกิจหรือการทำมาค้าขายฝืดเคือง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ? ข้อนี้ได้มีปรากฏในวณิชชสูตร ซึ่งว่าด้วยการค้าขาย มีความว่า

    ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตร ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่งในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นนั่งแล้ว ได้ทูลถามว่า
    ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้การค้าอย่างเดียวกัน พ่อค้าบางคนประกอบการค้าแล้วขาดทุน บางคนประกอบการค้าแล้วได้กำไรไม่เท่าประสงค์ บางคนประกอบการค้าแล้วได้กำไรตามประสงค์ บางคนประกอบการค้าแล้วได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์’
    พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
    ‘สารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะก็ดี พราหมณ์ก็ดี ปวารณาสมณะหรือพราหมณ์นั้นให้บอกขอปัจจัยได้ บุคคลนั้นปวารณาด้วยปัจจัยใด ไม่ให้ปัจจัยนั้นแก่สมณะหรือพราหมณ์นั้น บุคคลนั้น ถ้าตายจากอัตภาพนั้นมาสู่อัตภาพนี้ หากประกอบการค้าขายอันใด การค้าขายอันนั้นย่อมขาดทุน

    ส่วนบุคคลใดเข้าไปหาสมณะก็ดีพราหมณ์ก็ดี ปวารณาสมณะหรือพราหมณ์นั้นให้บอกขอปัจจัยได้ บุคคลนั้นปวารณาด้วยปัจจัยใด ให้ปัจจัยนั้นไม่เท่าที่สมณะพราหมณ์นั้นประสงค์ บุคคลนั้นถ้าตายจากอัตภาพนั้น มาสู่อัตภาพนี้ หากประกอบการค้าอันใด การค้าอันนั้นย่อมได้กำไรไม่เท่าที่ประสงค์

    ส่วนบุคคลบางคนเข้าไปหาสมณะก็ดี พราหมณ์ก็ดี ปวารณาสมณะหรือพราหมณ์ให้บอกขอปัจจัยได้ บุคคลนั้นปวารณาด้วยปัจจัยใดให้ปัจจัยนั้นตามที่สมณะพราหมณ์ตามที่ประสงค์ บุคคลนั้นถ้าตายจากอัตภาพนั้น มาสู่อัตภาพนี้ หากประกอบการค้าขายอันใด การค้าขายอันนั้นย่อมได้ตามที่ประสงค์

    ส่วนบุคคลบางคนเข้าไปหาสมณะก็ดีพราหมณ์ก็ดี ปวารณาสมณะหรือพราหมณ์นั้น ให้บอกขอปัจจัยได้ บุคคลนั้นปวารณาด้วยปัจจัยใด ให้ปัจจัยนั้นยิ่งกว่าที่สมณะพราหมณ์นั้นประสงค์ บุคคลนั้นถ้าตายจากอัตภาพนั้น มาสู่อัตภาพนี้ หากประกอบการค้าขายอันใด การค้าขายอันนั้นย่อมได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์

    สารีบุตร นี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้การค้าขายอย่างเดียวกัน พ่อค้าบางคนประกอบแล้วขาดทุน บางคนประกอบแล้วได้กำไร ไม่เท่าที่ประสงค์ บางคนประกอบแล้วได้กำไรตามประสงค์ บางคนประกอบแล้วได้กำไรยิ่งกว่าประสงค์’
    เพราะเหตุนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ทรงแสดงอานิสงส์ของบุญกุศล คุณความดีไว้อย่างนี้ว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าได้กลัวต่อบุญเลย คำว่าบุญนี้เป็นชื่อแห่งความสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ

    ภิกษุทั้งหลาย ก็เรารู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่ง ซึ่งวิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ ที่ตนเสวยแล้วสิ้นกาลนาน แห่งบุญทั้งหลายที่ตนได้ทำไว้สิ้นกาลนาน เราเจริญเมตตาจิตตลอด ๗ ปีแล้ว ไม่กลับมาสู่โลกนี้ตลอด ๗ สังวัฏฏวิวัฏฏกัป

    ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า เมื่อกัปฉิบหายอยู่ เราเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลกชั้นอาภัสสระ เมื่อกัปเจริญอยู่ เราย่อมเข้าถึงวิมานแห่งพรหมที่ว่าง

    ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า เราเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ใครครอบงำไม่ได้ เป็นผู้สามารถเห็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน โดยแท้ เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ อยู่ในวิมานพรหมนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เราได้เป็นท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ ๓๖ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นพระธรรมราชามีสมุทรสาครสี่เป็นขอบเขต เป็นผู้ชนะวิเศษแล้ว ถึงความเป็นผู้มั่นคงในชนบท ประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ หลายร้อยครั้ง จะกล่าวไปไยถึงความเป็นพระเจ้าประเทศราชเล่า

    ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นดำริว่า บัดนี้ เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะผลวิบากแห่งกรรมอะไรของเราหนอแล

    ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นดำริว่า บัดนี้ เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะผลวิบากแห่งกรรม ๓ ประการของเรา คือ ทาน ๑ ทมะ ๑ สัญญมะ ๑
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
    กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษาบุญนั่นแล อันสูงสุดต่อไปซึ่งมีสุขเป็นกำไร คือ พึงเจริญทาน ๑ ความประพฤติสงบ ๑ เมตตาจิต ๑ บัณฑิตครั้นเจริญธรรม ๓ ประการอันเป็นเหตุเกิดแห่งความสุขเหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุข.

    ************************************************

    ปาฐกถาธรรมเรื่อง ความเป็นผู้มีบุญมาก่อน เป็นมงคลสูงสุด (ตอนที่ ๒)โดยพระภาวนาวิสุทธิคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรีออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วันอาทิตย์ ที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๒ เวลา ๐๘.๐๐ น.

    ที่มา
    http://www.dhammakaya.org/dhamma/lecture/lecture38.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2009
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ภัยแล้งรุนแรงหลายจังหวัด กระทบทั้งภาคเกษตรและขนส่ง

    [​IMG]

    ภูมิภาค 21 ก.พ.- หลายจังหวัดประสบปัญหาภัยแล้งรุนแรง จนต้องประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน เพื่อเร่งเบิกจ่ายงบประมาณบรรเทาความเดือร้อนให้กับราษฎร

    นายสุเทพ เดชชัยศรี หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า สถานการณ์ภัยแล้งในจังหวัดเชียงราย ยังคงทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรหลายชนิด โดยเฉพาะถั่วเหลืองจำนวนนับพันไร่ ในตำบลบ้านด้าย ตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย และตำบลป่าสัก ตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน กำลังเหี่ยวเฉาตาย เกษตรกรหลายรายต้องเร่งสูบน้ำบาดาลขึ้นมาหล่อเลี้ยงผลผลิต แต่ก็ต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงวันละหลาย 100 บาท จึงวอนหน่วยงานรัฐเข้ามาช่วยเหลือ

    ล่าสุดผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ประกาศให้ 12 อำเภอของจังหวัด คือ อ.แม่สาย อ.พาน อ.ป่าแดด อ.แม่สรวย อ.พญาเม็งราย อ.ขุนตาล อ.แม่ลาว อ.ดอยหลวง อ.เวียงแก่น อ.เทิง อ.เชียงแสน และ อ.เวียงเชียงรุ้ง เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินจากภัยแล้งแล้ว พร้อมเตรียมงบประมาณ 50 ล้านบาท ไว้ช่วยเหลือราษฎรที่ได้ความเดือดร้อน โดยเบื้องต้นได้มอบเงินช่วยเหลือให้ทั้ง 12 อำเภอ ๆ ละ 1 ล้านบาท เพื่อนำจัดสรรช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว

    เช่นเดียวกับที่จังหวัดบุรีรัมย์ นายเสริม ไชยณรงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ทางจังหวัดได้ประกาศให้พื้นที่ทั้ง 23 อำเภอ เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินจากภาวะภัยแล้งแล้ว ภายหลังราษฎรประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่อง พร้อมระดมหลายหน่วยงานเตรียมช่วยเหลือผู้ว่างงานจากภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งด้วย

    ส่วนที่จังหวัดตาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ภัยแล้งทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเมยลดระดับลงอย่างรวดเร็ว จนส่งผลกระทบกับการขนส่งสินค้าทางเรือบริเวณชายแดนไทย-พม่า โดยนายสุวิชัย เฮิงโม ผู้ประกอบการท่าเรือขนส่งสินค้าริมแม่น้ำเมย คลังสินค้าที่ 11 หมู่ 3 บ้านท่าอาจ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก เปิดเผยว่า ขณะนี้เรือลำเลียงสินค้าของผู้ประกอบการไทย ไม่สามารถแล่นผ่านร่องน้ำเดิมในแม่น้ำเมยได้ ต้องหาร่องน้ำลึกใหม่ และลากเรือเพื่อส่งสินค้า แทนการแล่นในช่วงปกติ

    ขณะเดียวกัน ทางฝ่ายพม่าได้ทำหลักรอ โดยใช้ไม้ไผ่กั้นบริเวณกลางแม่น้ำ เพื่อให้กระแสน้ำไหลไปรวมทางด้านฝั่งพม่า ส่งผลให้ระดับน้ำในฝั่งไทยยิ่งแห้งขอดเร็วขึ้น ล่าสุดต้องแก้ปัญหาโดยใช้เรือดูดทรายออก และสร้างร่องน้ำลึก เพื่อให้เรือสามารถเข้าไปรับสินค้าที่บริเวณท่าขนส่งสินค้าได้.-สำนักข่าวไทย

    2009-02-21 11:20:05

    บุรีรัมย์ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉินภัยแล้งแล้วทั้งจังหวัด

    [​IMG]

    ภูมิภาค 21 ก.พ. - ภัยแล้งขยายวงกว้าง ล่าสุด ที่จังหวัดบุรีรัมย์ต้องประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉินภัยแล้ง แล้วทั้งจังหวัด

    ชาวบ้านทั้ง 23 อำเภอ ในจังหวัดบุรีรัมย์ ต้องเผชิญกับภัยแล้งรุนแรงในปีนี้ ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร เบื้องต้น ทางจังหวัดได้นำรถบรรทุกน้ำไปแจกจ่ายและหาแหล่งน้ำทดแทน พร้อมจัดหาตำแหน่งงานว่าง เพื่อรองรับแรงงานภาคการเกษตรที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ในช่วงหน้าแล้ง

    เช่นเดียวกับที่จังหวัดเชียงราย ภัยแล้งคุกคามหนัก พื้นที่การเกษตรเสียหายหลายหมื่นไร่ ทางจังหวัดต้องประกาศพื้นที่ภัยพิบัติภัยแล้ง แล้ว 12 อำเภอ พร้อมเตรียมงบประมาณ 50 ล้านบาทไว้

    ส่วนที่จังหวัดอุทัยธานี เพียงแค่ 2 เดือน เกิดไฟป่าในเขตป่าห้วยขาแข้ง แล้ว 11 ครั้ง รวมเนื้อที่กว่า 380 ไร่ ทางศูนย์ควบคุมไฟป่าห้วยขาแข้ง จึงเร่งสร้างแนวกันไฟ เป็นระยะทาง 160 กิโลเมตร ให้เสร็จภายในเดือนนี้ พร้อมจัดเวรยามดูแลใกล้ชิด. -สำนักข่าวไทย

    2009-02-21 11:07:31

    พัทลุงแล้งหนัก โคขาดอาหารตายแล้ว 10 ตัว

    [​IMG]

    พัทลุง 20 ก.พ.- ปศุสัตว์จังหวัดพัทลุงลงพื้นที่ปากพะยูนเร่งช่วยเกษตรกรเลี้ยงสัตว์ประสบภัยแล้งอย่างหนัก โคพื้นเมืองผอมโซขาดน้ำ-อาหารตายกว่า 10 ตัว

    ผู้สื่อข่าวรายงานผลกระทบจากภัยแล้งในพื้นที่ จ.พัทลุง ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคพื้นเมืองกว่า 100 ราย เดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากแหล่งน้ำธรรมชาติเปลี่ยนไปมีรสชาติเปรี้ยวและฝาด ต้นหญ้าหลายหมู่บ้านแห้งตาย เนื่องจากน้ำทะเลหนุน ทำให้โคกว่า 800 ตัว ซูบผอม และป่วยตายไปแล้วกว่า 10 ตัว ล่าสุด (20 ก.พ.) เจ้าหน้าที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพัทลุงเร่งลงพื้นที่หมู่ 6 ต.เกาะนางคำ อ.ปากพะยูน เพื่อช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงของเกษตรกร

    นายไพโรจน์ อินทรศรี ปศุสัตว์จังหวัดพัทลุง กล่าวว่า การตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่าโคน่าจะเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ สาเหตุขาดหญ้าและน้ำไม่เพียงพอ โคจึงซูบผอมไม่มีภูมิต้านทาน และป่วยตายในที่สุด อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เก็บมูลและเจาะเลือดโคที่ป่วย เพื่อส่งศูนย์วิจัยการสัตวแพทย์ภาคใต้ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ตรวจวิเคราะห์หาชนิดพยาธิ เพื่อการรักษาถูกจุด เบื้องต้นได้จัดยาเวชภัณฑ์และหญ้าแห้งบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าแล้ว.-สำนักข่าวไทย

    2009-02-20 16:19:44

    ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เชียงใหม่ สูงถึงจุดวิกฤตแล้ว

    [​IMG]

    เชียงใหม่ 20 ก.พ. - ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่จังหวัดเชียงใหม่สูงถึงจุดวิกฤตแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่สั่งเอ็กซเรย์พื้นที่ที่เกิดไฟป่าซ้ำซาก

    กรมควบคุมมลพิษ รายงานปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ล่าสุด ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ บนดอยสุเทพ วัดค่าได้สูงถึง 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินค่ามาตรฐานซึ่งกำหนดไว้ที่ 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนดัชนีคุณภาพอากาศเกิน 100 ถือว่า ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนกลุ่มเสี่ยงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ เด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ ส่วนที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยในตัวเมืองเชียงใหม่ วัดค่าฝุ่นละอองได้ 146 ไมโครกรัม

    อย่างไรก็ตาม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ เร่งออกล้างทำความสะอาดถนน เพื่อช่วยชะล้างฝุ่นละอองและหมอกควันที่สะสมในพื้นที่
    นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สั่งเอกซเรย์พื้นที่ทุกตำบลทุกหมู่บ้านที่เกิดไฟป่า และมีการเผาพื้นที่เกษตรกรรมซ้ำซาก โดยเฉพาะอำเภอฮอด และจอมทอง ซึ่งเกิดไฟป่าแล้วกว่า 2,000 ไร่ แต่ยืนยันว่าหมอกควันที่เกิดขึ้นยังไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว.-สำนักข่าวไทย

    2009-02-20 12:15:56

    รับมือลองกองชายแดนใต้ก่อนทะลักสู่ตลาด

    [​IMG]

    นราธิวาส 20 ก.พ.- นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า ผลผลิตลองกองในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ปีนี้ คาดว่าจะมีปริมาณมากถึง 80,000 ตัน เฉพาะจังหวัดนราธิวาส คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 40,000 ตัน และจะเริ่มออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม

    ซึ่งอาจมีปัญหาราคาตกต่ำตามมา ทางจังหวัดจึงเตรียมมาตรการรองรับไว้ล่วงหน้า เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยประสานกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วางแนวทางควบคุมดูแลผลผลิต รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานเกษตรจังหวัด และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดูแลการพัฒนาคุณภาพของผลผลิตเพื่อให้มีคุณภาพในระดับเกรดเอและบี เพราะหากผลผลิตมีคุณภาพจะไม่ได้รับผลกระทบเรื่องราคา ส่วนผลผลิตระดับเกรดซี หรือเกรดคละ จะต้องทำให้ออกสู่ตลาดน้อยลง และช่วงฤดูร้อนนี้ สำนักเกษตรแต่ละอำเภอจะตรวจสอบว่ามีพื้นที่ใดได้รับผลกระทบจากภาวะขาดแคลนน้ำ เพื่อหาทางปรับปรุงดิน และหาแหล่งน้ำทดแทนให้อย่างเร่งด่วน เพื่อลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น.-สำนักข่าวไทย

    2009-02-20 14:13:10

    สวนสัตว์สงขลาเตรียมเพาะขยายพันธุ์เสือปลาที่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

    [​IMG]

    สงขลา 19 ก.พ.-นายอำนาจ ชลวัฒนะ ผู้อำนวยการสวนสัตว์สงขลา เปิดเผยว่า สวนสัตว์สงขลาอยู่ระหว่างเตรียมที่จะเพาะขยายพันธุ์เสือปลา ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ โดยในขณะนี้สวนสัตว์สงขลามีพ่อพันธุ์เสือปลาที่อยู่ในความดูแลอยู่ 2 ตัว แต่ยังไม่มีแม่พันธุ์เสือปลาที่มีความพร้อมในการผสมพันธุ์ ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานไปยังสวนสัตว์ทั่วประเทศ เพื่อขอแม่พันธุ์เสือปลามาร่วมในการโครงการวิจัยเพาะขยายพันธุ์เสือปลาที่สวนสัตว์สงขลา

    อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ สวนสัตว์สงขลายังไม่ได้มีการจัดแสดงเสือปลาให้ประชาชนได้ชม เนื่องจากอยู่ระหว่างศึกษาพฤติกรรมและเน้นงานวิจัย นอกจากนี้ สวนสัตว์สงขลาได้รับมอบม้าลายและลีเมอร์เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของสวนสัตว์ เพื่อนำมาจัดแสดงให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวในภาคใต้ได้ชม โดยมีการจัดแสดงความแสนรู้ของสัตว์ควบคู่ไปกับการทำงานงานวิจัยสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธ์ ซึ่งสวนสัตว์สงขลาอยู่ระหว่างดำเนินการทั้งสมเสร็จ แมวป่าหัวแบน เสือโคร่งพันธุ์ไทย และเตรียมที่จะดำเนินการกับสัตว์อีกหลายชนิด.-สำนักข่าวไทย

    2009-02-19 19:29:11

    สท.บุรีรัมย์เข้าระงับเหตุวัยรุ่นตีกันถูกยิงดับ

    [​IMG]

    บุรีรัมย์ 20 ก.พ. - สมาชิกสภาเทศบาลเมืองบุรีรัมย์หลายสมัย เคราะห์ร้ายเข้ามาระงับเหตุนักศึกษาวัยรุ่นยกพวกตีกัน แต่กลับถูกยิงเสียชีวิต ส่วนชาวบ้านอีก 2 คน ถูกลูกหลงอาการสาหัส

    ตำรวจเมืองบุรีรัมย์เข้าตรวจที่เกิดเหตุภายในซอยหมอยา ชุมชนบุลำดวนเหนือ เขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ หลังเกิดเหตุการณ์นักศึกษาวัยรุ่นนับ 10 คน นั่งล้อมวงดื่มเหล้าอยู่บริเวณดังกล่าว และเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง นายนิรันดร เรืองประโคน ซึ่งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เข้าไประงับเหตุ เนื่องจากบุตรชายนั่งดื่มเหล้าอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แต่กลับถูกหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นใช้ปืนลูกซองสั้นยิงสวนมา 1 นัด กระสุนเข้าที่หน้าอก ส่วนลูกปลายถูกใบหน้ารวม 36 ลูก ล้มลงกลางถนนเสียชีวิตคาที่

    จากนั้นกลุ่มวัยรุ่นได้กราดยิงใส่คู่อริที่กำลังชกต่อยกันอีก 1 นัด แต่กระสุนพลาดถูกนายสามารถ คงเสนา และนางสมัย ใบทอง ชาวบ้านที่ยืนดูเหตุการณ์อาการสาหัส ซึ่งหลังก่อเหตุวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี เบื้องต้นตำรวจรู้เบาะแสกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุแล้ว เตรียมจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด. -สำนักข่าวไทย

    2009-02-20 03:01:26

    สินค้าตกค้างท่าเรือเชียงแสนหลังมีเหตุยิงเรือสินค้าจีนกลางน้ำโขง

    [​IMG]

    เชียงราย 20 ก.พ.- นายวินัย ฉินทองประเสริฐ นายด่านศุลกากรเชียงแสน จ.เชียงราย เปิดเผยถึงกลุ่มกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงเรือสินค้าสัญชาติจีนกลางแม่น้ำโขงห่างสามเหลี่ยมทองคำไปทางทิศเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร ทำให้ลูกเรือเสียชีวิต 1 ราย เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้บรรยากาศการนำเข้า-ส่งออกสินค้าทางเรือไม่คึกคัก ผู้ประกอบการมีความวิตกกังวลความไม่ปลอดภัย ทำให้สินค้าตกค้างอยู่ท่าเรือเชียงแสนจำนวนมาก

    สำหรับสินค้าของไทยที่เตรียมส่งออกไปยังประเทศจีนหลายรายการ เช่น มะขามหวาน น้ำมันพืช ลำไยอบแห้ง และสินค้าอุปโภคบริโภคตกค้างอยู่ท่าเรือเชียงแสนคิดเป็นมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท โดยขณะนี้มีเรือบรรทุกสินค้ากว่า 50 ลำ จอดอยู่ริมแม่น้ำโขงตั้งแต่หน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสนไปถึงท่าเรือเชียงแสนประมาณกว่า 1 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงระยะสั้นและจะคลี่คลายไปในทางที่ดี.-สำนักข่าวไทย

    2009-02-20 10:40:03

    คนร้ายใช้อาวุธสงครามชุ่มยิงทหารชุดลาดตระเวน จ.ยะลา เสียชีวิต 2 นาย

    [​IMG]

    ยะลา 20 ก.พ. - มีรายงานด่วนเข้ามาว่า เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามชุ่มยิงทหารชุดลาดตระเวน จังหวัดยะลา เสียชีวิต 2 นาย

    เหตุเกิดบริเวณถนนสายกาโสด - เขื่อนบางลาง พื้นที่บ้านกาโสด ตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ขณะทหารพราน สังกัดกองร้อย 2514 ยะลา ออกลาดตระเวนเส้นทาง คนร้ายไม่ทราบจำนวน ดักชุ่มอยู่ข้างถนน ใช้อาวุธสงครามยิงถล่ม จนเกิดการยิงปะทะกันขึ้น ทำให้ทหารเสียชีวิต 2 นาย ขณะนี้ ตำรวจ ทหาร กำลังเข้าปิดล้อมพื้นที่ ติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี.-สำนักข่าวไทย

    2009-02-20 10:04:55

    ที่มา http://news.mcot.net/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2009
  19. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +954
     
  20. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +954
    พี่ เกษม ลิ้งที่พี่ให้ไว้เพื่อไว้โพสรูปแผนที่ คลิ้ก เข้าไม่ได้ครับ
    รบกวนพี่ทำลิ้งใหม่นิดครับ เดวผมไปทำงานให้แม่จะกลับมาช่วงเย็นๆค่ำๆครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...