รบกวนถามผู้รู้เรื่องภูมิจิตครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หัดเดิน, 17 พฤศจิกายน 2011.

  1. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    งั้นก็ต้องทำฌาน ๔ ให้สำเร็จก่อน แล้วจึงทำฌาน ๔ที่สำเร็จแล้ว ให้มากๆ เช่นนั้นหรือครับ
    ตรงนี้ที่พระท่านชี้เรื่องเจริญให้พอกพูน ต้องน้อมมาพิจารณาให้แยบคายนะครับ
    ผมเองก็ไม่รู้หรอก ที่ผมเข้าใจคือรู้ว่ากระทำ รู้ว่าสำเร็จอย่างไรแล้ว ก็ให้เจริญ(กระทำจริง)ให้พอกพูน จนสำเร็จ
    แลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ
    ขอบคุณครับ
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ที่ผมยกมาเป็นของท่าน ศ.เกียรติคุณ.ดร. แสง จันทร์งาม ท่านรวบรวมไว้ในหนังสือ พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์. ครับ...

    ถ้าท่านนำแหล่งที่มาไปค้นต่อในพระไตรปิฏกเล่มใหญ่ ท่านจะได้คำว่า"ภิกษุเจริญ กระทำให้มากซึ่งฌาน ๔" ความหมายเหมือนกันกับท่านอาจารย์ ศ.เกียรติคุณ.ดร. แสง จันทร์งาม กล่าวไว้นั่นหละครับ...

    ถ้ากล่าวถึง "ภิกษุเจริญ กระทำให้มากซึ่งฌาน ๔" ท่านจะหมายความคำนี้ว่าเช่นใดหละครับ....
     
  3. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    มรณัสสติสูตรที่ ๑
    [๒๙๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทสร้างด้วยอิฐใกล้บ้านนาทิกคาม
    ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น
    ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณัสสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
    ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายย่อมเจริญมรณัสสติหรือ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้
    ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ
    เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่าโอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    และภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ประมาท เจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายช้า
    ส่วนภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    และภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ
    เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้ เรากล่าวว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแรงกล้า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
    เราทั้งหลาย จักเป็นผู้ไม่ประมาท จักเจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายอย่างแรงกล้า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
    จบสูตรที่ ๙



     
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
  5. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    พิจารณา เรื่องการ เจริญให้มาก
    การมนสิการ
    และ กล่าวถึง ความสำเร็จในกิจ
    เหมือนเรามีมีด จะฟันต้นกล้วย มีดมี ต้นกล้วยมี เรามี ก็กระทำ คือฟันต้นกล้วย
    เมื่อฟัน ขาดแล้ว เสร็จกิจแล้ว
    จริงๆแล้ว ก็เข้าใจไม่ต่างกันหรอกครับ ในเรื่องความเห็นอาจจะมีต่างกันบ้าง
    ก็เลยนำเสนออีกด้านหนึ่ง เท่านั้นครับ
    ไม่ได้จะโต้เถียงมาก เพราะยังไง ความเห็นผม ก็ใช่ว่าจะถูก
    เพราะยังเป้นคนธรรมดาครับผม เห็นผิดเป็นปกติ หาถูกยาก
    หรือพูดง่ายๆ เห็นผิดเป็นนิจ แต่ชอบแสดงตน
    ขอบคุณครับผม
     
  6. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    คงหมายให้ภานุเดชอยู่กับปัจจุบันบ้าง ^^

    :cool:
     
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    จริงๆแล้วที่สำคัญที่สุดก็คือทำให้เกิดเลยนั่นหละครับ....รู้ชัดเจนนะ....

    ถ้าศึกษามามากแล้วฟุ้งซ่านก็วางไว้บ้างก็ดี ทำให้เกิดเสียก็จะเข้าใจ...

    ส่วนในเรื่องของพระพุทธพจน์นั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องศึกษาเท่านั้นเองหละครับ....เพราะว่าจะได้ปฏิบัติได้อย่างไม่ผิดไม่พลาดไป...จุดสำคัญคือการปฏิบัติให้เข้าถึง...ซึ่งก็ตรงกับความคิดเห็นของคุณที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วใช่ไมครับ......

    เอาเป็นว่าความเห็นไม่ต่างกัน คงไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องพูดต่อแล้วสิครับ..
     
  8. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    พูดสิครับ จะหย่าขาดจากกันเลยเชียว
    :boo::boo::boo:
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ^-^

    โมทนาสาธุธรรมนะครับ.....ตั้งใจปฏิบัติกันนะครับ...
     
  10. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    กิเลสหลบใน

    ทางโลกลูบหน้าปะจมูก มีความเกรงใจกัน พูดเพื่อมารยาททางสังคม

    ส่วนทางธรรม มันต้องทิ่มแทง เข้าตรงหัวใจ ส่วนหากภายใน รับไม่ได้ต่อกัน

    แต่อมก้อนกิเลสก้อนกรรมไว้ อยู่ในลำคอ

    แสร้งว่าไม่มีอะไร รับได้วางได้ ทำมาดเท่ห์

    แต่แท้จริงแล้ว หากคายบ้วนออกมาซะ มันก็ อ๋อ อ๋อ อ๋อ อ้อ..! นี่เลื่อนระดับภูมิ สำรอกความหลบใน

    ไม่ต้องไปพึ่ง "ซังโฮ่วโล้วเลี่ยงเต๊"
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณเห็นว่า พ้องกันหรือครับ ไม่น่าจะพ้องกันนะ มันแค่ พอเหมือนๆ
    ยังมีหมายๆ

    มรรคผลนิพพานนั้น เข้าได้ 4 ครั้ง อันนี้เป็นธรรมนิยาม ที่ใครๆก็
    ทราบ คือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

    มีใครในโลกนี้ เข้า โสดาบันได้ หลายครั้ง จะเข้าทำไมหลายครั้ง

    เป็น อรหันต์อีก จะเข้าทำไมหลายครั้ง เป็นแล้วเป็นเลย ได้คน
    ละ 4 ครั้งเท่านั้น ที่ "อัปปนา ฌาณ4 แล้วโน้มไปนิพพาน"

    ที่มากครั้งนั้น อันนั้น มันเป็นเพียง "อุบายฝึกหัด"

    อุบายฝึกหัดเข้านิพพาน หลายครั้ง นี่ แฟนผมก็ฝึก ผมก็ไม่เห็น
    จะต้องไปขัด เพราะเธอก็ทราบชัดว่า มันแค่ "อุบาย" เท่านั้น
    แล้ว เธอก็ฝึกมาตั้งแต่ "มัธยม"

    ทำไม เธอ ถึงทราบว่า มันเป็น อุบายฝึกหัด ก็เพราะว่า หาก
    เธอเข้านิพพาน ไม่มีหรอกที่จะมาโง่ แต่งงานกับผม แป่ว!!!
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    นี่ๆ บอกก่อนนะว่า แฟนผมไม่ได้ฝึกแบบ ขี้ๆ เธอฝึกของเธอได้
    หละ แต่ว่า เนาะ คงต้องมีอะไรสักอย่างที่ ยังมาแต่งงานกับผม

    บางทีนี้ เธอจะเล่นแบบนี้ด้วย เวลาไปต่อ คิวกดเอทีเอ็ม เธอจะกำหนด
    ในใจให้เราได้ถึงก่อน ป๊าปเข้าให้ เครื่อง ขัดข้องชั่วคราว คิวก่อน
    หน้าเดินออก เครื่องกลับมาปรกติ แจ่มไปเลย

    ผมก็ถึงบางอ้อเลย มิน่าหละ ถึงยังมาแต่งงานกับผม มันขาดอะไร
    บางอย่างไปนี่แหละ

    แต่เธอก็ว่า เธอไม่ได้ตั้งใจนะ จริงๆแล้วไม่ได้ตั้งใจ มันแว๊บไปเอง
    เข้าแล้วออก แล้วก็ปรากฏ

    ไปหาพระ พระท่านก็ว่า ก็ดูให้ทันสิ "จิตมันส่งออก"

    รู้ในกาย ในใจตน ด้วยจิตตั้งมั่นเป็นกลาง เห็นความเกิดดับ
    ไปเนืองๆ ไม่ต้องไปเกลียด หรือ โทษอะไร ทำใจกลางๆ
    เดี๋ยวก็เข้าใจธรรม ไม่ยากหรอก

    แต่คงยากหน่อย เพราะ เธอแบบพอใจ ยิ่งกรณีไปจอดรถ
    ตามห้าง ผมถามว่าต้องลงไปดูให้ไหมตรงไหนว่า เธอบอก
    ว่าไม่ต้อง แล้วก็เลี้ยวๆไป วันไหนแจ่มใสก็ ก็เจอได้ไม่ลำบาก
    [ แปลเอาเองนะ อย่าแปลมั่วๆ หละ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2011
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อ้อ อีกอย่างนะ ที่มีคนเข้ามาว่า นิวรณ์ หรืออีกไอดี เล่าปัง และ (ยังมีอีกเยอะ พอควร)

    พวกคุณก็อย่าละเมอ อย่าเห็นว่า ผมกำลังแสดงธรรม อย่าเมานะ

    ผมไม่ได้แสดงธรรม เพราะ หากแสดงธรรม ก็ต้อง แสดงแต่ธรรม
    ต้องไม่มีข้อความอย่างอื่น ที่ไม่ใช่ธรรม

    ดังนั้น ข้อความของผม มีเรื่องอย่างอื่นที่ไม่ใช่ธรรม ปรากฏ อยู่ เห็นกัน
    ชัดเจน ไม่มีบัณฑิตโง่ๆคนไหน ที่ไม่เห็น ว่า ผมกล่าวสิ่งอื่นปะปนด้วย
    ไม่ได้แสดงธรรมล้วนๆ

    สรุปคือ ผมไม่ได้แสดงธรรม อยู่แล้ว แต่ต้น ดังนั้น ไม่ต้องมาหยิบจับ
    สิ่งที่พวกคุณพอใจ ขึ้นไปเสพอย่างคนไม่รู้

    เพราะ หากเป็นคนรู้ เป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด ย่อมเลือกเฝ้นแต่ธรรม อะไร
    ไม่ใช่ธรรมก็วางไว้ ไม่เก็บ ไม่โกย ขึ้นไปไว้ที่ตัวอย่างคนโง่เท่านั้นที่ทำอยู่
     
  14. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    "อัพยากตา ธรรมา"

    "การแสร้งทำเป็นว่ารู้ เพื่อวางเฉย"

    หรือ "การทำเป็นเฉย อย่างผู้รู้"

    ก็เป็น "อัพยากตา ธรรมา"

    ดูให้เป็นธรรม ก็ระลึกไปสิเนาะ มันเกิดดับ เฝ้นแต่ธรรม

    แต่ถ้า "อัพยากตา ธรรมา" เกิดขึ้น แสร้งว่ารู้ แสร้งว่าเฉย วางมาด
    วางวาทะ ยกไปกล่าวอ้างกิเลสผู้อื่นโดยตนทำเป็นว่า "เฉย" แล้วไม่ดู
    จะพอกพูลอวิชชา(ความโง่) กันก็ตามใจนะ ห้ามได้ซะที่ไหน ใจใครใจมัน
     
  15. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ปลุกมันขึ้นมาฆ่า..! ^^

    แสดงโดย พรรณนา ฤทธิไก่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2011
  16. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    [​IMG]
     
  17. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไม่ต้องหรอก แค่ เคส "สุเรอ (ด้วยเหตุผลบางประการ จึงไม่สามารถสกดภาษา
    อังกฤษได้)" นั้นก็แย่แล้ว หนักแล้ว สำหรับคนทำหน้าที่ แนะนำ

    คนมารับการแนะนำ โหลด 13+

    คนให้การแนะนำ โหลด 18+

    ไม่หนัก ก็แปลก

    * * *

    เดี๋ยวไม่เสมอ

    ส่วนผมคนโพสนี่ ชอบ โหลด ปู++ (ผัด ผัด)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2011
  18. aubasok

    aubasok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +483
    เห็นด้วยครับ สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยากจริงๆ สำหรับคนนี้เหนือคำบรรยายใดๆ
     
  19. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    พระพุทธศาสนาแสดง วิมุตติ คือความหลุดพ้นจากกิเลสไว้ ๕ อย่างคือ
    ๑. วิกขัมภนวิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลสด้วยการข่มไว้ด้วยอำนาจของฌาน เพียง<WBR>ปฐม<WBR>ฌานก็สามารถข่มธรรมอันเป็นข้าศึก คือนิวรณ์ ๕ มีกามฉันทะนิวรณ์ได้แล้ว แต่ไม่อาจละนิวรณ์ ๕ ให้ขาดไปจากใจได้ หมดอำนาจฌาน กิเลสคือนิวรณ์ก็เกิดได้อีก
    ๒. ตทังควิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลสด้วยองค์นั้น ด้วยอำนาจของวิปัสสนาญาณ เพียงได้นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่แยกนามกับรูปว่าเป็นคนละอย่าง ก็สามารถละความเห็นผิดว่านามรูป เป็นตัวตนได้ชั่วคราว
    ๓. สมุจเฉทวิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลส ด้วยการตัดขาด ด้วยมรรคญาณ กิเลสที่ถูกตัดขาดไปแล้วย่อมไม่กลับมาเกิดได้อีก
    ๔. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลส เพราะกิเลสทั้ง<WBR>หลายสงบระงับไปในขณะแห่งผลจิต
    ๕. นิสสรณวิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลสด้วยการสลัดออกจากธรรมอันเป็นข้าศึกคือกิเลส ด้วยนิพพาน
    ในวิมุตติ ๕ อย่างนี้ วิมุตติ ๒ อย่างแรกเป็นโลกียะ ส่วนวิมุตติ ๓ อย่างหลัง<WBR>เป็น<WBR>โลกุต<WBR>ตระ ปัญญาคือความรู้ในวิมุตติ ๕ อย่างนั้น เรียกว่า วิมุตติญาณ
    ใน อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต กล่าวถึงวิมุตติ ๒ อย่างคือ เจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ ว่า
    [๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุติ เพราะสำรอกอวิชชาได้จึงชื่อว่าปัญญาวิมุติฯ

    มีสติตั้งมั่น(ไม่มีทั้งอภิชญา และโทมนัส)จึงเห็นรูปนามในกรอบของไตรลักษณ์
    เห็นรูปนามในกรอบของไตรลักษณ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปในที่สุด ต่อเนื่องจึงเกิดสมุจเฉทประหาร
    หากไม่เห็นรูปนาม หลงกลับลงไปในสมมติ หลงเข้าไปในความคิด ในอารมณ์ ระงับไม่ได้ล้นมาเป็นทำอกุศลกรรม ก็ทำชั่ว ก่อกรรม ก่อภพ ตกนรกรับวิบากต่างๆ


    วิธีปฎิบัติให้เจริญขึ้นไป
    1.ฝึกอานาปาณสติ เพิ่มกำลังสติ
    2.วิปัสสนารูปนามในกรอบของไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆยิ่งๆขึ้นนะครับ
     
  20. หัดเดิน

    หัดเดิน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณ และ อนุโมทนาบุญกับทุกความเห็นครับ

    ขอบคุณทุกท่านมากครับ

    มีบางความเห็นที่ไม่ตรงกันของท่านที่กรุณาแนะนำผมนะครับ

    แต่เท่าที่อ่านของทุกท่านแล้วสรุปว่า แนวทางการปฏิบัติและความรู้ของผมน่าจะมาถูกทางแล้ว และที่เห็นตรงกันอีกอย่างน่าจะเป็นการทำจิตให้เป็นเพียงผู้รู้และน้อมสิ่งที่รู้เห็นลงสู่ไตรลักษณ์นะครับ

    จากนี้ผมจะได้เพิ่มความเพียรและนำแนวทางที่ทุกท่านแนะนำไปปฏิบัติครับ

    ขอแสดงความขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...