รวบรวมข้อมูลเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 28 กันยายน 2006.

  1. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    แบบจำลองสถานการณ์ช่วงวิกฤติ​

    ชุมชนเมืองจะอยู่อาศัยไม่ได้ ไม่ปลอดภัย คนจนในเมืองกลายเป็นอาชญากรรม คนรวยมีเงินมากมายแต่ไร้ค่า ไม่มีใครยอมขายอาหารให้ ต้องหลบซ่อนตัวในที่พัก ปกป้องทรัพย์สินของตน ชุมชนชนบท ไม่มีข้าวกินเพราะขายข้าวไปหมดแล้ว ได้เงินมาก็ใช้หมดแล้ว ลงทุนเพาะปลูกไปแล้ว ยังไม่ได้ดอกผล อาหารจะรวมกันที่โรงสี และศูนย์อาหารในเมือง การกระจายอาหารที่ไม่ดี ทำให้คนจนก่ออาชญากรรม คนรวยถูกฆ่าง่ายๆ คนดีไม่มีข้าวกิน แม้นแต่น้ำก็ขาดแคลน

    กลยุทธ์การกัน​
    , แก้ และก้าว (ก่อนเกิดกันได้, หากเกิดเหตุแก้ได้, ไม่เกิดก็ก้าวหน้าได้)

    ประกาศโครงการ "ชุมชนพอเพียงเพื่ออนาคต" โดยรณรงค์ว่า จะให้ชนบทเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำรายได้เข้าชุมชนโดยตรง ตามโครงการพัฒนาชุมชน เป็นการปิดข่าวสงคราม คนไม่แตกตื่น และการทำแบบนี้คือการเตรียมตัวรับสถานการณ์อย่างแนบเนียน ชุมชนชนบทจะมีเต้นสำรอง, น้ำสำรอง, อาหารสำรอง, ที่พักเครื่องกันหนาวสำรอง โดยบอกว่าเตรียมไว้เพื่อรับนักท่องเที่ยวในอนาคต ซึ่งจะทำเงินให้ประเทศ แต่แท้จริงแล้ว เตรียมไว้ช่วยคนเมือง ที่จะหนีภัยสงคราม และซึนามิที่ท่วมเกือบครึ่งประเทศมา เมื่อคนจากเมืองไร้บ้านมาสามารถเปิดบ้านต้อนรับได้ทันที

    เตรียมสังคมเมตตาธรรม โดยการรณรงค์การต้อนรับประทับใจ โดยการให้ไปฝึกควาเมตตา, พรหมวิหารสี่ โดยมีศูนย์กลางการฝึกที่วัด มีบุคลากรอาสาสมัครไปสอนงาน เช่น การเตรียมตัวป้องกันและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ได้รับภัย สร้างมาตรฐานความปลอดภัย เป็นต้น ฝึกซ้อมแบบนี้สามารถช่วยคนที่ตกยากมาได้ทันที แต่บอกว่าเป็นการฝึกการบริการที่ดี เพื่อเตรียมเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เราจะปิดไม่ให้เขารู้ตัวว่าเป็นการเตรียมตัวช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเมื่อยามสงครามและน้ำภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ฟื้นฟูวัฒนธรรมควาเมตตาอารีที่ถูกขายไปนาน ให้กลับมาสู่แดนดินไทย

    เตรียมศูนย์กลางชุมชน ได้แก่ ศูนย์กลางเสบียง ซึ่งมียุ้งฉางกลาง เก็บเมล็ดพันธุ์พืช ต่างๆ ทั้งที่กินได้ทันที เช่น พวกถั่ว พวกที่ต้องนำไปเพาะแต่โตเร็ว เช่น ผัก และเมล็ดพันธุ์ข้าว ให้สามารถช่วยเหลือคนทั้งหมู่บ้านได้ นอกจากนี้ยังมีศูนย์กลางปฐมพยาบาล และศูนย์เก็บสมุนไพรประจำตำบล ที่สามารถรองรับการรักษาโรคได้อย่างทันท่วงทีและทั่วถึง ทั้งยังเตรียมบุคคลากรไว้ให้พร้อมด้วย ส่วนศูนย์กลางการสื่อสารนั้นก็จำเป็นเช่นกัน เพื่อประกาศข่าวต่างๆ ให้ความรู้ได้ทันที เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้าย ประชาชนจะรู้ได้ว่าควรทำอย่างไร อย่างไรก็ตาม ศูนย์กลางข่าวสารนี้ ควรคำนึงถึงเวลาขาดไฟฟ้าด้วย

    เตรียมแหล่งน้ำจำนวนมาก ควรพิจารณาแหล่งน้ำสำรองจากใต้ดิน บ่อน้ำบาดาลควรมีจำนวนมาก เพราะจะปลอดภัยจากฝุ่นกำมันตรังสีและอาวุธเชื้อโรคที่อาจแพร่มาทางแม่น้ำโขง ดังนี้ จึงควรรณรงค์ให้แต่ละหย่อมมีบ่อน้ำบาดาลใช้ร่วมกัน กระจายอย่างทั่วถึง น้ำเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะเขตอีสาน หากน้ำทะเลท่วมหนุน น้ำใต้ดินมีเกลือมาก จะขุดกินน้ำบาดาลไม่ได้ แม่น้ำโขงก็มีอาวุธเชื้อโรคแพร่ระบาด แต่เราต้องไม่บอกประชาชนตรงๆ บอกว่าฟื้นฟูวัฒนธรรม บอกว่ารสนิยมฝรั่งเขาชอบมาดูแบบนี้ เป็นเอกลักษณ์ที่ประเทศอื่นไม่มี เราจะทำให้เป็นจุดขาย และใช้กินได้ทันทีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นหน้าแล้งหรือหน้าในก็ตาม โดยเราจะสอนการกรองน้ำ, ต้มน้ำ และช่วยกันทำเครื่องกรองแจกให้ทั่ว

    การลงทุนสร้างที่พักอาศัยใหม่จะใช้เวลานาน และไม่ทันการณ์ ต้องใช้ชุมชนเดิมเป็นรากฐาน โดยต้องอาศัยอาสาสมัครทำงานนี้ ให้ครอบคลุมทั่วไทย กระจายทั้งด้านยุทโธปกรณ์, บุคลากร ฯลฯ ซึ่งต้องลาออกจากงานมาทำงานรับใช้ชาติเต็มตัว งานนี้จึงจะสำเร็จได้ หาไม่แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดลงมือช่วยเหลือ สังคมไทยถูกทอดทิ้ง คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตายไม่รู้ตัว คนที่รู้มากเห็นแก่ตัวก็ถูกอาชญากรปล้นฆ่าตาย บ้านเมืองไหน ไม่เตรียมสังคมพุทธไว้ บ้านเมืองนั้นเป็นอันต้องล่มสลายสิ้นชาติ

    กลยุทธนี้เดินหมากเกมเดียว ใช้ได้ทั้ง กัน, แก้ และก้าว รับศึกได้ทุกแบบ ทุกทิศ ทุกสถานการณ์ มีสมดุลในตัว เติบโตได้ ยืดหยุ่นได้ พลิกแพลงต่อได้ และเหมาะสมสอดคล้องกับรากฐานความเป็นไทย ทุกประการ ซึ่งหากไม่เกิดอะไรขึ้น ชุมชนไทยจะเข้มแข็งเป็นชุมชนพึ่งพาตนเองได้ทันที พร้อมเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมได้ในอนาคตอย่างพอเพียงอีกด้วย วัฒนธรรมก็ถูกฟื้นฟู ความสามัคคีของคนในชาติก็กลับคืนมา แต่ถ้าเกิดเหตุขึ้นมา จะเป็นแหล่งพึ่งพาอาศัยและอยู่ร่วมกันได้ยามวิกฤติ

    ภัยใดไม่เท่าภัยจากมนุษย์ด้วยกัน
    ขาดน้ำและอาหารอยู่ได้หลายวัน
    ขาดอากาศหายใจอยู่ได้ไม่เกินสี่นาที
    แต่มนุษย์ด้วยกันนี้ฆ่ากันได้ในพริบตาเดียว​
    ขอให้คนดีช่วยเหลือกัน เราเสียสละส่วนตน สองสามปี สร้างชาติใหม่ ไทยพุทธจะครองโลก
    สามัคคี​
    , เมตตาธรรม, ขันติ, อุเบกขา และปัญญา จะทำให้รอดพ้นภัยพิบัติสู่ยุค "ศรีวิไล" แฮ...

     
  2. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    มีใครจับจองพื้นที่ที่ปลอดภัยหรือยังค่ะ
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ตอนนี้อยู่ในช่วงของการรวบรวมข้อมูลทางด้านต่างๆครับ
     
  4. KEN_BP

    KEN_BP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +544
    เข้ามาสวัสดีปีใหม่กับทุกท่านครับ
    ขอให้ทุกท่านมีความสุข ปารถนาสิ่งใดขอให้สมความปารถนาทุกประการ
    สาธุ
     
  5. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,156
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,352
    ผมอยากให้คุณ kananun ช่วยรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วเปิดกระทู้ ไม่ก็พิมพ์ลง word ให้กับเหล่าสมาชิกกลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติกันนะครับ เพราะบางคนมาใหม่จะไปไล่เปิดอ่านหมดก็ไม่ไหวครับ ตาลาย -*- เหมือนผม เพราะมีทั้งข้อมูล มีทั้งคนมาโพส โอยมึนเลย
     
  6. toeiaubdul

    toeiaubdul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +151
    ถ้านำข้อมูลจากกระดานสนทนา ตัดตอนส่วนต่างๆไปเพื่อรวบรวมและทำเอกสารประชาสัมพันธ์จะผิดไหมค่ะ
    คืออยากมีส่วนรวมแต่ไม่รู้อะไรเลยค่ะ
    รู้แต่จากเวปพลังจิตห้องนี้แหละ ก็เลยอยากให้คนทั่วไปได้รู้มากขึ้น
    เลยต้องขออนุญาติจากเจ้าของข้อมูลหลายๆคนก่อนค่ะ
     
  7. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ขออนุโมทนา ดีมากเลยที่มีคนช่วยรวบรวมข้อมูล แล้วกระจายให้คนทั่วไปได้ทราบด้วย
     
  8. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ทำได้ครับ ทุกคนยินดีเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นวัตถุประสงค์หลักในการทำงานของพวกเราทุกคนอยุ่แล้วที่จะให้ความรู้ข้อมูลข่าวสารไปยังประชาชนทั่วไปเพื่อที่ทุกคนจะได้มีความรู้ และเตรียมตัวตามกำลังที่ทำได้ ครับ

    ถ้าความรู้ของพวกเราทุกๆคน จะสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้อีกเป็นจำนวนมาก ก็นับเป็นมหากุศลที่พวกเราจะพึงทำได้ในฐานะ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันครับ
     
  9. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    การปฐมบพาบาลเบื้อต้นค่ะ

    http://www.nurse.nu.ac.th/cai/firstaid02.html
    - การปฐมพยาบาลผู้ที่กระดูกหักหรือได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและข้อต่อ
    - การช่วยเหลือผู้จมน้ำ
    - การพันผ้า
    - การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
    - การปฐมพยาบาลกรณีมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย
    - การปฐมพยาบาลผู้ที่มีไข้
    - การปฐมพยาบาลกรณีตกเลือด, เกิดบาดแผลและการทำแผล
    - การปฐมพยาบาลกรณีได้รับสารพิษ
    - การปฐมพยาบาลกรณีถูกสัตว์กัด,ต่อย


    ไม่รู้จะเอาไว้กระทู้ไหนดี มึนงงไปหมดแล้ว
     
  10. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    ตั้งกระทู้ใหม่เลย "การปฐมพยาบาลเบื้องต้น" :cool:
     
  11. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    มีใครคิดเรื่องปลูกพืชอะไรบ้างหรือยังค่ะ

    เดี๋ยวไม่มีอาหารกินน่ะค่ะ^^

    มีใครซื้อเมล็ดพันธุ์อะไรเก็บไว้หรือเปล่าค่ะ
     
  12. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ร่างรัฐธรรมนูญ
    ในระบอบการปกครองแบบพุทธะ
    และระบบเศรษฐกิจพอเพียง

    ปรัชญาการปกครองระบอบพุทธะ



    <DIR><DIR>
    1. หลักดุลยภาพแห่งอำนาจ.............มีสมดุลและเสถียรภาพในการปกครองทั้งระบอบสูงสุด
    2. หลักเอกภาพแห่งองค์รวม.............มีเอกภาพในการบริหารสูงสุดภายใต้ความหลากหลายสูงสุด
    3. หลักอิสรภาพแห่งองค์ย่อย............สร้างและให้อิสระภาพส่วนบุคคลตรงทางมากกว่าเสรีนิยม
    4. หลักความเท่าเทียมในธรรม...........สร้างและให้โอกาสในธรรมพอเพียงมากกว่าสังคมนิยม
    5. หลักธรรมคืออำนาจสูงสุดคัด..........เลือกและบริหารด้วยธรรม, กกหมายจากกฏแห่งกรรม



    </DIR></DIR>
    หลักดุลยภาพแห่งอำนาจ
    อำนาจสูงสุดแห่งรัฐธรรมนูญมาจากธรรม.........................................บุคคลผู้บรรลุธรรมสามารถปรับได้
    อำนาจสูงสุดในการเลือกพระมหากษัตริย์อยู่ที่ประชาชน ................. เลือกโดยการ "ไม่เลือก"
    อำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ........................... ปกครองโดยการ "ไม่ปกครอง"
    อำนาจสูงสุดในการบริหารอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ................................. บริหารโดยการ "ไม่บริหาร"
    อำนาจสูงสุดในการควบคุมอยู่ที่พระสังฆราช ................................... ควบคุมโดยการ "ไม่ควบคุม"

    อรรถาธิบาย
    รัฐธรรมนูญหาใช่อำนาจสูงสุด...........................................
    เพราะอำนาจสูงสุดมาจากผู้บรรลุธรรมสูงสุดเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญและแก้ไขได้ตามยุคสมัย
    .........
    ประชาชนหาใช่ผู้เลือกพระมหากษัตริย์ .............................
    เพราะธรรมหรือสถานการณ์จะบีบบังคับให้ประชาชนเป็นผู้เลือกเองอย่างเป็นธรรมชาติ?
    .........
    พระมหากษัตริย์หาใช่ผู้ปกครอง ........................................
    เพราะทรงกระทำให้เป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการปกครองจึงมิต้องทรงปกครอง
    ........
    นายกรัฐมนตรีหาใช่ผู้บริหารประเทศ ...............................
    เพราะใช้ระบบที่ดีในการบริหารประเทศจึงมิต้องบริหารประเทศ
    ........
    พระสังฆราชหาใช่ผู้ควบคุม .............................................
    เพราะทรงสร้างพระศาสนาและให้ธรรมควบคุมแทนจึงมิต้องควบคุมประชาชน
    ........

    ขยายความ
    เมื่อพระสังฆราชทำนุบำรุงพระศาสนา, สอนธรรม ให้ประชาชนเข้าใจธรรม แยกแยะคนดีชั่ว สถานการณ์จะบีบบังคับโดยธรรมชาติ ทำให้ประชาชนรู้จักหาวิธีทางออกด้วยเมตตาและปัญญา จะไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศด้วยกำลังหรือการเข่นฆ่ากันเองแบบแนวคิด "มาร์กซิส" ทำให้ประชาชน "เลือกพระมหากษัตริย์" โดยไม่ยึดติดเปลือกภายนอก พิจารณาจากความดีภายใน ก็จะได้พระมหากษัตริย์ที่ดีมีคุณธรรมพร้อมสมบูรณ์เพื่อทำนุบำรุงประเทศในระยะยาว จึงไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยล้าหลัง ถอยกลับไปเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชแน่นอน เพราะหากพระมหากษัตริย์ทรงไม่อยู่ใน "ทศพิธราชธรรม" บำเพ็ญ "ทศบารมี" ก็ไม่อาจครองบัลลังก์ได้ ในขณะเดียวกันหากประชาชนไม่สนันสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนาแล้ว ประเทศจะมีกรรม ได้คนเลวมาปกครองประเทศ หรือหากพูดกันตามหลักเตุผล คือ พระพุทธศาสนาสอนให้คนดีมีปัญญา หากคนในชาติขาดการทำนุบำรุง ก็จะขาดปัญญาและคนดี สุดท้ายประเทศจะได้คนเลวที่เก่งไม่จริงขึ้นมาปกครอง

    ซึ่งพระมหากษัตริย์จะทรงสิทธิ์ในการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาล โดยไม่จำกัดว่าจะต้องสี่ปีครั้ง เนื่องจากจะก่อให้เกิดภาวะการลงทุนและการกันความเสี่ยงทางการเมือง ด้วยการโกงกิน เพื่อกักตุนไว้ในยามที่สมัยหน้าอาจไม่ได้รับเลือก พระองค์สามารถวินิจฉัยความผิดเด็ดขาดของรัฐบาลได้ทั้งชุด และสามารถถอดถอนได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ ทั้งยังไม่จำกัดเวลา จะทรงกระทำเมื่อใดก็ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้จะทรงกระทำโดยไม่กระทำ กล่าวคือ ประชาชนจะต้องเป็นผู้แสดงเจตจำนงค์ร่วมอันมีพลังขับดันเพียงพอก่อน พระองค์จึงทรงใช้พระราชอำนาจโดยการพิจารณา "ธรรม" หรือสถานการณ์นั้นๆ จากการเคลื่อนไหวของประชาชน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพระราชวินิจฉัย

    นายกและคณะรัฐบาลมิได้มาจากการเสนอหน้า หรือก่อตัวขึ้นด้วยเงินหรืออำนาจเก่า อันเป็นข้อเสียของระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน แต่มาจากการที่ประชาชนร่วมเสนอชื่อเข้ามาส่วนหนึ่งตามความปราถนาและจากพระมหากษัตริย์ทรงแสวงหาร่วมกัน เมื่อได้กลุ่มบุคคลอันเป็นที่ต้องการของทั้งพระมหากษัตริย์และประชาชนแล้ว ประชาชนจะทำการคัดเลือกเป็นจำนวนห้าเท่าในตำแหน่งสำคัญๆ และสามเท่าในตำแหน่งรองๆ และเท่าเดียวในตำแหน่งระดับล่าง (ทรงลงพระปรมาภิธัยเท่านั้น) จากนั้นจะทำการเสนอชื่อให้แด่พระมหากษัตริย์ ซึ่งจะทรงคัดเลือกให้เหลือเพียงตำแหน่งละหนึ่งคน เช่นนี้ จึงขจัดปัญหาการเสนอชื่อผู้ชนะการเลือกตั้งด้วยการโกงกินแบบมัดมือชกดังในอดีต โดยที่ไม่สนใจพระราชอำนาจแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ ให้ประชาชนเป็นผู้เลือกก่อน พระให้อำนาจคืนแก่ประชาชนก่อน และให้พระมหากษัตริย์ทรงวินิจฉัยทีหลังเพราะทรงสิทธิ์ขาดในการตัดสินพระทัย เช่นนี้ แม้นประชาชนจะแตกแยกเป็นหมู่เหล่า ขาดเขลาไม่รู้กลโกง แต่สุดท้ายก็ทรงขจัดปัญหาได้

    นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นผู้หนึ่งผู้ใด หรือทั้งหมด สามารถลงจากตำแหน่งและเลือกใหม่ได้โดยไม่ต้องรอสี่ปี เพื่อความรวมดเร็วแต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการร่วมกันระหว่างประชาชนและพระมหากษัตริย์ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ระบบนี้จึงพึ่งพาพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องค้ำจุนสองทาง คือ ทางด้านประชาชนคือการให้ปัญญาพิจารณาคนดีมีคุณธรรม และทางด้านพระมหากษัตริย์ก็ทรงเป็นประมุขผู้ทรงคุณธรรมและเกิดจากคุณธรรม เป็นระบบการคัดสรรค์คนดี คัดทิ้งคนเลว


    หลักเอกภาพแห่งองค์รวม

    เอกภาพหนึ่งเดียวสามขาหยั่ง ชาติ

    , ศาสน์, กษัตริย์


    ชาติ............................................ผู้นำคือนายกรัฐมนตรี โดยมีประชาชนคานสมดุล
    ศาสน์.........................................ผู้นำคือพระสังฆราช โดยมีพุทธบริษัทสี่คานสมดุล
    กษัตริย์.......................................ผู้นำคือพระมหากษัตริย์ โดยมี "ธรรม" คานสมดุล


    อรรถาธิบาย
    ธรรมนำชาติ....................ประชาชนในชาติและนายกรัฐมนตรีถูกหลอมรวมและคัดเลือกโดยหลักธรรม
    ธรรมนำศาสน์.................พระสังฆราชและพระศาสนาเป็นผู้เผยแพร่และสืบสานหลักธรรมแห่งพุทธะ
    ธรรมนำกษัตริย์...............พระมหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญ "ทศพิธราชธรรม" มาจากธรรมและไปสู่ธรรม
    สามขาหยั่งหลอมรวมเป็นหนึ่ง เป็นเอกภาพโดยธรรม จึงก่อเกิด "รัฐธรรมนูญ" ที่แท้จริง


    ขยายความ
    ธรรมหลอมรวมองค์ทั้งสามเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกภาพโดยธรรม หาใช่อำนาจเงิน, อำนาจจากตำแหน่ง, อำนาจเก่าถ่ายทอดรุ่นสืบรุ่น ฯลฯ จึงเป็นระบอบธรรมชาติที่สมบูรณ์กลมกลืนกับธรรม ไม่ขัดแย้ง สามารถดำรงอยู่ได้นานแสนนาน ด้วยเหตุนี้เอง "ธรรม" หรือ "พุทธะ" จะทำหน้าที่โดยสมบูรณ์เพื่อคัดเลือกโดยธรรมชาติหรือเปลื่ยนแปลงโดยธรรมชาติ สามขาหยั่งนี้จะขาดการหล่อเลี้ยงโดยธรรมเสียมิได้ หากประชาชนขาดธรรม ก็จะเลือกคนเลว ระบบปั่นป่วนทันที พุทธศาสนาจึงเป็นหัวใจหลักให้ได้คนดีมีฝีมือเข้ามาบริหารประเทศ สามขาหยั่งจึงหลอมเป็นหนึ่งเดียวโดยธรรมด้วยเหตุนี้เอง ด้วยเหตุนี้จึงกล้ากล่าวได้ว่า "รัฐธรรมนูญ" นี้ เป็น "ธรรมนูญ" ของรัฐที่แท้จริง เพราะมีรากฐานมาจากพระธรรมอันเป็น "สัจจะ" จากพระพุทธศาสนา และมีความเป็นเสรีนิยมและสังคมนิยมขั้นสูงสุดในตัว


    หลักเอกภาพจะใช้พุทธศาสนาเป็นรากฐาน, วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือ ผ่านการสื่อสารต่างๆ เพื่อหลอมรวมให้องค์ประกอบทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน เนื่องจากหลักพระพุทธศาสนามีความอนุรักษนิยมอยู่ในตัว คือ คำนึงถึงทางสายกลางและความสมดุล ไม่เกิดปัญหาการบีบบังคับให้เลือกแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยของชาติตะวันตก ทั้งยังมีความเจริญในความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง คือ ไม่เกิดปัญหาการวิ่งหนีเงา (ดอกเบี้ยเงินกู้) และวิ่งไล่จับเงา (วัตถุนิยม) ดังระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม



    หลักอิสรภาพแห่งองค์ย่อย
    ธรรมให้อิสรภาพแก่ผู้รักษาธรรม...... ผู้เข้าถึงธรรมได้อิสรภาพสูงสุด คือ ผู้ปกครองธรรมตำแหน่งต่างๆ
    ธรรมไม่ให้อิสรภาพแก่อธรรม...........ธรรมควบคุมอธรรม ผู้มีธรรมตกต่ำย่อมต้องถูกธรรมนูญควบคุม

    ด้วยอิสรภาพที่ขาดการควบคุมที่ดี ก็ไม่ดี (จุดเสียของเสรีนิยม) อิสรภาพจึงต้องถูกควบคุมโดยธรรม และธรรมให้อิสรภาพแก่ทุกคน (เสรีภาพสูงสุด) บุคคลใดเข้าถึงธรรม ย่อมได้รับอิสรภาพสูงสุด

    อรรถาธิบาย
    หลักอิสระภาพในธรรม...................... "ธรรม" คือ กลไกลสำคัญในการขับเคลื่อนโดยอิสระ
    "ธรรม" เป็นสิ่งสูงสุด บุคคลเมื่อเข้าถึงธรรม สามารถเลือกตำแหน่งทางสังคมได้ทั้งสงฆ์และฆารวาส
    มิใช่ธรรมควบคุมคนเสมอไป เมื่อคนเข้าถึงธรรม (อรหันต์) ย่อมได้อิสรภาพสูงสุดในธรรม
    ...........
    หลักอิสระภาพในสังคม...................... สังคมและสังคมย่อย ย่อมมีความหลากหลายใน "ธรรม"
    สังคมและสังคมย่อยย่อมต้องมีความหลากหลายเป็นธรรมดา แต่ในแก่นนั้นมีธรรมเดียวกัน
    มิใช่ขาดเอกภาพทางสังคม (ปัจเจกนิยม) หรือขาดความหลากหลายทางสังคมย่อย (คอมมิวนิสตร์)
    ...........
    หลักอิสระภาพในมนุษยชน................บุคคลมีอิสรภาพสูงสุดในการใดๆ อันเนื่องด้วย "ธรรม"
    บุคคลมีสิทธิ์เต็มที่ใน "ธรรม" ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้ มีอิสรภาพที่จะเข้าถึงธรรม และเลือกธรรม
    มิใช่เสรีภาพในการผลิตอย่างไม่เป็นธรรม (ทุนนิยม) หรือเสรีการบริโภคอย่างไม่เป็นธรรม (วัตถุนิยม)
    ...........

    ขยายความ
    ผู้บรรลุธรรมสูงสุดได้อิสรภาพสูงสุด จึงอยู่เหนือบทบัญญัติแห่งธรรมนูญนี้ เลือกตำแหน่งใดๆ ทางสังคมก็ได้ หากมีจำนวนมากก็ให้ร่วมกันเลือกเพียงหนึ่ง บุคคลผู้ไม่บรรลุธรรม ต้องอยู่ภายใต้ธรรม กลไกลของระบอบการปกครองนี้ เป็นไปตามหลักธรรมชาติโดยอิสระ มนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดจะใช้อำนาจใดๆ เข้าครอบงำเหนือกว่ามิได้ ย่อมต้องถูกประชาชนเข้ายึดอำนาจคืนในที่สุด ด้วยกฏแห่งกรรมอันเป็นหลักธรรม ทั้งนี้ บุคคลจะมีอิสระในการเลือกในเวลาอันควรแก่การได้เลือกอย่างเหมาะสมกับตนเอง การใช้อำนาจเงินจ้างงานให้แรงงานต้องทำงานทั้งวัน ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ครอบครัวแทบไม่เห็นหน้ากัน แม่ลูกไม่มีเวลาเลี้ยงกัน แม้นแต่ให้นมกันก็ไม่มีเวลานั้น เป็นความล้มเหลวอย่างยิ่งของระบอบการปกครองแบบเก่าที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ที่ยึดหลักมนุษยชน การปกครองระบอบพุทธะนี้ จะให้อิสรภาพแก่แรงงาน ให้สามารถใช้เวลาเพื่อปฏิบัติธรรมได้ ลางานเพื่อปฏิบัติธรรมได้ตามควร เช่น ทุกเดือนจะลาได้สามวัน และต้องมีใบรับรองการปฏิบัติธรรมจากสถานปฏิบัติธรรม ซึ่งจะทำให้คลายความเครียดพัฒนาสมองและจิตใจ ประสิทธิภาพการทำงานจะดีขึ้น ทั้งนี้ยังลดปัญหาอาชญากรรมได้อีกด้วย ดังนี้ การให้อิสรภาพในธรรมของแต่ละบุคคลจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และพัฒนาเป็นเสรีภาพสูงที่สุดเหนือประชาธิปไตยในปัจจุบัน ด้วยการพิจารณา "ธรรม" บุคคลผู้บรรลุธรรมจึงได้อิสระภาพสูงสุดนั้นไป และสามารถควบคุม "ธรรมนูญ" ได้ภายใต้ระบบการยืดหยุ่นที่เปิดให้แก้ไขได้

    ในขณะเดียวกัน ต้องดุลยภาพแห่งความมีอิสระ กล่าวคือ มีการจำกัดอิสระภาพ เช่น สถานดัดสันดานที่ยืดหยุ่นได้มากกว่าเรือนจำ เพื่อแก้ไขปัญหาความยุ่งยากในการลงโทษทางกฏหมาย กล่าวคือ ปัจจุบัน การตัดสินลงโทษผู้ทำผิด มีต้นทุนการดูแลสูง และเป็นภาระแก่สังคม ทั้งผู้กระทำผิดยังไม่สำนึกตน ไม่มีทางออก สังคมไม่ยอมรับ จนต้องกลับไปทำผิดแบบเดิม เด็กก้าวร้าวเพราะพ่อแม่เลี้ยงไม่เป็นและเห็นว่าเด็กฆ่ากันไม่ต้องติดคุก เยาวชนจึงถูกหลอกไปใช้เป็นเครื่องมือฆ่าคน สถานดัดสันดานนี้ สามารถรองรับดัดสันดานผู้กระทำผิดได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางกฏหมาย กล่าวคือ ให้สังคมเป็นผู้ตัดสินได้ กลุ่มคนแวดล้อมในเหตุการณ์เกินครึ่งสามารถยื่นส่งตัวบุคคลผู้กระทำผิดเข้าสถานดัดสันดาน ซึ่งผู้ควบคุมสถานดัดสันดานจะพิจารณาเองว่าใช้เวลาดัดสันดานนานเท่าใด ทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้แต่เด็กทำผิด หรือสุนัขไล่กัดคนก็ต้องควบคุมเช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น ทั้งนี้ ผู้ปกครองจะสูญเสียสิทธิ์ในการปกครองดูแลชั่วคราว เป็นกรรมที่ดูแลไม่ดี ไม่ว่าลุกหรือสัตว์เลี้ยงก็ตาม กฏหมายจึงเข้าถึงตัวคนง่ายขึ้น โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการซับซ้อน ทั้งนี้ หากผู้ถูกยื่นเข้าสถานดัดสันดานไม่พอใจ สามารถยื่นเรื่องขอให้วินิจฉัยใหม่ได้ ระบบนี้จึงมีดุลยภาพและรวดเร็วกว่า ทั้งนี้ สถานดัดสันดาน จะช่วยขัดเกลานิสันแบบพิเศษ เช่น การฝึกแบบรักษาดินแดนให้มีระเบียบวินัย อย่างเข้มงวด หรือการเรียนเพื่อปรับพฤติกรรมอย่างยิ่งยวดในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช่การนำคนมาทรมานแต่อย่างใด เพียงแต่ตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ว่าเด็กจะก่อพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อใด จะถูกปรับพฤติกรรมก่อนพัฒนาเป็นอาชญากร

    หลักความเท่าเทียมในธรรม
    เท่าเทียมในธรรมแห่งบุคคล.............บุคคลย่อมมีอิสรภาพในโอกาสแห่งการเข้าถึงธรรมเท่าเทียมกัน
    เท่าเทียมในธรรมแห่งสังคม.............สังคมย่อมต้องเอื้อต่อธรรมที่เท่าเทียมกันแม้นแตกต่างหลากหลาย
    เท่าเทียมในธรรมแห่งผู้ปกครอง.......ผู้ปกครองในสังคมย่อมต้องบริหารเพื่อความเท่าเทียมในธรรม
    เท่าเทียมในธรรมแห่งรัฐธรรมนูญ....รัฐธรรมนูญย่อมต้องเอื้อต่อความเท่าเทียมในธรรม

    อรรถาธิบาย
    เท่าเทียมธรรมแห่งบุคคล.................
    ความเท่าเทียมกันในการผลิตและการบริโภคของระบบทุนนิยม นั้นไม่ใช่การเท่าเทียมที่แท้จริง เป็นแค่คำอ้าง แท้แล้วคือการหลอกลวง ให้คนยอมรับ เพื่อนายทุนจะได้มีโอกาสครองอำนาจเหนือความเท่าเทียม จึงก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมทั้งการผลิตและการบริโภค และลัทธิวัตถุนิยม ความเท่าเทียมในธรรมต่างหาก ที่จะเปิดโอกาสในคนทั้งหมดฉลาดและเป็นคนดี เป็นระบบที่ผลิตคนดีป้อนสังคม
    .........
    เท่าเทียมในธรรมแห่งสังคม.............
    ความเท่าเทียมกันในสังคมแบบสังคมนิยมและคอมมิวนิสตร์ ก็เป็นการเท่าเทียมกันที่ไม่จริง หลอกลวงประชาชน เพราะไม่เท่าเทียมในธรรม คนในประเทศขาดความเท่าเทียมกันในการเลือกวิถีทางในการดำรงชีวิต ส่วนระบอบประชาธิปไตยเทียมของชาวตะวันตก ก็มีข้อเสียอย่างยิ่งที่เปิดโอกาสให้ความเท่าเทียมทำลายระบบสังคม กล่าวคือ บุคคลหลงวัตถุนิยม เป็นปัจเจกบุคคล จนสังคมล่มสลาย ขัดจากธรรมชาติแห่งมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมสูงสุด ทั้งสองระบบล้วนมิใช่ทางสายกลาง
    .........
    เท่าเทียมในธรรมแห่งผู้ปกครอง.......
    บุคคลย่อมมีโอกาสเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผู้ปกครองด้วยตนเอง การทำความดีให้ปรากฏจนได้รับการคัดเลือกและเสนอชื่ออย่างเท่าเทียม โดยไม่ต้องมีอุปสรรคด้านใด ไม่ว่าจะเป็นด้วยเพศ, วัย, ศาสนา, พื้นเพ ฯลฯ เนื่องด้วยปัจจุบันและอนาคต สำคัญกว่าอดีต การพิจารณาถ่ายทอดอำนาจจากสายเลือดสู่สายเลือด เป็นประชาธิปไตยเทียม ไม่ว่าจะเป็นการปกครองระดับใดก็ตาม การใช้ทุนเพื่อเปิดทางให้เข้าสู่เวทีการคัดเลือกผู้ปกครองก็เทียมเช่นกัน ระบอบการปกครองแบบพุทธะนี้จึงแก้จุดอ่อนทั้งหมดของระบอบประชาธิปไตยเทียมในปัจจุบัน ทั้งยังควบคุมผู้ปกครองให้ปกครองอย่างเทียมโดยธรรม เป็นสมดุลแห่งการคานอำนาจโดยธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุดในปัจจุบัน ทำให้ได้บุคลากรด้านการปกครองที่เป็นคนดีมีปัญญาสูงสุดมารับใช้ชาติบ้านเมือง
    ........
    เท่าเทียมในธรรมแห่งรัฐธรรมนูญ...............................
    รัฐธรรมนูญนี้ ตราไว้เพื่อสร้างความเท่าเทียมในธรรม หากมีจุดอ่อนข้อบกพร่อง สามารถพัฒนาได้ตลอดเวลาด้วยเป้าหมายเดิม คือ เสริมสร้างความเท่าเทียมในธรรมให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ป้องกันมิให้มารร้ายเข้ามาทำลายระบบ คนดีจะปกครองประเทศ ประเทศจึงเจริญรุ่งเรืองได้ ซึ่งปัจจุบัน คนดีมักยอมและไม่เสนอหน้า มักคิดใคร่ครวญหลายมุมรอบด้านกว่า จึงพูดช้า หรือไม่ทันได้พูดออกมา คนเลวยิงแย่งแสดงตนว่าเก่งกาจก่อน สุดท้ายเมื่อไม่คิดให้รอบคอบก็ผิดพลาดมากมายดังที่เห็น จึงจักกล่าวว่า คนที่ไม่พูด, เงียบ และยอม คือ คนโง่เสียมิได้ แท้แล้วคนดีจะมีปัญญาสูงแต่เล่ห์เหลี่ยมต่ำกว่าคนเลวเสมอ สามารถพิสูจน์หลักการนี้ได้ จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอีคิวและไอคิวกับระดับคุณธรรม (เอ็มคิว) จะพบว่ามีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด อันจะเป็นการไขความลับว่า คนไร้คุณธรรมจะปัญญาต่ำกว่าทั้งอีคิวและไอคิว แต่มีเล่ห์กลฉ้อฉลให้คนเห็นว่าตนเก่งกว่า ท่าดีทีเหลวไปเท่านั้นเอง
    ........

    ขยายความ
    หากบุคคลขาดปัจจัยสี่และปัจจัยธรรมที่พอเพียง เช่น นอกเหนือจาก อาหาร, ที่อยู่อาศัย, ยารักษาโรค แล้วจะไม่มีทางได้มีโอกาสเข้าถึงธรรมได้เท่าเทียมกัน ผู้ปกครองจะต้องสร้างและให้โอกาสเข้าถึงธรรมของแต่ละบุคคล เช่น เวลาว่าง, การเดินทางไปปฏิบัติธรรม ปัจจัยสนับสนุนโครงการสะสมบุญบารมีตามธรรมแห่งพระโพธิสัตว์หรือเทพต่างๆ เมื่อเขาต้องการสละตนเพื่อสังคม ระบบสังคมแบบนี้เอื้อต่อการผลิตคนดีมีปัญญา เป็นวัตถุดิบในการพัฒนาคนพัฒนาชาติ อันจะกลับมาปกครองประเทศให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป การคิดว่าต้องเดินตามรอยรัฐธรรมนูญฝรั่งจึงจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นความคิดที่โง่งมของคนที่ยึดติดในกรอบ ไม่มีจินตนาการ ดังไอน์สไตน์กล่าวว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" และพระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่า "ไม่ให้ยึดติดในสิ่งใดๆ ให้ใช้สติปัญญษใคร่ครวญ" ดังนี้ รัฐธรรมนูญจึงอยู่ในกรอบแคบๆ ไม่มีผู้ใดสามารถคิดทะลุกรอบได้ ดังที่ป่าวประกาศสอนกันทั่วไป

    นอกจากนี้ บุคคลยังสามารถลาเพื่อจาริกแสวงบุญ ทั้งยังสามารถเสนอโครงการจาริกแสวงบุญเพื่อขอปัจจัยสนับสนุนจากผู้ปกครองประเทศได้ ด้วยการผ่านขั้นตอนการพิจารณาโดยธรรม เพื่อคัดอธรรมออกไปจากระบบ การเปิดโอกาสความเท่าเทียมในธรรม จะทำให้ได้ผู้บรรลุธรรมจำนวนมาก มาสร้างประเทศให้เจริญรุ่งเรืองทั้งที่ห่มเหลืองและไม่ห่มเหลือง ทั้งนี้ ประเทศเจริญรุ่งเรืองได้ด้วยพระอรหันต์ทั้งที่ห่มเหลืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครูบาผู้ปกครองพุทธบริษัทให้ร่มเย็น หรือพระมหากษัตริย์ผู้บรรลุธรรมผู้ทรงปกป้องดูแลอาณาประชาราช มิให้ทรราชแผ่นดินมาโกงกิน กัดกร่อนประเทศชาติได้

    การคิดว่าฝรั่งต้องดีกว่าระบอบการปกครองของไทยเสมอไปนั้นเป็นการยึดติดหลงผิดและโง่เขลาหากศึกษาประวัติการปกครองของสุวรรณภูมิพบว่าเป็นระบบการปกครองที่เก่าแก่ที่สุดและสูงสุดถูกต้องที่สุดเพราะก่อเกิดตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระองค์แรกทรงตรัสแสดงและสร้างไว้ส่วนการปกครองที่หลอกลวงประชาชนเพื่อเสริมอำนาจแห่งนายทุนนั้นเป็นการปกครองของยักษ์มารที่เริ่มมีประวัติศาสตร์มาทีหลังการปกครองของไทยมากมายนักปัจจุบันหากเปรียบเทียบความสำเร็จในการปกครองประเทศระบอบประชาธิปไตยของฝรั่งเหลวแหลกกว่าระบอบการปกครองของไทย

    ที่กล่าวได้เช่นนี้ยกตัวอย่างอดีตเราใช้กฏแห่งกรรมเป็นปรัชญารากฐานของกฏหมายและใช้กฏแห่งกรรมเป็นตัวสร้างวัฒนธรรมอีกบรรทัดฐานหนึ่งสองบรรทัดฐานนี้เอื้อกันหนึ่งเป็นโครงสร้างหลักอีกหนึ่งเป็นโครงสร้างค้ำจุนส่งเสริมจึงมีความมั่นคงและยืดหยุ่นในตัวหากสอบถามชาวบ้านจะพบว่าแม้นเขาไม่ได้ท่องจำตัวบทกฏหมายแต่ทุกคนรู้ปรัชญากฏหมายนี้และทำผิดน้อยกว่าฝรั่งมังค่ามากในขณะรัฐบาลอเมริกันปัจจุบันมีคนรู้กฏหมายน้อยมากคนที่รู้กฏหมายก็จะใช้กฏหมายกดขี่ข่มเหงผู้ไม่รู้ส่วนวัฒนธรรมไม่มีส่วนในการสร้างเสริมกฏหมายให้ศักดิ์สิทธิ์มั่นคงเลยแม้นแต่น้อย

    นี่คือผลการพัฒนาประเทศทำให้ประชาชนมีความรู้ในปรัชญากฏหมายได้มากที่สุดในโลกจึงจะกล่าวว่าคนไทยโง่มิได้เป็นอันขาดนอกจากนี้ในด้านการปกครองพุทธศาสนาก็ได้สอนการปกครองผ่านการฟังเทศนาและศึกษาธรรมโดยตรงและการเรียนรู้ทางสังคม, ตัวแบบสังคม, ค่านิยม, วัฒนธรรมต่างๆตลอดเวลาทั้งในและนอกห้องเรียนเป็นการปกครอง, หลักการบริหาร, การเลือกคน, การใช้คนและหลักการตลาดในตัวที่ถูกต้องที่สุดอาทิเช่นพรหมวิหารสี่ได้แก่การให้เมตตาแก่ผู้อยู่ภายใต้การปกครอง, การให้เมตตาหรือบริการด้วยหัวใจที่เมตตาอันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่แม้นแต่นักการตลาดที่ถือว่าเก่งที่สุดในโลกก็ไม่อาจเทียบได้เลยแม้นแต่น้อยนี่เพียงยกตัวอย่างเท่านั้นเพราะในพระไตรปิฏกมีถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์วิชาขั้นสูงบางอย่างสามารถอ่านวาระจิตลูกค้าได้โดยไม่ต้องทำวิจัยเป็นต้นดังนี้จึงถือว่าพระพุทธศาสนาพัฒนาประเทศได้สูงสุดในทุกด้านเพียงแต่ฝรั่งมังค่าตีค่าเราไปผิดๆชนชั้นกลางผู้หลงผิดหลงเชื่อเพราะเห็นความเจริญในวัตถุที่ดูแปลกใหม่จนเร่งรัดรีบก่อการยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ดทั้งๆที่พระองค์กำลังทรงวางรากฐานอย่างดี

    ปัจจุบันทุนนิยมล่มสลายแล้วประเทศอเมริกันก็จะล่มสลายตามเป็นเครื่องพิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็นความล้มเหลวของระบอบปล่อยเสรีแบบไม่ดูแลแต่ใช้ชื่อสวยหรูโฆษณาว่าประชาธิปไตยเพื่อให้คนเลือกแทนระบอบเดิมทว่าเป็นประชาธิปไตยเทียมหากจะเทียบกับระบอบพุทธะในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้วยังมีเสรีภาพน้อยกว่าเสียอีกทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าการปกครองของไทยมิใช่แบบสมบูรณาญาสิทธิราชดังที่ฝรั่งเข้าใจผิดมานานเพราะการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชได้อิทธิพลจากพราหมฮินดูในบางสมัยเท่านั้นที่ปกครองโดยคิดว่าตนเป็นเทพเป็นพรหมลิขิตชีวิตคนได้จะทำอะไรก็ได้แต่การปกครองระบอบพุทธะนั้นเกิดจากพระพุทธศาสนาต่างหากและใช้หลักการปกครองเดียวกันกับหลักการสะสมบารมีของพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนามิใช่เทพตามลัทธิฮินดูแล้วดัดแปลงหลักการปกครองให้เหมาะสมคือ "ทศพิธราชธรรม" นั่นเอง

    หลักธรรมคืออำนาจสูงสุด
    ธรรมเป็นองคาพยพดั่งสิ่งมีชีวิตมีโครงร่างและขับเคลื่อนได้คือ
    โครงสร้างการปกครองประกอบโดยธรรม.......... ออกแบบโครงสร้างการปกครองโดยหลักธรรม
    กลไกลการปกครองขับเคลื่อนโดยธรรม............. ใช้หลักธรรมควบคุมและขับเคลื่อนโครงสร้างนั้น

    อรรถาธิบาย
    โครงสร้างการปกครองออกแบบโดยธรรมชาติที่สอดคล้องกับพระพุทธศาสนากล่าวคือมีสถาบันพระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์เป็นเครื่องค้ำจุนประเทศหรือก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเองพระมหากษัตริย์มิได้อยู่ในฐานะสมมุติเทพอย่างพราหมณ์ฮินดูแต่ทรงคุณธรรมและสละทั้งปวงเพื่อบำเพ็ญทศบารมีดั่งพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนาในขณะที่รัฐสภาเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ในการบริหารและปกครองประเทศโดยตรงโดยจำลองแบบการปกครองจากสวรรค์ในพระพุทธศาสนาคือแบ่งการปกครองในชั้นต่างๆออกเป็นสวรรค์ชั้นต่างๆเช่นชั้นจาตุมหาราชิกาจะประกอบไปด้วยท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ซึ่งจะทำหน้าที่ในการบริหารประเทศส่วนชั้นดุสิตนั้นเป็นองค์กรอิสระที่ไม่หวังผลกำไรก่อตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยสนับสนุนสังคมโดยการรองรับการจุติมาเกิดของพระโพธิสัตว์ที่อาจเกิดมาจนเมื่อเขาอยากสะสมบุญบารมีสามารถสละตนทำงานเพื่อสังคมได้อย่างเต็มที่ด้วยสภาดุสิตนี้เองหรือแม้แต่ระบบการปกครองสงฆ์บางครั้งพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าไม่ทรงลงมาเกิดบนโลกคณาสงฆ์จะมีพระอรหันต์คอยช่วยค้ำจุนเป็นราชครูดูแลราชการงานแผ่นดินโดยการสอนและติติงได้โดยอำนาจการปกครองสูงสุดเบื้องต้นจะอยู่ที่พระมหากษัตริย์แต่หากพระโพธิสัตว์ไม่จุติลงมาก็ต้องปล่อยตำแหน่งว่างไว้แล้วให้กลไกลอื่นเดินแทนเช่นพระสังฆราชทำหน้าที่ร่วมกับฆารวาสผู้บรรลุธรรมและมีความรู้ด้านการปกครองเป็นผู้กระทำแทนพระมหากษัตริย์เพื่อป้องกันมิให้มารสวรรค์ที่ทำบุญมากมาจุติเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ดังเช่นประวัติศาสตร์ในจีนก็มีคือ"โจโฉ"เป็นต้นประเทศจึงปกครองโดยคนดีไม่ว่างเว้นไปได้และป้องกันคนเลวไม่สามารถเข้ามาทำลายระบอบพุทธะนี้ลงได้ประชาชนอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดไปไม่ว่าใครจากเบื้องบนลงมาจุติก็ตาม

    ขยายความ
    สถาบันที่ปรึกษาสูงสุด (เหล่าทีมพระมหาโพธิสัตว์)
    โดยปกติแล้ว มักไม่พบบ่อยนัก เพราะผู้จุติมาเกิดจากชั้นนี้ เป็นพระมหาโพธิสัตว์ และมักจุติมาโดยไม่มีใครรู้นัก อาจไม่ห่มเหลืองก็ได้ การบันทึกลักษณะของพระมหาโพธิสัตว์องค์ต่างๆ ไว้ เพื่อรอการจุติมาเพื่ออัญเชิญท่านปกครองสถาบันนี้ หน้าที่ของสถาบันนี้ คือ "ราชครูสูงสุด" เหนือทั้งพระมหากษัตริย์และพระโพธิสัตว์ ปกครองด้วยการเป็นครูแห่งแผ่นดินของทั้งสงฆ์และฆารวาส ไม่มีอำนาจด้านการปกครองใดๆ นอกจากนี้ยังหมายรวมถึงพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมขั้นนี้แล้วกลับมาเกิดใหม่อีกด้วย ไม่ว่าท่านจะดำรงห่มสีใด ให้ท่านเป็นราชครูได้ในสีนั้น หรือหากไม่มีราชครูสูงสุดให้อัญเชิญท่านขึ้นเป็นราชครูสูงสุด หากไม่มีผู้บรรลุธรรมโลกอุดรมาเกิด ก็ให้พระพรหมต่างๆ ทำหน้าที่ในสถาบันนี้ สังเกตุได้คือ จะมีพรหมวิหารสี่และวิชาทำนาย ไม่ว่าจะเป็นครูผู้ทรงภูมิในศาสตร์ต่างๆ จนสามารถมีวิสัยทัศน์เห็นอนาคตได้, โหราศาสตร์โบราณ, โหราศาสตร์สมัยใหม่, วิชาการพยากรณ์ทางวิทยาศาสตร์หรือสถิติ พระพรหมต่างๆ ล้วนสามารถมาจุติได้ทุกรูปแบบ ให้อัญเชิญท่านมา

    สถาบันพุทธเกษตร (พระมหากษัตริย์)
    เป็นสถาบันที่เพาะปลูก "พระพุทธะ" โดยค้นหาพระโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีสูงสุด อัญเชิญขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ท่านจะปกครองประเทศโดยทศพิธราชธรรม ประเทศก็สงบร่มเย็น และเจริญรุ่งเรืองด้วยผลบุญของท่านนี้เอง เช่นนี้ เป็นมาแต่ครั้งโบราณกาล เช่น การอัญเชิญพระนางจามเทวีขึ้นครองเมืองลำพูนโดยเหล่าพราหมณ์, การอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ต่างๆ เสด็จขึ้นครองราช ส่วนการครองราชด้วยการไม่ได้รับเชิญ มักจนลงอย่างน่าเอน็จอนาถ เป็นประวัติศาสตร์ที่พบเห็นเรื่อยมาของไทย เช่นนี้เอง พระมหากษัตริย์จึงทรงสนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างดี ประชาชนจะอยู่อย่างมีความสุขถ้วนหน้า แม้นไม่ฟุ้งเฟื้อบ้าวัตถุนิยมก็ตามที อาชญากรรมก็ลดน้อยลงด้วยในที่สุด

    สถาบันพุทธศาสนา (พระนิพพาน)
    ซึ่งก็คือสถาบันสงฆ์นั่นเอง ทั้งนี้ได้รวมเอาเถรวาทและมหายานเป็นหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดการแตกแยกและได้รวมศาสนาอื่นๆ ตามความถูกต้องของพระมหาโพธิสัตว์ที่ได้จุติไปเกิดสร้างพระศาสนานั้นๆ ไว้ โลกจึงไม่แยกแตกด้วยศาสนา สงครามศาสนาจึงไม่เกิดอีก ดังเช่นที่กำลังจะเกิด การปกครองสงฆ์ได้จำลองแบบจากพระไตรปิฏก กล่าวคือ พระสังฆราชสูงสุดมีหนึ่งพระองค์ มีอัครสาวกเบื้องขวาและซ้ายช่วยดูแล และสามารถรับหน้าที่แทนได้ในยามที่ปฏิบัติภาระกิจมิได้ มีพระอุปถากที่คอยดูแลดั่งพระอานนท์ ทั้งนี้พระสังฆราชอาจมิใช่พระมหาโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์ก็ได้ แต่ให้จำลองแบบเช่นนี้ แล้วแยกส่วนปกครองเป็น ฝ่ายปกครอง, ฝ่ายอภิธรรมปิฏก, ฝ่ายวินัยปิฏก, ฝ่ายสุตตันตปิฏก กล่าวคือ ฝ่ายปกครองดูแลความเรียบร้อยของวัดวาอารามต่างๆ ทั้งหมด ฝ่ายอภิธรรมปิฏกดูแลความถูกต้องของการเผยแพร่หลักธรรมทั้งนอกและในพระไตรปิฏก ฝ่ายวินัยปิฏกดูแลความประพฤติของสงฆ์และพุทธบริษัททั้งมวลได้ทั้งหมด และฝ่ายสุตตันตปิฏก ดูแลด้านวิธีการเผยแพร่ไม่ว่าจะเป็นการเทศนา, การสร้างสื่อวิดีทัศน์ต่างๆ ล้วนต้องคิดขึ้นทั้งสิ้น แล้วให้ฝ่ายวินัยและฝ่ายอภิธรรมตรวจก่อนเสมอ ทั้งนี้ สถาบันนี้ได้รวมฆารวาสเข้ามาเป็นหน่วยงานที่ช่วยเหลือสถาบันสงฆ์ในด้านต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พระสงฆ์ได้ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานแท้จริง พระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องมีมาก แต่ต้องมีคุณภาพอย่างแท้จริง เพราะการเทศนาเพียงรูปเดียวที่ดีงาม ก็สามารถทั่วถึงผ่านสื่อต่างๆ ได้ทั้งโลกแล้ว แต่การที่มีพระสงฆ์มาก แต่ทำผิดบาป จักทำลายพระพุทธศาสนาให้เสื่อมเสีย ไร้คนศรัทธา และพระธรรมบิดเบือนจนทำลายรากฐานระบอบการปกครองแบบพุทธะนี้ได้ในที่สุด งานบุญงานสร้างต่างๆ จึงต้องอาศัยฆารวาสเป็นผู้กระทำแทน มิควรให้พระสงฆ์เสียเวลา เพียงพระสงฆ์ใช้ปัญญานำทางเท่านั้น ทั้งนี้ ควรมีโรงทานโรงเจและศูนยืกระจายสินค้า (ปัจจัยสี่พื้นฐาน) ให้มาก เป็นแหล่งอาหารแทนศูนย์การค้าที่บริหารโดยฆารวาส และนำคนพิการต่างๆ มารับใช้พระศาสนาให้หมดเพื่อชดใช้กรรมเก่า โดยให้ใช้ตรงกรรม เช่น ตาบอดให้ช่วยงานด้านการสร้างดวงตาธรรม, แขนขาดใช้ช่วยด้านสร้างแขนพระ, หูหนวกไปช่วยหยิบจับเทปธรรมะแจกคน คนเป็นบ้าอย่างน้อยให้ได้เห็นได้ยินพระศาสนาตลอดเวลา

    สถาบันการปกครองแห่งชาติ (รัฐบาล)
    จำลองแบบจากการปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาโดยท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่หากท่านจุติมาให้ดูลักษณะไม่ว่าจะใช้ศาสตร์ทำนายใดๆจะทราบได้ว่าท่านจุติมาอาจด้วยเพื่อสะสมบุญหรือประการใดก็ตามหากท่านไม่จุติมาให้เป็นการครองตำแหน่งโดย "คณะบุคคล"ที่ทรงภูมิความรู้ด้านนั้นๆโดยมีพระอรหันต์เป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในด่านสุดท้ายซึ่งหากยามนั้นโลกมีพระอรหันต์องค์เดียวหรือไม่มีเลยก็จำเป็นต้องยืนพื้นระบบเก่าที่ร่างไว้ห้ามเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาดทั้งนี้บุคคลจะปกครองในตำแหน่งใดๆได้นั้นต้องบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นโสดาบันเป็นอย่างต่ำจะเป็นมารหรือมิจฉาฑิฐิดื้อดึงมาปกครองประเทศมิได้ซึ่งการทดสอบนี้ไม่ยากทั้งการถ่ายออร่า, การทดสอบทางจิตวิทยา, เครื่องจับเท็จฯลฯจึงไม่ยากที่จะสรรหาหากระบบเปิดทางแก่คนดีสังคมก็จะได้คนดีมาปกครองประเทศเอง

    สถาบันองค์กรเอกชน (สวรรค์ยามา)
    เป็นองค์กรอิสระปกติจะถือกำเนิดขึ้นด้วยการสะสมทุนใครรวยก็ได้รับทุนแต่ระบอบการปกครองแบพุทธะจะถือว่าทรัพย์สินทั้งหมดเป็น"อนัตตา"ใครจะถือครองมิได้แล้วจัดสรรค์ตามควรกล่าวคือผู้ใดต้องการสร้างองค์กรธุรกิจให้สนับสนุนคนดีที่มีความรู้ความสามารถโดยไม่ต้องยึดติดในนามสกุลเทพชั้นนี้จึงจะจุติลงมาเกิดและสะสมบุญได้โดยไม่ถูกมารสวรรค์ผู้มีบุญมากแต่หลงผิดรังแกดังในระบบทุนนิยม (มารสวรรค์เกิดมารวยเสมอ) ดังนี้รัฐบาลมิใช่ผู้ลงทุนแต่เป็นผู้สนับสนุนทุนอย่างเท่าเทียมกันจึงเป็นสังคมนิยมสูงสุดและประชาธิปไตยสูงสุดและปกครองโดยเสรีภาพสูงสุดด้วยเหตุนี้เองใครจะทำได้มากหรือน้อยนั้นก็ต้องเข้าระบบตรวจสอบคุณภาพความดีงามของผลงานผลงานได้ได้รับปัจจัยสนับสนุนให้ทำดีมากแต่มิใช่ปัจจัยกระตุ้นความโลภโมโทสันดังนี้ระบบเงินก็ไม่จำเป็นเพราะใช้ระบบมาตรวัดความดีซึ่งเงินจะมีข้อเสียคือสะสมได้เมื่อสะสมมากเข้าก็หลงเหลิงแล้วใช้อำนาจเงินต่ออำนาจการเมืองแล้วข่มเหงผู้ต่ำต้อยกว่าดังในระบบทุนนิยมได้สร้างขึ้นมาแล้วล่มสลายลงอย่างน่าเศร้าใจเช่นนี้จะมีแต่คนดีมาเกิดแย่งกันทำความดีรัฐบาลตรวจโครงการแล้วสนับสนุนเป็นพี่เลี้ยงควบคุมไม่ต้องทำเอง (กลไกลแบบเอกชนทุนนิยม) แต่ทว่าแข่งกันทำดีเพื่อสังคมมิใช่สะสมเพื่อสนองความเห็นแก่ตัว (ปัจเจกนิยมและวัตถุนิยม) ประเทศจึงพัฒนาด้วยมือเทพผู้มาสะสมบุญบารมีซึ่งจุดนี้เองเป็นจุดแตกต่างจากระบบทุนนิยมที่ใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเครื่องเร่งนายทุนให้สร้างกำไรและใช้หลักการผลิตจำนวนมากเพื่อลดต้นทุนทว่าในความเป็ฯจริงมันสวนทางกันคือการผลิตให้มากเกินไปก็ถึงแก่จุดลดลงแห่งผลได้แต่ทว่าดอกเบี้ยเงินกู้มิได้ลดลงเมื่อกำไรลดลงจึงต้องออกล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจไปยังประเทศใหม่ๆนั่นเองแต่ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงนี้จะอาศัยการสนับสนุนและวัดผลโดยรัฐบาลมีการกระตุ้นให้เร่งทำความดีแข่งขันกันด้วยกลไกลทางวัฒนธรรมซึ่งคนดีจะมีพลังการเสียสละสูงกว่าคนเลวสามารถนั่งทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อช่วยเหลือคนได้ทั้งยังมีสติปัญญาดีกว่ามากมายประเทศชาติจึงเจริญอย่างรวดเร็วและถูกทางด้วยคนดีแบบนี้เองดังนี้จึงเกิดสมดุลแห่งการสร้างสรรค์ (ผลิตสิ่งดีงามแก่สังคม) และการจัดสรรค์ (เท่าเทียมพอเพียง) ประเทศจึงพัฒนาแท้จริง

    สถาบันพัฒนาสังคม (จำลองแบบโลก)
    นิยามของโลกคือระบบคัดแยกและเปลี่ยนแปลงภพใหม่คือให้โอกาสในการเรียนรู้พัฒนาและเลือกทางเดินตามที่ต้องการก่อนที่จะคัดไปสู่ส่วนสถาบันต่างๆทั้งนี้พวกเขามีอิสรภาพในการเลือกเองรัฐบาลสนับสนุนทุกอย่างเตรียมไว้ให้แล้วหากเขาพัฒนาตนเองได้ถึงระดับและผ่านเกณฑ์การวัดไม่ว่าเคยทำเลวมาก่อนหรือเป็นคนดีมาก่อนไม่สำคัญปัจุบันสำคัญที่สุดคนเราย่อมเคยทำดีและทำเลวมาแล้วทั้งสิ้นสถาบันนี้ประกอบด้วยสถาบันแม่และลูกซึ่งจะให้การอบรมแม่ให้เลี้ยงดูลูกและได้อยู่ด้วยกันหนึ่งปีเต็ม (ลูกไม่เกินสองคน) เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ครอบครัวลดปัญหาอาชญากรรมและต้นทุนสังคมสถาบันการศึกษาแบบทั่วไปและแบบจำเพาะพิเศษเช่นเทพที่มาจุติเพื่อทำหน้าที่เฉพาะเช่นกลุ่มเทพวิษณุกรหรือนักวิศวะนั่นเองกลุ่มแพทย์เป็นต้นซึ่งต้องแยกโรงเรียนเรียนแบบพิเศษส่วนการศึกษาแบบทั่วไปไม่เน้นต้องไปรู้วิทยาศาสตร์มากแล้วไม่ได้ใช้แต่ควรรู้ในแบบที่ตนจะนำไปใช้ประกอบอาชีพได้ตรงทางซึ่งก็แน่นอนว่าชาวนาย่อมมีมากกว่าเทพพิเศษอยู่แล้วสถาบันพัฒนาสังคมนี้จะมีทุกระดับวัยเมื่อชราวัยลงก็จะเข้าสู่สถาบันพิเศษมารับใช้ชาติโดยบำเพ็ญเนกขัมมะคือออกจากครอบครัวสละการครองเรือนสู่การทำงานเพื่อสังคมอย่างเต็มที่โดยมีรัฐบาลเลี้ยงดูไม่ทอดทิ้ง

    สถาบันความมั่นคง (จำลองแบบนรก)
    ด้วยการรวมกันระหว่างทหารและตำรวจจึงสามารถแยกแยะผู้ที่จุติมาเกิดจากนรกหรือแม้นแต่มารสวรรค์ได้เช่นนี้เป็นการป้องกันมิให้มารนรกและมารสวรรค์มาทำลายระบอบการปกครองแบบพุทธะอีกด้วยการปล่อยให้อยู่ภายใต้สถาบันพัฒนาสังคมไปก่อนจากนั้นเมื่อทำผิดก็มีบันทึกไว้ทำโทษตามควรแล้วปล่อยกลับไปสู่สถาบันพัฒนาสงัคมให้กลับตัวกลับใจหากไม่สำนึกก็แยกเข้าสถานกักกันพิเศษที่ออกแบบไว้ให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ร่วมกันตลอดไปโดยไม่ลำบากเกินไปเพราะมารนรกไปเกิดเป็นสารพัดสัตว์จึงได้บุญมาเมื่อเกิดจะได้รับปัจจัยเยอะเป็ฯคนรวยและเลวจึงต้องสร้างระบบไว้แยกคนพวกนี้ออกและต้องให้มันพอใจในปัจจัยนั้นมันจึงไม่แหกคุกและไม่ออกไปทำลายคนดีและระบบอบพุทธะให้แยกตามแต่ละมูลฐานความผิดพวกเขาต้องดูแลกันเองใครมีบุญสะสมมามากกว่าจะจะตั้งตัวเป็นใหญ่ในนั้นเองปลูกข้าวปลูกผักกินเองและทำงานรับใช้ชาติตามกรรมแต่จะได้รับพระธรรมอย่างทั่วถึงถือว่าเกิดมาชดใช้กรรมบนโลกและอย่าไปอยู่ร่วมกับคนดีเพราะจะข่มเหงทำลายระบอบการปกครองแบบพุทธะและคนดีเสียสิ้นการแยกพวกเขาไว้ต่างหากนี้หากทำผิดไม่มากก็เข้าๆออกๆหากเข้าๆออกๆบ่อยจนไม่สามารถอยู่ในสังคมปกติได้ก็ต้องอยู่ประจำในเขตแดนนี้เป็นเขตห้ามมีอาวุธหทารและตำรวจเป็นผู้ควบคุมเข้มพวกเขาจึงทำได้เพียงใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมคนเลวเท่านั้นและปัจจัยสี่ต้องมีพอเพียงให้พวกเขาพอใจไม่ต่อต้านเสมือนขังหมูไว้ในเล้านี่คือกรรมที่พวกเขามาสร้างระบบทุนนิยมขังคนดีไว้ไม่ให้ได้เห็นพระธรรมไม่มีเวลาเข้าศึกษาพระพุทธศาสนาสถานกักกันนี้ไม่มีการทรมานจะทำให้พวกเขาอยากอยู่กันเองและทำร้ายกันเองตามกรรมนรกจึงเกิดเองจากพวกเขาให้แยกกักกันตามระดับความผิดตามภพภูมินรกต่างๆพวกเขาหากสำนึกผิดค่อยให้กลับคืนสู่สังคมได้คนดีทำผิดก็ต้องมาอยู่สถานกักกันแม้นว่าจะสูงส่งขนาดไหนก็ตาม

    สถาบันมารสวรรค์ (ไว้ดักทางมารสวรรค์)
    มารสวรรค์จะมีความบ้าอำนาจ, บ้ายศ, หลงตนเองและมีบุญบารมีมากดังนี้เมื่อจุติเกิดมาหากกดและข่มเข้าไว้ย่อมเป็นไปมิได้ยามที่โลกไม่มีผู้มีบุญมาจุติมารสวรรค์อาจทำการยึดครองระบอบการปกครองแล้วทำลายระบบพุทธะนี้ลงให้สร้างสถาบันนี้ไว้ดักมารสวรรค์และสมุนของมันทั้งหมดโดยทำให้ดูน่าหลงใหลศรัทธาน่าเชื่อถือมากๆมีวัตถุปัจจัยมากๆสรวงสวรรค์ฮาเร็มมากๆซึ่งแน่นอนว่ามันมีบุญมันย่อมได้สิ่งนี้และเลือกสิ่งนี้แน่นอนเมื่อมันมาจุติก็ต้องให้มันเข้าระบบมันก็จะไม่ไปแย่งตำแหน่งอื่นให้ตั้งตำแหน่งสวยหรูยิ่งใหญ่ที่สุดเช่น "จักรพรรดิ์เหนือกษัตริย์"แล้วให้อัญเชิญมันดำรงตำแหน่งตำแหน่งนี้ไม่ต้องทำอะไรให้กษัตริย์ส่งส่วยให้อย่างเดียวแล้วแยกพวกมารสวรรค์และบริวารไว้ต่างหากมันก็จะไม่เข้ามาทำลายระบบอย่าไปต่อกรกับมารสวรรค์หากบุญบารมีน้อยกว่าเพราะมันมีอิทธิฤทธิ์มากและบุญมากสู้ยังไงก็ไม่ไหวต้องให้มันมีวิมานอยู่อยู่ให้เป็นที่เป็นทางเสวยบุญไปก็จะยุติการก่อสงครามและการทำลายระบอบการปกครองแบบพุทธะลงได้ยากที่มารสวรรค์แอบหนีมาจุติโดยที่พระมหาโพธิสัตว์อาจลงมาจุติไม่ทันการณ์ก็จะชลอได้จนกว่าพระมหาโพธิสัตว์จะจุติมาปราบ
     
  13. NuJanBaBor

    NuJanBaBor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,861
    ข้างบนอ่ะ ยาวจัง มึนตึบ >< (b-oneeye)
     
  14. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    พุทธะถามตอบเกี่ยวกับชาติและประชาธิปไตย

    พุทธะถาม “ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยดีที่สุดใช่ไหม”
    พุทธะตอบ “ผิดถนัด ทุกคนรู้ดีว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เรากำลังร่างรัฐธรรมนูญ แต่เรายังหลงประชาธิปไตย เพราะเราไม่คิดนอกกรอบ ทุกวันนี้เราเห็นอยู่ ความล่มสลายของเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากระบบทุนนิยม ที่ขายพ่วงมากับระบอบประชาธิปไตย แต่เราไม่มองย้อนความเจริญของเราในอดีต อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่เราเชื่อคำใส่ร้ายป้ายสีของฝรั่งมังค่าว่า พระมหากษัตริย์ของเราปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะระบอบการปกครองของเรานั้นเป็นระบอบพุทธะ ที่เต็มเปี่ยมด้วยทศบารมี เรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” มีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์มาสร้างความผาสุกให้กับคนในชาติและความเจริญรุ่งเรืองของศาสนา ในขณะที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ และมีแนวคิดว่าตนเป็นพรหมมาจุติ พรหมลิขิตชีวิตคนได้ ทว่าในอดีตพระพุทธเจ้าสมณโคดม ท่านทรงโปรดสั่งสอนให้ละฑิฐิและหันมาใช้ระบอบการปกครองแบบพุทธะ”

    พุทธะถาม “แล้วมีระบบอบได้ที่ดีกว่านี้อีก”
    พุทธะตอบ “มีแน่นอน หากเราไม่หยุดที่จะพัฒนาหรือค้นหา ความจริงระบอบการปกครองของไทยในหลายยุคเป็นระบอบการปกครองที่ดีกว่าระบอบประชาธิปไตย หากเราจะเปรียบเทียบความเจริญรุ่งเรืองและความสงบร่มเย็นแล้ว ตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินมา เราย่ำแย่และล้มเหลวมากที่สุดกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะทรราชที่ชื่อว่า “คณะราช” ก่อกบถปล้นราชวงค์ ทำไมเราไม่หันกลับไปมองความดีงามที่เรามีมาแต่ครั้งอดีตละ ระบอบการปกครองแบบพุทธะที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมทรงโปรดสั่งสอนและถ่ายทอดเป็นสิ่งล้ำค่าที่ประเทศใดไม่อาจเสมอเสมือนได้ นำมาพัฒนาปรับปรุงให้เข้ากับเราเอง และปรับตัวให้เข้ากับภายนอกได้ ทำไมเรายังหลงเดินตามก้นฝรั่งอยู่อีก”

    พุทธะถาม “หมายความว่าอย่างไร กรุณาอธิบายประวัติศาสตร์ความเป็นมาให้กระจ่าง”
    พุทธะตอบ “ระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน เราถือว่าดีที่สุด แต่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ก็ด้วยความเจริญทางวัตถุ และแรงขับดันจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ยังผลผลิตให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ จนคนพอใจกับความสำเร็จทางอุตสาหกรรม แต่มิใช่ความสำเร็จทางการปกครองเลยแม้นแต่น้อย เพราะขาดมุมมองทางด้านผลกระทบทางสังคม ทำให้คนหยุดพัฒนาปรัชญาการปกครองแบบประชาธิปไตยของ “อดัม สมิทธ” คนคิดว่ามันสมบูรณ์แล้ว แท้จริงแล้วไม่ใช่ การนำเสนอต่อไปนี้จะแสดงจุดอ่อนทั้งหมดและสิ่งที่ “คาร์ล มาร์ก” เตือนให้ระวัง ถึงความเลวร้ายของระบบทุนนิยมที่พ่วงมากับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย “คาร์ล มาร์ก” ไม่ได้ต่อต้านแนวคิดเสรีนิยม และสังคมนิยม ทว่าเขาแต่ยังหาทางออกให้ไม่ได้ จึงเสนอให้ประชาชนได้แก่แรงงาน ลุกขึ้นประท้วง ก่อการนองเลือดเป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งผมคิดว่าเป็นการคิดที่ไม่จบ และเป็นทางออกที่ไม่ถูกต้อง เป็นเพียงจุดเริ่มคิดเท่านั้น”

    พุทธะถาม “แล้วอย่างไรต่อ ระบอบไหนที่ว่าดีกว่าประชาธิปไตย แล้วเรื่องที่กล่าวหาคณะราชละ”
    พุทธะตอบ “ประวัติศาสตร์ที่ผิดเพี้ยนของไทย ระบุว่า คณะราชคือผู้ยึดคืนอำนาจประชาธิปไตยมาให้ประชาชน เพราะระบอบการปกครองของไทยเป็นแบบ “สมบูรณาญาสิทธิราช” ซึ่งแท้แล้ว ร. เจ็ด ทรงกำลังวางรากฐาน อย่างรอบคอบเพื่อมอบประชาธิปไตยให้ประชาชน ทว่าทรราชเหล่านี้ รวมตัวกันปล้นพระราชอำนาจก่อน ด้วยความเกรงกลัวว่าหากท่านสละราชแล้วตนเองอาจมิได้รับเลือกครองอำนาจ จึงรวมตัวกันมาปล้นพระราชอำนาจ แล้วแสดงตนว่าเป็นวีรบุรุษ ทั้งหล่าวหาระบอบการปกครองเก่าแก่ของไทยว่าเป็น “สมบูรณาญาสิทธิราช” ซึ่งผิดมหันต์ดังที่กล่าวมาข้างต้น การกระทำนี้เกิดจากการที่พวกเขาได้ไปร่ำเรียนเมืองนอก แล้วหลงใหลแนวคิดตะวันตก จนไม่มองดูความเป็นไทย ใจร้อน เรียกว่าไหลตามกระแสการต่อต้านพระมหากษัตริย์ในยุคนั้น ทั้งที่จริงแล้ว ร. เจ็ด ทรงปกครองด้วยความเมตตา แต่ปัญหาเศรษฐกิจขณะนั้น ยากเกินเยียวยา ซึ่งเป็นเหมือนกันหมดทั้งโลก โทษใครไม่ได้ พวกเขาก็อาศัยโอกาสนี้ ในการปล้นราชวงค์ แล้วยัดเยียดข้อหาให้ราชวงค์ไทยเพื่อชิงอำนาจ”

    พุทธะถาม “สรุปไม่ได้นะ ว่านายกที่ผ่านมาใช้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้วไม่ดี”
    พุทธะตอบ “ได้สิ ลองย้อนกลับไปดูอดีต นายกของเราแต่ละคนแทบไม่ได้ปกครองประเทศให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ด้วยประชาธิปไตยเลย ยกเว้นนายกบางท่านที่เจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเท่านั้น ที่เห็นตึกรางบ้านช่องเยอะขึ้นมานี้ เป็นผลจากการทะลวงไหลเข้ามาลงทุนทำลายทรัพยากรของไทย โดยฝีมือนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งนั้น เมื่อได้กำไรสมใจอยากแล้วก้ถอนทุนหนีไป ไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศของเรา ในขณะที่องค์พระมหากษัตริย์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ตรากตรำพระวรกายอย่างหนัก เหยียบย่ำไปทั่วแดนดิน ที่ห่างไกลและไร้ความเจริญ เพื่อหวังเป็นแนวทางให้นายกเดินตาม ทว่า เหล่านายกที่ผ่านมาจะมีสักกี่คนที่เห็นแนวทางนั้น มีใครสักกี่คนที่เดินออกไปดูชาวไร่ชาวนาแล้วนั่งลงคุยกับเขาโดยตรงเหมือนพระองค์ท่าน มีแต่ออกข่าวอยู่ในทำเนียบ คุยกันแต่เรื่องกล่าวโทษผู้นั้นผู้นี้ ไม่ได้คุยกันเรื่องความคืบหน้าของงาน บ้างก็เสนอโครงการให้ประชาชนสนใจ เลือกไปเป็นนายก แต่ไม่เคยลงดูชาวไร่ชาวนาจริงๆ การตัดสินใจก็ผิดพลาด ซ้ำยังโกงกินชาติบ้านเมืองก็มี เราได้พิสูจน์มายาวนานแล้วครับว่านายกทั้งหลายปกครองประเทศสู้ในหลวงไม่ได้ ใจคนไทยทุกคนตอนนี้เป็นดวงเดียวกันหมด แต่เราติดตรงที่ประชาธิปไตย มันดักห้ามไว้ ว่าห้ามถอยหลังกลับไปเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช ในขณะที่ผมกำลังบอกว่าเราไม่ได้ถอยหลังไปแบบนั้น แต่เราก้าวใหม่ให้ถูกต้องจากระบอบการปกครองแบบพุทธะต่างหาก ซึ่งนั่นคือสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องการ”

    พุทธะถาม “แปลว่าให้ต้องกลับไปเป็นอย่างเก่า เราไม่ถอยหลังเข้าคลองหรอกหรือ”
    พุทธะตอบ “ไม่ใช่ เราย้อนกลับไปชำระประวัติศาสตร์ ใช้สติหยุดคิด เลิกยึดติดในคำพูดโฆษณากล่อมหัวใดๆ ที่เคยหลอกเรามา แล้วดูด้วยใจอันใสซื่อบริสุทธิ์ แล้วย้อนกลับไปทบทวนความเป็ฯมาของประวัติศาสตร์ไทยใหม่ ตรองดีๆ นานๆ ลึกๆ อย่าหยาบคายแบบฝรั่งมังค่า ก็จะได้สติคิดได้ว่ามันถึงเวลาที่เราจะปลดตัวเองจากการเป็นทาสระบอบทุนนิยมที่ครอบงำเรามานานโดยที่เราไม่รู้ตัวแล้ว ทั้งนี้ไม่ใช่แต่เรา มาเลเซียเองก็กำลังปลดตัวเองจากการเป็นทาส ตั้งแต่สมัยมหาเธ หรือแม้แต่ไต้หวัน ผู้คนก็กำลังหาทางออกใหม่ๆ ดูได้จากการรวมคนได้เป็นล้านๆ เพื่อประท้วงของ ซือ หมิง เต๋อ หรือแม้นแต่ภูฏานก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรวดเร็วคาดไม่ถึง เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงสละราชบัลลังก์ให้แก่มกุฏราชกุมาร “จิกมี” เมื่อทรงเห็นว่าเป็นกาลเวลาอันควร และมกุฏราชกุมารมีพระสติปัญญาพร้อม ตั้งแต่ทรงเสด็จมาเยี่ยมเยือนประเทศไทย และประกาศว่าจะเดินตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อปกครองประเทศโดยใช้ดัชนีชี้วัดความสุขของคนในชาติ เห็นชัดหรือยังว่า อิทธิพลทางความคิดด้านการปกครองของพระมหากษัตริย์ไทยเราปัจจุบัน ยิ่งใหญ่แค่ไหน ทีนี้ตาแจ้งสว่างหรือยัง”

    พุทธะถาม “แล้วการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้จะช่วยได้ไหม”
    พุทธะตอบ “ตราบใดที่ยังคิดในกรอบ ก็ยังเดินในกรอบที่ประเทศมหาอำนาจเขาวางกรอบไว้ให้เดิน แล้วเราจะเหนือเขาได้อย่างไร อันที่จริงเราไม่ได้อยากเหนือใคร แต่ถ้าเขากดขี่เราด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจ ครอบงำให้เราไม่มีความผาสุก ทุกคนเป็นโรคเบื่อวันจันทร์ เครียดกับการทำงาน และเคยคิดไหมว่าจะทำเงินไปทำไมนักหนา แล้วหลอกตัวเองว่าทำไปเหอะน่า ให้ลูกหลานเราไง สะสมไว้เป็นมหาเศรษฐี แล้วก็ทำงานตะบี้ตะบันแข่งขันจะเป็นจะตายไร้ความสุข อย่างไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ลูกไม่ได้เห็นหน้าแม่ แม่ไม่เคยได้มีเวลาให้นมลูก แม้แต่เวลาจะใส่บาตรตอนเช้ายังไม่มี จะเข้าวัดก็ทำไม่ได้ เพราะต้องถ่อสังขารออกไปไกล ทำงานหกวัน แค่เรื่องในบ้านก็ชำระไม่ไหวแล้ว สิ่งเรานี้ละคือระบบทาสแนวใหม่ ที่เรียกว่า “ทาสจำยอม” โดยที่เราไม่รู้ตัว ถึงเวลาแล้วที่เราจะลุกขึ้นมาบอกว่าเราไม่ใช่หมูในคอกที่จะมาจำกัดอิสรภาพในการใช้ชีวิตของเรา แล้วกลบเกลื่อนว่าเรามีอิสรภาพที่จะซื้ออะไรมาสนองกิเลสตัญหาเราก็ได้ เพราะเราไม่ได้ต้องการเป็นหมูที่เรียกร้องและเลือกอาหารการกินได้อย่างเสรี แต่คนไทยเราเป็นนกที่รักอิสรภาพ ต้องการอิสระเวลาส่วนตัวในชีวิต จะมากักขังเราดั่งหมูมิได้ ภาวะ “ทาสจำยอม” นี้ ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน และไม่มีในการปกครองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำไมเราไม่เรียกร้องให้พระองค์ปลดเราออกจากการเป็นทาสเหมือนกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าทรงช่วยชาวไทยละ หากเราไม่พึ่งบารมีของพระมหากษัตริย์แล้ว อยากถามว่านายกหน้าไหนจะทำให้เรา ในเมื่อนายกทั้งหลายเป็นพวกเดียวกับนายทุน มิใช่พวกเดียวกับประชาชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราต่างหากที่เป็นพวกเดียวกับประชาชนอย่างแท้จริง และจริงใจ”

    พุทธะถาม “อย่างนั้นแสดงว่า ไม่มีนายกคนไหนที่ดีเลยหรือ”
    พุทธะตอบ “มีแน่ ถ้านายกคนนั้นเดินตามรอยในหลวงอย่างแท้จริง แต่เราต้องยอมรับก่อนว่าการปกครองที่ดีที่สุดคือระบอบพุทธะ และนายกจะมีอำนาจเหนือพระมหากษัตริย์เป็นไปไม่ได้ เราต้องทวงความยุติธรรมคืนให้กับพระมหากษัตริย์ของเรา พระราชวงค์ท่านทรงถูกปล้นโดยคณะราช และถูกใส่ร้ายว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชโดยไม่รู้จริง แล้วพวกเขาก็เอาประเทศไปปกครองโดยไม่เข้าใจอะไรเลย พวกเขาไม่เข้าใจประเทศตัวเอง ไม่เข้าใจระบอบพุทธะ ไม่เข้าใจแม้นกระทั่งระบอบประชาธิปไตยที่เขาอ้างมาอย่างแท้จริง แล้วทำชาติพินาศย่อยยับ โกงกินบ้านเมืองมาตลอดเวลา”
    <!--MsgFile=0-->

    พุทธะถาม “เช่นนั้น เราควรทำอย่างไร ประท้วงหรือ”
    พุทธะตอบ “ไม่ใช่ ระบอบการปกครองแบบพุทธะไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบนองเลือด การประท้วงเป็นแนวคิด “มาร์ก ซิส” จากโบราณกาลมา ยกตัวอย่างเช่น การทูลอัญเชิญพระนางจามเทวีขึ้นครองราช โดยเหล่าพราหมณ์ เป็นต้น หรือแม้นแต่การทูลอัญเชิญพระมหากษัตริย์พระองค์ต่างๆ ของไทยขึ้นครองราช โดยราชการผู้ใหญ่ผู้มีสายตายาวไกลและรักชาติอย่างแท้จริง นี่คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างมีวัฒนธรรม มิใช่การเปลี่ยนแปลงแบบป่าเถื่อน การถวายคืนพระราชอำนาจ จะไม่มีการนองเลือดแต่อย่างใด เพราะเราจะใช้วิธีนักปราชญ์ นำเสนอข้อมูลความเป็นจริงและเหตุผลให้ประชาชนทราบ แล้วให้ประชาชนออกความเห็นร่วมกัน ซึ่งผมทายได้ว่าของขวัญชิ้นนี้เป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดที่ชาวไทยรอมานาน ทุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน เพราะเราเบื่อพวกชนชั้นนายทุนมากดขี่เราจนจะไม่ไหวแล้ว”

    พุทธะถาม “แล้วนายกจะมีไหม ต่างชาติจะยอมรับได้หรือ”
    พุทธะตอบ “ต้องมีสิ เพราะเราพัฒนาไปข้างหน้า ไม่ได้แปลว่าย่ำเหมือนเดิม เป็นระบอบประชาธิปไตยภายใต้การปกครองแบบพุทธะโดยมีพระมหากษัตริย์เป็ฯประมุขสูงสุด มีสิทธิ์ขาดที่จะทรงวินิจฉัยตัดสินใดๆ ให้ใครเข้ามารับตำแหน่งหรือออกจากตำแหน่งเมื่อใดก็ได้ โดยให้ประชาชนนำโดยข้าราชกาลผู้มีความจงรักภักดีต่อชาติร่วมเสนอชื่อนายกเข้ามา นี่ละวัฒนธรรมการอัญเชิญผู้ปกครองของไทย ท่านถวายอำนาจให้เหล่าขุนนางเสนอชื่อมานานแล้ว จากนั้นขุนนางก็เสนอชื่อนายก ให้ท่านทรงตัดสินพระทัย เช่นนี้ จึงเรียกว่า ท่านทรงเป็นประมุขของประเทศที่แท้จริง ซึ่งคณะราชได้สร้างเครื่องปิดกั้นพระราชอำนาจนี้ไว้นาน แล้วยึดเอาอำนาจให้ชนชั้นนายทุนเสียเอง โดยการให้ประชาชนตาดำๆ ที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในจุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตย จำต้องเลือกแบบ “มัดมือชก” คือ เลือกผู้นำที่ตนไม่ต้องการ แต่เสนอหน้ามาได้ด้วยอำนาจเงินและอำนาจตระกูลเก่าหรือชื่อเสียงจอมปลอมจากการเป็นดารา เป็นต้น ประชาชนไม่มีทางเลือกก็ต้องเลือกกันไป สุดท้ายได้นายกคนเดียว มัดมือชกพระมหากษัตริย์ให้ทรงลงพระปรมาภิธัยอีก ลองคิดดูว่าไม่มีตัวเลือกให้ทรงวินิจฉัย แล้วจะเรียกว่าทรงมีอำนาจตัดสินพระทัยได้อย่างไร นี่ละ กลอุบายแห่งทรราชปล้นบัลลังก์ ที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชนชั้นนายทุน หาใช่ฉบับที่พระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ดทรงเตรียมไว้ให้ไม่ ทั้งที่แท้แล้วระบอบการปกครองแบบพุทธะอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนี้ มีความเป็นเสรีภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกษัตริย์ด้วยการอัญเชิญขึ้นครองราช ด้วยเหล่าขุนนางผู้ภักดีและมีสติปัญญาสูง หรือแม้แต่การที่ทรงให้ประชาชนเลือกนายกได้อิสระเป็นเบื้องต้นก่อน แล้วทรงมีพระราชอำนาจในการตัดสินพระทัยเด็ดขาด แบบนี้จึงเรียกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นประมุขของประเทศอย่างแท้จริง มิใช่ในนาม หรือแม้นแต่การปกครองตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง ผู้ทรงให้อิสระภาพในทุกด้านอย่างสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย เช่น การเว้นภาษาการค้าขายได้อย่างเสรี ไม่มีการกีดกัดการค้าแบบฝรั่งมังค่า แล้วเชิดหน้าว่าตนนั้นเปิดเสรีแต่ลับหลังกลับใช้ความเอาเปรียบด้านสัญญาต่างๆ ต่อคู่ค้า แบบนี้หน้าซื่อใจคด ปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ ซึ่งไม่เคยมีในน้ำพระราชหฤทัยแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทย มีแต่พวกยักษ์มารฝรั่งมังค่า และนายทุนไทยทรราชแผ่นดินที่ก้มหัวให้นายทุนฝรั่งเท่านั้นที่ทำแบบนี้กับคนไทย แล้วใช้ประเทศเป็นทุนในการลงทำกำไรจนฉิบหายวอดวายไปมากมายอย่างที่เห็นอยู่ นอกจากนี้ระบอบการปกครองแบบพุทธะโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนี้ ยังมีความเป็นสังคมนิยมสูงสุด กล่าวคือมีประสิทธิภาพมากกว่าสังคมนิยมคอมมิวนิส เพราะทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรม อันเป็นไปเพื่อการจรรโลงสังคมโดยแท้ แตกต่างจากนายกจากประชาธิปไตยที่มักอ้างตนว่ารู้เรื่องประชาธิปไตยแต่กลับใช้ความรู้โกงกิน เพื่อตนเอง แล้วข่มเหงปล่อยทอดทิ้งสังคม ไม่ดูแลประชาชนในประเทศ”

    พุทธะถาม “ได้สติเลยครับ ตาสว่าง รู้อย่างนี้แล้วประชาชนคนไทยควรทำอย่างไรดีครับ”
    พุทธะตอบ “เราต้องแสดงออกทางความคิดเห็นผ่านสื่อต่างๆ เจตจำนงค์ว่าเราต้องการใครกันแน่มาปกครองประเทศ อย่างใสซื่อจริงใจ โดยไม่คิดวนแต่อยู่ในกรอบ แล้วใช้วิธีแบบผู้มีวัฒนธรรมที่ดีงามเขาทำกัน คือ แสดงออกทางความคิดเห็นแบบปราชณ์ แล้วเสนอให้ขุนนางที่จงรักภักดีต่อชาติ ถวายคืนพระราชอำนาจ เพื่อให้ประชาชนและขุนนางร่วมกันเสนอชื่อนายกแล้วถวายแด่ท่านให้ทรงวินิจฉัยแต่งตั้งนายกใหม่ นี่ไม่ใช่การถอยหลัง แต่เป็นการก้าวหน้าที่ถูกต้องต่างหาก มิเช่นนั้น ประเทศเราจะอยู่ได้อย่างไรต่อไปละ ลองตรองดูเถิด เราไม่อยากออกไปเลือก สส. หน้าเก่ากันแล้ว สมัครมาอีกก็วนรอบโกงกินเหมือนเดิม เราไม่อยากได้คนมีอำนาจและเงิน แต่เราอยากได้คนดีมีความสามารถ ซึ่งตอนนี้เขาไม่มีโอกาสได้เข้ามาปกครองเพราะพรรคการเมืองเก่าต่างๆ เผด็จการครอบครองไว้ด้วยอำนาจเงินและอำนาจการเมือง มันอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้จริงไหม ผมคิดว่าถึงจุดนี้แล้วคนไทยทุกคนเห็นตรงกันนะ”

    จบ บทสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีในอนาคต โดยธุลีกองฟอน.....
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** เมื่อเรามีเป้าหมาย คือ นิพพาน **** "สัจจะ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด" ก็ต้องทำให้ได้ - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    สาธุ...
     
  17. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ถามตอบระบบเศรษฐกิจพอเพียง​

    ธุลีกองฟอน "ระบบเศรษฐกิจพอเพียงไม่ทำให้คนยากจนดอกหรือท่าน"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ไม่หรอก เราต้องพิจารณาจากทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีทั้งโลก (Total global resource) แบบตรงไปตรงมา แล้วเปรียบเทียบกับผลผลิตที่เราทำได้ ซึ่งเราพบว่าเมื่อเราทำงานหนักด้วยแรงขับดับทางด้านทุนนิยม ทำให้เราได้ผลผลิตล้นเกินพอดี เสื้อผ้าเรามีมากมาย สองสามตู้ไม่ได้หยิบมาใช้ ยังไม่ทันเก่า และไม่ขาดวิ่น บ้านเราหลังใหญ่พอที่จะจัดงานบวชลูกชายได้ แต่เราใช้นอนจริงๆ ไม่เท่าไร รถยนต์เรามีหลายคัน วิ่งเปลืองน้ำมันหมดเงิน สิ้นรอบไปมาเพราะการวางผังเมืองที่ไม่ดี แต่นั่นก็ไม่เพียงพอแต่การสนองตอบต่อความเบื่อของเราได้ อาหารเรากินเต็มโต๊ะแต่ว่ามีเศษอาหารเหลือมากมายในแต่ละจาน จริงๆ แล้วผลิตผลมวลรวม (GDP) ของเราสามารถเลี้ยงคนได้ทั้งโลกด้วยซ้ำไป นี่เกิดจากการผลิตแบบปกตินะ ชาวไร่ชาวนายังไม่ได้ทำงานเต็มที่ (Full-employment) ด้วยซ้ำ นั่นแปลว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้มีปัญหาด้านความขาดแคลนหรือปริมาณในผลิตผลที่ทำได้ แต่เรามีปัญหาด้านประเภทผลิตภัณฑ์ (Product variety and quality) และการกระจายผลิตภัณฑ์ (Total distribution) มากกว่า จุดนี้เอง ทำให้ผลผลิตมวลรวมที่ได้ปริมาณมากเกินพอดีแล้ว (Over productivity) เป็นไปในด้านที่ขาดคุณภาพ (Low quality) บางอย่างสร้างขึ้นมาสนองกิเลสตัญหา และช่วยก่ออาชญากรรม ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำทางการกระจายรายได้ (Unbalance of product distribution) ยังกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมสูงขึ้นอีก ทำให้รัฐบาลมีต้นทุนค่าดูแลสังคมเพิ่มขึ้น (High social capital)"

    ธุลีกองฟอน "แล้วปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่เราเจอทุกวันนี้ที่แท้จริงมันอยู่ที่ไหนครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "เราต้องมีสติ อย่าไปวิ่งตามเงา ความหมายก็คือ การที่เราวิ่งไล่กำไรซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะภายใต้ระบบทุนนิยมนี้ เราเป็นปลาเล็ก ไม่อาจต้านทานกระแสเศรษฐกิจโลก เราต้องไหลตามน้ำเขาอย่างเดียว นี่คือ ลักษณะปกติของทุนนิยม ใครมีทุนมากก็ได้เปรียบ แต่เราเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อกระแสมันไหลต่อไปไม่ได้แล้ว พอเราวิ่งต่อไปไม่ได้ เงาที่ไล่หลังเรามา (ดอกเบี้ยเงินกู้) ก็แสดงฤทธิ์ เจ้าหนี้เริ่มฟ้องล้มละลาย ผู้บริหารเริ่มสร้างภาพลักษณ์ออกโฆษณาสร้างความน่าเชื่อถือ มีแต่ภาพลักษณ์และอนาคต แต่ไม่มีผลงานทั้งในด้านทางการตลาดซึ่งวัดง่ายๆ ด้วยยอดขาย (Sale volume), ความภักดีต่อตราสินค้า (Brand loyalty) และในการอัตราการทำกำไร (Profit margin) หรือแม้นแต่ปริมาณการผลิตที่คุ้มทุน (Economic of scale uncontrollable) เราก็ควบคุมไม่ได้ เพราะผลิตยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน คู่แข่งขันก็ออกสินค้าตัวใหม่ ลูกค้าเห่อก็ไปซื้อตัวใหม่ กรณีนี้เห็นบ่อยในอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิก ซึ่งกำลังจะล้มละลายอีกมาก มีทางเดียวคือหาตลาดใหม่เมื่อตลาดคลายตัวลง (Decline) นี่คือปัญหาที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งก็คือ ตัวระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั่นแหละที่เป็นตัวปัญหา ไม่ใช่ปริมาณทรัพยากรที่มี (Resource quantity) หรือด้านแรงงาน (Labor force) ใดๆ เลย"

    ธุลีกองฟอน "ที่กล่าวว่าปัญหาน้ำมันแพง, ต้นทุนแรงงานสูง, ตลาดหดตัว ไม่ใช่ปัญหารึ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ไม่ใช่ นั่นเป็นธรรมชาติของการล่มสลายของระบบทุนนิยมต่างหาก เป็นธรรมชาติในช่วงถดถอยของระบบ (Decline stage) เป็นปกติของมัน ทีนี้ทางแก้ของระบบทุนนิยมของเขาก็คือ การวิ่งหาตลาดใหม่ (New market explanation) เพื่อจะได้ต้นทุนที่ต่ำลง (Lower cost) และได้ฐานตลาดที่กว้างขึ้น (High target market) มันไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริง มันเป็นปัญหาของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมต่างหาก เหมือนเราไถนา แล้วเครื่องไถนามันเสีย จะไปโทษที่นาฟ้าดินไม่ได้"

    ธุลีกองฟอน "แล้วปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริงคืออะไรครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริง ข้อที่หนึ่งคือ เราไม่สามารถควบคุมทิศทางการผลิตสินค้าที่ควรผลิตเพื่อพัฒนาประเทศชาติได้ (Uncontrolled production) เพราะระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นระบบปล่อยปละเลยเลยให้เอกชนแข่งขันกันเอง (Non-direction in competition) แล้วให้ประชาชนตัดสินใจ โดยไร้ทิศทางการนำไปสู่การพัฒนาชาติ (Non-direction in social development) เช่น การผลิตเหล้าสนองความต้องการคนจนที่เครียด ยิ่งจนยิ่งเครียด เลยยิ่งกินเหล้า เราเห็นในโฆษณาไหม นั่งขำแย่ นั่นแหละประเทศเราเอง มันย่ำแย่อยู่ให้เราเห็นแล้วนั่งขำ แต่ช่วยอะไรกันไม่ได้ แบบนี้ ลูกค้าเป็นคนตัดสิน ซึ่งเราไม่มีใครนำทางว่าควรนำเงินไปซื้ออะไร แต่เขามีความเครียดจากการแข่งขันในระบบทุนนิยม แน่นอนว่าเขาต้องเลือกระบายความเครียดกับสิ่งที่ให้ผลเร็ว (High speed response but high bad side effect) ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันให้ผลเสียที่รุนแรงตามมาต่อสุขภาพกายและใจ และต่อสังคมโดยรวม เขาจะไม่เลือกสิ่งที่ต้องใช้เวลานานๆ ในการสร้างความสุขที่แท้จริง เขาจะไม่เลือกไปนั่งสมาธิแก้เครียด เพราะระบบทุนนิยมไม่อนุญาติให้เขาได้มีเวลาในชีวิตแบบนั้น ระบบทุนนิยมอนุญาติให้เขาเป็นหมูในคอกที่เลือกกินอะไรก็ได้ อ้วนแล้วรอขึ้นเขียงตายไปเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือเวลาในชีวิตของคนที่หดหายไปกับการทำงาน แต่ไม่ว่าทำงานได้เงินมาเท่าไร ทว่าซื้อกลับมาไม่ได้ ปัญหาข้อที่สองคือ ด้านการบริโภค ที่กระตุ้นลัทธิวัตถุนิยมขึ้น เป็นข้อเสียที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันของระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนไม่มีเวลาได้รับความรักจากพ่อแม่ เลยไปเล่นเกมออนไลน์ เล่นไปเล่นมา มีแต่เกมยิงฆ่าทำลาย ก็เกิดความก้าวร้าว พ่อแม่สอนไม่ได้ สถาบันครอบครัวก็ล่มสลาย ทีนี้สังคมไทยก็รอถึงยุคเด็กนรก "แล๊กน่าร๊อก" ขึ้นมาเป็นนายก แถมใช้ประชานิยมอีกที สงสัยเกมฆ่ากันนอกจออาจเกิดขึ้นสนุกกันคราวนี้ ปัญหานี้มีมานาน จนแม่บางคนต้องโดดตึกตายเพราะลูกไปเล่นเกมไม่เชื่อฟังพ่อแม่เป็นข่าวมาแล้ว พอโตขึ้นความที่เกเรเลยไม่สามารถสอบแข่งขันได้ตำแหน่งดีๆ เลยไม่มีงานทำ จึงไปปล้นไปก่ออาชญากรรม แล้วก็เข้าสู่วังวนยาเสพติด บ้างก็มีพรรคพวกสนับสนุนให้ลองก่อการร้ายดู เห็นว่าทำได้ ตำรวจจับไม่ได้ เลยคึกคะนองทำบ่อยๆ ท้าทายดี เพราะมันฝึกจิตมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก อีกพวกหนึ่งแข่งขันสอบได้ตำแหน่งดีๆ เป็ฯชนชั้นกลางของสังคม พอโตขึ้นทำงานเครียดก็ต้องโกยเงินให้คุ้มค่าการทำงานที่เครียดนั้น แล้วขยับตัวเองขึ้นมาเป็ฯชนชั้นนายทุน ทีนี้วังวนการโกงกินก็เกิดขึ้นทุกระดับ ต่อยอดไปสู่วังวนอำนาจการเมืองต่อ ไม่มีใครหนีวังวนความเครียดไปได้ เครียดมากก็ไประบายความเครียดผ่านความใคร่และความรุนแรง จึงไม่แปลกที่ทุกสื่อของอเมริกันจะต้องมีเซ๊กและความรุนแรง เช่น ภาพผู้หญิงยั่วยวนและการระเบิดเตะต่อย อยู่ในงานสื่อนั้นเสมอ นี่คือ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นรสนิยมที่เปลี่ยนไปอันเป็นผลร้ายจากลัทธิวัตถุนิยม ลูกน้องของระบบทุนนิยมเขานั่นเอง"

    ธุลีกองฟอน "ฟังดูแล้วมันเหมือนไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันเลย"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "แน่นอน เพราะพวกเขาไม่คิดว่านี่คือปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบไปสู่ปัญหาสังคมและภาพรวมของประเทศชาติ เขาคิดแต่จะตามก้นฝรั่งมังค่า แก้ปัญหาวนเวียนตามเขาไปแบบนั้น ซึ่งตราบใดที่กระแสเศรษฐกิจไม่ดี เราไปควบคุมอะไรไม่ได้เด็ดขาด เพราะเราไม่ใช่ปลาใหญ่ ไม่ใช่เซตใหญ่ ไม่ใช่ต้นกระแส เราเดินกลยุทธตามกระแส จะแข่งขันกับเขาอย่างไรก็ไม่มีทางทันในทุกด้าน ดังนี้ การไปปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate), ค่าใช้จ่ายภาครัฐบาล (Government expenditure) ฯลฯ มันยิ่งทำให้เกิดการเสียความสมดุลภายในของตัวเราเอง (Internal dis-balancing) การเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงภายนอก เช่นการปรับอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้ เพราะปัญหาใหญ่คือ เราไหลตามกระแสโลก ตราบใดที่กระแสโลกยังไม่ดี เราจะดีขึ้นมากกว่าได้อย่างไร ในเมื่อเราเดินเกมทุนนิยมตามก้นเขาอยู่ การส่งเสริมธุรกิจขนาดย่อมก็ไม่มีทางเป็นไปได้ (Low business feasibility) อย่างที่เห็นอยู่ ว่าเราไม่มีสายป่านเงินทุนหนุนพอ (Short capital support) เราไม่มีความชำนาญในการควบคุมคุณภาพได้ตามมาตรฐานเพราะเราเป็นมือใหม่ (Low quality control skill) เราไม่มีฐานลูกค้าเก่าเพราะเราเพิ่งเข้าตลาด (Narrow target market) เราไม่มีความเข้มแข็งหลักที่แท้จริงของเราเลย (Core competitive) เรามีเพียงความแปลกใหม่ที่หลอกหลอนและเหลวแหลกสร้างฝันหล่อเลี้ยงให้เราเชื่อคำโฆษณาของรัฐบาลไปเท่านั้นเอง ในขณะที่เราต้องแข่งขันกับคู่แข่งขันคือใครเรายังไม่รู้เลย แล้วเราไม่รู้เขา เราจะเอาตัวรอดในท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดกลางสมรภูมิการตลาดโลกได้อย่างไร นโยบายที่ฝันเฟื่องไม่ลงไปดูสภาพปัญหาจริงนี้ เปรียบเสมือนแม่ทัพที่สั่งพลทหารออกไปรบโดยคิดเอาเองในมุ้ง ไม่ออกไปตรวจจุดยุทธศาสตร์และข้าศึกเลยแม้แต่น้อย จึงผิดพลาดทั้งหมด"

    ธุลีกองฟอน "ฟังดูเหมือนมืดมนไม่มีทางออกเลยนะท่านแก้อะไรไม่ได้เลยหรือ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "มี เศรษฐกิจพอเพียงไงละ คือทางแก้ที่มีนานแล้ว แต่เสียดายไม่มีใครทำเสียที ถึงตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะเรามัวหลงฝรั่งมังค่า ลืมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เราไม่เชื่อท่าน แต่เราดันไปเชื่อฝรั่งหยาบด้าน การเดินในทางที่ตนอ่อนแอและเสียเปรียบ ก็แพ้ทัพตั้งแต่แรก ดังนี้ ต่อให้เราวิ่งตามระบบทุนนิยมขนาดไหน เราก็ไม่มีทางทันเวียดนาม, จีน, อเมริกา เรายิ่งรีบวิ่งเพื่อจะไปเป็นเสือตัวที่ห้า ในที่สุดเราก็ขัดขาตัวเองล้ม เป็นต้มยำกุ้งไครซีสอย่างที่เห็นนั่นไง ถึงตอนนี้เราต้องรับกรรมร่วมกันแล้ว เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ ใครจะหนีพ้นสงครามไปได้ ระบบเศรษฐกิจล่ม ระบบการเมืองการปกครองก็ต้องพังตาม มันเป็นธรรมชาติที่พึ่งพากันแบบนี้นี่แหละ เมื่อคนอดอยาก คนก็ขาดความเชื่อถือในการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ฝ่ายตรงข้ามที่แย่งชิงอำนาจก็จะใช้โอกาสนี้ ใส่ความก่อม๊อบขึ้นมา เช่น การเลียนแบบการถล่มตึกเวิล์ดเทรด โดยการวางระเบิดในที่สำคัญ ใช้ระเบิดแบบโจรใต้ แต่วิธีการแบบโจรใต้เป็นวิธีเฉพาะ เลยทำเลียนแบบไม่ได้ แล้วแสร้งเขียนเครื่องหมายบ้าๆ บอๆ ให้คนคิดว่าเป็ฯผู้ก่อการร้ายไปเสียนี่ เพื่อให้ภาพลักษณ์การบริหารประเทศตกต่ำ คนขาดความมั่นใจในเศรษฐกิจ แล้วปั่นม๊อบขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล ที่นี้คนไทยก็ฆ่ากันเองเหมือนอดีต แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังก็กลับมายึดอำนาจแสดงตนเป็นวีรบุรุษไป ที่ทำไปเพราะกำลังถูกริบทรัพย์ฐานฉ้อโกง ที่เล่านี้เป็นเหตุการณ์สมมุตินะ ไม่ว่าใคร อย่าคิดมาก แต่ถ้าคิดน้อยแล้วคิดได้ก็ไม่ว่ากัน ความคิดใครความคิดมันผมห้ามไม่ได้"

    ธุลีกองฟอน "เศรษฐกิจพอเพียงแก้ปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อให้คนยังจนอยู่จะพอได้หรือ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "พอได้อยู่แล้ว อย่างที่ผมเรียนเบื้องต้นว่าแท้แล้วผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการในการหล่อเลี้ยงประเทศคืออะไรละ ไม่ใช่เหล้านะ ไม่ใช่มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดนะ แค่ปัจจัยสี่เราก็รอดได้ทั้งประเทศ ที่นี้ถ้าเรากระจายสินค้าและปัจจัยสี่ทั่วถึง มันก็ลดปัญหาอาชญากรรม ต้นทุนรัฐบาลก็ลดลง ไม่เห็นว่าจะต้องใช้เงินรัฐบาลมากขึ้น มีแต่ได้กับได้ ลดต้นทุนรัฐบาล ด้วยการลดช่องว่างสังคม ไม่ต้องไปใช้เงินรัฐบาลเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาให้คนรวย จนไปเพิ่มช่องว่างทางสังคมให้เพิ่มขึ้นเลย แต่ที่เราจะล่มจมเพราะนายทุนจะถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย เพราะยอดขายไม่ทำกำไร เพราะการผลิตและการแข่งขันที่ไปหดกำไรส่วนต่างลงต่างหากละ มันเป็นปัญหาของระบบทุนนิยม ระบบเงินกู้ และระบบบริโภคนิยม ที่ก่อตัวขึ้นในทันทีที่กระแสทุนนิยมหยุดไหล ทุกอย่างมันถูกจุดให้วิ่งไปหยุดไม่ได้ นี่ละ ระบบทุนนิยม มันหยุดไม่ได้จริงๆ มันไม่มีสมดุลในตัวมันเอง มันขาดเสถียรภาพที่แท้จริงในตัวมัน มันเป็นแรงผลักเปิดให้พุ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับธรรมชาติที่มีขึ้นมีลงทุกอย่างเป็นอนิจจัง แม้นแต่การผลิตที่มากเกินไปสุดท้ายก็ทำให้ต้นทุนเพิ่ม การแข่งขันที่มากเกินไปสุดท้ายก็ทำให้อัตราส่วนกำไรลดลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยวิ่งไปข้างหน้าตลอด มันย้อนถอยหลังไม่ได้อย่างแท้จริง เจ้าหนี้เขาจะฟ้องเอา"

    ธุลีกองฟอน "ฟังๆ ดูเศรษฐกิจพอเพียงไม่ไห้ให้คำตอบของคนอยากรวยอยู่ดี"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "คุณอาจคิดว่าระบบนี้ อยู่แบบจนๆ แล้วสมดุลในตัวเองไปวันๆ อย่างนั้นเอง แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะคุณนิยามความรวยว่าอะไรละ ความรวยในหุ้นตัวเลขที่หวังให้ลูกได้รวยต่อ รวยในเงินที่ซื้อกินอ้วนจนต้องเอาเงินมากๆ ไปผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ หรือรวยจนเอาเงินไปมัวผู้หญิงจนต้องจ้างคนคุ้มครองด้วยเงินจำนวนมากเพราะถูกตามฆ่า ชีวิตทำงานวันๆ เป็นเถ้าแก่จากเมืองจีน ทำงานหนักมาก กินให้อ้วนเป็นหมู สร้างบ้านให้ใหญ่แต่นอนตายแต่นิดเดียว สุดท้ายชีวิตทั้งชีวิตจบลง อ้าวจบแล้วหรือ ไม่ได้ทำอเไรเลย นอกจากงานอย่างเดียว อิสรภาพไม่มีจริง จ้างตัวเองทำงาน จ้างทาสมาประจำคอกต่อ แล้วจ้างลูกให้เป็นเศรษฐีโง่ ที่ใช้เงินไปทำร้ายตัวเองแบบโง่ๆ อย่างที่ลูกเศรษฐีเขาตกเป็นข่าวกัน เป็นความรวยแบบนี้หรือที่คุณต้องการ หรือคุณต้องการรวยอิสระ มีเวลาที่จะค้นหาความหมายในชีวิต จาริกแสวงบุญ หรือออกไปท่องเที่ยวราวกับกามนิตหนุ่มผู้ค้นหาความหมายของชีวิตแล้วพบรักต่างแดนอันแน่นแฟ้น ซึ่งคุณอาจได้แต่งงานกัน และจดจำไปจนวันตายไม่รู้ลืม ไม่ใช่เอาเหอะวะ แก่แล้ว พร้อมแล้วทั้งคู่อย่าเลือกมากเลย ไม่มีเวลาดูใจหรอก เดี๋ยวก็ไม่มีสามีกันพอดี หน้าตาพอดูได้ ทำงานใกล้ๆ กัน เอาเหอะวะ แบบนี้มันขาดรสชาติชีวิต คนนะครับ ขาดอิสระภาพแห่งความเป็นคน เพื่อไปเป็นหมูในกรง ถึงเวลาผสมพันธุ์ก็เอากันข้างๆ คอกนี่หรือไง นี่หรือระบบทุนนิยม ทำให้ความเป็นคนตกต่ำไปหมดทุกอย่าง ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงนี้ คุณได้มีเวลาอยู่กับลูกตั้งแต่แรกเกิด แบบที่เศรษฐีไม่มีแม้นแต่เวลาจะให้ลูกกินนม แต่มีเงินเยอะนะ ไปจ้างเขาเลี้ยง ราคาแพงเหมือนหมาชั้นดีเลย แล้วเอามาเล่าในวงสังคมว่าชั้นส่งลูกไปเลี้ยงโรงหมาราคาแพงดี ในขณะที่ชาวนาที่ดำรงชีพแบบพอเพียงได้เห็นหน้าตากันตลอด ช่วยกันทำงานตลอด เขาจึงรักกันมาก แม้นยากจนมากก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้วัตถุนิยม เพราะกระแสทุนนิยมมันบีบบังคับให้เขาทิ้งไร่ทิ้งนา อันมีแต่ความสุขสงบไป"

    ธุลีกองฟอน "แล้วจุดมุ่งหมายสูงสุดของระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงคืออะไร"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "อย่างแรกเลย เราต้องพอเพียงเลี้ยงตัวรอดยืนบนลำแข้งตัวเองได้ไม่อดตาย มีปัจจัยสี่สมบูรณ์ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดสรรค์ให้ได้ไม่ต้องกลัว เรามีผลิตผลเยอะ ขอแค่มีความเมตตาและยุติธรรม ย่อมแบ่งปันแจกจ่ายทั่วถึงแน่ พอถึงจุดนี้แล้ว ต่อไปเป็ฯกำไรชีวิต ซึ่งเราจะให้กำไรที่สูงค่าที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือ เวลาในชีวิต และการค้นหาสิ่งสูงค่าในชีวิตของแต่ละคน นั่นก็อาจหมายถึงความสุขนิรันดร์ คือ ธรรมอันนำทางไปสู่พระนิพพาน ซึ่งคนคิดว่าเป็ฯเรื่องน่าเบื่อของคนเบื่อโลก ซึ่งผิดถนัด ตัวอย่างเพื่อนของผมก็หลุดพ้นนิพพานแล้ว ทำงานในบริษัทเอกชน เจ้านายยังต้องนับถือเกรงใจ ผลงานก็ดีใช้ปัญญาทำงานได้ดีเวลาน้อย แถมมีรอยยิ้มให้คนรอบข้างตลอดวัน มีอิสระในทุกที่ทุกเวลา ไม่เห็ฯว่าจะไม่ดีตรงไหน อย่างที่อธิบายว่าเงินมากมาย ของต่างๆ มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เพราะดูความต้องการทางร่างกายของเราสิ มันต้องการแค่ไหน เราไปสนองความต้องการทางใจด้วยวัตถุ ซึ่งเป็นความผิดที่โง่เขลา การสนองความต้องการทางกายที่พอเพียงแล้ว ตามหลักความต้องการห้าขั้นของมาสโลว์ คือ การสนองความต้องการทางสังคมและจิตใจ ซึ่งความต้องการทางสังคมนี้ มันเกิดเมื่อเราปรับตัวเข้าสังคมได้ดี อันเป็นลักษณะของพระอรหันต์ ส่วนความต้องการทางจิตใจ มันก็ต้องสนองด้วยจิตนิยม ใช่ไหม มันจะไปสนองจิตใจด้วยวัตถุนิยมได้อย่างไรละ ผิดชัดๆ ตรงๆ อย่างโง่งมที่สุด ของตรงไปตรงมา แต่ไปหลงทางผิด มันก็ตอบผิดอยู่วันยังค่ำ ดังนี้ มนุษย์เราไม่ได้ต้องการวัตถุมากหรอก ลองถามใจตัวเองลึกๆ ดูก็ได้ เพียงแต่เราไม่เคยสัมผัสสินค้าที่สนองคุณค่าทางใจให้เราได้มาก่อนเลยนั่นเอง เราเลยไปลองยึดนั่นยึดนี่ ซึ่งมันไม่ใช่สักที เราถึงได้เบื่อไง เพราะว่าเราทดลองแล้วว่ามันไม่ใช่ อย่าโกหกใจตัวเองเลย ในเมื่อมันไม่ใช่ ใจมันเบื่อ มันก็ไม่ใช่ยาแก้เบื่อ ไม่ให้สุขแท้ทางใจ พูดอย่างนี้อย่าคิดว่าผมบังคับให้คุณบวช หรือไปนิพพานเท่านั้นนะ เพราะความสุขทางใจนี้มีมากมายในทุกศาสนา คุณเคยเห็ฯไหม ใครหลายคนที่ผ่านโลกมามากๆ สุดท้ายก็มาหยุดตรงนี้ ที่ศาสนาทั้งนั้น แต่คนที่ยังไม่หยุด ยังหลง ยังทดลอง ลองผิดๆ แล้วผิดอีก เพราะยังเสียดายความสุขไม่แท้ ที่ยังพอมีความสุขอยู่บ้าง และฉาบฉวยรวยเร็ว สัมผัสสุขได้ทันทีทันใด ทันใจมากกว่า เปิดฝาก็สุขได้ แถมลุ้นโชคชิงเงินล้านได้อีกต่างหาก มันเลยละเลยที่จะค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงภายใต้ระบอบการปกครองแบบพุทธะนี้ จะปลดทาสจำยอม ให้มีอิสระในชีวิต สามารถจาริกแสวงบุญ ท่องเที่ยวไปตามใจต้องการได้ หากโครงการดีก็ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ถามว่ารัฐบาลปล่อยให้ลางานไป ใครจะทำแทน ปริมาณแรงงานไม่ลดลงหรือ รัฐบาลเอาเงินที่ไหนมาสนับสนุน ก็ตอบได้ง่ายๆ เลยว่าประสิทธิภาพการทำงานจะเพิ่มขึ้น จึงลดปริมาณแรงงานลงได้ คนที่ทำงานทั้งวันเครียดมากประสิทธิภาพการทำงานก็ลดลงอย่างที่เห็นอยู่ งานทุกวันนี้เราใช้สมองไม่ใช่หรือครับ ทำไมมันคิดนานจัง แสงดว่าสมองเราไม่ปลอดโปร่ง หรือเราเครียดเรามีอีโก้ อัตตาสูง เถียงกันไม่จบ แบบนี้ถ้าลดอีโก้หรืออัตตา โดยวิธีการทางพุทธศาสนาก็ใช้เวลาประชุมน้อยลง ได้ข้อสรุปแบบผู้มีปัญญามากขึ้นจริงไหมครับ นอกจากนี้การสนับสนุนให้คนไปจาริกแสวงบุญและเดินทางสู่ธรรม จะทำให้ผลิตคนดีให้ประเทศมาปกครองประเทศโดยธรรมต่อไป ระบบแบบนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องผลิตคนดี ให้คนดีมาช่วยคนอื่นเช่นนี้เรื่อยไป แต่เรามักคิดว่าคนดีเป็นคนโง่ ซึ่งผิดอย่างแรง คนเลวต่างหากที่โง่บัดซบ แต่อาศัยเล่ห์เหลี่ยมกลโกง เช่น การประจบสอพลอบ้าง, การใส่ร้ายป้ายีบ้าง, การแย่งผลงานบ้าง, การพูดดูดีพรีเซ้นตืเก่งแต่ลงงานจริงไม่เป็นบ้าง ฯลฯ ในขณะที่คนดีมักมองรอบด้านรอบคอบ จึงคิดช้ากว่า บ้างก็มองลึกซึ้งจนอธิบายยากบ้าง, บ้างก็เห็นปัญหาในอนาคตที่คนไม่มองจึงไม่กล้าเสนอออกมาบ้าง ดังนี้ เราจึงเสียบุคลากรที่ดี ทั้งที่เขาอยู่ในองค์กรของเรานี่เอง เพราะอะไรละ เพราะผู้บริหารไม่ใช่เจ้าของเงิน เขาย่อมบริหารเพื่อความพึงใจของเขา ไม่ได้เห็นประโยชน์ของคนดีที่ทำเพื่อองค์กร แต่เข้าข้างคนเลวที่เข้าได้กับตนได้ด้สนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ฯการโกงกินหรือประจบสอพลอ ดูประเทศเราก็ได้ คุณเชื่อไหมว่าคนดีมีความสามารถยังมีอยู่ในประเทศไทย ผมคิดว่าคุณมีคำตอบในใจมากกว่าหนึ่งคนนะ แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้มาเสนอหน้าลงสมัครให้คุณเลือกเลยสักคน เพราะเขาไม่ต้องการลงไปอยู่ท่านกลางสงครามขว้างขี้ ของนักการเมืองในอดีต (ปัจจุบันดีแล้วระดับหนึ่ง) ที่ถามอะไรก็ตอบว่าไม่รู้ ยังไม่ได้รับรายงาน รู้อย่างอย่างเดียว คือ ผมมีหลักฐานทำลายฝ่ายตรงข้ามอยู่เป็นตระกร้า และจะนำมาแสดงสาดใส่กันให้ฟังเร็วๆ นี้ จบข่าว สุดท้าย ความเบื่อของประชาชน ก็หันไปดูข่าวเม้าท์ดาราแทน ดาราดังมากๆ ก็หันมาเข้าวงการการเมือง มีแต่อะไรที่น่าเบื่อน้ำเน่าวนเวียนอยู่แบบนี้ ผมคิดว่าคนไทยฉลาดกว่าคนอเมริกันด้วยซ้ำ ในการการมองคน และมุมมองการเมืองการปกครอง แต่เราอ่อนด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจเท่านั้นเอง สังเกตุได้ว่าการพัฒนาประชาธิปไตยของเรา แม้นเริ่มต้นที่หลังอเมริกาแต่เราไปได้เร็วกว่านะ ที่เห็นว่าอเมริการุ่งเรืองนั้น รุ่งเรืองเพราะการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ ให้นานประเทศอยู่ภายใต้ระบบทาสจำยอม แค่นั้นเอง แต่ในด้านการปกครองเขาตกต่ำมาก ต่างกันอย่างไร ชัดเจนครับ เศรษฐกิจไม่ใช่การปกครอง เศรษฐกิจก็แค่รวยผลิตได้มาก ได้เงินมาก แต่การปกครองหมายรวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาสังคม การสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม การลดอาชญากรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อเมริกันสอบตกหมดทุกประตู เมื่อเศรษฐกิจเขาพัง ทุกอย่างก็ล่มสลายลง เพราะความเคยชินในการใช้เงินแก้ปัญหามันทำให้เขาไม่มีเครื่องมืออื่นในการแก้ไขปัญหาสังคมและการปกครองประเทศ"

    ธุลีกองฟอน "สรุปสุดท้ายสั้นๆ ครับ"
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ "ศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงให้ลึกซึ้งทุกแง่มุมก่อนตัดสินใจครับ"

    ..............
    จบการสัมภาษณ์โดยธุลีกองฟอน
     
  18. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    เมื่อชาติจะวิกฤติ อะไรคือเหมาะหรือไม่เหมาะ? มัวมานั่งคิดคนตายเท่าไร?
    ชาติจะพ้นภัย ต้องใช้พระศาสนารวบรวมไพล่พล ไม่ใช่ต่อต้าน แต่เพื่อเตรียมรับภัย



    ไม่รู้รู้จริงก็เงียบไว้
    ไม่ฉลาดก็ทำตามเสีย
     
  19. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ทำบุญตักบาตร ก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติจะดีกว่า
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2></TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><TD width=100></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellPadding=1 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD background=/images/hor-line.gif height=10></TD></TR><TR><TD><TABLE><TBODY><TR><TD vAlign=top width=150>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>การเลือกทำเลในการพักแรม

    หลังจากเดินทางมาไกล ร่างกายเริ่มเหนื่อยล่า คงจะต้องหาที่พักแรมสักคืนแล้วค่อยออกเดินต่อวันพรุ่งนี้ แล้วเราจะตั้งแค้มป์พักแรมที่ไหนดี? คำถามนี้คิดว่าทุกคนอาจจะเคยประสบมา สิ่งที่ทุกคนต้องการก็คือที่นอนที่นอนสบาย ปลอดภัย บรรยากาศดี ฯลฯ ลองมาดูเทคนิควิธีการแบบง่าย ๆ ในการพิจารณาเลือกทำเลในการพักแรม
    </TD></TR><TR><TD background=/images/hor-line.gif colSpan=2 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=150>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>การใช้ประโยชน์จากถุงขยะ

    เมื่อเราไปแค้มปิ้งในป่า สิ่งที่เรามักจะนำติดตัวไปด้วยสิ่งหนึ่งก็คือถุงขยะหรือถุงดำ ประโยชน์โดยตรงของถุงขยะโดยทั่วไปก็มักจะใช้ในการใส่ขยะเพื่อให้เกิดความสะอาด แต่รู้หรือไม่ว่า เราสามารถนำถุงขยะนี้ไปประยุกต์ใช้งานได้อีกหลายรูปแบบ ลองมาดูกันว่าเราจะสามารถใช้ถุงขยะเหล่านี้ทำอะไรได้บ้าง
    </TD></TR><TR><TD background=/images/hor-line.gif colSpan=2 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=150>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>เทคนิคการนอนให้อุ่น

    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวไปในธรรมชาติหรือเดินป่าบ่อยๆ คุณคงจะรู้ดีว่าถึงแม้จะเป็นหน้าร้อน คุณก็อาจจะทรมานกับการนอนไม่หลับจากอากาศยามค่ำคืนที่หนาวเหน็บได้เช่นกัน
    </TD></TR><TR><TD background=/images/hor-line.gif colSpan=2 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=150>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>น้ำหนักที่เหมาะสมในการแบกเป้

    น้ำหนักที่เหมาะสมที่เราควรแบกได้เป็นเท่าไร ? คำถามนี้หลายคนคงจะเคยนึกอยู่ในใจ ลองมาดูน้ำหนักที่เหมาะสมที่ได้จากการวิจัย แล้วลองมาเปรียบเทียบดูว่าคุณควรแบกของหนักเท่าไหร่
    </TD></TR><TR><TD background=/images/hor-line.gif colSpan=2 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=150>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>เทคนิคการผูกเปลนอนกลางสายฝน

    การผูกเปลนอนกลางสายฝนเป็นสิ่งที่มักจะสร้างปัญหาให้กับนักเดินทางอยู่เสมอๆเพราะน้ำฝนจะไหลซึมเข้าเปลตามเส้นเชือกที่โดนฝน ถึงแม้จะใช้ผ้าใบอีกผืนหนึ่งเป็นหลังคากันฝนแล้วก็ตาม เพราะฉะนั้นการผูกเปลนอนกลางสายฝน จะต้องมีเทคนิคนิดหน่อย
    </TD></TR><TR><TD background=/images/hor-line.gif colSpan=2 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=150>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>หลักการเลือกทำเลและข้อควรปฏิบัติในการตั้งแคมป์

    หลายครั้งที่เราจำเป็นจะต้องตั้งแค้มป์ในป่า การเลือกทำเลเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เรามาลองดูเทคนิคต่าง ๆ ในการเลือกทำเล และข้อปฏิบัติในการตั้งแค้มป์ เพื่อให้แค้มป์ของเราน่าอยู่ขึ้น
    </TD></TR><TR><TD background=/images/hor-line.gif colSpan=2 height=10></TD></TR><TR><TD vAlign=top width=150>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>เกร็ดความรู้ เกี่ยวกับการเดินป่าหน้าฝน

    สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป แล้ว จะเป็นช่วงของการหยุดพักผ่อน เพราะพวกเขาเหล่านั้นจะไม่พิสมัยเลยกับสายฝนที่เป็นต้นเหตุของการเปียกปอน เฉอะแฉะ แต่สำหรับนักเดินป่าแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารอคอย พอฝนเริ่มตก พวกเขาก็จะเริ่มยัดของใช้ทีจำเป็นลงเป้ เพื่อหาจังหวัดออกเดินทางกันทันที
    </TD></TR><TR><TD background=/images/hor-line.gif colSpan=2 height=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://www.mrbackpacker.com/tips/3.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...