รัก

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย emaN resU, 5 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. รพินทร์ไพรวัลย์

    รพินทร์ไพรวัลย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +1,122
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=1auvewLxxZQ]YouTube - MV ขาหมู[/ame]
    เนื้อเพลง ขาหมู - Tattoo Colour


    เกลียดละคร แต่ก็ดูมันทุกตอน
    เกลียดคนใจร้อน แต่ก็ชอบมวย
    เกลียดคนรวยนัก ชอบดูถูกฉัน
    แต่เมื่อคืนพึ่งฝันว่าถูกหวย
    เกลียดใครจะได้เจอมันทุกวัน
    เกลียดคนผิดนัด แต่ฉันก็เคย
    เกลียดจังตอนแฮ้ง ปวดหัวตอนเช้า
    ตกเย็นกินเกล้าไม่หยุดเลย

    * ชีวิตคนสับสนวุ่ยวาย
    เพราะหัวใจมันคล้ายมีบางอย่าง
    ถึงฉันเกลียดแต่ฉันก็ต้องการ ไม่ว่าใครๆ

    ** เกลียดความรักที่ทำให้เราต้องเสียใจ
    แต่ยังค้น ยังคอยจะหามันเรื่อยไป
    เจ็บไม่จำ ทั้งๆที่รู้ สุดท้ายที่รออยู่คืออะไร
    โอ โว้ โอว
    เกลียดความรักที่ทำให้เราต้องร้องไห้
    แต่ยามเหงาถ้าไม่มีเขาก็ไม่ได้
    อยู่คนเดียวมันยังไม่พอ ต้องขอใครสักคน เข้ามาทำให้ใจเจ็บช้ำ
    ไม่เข้าใจ

    เกลียดการพนันแต่ก็เคยเป็นเจ้ามือ
    รำคาญมือถือ แต่ฉันก็มี
    เกลียดจังความอ้วน ใครๆก็รู้ แต่ยังสั่งขาหมูกินอยู่ดี
    เกลียดการมองคนที่หน้าตา แต่พอเจอดาราขอลายเซ็น
    เกลียดคนยั้วเยี้ย อึดอัดทุกครั้ง แต่พออยู่ในผับฉันก็ต้องเต้น
     
  2. รพินทร์ไพรวัลย์

    รพินทร์ไพรวัลย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +1,122
    คราวที่แล้วโดนลุงยิ้มแกแซวว่า หน้าหม้อ มาทีนึงแล้ว
    งานนี้มามีหม้อทุกโพสเลย T-T สงสัยคอนเซ็ปต์นี้จะไม่เวิร์ก แล้วหละท่านพรานพิเศษ
    เอาเป็นรักอย่างอื่น ที่มันไกลๆหม้อหน่อยดีกว่า เมื่อเช้าส่องกระจก หูเริ่มจะดำๆละท่าน
     
  3. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    รักจุกคอหอยจ้า เหม่ยลี่ รักเหม่ยลี่จนล้นใจออกมาจุกที่คอแว้ว อิอิ

    ม่ายปรึกษาพี่บิิ๊กพรานแล้ว เห็นแกบ่นๆว่าหูเริ่มดำ เลยกลัว 555
     
  4. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368

    [​IMG]

    ....... ขอตรวจหน่อย นะท่าน ........ @^^@
     
  5. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • eating.gif
      eating.gif
      ขนาดไฟล์:
      86.1 KB
      เปิดดู:
      767
  7. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ...ไปแจกจ่ายความรักความเมตตามาสองวัน
    แวะกลับมาที่นี่มี "รัก"
    หุหุ...ความรักตลบอบอวลเชียว
    โหนเถาวัลย์ตามแทบไม่ทัน...เลยต้องใช้สลิงแทน ;)

    [​IMG]
    ขอบคุณภาพจาก www.okanation.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    I had set you free.
    [​IMG]


    Now... You've got truely free.
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • set_free.gif
      set_free.gif
      ขนาดไฟล์:
      193.5 KB
      เปิดดู:
      739
    • freely.gif
      freely.gif
      ขนาดไฟล์:
      29.9 KB
      เปิดดู:
      720
  10. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เหม่ยลี่ [​IMG]
    อุ๊แม่เจ้า รับมุข น่าดู ฮิ๊วววววววว
    ส่องคอ หารัก เจอไรคะ คุณปีใหม่
    ไวรัสตัวไหน ลงรัก ที่คอ หรอ จู๊กกรู
    ดีนะลงคอ ไม่ลงหู ไม่งั้น หูดำปี๋ เหมือนพรานใหญ่
    อะจึ้นนนนนนนนนนน หูดำ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    [​IMG]


    ตรวจดูแล้ว ไม่เจอสิ่งผิดปกติอันใด อาการท่านยังไม่น่าเป็นห่วง ยังคงหม่ำๆ ได้ตามปกติ ........

    หม่ำหมดชามแล้ว ตามด้วยยา ด้านล่าง 3 เม็ด 3 เวลา หลังอาหาร

    พักผ่อนมากหน่อย ห้ามตื่นตี สี่ ....... (เอหรือดึกดื่น ยังไม่หลับไม่นอนกันแน่หนอ....)

    ร่างกาย แล จิตใจ ของท่านจักแข็งแรง ปกติ ดั่งเดิมทุกประการ ........



    [​IMG]<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  11. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
    [​IMG]<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> ​

    ยา มรณานุสติ เพื่อความไม่ประมาท

    จริงๆ แล้วไม่มีโทษอันใด ใช้ได้กับ ทุกท่าน แล ทุกวัน ทุกเวลา ค่ะ

    ............................................................................................

    " ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้ ใครจะรู้ความตายแม้พรุ่งนี้ "
    -------------------------------------------------------------------------------​


    # แนบวิธีการใช้ยามา ดังนี้ #

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]มรณานุสติ[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]เทศน์ ณ วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]วันที่ ๒๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒[/FONT]

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC] วันพระที่แล้วได้เทศน์ เทวตานุสสติ ให้ฟังแล้ว วันนี้จงตั้งใจฟังธรรมเทศนาต่อไป จะเทศน์เรื่อง มรณานุสติ ให้ฟัง ที่จริงมรณานุสตินี้เคยเทศน์มามากมายแล้ว[/FONT]

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]มรณานุสคือ ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เป็นกัมมัฏฐานชั้นสูงสุด เพราะว่าเมื่อระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์แล้ว จิตก็จะสลดสังเวชถอนจากอารมณ์อื่นๆ ความตายเป็นการดำเนินถึงที่สุดของชีวิตคนเรา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะมีอะไรเหลืออยู่อีก นอกจากความตายแล้วไม่มีอะไร สิ่งทั้งปวงที่เกี่ยวข้องพัวพันอยู่นี้ ล้วนแล้วแต่เป็นของทิ้งทั้งหมด ถึงไม่อยากทิ้งมันก็ต้องละไปโดยปริยาย เราตายแล้วมันก็ทอดทิ้งลงทันที จึงว่ามรณานุสติ นั้นเป็นยอดของกัมมัฏฐาน ใครจะพิจารณาอะไร ๆ ก็ตามเถิด ถ้าหากพิจารณามรณานุสสติแล้ว จิตยังไม่รวมลงไปได้ ยังไม่เกิดสลดสังเวช ยังไม่ละยังไม่ถอนก็หมดกัมมัฏฐานไม่มีอะไรเหลือแล้ว[/FONT]

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]มรณานุสตินี้ พระพุทธเจ้าทรงถามภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลายเธอพิจารณามรณานุสติ อย่างไร ภิกษุบางองค์กราบทูลว่าข้าพระองค์พิจารณา มรณานุสติ แล้ว กลัวว่าชีวิตจะไม่ข้ามวันข้ามคืนไปได้ กลัวจะตายก่อน ไม่ทันฉันบิณฑบาต บางองค์พิจารณาขณะฉันอยู่ ก็กลัวว่าจะตายก่อน ฉันไม่ทันเสร็จ แม้ถึงอย่างนั้นพระองค์ยังตรัสว่าประมาทอยู่[/FONT]

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]เมื่อผู้ใดพิจารณาความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก นั้นจึงจะเป็นผู้ไม่ประมาท หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่สูดเข้าอีกก็ตาย เป็นอยู่อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ไม่ประมาท[/FONT]

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]วันหนึ่ง ๆ เราคิดถึงความตายสักกี่ครั้ง วัน เดือน ปี ล่วงไปๆ ไม่เคยนึกถึงความตายสักทีเลยก็มี จึงว่าเป็นผู้ประมาท ความประมาท คือ ความเลินเล่อเผลอสติ ไม่มีสติในตัว ความประมาท จะพาไปถึงไหน ความประมาท คือ หนทางแห่งความตาย ก็ยังดี คำว่า "ทางแห่งความตาย" นั้นยังไม่ทันตายหรอก แต่ผู้ประมาทได้ชื่อว่า ตายแล้ว เพราะการไม่มีสติก็เหมือนกับคนตาย จะทำอะไรพูดอะไรก็ไม่มีสติอยู่ในตัว จะอยู่ไปทำไมในโลกนี้ ตายเสียดีกว่าอยู่[/FONT]

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]ความไม่ประมาทคือ มีสติอยู่ทุกเมื่อ ทุกอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน นั่นเรียกว่า ความไม่ประมาท ทางแห่งความไม่ตาย ที่มีสติ สติรู้ตัวอยู่ทุกเมื่อทุกขณะนั่นแหละ เรียกว่า ผู้ไม่ตาย [/FONT]

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]แท้ที่จริงความตายเคยอธิบายให้ฟังแล้วว่า ตายตั้งแต่เกิดมา มันเปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ เรียกว่าตาย เป็นเด็ก เป็นเล็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาว จนกระทั่งอายุ ๔๐-๕๐ แก่เฒ่าชรา มันเปลี่ยนสภาพไปโดยลำดับจนกระทั่งตาย ส่วนด้านจิตใจก็ห่วงนั่นห่วงนี่ พัวพันเกี่ยวข้องอะไรต่างๆ เอาไว้ มันไม่อยู่คงที่ ทิ้งอารมณ์นี้แล้วไปจับอารมณ์อื่นต่อไป นั่นก็เรียกว่า ตายเหมือนกัน ตายจากอารมณ์หนึ่งไปสู่อารมณ์อื่น นั่นแหละความตายโดยยังไม่ทันตายแท้จริง[/FONT]

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]ให้พิจารณาความตายโดยปริยายเสียก่อน เมื่อความตายจริงๆ มาถึงมันมีอีกอย่างหนึ่ง การตายไม่ใช่ตายง่ายๆทีเดียวอย่างที่เราคิดนึก บางทีเส้นโลหิตแตกแล้วตายก็มี หัวใจวายตายก็มี ตายเร็วๆ อันนั้นค่อยยังชั่วหน่อย ไม่ต้องทรมานทรกรรม อันที่ตายทรมานนั้นมันยังมีมากกว่านั้นอีก ความเจ็บป่วย มีอาการตั้งนาน ๆ ปี บางทีเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ จนกระทั่งมือเท้าอะไรก็ยกไม่ได้ จะกินจะถ่ายก็มีคนป้อนคนพยุง อันนั้นเรียกว่ามัจจุราชมันใช้เสนาให้มาผจญเสียก่อน[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]ธรรมดาเข้าตีข้าศึก เขาต้องตีปีกซ้ายปีกขวา ตัดทางลำเลียงอาวุธและอาหารเสียก่อน ทำลายทีละเล็กทีละน้อย ยังเหลือแต่กองทัพใหญ่จึงค่อยบุกเข้าตีทีเดียว อันนี้มัจจุราชมาผจญก็เหมือนกัน แขนหัก แข้งขาขาดไปตายไปเป็นชิ้นส่วนเสียก่อน บางทีเจ็บหัว ปวดท้อง บางทีลำไส้อักเสบ โรคภัยไข้เจ็บสารพัดทุกอย่าง จะต้องทรมานทรกรรม นั่งนอนอยู่กับที่ไม่สามารถพลิกตัวได้ แต่ใจยังไม่ทันแตกดับ ยังมีอยู่เป็นการทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะว่าเราไม่ได้เปลี่ยนอริยาบถ ถึงแม้จะเคยทำความพากเพียรภาวนามามากเท่าไร ก็ตามเถิด พอถึงตรงนั้นแล้ว มันยากที่สุดที่จะดำรงสติให้อยู่ในตัวของเราได้ที่ท่านว่า มรณานุสสติ ให้ระลึกถึงความตาย คือให้ตั้งสติไว้ตรงนั้นเอง[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]แท้ที่จริงความตายนั้นไม่เท่าไรหรอก ก่อนที่จะตายนั่นซี มันสำคัญ จะตั้งสติรักษาจิตด้วยอาการอย่างไร ให้มันคงที่จะไม่ให้หวั่นไหว อันตรงนั้นมันสำคัญที่สุด[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]การเจ็บปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มันบังเกิดขึ้นในตัวของเรานั้นต้องหัดพิจารณาความตายว่า มันจะต้องมีมาอย่างนี้ ๆ เดี๋ยวนี้มันยังไม่ทันเป็นจริง เมื่อมันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ทุกด้านทุกทางมันจะเสื่อมโทรมไปหมด ตาก็ไม่เห็นหนทาง หูก็ไม่ได้ยินเสียง เนื้อกายนี้ไม่รู้สึกตัว แต่ยังมีใจอยู่ ความวุ่นวาย ความเดือดร้อน กระสับกระส่ายยังจะต้องมีอยู่[/FONT]

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]คนเราเมื่อจะถึงที่สุดเวลาจะตายจริงๆ มันต้องตัดหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่สติที่เรารักษาไว้ดีแล้วจะไม่ปรากฏ มันจะปรากฏแต่ กรรมนิมิต คตินิมิต จะไปเกิดใน สุคติ หรือ ทุคติ ต้องมีกรรมนิมิตปรากฏไปตามกรรม เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดมิจฉาจาร เป็นต้น นี้เรียกว่า กรรมชั่ว[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]กรรมนิมิต นั้นคือ เห็นสัตว์ที่เราเคยฆ่า เห็นด้วยใจ สัตว์นั้นมาไล่ชนหรือรุมล้อมทำร้ายเราให้เจ็บปวดร้องครวญคราง จนปรากฏเสียงออกมาให้คนทั้งหลายได้ยินก็มี เหมือนกับที่เราได้ทำเขาเมื่อยังมีชีวิตอยู่[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]คตินิมิต ในทางที่ชั่วนั้น เช่น ปรากฏเห็นด้วยใจว่า ผู้ที่ทำบาปเช่นเดียวกันกับเรานั้น ตายไปแล้วได้ทนทุกข์ทรมานด้วยอาการต่างๆ เช่น เห็นร่างกายของเขามีแต่โครงกระดูก หาเนื้อหนังไม่ได้ คนไหนมีเนื้อหนัง คนอื่นสัตว์อื่นก็มาเฉือนเนื้อเถือหนังไปบริโภคกินหมด ดังนี้เป็นต้น แต่ตัวยังไม่ตาย เมื่อคตินั้นมาปรากฏเห็นเฉพาะตนแล้ว ก็กลัวแสนกลัวหาที่สุดมิได้ กลัวตนจะไปเป็นอย่างผู้นั้น แล้วแน่ในใจที่สุดว่า ตนจะต้องไปเป็นอย่างนั้น โดยเหตุมีอันบันดาลให้เป็นไปอย่างนั้น[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]กรรมนิมิต คตินิมิต ของความดีนั้นตรงกันข้าม บุคคลผู้ทำความดีไว้ในเมื่อมีชีวิตอยู่ เป็นต้นว่า เคยได้ไปทอดผ้าป่า มหากฐิน และสิ่งอื่นๆ อะไรก็ตาม เมื่อจวนจะตายไม่มีสติแล้ว กรรมนิมิต และ คตินิมิต จะมาปรากฏเช่นเดียวกับกรรมชั่ว แต่กรรมดีมันให้เพลิดเพลินเจริญใจ เป็นต้นว่าไทยทานที่ตนทำไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ แม้มีประมาณเล็กน้อย แต่เมื่อกรรมนิมิต คตินิมิต ที่ปรากฏเห็นเป็นของมาก มากจนเหลือที่คนเราจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ เมื่อเห็นนั้นแล้วก็อยากได้ แล้วก็มีหวังจะได้ในวันหนึ่งข้างหน้าโดยมีสิ่งบันดาลให้ได้จริงๆ[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]บางคนบอกว่า เมื่อเราจะตายต้องรักษาสติไว้ ไม่คิดถึงกรรมชั่ว กรรมชั่วมันก็ไปนรกล่ะซี ความข้อนั้นเป็นความประมาทของเขาเอง เขาคิดเดาเอาเฉยๆ ความเป็นจริงจะต้องเป็นอย่างที่อธิบายมานี้ มันจะรักษาได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่มีสติ มี กรรรมนิมิต คตินิมิต เป็นเครื่องชักจูงให้เป็นไปเอง[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]ในการที่ปล่อยให้เป็นเอง ไม่สามารถจะกลับคืนมาแก้ตัวอีกได้ ฉะนั้นทำเสียเดี๋ยวนี้ตั้งแต่เป็นมนุษย์อยู่ และเมื่อถึงคราวจะตายนั้นแล้ว มันเป็นเองหรอก ทำดีมาก ทำชั่วมาก มันก็เป็นไปตามเรื่องที่ทำเอาไว้ มันเป็นเองเกิดเองของมันต่างหาก[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]คนเราตายจริงๆ เมื่อไม่มีลมแล้ว แต่ลมกับใจมันคนละอันกัน ที่แพทย์เรียกว่าโคม่านั้น มันถึงที่สุดของชีวิตในตอนนั้นแล้ว แต่ยังไม่สิ้นไป ที่เกิดของลมในทางศาสนาท่านกล่าวไว้ว่า ลมเกิดจากสวาบ คือ กระพองลม กระพองลมมันวูบๆ วาบๆ อยู่อย่างนั้น มันเป็นเหตุให้เกิดกระพองลมหรือสวาบ มันทำให้เกิดความอบอุ่น เมื่อมันมีความอบอุ่น มันก็ไหวตัววูบๆ วาบๆ เมื่อลมยังมีอยู่ แต่จิตมันจากร่างไปแล้ว มันจะไปเกิดที่ไหนก็เป็นไปแล้ว ไปพร้อมด้วย กรรมนิมิต คตินิมิต นั้น ไม่มีหลงเหลืออยู่อีก มีแต่ร่าง[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]ถ้าไม่มีกรรมนิมิต คตินิมิต บางทีมันฟื้นขึ้นมาอีก เพราะลมยังไม่หมด วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เขาเอาอ๊อกซิเจนเข้าช่วย อ๊อกซิเจนก็ช่วยได้แต่ลมเท่านั้น แต่จิตมันเคลื่อนแล้ว มันจะไปไหนมันก็ไปตามเรื่องของมัน หางตุ๊กแกหรือหางจิ้งจกที่มันขาด มันยังไหวตัวอยู่ได้ แสดงว่าใจไม่ได้ไปอยู่ที่หาง ลมความอบอุ่นยังเดินอยู่ก็ดิ้นอยู่อย่างนั้น[/FONT]

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]เรื่อง มรณานุสติ เป็นของสำคัญที่สุด เพราะเราทุกคนยังไม่เคยตาย เป็นแต่อนุมานเอา เมื่อพิจารณาแล้วเกิดความสลดสังเวช จิตมันก็แน่วแน่อยู่ในที่เดียวนั่นแหละ จึงให้พิจารณา มรณานุสติ จะได้ประโยชน์เห็นชัดตามความเป็นจริง หัดตรงนั้นให้มันชำนิชำนาญ หัดเอาไว้ตรงนั้น แต่ถึงขนาดนั้นแล้ว เวลามันจะตายจริงๆ ไม่ทราบว่าจะตั้งสติให้มั่นคงได้หรือเปล่า ไม่เหมือนท่านผู้รู้ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ท่านเห็นความตายเหมือนกับ ช่างหม้อเอาดินเหนียวมาขยำปั้นหม้อฉะนั้น เราไม่เหมือนกับท่าน แต่ถึงอย่างไรก็พยายามทำไป วันหนึ่งคงเป็นอย่างท่าน เพราะทางที่ท่านทำก็สายเดียวกันนี้ เราก็เดินถูกทางท่านแล้วไม่ต้องสงสัย[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]เอวํ ฯ[/FONT]

    ขอขอบพระคุณ แหล่งที่มา


    และ ขอฝากอัลบั้มยา มรณานุสติ กรรมฐาน ไว้ด้วยนะคะ ตามลิงค์ข้างล่างไปเลยค่ะ

    http://palungjit.org/groups/127/อสุภกรรมฐาน



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2010
  12. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อ่อ ท่านพี่เหม่ยลี่ กลายเป็นคนสร้างความสนุกสนาน ให้คนในเวปไปแล้ว หุหุ
     
  13. รพินทร์ไพรวัลย์

    รพินทร์ไพรวัลย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +1,122
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    ดังละครที่คุณต้องแสดง มันเป็นไปด้วยอำนาจบางอย่าง พลังแห่ง รัก มันมีพลังบัญชาให้คุณทำอะไรได้ทุกๆอย่าง
     
  14. Nakraksa

    Nakraksa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    3,481
    ค่าพลัง:
    +14,350
    ไม่จำเป็นต้องใช้แย้วกั๊บ แฟนถามว่า นี่เราอยู่กันแบบพระเลยนะ หมายความว่าไง ช่วยคิดทีจิ 555
     
  15. พลูโตจัง

    พลูโตจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +554
    มนุษย์คงสูญพนธ์ กันคราวนี้แล
    555
     
  16. รพินทร์ไพรวัลย์

    รพินทร์ไพรวัลย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +1,122
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผลผลิตจากความรัก...
    มิใช่จะชวนคุยทะลึ่งนา แต่กำลังจะบอกว่า บางที่การมีลูก น่ารักๆ สักคนก็ช่วยเติมเต็มชีวิตได้
    ถ้าไม่มีลูก ก็คงไม่มีพรานใหญ่ เพราะต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้านพรานใหญ่ จึงมีเวลามากวน ซีนชาวบ้านเค้าใด้บ่อยๆ อยากจะบอกว่า พรานใหญ่ผู้สนับสนุนให้มีพยานรักอย่างเป็นทางการ นี่มันจะ อีโรติกไปมั้ยท่าน
     
  17. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • duo.gif
      duo.gif
      ขนาดไฟล์:
      83.4 KB
      เปิดดู:
      690
    • hands_2.gif
      hands_2.gif
      ขนาดไฟล์:
      58.5 KB
      เปิดดู:
      716
    • my_lovers.gif
      my_lovers.gif
      ขนาดไฟล์:
      114.7 KB
      เปิดดู:
      700
  18. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มีนาคม 2010
  19. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
    ปี พ.ศ. 2531 คุณเต๋อ เรวัติ พุทธินันท์ เคยแต่งเป็นเพลงชื่อ
    “บทเพลงเพื่อเด็ก”
    อยู่ในชุดที่ 4 “ชอบก็บอกว่าชอบ” ดังเนื้อเพลงข้างล่างนี้

    [​IMG]

    บทเพลงเพื่อเด็ก

    ในใจผู้ใหญ่รู้ ว่าเด็กนั้น ต้องเติบโต พร้อมฟันฝ่า

    เวลาผู้ใหญ่เตือน ผู้ใหญ่สอน และอบรม หรือทำสิ่งใด

    เด็กเรียนรู้ตั้งแต่ตัวน้อย เด็กจะคล้อยไปตามผู้ใหญ่

    รู้อะไร เพราะผู้ใหญ่ชี้นำ


    เด็กจะดีเพียงใดนั้น รู้ ๆ กันอยู่ที่ใคร

    ที่จะคอยดูแลเค้า ขอให้เราอย่าละเลย ช่วยกัน


    ทำตัวให้เด็กรู้ ให้เด็กเห็น ให้เด็กตาม ย้ำในสิ่งดี

    เด็กเรียนรู้ตั้งแต่ตัวน้อย เด็กจะคล้อยไปตามผู้ใหญ่

    รู้อะไร เพราะผู้ใหญ่ชี้นำ


    เด็กจะดีเพียงใดนั้น รู้ ๆ กันอยู่ที่ใคร

    ที่จะคอยดูแลเค้า ขอให้เราอย่าละเลย ช่วยกัน


    เด็กเรียนรู้ตั้งแต่ตัวน้อย เด็กจะคล้อยไปตามผู้ใหญ่

    รู้อะไร เพราะผู้ใหญ่ชี้นำ


    เด็กจะดีเพียงใดนั้น รู้ ๆ กันอยู่ที่ใครนั้น

    ที่จะค่อยดูแลเค้า ขอให้เราอย่าละเลย ช่วยกัน


    เด็กจะดีเพียงใดนั้น รู้ ๆ กันอยู่ที่ใครนั้น

    ที่จะค่อยดูแลเค้า ขอให้เราอย่าละเลย ช่วยกัน


    เด็กจะดีเพียงใดนั้น รู้ ๆ กันอยู่ที่ใครนั้น

    ที่จะค่อยดูแลเค้าขอให้เราอย่าละเลยช่วยกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2010
  20. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
    [​IMG]



    ทำอย่างไร...จึงจะมีลูกดี


    <O:p
    เริ่มต้นด้วยหัวข้อที่ฟังดูแล้วไม่น่าจะอยู่ในคอลัมน์ ธรรมะห้านาที แต่น่าจะอยู่ในคอลัมน์ถามตอบปัญหาวิชาการทางแพทย์เสียมากกว่า

    <O:pหากเพราะมีท่านผู้อ่านหลายต่อหลายท่านที่กำลังก้าวสู่ชีวิตสมรส หรือไม่ก็กำลังต้องการมีบุตรเอาไว้สืบสกุลอีก โทรศัพท์เข้ามาถามบ้าง เขียนจดหมายบ้าง เลยทำให้ภูเตศวรต้องหยิบยกปัญหานี้มาเขียนคอลัมน์นี้ เพื่อเป็นการบอกกล่าวเสียทีเดียว <O:pขอเริ่มต้นตรงประโยคที่ว่า...
    วิญญาณย่อมรู้จักที่ที่เหมาะแก่ตัวเอง
    วิญญาณสูงย่อมเกิดในที่สูง วิญญาณต่ำย่อมเกิดในที่ต่ำ...

    คำว่า ‘รู้จัก’ ในที่นี้หมายถึงเป็นการรู้โดยอัตโนมัติ รู้ได้โดยภวังคจิต หรือที่เรียกว่ารู้จากจิตไร้สำนึก รู้ที่เกิดจากกรรมะ ที่ซ่อนลึกอยู่ในวิญญาณ ต่างกับรู้ใน ‘วิถีจิต’
    <O:p</O:p
    ศาสนาพุทธ แบ่งวิถีวิญญาณในมนุษย์ออกเป็น 2 ประเภท คือ
    <O:p</O:p
    วิถีวิญญาณ กับ ภวังควิญญาณ
    <O:p</O:p
    วิถีวิญญาณหรือที่เราเรียกว่า วิถีจิต นั้น...เป็นความรู้สึกภายนอกที่เราสามารถรับรู้และบังคับได้ เช่น ตา หู ปาก ลิ้น กายใจ...หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อายตนะหก<O:p</O:p

    เช่น เมื่อเรามองเห็นสิ่งของ เราเกิดความอยากได้ เมื่ออยากได้ก็เลยนึกอยากขโมย... แต่พอนึกถึง ‘ศีล’ นึกถึงอาญาแผ่นดิน เราสามารถบังคับไม่ให้กระทำได้ด้วยสติแห่งตนเตือนตน อย่างนี้เรียกว่าวิถีจิต...
    <O:p</O:p
    ภวังควิญญาณหรือที่เรียกว่า ภวังคจิต นั้นเป็นความรู้สึกลึกเร้นลงในจิตลึก และไม่สามารถบังคับได้ด้วยสติสัมปชัญญะปกติได้
    <O:p</O:p
    สิ่งซ่อนลึกในจิตอันเป็นภวังควิญญาณ เราเรียกว่าจิตไร้สำนึก จิตไร้สำนึกทำงานได้โดยอัตโนมัติ เช่นระบบการเต้นของหัวใจ ระบบการย่อยอาหาร ระบบการขับถ่ายในร่างกาย ฯลฯ เราไม่สามารถใช้สติภายนอกไปบังคับได้
    <O:p</O:p
    การสิ้นสุดอายุขัยของสรรพสัตว์ในโลก หรือที่เรารู้จักในภาษาง่าย ๆ คือ ‘ตาย’ นั้น ถือว่าเป็นการดับของสังขารร่างกาย และการดับของวิถีจิต... ก้าวสู่การเป็นโอปปาติกะด้วยการทำงานของภวังคจิต หรือภวังควิญญาณล้วน ๆ
    <O:p</O:p
    ภวังควิญญาณนั้นจะจุติ หรือเคลื่อนย้ายหาภพภูมิแห่งตน ด้วยกรรมะที่ซ่อนอยู่ในภวังคจิตตามวิบากที่สะสมมา... ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกธรรมชาติวิญญาณ เป็นไปโดยอัตโนมัติ...
    <O:p</O:p
    หากทว่ามีข้อยกเว้นอยู่ประการหนึ่ง... สำหรับผู้สามารถบำเพ็ญจิตเข้าสู่‘ฌาน’ ได้ ผู้สามารถก้าวสู่องค์ฌาน คือผู้ที่สามารถสร้างภาวะทางจิตให้มีกำลังเข้มแข็ง หรือที่เรียกว่า ‘ซุปเปอร์คอนเชียส’นั้น สามารถกำหนดภพภูมิของตนได้ตามกำลังของฌานที่ตนมี... ยกเว้นจากกรรมหนัก คืออนันตริยกรรมสี่...
    <O:p</O:p
    ผู้สำเร็จฌานขั้นแรกที่เรียกว่า ปฐมฌาน สามารถไปกำเนิดเป็นโอปปาติกะในชั้นพรหมได้ ไล่ไปตามกำลังของจิต ซึ่งเป็นรูปฌานสี่... อรูปฌานสี่...<O:p</O:p
    ฌานหนึ่งถึงสี่... เกิดเป็นพรหมมีรูป...คือรูปพรหม<O:p</O:p
    อรูปฌานสี่...จากหนึ่งถึงสี่...ไปเกิดเป็นอรูปพรหม...คือพรหมไม่มีรูป
    <O:p</O:p
    ทั้งหมดคือการอธิบายพอสังเขปเพราะถ้าพูดถึงกันให้ละเอียดลออกว่านี้ คงต้องใช้หน้ากระดาษมากมาย และที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเพียงเพื่อจูงเข้าสู่หัวข้อที่จั่วไว้ข้างต้นเท่านั้น!<O:p</O:p
    ...การกำเนิดบุตรที่ดี จึงเป็นการเลือกได้พอสมควร! เลือกได้โดยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับวิญญาณที่จะมากำเนิดในครอบครัวของตน...
    เซียนสู เชยพรหมธีระ ซึ่งผู้เขียนและคุณทมยันตีนับถือท่าน ประหนึ่งบิดาและอาจารย์ เคยกล่าวประโยคหนึ่งไว้ว่า...
    ผู้ที่มีศีลเสมอกัน และผู้มีศักดิ์เสมอศักดิ์จึงอยู่ด้วยกันได้!’
    นั่นคือกฎธรรมชาติของวิญญาณ อันที่จริงหลักอันนี้ก็มาจากหลักที่เรารู้กันอยู่ทั่ว ๆ ไปว่า คนมีบุญตายแล้วย่อมไปเกิดในสวรรค์ คนมีบาปตายแล้วไปสู่นรก เฉกเช่นคนที่ดีหรือวิญญาณที่ดี ยามปฏิสนธิก็ย่อมจะหาสิ่งแวดล้อมที่ดีตามคุณสมบัติของตน อยู่ในที่ที่เหมาะสมตามความถี่แห่งคลื่นวิญญาณตน
    ...คนมีบุญเมื่อตายแล้วไปรวมกันบนสวรรค์ ตามศักดิ์ตามศีลอันเสมอกัน
    <O:p</O:p
    เฉกนั้น! วิญญาณที่จะมาเกิดก็อยู่ในกฎเดียวกัน...แม้อุปนิสัย หรือสันดานเดิมของพ่อแม่ไม่ใช่คนอยู่ในศีลธรรม วิญญาณที่ดีมีหรือจะมาอาศัยกำเนิด...?
    <O:p</O:p
    แต่ทว่า หากพ่อแม่คนไหนเป็นคนมีอุปนิสัยมั่นคงอยู่ในศีลธรรมมานาน โอกาสที่จะกำเนิดบุตรอันประเสริฐมีมากแน่นอน...
    แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การกำหนดกฎเกณฑ์ให้กับตนเองในการที่จะมีบุตรอันประเสริฐนั้น ยากต่อการอธิบายให้แจ่มแจ้งได้ เพราะ ‘กรรม’ ของคนเป็นพ่อแม่เป็นเรื่องซับซ้อน กรรมในปัจจุบันก็ใช่ว่าจะเป็นปัจจัยกำหนดเสียทั้งหมด นั่นเพราะมนุษย์นั้นยังมีกรรมเก่าติดตามมาจากอดีตชาติด้วย กรรมเก่า หรือที่เรียกว่า ‘บุพกรรม’ ก็มีส่วนอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้
    อย่างเช่นในอดีตชาติ คุณเคยกระทำกรรมชั่วมาอย่างสาหัส หากท้ายสุดของชีวิตคุณก็ทำกุศลกรรมมาด้วย ดังนั้นยามเมื่อตายแล้วมาเกิดใหม่ อกุศลมาส่งให้คุณมีฐานะลำบากอยู่ในสิ่งแวดล้อมเลว... ช่วงนั้นคนมาเกิดเป็นลูกก็ต้องรับกรรมนั้นกับคุณด้วย ดังนั้นวิญญาณที่มาปฏิสนธิในครรภ์ ต้องมีสัดส่วนของผลกรรมคล้ายคุณ... พออีกสักระยะหนึ่งฐานะการงานและครอบครัวคุณเริ่มดีขึ้น เนื่องเพราะกุศลกรรมเริ่มส่งผล... เผอิญคุณมีลูกคนที่สอง ลูกคนที่สองคุณก็มีโอกาสเลี้ยงดูให้สุขสบายขึ้น มีเงินส่งเรียนหนังสือ มีเสื้อผ้าที่ดี ๆ ให้สวมใส่.....เด็กคนที่สองซึ่งมาเป็นลูกคุณย่อมถือว่ามีกุศลกรรมดีตามมา มากกว่าคนแรก จริงไหมครับ? ...แต่นั่นแหละครับ ก็ใช่ว่าคนที่มาเกิดทีหลังจะเสวยผลกรรมดีไปตลอดไปไม่... บางครั้งอาจจะเป็นเพราะกุศลกรรมของเขามาก่อน พออายุมากขึ้นอกุศลกรรมตามมาทำให้เขามีชีวิตตกต่ำในภายหน้าก็ได้...
    ฉะนั้นเรื่องของกรรมะ เป็นเรื่องซับซ้อนเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะอธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้งได้ทั้งหมด... ดังพุทธวาจาแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่า...
    ...มีบ้างมนุษย์ มาสว่างไปมืด (หมายถึงกรรมดีกรรมชั่วส่งผล)<O:p</O:pมีบ้างมนุษย์ มามืดไปสว่าง<O:p</O:p
    มีบ้างมนุษย์ มาสว่างไปสว่าง<O:p</O:p
    มีบ้างมนุษย์ มามืดไปมืด... ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับผลกรรมของแต่ละบุคคล ...ขึ้นอยู่กับบุพกรรม กับปัจจุบันกรรมสนับสนุนกัน....
    <O:p</O:p
    เมื่อเราเข้าใจถึงเหตุผล เข้าใจถึงปัจจัยโดยกว้าง ๆ แล้ว จึงสามารถกล่าวได้ว่าการปฏิสนธิของวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับกรรมของวิญญาณเอง รวมทั้งกรรมแห่งผู้เป็นบิดามารดาด้วย ทั้งสองปัจจัยคือผลที่จะปรากฏในการอุบัติของมนุษย์ที่ได้ชื่อว่า ‘ลูก
    <O:p</O:p
    ทั้งหมดจึงเป็นคำตอบ... คำตอบก็คือ...
    หากคุณต้องการมีบุตรสืบสกุลที่ดี หรือที่เรียกว่า อภิชาตบุตร ในกาลครั้งหน้า คุณพึงปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล...ทาน...ภาวนา เป็นนิสัย
    ศีล... ทำให้คุณบริสุทธิ์ในกายและวาจา<O:p</O:p
    ทาน... ทำให้ใจอิ่มเอิบ...ผ่องใส<O:p</O:p
    ภาวนา... ทำให้จิตนิ่ง สงบ เยือก เย็น...
    บุคคลใดที่ประกอบ ศีล...ทาน ภาวนาอยู่เป็นนิตย์เท่ากับสร้างกระแสเย็นขึ้นกับตัวเอง...สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นในตัวเอง...ตรงนี้แหละครับจะเป็นสื่อให้วิญญาณที่ดีมาอาศัยครรภ์กำเนิด...เราก็จะได้บุตร-ธิดาอันประเสริฐมาเลี้ยงดูตามความประสงค์
    ส่วนการที่ อภิชาตบุตร ซึ่งหมายถึงบุตรที่ดีกว่าพ่อแม่ จะมาเกิดกับเราได้หรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกุศลหลาย ๆ อย่างที่เราบำเพ็ญสร้างสมกันมาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ ด้วย
    <O:p</O:p
    ตัวอย่างที่ชัดมีหลักฐานอยู่ในคัมภีร์ เช่นพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายา ทั้งสองพระองค์นี้ที่ได้เป็นพระพุทธบิดาและพระพุทธมารดา ก็เพราะเหตุที่ได้เคยสร้างบุญกุศลมาอย่างอเนกอนันต์ และได้ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นบิดามารดาของผู้ที่จะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้ามานานแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า ผู้จะได้ลูกที่ดีกว่าตัวเองมาก ๆ ย่อมขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ได้สร้างสมอบรมไว้ และต้องทำมานานแล้วด้วย
    ก่อนจากกันวันนี้ ผู้เขียนขอฝาก ข้อคิดเอาไว้สักนิดว่า...การปฏิบัติเรื่องทาน...ศีล เพื่อที่จะให้ได้ลูกที่ดีและมีความสุขความเจริญทั้งครอบครัว เราจะต้องนึกถึงหลักอันนี้ คือจะบริจาคทานอะไรก็ตาม จะถือศีลอะไรก็ตาม อย่านึกถึงแต่เรื่องของตัวเองถ่ายเดียว เราต้องตั้งจิตเป็นกุศลมุ่งหวังที่จะทำประโยชน์ต่อสังคมและผู้อื่นอย่างไรบ้าง<O:p</O:p
    มีบางท่าน ประเภททำบุญให้ทาน รักษาศีล หากนึกถึงแต่เรื่องของตัวเองและทำเพื่อตัวเองเท่านั้น เช่นใส่บาตรก็เพื่อว่าเกิดไปชาติหน้าจะได้มีอาหารกิน และถ้าชอบสิ่งไหนเขาก็จะให้ทานสิ่งนั้น ส่วนคนที่จิตใจกว้างเป็นกุศลจริง ๆ เขาไม่ได้นึกถึงตัวเอง เขานึกถึงว่าในขณะนั้นคนทั้งหลายกำลังเดือดร้อนเรื่องอะไร ต้องการอะไร ก็ช่วยเหลือไปตามนั้น... โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนใหญ่ของตนเป็นสำคัญ

    สิ่งที่บังเกิดจึงเป็น มหากุศล...<O:p</O:p
    มหากุศลได้จากละวางอัตตา ตัวตน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม<O:p</O:p
    กุศลนี้จึงมีกำลังมาก บรรจุได้มากกว่าเป็นธรรมดา...

    ขอขอบพระคุณแหล่งที่มา
    http://www.dhamma5minutes.com/webboa...id=4&wpid=0020
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...