ปริศนาแห่งอนุตรธรรม "มังกรกลืนนาค"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ป่าวอันถัง, 28 มกราคม 2009.

  1. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    พระแม่ธิพาพันธ์

    องค์ที่หนึ่ง พระกกุสันโธที่พญาไก่เอาไปเลี้ยงไว้ แม่
    เลี้ยงนั้นก็เรียกว่า กกุ เมื่อนำลูกออกไปคุ้ยเขี่ยหากิน แต่เช้าจรด
    เย็นเป็นประจำ โดยที่พระกกุไม่รู้เลยว่า แม่ที่แท้จริงนั้นเป็นกา

    อยู่มาวันหนึ่งพญาไก่ก็นำพระกกุออกไปคุ้ยเขี่ยหากิน
    ตามปกติ สอนลูกให้คุ้ยเขี่ยหากินไปตามประสาของไก่ ขณะ
    ที่กำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น ได้มีเหยี่ยวบินโฉบลงมา พระกุก
    ตกใจมาก จึงร้องว่า โธ..แม่ไก่จึงรีบกางปีกออกมาคลุมป้อง
    ภัยไว้เสียก่อน

    ณ ที่นั้นมี แม่กาอยู่ เมื่อได้ยินเสียงจึงมองลงมาจาก
    ยอดไม้ แต่มิได้เห็นพระกกุ เพียงแต่ได้ยินเสียง เพราะแม่ไก่กาง
    ปีกคลุมอยู่ แม่กามองลงมาจึงไม่เห็นลูก...

    กาลเวลาล่วงต่อมา เมื่อพระกกุสันโธได้ตรัสรู้เป็น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทรกัปป์นี้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก
    ในครั้งนั้น ศาสนาของพระองค์เจริญรุ่งเรืองมาก มนุษย์ใน
    ศาสนาของพระองค์อายุยืนมาก ไม่มีมาร ไม่มีการเบียดเบียน
    กันเลย

    ทุกเช้าค่ำ พระองค์จะชุมนุมเหล่าบริวารของพระองค์
    บอกสอนให้รู้จักสามัคคีธรรม ศีลธรรมอันบริสุทธิ์ มีสัมมา
    อาชีพอันสุจริตธรรม แบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
    ตื่นนอนแต่เช้า นอนดึก มีการชุมนุมทำวัตรเช้า-วัตร
    เย็น พระองค์โปรดเวไนยสัตว์ได้เป็นจำนวนมากทั้งทิศเบื้อง
    ล่าง เบื้องซ้าย เบื้องขวา เบื้องหน้าและ เบื้องหลัง ยกเว้นทิศ
    เบื้องบนที่พระองค์โปรดไม่ได้ เพราะพระองค์สร้างบารมีมาแค่
    โท ไม่ถึงเอก บารมีจึงไม่พอ พระองค์จึงโปรดแม่กาไม่
    ได้ กาก็เลยดำต่อไป พระองค์จึงฝากปริศนาธรรมคำอุทาน
    เอาไว้ว่าพุทโธ พุทโธ พุทโธ

    เพราะกรรมที่แม่กามิได้เห็นพระองค์ในศาสนาพระองค์ แม่กามี
    อานิสงส์เพียงได้ยินเสียงว่า “โธ” เท่านั้น พระองค์จึงมีนามว่า
    พระกกุสันโธ

    องค์ที่สอง พระโกนาคมโน ที่พญานาคเอาไปเลี้ยงเป็น
    บุตรบุญธรรม เมื่อเวลาออกหากิน ก็นำ พระโกนาคมโน
    ติดตามไปด้วยทุกครั้งมิได้ขาด หากินไปตามริมน้ำบ้าง ในน้ำ
    บ้าง บนบกบ้าง ตามประสาของนาค

    อยู่มาวันหนึ่ง พระโกนาคมโนได้ติดดามพญานาคออก
    ไปหากินเช่นเคย ในวันนั้นเองเมื่อมาถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ใน
    สถานที่นั้นมีต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่นมาก และสถานที่แห่ง
    นี้เอง บนต้นไม้ใหญ่นั้นมีแม่กามาทำรังอยู่รังหนึ่ง และขนของ
    กาได้หลุดร่วงลงมาขนหนึ่ง ที่ริมแม่น้ำแห่งนั้น

    ฝ่ายพญานาคเมื่อเห็นขนกาตกอยู่ที่พื้นดิน จึงหันหัวลง
    ไปทางแม่น้ำ แล้วเอาหางตระหวัดขนกาเส้นนั้น ชี้ตรงไปที่
    รังกา เพื่อจะบอกให้พระโกนาคมโนรู้ว่า แม่ของเจ้าที่แท้จริงนั้นเป็นกา ฝ่ายพระโกนาคมโนตีปรมัตถ์ธรรมนี้ไม่ออก ปัญหานี้จึงคาใจพระองค์อยู่มาจนบัดนั้น

    ต่อมา เมื่อพระองค์ได้มาตรัสรู้ธรรม เป็นพระสัมมา
    สัมพุทธเจ้าองค์ที่สองของภัทรกัปป์นี้ ทรงพระนามว่า
    โกนาคมโน ในศาสนาของพระองค์เจริญรุ่งเรืองมาก เป็น
    ระเบียบเรียบง่าย พระองค์ทรงสั่งสอนสาวกบริวารของพระองค์
    ให้อยู่ในสถานที่สงบ วิเวก และสันโดษ ในศาสนาของพระองค์
    ไม่มีมาร มีแต่ความสันติร่มเย็น การนั่งสมาธิภาวนาก็มีขึ้นใน
    กาลศาสนาของพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะโปรดแม่
    กาได้ เพราะพระองค์ตีปรมัตถ์ธรรมนั้นไม่ออก จึงไม่รู้ว่าแม่เป็น
    กา แม่กาก็เลยคากรรมต่อไปอีก และปัญหาธรรมนั้นก็คาใจของพระองค์มาจนบัดนี้ พระองค์จึงได้ฝากปริศนาธรรมนี้ไว้ที่
    หน้าบันหลังคาโบสถ์เป็นรูปพญานาค เอาหัวแปะชายน้ำ เอา
    หางชี้ฟ้า พวกมนุษย์จึงมาสร้างเป็น ช่อฟ้าใบระกา
    คือ พญานาคเอาหางชี้ฟ้าตรงไปที่รังกานั่นเอง

    องค์ที่สาม พระกัสสโป เมื่อพญาเต่าเอาไปเลี้ยงเป็น
    บุตรบุญธรรมตั้งนามให้ว่า กัสสโป เมื่อเวลาออกหากินก็จะนำ
    เอาพระกัสสโปไปด้วย หากินตามห้วยหนองคลองบึง กินผักกิน
    หญ้าไปตามประสาเต่า วันแล้ววันเล่าอยู่เช่นนี้ เมื่อไปพบสัตว์
    เหล่าใดชนิดใดก็ตาม พญาเต่าก็นำพระกัสสโปไปขอผูกมิตร
    ไมตรีเอาไว้ เพราะพญาเต่าเกรงกลัวอันตรายจะมีแก่บุตร ด้วย
    เหตุพญาเต่านั้นไม่มีอาวุธประจำกาย ไปไหนก็เชื่องช้า เมื่อพบ
    ประใครจึงต้องผูกมิตรไว้จนหลังลายหลายปะ

    และในวันหนึ่ง ขณะที่พระกัสสโปไปหากินกับพญาเต่า
    นั้น ก็ได้พบปะรอยแม่กา พระกัสสโปจึงตามรอยแม่กาไป แต่
    ด้วยสังขารอันเชื่องช้าของพญาเต่า พระบิดาเลี้ยง ทำให้
    พระองค์ตามรอยแม่กาไม่ทัน พระองค์จึงไม่ได้เห็นแม่กาได้
    พบได้ปะแต่รอยกาเท่านั้น

    กาลต่อมา เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมา
    สัมพุทธเจ้าองค์ที่สามของภัทรกัปป์นี้ จึงมีพระนามว่า พระ
    กัสสปะ ในศาสนาของพระองค์นั้น พระองค์ได้สั่งสอน
    สาวกบริวารของพระองค์ ไม่ให้ติดถิ่นที่อยู่อาศัย สอนให้รู้จัก
    รุกขมูล จาริกเดินธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพร อยู่ตามโคนไม้
    และในถ้ำ และเมื่อพบปะสัตว์ตายแล้ว จึงโปรดสัตว์นั้น ด้วยการเอาหนังมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม เป็นที่มาของ สังฆทาน
    คือ สัตว์นั้นให้สังขารเป็นทานแก่พระ การอยู่รุกขมูลจาริก
    ธุดงค์ จงกรม และการให้สังฆทาน ได้เกิดขึ้นในกาลศาสนา
    ของพระองค์นี้เอง แต่มิได้เอาสังขารของสัตว์อื่นมาทำเป็น
    ทาน เช่น พวกยักษ์ทำอยู่ทุกวันนี้คือ ฆ่าสัตว์เพื่อทำทาน ในยุค
    ของพระองค์นั้น ก็ยังโปรดแม่กาไม่ได้ เพราะวาสนาของ
    พระองค์ ได้พบได้ปะแต่รอยของแม่เท่านั้น พระองค์จึงขอฝาก
    ปริศนาธรรมนี้ไปถึงกาลข้างหน้า เป็นผ้าสังฆาฏิไว้ เป็นความ
    หมายว่า สังขารของเต่านั้นเชื่องช้าขาสั้น ไม่เอื้ออำนวย นี้
    เป็นความหมายของ สังขาร ฆาติ คือ โปรดแม่กาไม่ได้ แม่
    กาก็เลยคากรรม คาสีดำอยู่และต้องดำต่อไป จึงติ คือ ท่าน
    ติองค์ท่านเอง นี้คือความเป็นมาของ ผ้าสังฆาฏิ
    ที่พระใช้พาดบ่าอยู่ทุกวันนี้ แท้จริงก็คือปริศนาธรรมของพระ
    กัสสปะนั้นเอง เพราะท่านไม่ได้เห็นแม่กา ได้พบได้ปะเพียง
    รอยตอนต้น ด้วยเหตุนี้ อายุศาสนาของพระองค์จึงไม่ยืน
    ยาว มีมารมาแทรกแซงครอบงำ ด้วยการปลุกเสกเลข
    ยันต์ สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ตามพิธีกรรมของมาร และท้าย
    สุดพระศาสนาของพระองค์ ก็ขาดหลักการ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้
    ชั่ว นานเข้าผู้คนทั้งหลายในครั้งนั้น ก็มีแต่พิธีกรรมพิธีการและ
    พระศาสนาก็สิ้นสุดลงไป ตามกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    องค์ที่สี่ พระโคตะโม เมื่อพญาโคเอาไปเลี้ยงเป็นบุตร
    บุญธรรมตั้งนามให้ว่า ตะโม ตะโม เมื่อออกไปหากิน ก็นำพระ
    โคตะโมไปด้วย อาหารของพญาโค นั้น คือ ใบไม้และหญ้า
    อ่อน ตามเชื้อชาติของโคนั้น เมื่อกินหญ้าและใบไม้อ่อนเป็น
    อาหารแล้ว ก็จะกลืนเอาไว้ในท้องก่อน เมื่ออาหารเต็มท้อง
    แล้ว จึงเข้าไปอาศัยร่มเงาของต้นไม้ แล้วเอาอาหารนั้นออก
    มาบดเคี้ยวให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ตามสัญชาติของโควันแล้ว
    วันเล่า เป็นเช่นนี้ตลอดมา

    วันหนึ่งขณะที่แทะเล็มหญ้าอยู่นั้น จมูกของพญาโคก็ได้
    กลิ่นแม่กา พญาโคจึงนำพระโคตะโม ดมตามกลิ่นนั้นไป แต่มิ
    ได้พบแม่กา ได้พบเพียงกลิ่นเท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อออกหา
    กิน พญาโคก็จะนำลูกดมหากลิ่นแม่กานี้เรื่อยไป โดยหวังว่าสัก
    วันหนึ่งลูกจะได้พบแม่ที่แท้จริง แต่พระองค์ก็มิได้พบได้เห็นเลยว่าแม่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ได้พบได้ดมเพียงกลิ่นเท่านั้น และภายหลังฝ่ายมารได้มาปัสสาวะทับกลิ่นแม่กา ทำให้เป็นกลิ่นเดียวกัน จนแยกไม่ออกว่า กลิ่นแม่กา หรือกลิ่นมาร

    เมื่อภายหลัง พระองค์มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธ
    เจ้าองค์ที่สี่ในภัทรกัปป์ ทรงพระนามว่า พระพุทธโคดม ใน
    ศาสนาของพระองค์นั้น มิได้ราบรื่นเท่าที่ควร ความซื่อสัตย์
    เที่ยงธรรมมีน้อย พระองค์จึงทรงตั้งบทบัญญัติเอาไว้มาก
    มาย เพื่อมิให้สาวกบริวารกระทำผิด เมื่อใดมีศีลบัญญัติ
    มาก ผู้คนจะได้มรรคผลน้อย ในศาสนาของพระองค์ ทรง
    บัญญัติไว้ถึง 227 ข้อ พระองค์ทรงสอน ให้รู้จักสามัคคี ให้
    อยู่เป็นกลุ่มก้อน อยู่ในขอบเขต เป็นหมู่เป็นคณะ ดังนี้ตาม
    สัญชาติของโคนั้น ไม่มีวิชาชีพเลี้ยงตัว ทุกวันออกหากินตามมี
    ตามได้ และเหล่าสาวก บริวารของพระองค์ จึงออกขอ
    บิณฑบาตทุกเช้าเมื่อได้อาหารมาแล้ว พระองค์จึงสอนสาวกให้รู้จักการพิจารณา ใคร่ครวญในอาหารนั้น เป็นสติปัฏฐานสี่ กลั่นกรองด้วยปัญญา หาเหตุแห่งทุกข์ และการดับทุกข์ แล้วอริยสัจสี่ ก็เกิดขึ้นจากจุดนี้ในศาสนาของพระองค์ แต่การทำวัตรเช้า-เย็นก็ดี การนั่งสมาธิภาวนาก็ดี การเดินจงกรม หรือ การท่องเที่ยวจาริกรุกขมูล ไปตามป่าเขาลำเนาไพรก็ดี ที่มีในพุทธศาสนาก่อน ๆ นั้น พระองค์รับเอามาสอนสาวก บริวารของพระองค์หมด และในศาสนาของพระองค์นั้น พระองค์ก็ยังโปรดแม่กาไม่ได้ เพราะวาสนาของพระองค์ที่สร้างมา ได้เพียงดมกลิ่น แม่กาก็เลยดำอยู่เช่นเดิม และในศาสนาของพระองค์ พวกมนุษย์ก็มีอายุน้อย พระองค์จึงตั้งเขตศาสนาไว้เพียง
    2,500 ปี เท่านั้น

    แต่พวกยักษ์ มาร อยากได้ศาสนาไปครองบ้าง เหมือน
    อย่างสมัยของพระกัสสปะพุทธเจ้า ฝ่ายพญามาร จึงให้
    พราหมณ์ไปทูลขอพระศาสนาของพระองค์ต่ออีก 2,500 ปี
    พระองค์ทรงอนุญาตให้ ด้วยวาสนา เมื่อพญาโคเลี้ยงเป็นบุตร
    ไปหลงกลิ่นมารเป็นกลิ่นเดียวกับแม่กา ศาสนาของพระองค์จึง
    รวมเป็น 5,000 ปี ตามที่พวกเราเข้าใจกันอยู่ทุกวันนี้

    เมื่อกาลเวลาเวียนมาบรรจบครบ 2,500 ปี ศาสนาของ
    พระองค์ก็สูญสิ้นไป เหลือแต่ของมาร ของยักษ์ ที่ให้พราหมณ์ไปขอต่อไว้ เมื่อขอมาแล้วก็ปฏิบัติรักษาไม่ได้ ไม่อยู่ในศีลในธรรม จึงทำลายกันเอง เบียดเบียนกันเอง ด้วยเพราะกลิ่นแม่และกลิ่นมารนั้นเหมือนกัน ทำให้พระองค์เข้าใจว่า เป็นกลิ่นเดียวกันก็เลยทรงอนุญาตให้ พระองค์จึงทรงพระนามว่า พระพุทธโคดม

    องค์ที่ห้า พระระณัญชะโห เมื่อราชสีห์เอาไปเลี้ยงเป็นบุตร
    บุญธรรม จึงตั้งนามให้ว่า ระณัญชะโห เมตเตโย พญาราชสีห์
    พันธุกะ มีความรักเอื้อเอ็นดูพระระณัญชะโหมาก เมื่อเวลาออกหากิน ก็จะนำพระระณัญชะโหติดตามไปด้วยมิได้ขาด พญาราชสีห์วิ่งเร็ว มีกำลังมากที่สุดและมีอำนาจมากที่สุด เป็นจ้าวป่า เป็นที่เกรงขามของหมู่สัตว์ใหญ่น้อย พระระณัญชะโหติดตามราชสีห์ ท่องเที่ยวไปตามป่า พระองค์มิได้พบเห็นฝูงสัตว์น้อยใหญ่เลย เพราะสัตว์เหล่านั้นได้กลิ่นราชสีห์ก็หนีหายไปหมดด้วยความเกรงกลัว
    วันหนึ่งพญาราชสีห์เอาพระระณัญชะโหออกจากถ้ำ ไปล่า
    สัตว์เป็นอาหารเช่นเคย เมื่อได้มาแล้วก็กินแต่เนื้อของสัตว์นั้น
    เหลือซากโครงกระดูกทิ้งไว้ และในครั้งนั้นเอง มีแม่กาอยู่ฝูง
    หนึ่งได้บินผ่านมา และแลเห็นซากสัตว์นั้นเข้า จึงบินลงไปจิก
    กินเป็นอาหาร ฝ่ายพระระณัญชะโห เกิดมาไม่เคยพบเห็นสัตว์
    ใด ๆ เลย พระองค์จึงดีใจมาก เลยอุทานขึ้นมาว่า โอ้โห
    ทำให้แม่กาฝูงนั้นตกใจ บินหนีขึ้นท้องฟ้า แล้วแลลงมาดู จึง
    เห็นพระระณัญชะโห แต่แม่กาไม่ทราบว่าพระเป็นลูก ส่วนพระ
    ระณัญชะโหก็ไม่รู้ว่า แม่เป็นกา

    แต่แม่กาได้อานิสงส์ ในครั้งนี้ คือ ได้ยินเสียงพระ และ
    ได้เห็นองค์พระด้วย เป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลมาก คำว่า
    บิดา จึงมีมาแต่ครั้งนั้น เพราะราชสีห์กินเนื้อหมด
    แล้ว เหลือซากเหมือนแบ่งบิให้กา กาจึงได้กิน เลยเรียกว่า
    บิดา คือ พ่อแบ่งบิให้แม่กานั้นเอง จึงได้เกื้อกูล เกื้อหนุนกัน
    อยู่เป็นเช่นนี้ตลอดมา
    ฝ่ายพญาราชสีห์นั้น ได้นำพระระณัญชะโหออกล่าสัตว์
    เป็นอาหารอยู่เนืองนิจ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยเลือดเนื้อของสัตว์อื่น
    วันแล้ววันเล่าเรื่อยมา พระระณัญชะโห เมตเตโยได้ทบทวนดู
    แล้ว พระองค์ทรงเศร้าสลดพระทัยมาก ว่า

    "โอ้หนอพระบิดาเรา ได้สร้างกรรมไว้มากมายมหันต์ เรา
    จะทำเช่นไรหนอ จะช่วยชีวิตพระบิดานี้ให้พ้นกรรม"

    ต่อมาในกาลเวลาอันยาวนานนั้น พระองค์จึงได้ตั้งความ
    วิริยะอุตสาหะ พากเพียรเวียนสร้างบารมีมานานแสนนาน สร้าง
    มาแล้วแก่ที่สุด ไกลที่สุด ยาวนานที่สุด ก็เพื่อโปรดพระบิดา
    เมื่อสร้างพระบารมีเต็มสามสิบทัศครั้งแรก รอบที่หนึ่ง รอบที่
    สองก็โปรดไม่ได้ พระองค์ก็อุตสาหะสืบสร้างบารมีต่อมาอีก
    เต็มสามสิบทัศเป็นรอบที่สาม รอบที่สี่บารมีก็ยังไม่พอ เพราะ
    พญาราชสีห์สร้างกรรมไว้มากมายมหันต์

    จนกาลบัดนี้ พระองค์ทรงสืบสร้างบารมีเต็มสามสิบทัศ
    มาแล้วถึงรอบที่ห้า รวมระยะเวลาอันยาวนาน สิบหก
    อสงไขย เป็นวิริยะบารมี เป็นบุญญาธิการอันยิ่งใหญ่
    ไพศาล จึงได้พระนามว่า พระศรีอารีเมตไตร คือ มีเมตตา
    ต่อพระบิดาพระมารดาและสัพสัตว์เป็นที่สุดนั้นเองเมื่อตรัสรู้แล้ว





    <CENTER>[​IMG]</CENTER>http://www.navagaprom.com/oldsite/index.php#
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2009
  2. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    [​IMG]

    ภาพมกรคลายนาคออกมา ตามวัด
    เป็นความเชื่อมาจากพม่าค่ะ

    ตัวเหรา หรือตัวมกร มีหัวและตัวเป็นนาคแต่มีสี่เท้า เป็นสัตว์ป่าหิมพานต์ตามความเชื่อในตำราโบราณเกี่ยวกับสัตว์หิมพานต์

    [​IMG]

    อ้างอิง...
    ส่วนใหญ่ความเชื่อทางภาคเหนือจะเรียกว่ามกรคายนาคครับ ที่เป็นเช่นนี้เพราะทางภาคหนือของเรามีพื้นที่ติดกับพม่าจึงได้รับอิทธิพลไปโดยปริยายในด้านของความเชื่อและวัฒนธรรม ซึ่งตัวมกร จะเป็นตัวแทนของความไม่รู้ หรือ อวิชชา ที่คายนาคออกมา เพื่อจะก้าวเข้าสู่วิชา

    ͸Ժ������ͧ���Ҥ�Ѻ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2010
  3. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    มาอ่านค่ะ......................
     
  4. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    มาอ่านด้วยคนครับ...........
     
  5. suphattra

    suphattra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +19
    มังกร คาย นาค จ้าาา:z16
     
  6. wacaholic

    wacaholic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +214
    พระโพธิญาณและกายทั้งสามแห่ง
    อดีตกาลพระพุทธเจ้า
    ปัจจุบันกาลพระพุทธเจ้า
    อนาคตกาลพระพุทธเจ้า
    ซึ่งอยู่เหนือทั้งสังสารวัฏและพระนิพพาน

    พระมหาเมตตากรุณาแห่งพระกวนอิมอวโลกิเตศวร
    และเหล่าพระมหาโพธิสัตว์เจ้าทุก ๆ พระองค์

    โปรดประทานพรชัยอันศักดิ์สิทธิ์แก่ประเทศชาติ และประชาชาติ
    ปลดเปลื้องเภทภัยบ้านเมืองให้หมดสิ้นพลัน

    สาธุ กราบ กราบ กราบ
     
  7. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215

    มกร เป็นที่นับถือของชาวพม่า เช่นเดียวกับพญานาค เป็นที่นับถือบูชาของชาวล้านนา และลุ่มแม่น้ำโขง

    เมื่อพม่าแผ่ขยายอิทธิพล ยึดล้านนาเป็นเมืองขึ้นได้(ในอดีต) จึงได้สร้างรูปนี้ไว้
    เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม แสดงนัยยะแห่งการปกครอง และถือตัวเหนือกว่า
    เมื่อเวลาผ่านไปก็เลยสืบทอดกันมาในแง่ศิลปะ-วัฒนธรรม


    มกร หาใช่ มังกรไม่
     
  8. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ปริศนาแห่งอนุตรธรรม-มังกรกลืนนาค?

    ไฟ-น้ำ สมดุล ร้อน-เย็น ประสาน ลงตัว!
    ลม-ดิน ประสมให้ อ่อน-แข็ง ไหวไปตามแรงกรรม!
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ขอบคุณมากนะคะ เคยเห็นที่พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ได้แต่เก็บความสงสัยไว้
     
  10. คณโฑ

    คณโฑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,625
    มารออ่าน ขอบคุณทุกๆข้อมูลครับ
     
  11. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    501
    ค่าพลัง:
    +635
    ขอบคุณค่ะ โมทนา ถึงมิน่า ในนิมิตรที่เห็นนาค กลับเห็นตัวเองอุทานในนิมิตร ว่า ท่านมังกร
     
  12. หมาปากซอย

    หมาปากซอย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +11
    มังกรกลืนนาค เหมือน งูสามเหลี่ยมกลืนงูจงอางป่ะคับ...

    สุดท้ายมีคนมาดึงงูจงอางออก จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง... ห้าห้าห้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...