เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    DSC05019.jpg
    DSC05023.jpg
    DSC05015.jpg
    DSC05017.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2015
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    ตายเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อตาย


    "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" นี่เป็นคำสอนในทางพระศาสนาซึ่งเกี่ยวกับสภาวะธรรม มีปรากฎอยู่ทั้งในฝ่ายพระสูตร ทั้งในฝ่ายพระอภิธรรม เป็นคำสอนที่เป็นกฎเกณฑ์ตายตัวอยู่ทุกกาลทุกสมัย ไม่มีผู้ใดจะโต้แย้งคัดค้านได้ พระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกหรือหาไม่ ปวงมนุษย์หรือเทวดาอินทร์พรหมยมยักษ์จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม กฎเกณฑ์ทั้ง 3 นั้น ก็คงมีอยู่ปรากฎอยู่อย่างนั้นเสมอไป

    ความเกิด ความตั้งอยู่ ความดับ ย่อมมีประจำอยู่ในสรรพสิ่งทุกอย่าง ซึ่งรวมเรียกตามศัพท์บัญญัติในทางพระศาสนาว่า สังขาร อันแยกออกเป็น 2 ประการคือ สิ่งที่มีวิญญาณครองเช่น คน และสัตว์เป็นต้น เรียกว่า อุปาทินนกสังขาร สิ่งที่ไม่มีวิญญาณครอง เช่น ต้นไม้ และเครื่องใช้สอยเป็นต้น เรียกว่า อนุปาทินนกสังขาร ดังนั้นจึงทำให้แลเห็นว่ากฎของธรรมดานั้นมีความยุติธรรมเป็นที่สุด ของบรรดาความยุติธรรมทั้งหลาย

    ความเกิดเป็นเรื่องได้ ความตายเป็นเรื่องเสีย เนื่องจากเหตุนี้ ความเกิดจึงเป็นเรื่องนำความชื่นบานนิยมยินดีปรีดาปราโมทย์มาให้ ส่วนความตายกลายเป็นเรื่องนำความห่อเหี่ยวระทมขมขื่นมาสู่ ความเกิดกับความตายจึงมีลักษณะตรงกันข้ามอยู่ในตัว ดุจขาวกับดำ หรือบวกกับลบ

    แต่ในทางพระศาสนาท่านสอนไว้ว่า ความตายเป็นเงื่อนปลายสาย เพราะฉะนั้นความตายจึงสืบต่อมาจากความเกิด เมื่อความเกิดอันเป็นเงื่อนต้นสายไม่มี ความตายอันเป็นเงื่อนปลายสายย่อมมีไม่ได้ เหมือนแผ่นดินที่เป็นแดนเกิดของต้นไม้ และกอหญ้า หากแผ่นดินไม่มี ต้นไม้และกอหญ้าที่ต้องอาศัยแผ่นดินเป็นแดนเกิดย่อมมีไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น


    ท่านผู้รู้แจ้งเห็นจริงทั้งหลาย ย่อมไม่กลัวแต่ความตาย กลับไปกลัวแต่การเกิด อันเป็นตัวทุกข์ และเป็นที่รับรองความทุกข์ยากลำบากทุกประการ

    ส่วนสามัญชนทั่วไปหาได้กล้วแต่ความเกิดไม่ ล้วนกลัวแต่ความตายด้วยกันทั้งสิ้นทุกตัวคน ทั้งชาววัดทั้งชาวบ้าน เวลามีใครเกิด ไม่เห็นมีใครร้องไห้ เห็นมีแต่ล้วนยินดีปรีดา ครั้นเวลามีใครตายที่เป็นญาติหรือมิตรสหาย เห็นมีแต่ความเศร้าโศกเสียใจร้องไห้พิไรรำพัน

    ความแตกต่างกันในระหว่างผู้รู้แจ้งเห็นจริงกับสามัญชนในเรื่องเกี่ยวกับการเกิดการตายอยู่ที่ตรงนี้ หาใช่อยู่ที่อื่นไม่


    (1/6)



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2019
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    จากข้อความตามที่พูดมาจึงจับหลักได้มั่นเหมาะว่าความเกิดกับความตายเป็นของคู่กัน เกิดโดยไม่มีตายเป็นเบื้องปลายหรือตายโดยไม่มีเกิดเป็นเบื้องต้น เป็นอันมีไม่ได้ไม่ว่าในกาลไหนๆเพราะผิดกฎของธรรมดา ก็และในท่ามกลางระหว่างเกิดกับตายนั้นยังมีสิ่งอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นคือความตั้งอยู่ อันความตั้งอยู่นี้ก็คือชีวิตนั่นเองเพราะมีอยู่ในระหว่างเกิดกับตาย ชีวิตย่อมตั้งต้นเดินทางออกไปจากเกิดและเดินเรื่อยไปไม่มีหยุดยั้งจนกระทั่งถึงที่สุดทางหรือปลายทาง กล่าวคือความตายเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมดเพราะฉะนั้น "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" จึงเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวเป็นจริงตามคำสอนในทางพระศาสนาทุกประการ

    คำว่า "อยู่" ที่มาคู่กับคำว่า "ตาย" เป็นหัวข้อแห่งหนังสือนี้หมายถึงความเป็นอยู่ซึ่งเรียกว่า "ชีวิต" มิได้หมายความถึงกิริยาที่อาศัยอยู่ ส่วนคำว่า "ตาย" หมายถึงลักษณะอาการอย่างเช่นใดนี่เป็นปัญหาที่ควรได้รับการพิเคราะห์ก่อน


    คำว่า "ตาย" สามัญชนทั่วไปย่อมเข้าใจกันอยู่เป็นพื้นว่าความขาดแห่งชีวิตินทรีย์หรือความแตกกายทำลายขันธ์ หรือความขาดสิ้นแห่งลมหายใจเข้าออก แต่ในวงการของพระศาสนาหมายความกว้างกว่าที่สามัญชนเข้าใจกันอยู่ กล่าวคือมิได้หมายความเอาเฉพาะความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ หรือความแตกกายทำลายขันธ์ หรือความขาดสิ้นแห่งลมหายใจเข้าออกเท่านั้น แม้ความหมดสิ้น หรือความเสื่อมสิ้นไปแห่งอายุและสังขารก็ดี ความหยุดอยู่กับที่ไม่มีความคลี่คลายขยายตัวเพื่อความก้าวหน้าสืบต่อไปก็ดีความดับแห่งจิตคือดวงความคิดนึกก็ดี ท่านหมายกันว่า "ตาย" เช่นเดียวกัน

    เมื่อได้พิเคราะห์คำว่า "ตาย" หมายถึงลักษณะหรืออาการเช่นใดแล้ว ตามแนวทางในพระศาสนา ลำดับต่อไปจะได้พูดถึงข้อว่า "ตายเพื่ออยู่ หรืออยู่เพื่อตาย" นั้นหมายความอย่างไร

    น่าจะมีปัญหาอยู่สักหน่อยว่า "ตายไปแล้วแต่ชื่อว่ายังอยู่ หรือยังอยู่แต่ชื่อว่าตายไปแล้ว มีอยู่หรือ?"


    ข้าพเจ้าขอตอบว่า มีอยู่เพราะพฤติการณ์ของบุคคลแต่ละคนในโลกนี้ เป็นพยานให้เห็นปรากฎอยู่เป็นหลักพิสูจน์หัวข้อเรื่องที่ข้าพเจ้าตั้งไว้ข้างต้น

    กระแสแห่งชีวิตของสัตว์โลก ย่อมไหลไปตามลำธารแห่งชีวิต ไม่มีเวลาหยุดพักสักขณะหนึ่ง ไหลไปและไหลไปจนกว่าจะถึงที่สุดของชีวิต ซึ่งเรียกว่าความดับ หรือความตาย เช่นเดียวกับกระแสน้ำที่ไหลลงมาจากที่สูงไม่มีเวลาหยุดพักสักขณะ จนกว่าจะถึงที่สุดของกระแสน้ำ ฉะนั้นเวลาที่ล่วงไปของอายุและความเสื่อมสิ้นแห่งสังขาร ไม่มีเวลาถอยกลับมีแต่จะรุดหน้าไปถ่ายเดียว เสื่อมไปสิ้นไปหมดไปเป็นหลักยืนให้เห็นกันอยู่ แต่ใครจะเห็นหรือไม่เห็นจะรู้หรือไม่รู้ เป็นเรื่องบุคคลแต่ละคนไป หาได้เกี่ยวข้องด้วยหลักดังที่กล่าวไม่ ยังไม่มียาขนานใดอันจะแก้ความตายเป็นไม่ให้ตายได้


    สัตว์โลกย่อมกลัวแต่ความตายก็เพราะความตายเป็นที่สุดของชีวิตหรือความเป็นอยู่ สัตว์โลกยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่จึงยังกลัวแต่ความตาย หากหมดปรารถนาเมื่อใดเมื่อนั้นจะเห็นความตายเป็นของธรรมดาที่สุดมีค่าเท่ากับปิดฉากละครครั้งหนึ่งๆเท่านั้น


    (2/6)



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2019
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    ในอันดับต่อไปนี้ข้าพเจ้าขอพูดโดยตรงในเรื่องของบุคคลอันเกี่ยวกับความตายความอยู่ ซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่จะพูดไม่มีปัญหาที่จะทิ้งไว้ให้เราต้องสงสัยกันอีกแล้ว บุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ที่จะไม่ตายไม่มี บัญชีเกิดเท่าใดบัญชีตายเท่านั้น จะเหลื่อมล้ำก้ำเกินกันหามีไม่ ไม่มีข้อแตกต่างกันแต่ประการใด

    แต่ในระหว่างเกิดกับตายนี้ มีข้อที่ควรพินิจอยู่ประการหนึ่งซึ่งจะมองข้ามไปเสียมิได้ ข้อนั้นคือ "บุคคลบางคนตายเพื่ออยู่ บุคคลบางคนอยู่เพื่อตาย" มีปัญหาสืบต่อไปว่า บุคคลเช่นใดชื่อว่าตายเพื่ออยู่ บุคคลเช่นใดชื่อว่าอยู่เพื่อตาย? ข้าพเจ้าขอตอบปัญหาข้อนี้โดยหลักการว่า บุคคลผู้สร้างชื่อว่าตายเพื่ออยู่ บุคคลผู้ไม่สร้างชื่อว่าอยู่เพื่อตาย

    คำว่า "สร้าง" และ "ไม่สร้าง" ตามหลักภาษาไม่ได้เจาะจงลงไปว่าสร้างดี หรือสร้างชั่ว ไม่สร้างดีหรือไม่สร้างชั่ว เมื่อเป็นเช่นนี้ จะยุติเอาว่า สร้างดีก็ได้ สร้างชั่วก็ได้ ไม่สร้างดีก็ได้ หรือไม่สร้างชั่วก็ได้ เป็นการถูกต้องตามหลักภาษาหรือหาไม่ หากจะมีปัญหาเกิดขึ้นเช่นกล่าวนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่าความเข้าใจเช่นนั้นเป็นการถูกต้องตามหลักภาษา แม้จะให้อธิบายความตามหลักภาษานั้น ก็อธิบายได้โดยมีหลัก เพราะสิ่งที่เหลือซึ่งไม่ตายไปตามร่างกายสังขารมีปรากฏอยู่กล่าวคือ ดีก็ปรากฏ ชั่วก็ปรากฏ ดังปรากฏในคำฉันท์อันเตือนใจที่ดีที่สุด ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรสว่า

    พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
    โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
    นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
    สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา

    แม้ในส่วนคำว่า "ไม่สร้าง" ก็อธิบายความได้ว่าเมื่อบุคคลที่เกิดมาไม่สร้างดีไม่สร้างชั่ว หรือพูดเป็นคติธรรมว่าบุญไม่ทำกรรมไม่สร้างแล้ว ย่อมไม่มีอะไรปรากฎอยู่ชีวิตเป็นหมัน เรียกตามโวหารทางพระศาสนาว่าชีวิตของบุคคลเช่นนี้เป็นโมฆชีวิต เป็นสิ่งที่ท่านตำหนิไว้ตกอยู่ในประเภทเสีย

    แต่อย่างไรก็ดีเรื่องสร้างกับเรื่องไม่สร้างนี้ ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะพูดตามหลักภาษา ซึ่งจะต้องอธิบายขยายความกันกว้างขวางพิสดารเกินกำลังของหนังสือเล่มนี้ และเกินความประสงค์ของข้าพเจ้าผู้เขียนเรื่องนี้ด้วย จะขอพูดตามความหมายที่ข้าพเจ้ามุ่งตั้งขึ้นให้เป็นความหมายเท่านั้น ซึ่งพอกำลังของหนังสือเล่มนี้ และพอเหมาะแก่ความประสงค์ของข้าพเจ้า

    คำว่า "สร้าง" ข้าพเจ้ากำหนดความหมายไว้ว่าหมายถึง สร้างความดี

    คำว่า "ไม่สร้าง" ข้าพเจ้ากำหนดความหมายไว้ว่าหมายถึงไม่สร้างความดี จากความหมายอันเป็นหลักนี้

    จึงได้ความหมายสืบต่อไปว่า บุคคลผู้สร้างความดี ชื่อว่าตายเพื่ออยู่ บุคคลผู้ไม่สร้างความดี ชื่อว่าอยู่เพื่อตาย



    (3/6)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2019
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    เมื่อได้ให้ความหมายสืบต่อมาเช่นนั้นแล้ว ย่อมเกิดปัญหาท้ายคำตอบสืบต่อไปว่า ความดีได้แก่สิ่งใดหรือสิ่งใดจัดว่าเป็นความดี? ปัญหาว่าความดีคืออะไร หรือว่าอะไรเป็นความดี

    ถ้าจะพูดกันตามโลกสมมติตามยุคสมัยเห็นจะหาคำตอบให้ถูกต้องครบถ้วนได้ยากเต็มที จะว่าเป็นปัญหาโลกแตกก็พอจะว่าได้ แต่ถ้าจะหาคำตอบตามแนวพระศาสนาพอจะหาคำตอบที่เป็นหลักได้อยู่ ข้าพเจ้าจึงสมัครใจที่จะให้คำตอบตามแนวพระศาสนาที่ข้าพเจ้าพอรู้อยู่บ้าง ความดีคืออะไรหรืออะไรเป็นความดี เมื่อพูดกันตามแนวทางของพระศาสนา พอจะรวบรวมได้เป็นหลักใหญ่ 3 ประการคือ

    1. สิ่งที่วิญญูชนยอมรับนับถือว่าเป็นความดี
    2. สิ่งที่เป็นประโยชน์ตนและเป็นประโยชน์ผู้อื่น หรือสิ่งที่ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนผู้อื่น
    3. ความสงบกาย สงบวาจา สงบใจ

    แนวคิดของข้าพเจ้าตามแนวพระศาสนาทั้ง 3 ประการนี้ ข้าพเจ้าขอฝากท่านผู้รู้ทั้งหลายเพื่อพิจารณาต่อไปด้วยว่าจะครบถ้วนหรือยังขาดตกบกพร่องประการใด จะได้ช่วยกันแก้ไขตกเติม เพื่อให้ถูกครบถ้วนสืบต่อไป


    ย่อมเป็นที่รับรองต้องกันในวงการพระศาสนาแล้วว่าความตายไม่ได้หมายเอาเฉพาะความสิ้นชีวิต หรือการแตกกายทำลายขันธ์เท่านั้น แม้ยังมีชีวิตอยู่หรือยังไม่แตกกายทำลายขันธ์ กล่าวคือยังเป็นอยู่นั่นเอง ก็เรียกว่าตายได้เหมือนกัน

    พระพุทธภาษิตมีอยู่ว่า "เย ปมตตา ยถา มตา คนพวกใดประมาทแล้ว คนพวกนั้นย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว" เพราะภาวะแห่งความเป็นผู้สร้างของเขาไม่มี เช่นเดียวกับคนที่ตายแล้ว ย่อมไม่มีภาวะแห่งความเป็นผู้สร้างฉะนั้น



    (4/6)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2019
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    บุคคลที่ปล่อยให้อายุหมดสิ้นไป หรือปล่อยให้สังขารร่างกายเสื่อมสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในโลกนี้ หรือประโยชน์ในโลกหน้า หรือปรมัตถประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ตน หรือประโยชน์ผู้อื่น ก็ล้วนแต่เปล่าทั้งสิ้น ความหมดสิ้นหรือความเสื่อมสิ้นแห่งอายุสังขารย่อมสูญไปตามลำดับกาลเวลา อันไม่มีใครจะห้ามได้ อายุสังขารที่ต้องสูญเสียไปเช่นนี้ ชื่อว่าสูญเสียไปโดยถ่ายเดียว ไม่มีสิ่งที่เป็นคุณค่าทดแทนเลย

    ชีวิตของบุคคลเช่นนี้ต้องนับว่าอยู่เพื่อตายเท่านั้น เป็นคนที่เอาตัวไม่รอด หรือเอาตัวรอดไม่ได้ ครอบครัวใดมีแต่คนประเภทนี้ครอบครัวนั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ สกุลใดมีแต่คนประเภทนี้ สกุลนั้นต้องสูญสิ้นสกุลวงศ์ หมู่ใดคณะใดมีแต่คนประเภทนี้ หมู่นั้นคณะนั้นต้องสูญสิ้นเช่นกัน ชาติใดประเทศใดมีแต่คนประเภทนี้ ชาตินั้นประเทศนั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้โดยอิสระเสรี มีแต่จะป่นแหลกล่มจม หรือต้องเป็นขี้ข้าชาติอื่นประเทศอื่น ศาสนาใดมีแต่สาวกประเภทนี้ ศาสนานั้นต้องอันตรธานสูญสิ้นไปในไม่ช้า สมาชิกของครอบครัวของสกุลวงศ์ ของหมู่คณะ ของประเทศชาติของศาสนา หากล้วนแต่มีลักษณะอยู่เพื่อตาย ผลร้ายที่สุดย่อมบังเกิดเช่นกล่าว โดยไม่ต้องสงสัยแต่ประการใด

    ชีวประวัติ ของบุคคล ของครอบครัว ของสกุลวงศ์ ของหมู่คณะ และประวัติศาสตร์ของประเทศชาติ ตลอดถึงศาสนาจะเป็นพยานได้อย่างดีที่สุดในเรื่องที่พูดมานี้

    โดยนัยตรงกันข้าม หากบุคคลไม่ให้อายุหมดสิ้นไป หรือไม่ปล่อยให้สังขารร่างกายเสื่อมสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ มุ่งหน้าบากบั่นพยายามประกอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ จะเป็นประโยชน์ในโลกนี้ หรือประโยชน์ในโลกหน้า หรือประโยชน์อย่างยิ่งก็ตาม หรือมุ่งหน้าบากบั่นพยายามประกอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น หาสิ่งที่ทดแทนความหมดสิ้นแห่งอายุ หรือความเสื่อมสิ้นแห่งสังขาร ไม่ปล่อยให้ตายเปล่าโดยไม่มีสิ่งเป็นคุณค่าทดแทน ชีวิตของบุคคลเช่นนี้ต้องนับว่าตายเพื่ออยู่ เป็นคนที่เอาตัวรอด หรือรอดตัวได้ ครอบครัวใด สกุลใด หมู่ใด คณะใด ประเทศชาติใด ศาสนาใด มีคนประเภทนี้อยู่แม้ไม่ต้องทั้งหมด แต่มีเป็นส่วนมากเท่านั้น ครอบครัวนั้น สกุลนั้น หมู่คณะนั้น ประเทศชาตินั้น ศาสนานั้น ต่างจะรุ่งเรืองมั่นคง ดำรงเป็นปึกแผ่นอยู่ได้ไม่ล่มจม หากจะมีคนประเภทนี้ทั้งหมด หรือส่วนมากที่สุดแล้ว จะไม่มีวันเสื่อมเลย จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว และยั่งยืนตลอดกาล ชีวิตสิ้นเปลืองไปเท่าใด สิ่งอันเป็นคุณค่าเครื่องทดแทนแห่งชีวิตย่อมพอกพูนขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นดังนี้ กำไรแห่งชีวิตย่อมเกิดขึ้นไม่ขาดสาย ตายเพื่ออยู่ ล้วนอำนวยประโยชน์ทุกที่ทุกทาง จึงเป็นข้อควรนึก และควรปลูกฝังให้มีอยู่กับตัว

    ความหมดสิ้นแห่งอายุก็ดี หรือความเสื่อมสิ้นแห่งสังขารก็ดี ย่อมมีอยู่ทุกโมงยามทุกวันทุกเดือน และทุกปี ไม่มีใครสามารถจะยับยั้งได้ ดังกล่าวแล้ว กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์ให้มอดม้วยไปพร้อมกับกินตัวมันเองด้วย สัตว์โลกจึงชื่อว่าตายไปทุกโมงทุกยาม ทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี เป็นเช่นนี้ทั่วเมทนีดล และมิใช่แต่ความหมดสิ้น หรือเสื่อมสิ้นเท่านั้น ที่ท่านเรียกว่าความตาย กิริยาที่หยุดยั้งไม่มีการเคลื่อนไหน หรือคลี่คลายขยายตัว ท่านก็เรียกว่าตายเหมือนกัน เช่นดังนาฬิกาตาย ก็คือนาฬิกาที่ไม่เดิน น้ำตายก็คือน้ำที่ไม่ไหล ฉะนั้นความไม่สืบต่อในสิ่งที่ต้องทำ ในคำที่ต้องพูด ในแนวที่ต้องคิดก็ดี กิริยาที่หยุดอยู่กับที่ ไม่มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับภาวะต่างๆ อันเนื่องกับความเป็นไปในปัจจุบันก็ดี เนื่องกับเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าก็ดี เนื่องกับกาลสมัยก็ดี เนื่องกับเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าก็ดี เนื่องกับกาลสมัยก็ดี เนื่องกับผลได้ผลเสียทั้งบัดนี้ และภายหน้าก็ดี เหล่านี้เป็นต้น ล้วนแต่บ่งถึงความตายอยู่ในตัวทั้งสิ้น คือบอกให้รู้ว่าไปไม่รอด เพราะภาวะแห่งความเป็นผู้สร้างได้ถึงความสะดุดหยุดลงสิ้นแล้ว อย่างนี้ก็เป็นเรื่องอยู่เพื่อตายเช่นกัน ชีวิตมีแต่จะสิ้นไปหมดไปถ่ายเดียวเท่านั้น

    (5/6)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2019
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    ส่วนกิริยาที่ไม่หยุดยั้ง สืบต่อไปไม่ขาดสายในสิ่งที่ต้องทำ ในคำที่ต้องพูด ในแนวที่ต้องคิด กิริยาที่ไม่ยืนอยู่กับที่มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับภาวะต่างๆดังกล่าวแล้ว กิริยาที่เป็นไปเช่นนี้ ทำให้สิ่งทั้งหลายมีชีวิตอยู่ได้โดยมีการเคลื่อนไหว หรือคลี่ขยายตัวไม่มีการหยุดยั้ง ถึงชีวิตจะหมดสิ้นไปตามระยะกาลเวลา ก็ยังชื่อว่าตายเพื่ออยู่ ถึงจะตายก็เหมือนยังอยู่เพราะภาวะแห่งความเป็นผู้สร้างมิได้สะดุดหยุดลงแต่ประการใด

    ความอยู่กับความตายตามที่พูดมาหมายเอาเฉพาะความเป็นไปในระหว่างแห่งชีวิตของบุคคล ก่อนแต่จะถึงความแตกกายทำลายขันธ์หรือหมดลมปราณ ความตายครั้งสุดท้ายของสัตว์โลกย่อมมีเป็นประจำสำหรับชีวิต

    บุคคลบางคนในโลกเมื่อแตกกายทำลายขันธ์ไปแล้วก็หมดกัน ไม่ทิ้งอะไรเหลือไว้ให้เป็นสมบัติเพื่อคนในภายหลัง มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อตายในที่สุดเท่านั้น อย่างนี้เข้าในลักษณะว่าอยู่เพื่อตาย

    อันคติธรรมที่ว่า "เสียเพื่อได้" อันบริสุทธิ์มิเคยบังเกิดขึ้นในวาระจิตของเขาเลย หากจะมีเรื่องได้เสียเกิดขึ้นบ้างเป็นบางครั้งบางคราวในน้ำใจ ก็มักจะเป็นไปในลักษณะ "ได้เพื่อเสีย" เรื่องได้กับเสียเป็นคติธรรมชนิดหนึ่งที่คู่ ตัวหนึ่งอยู่ ตัวหนึ่งตาย

    เสียเพื่อได้ เสียเป็นตัวตายได้เป็นตัวอยู่

    ได้เพื่อเสีย เสียไม่ใช่ตัวตาย ได้ไม่ใช่เป็นตัวอยู่ ได้กลับเป็นตัวตาย เสียกลับเป็นตัวอยู่

    การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่ได้มานั้น เล็กกว่า แคบกว่า ต่ำกว่า ส่วนสิ่งที่เสียไป ใหญ่กว่า กว้างกว่า สูงกว่า ขอให้เทียบดูในเรื่องประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ส่วนรวม สิ่งที่ใหญ่กว่า กว้างกว่า ย่อมครอบงำสิ่งที่เล็กกว่าแคบกว่าได้มิดชิด สิ่งที่สูงกว่าย่อมกำบังสิ่งที่ต่ำกว่าการได้ชนิดถูกความเสียเข้าครอบงำกำบังไว้ย่อมไม่ปรากฏ เท่ากับสูญสิ้นไป ส่วนความเสียย่อมลอยเด่นเป็นที่ปรากฏอยู่ เสียจึงกลายเป็นตัวอยู่ ได้จึงกลับเป็นตัวตายมีลักษณะละม้ายกันกับอยู่เพื่อตาย


    ส่วนบุคคลบางคนไม่เป็นเช่นพูดมา มองเห็นความเกิดความดับว่าเป็นของของคู่กัน เหมือนมีหน้าก็ต้องมีหลัง มีสว่างก็ต้องมีมืด จะเลือกเอาเฉพาะแต่อย่างใดอย่างหนึ่งหาได้ไม่ ในฐานะที่ตนได้เกิดมาเป็นสมาชิกร่วมกลุ่มอยู่ในมนุษยชาติไม่เกิน 100 ปี จะต้องถอดทิ้งเรือนร่างถมแผ่นดิน จึงลงทุนก่อสร้างสมบัติเพื่อคนในภายหลัง โดยวิธียกประโยชน์อันเหนือกว่าเป็นหลักยึดกล่าวคือ ยอมสละผลอันเล็กน้อยเพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ยอมสละสุขอันเล็กน้อยเพื่อสุขอันไพบูลย์

    เขามั่นอยู่ในคติธรรมที่ว่า "พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละทรัพย์ และอวัยวะ และชีวิตเพื่อรักษาธรรม"

    คติโลกที่ว่า "ตัวตายดีกว่าชาติตาย" จึงเป็นคติอันถูกต้องสอดคล้องกับคติธรรมดังกล่าวมา เพราะได้ยึดสิ่งที่เหนือ หรือสูงสุดเป็นหลัก และยอมสละสิ่งที่เล็กน้อยเพื่อสิ่งอันกว้างขวางยิ่งใหญ่ไพบูลย์ บุคคลผู้อุทิศร่างกาย และชีวิตประกอบกิจเพื่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อสิ่งที่เกื้อกูล และเพื่อความสุขแก่มหาชน แม้ร่างกายชีวิตจะต้องย่อยยับแตกดับลงก็ตาม สมบัติที่เขาลงทุนก่อสร้างไว้ยังคงดำรงอยู่ ชื่อเสียงเกียรติคุณยังลอยเด่นอยู่ไม่ดับ บุคคลเห็นปานนี้แลชื่อว่า "ตายเพื่ออยู่" โดยแท้


    จากข้อความตามที่พูดพอเป็นแนวคิดสะกิดใจโดยย่อเพียงเท่านี้ พอจะยุติได้ว่า "อยู่เพื่อตาย" ไม่ดี "ตายเพื่ออยู่" ดีกว่า ดีทั้งแก่ตัว แก่ครอบครัว แก่สกุลวงศ์ แก่หมู่คณะ แก่ประเทศชาติ แก่ศาสนา

    เพราะฉะนั้น จึงควรตั้งเป็นสูตรว่า "อยู่เพื่อตาย ได้เพื่อเสีย เป็นทางล่มจมป่นแหลก และย่อยยับอัปปาง เสียเพื่อได้ ตายเพื่ออยู่ เป็นทางรุ่งเรืองเฟื่องฟูวัฒนาสถาพร"

    บุคคลในโลกนี้จะเป็นประเภทอยู่เพื่อตาย หรือตายเพื่ออยู่ก็ตาม ในที่สุดก็แตกกายทำลายขันธ์เหมือนกันทั้งหมด แต่ความอยู่เพื่อตายกับความตายเพื่ออยู่หาเหมือนกันไม่ เป็นข้ออันวิญญูชนทั้งหลายควรไตร่ตรองพิจารณา


    จากหนังสือ "บูชา" ในขัอธรรมเทศนาเรื่อง "ตายเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อตาย" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโร ป.ธ. ๙) วัดสามพระยา




    (6/6)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2019
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    spec28.jpg


    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จพร้อมสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ทรงเยี่ยมพระอาการประชวรในหลวง ที่ห้องทรงงานชั่วคราว ชั้น 9 ตึกสยามมินทร์ โรงพยาบาลศิริราช 11 กันยายน 2538


    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-14
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    spec29.jpg
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    การเลี้ยงสุนัขและแมว



    1-4.jpg



    สุนัขและแมวที่ท่านเลี้ยงไว้นั้น ท่านคุยกับมันรู้เรื่องทุกตัว ดังนั้นการดูแลทุกข์สุขและอาหารการกินจึงสมบูรณ์ พอหน้าหนาวหลวงพ่อจะให้พระก่อไฟเป็นกองๆตามลานซีเมนต์ เพื่อให้สุนัขได้ผิงไฟแก้หนาวเสมอมา

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อลงมาสอนกรรมฐานที่กรุงเทพฯ พอกลับไปถึงกุฏิที่วัด คุณเอี่ยมคนเลี้ยงแมวก็มารายงานว่า " พอหลวงพ่อไปกรุงเทพฯ แมวก็ไม่กินข้าว "

    หลวงพ่อก็ย้อนทันที่ว่า " แกเรียกมันว่าอีใช่ไหมล่ะ "

    คุณเอี่ยมถามว่า " หลวงพ่อรู้ได้ไง "

    ท่านตอบว่า " ก็มันฟ้องข้าอยู่นี่ไง "


    กลางปี 2526 คุณฉวีวรรณ สรรพกิจ ได้ถวายสุนัขพันธ์ไทยหลังอานเพศเมีย 1 ตัวและพันธ์ไทยธรรมดา 1 ตัว ตัวผู้มาจากโคราช หลวงพ่อตั้งชื่อว่า " นิล " เพราะเธอมีสีดำตลอดตัว อกขาวเล็กน้อย เพศเมียตัวเล็ก เป็นลูกสุนัข ขณะที่ถวายไปมีหลังอาน สีน้ำตาล เรียกว่า หลังอานไวโอลิน เธอมาจากจังหวัดตราด หลวงพ่อตั้งชื่อว่า " นาก "

    โดยปกติหลวงพ่อท่านก็เลี้ยงสุนัขและแมวเป็นประจำอยู่แล้วหลายสิบตัว ทุกกุฏิที่ท่านอยู่จะต้องมีสัตว์ 2 ประเภทนี้ประจำการเสมอ เท่าที่สำคัญก็มี สิงห์ดอก โคล่า เจ้าอ้วน เจ้าดม ฯลฯ รวมทั้งสุนัขเดินหลงทาง สุนัขจรจัด ขาดที่พึ่งก็มีมาก คนไปปล่อยวัดก็มีมาก พระในวัดท่าซุงเกือบทุกองค์มีสุนัขอาศัยอยู่ด้วยทั้งสิ้น

    หลวงพ่อเลี้ยงเธออย่างอิสระไม่ขังกรง แต่มีอาณาเขตกว้างขวางในรั้วรอบขอบชิด ไม่ปนกับสุนัขภายนอก สุนัขทั้งคู่นี้เธอแสนรู้มาก หลวงพ่อพูดภาษาไทยกับเธอ เธอรู้เรื่องทุกคำ และปฏิบัติตามตลอดไม่เคยลืม คนเราเสียอีกยังมีลืมบ้าง แต่สุนัขไม่ลืม

    จาก 2 ชีวิต ขยายพันธ์กันในพวกเดียวกันนี่แหละ มิได้ปนกับสุนัขภายนอกเลย เวลานี้ถ้าไม่ตายเสียบ้างก็นับไม่ถ้วน เอาเฉพาะที่ยังอยู่ก็เกือบ 300 ชีวิต ปี 2532 หลวงพ่อย้ายที่พักจากตึกกลางน้ำไปอยู่ข้างวิหารแก้ว 100 เมตร และอยู่ที่นี่จนวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน

    หลวงพ่อท่านบอกเสมอทุกครั้งที่สุนัขคลอดลูกออกมาใหม่ ท่านตั้งชื่อให้แล้วบอกว่าตัวนี้เป็นใคร มาจากไหน เดิมชื่ออะไร ตายเพราะอะไร ลงมาเกิดเป็นสุนัขของหลวงพ่อเพราะอะไร และวันไหนที่สุนัขตาย หลวงพ่อจะบอกว่า เธอไปอยู่ที่ไหน มารายงานตัวแล้ว ก่อนตายเธอคิดอย่างไร

    ผลสรุปก็คือ สุนัขทุกตัว เธอมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 90 เปอร์เซนต์ นอกนั้นก็มาจากพรหม และจาตุมหาราช ไม่มีมาจากอบายภูมิเลย

    ยามเย็นหลวงพ่อกลับจากทำงาน ลงจากตึกรับแขกกลับที่พัก หลวงพ่อจะลงนั่งกับพื้นปล่อยให้สุนัขเล็ก-ใหญ่ ทั้งหลายรุมเล่นท่าน งับแขน เลียมือ ดึงสายรัดเอว งับนิ้ว ดึงกุญแจ ดึงอังสะตามแต่เธอจะทำด้วยความคิดถึง แล้วหลวงพ่อก็ไปเยี่ยมสุนัขแม่ลูกอ่อนทีละห้องจนครบทุกแม่ บางแม่ก็มาตามหลวงพ่อเพราะยังไม่ถึงห้องเขาก็มาคอยรับหลวงพ่อแล้วพาไปดูลูกเขา หลวงพ่อจะเข้าไปในห้องเขา จัดที่นอนปูให้เรียบร้อย จับลูกเขามานอนตักท่าน สุนัขทุกตัวผ่านการนอนตักหลวงพ่อทั้งนั้น หลวงพ่อท่านทำประดุจเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเธอทุกตัว ดังนั้นสุนัขทุกตัวจึงรักหลวงพ่อ แม้เพียงได้ยินเสียงหลวงพ่อเขาก็เห่าหอนต้อนรับเกรียวกราว หลวงพ่อบอกว่า ให้หมาติดผ้าเหลืองไว้ ตายแล้วไปสวรรค์ทุกตัว

    ยามค่ำคืนเมื่อเกิดฝนตก ฟ้าร้องน่ากลัว สุนัขกลัวเสียงฟ้าร้องมาก เขาจะพากันวิ่งไปรอบหน้ากุฏิหลวงพ่อ ฝ่าฝนเปียกปอนไปให้ถึงหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อก็ออกมานั่งกับพื้นเป็นเพื่อนปลอบใจเขามิให้กลัว จนกว่าฝนฟ้าคะนองจะหมดไป


    (จากหนังสือ " ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน " หน้า 427)




    2-1.jpg
    3-3.jpg






     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2016
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    2-2.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2016
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    spec31.jpg
    spec32.jpg


    สมเด็จองค์ปฐมรุ่นยันกลับ ปลุกเสกพร้อมกับสมเด็จองค์ปฐมรุ่น 3 เมื่อ 9 ตุลาคม 2535 พิธีสุดท้ายขององค์หลวงพ่อก่อนท่านจะมรณะภาพ
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    61200716_1271317113044825_2231488505320570880_o.jpg


    ใครไปพระนิพพานได้บ้าง


    ท่านที่บำเพ็ญกุศลทุกคน ให้มั่นใจในความดีของทุกคนที่ทำแล้วนะ บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มาบำเพ็ญกุศลที่นี่ส่วนใหญ่หวังนิพพาน การหวังนิพพานมันมี 2 เขต บางท่านมีสิทธิ์ไปนิพพานได้ในชาตินี้ บางท่านก็มีสิทธิ์ไปนิพพานได้ในขณะที่เป็นเทวดาหรือพรหม นั่นหมายความว่า ถ้าบุคคลใดบำเพ็ญบารมีได้พระอนาคามี ตายจากความเป็นคน ยังไปนิพพานไม่ได้ ยังเป็นเทวดาหรือพรหม ก็บำเพ็ญบารมีที่นั่นต่อเป็นพระอรหันต์

    ท่านบอกว่าเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2515 เป็นต้นไป ถึง พ.ศ. 2534 ในกุล่มคนที่ต้องการจริงเรื่อง นิพพาน ในจำนวนนั้นจะไปนิพพานได้ในชาตินี้ 175,300 คนไปเลยนะ คำว่าไปเลยไม่ได้หมายความว่าเขามีอายุแค่ พ.ศ. 2534 ไปไม่ใช่นะ เขามีสิทธิ์อยู่ในเกณฑ์นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2515-2534 คนที่อยู่ในเขตนี้ที่ปรารถนาพระนิพพานจริงๆ จะมีสิทธิ์ไปนิพพานได้ในขณะที่ตายในชาตินี้

    ในขณะที่ท่านเล่าให้ฟังคือไปหาท่าน ก็นั่งคุยกับท่าน ก็ปรากฏเป็นภาพคนนั่งเต็มพรึ๋บ ไอ้คนที่นั่งไมใช่เทวดานะ แต่งตัวอย่างนี้สวยลงกว่านี้บ้าง สวยลงเป็นยังไง แบบขะมอมขะแมมจริงๆ นะ เป็นชาวไร่ชาวนามอมแมมเยอะจริงๆ แก่มากก็มีแก่น้อยก็มี สาวมากก็มีสาวน้อยก็มี นั่งพรึ่บ เราก็สงสัย ท่านบอกว่าคนพวกนี้มีสิทธิ์ไปนิพพาน ในสมัยที่เขาตายตอนนี้นะในช่วง 2515-2534 นี่ที่เขาบำเพ็ญในเขตนี้เขาอาจจะตายเลยนี้ก็ได้ แต่ในเขตนี้มีสิทธิ์และก็ถามท่านบอกว่าคนพวกนี้ เวลานี้เขายังไม่เป็นพระอรหันต์ เขาจะไปได้ยังไง ท่านบอกมันเรื่องไม่ยาก สำหรับคนที่จะไปจริงๆ เพราะเวลาใกล้จะตายทุกขเวทนามันหนัก ตอนนั้นจิตปลอดจากการเกาะร่างกายเกาะทรัพย์สินเพราะจิตเขาเฟื่อง เขาชินในนิพพานที่เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน เขาไปแน่ แล้วท่านก็เล่าต่อไป

    ท่านบอกว่าตั้งแต่พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะสิ้นศาสนา กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพวกนี้จะได้อนาคามี เพียงแค่ 36 คน ก่อน 2534 มีเกณฑ์พระอรหันต์อยู่เยอะ พอถึง 2535 นี่ลดแล้วเหลือแค่อนาคามี แต่ว่าตอนนั้นจะมีพระสกิทาคามี มี 147 คน พระโสดาบัน จะมีถึง 3,470 คน ไม่น้อยนะ ทีนี้ท่านบอกว่าพวกที่รอไปนิพพาน พวกนี้เขามีสิทธิ์ไปนิพพานหมด ถ้าเข้าตายเป็นเทวดาหรือพรหม เขาต่อเลย พวกที่ว่าทั้งหมดตั้งแต่พระอนาคามี ถึงพระโสดาบันนี่นะ

    ทีนี้มีพวกหนึ่ง พวกที่รอไปนิพพานที่ค้างที่เทวดาหรือพรหมอีกเป็นนับแสน หมายความว่าในชาตินี้ไม่สามารถปฏิบัติตนเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่ว่าตั้งใจหวังจริงๆ เพื่อนิพพาน ตายแล้วไปเป็นเทวดาหรือพรหม เพราะว่ากัปนี้จะมีพระพุทธเจ้าอีก 6 องค์ โดยมีพระศรีอาริย์เป็นองค์สุดท้ายของชุดแรก และงวดที่ 2 จะมีพระรามเป็นองค์ที่ 1 ตอนนี้ท่านบอกว่าจะมีคนไปนิพพานได้อีก คือเป็นเทวดาหรือพรหมแล้วไปนิพพานต่อได้เกินกว่า 1 แสนคน แต่ว่าไม่เกิน 7 แสนคน ไม่น้อยนะ นี่พูดถึงคนกลุ่มเดียวนะ กลุ่มอื่นต่างหากที่ว่าได้ไม่ใช่เรียนตรงโดยเฉพาะเรียนต่อกันเขาต่อๆ กันไปจะมีสิทธิ์ตามนี้ ที่พูดมานี่ก็เพื่อให้บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าหวังเรื่องบุญกุศลจริงๆ ถ้าหวังนิพพานเราได้แน่นะ เราหวังได้ 2 กาลคือ กาลแรกหวังชาตินี้ แต่ผู้ที่หวังชาตินี้จริงๆ " ต้องมีอายุระหว่าง 2515 ถึง พ.ศ. 2534 " หวังชาตินี้ได้จริง " แต่ไม่ใช่ตายระยะนั้นนะไม่จำเป็นนะ แต่คนที่ฝึกในระหว่าง พ.ศ. ที่ว่านี้มีหวังอรหันต์ในชาติปัจจุบัน


    (จากหนังสือ "พระราชพรหมยาน" หน้า 261)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2019
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    DSC06275.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2014
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    DSC06278.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2016
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    พระคำข้าว


    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือหนูบูชาพระคำข้าว พระหางหมาก จากวัดท่าซุงก็ดี ซอยสายลมก็ดี ก็องค์ละ 10

    ทีนี้หนูเอาไปให้เพื่อนบ้าง ให้คนโน้นบ้าง ก็บอกว่านี่เราก็กันเองน่ะ 100 เดียวนึกว่าเป็นค่ารถค่าอาหารก็แล้วกัน

    มา 2-3 วันนี้ใจไม่สบาย ก็เลยเอ๊ะนี่เราจะเอาเปรียบเพื่อนมากจะลำบากหรือเปล่า เพราะไปขายเกินโควต้า เลยตัดสินใจเอาที่เกินนั้นมาถวายหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่ออโหสิกรรม

    หลวงพ่อ : เออดี ทีหลังเกินบ่อยๆ น่ะ พระเห็นชอบด้วย ความจริงเขาไม่บาปน่ะ ก็ก่อนที่จะทำพระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วให้ทำ บอก ให้มันรวยทั้งวัดทั้งบ้าน คือว่าเอาไปก็ไปขึ้นราคานิดหน่อยใช่ไหม 100, 200 ไม่หนัก
    อีก 30 ปีหลายหมื่น


    ผู้ถาม : เฉพาะพระคำข้าวนี่หรือครับ

    หลวงพ่อ : ใช่ ขอยืนยัน

    (จาก "หลวงพ่อตอบปัญหา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ เดือนกุมภาพันธ์ 2539 หน้า 247)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2020
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    เรื่องคุณไสย

    ยกทรง : หลวงพ่อเจ้าคะ เวลาหลวงพ่อรดน้ำมนต์ทีไร ถูกตัวหนูปวดศีรษะทุกครั้ง เป็นเพราะอะไรเ้จ้าคะ

    หลวงพ่อ : ดีมาก ทีหลังอย่างนี้ซินะ เอาตัวแมวเข้ามารับแทน

    ยกทรง : อ๋อ หนูจะได้พ้นนะ

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ น่ากลัวจะมีอะไรอยู่ในตัวเีสียอย่างหนึ่ง ที่มันกลัวน้ำมนต์ ใช่ที่เขาเรียกว่าโรคไสยศาสตร์ ที่มันมาโดยที่เขาไม่ตั้งใจ เพราะนักไสยศาสตร์นี่ต้องปล่อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง คือว่าวันอังคาร 1 ครั้ง วันเสาร์ 1 ครั้ง จึงได้มาตามลม ตามแล้งนะ ฉะนั้นทุกคนจงอย่าทำปากให้ไว ถ้ามีอะไรตุ๊บตั๊บ ตึงตังขึ้นมา อย่า อย่าไปทัก พวกนี้ถ้าไม่ทักไม่เข้าตัว ใช่ ถ้าไม่ทัก เฉยๆไม่เข้าตัว ถ้าทักแล้วเข้า

    ยกทรง : นี้อย่างลูกก้ง ลูกแก้ว นี่เข้า

    หลวงพ่อ : ถ้าทักเปิดโอกาศให้เขา อย่าลืมนะ ก็เมื่อสมัยที่หลวงพ่อปาน ป่วยที่วาระที่จะตายน่ะ ท่านสั่งบอกว่า ก่อนหน้านั้น 4-5 วันคือว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตอนเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะตก ทุกองค์ให้ปิดหน้าต่างด้านตะวันตกให้หมด เพราะเขาจะปล่อยของมา แล้วก็เป็นความจริง พอค่ำไม่เกิน 2 ทุ่ม ปึงปังๆ โป๊ะเป๊ะเลย เหมือนอะไร เหมือนกับลูกกระสุน ใครขว้างกุฏิเข้าไปดู ไม่เห็นมีวัตถุ อีกคืน พอคืนที่ 2 เจ้าลิงเล็กมันซน เขาก็ทำน้ำมนต์ เอาใส่ถังน้ำนี่ 4 ถัง ไปวางไว้ ดัก พอปุ๋ง จ๋อม ปุ๋ง จ๋อม ลงถัง เข้าไปดูตะปูบ้าง ขวานบ้าง มีดโต้บ้าง เหล็ก เหล็กยาวๆขนาดนี้นะ เลื่อยตัดเหล็กบ้าง ผูกกันมาเป็นไอ้ผูกอย่างนี้ถ้าเข้าตัวก็ตาย มาคืนที่ 3 ประมาณตี 2 เสียงดังวู้ด ดังมากเหมือนของใหญ่ๆ ต้านลมมา ไปหน้าโบสถ์ ถูกต้นอะไร หางนกยูง โป้ง ดังสนั่นเลย เสียงอ๊อด ไอ้ต้นหางนกยูงน่ะโอบไม่รอบนะ ล้มทั้งต้นเลย เช้าขึ้นมา หลวงพ่อพ่อปานบอก นั่นครกนะ เขาจะเอาฉันให้ตาย เราก็ไปหาครกไม่พบ ทำอย่างไร ท่านเลยทำน้ำมนต์ให้ไป พรมไป พรมมา พรมมันดะไปนะ ก็พรมแถวนั้นนะ ไม่ไปไหนหรอก สักครู่หนึ่ง ไอ้ครกมันค่อยๆโต ขนาดนี้ สักประเดี๊ยวเดียว ไม่ถึงชั่วโมง โตเต็มลูก นั่นถ้าถูก ไมทันเช้าล่ะ ตายเลย

    ยกทรง : ตายก่อนเช้าอีก

    หลวงพ่อ : ใช่ ต้นหางนกยูงขนาดโอบไม่รอบยังล้ม มันล้มชัด โอ๊ด แต่ท่านสั่งเลยว่าได้ยินเสียงอะไรอย่าทักเป็นอันขาด นี่ต้องระวังนะ อย่านึกว่ามีของป้องกัน อันนี้จะเปิดทางให้เขาน่ะสิ ถ้าทักเป็นการเปิดทางให้ จะต้องทำปากเงียบไว้

    ยกทรง : อ๋อ อย่างนี้เวลาอะไรก๊อกแก๊กๆ ทำเฉยไว้

    หลวงพ่อ : ก็ไม่แน่ขโมยมา (หัวเราะ) อันนี้ไม่ก๊อกแก๊ก มันจะกระทบแรง เหมือนใคร(ขว้างบ้าน เีสียงหล่นตุ๊บตับ ที่ดินนี่นะ ทำเฉย สังเกตุดูก่อนว่าอะไรกันแน่


    (จากสนทนาสายลม ในหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่ม 13 หน้า 457)

    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-107
     
  18. chai8383

    chai8383 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +6,348









    ก็อปของคุณจักราชมา....จากกะทู้โน้นของพี่วรรณ

    หน้า.188 ครับ



    .
     
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    วันปลุกเสกพระคำข้าวรุ่น 2


    DSC04593.jpg


    วันปลุกเสกพระคำข้าวรุ่น 2

    ผู้ถาม : กราบเท้ามนัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ปลุกเสกพระคำข้าวมหาลาภนั้น ลูกไม่มีโอกาสไปร่วมพิธี แต่ก็ฝากเงินทำบุญร่วมโมทนาด้วย แต่ที่จะกราบเรียนถามก็คือว่าอย่างนี้ ส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เข้าไปร่วมพิธี ก็อยากเรียนถามหลวงพ่อว่าวันนั้นมีอะไรพิเศษที่พอจะเล่าให้ลูกหลานฟังได้ บ้างหรือไม่ เช่นหมาหอน ไฟดับ เป็นต้นเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : เขารู้แล้ว เขาถามหมาหอน ไฟดับที่ไม่รู้มีอยู่อย่าง ขาฉัน 1 ข้างขยับไม่ได้ คือว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน 1.มีฉัน 2.มียกทรง 3.ฉัน 4.ยกทรง (หัวเราะ) มียังนี้นะ ตามธรรมดาปลุกพระ ตามปกติที่ปลุกมาแล้วนะ ที่ผ่านมาก็มี พระโมคัลลาน์ พระสารีบุตร คุมฉัน คอยคุมอารมณ์ สูงไป เครียดไป ต่ำไป ให้พอดี

    แต่ว่าตั้งแต่ปลุกพระคำข้าวรุนก่อนก็ดี พระหางหมากก็ดี คำข้าวรุ่นนี้ก็ดี องค์ปัจจุบันคุมฉันเอง และวิธีคุมท่านไม่พูด ท่านใช้แสงออกจากกายท่านนะ แสงสว่างมาก พุ่งมาที่กายฉัน และสั่งห้ามขยับเขยื้นใจ ให้ทรงตัวนิ่งๆ ให้ใจนิ่งสัก 10 นาที แล้วก็อนุญาตดูได้

    พอดูได้ ก็เห็นสมเด็จองค์ปฐม นั่งขัดสมาธิองค์ใหญ่เบ่อเร่อเต็มวิหาร เหนือที่ปลุกเสกนะ และรอบๆนั้นก็พระพุทธเจ้าเต็มหมด แสงสว่างจ้า พระอรหันต์เต็ม

    ฉันไม่เห็นของที่ปลุกเสกเลย แสงหนามาก และแสงน่ะเปลี่ยน เป็นสีๆ อันดับแรก ท่านบอกคุณว่า อิติปิโส ไปครึ่งชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงนี่ห้ามขยับเขยื้อน จิตใจขยับไหนไม่ได้เลยนะ

    ตอนถึงครึ่ง ท่านบอกว่าช่วงนี้ "ทำรอบตัวทุกอย่าง ทำทุกอย่างนะ"

    ต่อไปหลังจากครึ่งชั่วโมงแล้วก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปแต่ละอย่าง อย่างลาภบ้าง ป้องกันบ้าง อะไรบ้างว่าไป

    ในตอนลาภซิ ตอนลาภซิแปลก แทนที่จะเป็นสีใส เป็นสีทองขึ้นท่วมเลย และกระจายพรืดไปทั่วคนทุกคนที่นั่ง

    ผู้ถาม : กระจายเฉพาะเขตในหรือรอบนอก ด้วยรึเปล่าครับ

    หลวงพ่อ : ทั้งหมดน่ะ บริเวณวัดนะ

    แต่อีตอนไฟดับนั่น ตอนคาถาที่ข้าศึกไม่เห็นตัว พอถึงคาถาข้าศึกไม่เห็นตัว ไปดับปั๊บพอดีเลย

    ไอ้ ที่ไฟดับเพราะอะไรรู้ไหม ท่อน้ำแตก ท่อน้ำเขาซื้อใหม่ๆน่ะ มันมีหลายเครื่องที่วัดนะ เขาต้องติดอีกเครื่องหนึ่งเลย อันนั้นท่อน้ำใหม่มาก เพิ่งซื้อใหม่ๆ เป็นเหตุน่าอัศจรรย์นะ
    ไม่งั้นไฟก็ไม่ดับ

    ผู้ถาม : ตรงคาถาว่าอะไรครับ

    หลวงพ่อ : ข้าศึกไม่เห็นตัว ถ้ามีความจำเป็นนึกถึงพระ ข้าศึกกวดมาไม่เห็นตัว

    ผู้ถาม : อย่างสมมุติว่าจะฝ่าไฟแดงนี่ เราก็..

    หลวงพ่อ : ถ้าฝ่าไฟแดงนะ เราก็ให้เราไม่เห็นตำรวจ (หัวเราะ) อ้าว ! หลับตาเสียซิ ไอ้นั่นนะข้าศึก ไฟแดงไม่ใช่ข้าศึก นั่นเขาตามกฎหมายตามระเบียบเขา

    นี่หมายความว่าถ้าหนีเขาใช่ไหม เขามามากสู้ไม่ได้ นึกถึงพระ นั่งอยู่แต่มองไม่เห็น

    เว้นไว้แต่ว่าหนีเมียหนีเที่ยวไม่แน่นอนนักนะ ไปพ้นได้แต่กลับมาถูกสากกระเบือ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ช่วยได้ตอนขาไป

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ


    ผู้ถาม : เรื่องไฟดับน่าอัศจรรย์ ! แล้วเรื่องหมาหอนนั่นล่ะครับ ?

    หลวงพ่อ : หมาหอนนั่น เขามาประชุมกันพร้อม มันจวนเวลาที่ท่านจะสั่งการ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    สมเด็จองค์ปฐม ท่านเรียก พระอินทร์ กับ สหัมบดีพรหม เข้ามาบอกว่า "พระของฉันและทุกอย่างที่ปลุกวันนี้ ไม่ใช่พระอย่างเดียวนะ แก้วก็มีเสร็จนะ ทุกอย่างถ้าอยู่กับใครก็ดี ให้สั่งให้เทวดาสักองค์หนึ่งตามอารักขาตลอดเวลา"

    ผู้ถาม : เรียกว่าทุกชิ้นมีเทวดา..

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ เว้นไว้แต่เวลาไม่บอกท่าน ระวังให้ดีนะ ! เทวดาน่ะต้องบอกนะ !

    ผู้ถาม : ถ้าไม่บอกก็

    หลวงพ่อ : ก็อย่างกับ ยกทรง ฉันบอก ยกทรง ไปวัดท่าซุง ไอ้ฉันบอกที่ไหน ฉันนั่งเฉยๆ ฉันไม่สั่งทำงานทำอะไร เทวดาไม่ใช่คนนะ ตรงไปตรงมานะ

    ผู้ถาม : อย่างนี้ต้องชัดเจน ขอให้ช่วยตลอดทุกวันนะ

    หลวงพ่อ : ก็ดีใช้ได้ๆ ฉันเคยเจอะเทวดา เรื่องตรงไปตรงมา จะเล่าให้ฟังเอาไหม.. เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2503 จำให้ดีนะ ฉันไปที่วัดต้นโพธิ์ ที่จังหวัดชัยนาท มันมีกุฏิเล็กๆ อยู่ 2-3 หลัง และมีศาลาย่อมๆ โปร่งๆ อาศัยเขานอน

    พอนอนไปประมาณสัก 4 ทุ่ม ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เขาใช้ผ้าคาด 2 ข้างอย่างตะเบ็งมานนั่นน่ะ แล้วก็มีผู้ชายรัดคอดึงออกไป

    ฉันก็เลยบอกว่า "นี่มันผีผู้หญิงปล่อยมันเถอะ ! อาจจะขอส่วนบุญละมั๊ง"

    เขาก็เลยปล่อย พอตอนตี 2 มันเจ็บหน้าอก 2 ข้างนี่ เจ็บยันตื่น เจ็บถึงข้างหลังเลย ลืมตามาเห็นยายคนนั้นนะ มันเอามือจี้ 2 ข้าง ก็เลยดิ้นไปดิ้นมาก็เลยหลุด เห็นเทวดา 4 องค์อารักขาอยู่ใช่ไหม ชั้นจาตุมหาราช

    บอก "พี่ชาย ทำไมไม่ขับออกไป ?" แกก็เลยกระชากออกไป ไล่ตีไป

    ถามว่า "ทำไมปล่อยให้เข้ามา ?"

    ท่านเลยบอกว่า "เมื่อตอนหัวค่ำ มันเข้ามาแล้วผมจับมันออกไป ท่านบอกให้ปล่อยไง"

    มันล่อเราเสียเกือบตาย นั่งดูเฉย (หัวเราะ) นี่ให้เข้าใจเรื่องเทวดา ตรงไปตรงมา ฉะนั้นขอให้ท่านอารักขาตลอดกาลก็แล้วกัน ถ้าทางที่ดีนะ

    ผู้ถาม : เรื่อง "พระมหาลาภคำข้าว" นี่เรื่องพุทธานุภาพปลุกเสกครั้งแรก ครั้งนี้ และครั้งต่อๆไปนี่ ก็เหมือนกันใช่ไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : เหมือนกัน อาจจะผิดกันนิดหน่อย


    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ กันยายน 2543)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2021
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    DSC04562.jpg
    DSC04565.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...