พระพุทธเจ้าประเภท สัทธาธิกะพิเศษ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ลัญจกร_ssj, 17 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ******************************
    ไม่หรอกค่ะ แค่นี้ก็เบื่อจะแย่แล้ว นึกถึงภาพ๕๐๐๐ปีนี่ ต้องเข้าห้องนํ้า๒,๘๒๕,๐๐๐อย่างน้อย แล้วทุกๆท่านถือศีลห้าแต่จะใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่จึงได้ดวงตาเห็นธรรม:'(
     
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:({) สวัสดีครับ ท่านธัมมะสามี หายหน้าไปนานๆจะมาครั้ง ต้องอนุโมทนาสาธุด้วยครับ การค้นคว้าก็เป็นของดี เพื่อรู้ให้ละเอียด เพื่อจะได้ให้ผู้อื่นได้รู้ ได้ทราบ ว่าทุกๆอย่าง ถ้าทำให้ถึงให้เป็นดังมโนรส สมปราถนานั้น เขาทำกัน ในสมัยเป็นมนุษย์ครับ เป็นแดนกลาง แดนเกิด แดนเลือก (สำหรับพุทธภูมิ)


    ขอให้คุณ พระรักษา บุญรักษา ธรรมรักษา มีสุขกายใจ สมปรานาทั้งทางโลกและทางธรรมครับ และขอต่ดอีกนิด ผมเคยอ่านมาว่า แต่จำไม่ได้ เพราะ อ่านมานาน ตก ๓๐ ปี ทำให้ลืม ได้ข่าวมาว่า ในกัปนี้ ไม่รู้ว่า ในสมัย พระโพธิสัตว์พระองค์ไหน ที่จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ในกัปนี้ มีพระชนมายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปีแปดหมื่นปี หรือ ๙๐,๐๐๐ ปี เก้าหมื่นปี หรือ ๑๐๐,๐๐๐ปี หนึ่งแสนปี ถ้าท่านธัมมะ สามีรู้กรุณา นำมาให้ ท่านพี่น้องได้อ่านได้รู้กันหน่อยเป็นไร จะขอบพระคุณอย่างสูงครับผม:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2015
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool:({) สวัสดัครับ อาซือเจ๊ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน มาขอต่อเติมเสริมแต่งอีกนิดครับ ถ้าผมพูดผิด พิมผิดจำผิด ขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยครับ คือว่า ในสมัย สมเด็จพระศรีอริยเมตตรัย ท่านกว่าวไว้ว่า หญิงชายในสมัยนั้น มีอายุ ถึง ๕๐๐ ปี มนุษย์ ถึงจะแต่งงานกัน คนในยุคนั้น มีอายุไขย ๕๐,๐๐๐ ปีเป็นกำหนด อายุไขย แต่ถ้า หลังจาก สิ้นพระศาสนา พระสมณโคดม ๕,๐๐๐ปี ไปแล้ว ไม่รู้ว่า อีกนานเท่าใด เป็นกำหนด อายุของคน สิ้นสุดอยู่ที่ ๑๐ ปีมนุษย์ เป็นอายุไขย ๔-๕ปี เสพกันเหมือนหมา พ่อแม่พี่น้อง ไม่รู้จักกัน ขาดศิลธรรมจรรยาบรร ก็เอากันมั่ว โลกียวิสัยรบราฆ่าฟันกันเป็นพลันลวัล


    จนถึงกาลสิ้นสุด ล้างเสียที ฝนตก ๗ วัน ๗ คืน น้ำ ท่วมทั่วโลก คนที่พอจะมีศิลธรรมอยู่บ้าง ก็ดิ้นรน หนีไปอยู่ตาม ถ้ำ ป่าเขาลำเนาไพรที่สูงๆ แล้วเมื่อ วันคืน ผ่านไป ผู้คนก็ออกมา รวมตัว ว่าบัดนี้โลก ได้ล้างคนชั่วไปหมดแล้ว พวกเราควร จะมารักษาศิล ๕ กันดีกว่า ทุกอย่างเริ่มตั้งต้นใหม่ จากอายุของคนยุคนั้น ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก ๑๐ ปี ก็เป็น ๒๐ -๔๐-๘๐-๑๖๐-๓๒๐-๖๔๐ -๑,๐๐๐-๕,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ปี จนถึง ๕๐,๐๐๐ปี เป็นกำหนด ณ บัดนั้นเอง องค์พระมหาบรมพงค์โพธิสัตว์ เจ้าศรีอริยเมตตรัย ก็ทรงลงจุติจากภิภพดุสิตธานี เข้าสู่พระครรค์ของพระมารดาเจ้า แล้วต่อจากออกจากครรค์แล้ว กี่ปี กี่เดือน ออกบวช กี่ วันกี่ปี จึงตรัสรู้


    อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอท่านผู้รู้ มาแจ้งแถลงไขยอีกทีครับ ขอเชิญนะครับ ใครก็ได้ที่รู้ ผมขอเชิญ ผมลืมและจำไม่ได้แล้วครับ :cool:
     
  4. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    พระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ
    แค่เอ่ยชื่อได้ พูดชื่อออกมาก็พอ
    ประมาณถ้าจะเลี่ยงไม่เอ่ยนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ต้องแทนว่า "คนที่คุณก็รู้ว่าใคร"

    ยืนยัน ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ แค่เอ่ยชื่อออกมา
    ก็บบรรลุธรรม
     
  5. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ประมาณว่าถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสไตล์ปัญญาธิกะ
    ถ้าคุณอุดหูทัน ปิดตาหลับตาทัน อาจจะเลี่ยงท่านได้
    ปิดอายตนะทันหนะ

    แต่ถ้าเป็นสไตล์วิริยะธิกะ ต่อให้เลี่ยงเอ่ยถึงแบบ"คนที่คุณก็รู้ว่าใคร"
    ก็ไม่พ้นบารมีท่าน
     
  6. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    (บันทึก วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2512 ) โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง

    ความจริงเรื่องรู้เลยตาย หรือรู้ก่อนเกิดนี้ ฉันเองไม่ใคร่อยากจะพูด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไปไม่น้อยเลย แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียนๆ เรื่องรู้เลยตาย และรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่น รู้ว่า เมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบันลัยกัลป์จะไหม้ถึงภวคพรหม ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยไม่หายว่า ไฟอะไรจะดันไปไหม้แม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดี เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ความจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนของวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ นนทากับ ประสบสุข มาฝึกกรรมฐาน ฉันนั่งคุมกรรมฐาน ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็น สัพพัญญูวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้

    หลังสิ้นพระพุทธศาสนา : หลังจากกึงพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี (เลยพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปีไปอีก ๑,๕๐๐ ปี) จะมีไฟล้างล้างโลก ล้างแต่มนุษย์เท่านั้น ไม่ลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่า ความชั่วที่จะเป็นเหตุให้ไฟล้างนั้น เป็นผลของสัตว์ที่สร้างอกุศลกรรมมาก มารวมกันอยู่ เป็นสมัยสัตว์นรกครองโลก มีแต่ความเร่าร้อน หาความสงบสุขไม่ได้ ความจริงแล้วมันเริ่มมีความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปีแล้ว จากนั้นไป พวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรมเป็นพวกเห็นแก่ตัว มากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม

    หลังจากไฟล้างโลกแล้ว : โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ ๑,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษย์โลก แม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกจะชุ่มชื้น ต้นหญ้า ต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้

    หลังจากที่โลกเขียวชอุ่ม ไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้น : ทิ้งระยะนาน ๑ หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิด สัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้น ไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบ อุปปาติกะ คือ มาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวคนขึ้น จะยังไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ส่องแสง มีแสงเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละคน คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ เรื่องอาหารนั้นนระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปิติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอจากกฏธรรมดา คือ ความเสื่อมของสังขาร เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด ผิวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กุมภาพันธ์ 2015
  7. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พระศรีอาริย์มาตรัส : เมื่อโลกมีมนุษย์ และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์แล้ว ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลกเกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี คนสมัยนั้นมีอายุครองตนได้ ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้นพระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เขตที่ท่านลงมาตรัสสมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า

    คณะคอยพระศรีอาริย์ : คนกลุมหนึ่ง ที่บำเพ็ญบารมีคอยพระศรีอาริย์ ตามปฎิญญาที่ให้ไว้หลายพุทธสมัยนั้น ท่านหัวหน้าทรงนามว่า "โกสีห์" จะสร้างเมืองแถวด้านเหนือของเมืองพม่า เรียกว่า เชียงตุง ปัจจุบัน ให้ชื่อเมืองว่า สีหนคร รวบรวมลูกหลานทั้งหมดมาร่วมบำเพ็ญกุศล และเป็น อุปฐากใหญ่ ของพระศาสนา ในที่สุดก็นิพพานทั้งตระกูล

    ในศาสนาพระศรีอาริย์ : เรื่องพระศรีอาริย์นี้ เวลานี้ชักยุ่งมากทีเดียว เพราะไม่ว่าไปทางไหน ก็พบพระศรีอาริย์เกลื่อนไปหมด ที่โน่นก็พระศรีอาริย์ ที่นี่ก็พระศรีอาริย์ เล่นเอาชาวบ้านอานกันเป็นแถว เพราะอยากเป็นบริวารพระศรีอาริย์ ส่วนพวกร้านค้าก็บอกว่า ระหว่างนี้เข้ายุคภาษีอาน ฟังแล้วคล้ายๆ กัน....ฯลฯ

    มาพูดกันเรื่อง พระศรีอาริย์กันดีกว่า เรื่องภาษีอานนั้นพูดไม่ออกแล้ว พอใจหรือไม่พอใจก็ต้องเสีย เป็นเรื่องของยุคทมิฬ ห้ามพูด เมื่อบ้านเมืองยุ่ง ทางกลุ่มศาสนาก็พลอยกลุ้ม เพราะเมื่อมีความเดือดร้อน ชาวบ้านก็อยากพบพระศรีอาริย์ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข คราวนี้เองเป็นเหตุให้พระศรีอาริย์อวตาร หรือโงนเงนเหมือนต้นตาลลงมาไม่ทราบ เกิดมีพระศรีอาริย์โผล่หน้ามาพร้อมกันหลายองค์ อยู่ตามถ้ำ ตามเขาบ้าง ตามกลุ่มชนในชนบทบ้าง

    ไม่รู้ว่าอวตารลงมาอย่างไรพร้อมกัน ในยุคเดียวกันตั้งหลายอาน บางรายก็สวดด่อน เขาว่าอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสวด เขาสวดกันอย่างไร บางรายเฉพาะที่เขาตะพาบ เมืองอุทัย เห็นสวดดะไม่ใช่สวดด่อน ที่เมืองลพบุรีก็มี รายนั้นทำงานมงคล นิมนต์พระผีมาสวดเป็นแถว เห็นตั้งอาสนะไว้ แต่ไม่เห็นมีพระ มีคนเขาบอกว่าท่านนิมนต์หลวงพ่อศุข หลวงพ่อปาน หลวงพ่อแช่ม ฯลฯ และอีกหลายท่าน ให้มาสวดมนต์ ในงานยกธงธรรมจักร นิมนต์พระผีมานี่ ลดค่าครองชีพดีมาก ท่านสวดมนต์ก็เสียงไม่ดัง นั่งก็ไม่เปลืองที่ เลี้ยงอาหารก็ไม่เปลือง สบายใจดีแล เรื่องอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะโกหกเพื่อหวังลาภผลเท่านั้นเอง เอาอะไรเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ ขึ้นไปบนสวรรค์ทีไร พบพระสรีอาริย์ทุกคราว แถมท่านบอกมาด้วยว่า "ที่เข้าทรง และว่าฉันไปนั้น ฉันไม่เคยไปเลย" เรื่องก็จบเพียงแค่นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กุมภาพันธ์ 2015
  8. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ต่อไป มาพูดกันถึงศาสนาพระศรีอาริย์กันดีกว่า ท่านว่า ศาสนาของท่านนั้น มีผลดังนี้

    ๑. คนสวยทุกคน มีผิวเหลือง เนื้อละเอียด คนแก่ที่สุด มีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณ ๒๐ ปีเศษสมัยนี้เท่านั้นเอง อายุคนสมัยนั้นท่านว่ามีอายุถึง ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัย


    ๒. สมัยของท่าน ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย มีต้นไม้สารพัดนึกอยู่ในที่ทุกสถาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มีจิตใจชั่วร้าย ยังไม่มีโอกาสเกิดในสมัยของพระองค์ ท่านที่จะไปเกิดที่นั้น ต้องเป็นเทวดา หรือพรหมเท่านั้น โลกจึงมีแต่ความสุข ไม่มีตำรวจทหาร มีแต่พ่อบ้านแม่เรือน

    ๓. การสัญจรไปมาสะดวกสบาย ไปไหนก็พายเรือตามน้ำ

    ๔. คนเข้าถึงธรรมทุกคน ท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณ หรือมีวิปัสสนาญาณบ้างพอสมควรจะเข้าถึงธรรมพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือเป็นพระอริยเจ้า คนที่ได้อริยะต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน

    คนที่ทำบุญไว้น้อย คือฟังคาถาพัน และปฏิบัติตามแต่ไม่สมบูรณ์ อย่างต่ำก็เข้าถึงสรณคมน์ อย่างสูงก็ได้อริยะ ที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะท่านบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป ท่านบำเพ็ญบารมีมาก คนเลวจึงเข้าแทรกแซงในศาสนาของพระองค์ไม่ได้ น่าเกิดจริงๆ

    เรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างนี้อย่างนี้ เขียนไว้ให้อ่านเล่น จริงหรือไม่จริง ไม่มีผลที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตำรา ต้องอาศัยฌานและญาณช่วยจึงจะทราบผลแน่นอน ถ้าวิริยะอุตสาหะแล้ว ไม่ช้าก็พากันมีความรู้สึกที่จะพิสูจน์ได้ ฟังไว้แต่อย่าเชื่อ และอย่าเพิ่งปฏิเสธ จนกว่าเราจะมีฌานและญาณพอจะพิสูจน์ได้ สำหรับเรื่องนี้ขอยุติเท่านี้ วันหน้าถ้ามีเวลาพอ จะเอาเรื่องโลกเกิดมาเขียนให้อ่านเล่น
     
  9. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เอ ซือเจ๊ไม่มาอีกสักรอบสองรอบ สมัยนั้นเวลาที่ผมจะไปตัดหัวถวาย ใครจะเอาดม ยาลม ยาหม่อง ให้แก้วๆของผมล่ะ หากพยาบาลไม่มี
     
  10. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ... สวัสดีครับพี่บุญทรง พี่ปรีชา ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้ามาครับ ไปหาคุณหมอเดือนละ 15-16 วัน เหนื่อยมาก กลับมาก็หมดแรงข้าวต้ม กระดิกกระเดี้ยตัวไม่ค่อยจะไหว ร่างกายมันเป็นน่าเบื่ออย่างนี้นี่เอง ท่านหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจึงตัดไปพระนิพพานก่อน
     
  11. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    สวัสดีครับ ได้ข่าวว่าเจ็บไข้ได้ป่วยมานาน ก็เอาใจช่วยอยากให้มีปาฏิหาร ให้บรรเทาเบาบางลง คิดถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ปานท่านมาก หาที่เหมือนท่านไม่มีเลยเรื่องของการรักษาพยาบาล

    ก็ถือว่าใช้หนี้เขา การเจ็บไข้ได้ป่่วยพวกเราก็รู้ว่ามาจากผลของปาณาติบาท ปรารถนาพุทธภูมิมันไม่ได้ทำแต่บุญให้ชีวิตเขาอย่างเดียวทั้งที่ใจพวกเราต้องการแบบนั้น แต่เมื่อคราวจำเป็นที่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ในอดีตเราก็ไม่รู้ว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขามากันเท่าไร บางชาติเมื่อคราวที่ต้องเป็นนักรบเป็นแม่ทัพนายกอง มันจำเป็นต้องสู้ต้องป้องกันหมู่คณะ มันก็คงพิฆาตห้ำหั่นชีวิตอื่นๆเขามาไม่น้อยจึงต้องทุกข์ทรมาณร่างกายกันอย่างชาติปัจจุบัน

    เบื่อหน่ายร่างกาย เบื่อหน่ายชีวิต เบื่อหน่ายสังสารวัฏอย่างไร หากว่าขึ้นชื่อว่าปรารถนาในพระโพธิญาณ ต้องการบรรลุมรรคผลพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล เราก็ต้องกัดฟัน ก้มหน้ายอมรับในชะตากรรม

    ที่บางครั้งแม้เราจะเป็นนักรบเกรียงไกลอย่างไร แต่เมื่อใดที่พลาดพลั้งถูกข้าศึกจับได้เป็นเชลยเป็นผู้แพ้เราก็ต้องยอบรับในชะตากรรม การทำหน้าที่ยิ่งหากเข้มแข็งเด็ดขาดมากเท่าไร คราวที่ต้องเป็นผู้แพ้นี่มันสาหัส การทำหน้าที่พุทธภูมิมันเสี่ยงกับทุกอย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย หนทางที่ไปข้างหน้าบางทีรู้ทั้งรู้ว่าทุระกันดาร เต็มไปด้วยอันตรายอย่างยิ่ง คนอื่นเขาอาจจะหยุดจะถอยจะเลี่ยงไป แต่พุทธภูมิไม่มีทางเลี่ยง หากลำพังตัวเองมันเลี่ยงได้ แต่เพราะหมู่คณะมันเลี่ยงไม่ได้

    ก็ขอเอาใจช่วยขอให้ทุกขเวทนามันเบาบางลงแม้ว่าโรคร้ายมันเดินหน้าไม่ยอมหยุด แต่ขอให้หยุดเจ็บหยุดปวดรวดร้าวเพียงเท่านี้ ใจก็หยุดตั้งหลักรวบรวมพละกำลังใจว่าจะขอกลับมาสู้ใหม่ในชาติต่อๆไป ร่างกายจิตใจชาตินี้มันทำได้เท่านี้ เต็มที่ได้เท่านี้ เราก็ขอหยุดพักก่อน ขอให้คุณน้องคิดไว้อย่างนี้อาการทุกขเวทนาทางกายมันก็จะไม่ทำให้เรากำลังใจลดลง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กุมภาพันธ์ 2015
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ****************************
    **อย่างที่หลวงพ่อว่าไงคะ เมื่อไม่มีขันธ์ห้าแล้ว การช่วยเหลือลูกๆจะง่ายขึ้นด้วยกายทิพย์ ตอนนั้นก็จะมีคนแต่งชุดขาวมาช่วยปฐมพยาบาลเต็มไปหมดค่ะ
    **ขอส่งกําลังใจมาช่วยท่านธัมมะสามี ค่ะ
     
  13. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814




    :cool:({) สวัสดีครับ พี่พีซีโอ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน ขอบคุณ มากๆ ที่นำคำสอน ของครูบาอาจารย์ มาให่อ่าน และจะได้ พิจรณาเอา ว่าเหตุอันควร พึงกระทำอย่างไร ผมก็ต้อง ขอโทษ พี่ๆน้องๆด้วยว่า ผมเองก็ลืมไปแล้ว จำไม่ค่อยได้ หรือจำตำราบางที่มาผิด จึงบอกให้ท่านผู้รู้ นำมากว่าวกันไว้ ให้ถูกต้อง จะจริงเท็จเพียงไร พวกท่านก็อย่า พึ่งเชื่อ และหรือปฏิเศท หาเหตุผล หลักฐานจะด้วยวิธีใด ก็ตาม นำมาให้ใจเราหายสงสัย มันจะได้ไม่เป็นโทษ กรรมเวรต่อกัน อีกต่อไป ในภพภูมิน้อยใหญ่อีก


    ของจริง กับของไม่จริง ย่อมอยู่คู่ ครองโลกแบบนี้มาช้านาน ฉนั้น เราต้องวางใจไว้เป็นกลางก่อนครับ อาศัย ที่ผมเรียนมาน้อย แต่ว่า อาศัยประสบการจริงเสีย ๙๐ เปอร์เซ็นขึ้นไป อาศัย อ่านรู้ตำรา ของครูบาอาจารย์ต่างๆ บ้าง ที่ท่านเป็นทั้ง พระอริยเจ้า ทั้งพระโพธิสัตว์ แต่ถ้าเป็น ครูบาอาจารย์ ของท่านที่ ในด้าน ทึษดี ภาคเรียน อ่านแล้ว จะรู้สึกไม่ค่อยประทับใจ เท่าที่ท่าน พวกปฏิบัติ อ่านนิดหน่อย มันจะโยนทิ้ง ทันที เราจะมองอะไร ต้องมองให้กว้างไกล ออกไป ถึงจะผิด ก็ไม่มาก เมื่อใจ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เราก็ใช้ใจ ใคร่ครวญ หาเหตุผล มาไตร่ตรองดู


    ผมก็โง่บัดซบมาก่อน ที่จะมาเจอ ครูบาอาจารย์ต่างๆ ได้ทั้งประสบการณ์ ความรู้ แต่ มันก็มีความจำกัดขอบเขตุ ของความรู้ ที่สั่งสมมา แต่ถ้าจะรู้ให้มากกว่าเดิม ที่มีอยู่ มันก็ต้อง ฝึกฝน ใฝ่ขว้า หาเอา ทั้งปฏิบัติ ปฏิยัติ ปฏิเวธ ใครทำได้แค่ไหน ถ้าเราศึกษามาพอควร ถึงจะไม่มี ญาณหยั่งรู้ แต่ปัญญามันจะรู้ได้ ว่า สิ่งนี้ ของจริง หรือของปลอม ผิดก็คงมีน้อยครับ ตราบใด ถ้าเรายังมีบารมีแก่กล้าพอ ใช้ได้ แล้วละก็ ผิดมากกว่าถูกย่อมมีแน่นอนครับ เมื่อผิดแล้ว ย่อมแก้ไขได้ ดีกว่า ผิดแล้ว ไม่แก้ไข ทำไปเรื่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก มันจะก่อให้เกิดโทษ ได้ ทั้ง โลกนี้และโลกหน้าครับ :cool:


    และต้องขอขอบคุณพี่ พีซีโอ อีกครั้งครับ
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:({) ครับสวัสดีครับ คุณธรรมะสามี พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ผมก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมากไปกว่านี้ เพราะ มีพี่พีซีโอ ให้พรไปแล้ว โรคมากโรคน้อย ก็มีด้วยกันทุกๆคน มากน้อยนั้นต่างกัน แล้วแต่กรรม ใคร มากน้อยก็ว่ากันเท่านั้นเอง แต่ก็ ขอพรพระ และสิ่งศักดิ์ ทั้งหลาย ที่คุณเคารพ ทั้งหมด ให้คุณ แม้ ป่วยก็ตาม ขอให้บรรเทา ทุกข์ โรคภัย เบาบางลง ถ้ามัน หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ขอให้ใจ เป็นสุข ป่วยกายไม่เป็นไร แต่อย่าให้ป่วยใจ ขอให้ใจเป็นสุข ทุกเมื่อทั้งทางโลกและ ทางธรรม ทุกเช้าค่ำ สายบ่ายเย็น ตลอดไปครับ:cool:
     
  15. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับ อาซือเจ๊ แหมผมน่ะ ป่วยกาย ยังไม่พอ มันดัน มาป่วยใจนี่สิครับ ระวังยาก ยิ่งกว่ากายอีกแน่ะ มันคิดตลอด แม้ร่างกายหลับ มันดันเอาไปฝันอีกแน่ะ ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทำไงดีครับ คุมยากสติ ตัวนี้ :cool:
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,537
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ***********************
    ระวังเถอะกําลังหมกมุ่นแต่เรื่องสร้างพระพุทธรูปอยู่ เดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นจะไปเดินวนอยู่แถวนั้นเป็นร้อยๆปี เดี๋ยวต้องให้ท่านPCOมาเล่าคะ เท่าที่จําได้ว่ามีพี่น้องชายหญิงสองคนแต่งขาวเดินวนอยู่รอบเจดีย์ที่สร้างไม่เสร็จ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2016
  17. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ตายแล้วพระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกให้ลูกหลาน และคณะของท่านทุกคนไปพระนิพาน หากยังไม่ไปท่านให้ไปพักที่พรหม หากไม่ไปพรหม ท่านให้ไปพักที่เทวโลก สำหรับพี่บุญทรง(อันนี้ผมว่าเองมีนางสาวฟ้าอย่างน้อยห้าแสนเป็นบริวารคอยมาเดินผ่านหน้าไปมาให้ดูความสวยของชาวสวรรคเขา) หากไม่ไปเทวโลกหลวงพ่อบอกว่าให้จงเป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์นับไม่ได้ ที่รวยให้เข็ดให้เบื่อหน่ายความรวย อย่างท่านชฎิลเศรษฐี ท่านโชติกะมหาเถระ แล้วไปพระนิพพานตามท่าน (มีเมียประเทศละสองคน ผมแถมแถวอัฟริกาให้อีกประเทศละสามคนห้ามเอามาคืน อันนี้ผมว่าเอง)

    แต่สำหรับพี่บุญทรง ในฐานะที่อยู่ใกล้หลวงพ่อมานาน หากตายแล้วไปเป็นงูเหลือมเฝ้าฐานพระผมจะกลับมาลอกเอาหนังไปขายให้เขาเอาไปทำหนังกระเป๋า เอาหัวไปชุปแป้งทอดกรอบ เอาเนื้อไปทำซุ๊ปเลี้ยงแมวที่วัดท่าซุง บอกนี่แหละเนื้อพี่บุญทรง ที่ขัดคำสั่งหลวงพ่อจึงต้องถูกลงโทษแบบนี้

    ในส่วนของพี่บุญทรงที่หมกมุ่นการสร้างพระ สร้างถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างพระถือว่าเป็นพุทธบูชา การเป็นห่วงในการก่อสร้างถือว่าเป็นพุทธานุสติกรรมฐานถือว่าจิตแบบนี้ เป็นห่วงในการสร้างต้องการให้เสร็จสมบูรญ์ ไม่ได้ห่วงด้วยอารมณ์ของภาวะหนี้สินในการก่อสร้าง ไม่ได้ทุกข์ร้อนใจ ทรงอารมณ์แบบว่า ได้แค่ใหนเอาแค่นั้น วางอารมณ์แบบว่าทำวันเดียวไม่เสร็จ เมื่อมืดค่ำแล้วไม่เสร็จก็หยุดก่อน พรุ่งนี้มาต่อใหม่ อารมณ์ห่วงแบบนี้ไม่ได้ห่วงแบบเศร้าหมอง ห่วงแบบมีปีติที่ได้ทำ ทั้งยังทำกับมือด้วยเต็มใจด้วยตั้งใจ มีความภาคภูมิใจที่ได้ทำ สิทธิการิยะวันนี้วันพระขึ้นแปดค่ำไทย ตามตำราบอกว่าอารมณ์แบบนี้ตายแล้วเขาห้ามไปอบายภูมิ


    แต่หากพี่บุญทรงจะดันทุรังไปมันก็เรื่องของพี่

    ฟังของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนะครับ

    จิตข้องอยู่ในทรัพย์สมบัติ ตายแล้วไปอบายภูมิ

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๖ ก็มาคุยกันเรื่อง การปฏิบัติตนเพื่อให้พ้นจากบาป คือพ้นจากนรกต่อไป ขอย้ำไว้ในตอนต้นว่า การปฏิบัติตนให้พ้นจากนรกนั้น (คำว่า "นรก" ก็หมายถึงนรกด้วย เปรตด้วย อสุรกายด้วย สัตว์เดรัชฉานด้วย "การปฏิบัติพ้น" ก็หมายถึงว่าปฏิบัติพ้นกันทุกชาติ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ถ้าจำเป็นจะต้องเกิดอีกกี่ชาติก็ตามไม่เกิดในอบายภูมิ ๔ แน่) ก็ต้องปฏิบัติตามหลักสูตร ของพระพุทธเจ้าที่มาในพระไตรปิฎก ก็อาตมาเองบวชจากพระไตรปิฎก มีความเลื่อมใสในพระไตรปิฎกก็ต้องปฏิบัติตามพระไตรปิฎกเห็นว่าหลักสูตรพระพุทธเจ้ามีอยู่ว่า ๑. ให้มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้จะต้องตายไว้เสมอ ตัดความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันไม่ตายคนส่วนใหญ่แม้แต่อาตมาเองก็เหมือนกัน ในกาลก่อนที่ยังไม่แก่ก็เลยไม่เคยคิดว่าตัวจะแก่ไม่เคยคิดว่าตัวจะตาย เวลานี้แก่มากแล้ว ก็เลยลืมความตายไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความตายมันได้ใกล้เข้ามาทุกที มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตายแน่ แต่ก็ไม่ลืมนึกว่ามันอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ

    ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทคิดตามนี้ก็แล้วกันตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน จะได้ไม่เกิดอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ประการที่ ๒ มีความยึดมั่นในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ ประการที่ ๓ รักษาศีลห้า ให้มั่นคงไม่ละเมิดศีลห้า ตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะตาย บาปกรรมทั้งหลายที่ทำมาแล้วทั้งหมดสมเด็จพระบรมสุคตตรัสว่า "คนที่มีกำลังใจอย่างนี้ จะไม่ไปอบายภูมิแน่นอน" ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรโปรดปฏิบัติตามนี้ จะได้พ้นนรกกัน แต่ความจริงเรื่องการพ้นนรกไม่เกิดในอบายภูมิแน่นอนนี้ก็ต้องคิดเหมือนกันบางทีคนที่มีกำลังใจถึงขั้นนี้แล้ว เขาย่องแอบ ๆ ไปอบายภูมินิดหนึ่ง แต่ไปไม่นานอย่างมากก็ไปแค่ ๗ วัน แต่แอบอยู่ไม่ให้คนอื่นเห็น เสียงก็ไม่ให้คนอื่นได้ยิน รูปร่างก็ไม่ให้คนอื่นเห็น เพราะตัวเล็ก เล็กมาก แอบอยู่นิด ๆ ทั้งนี้ก็เพราะอะไร? เพราะว่ามีจิตข้องอยู่ในทรัพย์สมบัติ ความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท การที่จะเกิดในแดนของอบายภูมิ มันไม่จำเป็นต้องขาดศีลห้าเสมอไป และไม่จำเป็นต้องปรามาสพระไตรสรณคมน์ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เสมอไป แม้แต่อารมณ์ชั่วมัวหมองนิดเดียว บางทีก็ไม่ถึงกับชั่ว อย่างโกตุหลิกะ

    ในตอนที่ ๕ อันนี้เป็นตอนที่ ๖นะบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องโกตุหลิกะตอนที่ ๕ แต่ความจริงไม่ได้นึกแช่งชักหักกระดูกใครทั้งหมด อารมณ์ใจดี คิดว่าสุนัขหรือหมาตัวนี้มันดีกว่าเรา เกิดเป็นหมาแท้ๆ ได้กินข้าวมธุปายาส จิตไปข้องอยู่ในสุนัขตัวนั้น แต่สำหรับตอนที่ ๖ นี่ไม่ว่าถึงฆราวาสแล้วลองมาซ้อมกำลังใจพระเณรเราดูบ้างว่าพระเณรเราที่มีกำลังใจดีมีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระอริยสงฆ์ปฏิบัติในพระธรรมวินัยดีมาก สามารถทรงอารมณ์ในสังโยชน์ทั้ง ๓ ประการนี้ได้ คำว่า "ทรงอารมณ์ในสังโยชน์" ก็หมายความว่า สามารถหักห้ามกำลังใจไม่คิดไปตามสังโยชน์ทั้ง ๓ ประการ คัดค้านสังโยชน์ สังโยชน์คิดว่าไม่ควรคิดว่าจะตาย พระก็มีความรู้สึกว่าชีวิตต้องตาย เชื่อมั่นในความตาย และพยายามทำความดี ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และก็มีธรรมวินัย มีวินัยเคร่งครัด มีธรรมะก็ดี แต่ทว่าจิตไปข้องอยู่ในทรัพย์สินส่วนใดส่วนหนึ่งเข้า ความจริงการข้องแบบนั้นไม่ถึงกับเป็นอาบัติ เป็นทรัพย์สมบัติของตนเองและก็ยังอยู่ในขอบเขตของพระธรรมวินัย ตายแล้วเกิดเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ มันเป็นไปได้

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2015
  18. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    หากว่าบรรดาพระของเราเกิดเป็นคนปากเสีย ใจเสีย มีร่างกายเสีย สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์แบบ มีอารมณ์อิจฉาริษยาคนอื่น ไม่เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ จิตมุ่งตรงสู่ด้านของความเลว ท่านผู้นี้ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัชฉานก่อน ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรกก่อน อย่างพระเทวทัต เป็นต้น ตอนนี้ก็มาขอคุยกับบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าในสมัยของพระองค์เอง นี่ความจริงอยู่กับพระพุทธเจ้าแท้ ๆ นะ คนที่อยู่กับพระพุทธเจ้า พระที่บวชกับพระพุทธเจ้าอย่านึกว่าดีทุกองค์ แต่ว่าท่านองค์นี้ท่านดี แต่เสียท่าเขานิดที่เลวจัด ๆ อย่างเช่น เทวทัต หรือ โกกาลิกะ เป็นต้น อันนี้เลวมาก อย่าลืมว่าในสำนักใดในสมัยปัจจุบัน ก็ตาม

    หัวหน้าสำนักเป็นคนดีแสนดี ก็จงอย่านึกว่าคนในสำนักนั่นดีทุกคน ดีตามไปด้วย ดีไม่ดีก็ซวยแสนซวย เลวแสนเลว แต่อาศัยพึ่งบุญบารมีของท่านผู้เป็นหัวหน้ากินอิ่มนอนหลับมีความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็เลยลืมตัว ลืมกาย ลืมตน ไม่ทำตนในด้านของความดี ลงอบายภูมิไม่น้อยเลย เวลาปัจจุบันนี้ก็มีอยู่แล้ว มีอยู่แล้ว ครูบาอาจารย์ทำตัวดีมาก แต่ว่าลูกน้องใกล้ชิดกลายเป็นคนโลภโมโทสัน เวลานี้ท่านป่วยหนักเวลาที่พูดนี่นะ ก็สงสัยเหมือนกัน สงสัยเหมือนกันว่าน่ากลัวท่านจะเปิดลิบ คงไม่ใช่สูงลิบ คงต่ำลิบ อย่าพูดถึงท่านเลย มาพูดถึงพระองค์นี้ดีกว่าพระติสสะตายแล้วไปเกิดเป็นเล็น องค์นี้ท่านไม่ได้เลวอย่างนั้น เรื่องของท่านก็มีอยู่ว่าพระองค์นี้ชื่อ ติสสะ ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ท่านบวชอยู่ในสำนักขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์

    ต่อมาวันหนึ่งท่านเห็นเพื่อนเขาห่มจีวรแพรสมัยนี้อาจจะเรียกจีวรแพรก็ได้นะ เวลานั้นเรียกว่า "ผ้าสาฎก" ไอ้ผ้าสาฎกจริง ๆ อาตมาก็ไม่รู้จัก จะบอกลักษณะก็เดา ตามตำราท่านบอกไว้ ก็เป็นการเดา ทำด้วยนั้นบ้าง ทำด้วยนี้บ้าง เป็นต้น ท่านต้องการผ้าสาฎกเนื้อน้อย ไอ้คำว่าเนื้อน้อยก็หมายถึงผ้าบ้าง ๆ เรื่องจริง ๆ มีอยู่ว่าท่านมีจีวรอยู่ผืนหนึ่ง ดูรู้สึกว่าจะเป็นผ้าเนื้อหยาบสักหน่อยท่านเอาไปให้พี่สาว เข้าใจว่าเอาไปให้พี่สาวย้อม พี่สาวทำความสะอาด อย่างนี้เป็นต้น อาตมาก็จำบาลีไม่ค่อยได้ จำเนื้อความไม่ค่อยได้ชัด ว่าเอาไปให้พี่สาวเย็บหรือย้อมก็จำไม่ได้แน่ รวมความว่าเอาไปให้พี่สาวจัดการให้ก็แล้วกัน แต่ไม่ได้หวังให้ทำใหม่

    ดังนั้นพี่สาวเห็นว่าผ้าของพระน้องชายเนื้อหยาบมาก ก็ทุบเสียใหม่ทำเสียใหม่ ทุกอย่างให้เป็นผ้าเนื้อละเอียดทอใหม่ทั้งหมด หลังจากได้มาทำให้ละเอียดดีแล้ว เย็บแล้วก็ย้อมเสร็จพูดง่าย ๆ ก็เป็นผ้ามีราคาสูง เป็นผ้าแพรก็ได้สมัยนี้นะ สมัยนี้เทียบกับแพรหรือป่านเสร็จแล้วก็เอาไปให้พระน้องชาย เวลานั้นก็เป็นกาลพอดี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระน้องชายนี้ป่วยมากป่วยมากจนไม่สามารถจะครองจีวรนี้ได้ เห็นผ้าจีวรที่พี่สาวนำไปให้ ผ้าของท่านเป็นผ้าเนื้อหยาบ แต่พี่สาวนำมาให้นี้เป็นผ้าเนื้อละเอียด มีเนื้อดีมาก อาศัยกำลังใจที่สะอาดของท่าน บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังไปก็ดูจริยาดูกำลังใจของท่านด้วย ท่านมีกำลังใจสะอาดมาก ก็บอกกับพี่สาวว่า

    "ผ้าผืนนี้อาตมารับไม่ได้" พี่สาวถามว่าทำไม ท่านก็บอกว่า "ผ้าอาตมาไปให้พี่ไว้มันเป็นผ้าเนื้อหยาบ แต่ผ้าผืนนี้เป็นผ้าที่มีเนื้อดีมากไม่ควรแก่การที่จะรับไว้ เพราะผิดพระวินัย (พูดภาษาไทย ๆ ก็ผิดศีล) เกรงว่าจะเป็นการขโมยหรือโกงผ้าของบุคคลอื่น" พี่สาวก็บอกว่า "ความจริงผ้าผืนนี้เป็นผ้าของท่าน เมื่อท่านนำผ้าเนื้อหยาบไปให้ฉันก็เลยทำทุบเสียใหม่ สางเสียใหม่ เอาด้ายมากรอกันเสียใหม่ ทำใหม่หมด เป็นด้ายชิ้นเล็ก ๆ เนื้อถึงได้บางสวยแบบนี้" เมื่อพี่สาวบอกตามความเป็นจริง ท่านก็ยอมรับ เห็นว่าไม่ผิดพระวินัย พี่สาวไปแล้วท่านก็อยากจะห่มจีวรผืนนี้เต็มที แต่มันห่มไม่ไหว เพราะป่วยจนลุกไม่ขึ้น จิตใจก็มีความรู้สึกรักจีวร แต่ไม่นานนัก ไม่ทันได้ห่มจีวร

    ท่านก็ถึงแก่ความตาย เพราะอาศัยที่จิตแทนที่จะนึกถึงพระรัตนตรัย แต่ความจริงวินัยท่านไม่ขาด จะถือว่ามีโทษทางวินัยไม่ได้เลย แต่ว่าจิตใจมันวุ่นวายเกินไปในเรื่องของผ้า อาศัยที่มีจิตใจหวงผ้ามาก ตายแล้วแทนที่จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นเทวโลก ความจริงบุญบารมีของท่านถึงขั้นชั้นดุสิต ชั้นนี้มีความสำคัญมาก ตามเท่าที่รู้จักกันมา ว่าเทวดาชั้นดุสิตนีจะต้องเป็นคนที่มีความดีตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป อาตมาคิดเอาเองนะ คิดเอาเองหรือเคยได้ยินใครท่านพูด เขาบอกว่าชั้นดุสิตถ้าคนที่จะเข้าได้ต้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2015
  19. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ๑. เป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มข้นแล้ว
    ๒. พระพุทธบิดา คือบิดาของพระพุทธเจ้า พระพุทธมารดา และ
    ๓. พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะมีความสามารถเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตได้
    ฟังมาอย่างนี้ผิดหรือถูกก็ไม่ทราบ ก็รวมความว่าพระองค์นี้มีบารมีที่จะสามารถเกิดในชั้นดุสิตได้ก็แล้วกัน แต่ว่าการตายครั้งนั้นของท่าน เพราะจิตท่านไปกระหวัดถึงจีวร แทนที่จะเกิดเป็นเทวดา กลับไปเกิดในกลีบของจีวร ในกลีบของจีวรนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านเกิดเป็นเล็น ไอ้เล็นนี่ตัวเล็กมาก เรามองด้วยสายตาเปล่า อย่างตาอาตมาอายุตั้ง ๗๐ นี่ไม่เห็นแน่

    บางทีใส่แว่นตาแล้วอาจจะไม่เห็นเพราะตัวมันเล็กมาก เสียงของเล็นร้องตะโกนขนาดไหนหูของเราก็ไม่ได้ยินแน่ แต่ว่าท่านก็ย่องเข้าไปเกิดเป็นเล็น ตามพระวินัยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าพระตายลงไปแล้วทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ ถ้ามีคนที่รับทรัพย์มรดกได้พระองค์นั้นต้องประกาศก่อนตาย หรือว่ามอบให้ใครก่อนตายจึงจะเป็นสมบัติของผู้นั้นได้ ถ้าตายลงไปแล้วโดยไม่มอบให้ใคร ทรัพย์สมบัติทั้งหมดต้องตกเป็นของสงฆ์ ข้อนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฟังแล้วก็โปรดจำไว้ด้วย เพราะอาตมาเองเคยมีหน้าที่จัดทรัพย์สินของสงฆ์อยู่หลายครั้ง ของพระที่ตายแล้ว ปรากฏว่ามีคนบางคนมาอ้างบอกว่า ฉันเป็นลูกบุญธรรมบ้าง เป็นพี่บ้าง เป็นน้องบ้าง เป็นหลานบ้าง เป็นคนนั้นบ้าง เป็นคนนี้บ้าง

    และทรัพย์สมบัติส่วนนั้นส่วนนี้ท่านยกให้ฉันเป็นสมบัติของฉัน เคยมีมาแล้วในกาลก่อน ทีนี้กรรมการจะทำยังไงก็ต้องประชุมสงฆ์ให้สงฆ์ลงมติว่าสงฆ์เห็นมีความสมควรยังไงก็ต้องปฏิบัติตามนั้น และก็ได้แนะนำให้ท่านผู้นั้นทราบว่า เรื่องนี้จะให้อาตมามอบน่ะอาตมามอบไม่ได้เพราะมันผิดวินัย ยังไง ๆ ก็ไม่มอบให้แน่ แต่ว่าถ้าจะเอาให้ได้ก็ให้หยิบเอาไปเองก็แล้วกัน อาตมาจะไม่โจทย์ไม่ฟ้องท่านว่าเป็นขโมยขโมยของสงฆ์ แต่ว่าถ้าจะให้บอกว่าให้นะบอกไม่ได้แน่ เพราะถ้าบอกว่าให้ถือว่าขโมยของสงฆ์ไปให้ชาวบ้าน เพราะการมอบหมายให้ซึ่งกันและกัน ตามวินัยต้องทำอย่างนี้ ต้องมอบให้กันก่อน ให้ก่อนตายอธิบายให้ฟังแล้วเราก็ไม่หวง แต่เนื้อแท้จริง ๆ ในที่สุดท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ยอมรับเอาไป บอกว่าถวายสงฆ์

    ข้อนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่มีความสำคัญมากบรรดาท่านพุทธบริษัท การนำของสงฆ์ไปเป็นทรัพย์ส่วนตัวนั้นต้องระวัง แม้แต่เศษกระเบื้องแตก ๆ เล็ก ๆ ชิ้นเดียวหรือดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ชิ้นเดียว ใบไม้ที่ไร้ค่าจริง ๆ แล้วใบเดียว ท่านนำไปโดยที่สงฆ์ไม่ได้อนุญาต ก็ถือว่าเป็นการขโมยของสงฆ์ ผลที่จะพึงได้รับก็คือ อเวจีมหานรก ข้อนี้ใครจะเถียงไหม ท่านจะเถียงก็เถียงเถอะ ในเมื่อเทปไปอยู่ที่ท่านเถียงอาตมาก็ไม่ได้ยินถ้าขืนได้ยินก็ไม่เถียงไม่ตอบท่านเพราะถ้าขืนโต้ตอบกับท่าน

    ดีไม่ดีจิตใจอาตมาเศร้าหมองเพราะการโต้ตอบกับพวกท่านที่ละเมิดพระธรรมวินัย กำลังใจเกิดเศร้าหมองขึ้นมาอาจจะต้องไปอยู่ในนรกเสียเองก็ได้ ไม่เอาแล้ว บอกให้ฟังกัน ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน ถ้าเป็นลูกเป็นหลานพระ เป็นญาติของพระ เป็นผู้ที่รับมรดกจากพระได้เมื่อพระตายแล้ว บอกให้พระที่มีส่วนสำคัญของท่านมอบเสียก่อนตาย ถ้ายังไม่สามารถจะยกให้ใครได้ทำพินัยกรรม แล้วก็มีฆราวาสและมีพระเป็นพยาน ว่าของส่วนนี้เมื่อท่านตายไปแล้วเป็นสมบัติที่บุคคลนั้นจะพึงได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2015
  20. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    บุคคลนี้จะพึงได้ แต่ข้อนี้ก็ขอเตือนบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย พูดสำหรับญาติโยมก่อนนะ ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ถ้าพระตายไปก่อนแล้วท่านนำเอาไปบ้านของท่าน อย่าลืมว่าโทษลักของสงฆ์ เป็นของไม่เล็กเลย ความจริงเราได้มาเราก็ตาย เราไม่ได้มาเราก็ตาย ทางที่ดีก็ควรจะตายแบบประเภทที่เรียกว่าไปอยู่ในแดนที่มีความสุขดีกว่า ถ้านำของสงฆ์ไป อย่างน้อยท่านก็ลงอเวจีแน่นอน ไม่มีทางพ้น อาตมาคิดว่าไม่เอาเสียเลยดีกว่า

    ทีนี้ของที่จะพึงรับได้ก็ต้องดู ว่าของที่พระท่านให้ว่าเป็นทรัพย์สินมาจากอะไรเป็นทรัพย์สินดั้งเดิมจากฆราวาสหรือว่าเขาถวายสมัยเมื่อสมัยเป็นพระ ถ้าเป็นทรัพย์สินที่มีญาติโยมพุทธบริษัทที่มีศรัทธาถวายมาในระหว่างเป็นพระ อย่ารับเลยบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าของที่เขาถวายมานั้นระหว่างเป็นพระแล้ว จะถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพระองค์นั้นได้ แต่ว่าทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นจะโอนให้ญาติไม่ได้แน่นอน ที่เขาเรียกว่า เงินหรือของสาธุ คำว่า "สาธุ" คือ ท่านผู้ให้ให้ด้วยดีแล้ว ให้ด้วยเจตนาที่ท่านผู้รับเป็นพระ

    หากว่าท่านทั้งหลายที่ไม่ใช่พระ ไปรับมรดกอย่างนี้ ยังไง ๆ ก็ไม่พ้นการตกนรก เป็นการละเมิดทำลายศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปรับโทษหนักมาก ต่อไปนี้ขอเลี้ยวถึงพระอีกสักหน่อย เรื่องนี้สั้นมาก บรรดาพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน หากว่าท่านจะมอบอะไรให้กับญาติโยมของท่าน ก็ต้องดูถ้านาที่ดินก็ดี บ้านก็ดี เงินทองก็ดี ส่วนนั้นถ้ามันได้มาจากในสมัยเมื่อเป็นฆราวาสนั่นหมายความว่ายังไม่ได้บวช เป็นทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้เป็นส่วนตัว

    และก็เวลาบวชแล้วก็ยังไม่ได้ใช้หรือใช้ยังไม่หมด หรือว่าบางทีไปฝากธนาคารไว้ ฝากธนาคารเงินมันก็งอก ดอกเบี้ยมันมี แต่ก็ต้องเป็นดอกเบี้ยของเงินส่วนนั้น ทรัพย์สมบัติส่วนนี้ท่านสามารถจะโอนให้ญาติท่านได้ เพราะเป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่ว่าเป็นทรัพย์ที่ท่านได้มาจากการถวายของบรรดาท่านพุทธบริษัทสมัยที่เป็นพระแล้ว ไอ้อย่างนี้อย่าเข้าไปแตะต้อง คิดว่าเป็นส่วนตัวโดยเฉพาะ ให้ถือว่าท่านผู้ถวายถวายเพราะเราเป็นพระ ทรัพย์สมบัติส่วนนั้นเหมาะในการเป็นพระเท่านั้นที่ใช้

    ถ้าท่านขืนโอนให้กับบรรดาญาติโยมของท่านไป ท่านเองจะต้องลงอเวจีมหานรก บางท่านอาจจะค้านว่าอะไรก็อเวจี อะไรก็อเวจี เวลานี้ก็เป็นของไม่ยาก เราสามารถพิสูจน์กันได้ว่าพระที่ตายไปแล้ว และก็จับจ่ายใช้สอยทรัพย์ประเภทนี้ไปไหนกัน มีอยู่เกลื่อนในอเวจีมหานรก ต่อนี้ไปก็พูดถึงเรื่อง พระติสสะ เพราะเรื่องสั้น เลยนำเรื่องอื่นเข้ามาประสานประสานให้พอกับเวลา

     

แชร์หน้านี้

Loading...