ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    จากประสบการณ์พบว่า กาย 100% นี่โหดมากเลยครับ ผีสู้ไม่ได้เลย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่อยากใช้กับผีเลย เพราะถึงขั้นสงสารผีกันทีเดียว

    +++ ใช่ครับ "การอัดกระแทกพลังของกายเวทนา" นั้นเป็นการ Map สถานการณ์ใน "สังฆาฏมหานรก" แล้วนำขึ้นมาใช้เพื่อการ "ปราบมิจฉาทิฐิสัตว์" เท่านั้น (หากใช้ภาษาแบบผู้วิเศษก็จะเป็น การจับมิจฉาทิฐิจิตนั้น โยนใส่ลงไปใน สังฆาฏมหานรก นั่นเอง) รายละเอียดตรงนี้ เคยโพสท์ไว้แล้วในลิ้งค์ข้างล่าง ดังนั้น จึงต้องระบุก่อนว่า "ให้ปล่อยจิตแบบ เห็นเพื่อน" ตรงนี้ "อย่าสับสนกับการ แผ่เมตตา" นะ มันเป็นคนละเรื่องกันเลย (แผ่ผิด เขาอาจจะหัวร่องอหงายเลยก็ได้ แต่ความ ยัวะ อาจเกิดขึ้นได้เหมือนกัน หากเราไม่รู้จัก กาละเทศะ)

    +++ ให้สังเกตุในเวลาก่อนที่ "จิตครูบาอาจารย์" จะปรากฏ ในขณะนั้น "ความรู้สึก" เป็นอย่างไร หรือ ก่อนที่ จิตอื่นชั้นสูงจะปรากฏ "ความรู้สึก แบบเพื่อน" มีอยู่ด้วยใช่หรือไม่ ดังนั้น "ผู้ฝึกในกระทู้นี้" ควรเลียนแบบและหมั่นสังเกตุ "มารยาท" ตรงนี้ให้เรียบร้อยเอาไว้ด้วย เพราะตรงนี้ "เป็นมารยาทสากล" ในการติดต่อ "ข้ามภพภูมิ" ดังนั้น คงไม่ต้องมาถามผมนะว่า XP ของผมใน "ภพภูมิทัวร์" มีขนาดไหน และในยามออกทัวร์ ต้องมีอะไรในกระเป๋าเดินทางบ้าง

    ผีจะกลัวกาย 100% ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นถ้าเดินจิตแบบคุณธรรมชาติว่า ผีก็คงหนาวแล้วครับ

    +++ จิตของสัตว์ใน "สังฆาฏมหานรก" นั้นจะ "กลัวจน ร้อนรน แบบสุด ๆ" หากเดินจิตจน "จิตคำราม" ปรากฏด้วยแล้ว มันจะสุดบรรยายเลยทีเดียว มันจะเป็นปรากฏการณ์ของ "ภูเขาหินเหล็กสูงจรดชั้นบรรยากาศ (โยชน์) ยาว และเคลื่อนตัวประดุจ ซูนามิ เคลื่อนตัวถาโถมเข้ามา พร้อมกับเสียง แผ่นดินคำราม (จากจิตคำราม) เข้ามาถาโถมทับแบบ 360 องศา ไม่มีทางพ้นได้เลย"

    +++ เสียงแผ่นดินคำรามนั้น คล้ายคลึงกับเสียงฟ้าผ่าใก้ลตัว แต่มีความ ยาาาาาว นาาาาน แห่งเสียงมากกว่า นาที ขึ้นไป ใครมีเพื่อนทางภาคเหนือที่ได้ยินเสียง "แผ่นดินคำราม" ตอนแผ่นดินไหวที่ แผ่นดินแยกตัวออกจากกัน ก็ลอง ๆ สอบถามดูนะครับ ว่ามันเขย่าขวัญสั่นประสาท สท้านเข้าไปถึง "อัตตาจิต" ขนาดไหน

    รายละเอียดบางประการ อยู่ในลิงค์ข้างล่างนี้

    https://palungjit.org/threads/345077/page-3#post-6771183
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2019
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ OK รออยู่ครับ
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ภาคมหาปัฏฐาน คือ ภาคอิทธิบาท 4

    +++ ฤกษ์งามยามดีในวัน "วิสาขะบูชา" ดังนั้นควรทำ "ปฏิบัติบูชา" กันให้เต็มที่ นะครับ

    +++ ในขณะนี้ กระทู้ตัวนี้ได้เดินทางมาจนถึงการ คร่อมและคาบเกี่ยวกับ "ภาคมหาปัฏฐาน" แล้ว ดังนั้นการใช้ภาษาจะเริ่มแปรเปลี่ยนไปเพื่อความเหมาะสม ส่วนตัวภาษานั้น จะพยายามใช้ภาษาที่ "เรียบง่าย" ที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาบาลีให้มากที่สุด เว้นไว้แต่จะใช้ในการ "อ้างอิง" เท่านั้น เช่นคำว่า "อภิญญา" ที่หมายถึง "อภิ+ปัญญา" แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากปัญญาในการ "ใช้ขันธ์" ไปได้

    +++ การฝึกใน ภาคมหาปัฏฐาน นี้คือการฝึก "สติ ตามระดับของผู้ฝึก" ในระดับที่ 9. "อยู่กับความเป็นจริง" (ไม่เกี่ยวข้องกับการ "อยู่กับความเชื่อ")

    +++ ทั้งหมดเป็นเรื่องของการ "อยู่-ย้าย" (วสี 5) ได้ตามใจชอบ เพียงแต่ "อยู่" กับอะไรเท่านั้น

    +++ คำว่า "อยู่" นั้นเป็นไฉน อาการ "อยู่" คือ "อาการปักหลัก แช่-อยู่ ภายในขันธ์ นั้น ๆ" ซึ่งเป็นอาการของ "ปัฏฐาน" (ปักหลัก = ตั้งมั่น = สมาธิ) ในตัวอยู่แล้ว

    +++ เอาอะไรไป "อยู่" ในขันธ์ คำตอบคือ เอา "มหาสติ หรือ สภาวะรู้" เข้าไป "อยู่ หรือ ครอง" ขันธ์นั้น ๆ แล้วขันธ์นั้น ๆ ย่อมกลายตัวเป็น "วิสุทธิขันธ์" ไปเองตามกาลเวลา

    +++ โดยปกติ "การครองขันธ์" โดยทั่วไป "ขันธ์จะถูกครองด้วย อัตตาจิต" ดังนั้นมันจึงเป็น "อัตตาปัฏฐาน" ซึ่งตรงนี้เป็น "โลกียะ"

    +++ แต่ยามใดที่นำ มหาสติ ที่ "ตนเป็นแล้ว" มาทำการครองขันธ์ ยามนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็น "มหาสติ + ปัฏฐาน" ตรงนี้ "พ้นโลกียะ"

    +++ "ภาคมหาปัฏฐาน" แท้จริงแล้วมันคือ "ภาคอิทธิบาท 4" นั่นเอง แต่เป็นการ "เดินอิทธิบาท" ในระดับ วาระจิต

    +++ อธิบายด้วย "ภาษาสั้น ๆ ง่าย ๆ" ได้ดังนี้

    1. ขันธ์เป้าหมาย คือ "ฉันทะ"
    2. "ย้าย" เข้าไปในขันธ์ คือ "วิริยะ"
    3. "อยู่" (ปัฏฐาน) ภายในขันธ์ คือ "จิตตะ"
    4. "รู้โดยปราศจากการปรุงแต่ง" ของขันธ์นั้น ๆ คือ "วิมังสา"

    +++ อะไรคือ "รู้โดยปราศจากการปรุงแต่ง" ในยามที่ "สภาวะรู้ ทำปัฏฐาน" ในขันธ์ "ย่อมรู้สภาวะของขันธ์นั้น ๆ ตามความเป็นจริง" และหลัก ๆ ของ "รู้" นี้จะรวมไปถึง กำเหนิดขันธ์ (เกิดขึ้น รวมทั้ง สร้างขันธ์ขึ้น) กระบวนการที่ทำให้ ขันธ์ดำรงค์อยู่ (ตั้งอยู่ = ขันธ์ปัฏฐาน รวมทั้งขีดความสามารถของขันธ์นั้น) การย้ายออกจากขันธ์ หรือ การวางขันธ์ (ทำให้ขันธ์ ดับไป)

    +++ ในยามที่ "รู้ และ เข้าใจ" ในกระบวนการนี้แล้ว "ขีดความสามารถในการ ใช้ขันธ์" จึงปรากฏเป็นจริง ขึ้นมาได้เอง และ หลีกเลี่ยงไม่พ้น โดยไม่ต้องใช้ "ความเชื่อ หรือ ความงมงาย" อีกต่อไป

    +++ พระพุทธเจ้า และ ครูบาอาจารย์บางองค์ ใช้วิธี สร้างขันธ์ (เกิดขึ้น) แล้วใช้งานในขณะที่ขันธ์ดำรงค์อยู่ (ตั้งอยู่) เมื่อเสร็จธุระแล้วก็ ย้ายออกมาอยู่กับรู้ ซึ่งเป็นการวางขันธ์ (ดับไป) นั่นเอง

    +++ ดังนั้น "มหาสติปัฏฐาน" ตัวจริงเป็น "สุกขวิปัสสโก" หรือเป็น "ปฏิสัมภิทาญาณ" กันแน่ ผู้ฝึกในกระทู้นี้จะ "รู้แจ้ง" ได้ด้วยตนเอง อย่างแน่นอน นะครับ

    +++ แม้ว่ากระทู้นี้จะเข้าสู่ภาค "มหาปัฏฐาน" แล้วก็ตาม แต่ผู้ที่ยังอยู่ในระดับ 3 -8 ก็ให้ถามได้ตามปกติ นะครับ
     
  4. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ยกตัวอย่าง ภพภมิเกรงใจเรา

    เรามาถึงเป็นกายทิพย์ธรรมดา ภพภูมิไม่สนใจ จะเป็นร้อยหรือมากกว่า ต่างคนต่างเพลิน ยุ่งกันใหญ่เดินไปเดินมา พอเราเข้ากาย 100% เท่านั้นแหละ บัญญากาศเรียกว่าคนละเรี่องเลย มันอึมครึม หยุดนิ่งไปหมด ภพภูมิทั้งหมด จะทำอะไรอยู่ก็ตาม ยืนตรงนิ่งกันหมด และหันมาทางเรากันหมด เป็นภาพที่หาดูได้ยาก ที่แปลกมากๆ
     
  5. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    มาต่อค่ะ

    เมื่อคืนสวดมนต์เป็นพิธี ยาวหน่อยสวดคาถาชินบัญชร ถ้าสวดบทนี้ ขนจะลุกเป็นปกติ วาบๆ หรือ แค่ฟังหรือสวดในใจก็จะซ่านวาบๆ

    แล้วนั่งสมาธิ ลองเดินจิตดู คราวนี้ไม่หลับ ไม่ซ่าน ก็ภาวนาไปเรื่อย โดยคำภาวนาพุทโธ นับไปสงบ กำลังจะทิ้งคำภาวนา เพราะเริ่มนับไม่ได้แล้ว แต่ยังไม่ทิ้งพุทโธ ทันใดนั้นเสียงฝาไม้ดีด ปึ้งๆ ยังไม่เป็นไร ภาวนาต่อไป สักครู่ ปึ้ง อีก คราวนี้ รู้สึกได้ว่า กรอบพลังสมาธิที่กำลังสร้างนั้น สั่นสะเทือนกระเพื่อมแรง ทำให้ต้องถอนออกจากสมาธิสะ คืนนี้เอาใหม่ คืนนี้จะย้ายห้อง

    เข้าใจเอาเองว่า การทำสมาธิเหมือนการรวมรวมพลังงานให้เป็นหนึ่งเดียวพลังงานกลมๆ ถ้าแข่งแกร่งจะตัดการรับรู้ภายนอก แต่ช่วงรอยต่อนี่เหมือนกับว่าบอบบาง จะโดนทดสอบบ่อยมากตรงนี้

    ขอคำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ
     
  6. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ฟังก็รู้แล้วครับว่ามี xp เยอะ 555 level max แล้วมั้งครับ 555 จริงๆ ผมได้ประสบการณ์ใหม่เรื่อยๆ เพราะผมไปลุยแทบจะทุกวัน แต่หลายอย่างผมไปพบมาที่แปลกๆ ผมมาคุยกับคุณธรรมชาติ คุณธรรมชาติก็มีประสบการณ์มาแล้ว ทำให้รู้ได้ว่าประสบการณ์มากจริง เพราะผมเจออะไร ผมมาเล่าให้ฟัง ก็รู้ไปเสียหมด เรื่องแบบนี้เมคไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่ได้มีประสบการณ์มาจะมาคุยตรงกันไม่ได้เลย

    ผมพบว่าข้อดีของ xp ในการท่องเที่ยว และพบปะกับภพภูมิ คือได้เรียนรู้กฎต่างๆ การใช้ชีวิตของภพภูมิ ได้รู้จักสถานที่ต่างๆ และที่สำคัญได้เรียนรู้ตัวเอง
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ยกตัวอย่าง ภพภมิเกรงใจเรา

    +++ สงสัยจะสนุก

    เรามาถึงเป็นกายทิพย์ธรรมดา ภพภูมิไม่สนใจ จะเป็นร้อยหรือมากกว่า ต่างคนต่างเพลิน ยุ่งกันใหญ่เดินไปเดินมา

    +++ ตอนนั้น ภพภูมิ กำลัง "ปรุงใครปรุงมัน" กำลังยุ่งอยู่กับ "การปรุง สุข อยู่ในหัว" เรียกว่า "จิตไม่ว่าง"

    พอเราเข้ากาย 100% เท่านั้นแหละ

    +++ ในขณะที่เข้ากาย 100% เฉพาะตน (ไม่ได้แผ่ออก) จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ "หยุดจิต" (ดับความปรุงแต่ง) เกิดขึ้น ชั่วขณะ

    บัญญากาศเรียกว่าคนละเรี่องเลย มันอึมครึม หยุดนิ่งไปหมด ภพภูมิทั้งหมด จะทำอะไรอยู่ก็ตาม ยืนตรงนิ่งกันหมด และหันมาทางเรากันหมด เป็นภาพที่หาดูได้ยาก ที่แปลกมากๆ

    +++ ชั่วขณะนั้นแล... บรรยากาศแห่งความ "หยุดสรรพสิ่ง" ในภพภูมิที่ละเอียดย่อมเกิดขึ้นมาด้วย โดยเฉพาะ ภพภูมิ ที่ใช้จิตในการสื่อสารเป็นปกติ

    +++ เหมือนคนกำลังดูหนังอย่างมันส์.... ในอารมณ์ แล้วจู่ ๆ ก็เกิดอาการ "ดึงปลั๊ก" ออกอย่างกระทันหัน

    +++ เลยหยุดปรุงแล้วหันมาดูว่าใคร "ดึงปลั๊ก" อ้อ..... เจอตัวแล้ว 555

    +++ การ "หยุดจิต" ชั่วขณะนั้น จะมีผลกระทบต่อสิ่งรอบข้างไปด้วย และ "จิตบางดวง" ในขณะนั้น "เมื่อหยุดตาม" ก็จะเปิดชอ่งว่างให้ "สติ" ปรากฏ หรือ ตั้งตัวได้ ตัวอย่างที่มีในพระไตรปิฏกตรงนี้ มีอยู่ในตอนที่ พระพุทธเจ้า "หยุด" องคุลีมาล แต่การ หยุดจิต ของพระพุทธเจ้านั้น มีอานุภาพในระดับที่ทำให้ จิต ขององคุลีมาล หยุด ไปด้วยทั้ง ๆ ที่อยู่ในภูมิมนุษย์

    +++ การทดสอบ ให้อยู่ในสถานที่ "เงียบสงัด" แบบพวก "บ้านสวน หรือ บาง resort" ก็ได้ ที่มีพวก หรีดหริ่งเรไร ร้องกันระงม แล้วทดลอง "หยุดจิตแบบแรง ๆ เป็นช่วง ๆ" แล้วให้สังเกตุว่า "เสียงหรีดหริ่งต่าง ๆ" จะมีอาการ "หยุด" ไปตามจังหวะของการ "หยุดจิต" ของเราหรือไม่ ตรงนี้ใครอยู่ต่างจังหวัด จะสามารถทดสอบได้ง่าย นะครับ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    เมื่อคืนสวดมนต์เป็นพิธี ยาวหน่อยสวดคาถาชินบัญชร ถ้าสวดบทนี้ ขนจะลุกเป็นปกติ วาบๆ หรือ แค่ฟังหรือสวดในใจก็จะซ่านวาบๆ

    +++ คราวหน้าเอาใหม่ โดยทำเป็น Step ดังนี้ เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว

    1. ให้ทำความรู้สึกทั้งตัว เมื่อรู้ว่า "พอทำได้" แล้ว จึงค่อยเริ่มสวด เพียงแค่ "อยู่" กับความรู้สึกตัวเท่านั้น
    2. ในขณะที่ "อยู่กับความรู้สึกตัว" ก็ปล่อยให้ "จิตมันสวดของมันไปเอง" โดยที่ "เราไม่ต้องสวด" หน้าที่ของเราคือ "อยู่กับความรู้สึกตัว" เท่านั้น

    +++ แรกเริ่มให้ทำแบบนี้ไปก่อน แค่ 2 ข้อเท่านั้นไม่มากอะไร เมื่อทำได้แล้ว อานิสสงค์ที่จะตามมาคือ "สติ จะสามารถ แยกแยะออกได้ทีเดียว 4 ขันธ์ ในเวลาเดียวกัน" จะอธิบาย ดังนี้

    +++ ในขณะที่ "เราอยู่" กับความรู้สึกตัว ก็จะ "ควบ" อาการรู้ตัวไปด้วย ตรงนี้ ควบ 2 ขันธ์ คือ กาย + เวทนา และ "สติ" จะครอง 2 ฐาน คือ กาย + เวทนา ด้วยเช่นกัน เพียงแค่ "ทำความรู้สึกตัว ในที่แห่งเดียว" เท่านั้น

    +++ และเมื่อพร้อมแล้วจึง ปล่อยให้ "จิต" มันสวด ตรงนี้ "ความทรงจำในบทสวด" (สัญญาขันธ์ ตัวที่ 3) จะทำหน้าที่ "ผลิตภาพ" (มโนมยิทธิ) ออกมา

    +++ เมื่อ "เห็นภาพ" แล้วให้ "ความคิด ประกบตัวลงไปในภาพ" (จิตตะสังขารขันธ์ ตัวที่ 4 น้อมลงเข้าสู่ภาพ = โอปะนะยิโกจิต) หรือ "ดึงภาพเข้าหาตน"

    +++ แล้วปล่อยให้ "ความคิด" มันผลิต "เสียงสวด" ออกมา "ตามภาพที่เห็น" โดยให้มัน "สวดเอง" แต่ "เราไม่ได้สวด" ตรงนี้เป็นการใช้ "เสียงในหัว" หรือ "วจีจิตตะสังขารขันธ์" อันเป็นการฝึกเบื้องต้นของ "ปฏิสัมภิทาญาณ" ซึ่งจะยังไม่อธิบายในโพสท์นี้

    +++ สรุปอย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ ไม่ปวดหัวคือ 1. อยู่กับ ความรู้สึกตัว ในที่เดียว 2. ปล่อยให้ จิต มันนึกบทสวด แล้ว ให้มัน ออกเสียงตามบทสวด เอาเอง โดยที่เราไม่เกี่ยว
    +++ ตรงนี้เป็น "เบื้องต้นของ การแยกขันธ์" แล้วไม่นานก็จะเริ่ม "เห็นขันธ์" เป็นส่วน ๆ ได้เอง

    แล้วนั่งสมาธิ ลองเดินจิตดู คราวนี้ไม่หลับ ไม่ซ่าน ก็ภาวนาไปเรื่อย โดยคำภาวนาพุทโธ นับไปสงบ กำลังจะทิ้งคำภาวนา เพราะเริ่มนับไม่ได้แล้ว แต่ยังไม่ทิ้งพุทโธ ทันใดนั้นเสียงฝาไม้ดีด ปึ้งๆ ยังไม่เป็นไร ภาวนาต่อไป สักครู่ ปึ้ง อีก คราวนี้ รู้สึกได้ว่า กรอบพลังสมาธิที่กำลังสร้างนั้น สั่นสะเทือนกระเพื่อมแรง ทำให้ต้องถอนออกจากสมาธิสะ คืนนี้เอาใหม่ คืนนี้จะย้ายห้อง

    +++ ไม่ต้อง ย้ายห้อง กรอบสมาธินั้น มีอยู่แล้ว (เป็นลักษณะ "รู้คล้ายเห็น" ว่ามีขอบเขต ที่คุณเรียกมันว่า กรอบ) ให้ทำดังนี้ เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว

    1. ให้ยังอยู่กับ "ความรู้สึกตัว" ต่อไป แต่ให้ "จิต" มันท่อง "พุทโธ" เอาเอง โดยที่ "เราไม่เกี่ยว"
    2. ไม่นาน ก็จะสามารถ "เห็น" ตัว "ผู้ท่อง" ได้ โดยที่ "เราไม่ได้ท่อง" แต่เป็น "มันท่อง"

    +++ อาการของ "ผู้ท่อง" จะมีอาการ "ยิบ ๆ" คล้ายกับ "ดาวกระพริบ" ที่ถูก "สติเห็น" โดยที่ "ทุกครั้งที่กระพริบ" จะเป็น "ทุกพยางค์ที่ออกเสียง" ตัวนี้ภาษาบาลีเรียกว่า "วจีจิตตะสังขารขันธ์"

    เข้าใจเอาเองว่า การทำสมาธิเหมือนการรวมรวมพลังงานให้เป็นหนึ่งเดียวพลังงานกลมๆ ถ้าแข่งแกร่งจะตัดการรับรู้ภายนอก แต่ช่วงรอยต่อนี่เหมือนกับว่าบอบบาง จะโดนทดสอบบ่อยมากตรงนี้

    ขอคำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ

    +++ ให้ "อยู่ภายในความรู้สึกตัว ในที่แห่งเดียว" (สมถะ) นอกนั้นให้ "จิต" มันทำงานเอาเอง (วิปัสสนา) ไม่นาน (ไม่น่าเกิน 10 ยก) ก็จะเริ่ม "เห็นส่วนของจิต" (วจีจิตตะสังขารขันธ์) ปรากฏขึ้นมาได้เอง

    +++ หากได้ประสพการณ์อะไรเพิ่มขึ้น ก็ให้มาโพสท์ลงในนี้ ผมจะได้ ต่อยอดให้เป็นระยะต่อไป นะครับ
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ฟังก็รู้แล้วครับว่ามี xp เยอะ 555 level max แล้วมั้งครับ 555 จริงๆ ผมได้ประสบการณ์ใหม่เรื่อยๆ เพราะผมไปลุยแทบจะทุกวัน แต่หลายอย่างผมไปพบมาที่แปลกๆ ผมมาคุยกับคุณธรรมชาติ คุณธรรมชาติก็มีประสบการณ์มาแล้ว ทำให้รู้ได้ว่าประสบการณ์มากจริง เพราะผมเจออะไร ผมมาเล่าให้ฟัง ก็รู้ไปเสียหมด เรื่องแบบนี้เมคไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่ได้มีประสบการณ์มาจะมาคุยตรงกันไม่ได้เลย

    +++ เรื่องของประสพการณ์นั้น หากมีเวลาให้ทำการรวบรวม "เฉพาะอาการ" (ตัดรูปธรรมออก ให้เหลือแต่นามธรรม) ก็จะ "เห็น pattern ในส่วนของ กรรมและวิบาก" ของมันได้ (กัมมะปัจจะโย และ วิปากาปัจจะโย) อันเป็นส่วนของ วิชชา 3 เมื่อเริ่มคุ้นเคยแล้ว ก็ควรลองทำ "ปัฏฐาน" ลงไปในส่วนของ กรรม หรือ วิบาก ก็ได้ ก็จะเริ่มเห็น Continuum ของสัมพันธภาพกันจนเป็น วงจรต่อเนื่อง ไม่รู้จบได้ แม้ว่า "กรรม" จะเป็นเรื่อง "อจินไตย" ก็ตาม แต่ "มหาปัฏฐาน" ก็เป็นความสามารถในระดับ "อนันตนัย" ด้วยเช่นกัน ดังนั้น "ไม่ลอง ก็ ไม่รู้" จิงม่ะ

    ผมพบว่าข้อดีของ xp ในการท่องเที่ยว และพบปะกับภพภูมิ คือได้เรียนรู้กฎต่างๆ การใช้ชีวิตของภพภูมิ ได้รู้จักสถานที่ต่างๆ และที่สำคัญได้เรียนรู้ตัวเอง

    +++ ภพภูมิ เกิดขึ้นและตั้งอยู่ตาม กรรมและวิบาก (บารมี) ส่วนกฏเกณฑ์ของแต่ละภพภูมิ เป็น สมมุติบัญญัติ (ภาษาของพระคือ ข้อวัตรปฏิบัติ) ที่ตั้งขึ้นเพื่อความเหมาะสม ในการดำรงค์อยู่ (ตั้งอยู่) โดยวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ไม่เกิดทุกข์ ตามสภาพของ ภพภูมินั้น ๆ

    +++ หลัก ๆ คือ เมื่อ "อยู่" ในธรรมารมณ์ที่เหมาะสมกับภพภูมิใด ก็ให้รักษาระดับของธรรมารมณ์นั้นเอาไว้ ก็จะ "ปิด" โอกาสที่จะทำผิดกฏในภพภูมินั้น ๆ ได้เอง ตามธรรมชาติของจิต และ ธรรมารมณ์ เป็นตัว ประคองจิตให้อยู่ในทางในขณะนั้น ๆ เว้นไว้แต่จะปรับเปลี่ยนธรรมารมณ์ เพื่อ เปลี่ยนไปสู่ภพภูมิใหม่ (ย้าย-อยู่) เท่านั้นเอง นะครับ
     
  10. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    อ่านอยู่นาน การบ้านที่ได้คือ

    ให้ตามหา อะไรก็แล้วแต่ที่ยังไม่เข้าใจในก้อนทุกข์อันนี้

    มีชื่อว่า นายกาย นายเวทนา นายสัญญา นายจิต
    โดยใช้เครื่องตรวจคือนายสติ(ที่ไม่ค่อยแข็งแรง)

    ปัญหาอยู่ที่จะทำยังไงฝึกนายสติให้แข็งแรง เพื่อตรวจจับ ผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นได้
     
  11. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    บ้านเป็นคอนโดในเมือง แต่ข้าง ๆ คอนโดเป็นบ้านใครไม่รู้มีสวนกับพงหญ้ารก ๆอยู่ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเริ่มมีเสียงประหลาด คงเป็นแมลง มาร้องระงมเป็นพัก ๆ แน่นอนว่าเสียงไม่ได้ทำให้เมิลรู้สึกรำคาญอีกแล้ว แต่อยากทดลอง "หยุดจิตแบบแรง ๆ เป็นช่วง ๆ"

    อันนี้คือให้เข้าฐานแล้วเร่งให้เต็ม 100% แล้วยังไงต่อคะพี่ คือเมิลอยู่ในห้องมองไปตรงที่รก ๆ ที่คาดว่าแมลงอยู่ แล้วจะส่งจิตไปตรงนั้นได้ไหมคะ
     
  12. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    นี่เป็นวิธีที่เมิลใช้ตอนสวดมนต์เลยคะ
    ก่อนจะเริ่มสวดมนต์ เมิลจะเข้าฐานทำความรู้สึกตัวก่อน แล้วเริ่มสวดมนต์ไปโดยที่รู้อาการสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ สักพักจะมีภาพพระพุทธรูปหรือบทสวด ปรากฎขึ้นมา เมิลส่งจิตเข้าไปที่ภาพ แต่ยังรักษาอาการรู้อยู่
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อ่านอยู่นาน การบ้านที่ได้คือ ให้ตามหา อะไรก็แล้วแต่ที่ยังไม่เข้าใจในก้อนทุกข์อันนี้

    +++ ลองอ่านใหม่ให้ดี ๆ อีกครั้ง ก็จะพบได้ว่า "ไม่มีการตามหาอะไรทั้งสิ้น"

    มีชื่อว่า นายกาย นายเวทนา นายสัญญา นายจิต โดยใช้เครื่องตรวจคือนายสติ(ที่ไม่ค่อยแข็งแรง)

    +++ ลองอ่านอีกสักครั้ง ก็จะพบได้อีกว่า "ยังไม่ได้ให้ผลิต เครื่องตรวจสอบ อะไรเลย"

    ปัญหาอยู่ที่จะทำยังไงฝึกนายสติให้แข็งแรง เพื่อตรวจจับ ผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นได้

    +++ ลองอ่านอีกสักครั้ง ก็จะพบได้อีกว่า "ให้ทำความรู้สึกทั้งตัว แล้วอยู่กับมัน" เท่านั้นเอง
    +++ ให้อ่านของคุณ เมิล ประกอบไปด้วย นะครับyimm
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การฝึกในระดับของเมิล นั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าฐานแล้ว หากจะใช้คำว่าฐาน ก็ต้องเป็นฐาน "ธรรมารมณ์" หรือ "กายธรรมารมณ์" ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็คือ "ตัวดู" หรือ "อัตตาจิต" นั่นแหละ

    +++ ในยามที่ตั้งใจ "ดับ" มันจะ ดับ ตรง ๆ ที่ "ตัวดู" เหลืออยู่แต่ "สภาวะรู้" อย่างเดียวเท่านั้น (นิโรธสมาบัติ)

    +++ ซึ่งตรงนี้จะมีความแตกต่างออกไปจากคุณ mobilelizard ซึ่งจะเป็นการ "หยุด" จิต แล้วเข้ากายธรรมารมณ์ 100 ซึ่งเป็น "กายเวทนาของจิต" หรือ "กายพลังจิต" ซึ่งก็คือ "ตัวดู"
    +++ อาการตรง ๆ ของคุณ mobilelizard ตามภาษาในหมวด สติปัฏฐาน 4 คือ

    1. เป็นกายจิต (ปัฏฐาน ลงไปใน จิตตะสังขารขันธ์) แล้ว "ถอด" ออกจาก "กายเนื้อ และ กายเวทนา" เป็น "กายจิต และ กายเวทนาจิต" ออกท่องเที่ยวไปใน ภพภูมิทัวร์
    2. ยามใดที่คุณ mobilelizard เร่งกาย 100 ของ กายจิต ยามนั้นจะเป็นการเร่งของ กายธรรมารมณ์ (ตัวดู) แต่ ในสภาพของภพภูมิละเอียด มันจะเหมือนกับการ "เข้าฐาน" ทุกประการ เพียงแต่เป็นการ "เข้าฐาน" ในภพภูมิที่ละเอียดกว่า มากๆๆๆๆๆ..... เท่านั้น (มหาสติ + ปัฏฐาน ลงไปข้างใน มโนมยิทธิ เต็มใบโดยมี ตัวดู เป็นใส้เทียน ส่วน กายทิพย์ เป็น เปลวเทียน)

    +++ ดังนั้นตรงนี้ระบุชี้ได้อย่างหนึ่งว่า "แม้กายเนื้อจะแตกดับ (ตาย) แต่การเดินจิตในกายทิพย์ รวมทั้งการฝึกฝน ก็ยังมีอยู่ได้โดยพร้อมมูล" (ปิดอบาย) ดังนั้น ไม่มีอะไรจะต้องเป็นห่วง นะครับ

    +++ ให้ทำความเข้าใจในเรื่อง "รูปหยาบ-รูปละเอียด" พร้อมกับ "นามหยาบ-นามละเอียด" ให้ดี เพราะมันคือ "กาย" ทั้งสิ้น

    ต่อในส่วนของคุณ เมิล

    +++ "คือเมิลอยู่ในห้องมองไปตรงที่รก ๆ ที่คาดว่าแมลงอยู่ แล้วจะส่งจิตไปตรงนั้นได้ไหมคะ " ลองดูซิครับ หลังจาก "ดับตัวดู" แล้ว จะมีจิตที่ไหนให้ส่งได้อีก

    +++ แต่ตรงนี้ "ต้องทำเป็นการบ้าน" เพราะ "สภาวะรู้ ต้องทำให้แจ้ง" ดังนั้น "ก่อนที่จะดับ" ตัวดู ให้ตั้งใจที่จะ "ส่งจิต" หลังดับ ให้ทำตรงนี้ตรง ๆ "ห้ามคิด" เพราะตรงนี้จะเป็นการฝึก "สร้างขันธ์" ครั้งแรกของเมิล ในภาคของ ไตรลักษณ์ ที่เรียกว่า "เกิดขึ้น" (ตั้งอยู่ ดับไป) ดังที่กล่าวไว้ในโพสท์ที่แล้ว ๆ มานี้
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ นั่นคือการ "ใช้ขันธ์" โดยปล่อยให้มัน "ทำงานเอาเอง" โดยที่ มันเป็นมัน และ เราเป็นเรา เป็นการ "แยกขันธ์" ไปในตัวอยู่แล้ว หากสติละเอียดมาก ๆ เข้า แต่ละขันธ์ก็จะเป็นเหมือน "คนอื่น" ที่ไม่ใช่เรา และอยู่นอกตัวเรา โดยที่เราจะเป็น "สภาวะรู้" ที่ "ปัฏฐาน" อยู่ตรงกลาง เหมือนกับการฝึก บทที่ 1 ที่สวนจัตุจักร "สัพเพธัมมา อนัตตา" นั่นเอง เพียงแต่ตอนนั้นเป็น "อัตตาจิต เข้า ปัฏฐาน" ยังไม่ใช่ "สภาวะรู้" เหมือนในปัจจุบันขณะนี้ นะครับ
     
  16. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    ยิ่งอ่านยิ่งมึน เอาเป็นว่า ตอนนี้ทำความรู้สึกตัวทั้งร่างก่อน และต้องทำอย่างต่อเนื่องใช่ไหมค่ะ ทั้งหลับตาและลืมตา

    ว่านั่งสมาธิ แล้วรู้สึกได้ว่ามีลมออกทั่วร่างกาย รู้สึกได้ชัดเจน เป็นมานานแล้วกับอาการนี้ ไม่เพียงแต่รู้สึก แต่เห็นได้ด้วยว่าลมที่ออกมาเป็นพวยพุ่งละอองใสระยิบระยับขึ้นข้างบนห่อหุ้มรอบตัวรัศมีหลายเมตร มันเห็นจนเป็นปกติน่ะค่ะ ยิ่งตอนนั่งสมาธินิ่งๆ เวลาลืมตาขึ้นมาก็จะเห็นเปลวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ไม่รู้คืออะไรน่ะ ทำเล่นๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์หรือใช้งานอะไรได้ประการใด

    ว่าเรื่องรู้สึกตัวตอนนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ ก็รู้สึกได้ว่า มีสิ่งนี้ห่อหุ้มอยู่ตลอดเวลา
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ยิ่งอ่านยิ่งมึน เอาเป็นว่า ตอนนี้ทำความรู้สึกตัวทั้งร่างก่อน และต้องทำอย่างต่อเนื่องใช่ไหมค่ะ ทั้งหลับตาและลืมตา

    +++ ปกติการโพสท์ตอบของผม จะเป็นการตอบเฉพาะตัวของผู้ถาม และผู้ที่จะเข้าใจได้ จะต้องเป็นผู้ที่ "เห็นและผ่าน" ปรากฏการณ์นั้น ๆ มาแล้ว

    +++ การโพสท์ในกระทู้นี้ "ไม่ใช่การ เทศนา อบรมสั่งสอน หรือการคัดลอกตำรามาคุยกัน ซึ่งมีอยู่โดยทั่วไป"

    +++ การโพสท์ในกระทู้นี้ "เป็นการแสดงธรรม และ วิธีการเดินจิตเข้าสู่ สภาวะธรรมที่แสดง เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาฝึก สามารถ เห็น หรือ เกิดประสพการณ์ ได้ด้วยตนเอง"

    +++ ดังนั้นขอให้เข้าใจไว้ว่า "กระทู้นี้ เป็นเรื่องของการ กำหนดจิต และ การเดินจิต ล้วน ๆ เพื่อให้ผู้ที่ฝึกในกระทู้นี้ สามารถ ผ่าน หรือ เกิดประสพการณ์ ได้ด้วยตนเอง"

    +++ สำหรับคุณ Apinya17 ตอนนี้ให้ "ทำความรู้สึกตัวทั้งร่าง" ให้ได้ก่อน และ ต้องทำได้จนเป็น "นิสัย" คือ อยากจะเข้า-ออก ก็ต้อง "เข้าออกได้ดังใจ" ทั้งลืมตาหลับตา นั่งเดินยืนนอน ต้องได้ในทุกอิริยาบท จึงจะเรียกได้ว่า "ได้นิสัยแห่ง การเดินจิต" นอกจากจะ "เข้า-ออก" แล้ว ยังต้อง "เพิ่ม-ลด" ความรู้สึกตัว ไม่ว่าระดับนั้น ๆ จะ "พอใจ หรือไม่ ก็ตาม"

    +++ ให้กำหนดระดับดังนี้ ไม่ได้เข้าอะไรเลย = 0% เข้าเต็มที่และไม่สามารถจะเพิ่มอะไรได้อีกแล้ว ตรงนี้ = 100%

    +++ จากนั้นให้กำหนดอย่่างหยาบ ๆ ที่ 50% จากนั้น เพิ่มลดไปทีละ + 10% หรือ - 10% จากนั้นจึงปรับแบบละเอียด ที่ละ 5% จนได้แบบ 1% และชำนาญ

    +++ การปรับในแต่ละ "ช่วงชั้นของ %" นั้น จะมีประโยชน์อย่างมหาศาล และคาดไม่ถึง โดยเฉพาะในเวลา "ถอดกายทิพย์" เพราะ "ช่วงชั้นของ %" นั้น จะเป็นการ อยู่-ย้าย ในช่วงชั้นของ ภพภูมิ ต่าง ๆ รวมทั้งการปรับเปลี่ยน ภพภูมิ ไปในตัวด้วย

    ว่านั่งสมาธิ แล้วรู้สึกได้ว่ามีลมออกทั่วร่างกาย รู้สึกได้ชัดเจน เป็นมานานแล้วกับอาการนี้ ไม่เพียงแต่รู้สึก แต่เห็นได้ด้วยว่าลมที่ออกมาเป็นพวยพุ่งละอองใสระยิบระยับขึ้นข้างบนห่อหุ้มรอบตัวรัศมีหลายเมตร

    +++ ตรงนี้แสดงว่า เคยมีอุปนิสัยเก่า ในทางด้าน "ปัฏฐาน" มาก่อนแล้ว และ อาการที่เรียกว่า "เห็น" นี้เป็นอาการแบบ "รู้ จนกลายเป็น เห็น" (ญาณ = รู้ ส่วน ทัศนะ = เห็น) หรือเรียกได้ว่า "สติเห็น" หรือ "ตาสติ" นั่นเอง

    +++ ส่วน "ลมที่ออกมาเป็นพวยพุ่งละอองใสระยิบระยับขึ้นข้างบนห่อหุ้มรอบตัวรัศมีหลายเมตร" นั้น ตรงนี้เรียกว่า "พรรณรังสี" ซึ่งเป็นเรื่องของ จิตในขณะที่ทรงตัว ในปัฏฐานใดปัฏฐานหนึ่งได้

    มันเห็นจนเป็นปกติน่ะค่ะ ยิ่งตอนนั่งสมาธินิ่งๆ เวลาลืมตาขึ้นมาก็จะเห็นเปลวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ไม่รู้คืออะไรน่ะ ทำเล่นๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์หรือใช้งานอะไรได้ประการใด ว่าเรื่องรู้สึกตัวตอนนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ ก็รู้สึกได้ว่า มีสิ่งนี้ห่อหุ้มอยู่ตลอดเวลา

    +++ เรื่องของ "พรรณรังสี" (Aura) นั้น เป็นเรื่องของ "มาตร หรือ มิเตอร์" ที่ใช้ในการ "บ่งชี้สภาวะ ร่างและจิต ของเจ้าของ Aura" นั่นเอง โดยปกติ ผู้ฝึกจะเห็น Aura ของตนเองได้ เมื่อทำ "ปัฏฐาน แทรกลงไปเป็น ไส้เทียน ตรงกลางของ ฌาน ที่ 3" ซึ่งผู้ที่ เดินปัฏฐาน ถึงตรงนี้ จะมีลักษณะ ดังนี้

    +++ 1. รู้ + รู้สึก ทั้งตัว "ชัดเจน" (ปัฏฐาน)
    +++ 2. มี "สติ" เป็นลักษณะเด่น (ไส้เทียน)
    +++ 3. มีอาการ "โล่ง โปร่ง เบา สบาย ใสเป็นแก้ว" อันเป็นลักษณะเฉพาะของ ฌานที่ 3
    +++ 4. ณ ตรงบริเวณขอบผิวหนังทั้งตัว (ตะจะปะริยันโต) จะมีการแตกประจุ IONIZATION (พรรณรังสี) เปล่งออกตลอดเวลา

    +++ แบบเดียวกับ "มิเตอร์ที่ใช้วัดค่าต่าง ๆ แม้กระทั่ง Magnetic resonance imaging (MRI)" การใช้ประโยชน์ ไม่ได้ใช้ที่ "ตัวเครื่อง" แต่ใช้ตรงที่ "ค่าที่เครื่องชี้" ต่างหาก

    *** หมายเหตุ "ข้อแนะนำส่วนตัว" ครั้งหน้าถ้าทำถึงตรงที่กล่าวมานี้แล้ว ให้สังเกตุดูที่ "ใบหน้าของตนเอง" ด้วยว่า "มีลักษณะ ยิ้มน้อย ๆ คล้ายพระพุทธรูป" ปรากฏอยู่ด้วยหรือไม่ และจะเป็นลักษณะแบบ "หน้ายิ้มเอง แต่ไม่มีเจตนาในการยิ้ม" หากเป็นอย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ ตรงนี้เรียกว่า "หสิตุปบาท" ลอง กูเกิล หาดูนะ ***

    +++ เรื่องการดู Aura นั้น เคยโพสท์ไว้แล้ว ในหน้าที่ 4 โพสท์ที่ 62 หัวข้อในการฝึก "การมอง 3 ระดับ ดูโลกที่กำลังเคลื่อนตัว การมองรังสีของบุคคล"

    +++ เรื่องการเดินจิตใน "ปัฏฐาน" และเรื่องของ พระพุทธเจ้าตอนเปล่ง Aura นั้น เท่าที่ทราบ มีอยู่ 2 ตอนด้วยกัน คือ 1. ตอนที่พระองค์พิจารณา "มหาปัฏฐาน" กับ 2. ตอนที่พระองค์แสดง "ยมกปาฏิหาริย์" หรือ อาจมีมากกว่านี้ก็ได้ ให้ค้น กูเกิล หาดูเอานะครับ
     
  18. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    +++ อาการที่ใบหน้า ยิ้มแย้มน้อย ๆ ประดุจพระพุทธรูป ทั้ง ๆ ที่จิตสงบนิ่งเฉย แต่มีสติครองอยู่เต็มร่าง ไม่ว่าจะเป็น สติครอบร่างอยู่ภายนอก (ฐานกายา) หรือ ร่างครอบสติอยู่ภายใน (ฐานเวทนา) ก็ตาม แต่มี

    +++ 1. สติ (สภาวะรู้) รู้อยู่เต็มร่าง
    +++ 2. ไม่มีการทำงานทางจิต (ไร้เจตนาและกิริยาจิตโดยสิ้นเชิง)
    +++ 3. ทั้งร่างเกิดอาการ โล่ง โปร่ง ใส ประดุจแก้ว

    +++ อาการยิ้มประดุจพระพุทธรูปนั้น จะปรากฏมาเองโดยธรรมชาติ

    +++ ปกติมักจะเกิดกับผู้ที่ได้ มหาสติ หรือ ผู้ที่สามารถจัดการกับจิตตนเองได้แล้ว หรือ ผู้ที่หลุดออกมาแล้วจากความเป็นจิต (เจโตวิมุติ) เท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ปุถุชนคนธรรมดา ก็น่าจะเดินจิตทดลองดูเอาเองได้ ว่าอะไรเป็นอะไร โดยมีขั้นตอนการเดินจิต ดังนี้

    +++ 1. นั่งสมาธิ จนเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
    +++ 2. เกิดความพอใจ หรือ เพลิดเพลินที่อยู่ในความรู้สึกนั้น ทั้งร่าง
    +++ 3. อยู่กับความเพลิดเพลิน จนความเพลิดเพลินเปลี่ยนสภาพมาเป็น ความเปล่งปลั่ง
    +++ 4. เมื่อความเปล่งปลั่ง ละเอียดมากขึ้น จะทำให้ รู้ ขอบเขตของร่าง ทั้งตัว
    +++ 5. จากนั้น อาการ โล่ง โปร่ง ใส ประดุจแก้ว จะปรากฏมาเองเมื่อความเปล่งปลั่ง จางคลายหายไป

    +++ ในยามนั้น ย่อมรู้ได้เองว่า อาการที่ใบหน้า ยิ้มแย้มน้อย ๆ ประดุจพระพุทธรูป ย่อมเป็นมาเอง โดยไร้เจตนาโดยสิ้นเชิง
    +++ ลองดูนะครับ หากคุณทำได้ ในยามนั้น คุณ ย่อมอยู่ใน มหาสติ เรียบร้อยแล้ว


    ขอก๊อปปี้มาไว้ตรงนี้น่ะ

    น่าจะมาถึงตรงข้อ4 ส่วนข้อ 5 ไม่แน่ใจ

    ส่วนข้อ 3 ความเพลิดเพลินนี้ สมัยก่อนเหมือนได้ของเล่นชิ้นใหม่ ตามดู ตามรู้อยู่ทั้งวัน
    ว่าในสภาพกลางวันกลางคืน เวลานี้ เวลานั้น จะรู้สึกจะเห็นเป็นยังไง จนมีครั้งนั้นเล่นกับลูกทายสิ่งของ ว่าแม่หลับตาน่ะ แบมือ แล้วให้ลูกเอาของชิ้นนึง แกว่งห่างมือแล้วให้ทายว่าอยู่ด้านซ้ายหรือขวา ก็ทายได้น่ะแล้วถูกเสียด้วย จนลูกว่าแม่โกงแอบลืมตาหรือเปล่า สนุกดี
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ 4. เมื่อความเปล่งปลั่ง ละเอียดมากขึ้น จะทำให้ รู้ ขอบเขตของร่าง ทั้งตัว
    +++ 4. ณ ตรงบริเวณขอบผิวหนังทั้งตัว (ตะจะปะริยันโต) จะมีการแตกประจุ IONIZATION (พรรณรังสี) เปล่งออกตลอดเวลา

    +++ ข้อ 4 ทั้ง 2 ประการนั้น เป็นอาการเดียวกัน เพียงแต่ ตอนนั้นยังไม่ได้โพสท์เรื่อง "มหาปัฏฐาน" และภาษาในตอนนั้นใช้ในการอธิบายให้กับคุณ lufhtiaf เป็นหลัก

    น่าจะมาถึงตรงข้อ4 ส่วนข้อ 5 ไม่แน่ใจ

    +++ อาการ "โล่ง โปร่ง เบา สบาย ใสเป็นแก้ว" นี้ จะอยู่ "ข้างในผิวหนังเข้ามา" ส่วนอาการ "เปล่งปลั่ง หรือ พรรณรังสี" นั้นจะอยู้ข้างนอกผิวหนังออกไป ลองสังเกตุดูก็จะพบได้

    ส่วนข้อ 3 ความเพลิดเพลิน

    +++ ตรงนี้คือ "ปิติ" เป็นอาการของ ฌาน 2

    +++ ลองฝึกไปแล้วก็ค่อยสังเกตุไปเรื่อย ๆ นะครับ
     
  20. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    ขอกราบขอบคุณ คุณธรรม-ชาติ

    เล่นฝึกสมาธิมาหลายปี ก็ว่าแต่ก่อนทำสมาธิได้ดีกว่านี้ ช่วงหลังทำไมทำไมอ่อน เพราะขาดการฝึกสติอย่างต่อเนื่องนี่เอง :cool: เพราะเมื่อก่อนไม่รู้ว่าฝึกสมาธิต่อเนื่องเป็นอย่างไร แค่ตามดูตามรู้ออร่า พอหมดสนุกในออร่าเพราะเห็นจนเบื่อแล้วเลยเลิกดู แต่ไม่เคยคิดเลยว่าไอ้ที่ตามดูตามรู้นั้นคือการฝึกสติต่อเนื่อง อันวัดได้จากความฝันตัวเอง เคยบังคับตัวเองในฝันได้เมื่อก่อน เมื่อคืนสามารถบังคับตัวเองในฝันได้ (f)(f)(f) สมัยก่อนสามารถหัดเหาะในความฝันได้ด้วยน่ะ สนุกดี เห็นความฝันเป็นภาพสีสวยงามมาก ท้องฟ้าภูเขา ทะเล ลมพัด เหมือนจริงมาก ๆ เดี๋ยวจะฝึกตามดูตามรู้ให้มากๆ ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...