พรหมวิหารสี่ ความประมาท และโพธิสัตว์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 29 มกราคม 2008.

  1. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    กำลังหาทางอธิบาย เป็นภาษาพูด ภาษาเขียนอยู่ ให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย ในเรื่อง

    ๑. สุดยอดพรหมวิหารสี่ ที่ว่าสุดยอดมันสุดยอดอย่างไร
    ๒. สรรพเพธรรมาอนัตตา มาเกี่ยวอะไรด้วย และมาเกี่ยวอย่างไร

    ข้อแรกเริ่มเห็นเค้าในการอธิบาย
     
  2. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    สุดยอดแห่งพรหมวิหารสี่เหรอ ..... สุดยอดตรงใหนหว่า
    เอ้าวว...เอ็งลองวางใจเอ็งเข้ารับรู้ / คลอบคลุม/และดูดซับ กาย เวทนา จิต ธรรม ของบุรุษ ที่๒ดูซิ.. ทำเป็นแล้วนี่

    นิ่งไปพักใหญ่...
    เอ...ไม่เห็นมีอะไรเลย.... เริ่มแรก บุรุษ๒ คล้ายกับว่ามีเจตนาแวบหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เห็นรับรู้อะไรเลย มีแต่ความโล่งๆว่างๆ

    เจตนาอะไร
    ไม่รู้ ดูไม่ทัน
    เอ็งเคยดูหนังสโลโมชั่นไม๊ ลองดึงให้ช้าๆดูสิ

    นิ่งไปอีกพัก
    อ้อ..เค้าจะช่วยกระต่าย ..แต่เอ้.. มันเกิดขึ้นแว๊บเดียวแล้วหาย
    แล้วตอนที่หยิบไม้ แล้วไปยืนเอะอะเอ็ดโลเหมือนคนบ้านั่นละ เป็นไง..
    ไม่มีอะไร โล่งๆว่างๆ
    ตอนที่กระต่าย กับนางนก แยกย้ายกันไปแล้ว เป็นไง (ดึงให้ช้าๆๆๆนะ จะได้เห็นชัด)

    เอ..เหมือนบุรุษ๒ อมยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งนะ
    แต่เอ้....ทุกอย่างก็โล่งๆว่างๆเหมือนเดิม

    ดูและรับรู้ เวทนา จิต ธรรม ของบุรุษ๒ให้ละเอียดนะ (อนุโลม ปฏิโลม)
    ดูชัดแล้วนะ...

    เจตนาของบุรุษ๒ ช่วงแรกคือ "เมตตา"
    หยิบไม้ขึ้นมาแล้วกวัดแกว่ง นั่นคือ "กรุณา"
    ความโล่งว่างที่รับรู้คือการทรงอารมภ์ "อุเบกขา"
    ยิ้มนิดหนึ่งนั่นคือ "มุทิตา"

    อ้อ.... สุดยอดเช่นนี้เอง

    บุรุษ๒ ขยับตัวเดี๋ยวเดียว ก็แสดง พรหมวิหารสี่ได้ครบถ้วน

    แต่มานพ๑ ขยับตัว ๓ชาติยังไม่อาจแสดง พรหมวิหารได้ครบ แถมยังทำผิดๆถูก

    ผู้รู้เห็นเข้าก็ได้แต่อมยิ้ม
    เออ..หนอ มันซับซ้อนเช่นนี้เอง

    เข้าใจแล้นะ
    เอ็งยังมีหน้าที่
    วางใจลง ซึมซับ ความรู้สึกโล่งๆว่างๆ ของบุรุษ๒ เข้ารวมกับกายธาตุ จิตวิญญานของเอ็งให้เป็นหนึ่งเดียว


    ยังไม่จบจ๊ะ....
    ติดตามดอนต่อนะ
     
  3. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ล้ำลึกครับท่านอาจารย์
     
  4. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    โหะ ยังไม่จบอีกเรอะ
    มะ ต่อเลยครับ รออ่านอยู่
     
  5. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เฮ้อ....นึกว่าไม่มีใครสนใจ
    มีเพียงหนึ่ง.....ก็พอใจแล้ว

    รอเดี๋ยว.....จะมาเล่าให้ฟังต่อ
    มันยากอยู่ที่จะเล่าอย่างไร ให้สั้น กระชับ เข้าใจง่าย
    และที่สำคัญ ความหมายไม่เพี้ยน
     
  6. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
    [​IMG] รออ่านอยู่คะ........ขอเป็นแบบเข้าใจง่ายๆ นะคะ
     
  7. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    วิธีการที่ควรจะเป็น สัมมาทิฐิ
    น่าจะเริ่มจาก หลักเบสิก
    ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา
    ศีลง่ายๆ ไม่เบียดเบียนชีวิตกันและกัน
    มานพหนุ่ม ควรให้ธรรมเป็นทาน แก่คู่กรณี
    ควรถามแม่นก ว่า ถ้าไม่กินเนื้อ แล้ว
    กินพืช ผลไม้ ยังดำรงชีวิตอยู่ได้หรือไม่?
    แม่นกถามกลับว่า แล้วจะมีโปรตีน ได้อย่างไร?
    ก็บอกแม่นก ว่า ในพืช ผลไม้ ล้วนอุดม ครบทั้ง 5 หมู่
    นับแต่นั้นมา สัตว์ตระกูลนก ก็จะกินแต่ พืช ผัก ผลไม้..เอวัง
    ;) ;) ;)
    เรื่องก็จะจบ ด้วยการให้ปัญญา คือ ธรรมทาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2008
  8. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
    วันนี้ได้มีโอกาสทำบุญ คือ ช่วยลูกแมวที่ตกลงไปในถังน้ำ.... ได้ยินแต่เสียงลูกแมวร้อง มองไม่เห็นตัว เพราะถังน้ำอยู่บ้านตรงข้าม และบ้านนั้นก็ไม่มีคนอยู่ ปืนรั้วขึ้นไปดู เห็นแต่เเม่แมว ยืนเฝ้าถังน้ำอยู่ ว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วเชียว แต่นึกได้ว่า เป็นการวางอุเบกขาที่ผิด ก็เลยไ้ด้มีโอกาสช่วยชีวิตสัตว์หนึ่งตัวค่ะ.......ขอบคุณท่านที่ตั้งกระทู้นี้ ที่ทำให้มีโอกาสได้ พิจารณาธรรมค่ะ
     
  9. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    ให้วางใจลง ซึมซับ ความรู้สึกโล่งๆว่างๆ ของบุรุษ๒ เหรอะ
    อึ้อ จะลองดู
    (จงซึมซับความรู้สึกนี้เข้ารวมกับกายธาตุจิตวิญญาน เป็นหนึ่งเดียว)

    นิ่งไปพักใหญ่
    พลันในห้วงคำนึงระลึกถึง อุเบกขาที่มานพ๑ ได้แสดงแล้วต่อกระต่ายน้อย(ในเรื่องที่สอง)
    ความแตกต่างที่สุดกู่ ระหว่างมานพ๑ และบุรุษ๒ เป็นเช่นใดหนอ เวทนาแห่งจิต ที่ทั้งสองเสวยอยู่ แตกต่างกันเช่นใดหนอ

    เจคนาถูกตั้งขึ้น คำถามถูกป้อนเข้าสู่จุดสว่างใส ที่ปลายจมูก แล้วนิ่งอยู่
    ภาพมานพ๑ และบุรุษ๒ ปรากฏขึ้น เทียบกัน (เฟรมต่อเฟรม ช๊อตต่อช๊อต)
    จิตแยกเป็นสอง เข้าซึมซับ เวทนา ในชั่วขณะจิตนั้น ของทั้งสองบุรุษ
    อณุโลม และปฏิโลม ณ เวลาเดียวกัน
    เทียบกันแล้วเทียบกันอีก
    แล้วป้อนกลับสู่อีกจิตหนึ่งเพื่อประมวลผล
    (คล้ายกับคนสามคน แบ่งกันทำงาน แล้วนำผลที่ได้เข้ามาประชุม ประมวลผลร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว)

    และท้ายสุดได้นำพรหมวิหารทุกข้อเข้าเปรียบเทียบประมวลผลอีกครั้ง

    ในใจลึกๆเริ่ม เห็นความเหมือนและแตกต่าง ในเวทนา (อารมภ์จิต)
    เริ่มสัมผัส ความว่างๆโล่ง ของบุรุษ๒
    ใจลึกๆเริ่มสงสัย
    ความโล่งๆว่างๆ ที่บุรุษ๒ ทรงอยู่ เกือบทุกขณะจิต ที่ว่าคือ อุเบกขา
    มันไม่น่าใช่
    อื้อ ถ้าความโล่งๆว่างๆนั้นไม่ใช่อุเบกขา แล้วเป็นอะไรหว่า
    แล้วอุเบกขาที่แท้จริงเล่ามันคืออะไรเล่า

    คำถามถูกป้อนเจ้าสู่ ความสว่างใสเบื้องหน้าอีกครั้ง
    ใจประวัดถึง คำตอบที่ได้รับ "ความโล่งว่างที่รับรู้คือ"อุเบกขา"" จริงหรือ

    ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด เสียงเล็กๆ แผ่วๆแว่วมา
    หื้อ... เข้าใจผิดเหรอ.. ผิดตรงใหนหว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  10. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด เสียงเล็กๆ แผ่วๆแว่วมา
    หื้อ... เข้าใจผิดเหรอ.. ผิดตรงใหนหว่า

    ที่ทำไปเมื่อครู่รับรู้อะไรบ้าง
    ตอนเปรียบเทียบ มานพ๑ กับบุรุษ๒ เหรอะ (เทียบ พรหมวิหารสี่ ทั้งหมด)
    เออ.....
    นิ่งไปพักหนึ่ง
    อื้อ...คล้ายกับว่า
    เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกชา เป็นเวทนาของจิต (อารมภ์ที่จิตเสวยอยู่)
    ส่วนความโล่งๆว่างๆ เป็นเหมือนสถานะหนึ่ง เหมือนกับเป็นสถานที่หนึ่ง เหมือนกับเป็นภาวะหนึ่ง ที่จิตเข้าไปดำรงค์อยู่

    ถุกต้อง....
    ๑. พรหมวิหารสี่ (เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา)เป็นอารมภ์ ที่จิตเสวยอยู่ ประกอบด้วยขันฑ์ห้า ที่สมบูรณ์พร้อม (รูป เวทนาสัญญา สังขาร และวิญญาณ)

    ๒. ส่วนความโล่งๆว่างที่เป็นที่อยู่ ที่สถิตของพรหมวิหารสี่ คือความว่าง
    (ความว่างคือวิหารธรรมของอุเบกขา (ทั่วไป) แต่ในที่นี้ บุรุษ๒ใช่ความว่างเป็นวิหารธรรมของพรหมวิหารทุกข้อ)

    ๓. และสภาพธรรมที่สถิตอยู่ในความว่างได้ เป็นอนัตตา(สรรพเพธรรมาอนัตตา)

    อื้อ....
    ไอ้ข้อ ๑ ข้อ ๒ พอเข้าใจ
    แต่ข้อ ๓ งงวุ้ย


    เดี๋ยวถามอีกข้อ...
    ความรู้สึกที่สัมผัสกับความว่างนี่มันแปลกๆเนอะ

    แปลกยังไง
    ตอนที่สัมผัสความรู้สึกอื่นๆ เช่นเวทนาของมานพ๑ รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเอง
    เหมือนตัวเข้าแสดงเอง รับรู้เวทนาเหมือนกับเกิดขึ้นกับตัวเอง
    แต่ความโล่งว่างที่รับรู้จากบุรุษ๒ มันไม่ได้ซึมซับเข้าในจิตวิญญาณ มันเหมือนๆกับเอาจิตไปย้อมสีความโล่งว่าง พอผ่านไปสักพัก สีก็หลุดลอกหมด
    เหมือนๆกับจะรับรู้ความว่างได้ แต่ก็ไม่ได้รู้จริงและทรงไว้ไม่ได้

    เฮอะๆ....
    จิตเอ็งใส่เกราะอยู่วะ ถูกจองจำพันธนาการอยู่ในเกราะ
    เอ็งจะรู้ จะเห็น จะเป็น ได้เมื่อเอ็งออกจากเกราะและถอดพันธนาการเหล่านี้ออกไปบ้าง

    ถูกจองจำพันธนาการเหรอ ไม่เข้าใจ

    เขาเรียก อุปทานในขันฑ์ห้าไง

    พิจารณา ขันฑ์ห้าต่อซิ แล้วเอ็งจะเข้าใจทั้งหมด อย่างกระจ่าง

    ภาคที่ ๑ จบแล้ว
    เอ เขียนภาคที่ สอง ต่อดีหรือเปล่าหว่า
    "ขันฑ์ห้าและการตัดต่อพันธุกรรมของกิเลส"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2008
  11. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    อยากให้เขียนต่อครับท่านอาจารย์

    ผมยังไม่เข้าใจว่า การวางพรหมวิหารสี่ในความว่างทำยังไง
     
  12. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
    รออ่านต่ออยู่นะคะ [​IMG]
     
  13. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    ขอบคุณนะคะ

    ^&^
     
  14. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    หายไปเกือบเดือน
    เพียงเข้ามาดูในกระทู้ในเวลาสั้นๆเท่านั้น

    มีผู้ถามถึงโรคมะเร็ง ขอให้อธิบาย
    พอดีมีญาติ ป่วยเป็นโรคนี้ ได้โอกาสเข้าไปดูแลอยู่เดือนกว่า
    ได้ความรู้มาหลายอย่าง

    ในเรื่องของพรหมวิหารฯ ที่ว่าจบแล้ว
    แต่ความจริงยังมี ฝอยในรายละเอียดอีก แต่เป็นเรื่องลึกๆ
    ใหนๆได้เล่าให้ฟังกันแล้ว ก็จะเล่าต่ออีกให้สุดๆไป ไม่กั๊กไว้
     
  15. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    เรื่องที่ท่านผู้นี้ได้ประสพ และเล่ามา ใช้อธิบายลักษณะความหมายของพรหมวิหารสี่ ได้ดีทีเดียว
    เมื่อท่านประสพเหตุ และได้รู้เรื่องทั้งหมด
    ใจเรื่มคิดช่วย และตรองหาวิธีช่วย นี่คือ เมตตา
    ลงมือช่วยจนสำเร็จ คือ กรุณา
    ช่วยสำเร็จแล้ว เห็นแม่แมวกับลูกแมว ปลอดภัย เดินคลอเคลียกันไปด้วยความสุข นี่คือ มุทิตา

    แล้วอุเบกขาเล่าอยู่ที่ใด

    สมมุติว่างานนี้คุณเข้าไปช่วยไม่ได้ด้วยติดรั้วที่กันไว้
    หาทางสุดๆแล้วก็เข้าไปไม่ได้
    แต่ใจเราต้องการช่วย(เมตตา)
    แต่เราไม่อาจลงมือช่วยได้ด้วยติดรั้วกันอยู่ หมดปัญญาที่จะเข้าไปลงมือช่วย(แสดงกรุณาไม่ได้)
    (ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่สำเร็จ) สิ่งที่เกิดขึ้นในใจท่านคืออะไร

    หมายเหตุ
    หากช่วยได้ ช่วยสำเร็จ สิ่งที่เกิดขึ้นในใจท่านคืออะไร
    ความยินดี ปิติ สุข ฯ ย่อมเกิดขึ้น เรารวมๆเรียกสิ่งทีเกิดนี้ว่าความสุข
    เกิดขึ้นเมื่อแสดง เมตา กรุณา สำเร็จ และเรียกรวมสิ่งนี้ว่า มุทิตา)
     
  16. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    วิธีการที่ท่านได้กล่าวไว้ หากสำเร็จสมปรารถนา
    เราคงได้เห็น เสือกินหญ้า ปลาใหญ่ก็เลิกจับปลาน้อยเป็นภักษา
    ผู้คนคงเลิกเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ฯลฯ
    โอ้...พิภพนี้น่าอยู่เสียนี่กระไร ความสุขคงครอบคลุมทั่วทั้งสามภพ

    ที่กล่าวมานี้มิได้ แสร้งประชด หรือ ฯ

    จากอดีตจวบจนปัจจุบัน มีมากมายหลายท่านที่ดำริเช่นนี้
    บางท่านมิใช่เพียงดำริ
    แต่ได้เพียรพยายามกระทำทุกวิธีการเพื่องประโยชน์สำเร็จในความปรารถนาที่ตั้งไว้

    หลายท่านเหล่านี้ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางของโพธสัตว์ และมหาโพธิสัตว์เจ้า ได้รู้ได้เห็นสภาพธรรมทั้งปวง อย่างลึกซึ้ง
    และด้วยความปรารถนาให้โลก(สามภพ)เป็นสุข (เช่นที่ท่านเจ้าของโพสข้างต้นกล่าวไว้)
    ท่านก็ไม่ยอมสำเร็จกิจในภูมิธรรมของท่าน ท่านยังคงอยู่ และยังเพียรปฏิบัติกิจและประกาศแนวคิดของท่านสู่ปวงชนตราบเท่าทุกวันนี้

    แม้ท่านจะรู้ว่าในภพภูมิปัจจุบัน(กับป์นี้) ท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ความเป็นเช่นนั้นเอง แห่งสามโลกได้
    ด้วยมีผู้กำหนดให้เป็นเช่นนี้ เพื่อใช้เป็นพัฒนาการแห่งชีวิตให้มีภพภูมิสูงขึ้น ตามแนวความคิดของท่าน

    หากจะเปลี่ยนแนวคิดแห่งวิวัฒนาการใหม่
    นี่คงต้องแทรกซึม สู่การปฏิวัติแล้ว
    เรื่องใหญ่นา

    แต่บางท่านที่มีบารมีกล้า กลับมีดำริที่เพริดแพร้วกว่า
    ท่านกลับสร้างมหาอาณาจักรขึ้นใหม่ สร้างพุทธเกษตรขึ้นใหม สร้าง ฯลฯ ขึ้นใหม่ ตามแนวความคิดแห่งตน
    แล้วเข้าปกครองและหาสมาชิกใหม่ๆ อยู่ตลอด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2008
  17. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511

    แล้วอุเบกขาเล่าอยู่ที่ใด
     
  18. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
    วันนี้ได้ทำความดีแบบประมาทค่ะ แทนที่จะเป็นการทำความดี กลับกลายเป็นบาปเสียนี่........
    เรื่องมีอยู่ว่า ปลาในโอ่งได้ออกลูกมาสามสิบกว่าตัว ไอ้เราก็แสนจะดีใจ เพราะว่าจะได้มีปลาเพิ่ม แต่ด้วยความที่เห็นว่า น้ำในโิ่อ่งช่างสกปรก และดำ มีคราบตะไคร่น้ำเกาะอยู่เยอะ ในใจก็คิดว่า ถ้าน้ำดำแบบนี้ ลูกปลาต้องตายแน่เลย ก็เลยลงมือเปลี่ยนน้ำใหม่ พร้อมทั้งขัดโอ่งซะสะอาด น้ำใสมองเห็นลูกปลาว่ายไปมา แต่พอผ่านไปได้ครึ่งวัน ตกเย็นมา ลูกปลาตายเกือบหมด นี่เพราะความประมาทแท้ๆ ค่ะ......เศร้ามาก......
     
  19. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ deejaimark [​IMG]

    วันนี้ได้มีโอกาสทำบุญ คือ ช่วยลูกแมวที่ตกลงไปในถังน้ำ....
    ได้ยินแต่เสียงลูกแมวร้อง มองไม่เห็นตัว เพราะถังน้ำอยู่บ้านตรงข้าม และบ้านนั้นก็ไม่มีคนอยู่ ปืนรั้วขึ้นไปดู เห็นแต่เเม่แมว ยืนเฝ้าถังน้ำอยู่
    ว่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วเชียว แต่นึกได้ว่า เป็นการวางอุเบกขาที่ผิด ก็เลยไ้ด้มีโอกาสช่วยชีวิตสัตว์หนึ่งตัวค่ะ.......
    ขอบคุณท่านที่ตั้งกระทู้นี้ ที่ทำให้มีโอกาสได้ พิจารณาธรรมค่ะ

    ความรุ่มร้อน ความกระวนกระวาน ความไม่สบายใจ ฯลฯ
    ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
    สิ่งเหล่านี้เป็นเวทนาที่จิตเสวยอยู่ (เป็นผลจากขบวนการสร้างสังขารของขันฑ์ห้า)
    สิ่งเหล่านนี้ล้วนก่อทุกข์ ให้แก่จิต-ตัวเรา ที่เสวยอารมณ์เวทนานั้น
    ถ้าไม่กระทำอะไรสักอย่าง อารมณ์(เวทนา)ที่ก่อตัวขึ้นก็จะทวีขึ้น(เกิด-ดับ อยู่ในเรื่องเดิมและทวีกำลังขึ้น เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ)
    ความเสียใจ ร้องไห้ ฟูมฟาย ย่อมตามมา
    แต่หากมีสติ หักห้ามใจได้ หยุดขบวนการสร้างสังขาร ของขันฑ์ห้าได้
    ขบวนการเกิด-ดับ(ของขันฑ์ห้า)จะถูกหยุดลงเพียงเท่านัน

    ถ้าสติมั่นคงและตามทันเร็ว ขบวนการเกิดสังขารธรรมของขันฑ์ห้า(ความเศร้าเสียใจ ฯลฯ) เกิด-ดับเพียงไม่กี่รอบ ก็หยุดจะลง
    ถ้าสติเร็วมาก เพียงขบวนการของขันฑ์ห้าเริ่มการก่อตัว ก็ถูกสติยับยั้งแล้ว
    (รูป เกิด เวทนาเริ่มก่อตัว ก็ถูกยับยั้งแล้ว ขบวนการของขันฑ์ห้ายังเกิดไม่ครบรอบ)

    ขบวนการ(หยุดฯ)เหล่านี้ เราเรียกว่าการปล่อยวาง หรืออุเบกขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2008
  20. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ด้วยมโนนึกตรึกลงกลางแสงใสที่ปลายจมูก
    กำหนดรู้ลงบนขบวนการเกิด-ดับ แห่งขันฑ์ห้า
    พิจารณาสังขารธรรมอันเกิดจากขบวนการสร้างแห่งขันฑ์ห้า
    ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน

    สังขารธรรมเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว ขบวนการแห่งขันฑ์ห้ารอบที่๑ ดับไป
    สังขารธรรมที่เกิดขึ้นถูกตั้งขึ้นใหม่เป็นรูป
    เวทนา ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปตัวใหม่ สัญญาที่ถูกเก็บไว้ในก้นบึ้งแห่งจิต ถูกดึงขึ้นมาปรุงแต่ง สร้างสังขารตัวใหม่
    ความรู้ใหม่ (วิญญาน)จากการสร้างสังขารขันฑ์ตัวใหม่ ได้เกิดขึ้นแล้ว และถูกเก็บเข้าสู่จิต เป็นสัญญาตัวใหม(เหตุแห่งนิวรณ์)
    วงรอบที่๒ แห่งขันฑ์ห้าเกิดขึ้นสมบูรณ์พร้อมแล้ว และดับไป

    สังขารในวงรอบที่๒ ถูกตั้งขึ้นใหม่เป็นรูป ในวงรอบที่๓
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ในรอบที่๓ ถูกสร้างขึ้น เมื่อสมบูรณ์แล้วก็ดับไป
    เป็นเช่นนี้รอบแล้วรอบเล่า
    ความเข้มข้นแห่งอารมภ์(เวทนา)ค่อยๆทวีขึ้น ทวีขึ้น จนถึงจุดระเบิด

    แต่หากในวงรอบการเกิด-ดับแห่งขันฑ์ห้า อาหารแห่งการสร้างวงรอบอ่อนกำลังลง(จะด้วยเหตุใดก็แล้แต่..)
    ความเข้มข้นแห่งอารมภ์(เวทนา)ก็จะค่อยๆลดลง จนจางหายและดับไปในที่สุด

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...