รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    เคยอ่านๆมาเหมือนกันครับแต่ยังไม่แตกฉานแบบนี้
    ทุกแบบที่แสดงมานี้ถึงนิพพานเหมือนนี่นา..ถึงช้าถึงเร็วก็ถึงเหมือนกันใช่ไม๊ครับ
    สำหรับตัวผมเองเกรงว่าเวลาภพชาตินี้จะไม่พอ ขอไปดับการเกิดอีกแบบง่ายๆดีกว่านะครับ..




    ขออนุโมทนาสำหรับความรู้ึีครับ
     
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Mr.Boy_jakkrit<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1766342", true); </SCRIPT> ครับ

    ทุกแบบนั้นถึงพระนิพพานเหมือนกันครับ
    แต่ใช้ระยะเวลา กับมีความยากง่ายไม่เท่ากัน
    เราถนัดแบบนี้ เราฝึกเราก็ว่าง่าย ถ้าคนอื่นที่ไม่ถนัดมาฝึกเขาก็ว่ายาก
    ถ้าเขาถนัดแบบของเขา แต่เราไม่ถนัด เราไปฝึกตามเขามันก็ยาก
    เลือกแบบที่เราชอบ เราถนัดมากที่สุดครับ
    ไม่ต้องเลือกตามผู้อื่น เพราะเราอาจจะถนัดไม่เหมือนเขาก็ได้ครับ

    ขอให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันตามที่ปรารถนานะครับ
     
  3. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]
     
  4. ๑กุหว่าใจ๋๑

    ๑กุหว่าใจ๋๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2006
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,730
    ขออนุญาติเสริมนิดนึงนะครับ ในหลักสูตรของวิชชา3นั้น อาศัยตาทิพย์เป็นฐาน ตามที่น้องชัชได้กล่าวไว้ถูกต้องแล้วครับ ที่จะขอเสร็มคือจะขอชี้ให้เห็นว่า ขั้นเตวิชโชหรือวิชชา3นี้นั้น ต้องได้ญาณ3อย่างเป็นหลักดังนี้ครับ

    1.ปุพเพนิวาสนุสติญาณ คือ สามารถระลึกอดีตชาติของตัวเอง และผู้อื่นได้
    2.จุตูปาปญาณ คือ สามารถรู้เหตุของกรรม และผลของกรรม ที่เกิดขึ้นของตัวเองและผู้อื่นได้
    3.พระอาสวักขยญาณ คือ เครื่องรู้ที่ทำให้กิเลสอาสวะสิ้นไป ทำจิตให้เป็นพระอริยเจ้า

    ซึ่งในญาณทั้งสามอย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ อาสวักขยญาณ มากที่สุดครับ เพราะเป็นญาณที่ดับกิเลสดับภพดับชาติให้สิ้นไป เป็นญาณที่มีอานิสงส์สูงที่สุดครับ

    ขอกราบอนุโมทนากับน้องชัชและทุกท่านที่ใฝ่ธรรมทุกประการครับ
     
  5. teeradetk

    teeradetk สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +8
    .....แก้ไข..... [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มกราคม 2009
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ขอบพระคุณมากครับ ที่ช่วยแจงให้ละเอียดอีกที
    เนื่องจากตัวปุพเพนิวาสนุสติญาณ และจุตูปาปญาณ นั้น
    พอได้ตาทิพย์แล้วมันก็ได้หมดเหมือนกัน เพราะมันก็ใช้กำลังจากตัวเดียวกัน
    จะต่างกันก็แค่เราจะใช้ไปดูอะไรก็เท่านั้นเองครับ
    จึงมีชื่อแตกต่างกันตาม สิ่งที่เราใช้ตาทิพย์ไปดูครับ

    นอกจากนี้แล้วแต่ละวิสัยในการปฏิบัติยังมีวิธีตัดกิเลสที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย

    ในหมวดของสุกขวิปัสสโก ก็จะเน้นไปทางใช้สติปัฏฐาน4 ในการพิจารณาตัดกิเลส
    เพราะว่าเห็นได้โดยไม่ต้องใช้ความเป็นทิพย์

    ในหมวดของเตวิชโช ก็จะเน้นการใช้ความรู้จากตาทิพย์ จากญาณทัศนะในการตัดกิเลส
    คือ จะย้อนไปดูอดีตชาติ ว่าเราเคยเกิดเป็นหมู เป็นหมา เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์นรก คนจน คนรวย เทวดา พรหม เคยมาหมดแล้ว
    จนจิตเห็นความไม่เที่ยงของการเกิด เดี้ยวก็ยิ่งใหญ๋ เดี้ยวก็ตกต่ำ
    จนจิตเบื่อจากการเกิด และปรารถนาพระนิพพานเพียงจุดเดียว เป็นต้น

    ในหมวดของฉฬภิญโญ ก็จะต้องใช้อภิญญา5ข้อ ในการทำให้แจ้งซึ่งอภิญญาข้อที่6 คือพระอาสวักขยญาณ เพื่อตัดกิเลส
    ก็จะเพิ่มจากแทนที่เราใช้ตาทิพย์ ใช้จิตไปดู นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม
    ผู้ทรงอภิญญา5 ก็สามารถที่จะเหาะไปยังแดนต่างๆเหล่านี้ด้วยกายเนื้อ
    และได้เห็น ได้สัมผัส กับสภาวะของการเกิดเป็นสิ่งต่างๆอย่างละเอียด
    จนจิตเกิดความเบื่อหน่ายเห็นความไม่เที่ยงของการเกิด
    ไปเที่ยวมาทุกภพ จบทั้งสังสารวัฏแล้ว มันก็งั้นๆน่ะแหละ สู้พระนิพพานไม่ได้
    จิตก็ตัดจากิเลส ปรารถนาพระนิพพานจุดเดียว ประมาณนี้ครับ

    ในหมวดของปฏิสัมภิทัปปัตโต ก็จะต้องใช้อรูปฌาณในการพิจารณาตัดกิเลส
    คือเปรียบเทียบสภาวะของสังสารวัฏ ว่าไม่เที่ยง แล้วก็ต้องสลายหายไป
    เหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าเหมือนดังอรูป
    แล้วก็ใช้อรูปฌาณ ใช้ ระเบิด คลาย สลาย สังโยชน์ออกไปทีละข้อๆ จนครบสิบ
    แล้วก็อนุโลม ปฏิโลม ย้อนไป ย้อนมา ล้างกิเลสย้อนไป ย้อนมา
    จนตัดสังโยชน์ขาดถาวร
    ถ้าได้อรูปแล้ว ความเป็นพระอรหันต์นี่ทำได้ไม่ยากครับ ตามตำราก็บอกเอาไว้

    วิธีการตัดกิเลสเอง
    ก็มีหลากหลายวิธีตามแต่จริตของคน
    ที่ผมอธิบายเอาไว้ก็เป็นเพียงคร่าวๆ วิธีจริงๆมีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่อาจจะอธิบายได้หมด

    ขอให้ทุกๆคนเลือกวิธีที่เหมาะกับเรามากที่สุดนะครับ
    จะได้สามารถปฏิบัติได้ง่าย สั้นลัด และรวดเร็วกันทุกๆคนครับ
     
  7. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ไม่ได้มาอ่าน นาน เนื้อหายัง ดีเหมือนเดิมครับ
    มีปัญหามาสอบถามอีกแล้ว (จากประสบการณ์ส่วนตัวและความถนัดส่วนตัวครับ)

    การจับภาพพระพุทธรูป ใสเป็นเพชร นี้เป็นกสิณ ใช่หรือเปล่าครับ
    สามารถใช้ กสิณป้องกันภัย ไม่พึ่งประสงค์ได้ หรือเปล่าครับ เช่น กุนไสย ผี หรือแม้แต่ อื่น ๆ ที่รับรู้ได้และไม่ได้

    ระหว่าง เจริญกรรมฐาน อาจจะถูกสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น รบกวนได้หรือเปล่าครับ จะถือว่าเป็นมารหรือมาขอส่วนบุญครับ

    มีวิธีการ ป้องกันยังไงครับ

    จะเล่าเนื้อหาสักเล็กน้อยครับ
    พอดีว่า เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี้ มีเพื่อน ๆ คุณแม่มาที่บ้าน มีชายคนหนึ่ง มองมาที่ผมด้วยแปลก ๆ ผมก็มองเขาแปลก ๆ
    เพื่อความไม่ประมาณ จับภาพพระ แล้วไป พระนิพพาน ขอบารมี พระพุทธรูปปางพระนิพพาน ครอบบ้าน และทุกห้อง ลอยเด่นชัด ทุก ๆ ห้อง และยันต์เกราะเพชร ทุกประตู (รายละเอียด Xorce เคยสอนผมไว้ในกระทู้ครับ)
    ตัวผมก็ ทรงภาพพระไว้ และก็ไปนอกบ้านครับ

    ผลลัพธ์
    ผมก็ไปกราบพระห้องพระตามปกติ รู้สึกเหมือนพระพุทธองค์ ทรงนั่งประทับ อยู่จริง ๆ ขณะที่ผมกราบ เหมือนได้กราบเท้าจริง ๆ (ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อนะครับ) ผมตื้นตันใจ จนน้ำตาจะไหล(แต่ไม่ไหล) ครับ

    มีสักเรื่องครับ
    ผมกำลังขับมอเตอร์ไซด์ กลับบ้าน จิตมันสบายหรือยังไงไม่รู้ แปปเดี่ยว จิตไปไหนไม่รู้ เห็นภาพหลวงพ่อ ผมก็นึง งง ๆ ในใจ ยังไม่ทันได้คิดอะไร ได้ยินเสียงตอบ กลับมาว่า "มั่วงง อะไรอยู่ได้" เป๊ก! ถึงบ้าน ก็ยัง งง ๆ เหอะ ๆ

    ที่เล่ามานี้ เพื่อเป็น วิทยาทาน ธรรมทาน ครับ
    เพราะผม จะไม่ค่อยเหมือน ชาวบ้านเขา แปลกตรงตัวว่า โง่ครับ
    เพื่อใครเป็นเหมือนผม และยัง หลง ๆ อยู่ ลองมาอ่านดูนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2009
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    การจับภาพพระพุทธรูป ใสเป็นเพชร นี้เป็นกสิณ ใช่หรือเปล่าครับ
    เป็นกสิณครับ
    สามารถใช้ กสิณป้องกันภัย ไม่พึ่งประสงค์ได้ หรือเปล่าครับ เช่น กุนไสย ผี หรือแม้แต่ อื่น ๆ ที่รับรู้ได้และไม่ได้
    ได้ครับ ขอบารมีนำภาพพระมาครอบตัวเราไว้อย่างที่ทำน่ะครับ

    ระหว่าง เจริญกรรมฐาน อาจจะถูกสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น รบกวนได้หรือเปล่าครับ จะถือว่าเป็นมารหรือมาขอส่วนบุญครับ
    มารบกวนได้ครับ มาได้หลายประเภท มาได้ทุกรูปแบบ
    ทั้งหวังดี ไม่หวังดี ขอส่วนบุญ และก่อกวน

    มีวิธีการ ป้องกันยังไงครับ

    ขอบารมีพระเหมือนเดิมครับ ขอให้คลุมทั้งห้องหรือบริเวณที่เจริญพระกรรมฐาน
    และแผ่เมตตาไปให้ผู้ที่มา ถ้าเขาแค่ขอส่วนบุญ พอแผ่เมตตาก็จะไปแล้วครับ

    มีชายคนหนึ่ง มองมาที่ผมด้วยแปลก ๆ ผมก็มองเขาแปลก ๆ
    เมื่อจิตของเราดีขึ้น ละเอียดขึ้น คนที่เขามีจิตที่เป็นขั้วตรงกันข้ามกับเรา ก็จะสัมผัสได้ และเหมือนมีคลื่นที่ต้านกัน ทำให้รู้สึกตะหงิดใจทั้งสองฝ่าย
    ทั้งนี้อาจจะแปลว่าบุคคลนั้น มีจิตที่ไม่หวังดี ฝึกวิชาประหลาดๆที่ตรงกันข้ามกับความดี หรือมีจิตที่ไม่สะอาด

    เพื่อความไม่ประมาณ จับภาพพระ แล้วไป พระนิพพาน ขอบารมี พระพุทธรูปปางพระนิพพาน ครอบบ้าน และทุกห้อง ลอยเด่นชัด ทุก ๆ ห้อง และยันต์เกราะเพชร ทุกประตู (รายละเอียด Xorce เคยสอนผมไว้ในกระทู้ครับ)
    ตัวผมก็ ทรงภาพพระไว้ และก็ไปนอกบ้านครับ
    ดีแล้วครับ ถือว่าทำได้ดีมาก อันนี้เป็นการขอบารมีพระ เพื่อปกป้องคุ้มครองครับ
    สามารถกันได้ทุกอย่างครับ ถ้าเราศรัทธาในพระรัตนตรัยจริงๆ


    ผมก็ไปกราบพระห้องพระตามปกติ รู้สึกเหมือนพระพุทธองค์ ทรงนั่งประทับ อยู่จริง ๆ ขณะที่ผมกราบ เหมือนได้กราบเท้าจริง ๆ (ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อนะครับ) ผมตื้นตันใจ จนน้ำตาจะไหล(แต่ไม่ไหล) ครับ
    รู้สึกไหมว่าท่านลูบศรีษะเราด้วย ถ้ายังไม่รู้สึกลองกราบใหม่ครับ

    ตอนนี้เรากำลังพัฒนาไปสู่ความดีที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
    ขอให้รักษาความดีที่ได้เข้าถึงแล้ว เอาไว้ได้ตลอดไป
    และมีพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2009
  9. kurochang

    kurochang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +111
    เรื่องน้ำตาไหลหรือร้องไห้ ผมร้องมาเยอะละคับ และทุกครั้งมันจะคุมตัวเองไม่ได้
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ kurochang ครับ
    เรื่องน้ำตาไหลหรือร้องไห้ ผมร้องมาเยอะละคับ และทุกครั้งมันจะคุมตัวเองไม่ได้

    น่าจะเป็นอาการของปีติครับ มันจะอยู่ไม่นานครับเดี้ยวก็หายครับ
    ส่วนมากจะเกิดเวลาทำบุญ หรือปลื้มใจ
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2009
  11. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ผมไปฝึก ญาณ8 ที่บ้าน สายลมทุกเดือนครับ
    แต่ว่า ไม่ค่อยจะก้าวหน้าเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่ขึ้นลงพระจุฬามณี และ พระนิพพาน
    ได้ค่อยข้างคล่องระดับหนึ่ง แต่ก็แปลก ตรงที่ เวลาเริ่มใช้ ญาณตัวอื่น ๆ ไม่ค่อยจะถูกสักเท่าไหร่ หรือบางครั้ง บนพระนิพพาน ก็ไม่เหมือนกัน

    รบกวนแนะนำ วิธีการใช้ ญาณ8 ด้วยครับ
    ขอบคุณ

    สำนักท่านพระยายมราช ทุกวัน นี้ผม ก็เห็นภาพมั่ว ๆ งง ๆ เหมือนกัน ว่าเป็นที่เดี่ยว ที่ไปไม่ค่อยจะได้ครับ
    รบกวนแนะนำด้วยครับ

    ขอบคุณ
     
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ความแจ่มใสของญาณ8 นั้นขึ้นอยู่กับหลายอย่าง
    เดี้ยวผมจะให้ดูว่ามีอะไรบ้าง แล้วก็ลองไล่ดูนะครับ ว่าเราทำข้อนี้ๆได้รึยัง
    1.เราจะต้องทรงภาพสกิณ ภาพพระพุทธเจ้าเป็นเพชร ได้อย่างชัดเจนแจ่มใส
    2.เราจะต้องเจริญวิปัสสนาญาณ ตัดกิเลส ตัดร่างกาย ยิ่งมากยิ่งแจ่มใส
    3.การตั้งกำลังใจ การขอบารมีพระ เราทำเพื่อเป็นการเรียนรู้ เพื่อเป็นการละกิเลส มิใช่เพื่ออวดคุณวิเศษ หรือให้ใครยกย่องเรา แล้วให้ตั้งจิตขอบารมีพระพุทธเจ้า ให้พระองค์เมตตาสงเคราะห์ ให้เราสามารถเห็นได้ชัดเจนแจ่มใส
    4.การรู้เห็นทั้งหมด เป็นบารมีของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของเรา
    ยิ่งศรัทธาพระองค์มาก ยิ่งชัดเจนแจ่มใส
    5.จับความรู้สึกแรก ถ้าตอบไม่ถูก ให้ตั้งกำลังใจตัดกิเลส ตัดร่างกายใหม่
    อย่าเสียกำลังใจ หรือหดหู่ รู้อะไรตอบไปเรื่อยๆ ตอบผิดตอบถูกได้ แต่ต้องตอบ
    6.มันผิดกันได้เพราะเราไม่ใช่พระอริยเจ้า เข้าใจหรือยังว่าหมอดู ดูมั่วบ่อยแค่ไหน
    ถ้าเราทำจิตให้เป็นพระอริยเจ้า หรือมีอารมณ์คล้ายพระอริยเจ้าได้
    ความแจ่มใสจะเกิดขึ้นทันที
    7.ให้ใช้อยู่เสมอๆ ว่างๆก็ไปขอบารมีพระ ไปหาท่านพญายามราช แล้วขอดูอดีตชาติ ว่าเคยลงนรกมากี่รอบ เป็นอสุรกายกี่รอบ เปรตกี่รอบ สัตว์เดรัจฉานกี่รอบ
    จิตจะได้เห็นทุกข์ และเบื่อที่จะเกิด
    แล้วก็มาไล่ดูชาติที่เราเกิดเป็นนู่นนี่ ที่ยิ่งใหญ่บ้าง ตกต่ำบ้าง
    แล้วเห็นไหมว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ถ้าไม่ถึงพระนิพพานมันก็ตายหมด เสื่อมหมด
    แล้วเราจะยึดมันทำไม เราจะเกาะจุดเดียวคือพระนิพพาน
    8.เช็ค ทาน ศีล ว่าครบไหม ถ้าไม่ครบก็จะมัว
    9.เช็คว่ามีเรื่องกวนใจเรา มีนิวรณ์5 ให้มันฟุ้งซ่านเล่นหรือเปล่า ถ้ามีก็จะมัว
    10.เจริญเมตตาสม่ำเสมอ จิตจะแจ่มใสมาก ยิ่งเมตตาสูงยิ่งแจ่มใส
    เป็นเหตุให้คนในศาสนาอื่นที่เจริญเมตตา ก็ได้ตาทิพย์เหมือนกัน
    11.จะรู้อะไรก็ วางไว้ก่อน อย่าพึ่งเชื่อไม่เชื่อ ถ้าเป็นเรื่องจริง เดี้ยวจะอะไรมายืนยันเอง

    จริงๆมีเยอะกว่านี้แต่ผมนึกออกประมาณเท่านี้ครับ
    หลักการสำคัญสุด ก็คือ จิตยิ่งสะอาดจากกิเลส ความแจ่มใสยิ่งมาก และเราขอบารมีพระพุทธเจ้าไม่ใช้กำลังของตัวเราเอง เผลอถ้าใช้กำลังตัวเองจะมั่วเลยครับ

    ขอให้มีความแจ่มใส สามารถเห็นแจ้งแทงตลอดพ้นจากอาสวะได้อย่างง่ายดายนะครับ
     
  13. Pink_Angel

    Pink_Angel Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +69
    อยากไปบ้านสายลมค่ะ เดือนนี้จัดวันที่เท่าไหร่คะ พอจะทราบมั๊ยคะ
     
  14. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เดือนนี้จัดไปแล้ว เมื่อวันที่3 กับ 4 ครับ
    ครั้งต่อไปจะจัดวันที่ 31 ม.ค. กับ1 ก.พ.ครับ

    ถ้าว่างแนะนำให้ไปครับ
    จะจัดทุกเสาร์-อาทิตย์ต้นเดือนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2009
  15. อนันตะดา

    อนันตะดา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีค่ะ ดิฉันเริ่มนั่งสมาธิมาได้ประมาณเดือนกว่าแล้วค่ะแรกๆก็เริ่มจาก 5 นาที ไป15นาที ตอนนี้ก็ 20 ถึง เกือบชั่วโมงแล้วค่ะ แรกๆก็เกิดอาการคันตามผิวหนังก็คันหนอๆไปเรื่อยๆก็หาย มีปิติเกิดขึ้นคืออาการโยกไปมาก็ตามสังเกตไปแต่อาทิตย์ที่ผ่านมาโยกมากเลยค่ะ หลังจากนั้นก็ตัวชาๆน่ะค่ะบางทีก็รู้สึกแปล็บๆ ครั้งหนึ่งหยุดหายใจไปอึดใจนึงก็เลยลองไม่หายใจแต่กลับเหมือนว่าเรากลั้นหายใจตัวเองเลยต้องผ่อนออกมาตกใจหมดเลยค่ะ บางทีก็ลืมกำหนดพุทโธไปเอง เมื่อสองวันก่อนมีอาการสะดุ้งค่ะจากการที่เรานั่งสมาธิอยู่ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไรคะ แล้วขั้นนี้ถ้าเราหยุดภาวนาพุทโธควรจะหยุดไหมคะแล้วกำหนดลมหายใจเข้าออกเอง หรือว่าดิฉันยังต้องภาวนาพุทโธต่อไปคะ คือว่าหัดนั่งเองที่บ้านน่ะค่ะ แล้วจากระยะเวลาเดือนกว่าๆ ที่ทำมาได้เท่านี้ถือว่าดีพอไหมคะ แบบว่าทำงานหกวันกลับบ้านตอนกลางคืนเลยทำตอนกลางคืนก่อนนอนเป็นบางวันเท่านั้น วันที่ใจสบายก็จะทำน่ะค่ะเพื่อนเคยแนะนำไว้
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ อะนันตะดา ครับ
    ตอนนี้ให้ลองหันมาจับลมหายใจเข้าออกครับ จะพุทโธควบไปด้วยหรือไม่ก็ได้ครับ
    พอไปถึงจุดหนึ่งก็ให้เหลือแต่จับลมหายใจครับ
    จับไปซักพัก ลมหายใจจะช้าลงๆ สั้นลงๆจนลมหายใจหยุดไป แล้วก็ให้ประคองความนิ่งเอาไว้ซักระยะหนึ่ง

    ครั้งหนึ่งหยุดหายใจไปอึดใจนึงก็เลยลองไม่หายใจแต่กลับเหมือนว่าเรากลั้นหายใจตัวเองเลยต้องผ่อนออกมาตกใจหมดเลยค่ะ
    ตอนนี้ยังวางอารมณ์หนักไปนิดนึงครับ พอลมหยุดมันจะเลยเหมือนกลั้น
    ต้องทำใจให้สบายกว่านี้อีกครับ

    เมื่อสองวันก่อนมีอาการสะดุ้งค่ะจากการที่เรานั่งสมาธิอยู่ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไรคะ
    สะดุ้งที่ว่านี้ น่าจะเกิดจาก อาการเรารู้สึกเคลิ้มๆคล้ายจะหลับ แล้วเราก็ดึงสติกลับมา

    วิธีแก้อาการที่คล้ายกลั้นลมหายใจก็คือ ก่อนจะเริ่มทำสมาธิ จับลมหายใจ
    ให้เราหายใจเข้าลึกๆ แรงๆ ภาวานาพุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆซ้ำไปซ้ำมา กลั้นเอาไว้10วินาที หายใจออก ทำซ้ำ10ครั้งครับ
    แล้วจะจับลมหายใจได้สะดวกขึ้นครับ

    ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่งแล้วครับ แต่เราจะต้องทำต่อไปครับ
    อันนี้ยังถือว่าอยู่ในระดับต้นครับ
    เนื่องจากทำงานกลับมา บางครั้งเวลานั่งสมาธิ มันจะมีอาการล้า เหนื่อย หรือง่วง
    ดังนั้นให้เราลองฝึก ภาวนาพุทโธ หรือจับลมหายใจเอาไว้ทั้งวันดูครับ
    อย่าทำเฉพาะตอนที่กลับมาจากงาน แต่ให้เราทำเอาไว้ทั้งวันครับ แล้วมันจะไปได้เร็วกว่าเยอะครับ ค่อยๆทำไปครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  17. อนันตะดา

    อนันตะดา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +12
    ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
     
  18. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    จะสังเกตและดูได้อย่างไรว่า สิ่งที่เห็นหรือได้ยิน นั้นคืออุปทาน ที่คิดขึ้นเองหรือเปล่า
    เช่น

    อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงในใจ เป็นเสียงให้ช่วย เราก็ ถามและโต้ตอบ กันไปเรื่อย ๆ แต่นั้นคือ อุปทาน ตอบกันเองของเราหรือเปล่า

    ขอบคุณครับ
     
  19. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,239
    เวลา นั่งสมาธิ และ ตามจิต
    กำหนด ยุบหนอ พองหนอ
    บางวัน นั่งได้นาน และดิ่ง ครับ
    แต่ บางวัน นั่งไม่นาน ตามจิตไม่ทัน
    ต้อง ออกมาตามลมหายใจใหม่ เลย ไม่ต่อเนื่อง

    จะแก้ไขยังไงครับ
     
  20. แว๊ด

    แว๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    982
    ค่าพลัง:
    +509
    รบกวนถามหน่อยค่ะ

    คือว่า เป็นคนขี้เกียจ ชอบนอน บริกรรมพองยุบ หลับหรือเปล่าไม่รู้ แต่มันได้ยินเสียงอยู่ตลอด อันนี้ไม่เท่าไหร่ ตอนนอน ๆ บริกรรมอยู่นั้น รู้สึกอะไรวิ่งมาทางด้านหลังศรีษะ จากนั้นเลยบังคับให้มันวิ่งผ่านศรีษะ ออกมาทางระหว่างคิ้ว สรุปว่า

    รู้สึกว่าหน้าตัวเอง ออกมาจากระหว่างคิ้ว กับที่เคยบอกกับ คุณ Xorce ว่าได้ยินเสียงทางกระโหลก จากนั้นก็ไม่ได้ยินอีกน่ะค่ะ แต่จะได้ยินเสียงเหมือนอยู่ปลาย ๆ หู บ่อย ๆ

    อีกหน่อยค่ะ คือว่าวันนี้ก็นอนบริกรรมเหมือนเดิม แต่ว่า ขณะที่นอนอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงปกติ แต่พอมีใครเปิดปิดประตู หรือทำอะไรที่มันชัดเจน ไม่ถึงกับต้องเสียงดังมาก ข้างในมันกระเพื่อมน่ะค่ะ อย่างใครพูดใกล้ ๆ มันไปรู้สึกว่ามีคลื่นมากระทบแล้วข้างในมันก็สั่นกระเพื่อมนะคะ อธิบายยาก อธิบายไม่ค่อยจะถูกค่ะ

    กับเคยนอน ๆ อยู่เหมือนเดิม(ชอบเป็นตอนนอนเล่น) รู้สึกที่ลิ้นปี่มันหมุน หมุนเป็นวงกลมเลยนะคะ แต่แป๊บเดียวไม่นาน พอสนใจก็ปกติ แต่หลายวันมานี้ที่ลิ้นปี่กระเพื่อมอยู่เรื่อย ๆ แล้วไล่ไปตามร่างกายเบา ๆ ไม่ทราบคุณ Xorce เข้าใจหรือเปล่านะคะ อธิบายไม่ค่อยถูก

    ขอบคุณค่ะ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...