รูปหลังตะกรุดสามกษัตริย์ลพ.แพ ล๊อคเก็ตหลวงพ่อเสียนวัดมะนาวหวาน

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    หลวงพ่อสนิท-วัดลำบัวลอย-3.jpg
    หลวงพ่อสนิท ยสินฺทโร วัดลำบัวลอย พระเกจิคณาจารย์ชื่อดังผู้สร้างตำนานจระเข้โทนอันดับหนึ่งของเมืองไทย จ.นครนายก
    ◉ ชาติภูมิ
    หลวงพ่อสนิท ยสินฺทโร วัดลำบัวลอย นามเดิมชื่อ “สนิท มีพงษ์” เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๘ ณ บ้านบางกุ้ง ต.บางกุ้ง อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี บิดาชื่อ “นายบุญ มีพงษ์” และมารดาชื่อ “นางเรือง มีพงษ์” มีพี่น้อง จำนวน ๗ คน ท่านเป็นบุตร คนที่ ๔
    ๑.นางบุญเรือน
    ๒.นางทองชุบ
    ๓.นางละม้าย
    ๔.พระครูวรเวทย์นิวิฐ (หลวงพ่อสนิท)
    ๕.นางจิต
    ๖.นางลำจวน
    ๗.นางเตี้ย
    หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย ท่านกำพร้ามารดาเมื่อยังเยาว์วัย ต่อมาบิดา ถึงแก่กรรมได้ย้ายมาอยู่กับพี่สาวที่ บ้านลำบัวลอย ตำบลท่าเรือ อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก
    ◉ อุปสมบท
    เมื่อครบอายุบวชท่านได้อุปสมบทที่วัดท่าเรือ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๑ โดยมี พระครูอุทัยธรรมธารี (หลวงพ่อตี่ สุริยวงศ์สวัสดี) วัดท้าวอู่ทอง จ.ปราจีนบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการจรูญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการทองพูนเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ยสินฺทโร”
    และได้จำพรรษา อยู่ที่วัดลำบัวลอยซึ่งวัดนี้ตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๐ ยังเป็นวัดเล็กๆตั้งอยู่กลางทุ่งนา ระหว่างวัดเกาะกา ( ตั้งอยู่บ้านเกาะกา หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าเรือ อำเภอบางพลี จังหวัดนครนายก ) ขณะนั้นวัดลำบัวลอย ยังอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และ การคมนาคม ก็ยังไม่สะดวกสบาย เหมือนดังทุกวันนี้ เพราะเพิ่งเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ และ สงครามมหาเอเซียบูรพา
    ด้วยความอุตสาหะสนใจในการศึกษาของหลวงพ่อ ต้องเดินทางด้วยเท้าเป็นเวลานานไปร่ำเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณกับพระอุปัชฌาย์ของท่าน รวมถึงเรียนวิชาอาคมกับ หลวงพ่อดํา วัดกุฏิ (ที่สร้างพระปิดตาพิมพ์ปักเป้าอันโด่งดัง) และยังได้เรียนวิชาการ สร้างจระเข้โทนจากพระอาจารย์เส็ง วัดสันทรีย์ (เป็นลุงแท้ๆ ของหลวงพ่อ) จนท่านมีความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมแขนงต่างๆ และได้ออกธุดงค์เพื่อฝึกจิตใจและได้เรียนวิชาเพิ่มเติมจากอีกหลายๆ พระเกจิอาจารย์
    ◉ การศึกษาด้านวิทยาคม
    หลวงพ่อสนิท มีความสนใจทางโหราศาสตร์ และทางไสยศาสตร์ จึงได้เสาะหาอาจารย์ เพื่อร่ำเรียน คัมภีร์เลขยันต์ คาถาอาคม สรรพวิทยาคุณต่างๆ และ แพทย์แผนโบราณ จนแตกฉาน ชำนิ ชำนาญ ในการแก้คุณไสย การถูกกระทำย่ำยีจากศัตรู รอบรู้การแก้ สรรพพิษ ยาเบื่อ ยาเมา ยาสั่ง ตลอดจนคนที่มีอาการผิดปกติ ทางประสาท ท่านก็เมตตารักษา โดยท่าน ไปขอร่ำเรียนจากครูบาอาจารย์ดังต่อไปนี้
    ๑. พระอาจารย์เส็ง ซื่อสัตย์ วัดสันทรีย์ วิชาจระเข้
    ๒. พระครูอุทัยธรรมธารี (หลวงพ่อตี่ สุริยวงศ์สวัสดี) วัดท้าวอู่ทอง จ.ปราจีนบุรี วิชาแพทยแผนโบราณ
    ๓.หลวงพ่อทองดำ วัดโคกหม้อ จ.นครสวรรค์ เรียนวิชาวิทยาคม และ ตำรายาไทย การสูญฝี และ การรักษาโรคต่างๆ
    ๔.หลวงพ่อดำ วัดกุฎิ หรือ วัดศรีมงคล ชื่อเดิม คือ วัดกฎิศรีธรรม จ.ปราจีนบุรี เจ้าตำหรับ การสร้างพระปิดตา ตะกั่วดำ พิมพ์ปักเป้า อันลือเลื่อง การป้องกันยาสั่ง และ คงกระพันชาตรี
    ตลอดเวลาท่านจะกลับมาพัฒนาวัดลําบัวลอยจนมีความเจริญรุ่งเรือง มีลูกศิษย์ให้ความเคารพนับถือ ช่วงที่ได้ปกครองวัดจะมีชาวบ้านเดินทางมาหาให้ท่านช่วยในสิ่งเดือดร้อนต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการดูดวงชะตา และรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ของท่านเข้มขลังยิ่งนัก รวมถึงวัตถุมงคลที่ช่วยในเรื่องการค้าขายจะมีลูกศิษย์เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปหาท่านบ่อยๆ และท่านมักจะรู้จิตใจของผู้ที่ไปหาว่าต้องการมาพบให้ช่วยเรื่องใด สร้างความแปลกใจให้กับผู้ที่เดินทางไปหา และหลวงพ่อก็ช่วยเหลือสงเคราะห์ให้จนบอกกล่าวต่อๆ กันไปทําให้ท่านมีผู้คนเคารพนับถือเป็นจํานวนมาก และได้เดินทางมาร่วมทําบุญกับหลวงพ่อ ทําให้ท่านบูรณะวัดลําบัวลอย และวัดใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี
    ด้วยคุณงามความดีของท่านเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ “พระครูวรเวทย์นิวิฐ” และได้ตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์รวมถึงเป็นเจ้าคณะตําบลท่าเรือตามลําดับ
    มรณภาพ
    หลวงพ่อสนิท ยสินฺทโร วัดลำบัวลอย นับเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความเมตตากรุณาต่อลูกศิษย์เป็นอย่างยิ่งโดยไม่เลือกว่าผู้ที่มาหาจะยากดีมีจนอย่างไร จนเมื่อถึงปี พ.ศ.๒๕๔๒ วันที่ ๑๔ มีนาคม ท่านมรณภาพอย่างสงบรวมสิริอายุได้ ๗๔ ปี พรรษา ๕๑
    หลังจากนั้นอีกสองปีได้มีงานพระราชทานเพลิงศพที่วัดลําบัวลอย ในวันอาทิตย์ที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๔
    ด้านวัตถุมงคล
    ในบรรดาเครื่องรางที่หลวงพ่อสนิท ได้จัดสร้าง ซึ่งมีทั้ง จระเข้ พญาเต่าเรือน นกสาริกา สะดือหนุมาน และ ฯลฯ ต่างมีอภินิหาร เป็นที่ประจักษ์มากมาย มีประสบการณ์เล่ากันมาคือเรื่องของพญาเต่าเรือน พญาเต่าเรือนของหลวงปู่สนิท จะแตกต่างจากของที่อื่น กล่าวคือท่านใช้หินแกะเป็นพญาเต่า ซึ่งท่านได้สร้างมาเรื่อยๆ มีหลายขนาดตั้งแต่ขนาดห้อยคอจนกระทั่งถึงขนาด ๓-๔ คนยก รุ่นที่ไม่ใช่หินแกะจะมีพญาเต่าเรือนกริ่งขนาดห้อยคอ และพญาเต่าเรือนขนาดบูชารุ่นสุดท้ายที่สร้างจากเนื้อโลหะ พญาเต่าเรือนนี้หลวงปู่จะสร้างอย่างพิถีพิถัน ตามตำนานโบราณ สมัยพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาเต่าเรือน ปลุกเศกกระทั่งมีชีวิตจริงจึงถือว่าเสร็จพิธี ด้วยพลังจิตอันเข้มแข็งที่อัญเชิญพระพุทธบารมีลงมาประดิษฐานในพญาเต่าเรือน ทำให้เกิดอัศจรรย์แก่ศรัทธาญาติโยมที่นำไปบูชาเป็นอันมาก เช่นการทำมาค้าขายมีสภาพคล่อง มีลูกค้าและยอดขายเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และปาฏิหาริย์ที่ข้าพเจ้าและอีกหลายๆ คนได้ประจักษ์และเกิดปิติก็คือ การมีพระธาตุเสด็จมาเกาะที่กระดองพญาเต่าเรือน และการที่พญาเต่าเรือนหันเปลี่ยนทิศทางได้เองเป็นประจำ ในเรื่องของพระธาตุปาฏิหาริย์นอกจากจะเกิดที่พญาเต่าเรือนแล้ว ยังเกิดกับวัตถุมงคลที่ท่านสร้างอย่างอื่นๆ ด้วย เช่นที่ จระเข้จันทร์เพ็ญ และพระบูชาปางเปิดโลก เป็นต้นฯลฯ
    จากใบปลิวที่ทางวัดจัดสร้างแจกพร้อมตัวจรเข้โทน บอกสรรพคุณการบูชาเอาไว้ว่า
    มีมหาอํานาจ คุ้มครองป้องกัน แคล้วคลาดภยันตรายต่างๆ คุ้มครองป้องกัน ภูติผีปีศาจเกรงกลัว แก้กันเสนียดจัญไร ถอดถอนเสน่ห์ยาแผดต่างๆ โดยการอาราธนาแช่ลงในน้ำ แล้วเอาน้ำนั้นมารับประทานและอาบ มีอํานาจทั้งทางสัตว์น้ำ และสัตว์บก ทางเมตตา ค้าขาย
    ◉ คาถาอาราธนาจรเข้โทน หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย
    “อมปลุกพญากุมภา ลุกแล้วอย่าไปที่อื่น ตื่นแล้วจงมารักษาค้า คุ้มครองกายาทั่วสารพังกาย พุทธัง สะระณังเมสิทธิ ธัมมังสะระณังเมสิทธิ สังฆังสะระณังเมสิทธิ พุทธังเอหิมาเรโส ธัมมังเอหิมาเรโส สังฆังเอหิมาเรโส พุทธังกุมภีโรโจรังคงคังปิติอิ ธัมมังกุมภีโรโจรังคงดังปิติอิ สังฆังกุมภีโรโจรังคงคังปิติอิ”
    ปลุกคาถา ๓ คาบ ๗ คาบ หรือจะใช้อย่างย่อก็ได้คือ “อิสวาสุ” ท่องเป็นประจําจะได้ผลดี
    จระเข้โทน หลวงพ่อสนิท นับเป็นเครื่องรางที่น่าบูชาติวตัวเป็นที่สุด ด้วยพกพาง่ายใส่กระเป๋ากางเกง หรือสุภาพสตรีใส่กระเป๋าสะพายติดตัวเอาไว้เป็นดี เดินทางไปไหนปลอดภัยมั่นใจได้ ปัจจุบันรุ่นสองและรุ่นสามราคายังไม่แรงน่าสะสมเป็นยิ่งนัก
    ด้วย หลวงพ่อสนิท วัดลําบัวลอย ได้รับการยกย่องว่าท่านมีวิชาอาคมสูง ปลุกเสกเครื่องรางได้ขลังยิ่ง เป็นที่กล่าวขานถึงผู้ที่ได้บูชาเครื่องรางของท่านว่าดีจริงเห็นผลได้จริง จึงเป็นหนึ่งในเครื่องรางที่อยากนําเสนอให้ทุกท่านหามาบูชาติดตัวแล้วจะรู้ว่าทําไมนักสะสมที่มีชื่อเสียง หรือ เซียนพระชื่อดังมีเครื่องรางของขลังราคาแพงหลายๆ ท่านยังไม่พลาดบูชาของขลังของหลวงพ่อสนิทด้วยความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ 108 พระเกจิ

    พระผงประทานพรหลวงพ่อสนิทวัดลำบัวลอยปี 2522 ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20230926_022821.jpg IMG_20230926_022850.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2023
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    พระผงประธานพระซุ้มจรเข้ หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย ให้บูชา 300 บาท ค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20230926_023748.jpg IMG_20230926_023844.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2023
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    วัตถุมงคลหลากหลายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศครับค่าจัดส่งต่อครั้ง 30 บาท จะกี่องค์ก็ 30 บาทต่อครั้ง
    บัญชีธนาคาร กรุงไทย 125-00-89-239
    Supachai thu
    โอนแล้วแจ้งบอก ทางข้อความ พร้อมที่อยู่จัดส่ง ป้อง กัน การเอาข้อมูลจากมิจฉาชีพครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    2778-aea8.jpg

    หลวงปู่โทน กันตสีโล (พระครูพิศาลสังฆกิจ)
    วัดบูรพา บ้านสะพือ ต.สะพือ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี
    โดย สุรสีห์ ภูไท นิตยสารโลกทิพย์ พ.ศ. ๒๕๒๙
    โพสต์ในเว็บชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
    โดย คนชอบพระ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔

    ชาติกำเนิด
    หลวงปู่โทน นามเดิมชื่อ โทน นามสกุล หิมคุณ
    เกิดเมื่อเดือนอ้าย ขึ้น ๑๔ ค่ำ วันจันทร์ ปีระกา
    ตรงกับวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๐
    ท่านมีพี่น้องด้วยกันเพียง ๒ คนเท่านั้น ท่านเป็นคนโต
    เกิดที่บ้านสะพือ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี
    ถึงแม้อายุของท่านจะมากถึง ๘๙ ปีแล้วก็ตาม (ขณะที่มีการบันทึกชีวประวัติ)
    แต่ความจำต่างๆ ท่านยังจำได้แม่นยำ
    ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่สุดที่ผู้มีอายุมากถึงเพียงนี้จะมีความจำเป็นเลิศเช่นนี้
    ภูมิหลังครั้งเด็ก
    หลวงปู่โทน ท่านมีเมตตาเล่าให้ฟังถึงในสมัยเป็นเด็กของท่านว่า
    “อาตมาเป็นคนโต บิดาจึงตั้งชื่อให้ว่า โทน
    ซึ่งที่แรกท่านคงคิดว่าจะมีลูกคนเดียว แต่ต่อมาก็ได้น้องเกิดขึ้นมาอีกคน”
    “สมัยหลวงปู่เป็นเด็ก ได้เรียนหนังสือที่ไหนครับ”
    “ในสมัยนั้นไม่ได้เข้าโรงเรียนหรอก เพราะอยู่บ้านนอกที่ห่างไกลความเจริญมาก
    วันๆ ก็เลี้ยงควาย ทำนา และหาปูหาปลามารับประทานกันตามมีตามเกิด
    เพราะย่านนั้นมีแต่ความแห้งแล้งเป็นประจำ มีแต่ป่าแต่เขา
    ถ้าจะเรียนรู้ การอ่าน การเขียนหนังสือ
    ก็ต้องอาศัยพระเณรที่วัดใกล้บ้านนั่นแหละเป็นผู้สอนให้”
    “หลวงปู่บวชมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
    “บวชมาตั้งแต่อายุได้ ๑๕ ปีโน่นแล้วบวชเป็นเณรที่วัดบ้านเกิดนั่นเอง
    ไม่ได้ไปบวชที่ไหนหรอก บวชตามประสาบ้านนอก
    ผ้าสบงจีวรก็ขอเอากับพระในวัด ไม่ได้ซื้อ
    และท่านก็ให้มาชุดเดียวเท่านั้น”
    หลวงปู่ท่านกล่าวตอบอย่างซื่อๆ
    ได้เรียนรู้เมื่อบวช
    หลวงปู่โทน ท่านเปิดเผยให้ฟังต่อไปอีกว่า
    “ในสมัยนั้น พ่อแม่มักจะให้ลูกหลานของตนได้เข้าบวชเรียนเขียนอ่านกันในวัด
    เพราะจะได้ร่ำเรียนมีวิชาความรู้
    ซึ่งเมื่อสึกออกมาก็จะเป็นผู้ครองเรือนที่ประกอบด้วยศีลธรรม
    แต่ถ้าไม่สึกหาลาเพศก็จะยิ่งดีใหญ่
    เพราะพ่อแม่จะได้ชื่นชมว่าลูกตนมีบุญมีวาสนาได้ห่มผ้าเหลือง เป็นศิษย์ตถาคต
    พลอยให้พ่อแม่ได้พ้นจากนรกไปด้วย
    เพราะลูกฉุดดึงขึ้นไปตามความเชื่อถือกันมาแต่โบราณ”
    “หลวงปู่บวชที่วัดไหนครับ”
    “บวชอยู่ที่วัดบูรพา บ้านสะพือนี่แหละ
    บวชเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕ อายุได้ ๑๕ ปีพอดี”
    “หลวงปู่ได้ศึกษากับใครครับ”
    “บวชแล้วก็ศึกษากับพระอุปัชฌาย์ในเบื้องต้น
    คือท่านสอนหนังสือที่จารอยู่ในใบลาน ซึ่งเป็นตัวธรรมทั้งนั้น
    เริ่มเรียนเป็นคำๆ ไป จนท่องขึ้นใจ
    บางที่ใช้ความจำด้วยตาว่าตัวไหนเป็นตัวอะไร
    มันหงิกๆ งอๆ อย่างไร ก็จำกันเอาไว้ให้ดี
    แต่จำได้เพียงตัวที่ท่านสอนนะ ตัวอื่นถ้าไม่สอน ก็ยังอ่านไม่ออกเหมือนกัน”
    หลวงปู่โทนท่านกล่าวอย่างอารมณ์ดี
    จากวันเป็นเดือน การเรียนหนังสือธรรมที่อยู่ตามใบลาน
    ก็ค่อยๆ ผ่านสายตาของหลวงปู่โทนเป็นลำดับ
    เพราะท่านกล่าวว่าท่านเรียนเอาความรู้ให้ได้จริงๆ
    มิได้หวังเอายศถาบรรดาศักดิ์ หรือหวังเอาชั้นอะไรทั้งนั้น
    ในสมัยบวชเป็นสามเณร หลวงปู่โทนท่านมีความขยันขันแข็ง
    ในการศึกษาหาความรู้ในด้านต่างๆ มาก เพราะที่วัดมีตู้หนังสือเก่าอยู่หลายตู้
    ในแต่ละตู้ก็ล้วนแต่เป็นพระคัมภีร์และชาดกต่างๆ
    ซึ่งบางผูกบางกัณฑ์ก็กล่าวถึงพระเวสสันดร พระสุวรรณสาม พระเจ้าสิบชาติเป็นต้น
    “การเรียนรู้ทำให้หูตาสว่าง มีปัญญาทันคน ไม่หลงงมงาย”
    หลวงปู่โทนท่านกล่าว
    จากสามเณรเป็นภิกษุ
    หลวงปู่โทน หรือ ท่านพระครูพิศาลสังฆกิจ
    ได้เล่าให้ฟังถึงอดีตที่ผ่านมาของท่านต่อไปว่า
    เมื่อเห็นว่าการบวช คือการชำระจิตใจให้หมดจดในกองกิเลสทั้งปวง
    ทำให้มีจิตใจใฝ่ฝันที่จะไขว่คว้าหาวิชาความรู้ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
    อาตมาจึงได้บวชพระกับหลวงปู่สีดา หรือ ท่านพระครูพุทธธรรมวงศา
    ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ที่วัดบ้านเกิดนั่นเอง
    หลวงปู่สีดา ที่หลวงปู่โทนกล่าวถึงนี้
    ท่านเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น
    เป็นพระนักปฏิบัติที่มีลูกศิษย์ลูกหาอย่างมากมายทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทย
    ชื่อเสียงของหลวงปู่สีดาเป็นที่เลื่องลือไปว่า
    ท่านมีความสามารถทุกอย่าง ไม่ว่าในทางปฏิบัติและในทางไสยเวท
    ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ที่ใครๆ ก็นำบุตรหลานมาบวชกับท่านมิได้ขาด
    สำหรับหลวงปู่โทนนั้น ท่านบวชตั้งแต่เป็นสามเณรจนกระทั่งอายุครบบวช
    ท่านก็อุปสมบทต่อไปเลย โดยไม่ได้สึกออกมาผจญกับทางโลกแม้แต่น้อย
    กับ ๒ พระอาจาย์

    ญาท่านตู๋ ธัมมสาโร


    ญาท่านกรรมฐานแพง จันทสาโร

    “เมื่อบวชพระแล้ว หลวงปู่ไปที่ไหนบ้างครับ”
    “อาตมาบวชได้หนึ่งพรรษา ก็ได้ไปศึกษาอยู่กับหลวงปู่แพง
    ที่วัดสิงหาญ อำเภอตระการพืชผล ศึกษาอยู่กับท่านระยะหนึ่ง
    จึงได้ไปศึกษากับอาจารย์ตู๋ วัดขุลุ
    ซึ่งทั้งสองพระอาจารย์นี้ท่านมีวิชาแก่กล้ามาก เป็นพระนักปฏิบัติเคร่ง”
    หลวงปู่โทน ท่านกล่าวถึงในสมัยที่ไปศึกษาวิชาต่างๆ กับสองพระอาจารย์ว่า
    ไม่ว่าหลวงปู่แพง หรืออาจารย์ตู๋ ล้วนแล้วแต่เป็นพระผู้ใหญ่ที่มีคุณวุฒิและวัยวุฒิพร้อมสรรพ
    ท่านทั้งสองมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลวงปู่สีดา
    ผู้เป็นพระอุปัชฌย์ของหลวงปู่โทน
    แต่ละท่านก็ได้ไปศึกษาหาความรู้กันจากฝั่งลาวมาก่อนทั้งนั้น
    สมัยนั้นการข้ามไปข้ามมายังฝั่งลาวมีความสะดวกสบายอย่างยิ่ง
    เพียงนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขงก็ถึงกันแล้ว
    ใครที่อยากจะไปยังฝั่งเขมร
    เพื่อศึกษากับพระอาจารย์ทางฝั่งเขมรก็ไปกันได้เช่นกัน
    ไม่มีใครมาห้าม แต่ส่วนมากพระอาจารย์ทางเขมร
    ก็ชอบออกเดินธุดงค์มายังฝั่งไทยเสมอ จึงได้เจอกันอยู่บ่อยๆ
    เมื่อเจอกันแล้วก็ได้ขอศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
    โดยเฉพาะทางด้านปฏิบัติ ใครติดขัดอะไรก็สอบถามกันไป
    ศิษย์หลวงปู่สำเร็จลุน (สมเด็จลุน)

    สำเร็จลุน

    ผู้เขียนได้กราบเรียนถามท่านถึงเรื่องหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และสำเร็จลุน
    พระอาจารย์ผู้ล่องหนย่นระยะทางได้ว่า ท่านได้เคยพบปะ
    หรือศึกษาธรรมอะไรกับท่านทั้งสองมาบ้าง ซึ่งหลวงปู่โทนก็ได้มีเมตตาเล่าให้ฟังว่า
    “หลวงปู่สำเร็จลุนนั้น เป็นพระอาจารย์ของอาตมาเอง
    เคยได้ไปอยู่ปรนนิบัติและศึกษาธรรมกับท่านมาแล้วที่วัดบ้านเวินไซ
    ในนครจำปาศักดิ์ฝั่งประเทศลาว
    ท่านสำเร็จลุนเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรมสูง
    มีเมตตตาจิต โอบอ้อมอารีต่อพระเณรผู้เป็นลูกศิษย์เสมือนพ่อปกครองลูก
    ท่านมีวิชาแก่กล้ามาก ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนจะย่อแผ่นดิน (ย่นระยะทาง) อยู่เสมอ”
    หลวงปู่โทน ท่านเปิดเผยต่อไปว่า
    ความจริงแล้วท่านได้มีโอกาสไปปรนนิบัติหลวงปู่สำเร็จลุน
    ตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณรโน่นแล้ว
    เมื่อท่านสำเร็จลุนว่างจากการปฏิบัติ
    ท่านก็จะเรียกไปบีบแข้งบีบขาให้ท่านอยู่เสมอ
    พร้อมกันนั้น ท่านก็จะกล่าวอบรมสั่งสอนธรรมะ
    และข้อปฏิบัติให้นำไปปฏิบัติเป็นกิจวัตร
    “สำเร็จลุนท่านสอนทางด้านวิชาอาคมอะไรให้หลวงปู่บ้างครับ”
    ผู้เขียนเรียนถามท่าน ซึ่งท่านก็กล่าวตอบว่า
    “ก็มีอยู่บ้าง เพราะท่านเก่งทางวิทยาคมเป็นเลิศอยู่แล้ว
    ไม่ว่าวิชาไหนท่านรู้หมด จะเรียนวิชาอะไรก็เรียนได้
    ถ้ามีความขยันในการเรียน โดยท่านจะสอนให้กับทุกคน
    ไม่ปิดบังอย่างใดทั้งสิ้น”
    “หลวงปู่ได้วิชาอะไรจากสำเร็จลุนบ้างครับ”
    “วิชาหรือ ก็ได้ในแนวทางปฏิบัตินี่แหละ
    ถ้าเราปฏิบัติดี มีศีลธรรม ตั้งอยู่ในศีลในธรรมความดี
    อย่าให้บกพร่อง ของดีก็อยู่กับเรา” หลวงปู่ท่านกล่าว




    เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม
    ความจริงแล้ว หลวงปู่โทน ท่านได้ศึกษาวิชาต่างๆ จากสำเร็จลุนมามาก
    แต่ท่านไม่ยอมเปิดเผยให้ฟังโดยละเอียด
    เพราะท่านกล่าวว่า จะเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม
    จะทำให้ครูบาอาจารย์ท่านเสีย เพราะท่านไม่เคยโอ้อวดใคร
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนักปฏิบัติอย่างท่านนั้น
    เมื่อมีใครไต่ถามอย่างไร ท่านก็จะตอบอย่างนั้น
    ตอบอย่างสั้นๆ ไม่นอกเรื่องและไม่พูดมาก
    ซึ่งผู้ที่ไม่รู้ความจริงก็อาจจะเข้าใจผิด
    คิดว่าท่านถือตัวหรือหยิ่ง พบยาก อะไรทำนองนี้
    แต่ความจริงแล้ว พระนักปฏิบัติอย่างหลวงปู่โทน
    ท่านมีเมตตาธรรมและคุณธรรมสูงมาก
    เป็นผู้ให้ตลอด ไม่เคยเรียกร้องเอาอะไรจากใคร
    เมื่อถามถึงเรื่องสำคัญในการศึกษาเล่าเรียนของท่าน
    ท่านมักจะกล่าวว่า
    “อย่าไปพูดถึงเลย เพราะจะทำให้ครูบาอาจารย์ท่านตำหนิเอา”
    คำพูดของหลวงปู่ทุกคำ ท่านจะกล่าวยกย่องครูบาอาจารย์ของท่านอยู่ตลอดเวลา
    และท่านมีความเคารพในครูบาอาจารย์อยู่เสมอ
    พบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    หลวงปู่โทน ท่านเล่าว่า สำหรับ หลวงปู่มั่นนั้น
    ท่านได้พบกันในระหว่างออกเดินธุดงค์ป่าแห่งหนึ่ง เขตตระการพืชผล
    “หลวงปู่มั่นท่านสอนธรรมะอะไรให้หลวงปู่บ้างครับ”
    “ไม่ได้สอนอะไรให้ เพราะต่างคนก็ต่างออกไปหาความสงบกันในป่า
    และไปคนละสาย คือไปคนละทางกัน
    แต่ก็ได้อยู่ร่วมปฏิบัติธรรมกับท่านมาร่วมเดือนในป่าแห่งหนึ่ง”
    หลวงปู่โทน ท่านเล่าถึงเมื่อคราวที่ท่านได้พบกับหลวงปู่มั่น
    ท่านก็มีความเคารพเลื่อมใสในตัวหลวงปู่มั่นเช่นกัน โดยท่านกล่าวว่า
    “ถึงแม้อาตมาไม่ได้ติดสอยห้อยตามหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่แรก
    แต่เมื่อได้มาพบกับท่านก็มีความนับถือท่าน เพราะท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่ถือเคร่งมาก”
    หลวงปู่โทนเล่าว่า หลวงปู่มั่นเคยสอบถามท่านถึงเรื่องการปฏิบัติอยู่เสมอ
    และบางครั้งท่านก็ได้ชี้แนะแนวทางให้ด้วย
    แต่เมื่อติดขัดจริงๆ ก็ให้ไปเรียนถามสำเร็จลุน
    ซึ่งหลวงปู่มั่นมีความเคารพนับถือท่านอยู่มาก
    ล้วนเป็นศิษย์อาจารย์ดัง
    หลวงปู่โทนเล่าว่า ความจริงแล้วก่อนที่ท่านจะเข้ามาบวชเป็นสามเณรนั้น
    ท่านได้เรียนวิชามูลกัจจายน์กับ พระอาจารย์หนู
    ที่วัดบ้านเกิดของท่านมาก่อนจนกระทั่งเรียนจบ
    เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน ใครอยากจะเรียนก็ไปเรียนกับพระที่วัด
    “อาตมาเป็นเด็กวัดไปด้วย เรียนไปด้วย จนได้วิชามูล
    แต่ไม่มีชั้นอย่างเช่นทุกวันนี้ ที่มี ป.๑ ป.๒ ป.๓ อะไรทำนองนี้”
    ส่วนครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่โทนได้ไปศึกษาอยู่ด้วยนั้น
    ท่านเล่าว่ามีอยู่มากมาย เช่นอาจารย์ตู๋ วัดบ้านขุลุ
    อาจารย์แพง วัดสิงหาญ สำเร็จตัน และหลวงปู่สีดา เป็นต้น
    ธุดงค์ไปภูโล้น (ที่ถูกคือ ภูหล่น)
    หลวงปู่โทนเล่าว่า ในสมัยนั้นท่านจะออกเดินธุดงค์อยู่ตลอดเวลาไม่อยู่เป็นที่
    เพราะครูบาอาจารย์ท่านอบรมสั่งสอยมาอย่างนั้น
    ก็ต้องปฏิบัติตามท่านสอน ต่อมาท่านได้ธุดงค์ไปถึงภูโล้น
    ได้พบกับหลวงปู่มั่นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในครั้งนี้อยู่ปฏิบัติธรรมได้นานถึงหนึ่งเดือน
    ภูโล้นอยู่ในเขตอำเภอศรีเชียงใหม่ (ที่ถูกคือ อ.ศรีเมืองใหม่)
    เป็นภูเขาที่มีสัตว์ป่ามากเป็นพิเศษ เช่น ช้าง เสือ หมี งูเห่า และกระต่าย เป็นต้น
    ในสมัยนั้น อาตมาบวชพระได้ ๘ พรรษาเท่านั้น
    จึงคิดแสวงหาวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์เอาไว้
    เพราะมีครูบาอาจารย์มากในเขตจังหวัดอุบลฯ
    ซึ่งถือว่าเป็นแผ่นดินของนักปราชญ์โดยแท้
    ระหว่างที่อยู่ปฏิบีติธรรมที่ภูโล้นนั้น
    หลวงปู่โทนเล่าว่าได้ผจญกับความลำบากทุกอย่าง
    แต่ก็ต้องอดทน ซึ่งบางครั้งท่านเล่าว่าต้องฉันข้าวเหนียวคลุกกับปลาร้า
    ฉันก็ฉันเพียงมื้อเดียวเท่านั้น
    แลกเปลี่ยนวิชากัน
    หลวงปู่โทนเล่าต่อไปว่า สำหรับ สำเร็จตันนั้น ท่านแก่กว่า
    แต่ก็ยังถือว่าเป็นรุ่นเดียวกัน
    “อาตมาเคยสอนวิชาสนธิให้ท่านหนึ่งพรรษา
    ส่วนท่านก็สอนวิชาของท่านให้เช่นกัน
    เพราะใครมีวิชาอะไรดี ก็แนะนำกันไป
    เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน” หลวงปู่โทนกล่าว
    ความผูกพันระหว่างหลวงปู่โทน และสำเร็จตันนั้น (น่าจะหมายถึงหลวงปู่มั่น)
    หลวงปู่โทนกล่าวว่า เป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งอยู่
    ซึ่งจะเห็นได้จากในสมัยที่ท่านออกเดินธุดงค์ไปพบกันที่ภูโล้น (ที่ถูกคือ ภูหล่น)
    ในเขตอำเภอโขงเจียม และอำเภอศรีเชียงใหม่ (ที่ถูกคือ อ.ศรีเมืองใหม่) นั้น
    ท่านเล่าว่า
    “อาตมานั่งภาวนาห่างจากหลวงปู่มั่นเพียง ๕๐ เมตร
    เวลามีสัตว์ป่ามาก็รู้กัน และการขบฉันก็ฉันข้าวโพดในเวลาหิวในตอนเช้าเหมือนกัน
    ส่วนการถือว่าท่านสายนั้นสายนี้ ไม่เคยถือว่าเป็นสายอะไรทั้งสิ้น
    เพราะถือว่าท่านเป็นพระปฏิบัติเช่นเดียวกัน"
    หลวงปู่โทนท่านให้ข้อคิดในการปฏิบัติธรรมว่า
    “เราได้เข้าไปสู่ถนนสายนี้แล้ว เป็นถนนที่ฆ่ากิเลสตายแล้ว
    และไม่มีความดีใจเสียใจอะไร แม้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม”
    ต้องอดทนและอดกลั้น
    หลวงปู่โทน ท่านได้เล่าถึงชีวิตของการออกเดินธุดงค์ของท่านในช่วงหนึ่งว่า
    ไม่ว่าจะเป็นการขบฉัน หรือการปฏิบัติ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    วัดหลวงปู่อยู่ไกลมากในสมัยนั้น ตัวผม เองเคยไปวัดท่านมา2ครั้ง ปัจจุบัน วัดใหญ่โต สะอาด สังขารหลวงปู่อยู่ในวิหาร
    ท่านใดมีโอกาส ไปกราบได้ครับ แถวนั้น มีวัดเทพสิงหาร ที่มีอดีต ครุบาอาจารย์ในสายสมเด็จลุน ผู้เป็นอาจารย์ ญาท่านสวน
    พระสมเด็จปรกโพธิ์หลวงปู่โทนวัดบูรพาสภาพสวยเดิมๆในกล่อง ให้บูชา
    300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ กล่อง วิสัน เดิมๆครับ
    IMG_20230927_024325.jpg IMG_20230927_024355.jpg IMG_20230927_024244.jpg IMG_20230927_024449.jpg

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2023
  5. romegat

    romegat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,509
    ค่าพลัง:
    +9,414
    ปิดรายการนี้ครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    get_auc1_img (4).jpeg
    หลวงพ่อสีหมอก เป็นหนึ่งในพระเกจิสายตะวันออกที่มีชื่อเสียงมากๆนสมัยก่อนปี 2520 หลวงพ่อสีหมอก เป็นพระที่มีพลังจิตกล้าแข็ง เคยมีคนเห็นท่านปลุกเสกวัตถุมงคลจนตัวลอยมาแล้ว นอกจากนี้ท่านยังเก่งเรื่องทำนายทายทัก ดูเหตุการณ์ล่วงหน้า โดยการนั่งทางใน มีพวกข้าราชการระดับสูง พ่อค้า ดาราหนังชื่อดังในอดีตหลายคนเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อสีหมอก โดยเฉพาะ มิตร ชัยบัญชา พระเอกหนังยอดนิยมในอดีต ลวงพ่อสีหมอก เคยทำนายว่าจะมีเคราะห์หนักและเตือนให้ระวังตัว ก่อนที่จะตกเฮลิคอปเตอร์ในฉากสุดท้ายของหนังอินทรีทอง เมื่อปี 2513 หลวงพ่อสีหมอก ได้รับนิมนต์เข้าพิธีปลุกเสกพระในสมัยก่อนมากมายร่วมกับพระเกจิดังในอดีตเช่น หลวงปู่โต๊ะ หลวงปู่ทิม เป็นต้น เนื่องจากหลวงพ่อสีหมอก สร้างวัตถุมงคลน้อยมากๆ มีไม่กี่รุ่น

    ประวัติ หลวง พ่อสีหมอก สถานะเดิมชื่อ สีหมอก เที่ยงตรงเป็นบุตร นายสอน นางเอี่ยม เที่ยงตรง เกิดเมื่อ วันอังคารที่ ๖ มกราคม ๒๔๔๔ ณ บ้านตำบลคลอง ๑๙ จังหวัด ฉะเชิงเทรา อาชีพทำนา มีพี่น้องจำนวน ๓ คน เมื่ออายุครบบวช ๒๐ ปี ได้เข้าอุปสมบทตามประเพณี ๑ พรรษา แล้วลาสิกขามาประกอบอาชีพทำเนา จนกระทั่งอายุได้ ๕๐ ปี เริ่มเบื่อหน่ายในเพศฆราวาส จึงตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้ง สาเหตุที่อุปสมบทเป็นครั้งที่ ๒ นี้เพราะท่านได้พบกับหลวงพ้อโอภาสี ได้สนทนาธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้อุปสมบทแล้วเดินทางไปศึกษาธรรม และวิชาต่างๆจากหลวงพ่อโอภาสีอยู่เป็นประจำ ในปีพ.ศ.๒๔๙๗ ท่านได้เดินทางมาจำพรรษา ณ วัดเขาวังตะโก อ.เมือง จ.ชลบุรี ท่านได้ทำงานด้วยเผยแพร่และพัฒนาวัดเขาวังตะโกเจริญรุ่งเรืองในหลาย ๆ ด้าน ด้วยบุญบารมีของท่าน ท่านได้สร้างเรือสำเภาตั้งตระหง่านอยู่ ณ ยอดเขาวังตะโก เป็นสำเภาแก้ว สำเภาทอง นำสัตว์ลอยล่องข้ามพ้นถึงฝั่งข้ามด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้เดินทางไปประเทศอินเดียถึง ๔ ครั้ง เพื่อศึกษาความเจริญ และความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย เปรียบเทียบให้ชาวพุทธในเมืองไทยได้รู้ได้เห็นเป็นตัวอย่าง หลวงพ่อสีหมอก ท่านได้ปฏิบัติหน้าที่เผยแพร่พระพุทธศาสนา ยังให้ประชาชนชาวพุทธเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจำนวนมาก ตลอดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตท่านได้มรณภาพลงเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๒ รวม สิริอายุได้ ๙๙ ปี พรรษา ๔๙
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อสีหมอกให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20230927_214128.jpg IMG_20230927_214204.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1695827282558.jpg
    ในยุคสมัยปัจจุบัน หากจะกล่าวถึงพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูปหนึ่งแห่งจังหวัดนนทบุรี คงไม่มีใครไม่รู้จัก "หลวงพ่อสิริ สิริวัฑฒโน" แห่งวัดตาล ต.บางตะไนย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

    ชื่อเสียงของท่าน เป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองนนท์ถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคล ที่สามารถพลิกผันสถานการณ์อันเลวร้าย ให้กลับกลายเป็นดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบัน หลวงพ่อสิริ อายุ 69 พรรษา 49

    อัตโนประวัติ หลวงพ่อสิริ เกิดในสกุล แก้วกาญจน์ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2484 เป็นคนไทยเชื้อสายรามัญ ณ บ้านบางตะไนย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นบุตรชายของนายเต๊ะ กับ นางนาค แก้วกาญจน์ บิดามีอาชีพช่างไม้ มารดามีอาชีพทำนา

    ในวัยเยาว์โยมบิดามารดาได้พาท่านมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์วัดคอยปรนนิบัติรับใช้พระสงฆ์ภายในวัดตาล ทำให้ท่านมีความผูกพันกับวัด ชอบศึกษาอ่านตำราทางพระพุทธศาสนาและนั่งสมาธิปฏิบัติธรรม

    เมื่ออายุได้ 14 ปี ได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดตาล หลังจากบวชเป็นสามเณรได้เพียง 1 ปี มีเรื่องน่าประหลาด กล่าวคือ "หลวงพ่อโอภาสี" ซึ่งเป็นพระเกจิที่มีฌานสมาบัติสูงรูปหนึ่งในยุคนั้นได้ให้ลูกศิษย์พายเรือ เอาธงชาติผืนใหญ่มาฝากไว้ให้สามเณรสิริ เป็นเวลา 7 วัน ในธงชาตินั้นเขียนยันต์ล้อมรอบ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจต่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งนักว่าทำไมหลวงพ่อโอภาสีจึงให้ความสำคัญกับสามเณรสิริ ซึ่งบวชเป็นสามเณรได้เพียงแค่ 1 ปี ถึงขนาดนี้

    ครั้นเมื่ออายุครบ 20 ปี จึงเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุโบสถ วัดตาล เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2504 โดยมีท่านเจ้าคุณพระอริยธัชเถระ วัดสวนมะม่วง จ.ปทุม ธานี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการเปลือย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดกัณหา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า สิริวัฑฒโน

    ด้วยมีความสนใจศึกษาทางด้านพุทธาคมตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร เมื่อได้อุปสมบทแล้วท่านก็ได้กราบขอฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านเจ้าคุณพระอริยธัชเถระ ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์สายตรงของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อสิริจึงมีโอกาสได้ศึกษาพุทธาคมสายวิชาของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า รวมทั้งศึกษาทางด้านวิปัสนากรรมฐาน และวิทยาคมต่างๆ อย่างลึกซึ้ง จนมีความแตกฉานในหลายด้าน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    https://palungjit.org/threads/หลวงพ่อสิริ-สิริวัฑฒโน.230847/

    หลวงปู่ทวดเนื้อผงหลวงพ่อสิริอธิษฐานจิตปลุกเสกให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20230927_221824.jpg IMG_20230927_221856.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2023
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    index (1).jpeg
    หลวงพ่อฟุ้ง เป็นเกจิเก่าในสายหลวงพ่อศรี ที่ผมเคยอ่านประวัติของท่าน ที่ตีพิมพ์ในหนังสือลานโพธิ์เมื่อปี ๒๕๒๙ ซึ่งเป็นเวลาที่ผมยังเด็กเเต่เริ่มมีความสนใจพระเครื่องเเละเครื่องรางของขลัง ต่อมาหลังเลิกเรียน ผมมักไปยืนตามเเผงหนังสือ เพื่อเปิดดูหนังสือพระต่างๆ จนวันนึง ทำให้ผมได้มาพบกับคอลัมน์หลวงปู่กวย ที่เขียนโดยคุณเฒ่า สุพรรณในหนังสือนะโม เเม้กระนั้น เวลาจะผ่านมานาน เเต่ก็ยังไม่ลืมเกจิที่เก่งๆ ที่ชื่อหลวงพ่อฟุ้ง วัดสะเดาองค์นี้

    นับเป็นโอกาสดีที่ศิษย์หลวงปู่กวยที่ผมรู้จักท่านนึงที่เชียงราย ยังเก็บต้นฉบับที่ลงเรื่องราวของหลวงพ่อฟุ้งไว้ ได้มีน้ำใจส่งต้นฉบับเก่า มาให้ทางเวป ได้ลงเรื่องราวเเละข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุมงคลเเบบต่างๆของท่าน เพื่อเป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์เเละเทิดทูน คุณครูบาอาจารย์ ศิษย์ในสายคุณพ่อศรี ต่อไปครับ



    ประวัติวัดสะเดา

    วัดสะเดา ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตก ของลำแม่ลาในเขตหมู่ 1 ตำบลแม่ลา อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี จะสร้างขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. เท่าไหร่ไม่ปรากฏเพียงแต่ได้รับคำบอกเล่าจากชาวบ้านในท้องถิ่นว่า ประชาชนในท้องถิ่นนั้นเดิมเป็นคนอินเดียอพยพมาประกอบอาชีพจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำนาและประมงในลำแม่ลา เพราะในสมัยนั้นปลาชุกชุมมาก และเป็นปลาที่มีรสดี สีสวยจึงเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นของดีเมืองสิงห์บุรีทีเดียว
    ดังคำพังเพยว่า “ปลาแม่ลา น้ำยาบางเลา สาวงามบ้านแป้ง แตงบ้านไร่”

    ส่วนใหญ่ของประชาชนที่อพยพ มานี้นับถือพุทธศาสนา ในสมัยที่ไม่มีวัดจะบำเพ็ญกุศล ต่างก็พากันไปบำเพ็ญกุศลในท้องถิ่นเดิมของตน เป็นเช่นนี้มาเป็นเวลานาน จึงได้ปรึกษาหารือกันเพื่อจะสร้างวัดไว้บำเพ็ญกุศลในบริเวณนี้ แต่ก็ยังไม่มีโอกาส ต่อมามีพระภิกษุรูปหนึ่ง เดินธุดงค์มาจากที่อื่น(ไม่ทราบว่ามาจากไหน) มาถึงป่าสะเดาริมฝั่งลำแม่ลา ทิศตะวันตกและปักกลดพักแรมที่นั่น ประชาชนที่เห็นและทราบข่าวต่างก็ดีใจมาก ด้วยใจศรัทธาและนานๆ จะพบพระสักครั้งหนึ่ง ชาวบ้านได้ปรึกษาหารือกับพระธุดงค์รูปนั้นถึงการสร้างวัด ซึ่งท่านก็ยินดีสนับสนุน จึงได้ตกลงสร้างเป็นวัดขึ้น โดยระยะแรกสร้างเป็นกุฏิเล็กๆ 1 หลังก่อน เพื่อให้พระอยู่อาศัย และสร้างเป็นศาลาเล็กๆ ไว้ประกอบการกุศล พร้อมกับอาราธนาพระธุดงค์รูปนั้นอยู่จำพรรษาเสียที่นั่น ชาวบ้านเรียกพระธุดงค์รูปนั้นว่า “หลวงพ่อนิล” วัดที่สร้างขึ้นใหม่ให้ชื่อว่า “วัดแม่ลา” เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งลำแม่ลา หลวงพ่อนิลเป็นพระที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ท่านได้ร่วมมือกับชาวบ้านจัดการก่อสร้างวัดนี้ให้เจริญสืบมาจนถึงทุกวันนี้
    วัดนี้มีเจ้าอาวาส ปกครองมาแล้วหลายองค์ แต่มีรายงานปรากฏบ้างไม่ปรากฏบ้าง เรียงตามลำดับเจ้าอาวาสดังนี้
    1. หลวงพ่อนิล (ริเริ่มสร้างวัดประมาณ พ.ศ. 2415)
    2. หลวงพ่อเลี้ยง
    3. หลวงพ่อศรี
    4. หลวงพ่อจับ
    5. หลวงพ่อฟุ้ง (พระอธิการฟุ้ง อุตฺตโม)
    วัดนี้มีพระจำพรรษาปีละไม่มากนัก เพราะหมู่บ้านที่อยู่ใกล้วัด และบำเพ็ญกุศลวัดนี้มีน้อย ทั้งการคมนาคมไปมาไม่สะดวกในสมัยก่อนถ้าถึงฤดูน้ำต้องอาศัยเรือพายตามลำน้ำแม่ลา หรือตัดผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน ดูแล้งก็ต้องอาศัยลำแม่ลาเช่นกัน
    ต่อมาวัดแม่ลาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดสะเดา” มีเรื่องเล่าว่ามีพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง (เข้าใจว่าจะเป็น พระครูสิงห์ราชมุณี วัดระนาม อ.อินทร์บุรี) ได้การตรวจการคณะสงฆ์ถึงวัดนี้ และเห็นสภาพวัดมีต้นสะเดาใหญ่ (วัดโดยรอบต้น 8 เมตร สูงประมาณ 1 เส้น) และต้นเล็กอีกเป็นจำนวนมากขึ้นอยู่ในบริเวณวัด จึงได้ปรารภกับเจ้าอาวาสในสมัยนั้น (หลวงพ่อฟุ้ง) ว่าควรจะถือเอาต้นสะเดานี้เป็นสัญลักษณ์ของวัดและขนานนามวัดนี้ว่า “วัดสะเดา”
    เจ้าอาวาสและประชาชนเห็นด้วย จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดแม่ลา มาเป็นวัดสะเดา



    ประวัติหลวงพ่อฟุ้ง

    หลวงพ่อท่านเกิด ในตระกูล นิลวัฒนา เมื่อวันอาทิตย์ แรม 12 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง หรือตรงกับวันที่ 18 กันยายน 2435 โยมบิดาของท่านชื่อ หลง โยมมารดาชื่อ ฉ่ำ ท่านเกิดที่บ้านตำบลบางกระบือ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี มีพี่น้องร่วมบิกามารดาเดียวกัน 5 คน ดังนี้
    1. หลวงพ่อฟุ้ง
    2. นายสุก โตเสม
    3. นายสอน โตเสม
    4. นายสี โตเสม
    5. นางโต๊ะ ยิ้มจันทร์
    เมื่อเยาว์วัยได้เข้าเรียนหนังสืออยู่กับพระที่วัดบางกระบือ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี โดยเรียนทั้งภาษาไทยและภาษาขอม มีความรู้พอแก่วิชาที่เรียนแล้วได้ออกจากวัดมาอยู่ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพตามตระกูลเดิมคือ ทำนา และการประมงในลำแม่ลา อันเป็นถิ่นที่มีปลาชุกชุม รสดี สีสวย ของจังหวัดสิงห์บุรี ท่านได้ช่วยบิดา-มารดา ประกอบอาชีพทำมาหากินด้วยความอุตสาหะมานะบากบั่นเป็นอย่างดีมาจนอายุได้ 19 ปี ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารเป็นรั้วของชาติ (เป็นทหารช่างอยู่อยุธยา) อยู่ 2 ปี ครั้นปลดประจำการแล้วบิดามารดาประสงค์จะให้บวชเรียนสืบอายุพระศาสนา ซึ่งเรื่องนี้หลวงพ่อเคยเล่าว่าตรงกับความใฝ่ฝันของท่านคืออยากบวชเป็นทุนเดินอยู่แล้ว จึงยินดีตอบรับเพื่อตอบแทนสนองคุณของพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกตเวที



    เป็นลูกศิษย์พระครูศรี

    เมื่อตกลงที่จะบวชแล้วบิดาก็ได้นำไปฝากอยู่กับพระอาจารย์ที่วัดบางกระบือ อันเป็นวัดที่ใกล้บ้าน และได้เข้าบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่..........มิถุนายน พ.ศ.2457 ณ พัทธสีมาวัดสิงห์ ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี โดยมีท่านพระครูศรีวิระยะโสภิต (หลวงพ่อพระครูศรี) วัดพระปรางค์ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระใบฎีกาบัตรกับ พระอาจารย์จับ เป็นกรรมวาจาและอนุสาวจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วอุปัชฌาย์ใต้ตั้งนามให้ว่า อุตฺตโม เมื่อออกจากพระอุโบสถแล้วก็เข้าจำพรรษาอยู่ที่วัดราษฎร์บำรุง ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ทั้งนี้ด้วยความประสงค์ของเจ้าอาวาสวัดมีศักดิ์เป็นปู่ของท่านซึ่งประสงค์จะให้พระหลานได้อยู่ใกล้ชิดเพื่อสะดวกแก่การอบรมสั่งสอน ในขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ของสัทธิวิหาริกที่ดีอีกพึงปฏิบัติพระอุปัชฌาย์ของตน จึงเป็นที่รักเป็นที่วางใจแก่พระอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อพระครูศรี ขณะนั้นหลวงพ่อพระครูศรีฯ ท่านเป็นเถระคณาจารย์ผู้เรืองวิทยาคม มีเวทมนตร์คาถาอาคมในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อนี้มีเรื่องเล่าเอาไว้มากมาย แต่จะขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง คือ มีเด็กวัดซุกซนเที่ยวปีนต้นไม้เล่น หลวงพ่อเผลอปากทักไปว่า “จะปีนขึ้นไปทำไม เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก” เมื่อสิ้นคำพูดของหลวงพ่อ ปรากฏว่าเด็กคนนั้นตกลงมาจริงๆ เดชะบุญที่ปีนขึ้นไปไม่สูงมากนักจึงตกลงมาไม่ได้รับบาดเจ็บ และหลังจากนั้นหลวงพ่อจะระมัดระวังไม่ทักไม่ดุเด็กอีกเลย หลวงพ่อศรีท่านเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่โด่งดังในสมัยนั้น โดยชื่อเสียงของท่านดังไปทั่วทั้งภาคกลาง โดยเฉพาะแถบสิงห์บุรี, อ่างทอง, ชัยนาทและนครสวรรค์ เมื่อหลวงพ่อฟุ้งท่านใกล้ชิด และเป็นศิษย์ที่ท่านอุปสมบทให้ด้วยตัวของท่านเอง ย่อมเป็นโอกาสดีที่จะได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ จากหลวงพ่อศรีและทราบว่า หลวงพ่อฟุ้งได้รับ การถ่ายทอดมาจนครบทุกวิชาของหลวงพ่อศรี ศิษย์ของหลวงพ่อศรี อีกรูปหนึ่งที่ยังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ขณะนี้ เมื่อเอ่ยชื่อเสียง ทุกท่านต้องรู้จักดี คือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง หลวงพ่อแพท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อศรีรุ่นหลังหลวงพ่อฟุ้งมาก เพราะพรรษาต่างกันประมาณ 20 พรรษา หลวงพ่อฟุ้ง จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ที่วัดราษฏร์บำรุงเป็นเวลา 5 พรรษา ต่อมาหลวงปู่ท่านมีความประสงค์จะให้ไปจำพรรณรอยู่ที่วัดแม่ลา(วัดสะเดา) ต.แม่ลา เพราะเป็นวัดที่ท่านอุปการะแต่ก่อนทั้งเป็นความประสงค์ของเจ้าอาวาสและบรรดาญาติ ๆ แถวแม่ลานั้นด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมาอยู่วัดแม่ลา(วัดสะเดา) ในขณะที่มีหลวงพ่อ........เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อท่านเป็นพระที่ใฝ่ใจศึกษาหาความรู้พระธรรมวินัย และตั้งใจปฏิบัติสม่ำเสมอ ด้วยดีเสมอมา เป็นผู้ประกอบด้วยอินทรีย์สังวรสำรวมและมีอิริยาบถอันนิ่มนวล สงบเสงี่ยมเรียบร้อย



    ในปี พ.ศ. 2467 วัดสะเดาว่างเจ้าอาวาสลงคณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้หลวงพ่อฟุ้งท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทน เมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วหลวงพ่อท่านก็ริเริ่มดำเนินการพัฒนาวัด ด้วยการซ่อมแซมปรับปรุงเสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรมให้มีสภาพมั่นคงขึ้น และจัดการสร้างเสนะที่สำคัญและ.......เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยความอุตสาหะอันแรงกล้ายอมสละกำลังกาย สติปัญญา และความสามารถทุกอย่างเพื่อความเจริญของวัด และโดยเหตุที่ท่านมีความรู้ในทางช่างเป็นอย่างดี การก่อสร้างภายในวัดจึงจัดทำเอง โดยขอแรงชาวบ้านในท้องถิ่นบ้าง ต่างถิ่นบ้างมาช่วยกันโดยไม่ต้องเสียค่าจ้าง ท่านรับภาระหนักในการพัฒนาวัดเป็นอย่างมากแทบจะกล่าวได้ว่าวัดสะเดายิ่งใหญ่ขึ้นมาในยุคสมัยที่ท่านครองวัดเป็นเจ้าอาวาสอยู่




    แม้ว่าท่านจะเป็นนักพัฒนาทางด้านวัตถุชั้นแนวหน้า ถึงกระนั้นท่านก็สนใจในการพัฒนาทางด้านจิตใจด้วย ข้อนี้จะเห็นได้จากการที่ท่านประกอบไปด้วยคุณธรรมความดี เป็นที่ประทับใจแก่ศิษยานุศิษย์และสาธุชนทั้งหลาย คุณธรรมความดีของหลวงพ่อมีดังนี้

    1. อินทรีย์สังวร ท่านสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้มีความยินดียินร้ายเพราะเห็นรูป ฟังเสียงดมกลิ่น ลิ้มรส และสัมผัสเข้าครอบงำจิตใจได้ ท่านวางใจเป็นอุเบกขาในอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบ ไม่ฟูขึ้นเพราะอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ชอบมีลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ไม่แฟบลงเพราะ อนัฏฐารมณ์ คือ ความไม่ชอบมีความเสื่อมจากลาภ ยศ เป็นทุกข์เพราะถูกนินทา คุณธรรมพวกนี้หลวงพ่อท่านถือเคร่งครัดมากดังจะเห็นได้ว่าท่านไม่ทะเยอทะยานในเรื่องเหล่านี้เลย แม้บางครั้งศิษยานุศิษย์บางคน ปรารถนาให้ท่านมีสมณศักดิ์ เพื่อเป็นเกียรติประวัติบ้าง ได้มาปรารภกับท่าน แทนที่ท่านจะสนใจ กลับถูกท่านสั่งสอนเป็นคติเสมอว่า ลาภ ยศ อันเป็นสิ่งที่คนอื่นปรารถนานั้นล้วนเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งสิ้น และเวลาตายแล้วก็เอาติดตัวไปไม่ได้ จะมีก็แต่บุญกุศล หรือคุณธรรมความดีที่เราสร้างไว้เท่านั้น
    2. เมตตาธรรม ความรัก ความเห็นใจ ความปรารถนาดี ซึ่งเป็นคุณธรรมของผู้หลักผู้ใหญ่ คุณธรรมข้อนี้หลวงพ่อมีบริบูรณ์จริง เพราะท่านมีความรัก ความปรารถนาดี ความเห็นใจแก่ศิษยานุศิษย์และคนทั่วไป ดังจะเห็นได้ว่าท่านมีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงต่อบุคคลทั้งที่เป็นญาติมิตร ศิษยานุศิษย์ และคนอื่นๆ เสมอกัน มีความรู้สึกที่เป็นความปรารถนาดี ปรารถนาสงเคราะห์ต่อกัน แสดงความยินดีต่อบุคคลที่ได้ดี แสดงความเห็นอกเห็นใจเมื่อยามเดือดร้อน วางตนเป็นที่พึ่งต่อบุคคลทั่วไปเหมือนพ่อแม่เป็นที่พึ่งแก่ลูก หรือเหมือนร่มโพธิ์ ร่มไทร ให้ความร่มเย็นแก่วิหคทั้งหลาย เมตตาธรรมของท่านนั้นครอบคลุมถึงสัตว์เดรัจฉาน ดังจะเห็นได้ว่าท่านเลี้ยวแมว หมาเอาไว้มากมาย ความดีของหลวงพ่อยังมีอีกมากมายกว่านี้ ที่นำมาแจ้งแก่ท่านผู้อ่านก็เพื่อเป็นแบบอย่างแบบฉบับแก่ผู้ที่ใฝ่ดีทั้งหลาย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับเวปวัดโฆสิตาราม
    พระสมเด็จหลังรูปเหมือนหลวงพ่อฟุ้งวัดสะเดา ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20230928_225110.jpg IMG_20230928_225132.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2023
  10. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,905
    ค่าพลัง:
    +6,826
    ขอจองครับ
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    https://www.blockdit.com/posts/62a7c9debbdd58dff8ea655b
    อ่านประวัติเรื่องรางของท่านตามลิ้งค์ด้านบนครับ เกจิอาจารย์ยุคเก่าของ จ. ธนบุรี ในปัจจุบัน คือฝั่งธน วัตถุมงคลของท่านมีที่หลวงปู่โต๊ะร่วมปลุกเสกด้วย
    ผ้ายันต์พระพุทธนิมิตรหลวงพ่ออ่องวัดใหม่พิเรนทร์ปี 2503 ให้บูชา 1000 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    ผ้ายันต์ยุคเก่า เอาไว้บูชาศึกษาลายยันต์ เนื้อผ้าในยุคนั้น ต้องเป็นยังไง หมึกที่พิมพ์


    IMG_20230928_233522.jpg
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1695934842041.jpg
    หลวงปู่สุต วัดปฐมพานิช เมื่อท่านละสังสังขารแล้ว ปรากฏว่าสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย กลับเหมือนคนนอนหลับไปเท่านั้น วัตถุมงคลท่านล้วนมีประสบการณ์ คนท้องที่หากันมากที่สุด พระพิมพ์สมเด็จเป็นสุดยอดมหามงคลของหลวงปู่ เป็นพระยุคต้นของท่านที่สร้างน้อย หายากสุดๆ พบเห็นกันไม่บ่อยนัก พระเครื่องของท่านทุกรุ่นทุกพิมพ์เป็นที่ต้องการของคนในพื้นที่อย่างมาก
    สมัยก่อนนั้นคนบ้านหมี่ที่เดิน ทางไปกราบหลวงพ่อเดิม ต้องนั่งรถจากสถานีรถไฟบ้านหมี่ ขึ้นเหนือไปลงที่สถานีรถไฟหนองโพ แล้วเดินเท้าต่อไปจนถึงวัดหนองโพ พอไปกราบท่านๆก็ถามว่ามาจากไหน เมื่อท่านรู้ว่ามาจากตลาดบ้านหมี่ ท่านก็ถามว่า "..มาทำไมตั้งไกล แค่เดินข้ามทางรถไฟไปก็มีพระอาจารย์ดีให้ไปกราบอยู่แล้ว.." (วัดปฐมพานิช อยู่คนละฝั่งของทางรถไฟสายเหนือ ตรงกันข้ามกับตลาดและที่ว่าการอำเภอบ้านหมี่) เรื่องเล่าสืบต่อกันมานี้แสดงให้เห็นว่าหลวงปู่สุต มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพมิใช่น้อย ดังปรากฎว่าเมื่อคราวใดที่หลวงพ่อเดิมเดินทางมาบ้านหมี่ (ท่านมักจะขี่ช้างมาวัดบ้านกล้วยบ้าง วัดกำแพงบ้าง) ท่านจะต้องแวะมาจำวัดที่วัดปฐมพานิชด้วยทุกครั้ง และหลวงพ่อเดิมท่านก็ต้องรู้ว่าหลวงปู่สุตเก่งเพียงใด พระสุดยอดเกจิอย่างหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพย่อมไม่กล่าวคำเท็จแน่นอน
    นอกจากนั้นกับหลวงพ่อโอด วัดจันเสน ที่มีศักดิ์เป็นหลานชายแท้ๆ ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ก็สนิทสนมกับหลวงปู่สุตมากเช่นกัน ท่านได้มาเข้าร่วมพิธีสำคัญของวัดปฐมพานิชเกือบทุกครั้ง โดยท่านจะเรียกว่าหลวงปู่สุตว่าหลวงพี่ ในฐานะศิษย์ร่วมสำนักของหลวงพ่อเดิม และเป็นศิษย์รุ่นน้องของหลวงปู่สุต ว่าก้นว่าหลวงปู่สุตสามารถรับการถ่ายทอดวิชาของหลวงพ่อเดิมมาได้จนหมดสิ้น
    ครบถ้วน
    FB_IMG_1695934941258.jpg
    หลวงปู่สุตท่านเคร่งพระธรรมวินัยอย่างยิ่ง และวัตถุมงคลของท่านก็หาได้ยากยิ่ง ลูกศิษย์ขอท่านสร้างมาหลายรุ่น ล้วนแต่เอามาแจกไว้เป็นที่ระลึกไว้ใช้แบ่งปันกันในหมู่ที่เคารพกันเท่านั้น ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก เรื่องความขลังและประสบการณ์ต่างรู้กันดีในพื้นทีีครับ
    หลวงปู่สุต หลวงพ่อโอด
    FB_IMG_1695981387204.jpg

    หลวงปู่สุต หลวงพ่อสังวาลย์
    FB_IMG_1695934938026.jpg
    หลวงพ่อเอียด หลวงปู่สุต
    FB_IMG_1695935012089.jpg

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลรูปถ่ายและที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงยอดขุนพลหลังรูปเหมือนผสมเกศาหลวงปู่สุดวัดปฐมพาณิชย์บ้านหมี่ลพบุรีปี 2537 ให้บูชาองค์ละ 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ พิธีใหญา เกจิอาจารย์มาเพียบ แบบมาเสกทีละองค์ ในโบสถ์ ก็มีด้วยนะครับ

    องค์ที่๑
    IMG_20230929_170407.jpg IMG_20230929_170447.jpg IMG_20230929_170334.jpg

    องค์ที่๒

    IMG_20230929_170542.jpg IMG_20230929_170619.jpg IMG_20230929_170513.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    วันนี้จัดส่ง

    1695991277275.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  14. หนึ่ง1

    หนึ่ง1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,639
    ลดได่บ่คับ
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    S__78733316.jpg
    หลวงปู่บุญทัน ท่านเป็นศิษย์องค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แห่งกองทัพธรรม
    หลวงปู่บุญทัน ท่านคือพระผู้มีประวัติโลดโผน มีความอัศจรรย์ทางจิตอยู่มาก
    หลวงปู่บุญทัน ท่านใช้เวลาศึกษาวิชาอาคมมาก่อนถึง ๗ ปี เต็มๆ นับได้ว่าอันวิชาเร้นลับสามารถแสดงฤทธิ์ให้เห็นได้นั้น มีความชํานาญอย่างยิ่งยวด
    กอปรด้วยยุคนั้น ชาวบ้านยังให้ความสําคัญในวิชานี้มาก ทั้งยังเชื่อถือเรื่องคุณไสยมากมายนัก
    หลวงปู่บุญทัน ฐิตปัญโญ เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๖ ปีจอ
    ณ บ้านค้อ หมู่ ๘ ตําบลหัวช้าง อําเภออุทุมพรพิสัย (อดีต อําเภอสําโรงใหญ่) จังหวัดศรีสะเกษ
    บิดาชื่อ นายกันยา แสนหมื่น มารดาชื่อ นางคํา แสนหมื่น อาชีพรับจ้างและทํานา
    ชีวิตแต่เยาว์วัยของหลวงปู่บุญทัน มีแต่ความทุกข์ยากลําบากอย่างแสนเข็ญ มีความเศร้าโหดร้ายอาภัพอับจน ต้องต่อสู้กับชีวิต และวิบากกรรมอย่างสุดลําเค็ญ
    หลังจากชีวิตผ่านความวิปโยคมาได้ ๑๖ ปี บิดาได้นําไปบวชเณร ณ วัดเจียงอีศรีมงคล โดย หลวงปู่สังข์ทอง เป็นพระอุปัชฌาย์
    สมัยเป็นเณรบุญทัน ท่านก็ได้ช่วยเหลือผู้คนญาติโยม ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บมาโดยตลอด
    แต่หลังจากบวชเณรไม่นาน ก็ต้องลาสึกไปช่วยงานทํานาของบิดาและน้อง ๆ
    เมื่ออายุได้ ๒๒ ปีเต็มบริบูรณ์ ท่านได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโพนค้อ อําเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ.๒๔๗๕
    โดย ท่านพระครูเกษตรศีลาจารย์ (สังข์ทอง) เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นพระฝ่ายมหานิกายในตอนแรก ๆ
    บวชแล้วก็ได้ออกเดินธุดงค์ มุ่งสู่สํานักต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ทั้งในประเทศไทย เขมร ลาว พม่า เป็นต้น
    หลวงปู่บุญทัน เคยอยู่ศึกษากับลูกศิษย์ของ สําเร็จลุน แห่งนครจําปาศักดิ์ ซึ่งสามารถเดินบนน้ํา เดินกลางอากาศหายตัวได้ทุกอย่าง
    ชีวิตที่โลดโผนฝึกฝนอvยู่กับ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้น ท่านมา ทราบเอาภายหลังว่า
    logo
    ประวัติพระเกจิ
    พระธาตุศักดิ์สิทธิ์
    พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
    ปาฏิหาริย์พระเครื่อง
    ฆราวาสจอมขมังเวทย์
    ธรรมะพระอริยสงฆ์
    วัดที่สําคัญ
    ค้นหา
    หลวงปู่บุญทัน ฐิตปัญโญ วัดป่าประดู่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
    ประวัติพระเกจิ
    04 พ.ย. 2020 8894
    share tweet share
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่บุญทัน ฐิตปัญโญ
    วัดป่าประดู่
    อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
    หลวงปู่บุญทัน ฐิตปัญโญ วัดป่าประดู่
    หลวงปู่บุญทัน ฐิตปัญโญ วัดป่าประดู่
    หลวงปู่บุญทัน ท่านเป็นศิษย์องค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แห่งกองทัพธรรม
    หลวงปู่บุญทัน ท่านคือพระผู้มีประวัติโลดโผน มีความอัศจรรย์ทางจิตอยู่มาก
    หลวงปู่บุญทัน ท่านใช้เวลาศึกษาวิชาอาคมมาก่อนถึง ๗ ปี เต็มๆ นับได้ว่าอันวิชาเร้นลับสามารถแสดงฤทธิ์ให้เห็นได้นั้น มีความชํานาญอย่างยิ่งยวด
    กอปรด้วยยุคนั้น ชาวบ้านยังให้ความสําคัญในวิชานี้มาก ทั้งยังเชื่อถือเรื่องคุณไสยมากมายนัก
    หลวงปู่บุญทัน ฐิตปัญโญ เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๑๕ ค่ํา เดือน ๖ ปีจอ
    ณ บ้านค้อ หมู่ ๘ ตําบลหัวช้าง อําเภออุทุมพรพิสัย (อดีต อําเภอสําโรงใหญ่) จังหวัดศรีสะเกษ
    บิดาชื่อ นายกันยา แสนหมื่น มารดาชื่อ นางคํา แสนหมื่น อาชีพรับจ้างและทํานา
    ชีวิตแต่เยาว์วัยของหลวงปู่บุญทัน มีแต่ความทุกข์ยากลําบากอย่างแสนเข็ญ มีความเศร้าโหดร้ายอาภัพอับจน ต้องต่อสู้กับชีวิต และวิบากกรรมอย่างสุดลําเค็ญ
    หลังจากชีวิตผ่านความวิปโยคมาได้ ๑๖ ปี บิดาได้นําไปบวชเณร ณ วัดเจียงอีศรีมงคล โดย หลวงปู่สังข์ทอง เป็นพระอุปัชฌาย์
    สมัยเป็นเณรบุญทัน ท่านก็ได้ช่วยเหลือผู้คนญาติโยม ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บมาโดยตลอด
    แต่หลังจากบวชเณรไม่นาน ก็ต้องลาสึกไปช่วยงานทํานาของบิดาและน้อง ๆ
    เมื่ออายุได้ ๒๒ ปีเต็มบริบูรณ์ ท่านได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโพนค้อ อําเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ.๒๔๗๕
    โดย ท่านพระครูเกษตรศีลาจารย์ (สังข์ทอง) เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นพระฝ่ายมหานิกายในตอนแรก ๆ
    บวชแล้วก็ได้ออกเดินธุดงค์ มุ่งสู่สํานักต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ทั้งในประเทศไทย เขมร ลาว พม่า เป็นต้น
    หลวงปู่บุญทัน เคยอยู่ศึกษากับลูกศิษย์ของ สําเร็จลุน แห่งนครจําปาศักดิ์ ซึ่งสามารถเดินบนน้ํา เดินกลางอากาศหายตัวได้ทุกอย่าง
    หลวงปู่สมเด็จลุน (สำเร็จลุน) วัดเวินไซ ສົມເດັດລຸນ ວັດເວີນໄຊ
    หลวงปู่สมเด็จลุน (สำเร็จลุน) วัดเวินไซ ສົມເດັດລຸນ ວັດເວີນໄຊ
    ชีวิตที่โลดโผนฝึกฝนอยู่กับ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้น ท่านมา ทราบเอาภายหลังว่า
    “โอ… หลงทางเสียเวลาไปตั้ง ๗ ปี ดีที่หันมาพบหนทาง…”
    ต่อมา ท่านเดินธุดงค์มาพบกับพระสหธรรมิกเก่าแก่ คือ หลวงปู่บุญมี แห่งวัดทุ่งสว่าง จังหวัดหนองคาย และยังได้พบกับ ท่านพระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน ผู้เป็นลูกศิษย์อันลือเลื่องของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    จึงเกิดศรัทธาในข้อวัตร และ ได้ทําการแปรญัตติใหม่เพื่อเป็นการเข้าสู่หมู่ท้องโดยใจเคารพ
    การแปรญัตติเป็นคณะธรรมยุตนั้น ท่านได้เดินทางมายังวัดสว่างชัยศรี อําเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์
    โดยมี ท่านพระครูปฏิภาณธรรมคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ (ได้รับฉายาว่า “ฐิตปัญโญ ภิกขุ”
    หลังจากแปรญัตติแล้ว ท่านได้อยู่จําพรรษา วัดสว่างชัยศรี โดยสังกัดวัดนี้มาโดยตลอด
    ครั้นออกพรรษา ท่านก็ได้มุ่งสู่ราวป่าเดินธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆ ร่วมกับพระสหธรรมิก เพื่อมุ่งหวังว่าจะได้กราบและถวายตัว เป็นศิษย์กับหลวงปู่มั่น
    แล้วในที่สุด ท่านหลวงปู่บุญทัน ก็สามารถติดตามมาจนพบ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ณ เมืองเชียงใหม่ ซึ่งได้พบกับ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ด้วย
    ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหนทางของพระธุดงคกรรมฐาน และผู้ปฏิบัติหวังทางพ้นทุกข์ คือพระ นิพพาน
    ผู้ปฏิบัติ หลวงปู่บุญทันท่าน สอนไว้ว่า
    “อย่าส่งจิตออกนอก ตัวตน ไม่มี มีแต่ผู้รู้อยู่เฉพาะหน้าเท่านั้น”
    จิตเป็นตัวรู้เรื่องทุกข์ เรื่องสุข รู้ดี รู้ชั่ว ก่อนรู้อะไรต่างๆ โดยละเอียดนั้น จะต้องทําจิตตั้งมั่นดีแข็งแรงเสียก่อน
    สมถภาวนานี้ ต้องแข็งจริงๆ มีความสงบจริงๆ แน่วแน่… มั่นคงตรงดีจริงๆ จากนั้นจึงดําเนินจิตเข้าสู่วิปัสสนา
    มันจะยากตอนแรกๆ จะงุนงงสงสัยก็ตอนแรก ๆ มันอยากจะพูด อยากจะถาม คันปากคันคอก็ตอนแรกๆนี้เอง ต่อไปขนาดเขี่ยมันก็ยังไม่ว่า ให้พูดมันก็เฉยเสีย สงบระงับดับฟุ้งซ่านได้หมด
    ทําจริงๆ เถิดจะพบกับของจริง ธรรมะแท้อยู่ที่ตัวบุคคล พระพุทธเจ้าทรงดําเนินมาแล้ว ท่านปูทางแห่งนิโรธธรรมอย่างแท้จริง จึงเป็นหนทางแห่งความดับทุกข์ ขั้นสูงไงล่ะ….”
    ชีวิตอันผาดโผนของหลวงปู่บุญทันได้รุดหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนสุดท้ายแห่งความตาย ตายเป็นการดับทุกอย่างลงอย่าง สิ้นเชิง
    แต่หลวงปู่บุญทันท่านดับได้ ด้วยสติปัญญา นับได้ว่าเหนือกว่า บุคคลธรรมดาๆ มากนัก ไป
    ท่านละโลกอันเป็นสังขารนี้ไปแล้ว พร้อมกับธรรมะข้อปฏิบัติ หวังความพ้นทุกข์ใจ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญใบโพธิ์หลวงปู่บุญทันรุ่นประสบการณ์ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20231001_201015.jpg IMG_20231001_201039.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2023
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    227-b9dd(2).gif
    ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ของพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นับได้ว่า เราชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาประจําชาติ ได้สูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ปรีชายิ่งไปอีกพระองค์หนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ปีฉลู
    แต่ชาวพุทธทุกคน ก็ได้อีกสิ่งหนึ่งมา คือ พระอริยสงฆ์ไทยนั้นคือ ท่านเจ้าคุณนรฯ หรือที่ เราเรียกตามฉายาท่านว่า ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ เพราะท่านได้อุปสมบทหน้าพระเพลิง อย่างสามัญชนเรียกว่า “บวชหน้าไฟ” และท่านได้ครองสมณเพศตลอดมาจนถึงมรณภาพ ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุ มีนาม เดิมว่า ตรึก จินตยานนท์ เกิดเมื่อ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๐ ตรงกับวันเสาร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีระกา
    ท่านเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ ท่านเป็นบุตรคนแรกของ พระยานรราชภักดี (ตรอง จินตยานนท์) และ นางนรราชภักดี (พุก จินตยานนท์)
    การศึกษา ท่านมีความสามารถพิชิตผลสอบได้ที่ ๑ ของประเทศไทย เพราะสมัยนั้นมีโรงเรียนต่างๆ มาเข้าสนามสอบรวมกันในที่เดียว ต่อมาท่านได้เป็นบัณฑิต จุฬารุ่นแรก
    ความเป็นจริงท่านมีความประสงค์จะเป็นนักปกครองสืบตระกูลจากบิดา การศึกษาขั้นสูงจบบริบูรณ์ ก็มีเหตุผลักดันชีวิตไปอีกทางหนึ่ง คือ ได้มีการซ้อมรบเสือป่า ท่านต้องเข้าซ้อมรบด้วย
    ท่านมีรูปร่างแบบบาง ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ จึงรับสั่งว่า “ตัวเล็กๆ อย่างนี้ ถ้านําข่าวไปแล้ว ถูกข้าศึกดักทําร้ายจะสู้ไหวหรือ” ท่านเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ กราบบังคมทูลว่า “ต้องลองสู้กันดูก่อน ส่วนจะสู้ไหวหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” เพียงประโยคเดียวล้นเกล้าฯ ร.๖ ทรงพอพระราชหฤทัยมาก แล้วในที่สุดท่านก็ได้รับราชการ อยู่ในพระราชวังแต่บัดนั้นมา
    ในชีวิตการงานของท่านเจ้าคุณนรฯ นับได้ว่าท่านมีบารมีสูงล้ำ เพราะท่านได้เป็นพระยาพานทอง ตั้งแต่อายุเพียง ๒๕ ปีเท่านั้น จะถือได้ว่าเป็นความสําเร็จอย่างสูงสุด จะใครมีวาสนาเช่นนี้น้อยเหลือเกิน
    ความจงรักภักดีของท่านนั้น “ประเสริฐยิ่ง” ตลอดเวลา ๑๐ ปี ท่านสนองพระเดชพระคุณอย่างใกล้ชิด ขณะอยู่กันเพียงลําพัง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกระแสรับสั่งว่า “ตรึก นี่เราเป็นเพื่อนกันนะ แต่เวลาออกงานออกการแล้ว เราจึงจะ เป็นเจ้าเป็นข้ากัน”
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ท่านได้อุปสมบทอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ล้นเกล้าฯ ร.๖ เมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ณ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ โดยมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอุดมศีลคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระพุทธวิริยากร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ
    logo
    ประวัติพระเกจิ
    พระธาตุศักดิ์สิทธิ์
    พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
    ปาฏิหาริย์พระเครื่อง
    ฆราวาสจอมขมังเวทย์
    ธรรมะพระอริยสงฆ์
    วัดที่สําคัญ
    ค้นหา
    เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทร์
    ประวัติพระเกจิ
    29 ธ.ค. 2020 5393
    share tweet share
    ประวัติและปฏิปทา
    เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)
    วัดเทพศิรินทร์
    เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ
    เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทร์
    เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทร์
    ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ของพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นับได้ว่า เราชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาประจําชาติ ได้สูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ปรีชายิ่งไปอีกพระองค์หนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ปีฉลู
    แต่ชาวพุทธทุกคน ก็ได้อีกสิ่งหนึ่งมา คือ พระอริยสงฆ์ไทยนั้นคือ ท่านเจ้าคุณนรฯ หรือที่ เราเรียกตามฉายาท่านว่า ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ เพราะท่านได้อุปสมบทหน้าพระเพลิง อย่างสามัญชนเรียกว่า “บวชหน้าไฟ” และท่านได้ครองสมณเพศตลอดมาจนถึงมรณภาพ ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุ มีนาม เดิมว่า ตรึก จินตยานนท์ เกิดเมื่อ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๐ ตรงกับวันเสาร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีระกา
    ท่านเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ ท่านเป็นบุตรคนแรกของ พระยานรราชภักดี (ตรอง จินตยานนท์) และ นางนรราชภักดี (พุก จินตยานนท์)
    การศึกษา ท่านมีความสามารถพิชิตผลสอบได้ที่ ๑ ของประเทศไทย เพราะสมัยนั้นมีโรงเรียนต่างๆ มาเข้าสนามสอบรวมกันในที่เดียว ต่อมาท่านได้เป็นบัณฑิต จุฬารุ่นแรก
    ความเป็นจริงท่านมีความประสงค์จะเป็นนักปกครองสืบตระกูลจากบิดา การศึกษาขั้นสูงจบบริบูรณ์ ก็มีเหตุผลักดันชีวิตไปอีกทางหนึ่ง คือ ได้มีการซ้อมรบเสือป่า ท่านต้องเข้าซ้อมรบด้วย
    ท่านมีรูปร่างแบบบาง ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ จึงรับสั่งว่า “ตัวเล็กๆ อย่างนี้ ถ้านําข่าวไปแล้ว ถูกข้าศึกดักทําร้ายจะสู้ไหวหรือ” ท่านเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ กราบบังคมทูลว่า “ต้องลองสู้กันดูก่อน ส่วนจะสู้ไหวหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” เพียงประโยคเดียวล้นเกล้าฯ ร.๖ ทรงพอพระราชหฤทัยมาก แล้วในที่สุดท่านก็ได้รับราชการ อยู่ในพระราชวังแต่บัดนั้นมา
    ในชีวิตการงานของท่านเจ้าคุณนรฯ นับได้ว่าท่านมีบารมีสูงล้ำ เพราะท่านได้เป็นพระยาพานทอง ตั้งแต่อายุเพียง ๒๕ ปีเท่านั้น จะถือได้ว่าเป็นความสําเร็จอย่างสูงสุด จะใครมีวาสนาเช่นนี้น้อยเหลือเกิน
    ความจงรักภักดีของท่านนั้น “ประเสริฐยิ่ง” ตลอดเวลา ๑๐ ปี ท่านสนองพระเดชพระคุณอย่างใกล้ชิด ขณะอยู่กันเพียงลําพัง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกระแสรับสั่งว่า “ตรึก นี่เราเป็นเพื่อนกันนะ แต่เวลาออกงานออกการแล้ว เราจึงจะ เป็นเจ้าเป็นข้ากัน”
    ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ท่านได้อุปสมบทอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ล้นเกล้าฯ ร.๖ เมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ณ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ โดยมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอุดมศีลคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระพุทธวิริยากร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ”
    เมื่อบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ แล้วท่านได้หมั่นศึกษาพระธรรมวินัยด้วยดีโดยตลอดไม่เคยขาด ทําวัตรลงพระอุโบสถตลอด ๔๐ กว่าปีที่ท่านบวชมา จะมีขาดเพียง วันเดียว ด้วยอาพาธเท่านั้น
    การปฏิบัติสมาธิภาวนา ท่านมีความชํานาญการดําเนินจิต เพราะท่านเคยปฏิบัติมาก่อนสมัยเป็นฆราวาส ท่านเคยไปนั่งภาวนาในป่าช้า ท่านเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ ท่านบําเพ็ญภาวนาเสมอไม่เคยขาดใน เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านอาศัยกุฏิของท่านจําพรรษานั้นเป็น สัปปายะทางใจ เมื่อจิตใจท่านสงบแล้ว ความเป็นสัปปายะย่อมเกิดมีขึ้นได้เสมอในทุกโอกาส
    การเพ่งภาวนาธรรม ท่านพิจารณา “กระดูก” เพราะภายในกุฏิของท่านมีโครงกระดูกแขวนอยู่ ทําให้ท่านน้อมถึงหลักความจริงในกฎพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง เช่นนี้แล้ว ทําให้จิตใจของท่านเข้มแข็งมั่นคงเด็ดเดี่ยว จะเห็นได้เมื่อคราวที่ท่านอาพาธ ด้วยโรคมะเร็งอย่างหนัก ท่านไม่เคยแสดงอาการอันใดให้จิตมัวหมอง ท่านอาศัยความเป็นหนึ่งแห่งภูมิจิตภูมิธรรมเท่านั้น
    จิตใจที่เคลือบแฝงไว้ด้วยคุณธรรมนั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ เป็นพระภิกษุผู้มีวาสนาบารมีมากองค์หนึ่ง กล่าวคือ…
    ท่านมีความสนใจในเรื่องปฏิบัติภาวนากรรมฐาน ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส ท่านมักจะหลบหนีผู้คนเข้าหาที่อันเป็นสัปปายะ ดําเนินจิตเข้าสู่องค์สมาธิเสมอ ๆ
    ในการปฏิบัติสมาธิภาวนานี้ บรรดาท่านครูบาอาจารย์ผู้รู้ทั้งหลาย กล่าวตักเตือนไว้ว่า การที่จะมุ่งจิตให้เข้าสู่แดนเกษมได้นั้น ต้องอาศัยความพาก เพียรและความอดทนอดกลั้นทั้งปวง
    ซึ่งกระแสแห่งโลกธรรมนี้ มีกระแสพัดพาได้รุนแรงมาก ฉะนั้น ผู้จะดําเนินจิตให้ผ่านพ้น กระแสโลกที่พัดเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ต้องอาศัยหลักนี้ เข้าฟันฝ่า โต้คลื่นโต้ลมกิเลสให้ผ่านพ้นไปจงได้ เราจะต้องอาศัยธรรมะและกําลังใจ สัจจะความจริงนี้แหละ จึงจะผ่านพ้นกระแสมันได้ จึงจะได้ชื่อว่า “เป็นบุคคลผู้ไม่มีความประมาท ที่มีการปฏิบัติธรรมเป็นต้น”
    ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทในเรื่องนี้ ท่านจะแอบไปหาสถานที่อันวิเวก นั่งสมาธิทําความสงบอยู่ในป่าช้าโดยลําพังเสมอ ๆ ท่านพิจารณาธรรมความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าเป็นสิ่งธรรมดาในโลก ที่วนเวียนเปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกขณะจิต
    จิตใจของท่าน นับตั้งแต่อุทิศชีวิตเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ จนได้อรรถธรรมชั้นสูง และเป็นช่วงเวลาอันยาวนานถึง ๔๖ พรรษา ท่านมิเคยว่างเว้นในการเจริญพรหมวิหารธรรม แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้แก่บุคคลโดย เฉพาะและสรรพสัตว์ทั้งปวง ให้ได้รับความสุขความเจริญ ในทางโลกและทางธรรมอยู่เป็นนิจ
    เพราะท่านได้มองเห็นทุกข์ ในหมู่สัตว์โลกโดยทั่วหน้า ดังนี้ว่า “ไม่มีความสุขใดๆ ในชีวิต ฆราวาส ที่จะไม่มีความทุกข์ ที่แทรกซ้อนอยู่ในความสุขนั้น ๆ”
    วาระสุดท้ายของท่านมาถึง เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ท่านเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ ได้ละจากโลกไปแล้ว คงเหลือไว้แต่คุณ งามความดีที่ได้กระทําไว้ทั้งทางโลกและทางธรรม
    ทางโลกนั้น ท่านเป็นยอดของความกตัญญูรู้คุณ แด่ล้น เกล้าฯ ร.๖
    ทางธรรม ท่านเป็นยอดของการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา และรู้แจ้งในธรรมองค์หนึ่งแห่งยุค

    ประวัติพระเกจิ

    อภินิหาร เจ้าคุณนรรัตน์ แห่งวัดเทพศิรินทร์
    ปาฏิหาริย์พระเครื่อง
    09 พ.ย. 2020 7509
    share tweet share
    อภินิหาร เจ้าคุณนรรัตน์ แห่งวัดเทพศิรินทร์
    ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์
    ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์
    ของข้าพเจ้า ที่ได้ประสบกับอภินิหารของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ด้วยตัวเอง จะเป็นไปได้เพียงไร ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดู เอาเองเถอะครับว่า สมควรจะเชื่อหรือไม่เพียงใด นอกจากนั้นยังได้ผนวกเรื่องของบุคคลอื่นที่ประสบมา เข้าไปด้วยเพื่อ ความสมบูรณ์ แม้ว่าจะเป็นการล่วงเกิน ต่อดวงวิญญาณของพระคุณเจ้า ก็ขอโปรดงด โทษภัยให้กับผู้เขียนด้วย
    สองปีที่แล้วมานี้ ผู้เขียนอยู่ในฐานะลําบากเพราะตกงาน รายได้ที่จะจุนเจือครอบครัว ก็ค่อนข้างจะฝืดเอามากๆทีเดียว ทั้งๆที่ได้พยายามช่วยตัวเองอย่างเต็มที่ทุกทาง ผู้เขียนได้เคยไปหาคุณตริ จินตริยานนท์ อันเป็นนองชาย ของพระคุณเจ้านรรัตน์หลายหน และถือโอกาส นมัสการเถ้าบุพโพ ที่ตั้งอยู่ที่บ้านของท่านที่หลังวัดโสมนัสวิหาร และยังได้รับคําบอกเล่า จากบุคคลอีกหลายฝ่ายว่า แม้ว่าพระคุณเจ้าจะล่วงลับไปแล้ว แต่ดวงพระวิญญาณของท่านยังคงให้ความร่มเย็น แก่ผู้เคารพนับถืออยู่เสมอ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้บอกกับผู้เขียนว่า
    “ท่านชอบคนจน ใครขัดสนหรือจนยาก มีความสุจริตแล้วท่านอาจช่วยได้”
    ขอให้ไปนมัสการที่มณฑปอันประดิษฐานอัฐิและอังคารของท่านที่วัดเทพศิรินทร์
    ผู้เขียนไม่รอช้า ตื่นขึ้นแต่เช้าหาดอกไม้ธูปเทียน นั่งรถไปวัดเทพศิรินทร์ถามหาทางไปมณฑปและเข้าไปกราบนมัสการ จุดธูปเทียน ถวายดอกไม้ แล้วกล่าวอธิษฐานว่า
    “กระผมตกงาน มีความฝืดเคืองในด้านการประกอบอาชีพ ขอบารมีของพระคุณเจ้า ช่วยกระผมให้พบหนทางดําเนินชีวิต ที่คล่องตัวบ้างและถ้ากระผมจะได้รับพร และท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ ทางช่วยคนจนแล้ว ขอให้กระผมได้วัตถุมงคล ที่ท่านได้ ปลุกเสกไว้ อย่างปาฏิหารย์ด้วย เทอญ”
    เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนเดิน เข้าสนามพระท่าพระจันทร์ เพื่อทําธุระบางอย่าง ในทันใดนั้นผู้เขียน ก็เหลือบไปเห็นเขากําลังมุงดูอะไรอยู่ จึงเร่เข้าไปดู ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่ง กําลังนําเอาวัตถุมงคลมาให้เช่า เป็นเหรียญกลมสีขาววาววับ คนที่มุงดูอยู่ ก็ดูกันแล้วก็พูดว่าเก๊นี่นา ไม่เอาของแท้มาขายนี่แล้วก็คนเหรียญให้ และเลิกมุงดู ผู้เขียนจึงเดินตามไปและถามชายผู้นั้นว่า
    “คุณเอาเหรียญอะไร มาให้เช่า”
    เขาควักเหรียญออกจากกระเป๋าส่งให้ผู้เขียนและบอกว่า ผมหาค่ารถกลับบ้านเขาว่าของเก๊ ผมเอาห้าสิบบาทครับลดไม่ได้ เป็นค่ารถพอดี ผู้เขียนขนลุกเพราะสิ่งนั้นคือ เหรียญโภคทรัพย์เนื้อเงิน ชนิดเล็ก ด้านหน้าเป็นรูปท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ที่พระมหาสงัด สุวิเวโกเป็นผู้สร้าง แท้แน่นอน อะไรกันนี่ทั้งๆ ทีมที่มุงดูอยู่ก่อนนั้นชํานาญการซื้อขายเหรียญนี้ทุกคน แต่เขากลับว่าเก๊ ผู้เขียนตกลงซื้อไว้และนํามาเลี่ยมตลับแสตนเลส นําไปให้ผู้ชํานาญดูปรากฏว่า แท้แน่นอน จึงเก็บเอาไว้กับตัว พร้อมทั้งบูชาอยู่เป็นประจำ
    logo
    ประวัติพระเกจิ
    พระธาตุศักดิ์สิทธิ์
    พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
    ปาฏิหาริย์พระเครื่อง
    ฆราวาสจอมขมังเวทย์
    ธรรมะพระอริยสงฆ์
    วัดที่สําคัญ
    ค้นหา
    อภินิหาร เจ้าคุณนรรัตน์ แห่งวัดเทพศิรินทร์
    ปาฏิหาริย์พระเครื่อง
    09 พ.ย. 2020 7509
    share tweet share
    อภินิหาร เจ้าคุณนรรัตน์ แห่งวัดเทพศิรินทร์
    ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์
    ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์
    ของข้าพเจ้า ที่ได้ประสบกับอภินิหารของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ด้วยตัวเอง จะเป็นไปได้เพียงไร ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดู เอาเองเถอะครับว่า สมควรจะเชื่อหรือไม่เพียงใด นอกจากนั้นยังได้ผนวกเรื่องของบุคคลอื่นที่ประสบมา เข้าไปด้วยเพื่อ ความสมบูรณ์ แม้ว่าจะเป็นการล่วงเกิน ต่อดวงวิญญาณของพระคุณเจ้า ก็ขอโปรดงด โทษภัยให้กับผู้เขียนด้วย
    สองปีที่แล้วมานี้ ผู้เขียนอยู่ในฐานะลําบากเพราะตกงาน รายได้ที่จะจุนเจือครอบครัว ก็ค่อนข้างจะฝืดเอามากๆทีเดียว ทั้งๆที่ได้พยายามช่วยตัวเองอย่างเต็มที่ทุกทาง ผู้เขียนได้เคยไปหาคุณตริ จินตริยานนท์ อันเป็นนองชาย ของพระคุณเจ้านรรัตน์หลายหน และถือโอกาส นมัสการเถ้าบุพโพ ที่ตั้งอยู่ที่บ้านของท่านที่หลังวัดโสมนัสวิหาร และยังได้รับคําบอกเล่า จากบุคคลอีกหลายฝ่ายว่า แม้ว่าพระคุณเจ้าจะล่วงลับไปแล้ว แต่ดวงพระวิญญาณของท่านยังคงให้ความร่มเย็น แก่ผู้เคารพนับถืออยู่เสมอ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้บอกกับผู้เขียนว่า
    “ท่านชอบคนจน ใครขัดสนหรือจนยาก มีความสุจริตแล้วท่านอาจช่วยได้”
    ขอให้ไปนมัสการที่มณฑปอันประดิษฐานอัฐิและอังคารของท่านที่วัดเทพศิรินทร์
    ผู้เขียนไม่รอช้า ตื่นขึ้นแต่เช้าหาดอกไม้ธูปเทียน นั่งรถไปวัดเทพศิรินทร์ถามหาทางไปมณฑปและเข้าไปกราบนมัสการ จุดธูปเทียน ถวายดอกไม้ แล้วกล่าวอธิษฐานว่า
    “กระผมตกงาน มีความฝืดเคืองในด้านการประกอบอาชีพ ขอบารมีของพระคุณเจ้า ช่วยกระผมให้พบหนทางดําเนินชีวิต ที่คล่องตัวบ้างและถ้ากระผมจะได้รับพร และท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ ทางช่วยคนจนแล้ว ขอให้กระผมได้วัตถุมงคล ที่ท่านได้ ปลุกเสกไว้ อย่างปาฏิหารย์ด้วย เทอญ”
    เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนเดิน เข้าสนามพระท่าพระจันทร์ เพื่อทําธุระบางอย่าง ในทันใดนั้นผู้เขียน ก็เหลือบไปเห็นเขากําลังมุงดูอะไรอยู่ จึงเร่เข้าไปดู ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่ง กําลังนําเอาวัตถุมงคลมาให้เช่า เป็นเหรียญกลมสีขาววาววับ คนที่มุงดูอยู่ ก็ดูกันแล้วก็พูดว่าเก๊นี่นา ไม่เอาของแท้มาขายนี่แล้วก็คนเหรียญให้ และเลิกมุงดู ผู้เขียนจึงเดินตามไปและถามชายผู้นั้นว่า
    “คุณเอาเหรียญอะไร มาให้เช่า”
    เขาควักเหรียญออกจากกระเป๋าส่งให้ผู้เขียนและบอกว่า ผมหาค่ารถกลับบ้านเขาว่าของเก๊ ผมเอาห้าสิบบาทครับลดไม่ได้ เป็นค่ารถพอดี ผู้เขียนขนลุกเพราะสิ่งนั้นคือ เหรียญโภคทรัพย์เนื้อเงิน ชนิดเล็ก ด้านหน้าเป็นรูปท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ที่พระมหาสงัด สุวิเวโกเป็นผู้สร้าง แท้แน่นอน อะไรกันนี่ทั้งๆ ทีมที่มุงดูอยู่ก่อนนั้นชํานาญการซื้อขายเหรียญนี้ทุกคน แต่เขากลับว่าเก๊ ผู้เขียนตกลงซื้อไว้และนํามาเลี่ยมตลับแสตนเลส นําไปให้ผู้ชํานาญดูปรากฏว่า แท้แน่นอน จึงเก็บเอาไว้กับตัว พร้อมทั้งบูชาอยู่เป็นประจำ
    เหรียญโภคทรัพย์ เจ้าคุณนรฯ เนื้อนวะ
    เหรียญโภคทรัพย์ เจ้าคุณนรฯ เนื้อนวะ
    ตั้งแต่วันนั้นมา ผู้เขียนก็ ทํามาหากินคล่องไม่ว่าจะทําอะไร ก็มีผลกําไรมีคนอุปถัมภ์ค้ําชู รายได้ก็พอกินพอใช้ สมดังกับที่ได้ขอพรจากท่านไว้ แม้ว่าจะมีคนมาให้ราคา สูงผู้เขียนก็หวง ในที่สุดเมื่อผู้เขียน ได้รับการทาบทามจากเพื่อนๆ และจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ให้มาทําหนังสือร่วมกันผู้เขียน ตกลงใจทําแต่ขัดว่ายังหากล้องถ่ายรูปชนิดถอดเปลี่ยนเลนซ์ไม่ได้ จึงนั่งนึกอยู่ว่าจะหาอย่างไรดี สตางค์ก็ไม่พอท่านผู้อ่านที่เคารพ ผู้เขียนนั่งหาทางอยู่หลายวัน จึงมีนักเขียนรุ่นพี่คนนึงมาคุยด้วย ผู้เขียนจึงปรึกษาเรื่องจะหาเงินซื้อกล้อง เขาจึงบอกว่าเขามีกล้องแคนนอนอยู่อันหนึ่ง ถอดเล็นซ์ได้ ราคาก็หลายพัน ผู้เขียน ก็นึงถึงบังเอิญที่เขาเหลือบมาเห็นกระเป๋าของผู้เขียน มีแหนบเหน็บอยู่จึงดึงออกมาดู เห็นเป็นเหรียญโภคทรัพย์จึงถามขอเช่าต่อผู้เขียนก็ไม่ยอมให้ ในที่สุดเขาจึงขอแลกกล้องแคนนอนกับเหรียญทั้งๆ ที่ราคากล้อง มากกว่าหลายเท่า แต่เขานับถือท่านและอยากได้พร้อมทั้งย้ำว่า เขาไม่เอาไปขาย หรือเอาไปแลกอะไรทั้งนั้น จะเอาไว้ใช้ผู้เขียนขนลุกอีกครั้งหนึ่งดูเถอะครับ ผมขัดสนท่านก็ช่วย พอจะได้งานทําหนังสือ ขาดอุปกรณ์สําคัญท่านก็บันดาลให้ได้
    ทุกวันนี้ผู้ขียนก็ได้อาศัยกล้องตัวนี้ ทํามาหากินทุกครั้งที่สะพายออกไปทํางาน ก็ระลึกถึงบารมีของท่าน ผู้เขียนได้ไปกราบเถ้าอังคารของท่านที่บ้านคุณตริอีกครั้งหนึ่ง เล่าเรื่องให้ฟังคุณตริยิ้ม และบอกว่าเจ้าคุณพี่ท่านชอบช่วยคนจน และได้มอบของสิ่งหนึ่งมาให้ผม ในฐานะที่เคารพจริง ของสิ่งที่ผู้เขียนถือว่าเป็นของมงคลยิ่งในชีวิตและนําไปบูชาอยู่ที่บ้านทุกวันนี้ นี่แหละครับ เรื่องที่ผู้เขียนประสบมา ท่านผู้อ่านที่เคารพ ถ้าท่านมีเรื่องเดือดร้อน และคิดว่าท่านจะเป็นที่พึ่งของท่านได้ ก็ขอให้ไปนมัสการท่าน ที่มณฑปเถิดครับ ถ้าเป็นเรื่องอันสุจริตและไม่ผิดศีลธรรม ผู้เขียนคิดว่า อาจจะช่วยได้นะครับ
    ทุกวันนี้ ผู้เขียนถ้ามีเวลาว่างในวันพระ ก็มักจะนําดอกไม้ธูปเทียนไปนมัสการท่านที่มณฑปและที่กุฏิ เพื่อระลึกถึงพระคุณของท่าน แม้ว่าตอนที่ท่านทรงสังขารอยู่ จะไม่ได้รู้จักหรือได้เฝ้าท่านได้ แต่ท่านก็ยังแผ่บารมีมาช่วย และอย่าลืมนะครับว่าทุกวันนี้ ที่บ้านของคุณตริหลัง วัดโสมนัสวิหาร ก็เปิดประตูเสมอ สําหรับผู้ที่เคารพในพระคุณเจ้า จะเข้าไปกราบบุพโพของท่านและอีกทั้งยังเป็นที่ตั้ง ของมูลนิธิของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ด้วย ไปกราบท่านแล้ว ก็ได้คุยกับคนตริ ถึงเรื่องพระคุณเจ้า ผมว่ามีแต่กําไรครับ
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างส่งครับ
    เหรียญพระพุทธมงคลนายกวัดวังกระโจมปี 2512 เจ้าคุณนรอธิษฐานจิตให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งผล 30 บาทครับ
    เหรียญสภาพสวยสมบูรณ์ มีเข็มกลัด สมัยก่อนวัตถุมงคลท่านอันกับต้นๆ ของประเทศ(ปิดรายการ)
    IMG_20231001_201627.jpg IMG_20231001_201658.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2023
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337

    หลวงปู่ทวดหลวงพ่อพูนวัดบ้านแพนให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20231001_203907.jpg IMG_20231001_203937.jpg IMG_20231001_203843.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,707
    ค่าพลัง:
    +21,337
    chjlmotx1457 (1).jpg
    เมื่อวานนี้ (19 มีนาคม 2561) เวลาประมาณ 19.19 น. พระครูมงฺคลนวการ หรือหลวงพ่อฉาบ มงฺคโล พระเกจิแห่งเมืองสิงห์บุรี พระอริยสงฆ์สุปฎิปันโนผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบมีชื่อเสียงปฎิปทาเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิชน ได้ละสังขารลงที่วัดอย่างสงบ สิริอายุ 89 ปี 7 เดือน ท่ามกลางความเศร้าสลดของศิษยานุศิษย์
    โดยในเวลา 17.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ โดยมีนายสุทธา สายวานิชย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี เป็นประธานในพิธี และจะมีพิธีสวดอภิธรรมศพ เป็นเวลา 9 วัน ณ ศาลาการเปรียญหลังใหญ่

    ไม่มีอีกแล้ว ครูบาอาจารย์ผู้เปี่ยมเมตตา... เปิดประวัติ "หลวงพ่อฉาบ มงฺคโล" พระสุปฎิปันโนผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ภิกษุผู้ไม่ลงกุฏิกว่า 30 ปี
    พระครูมงคลนวการ (หลวงพ่อฉาบ มงฺคโล) หลวงพ่อฉาบ มงฺคโล มีนามเดิมว่า ฉาบ ด้วงดาราถือกำเนิดวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2471 เป็นบุตรคนโต ในจำนวนพี่น้อง 7 คน หลวงพ่อ ฉาบ มงฺคโล ในวัยเด็กตอนยังเป็นฆาราวาส เป็นคนถือสัจจะเป็นใหญ่มีความตั้งใจพูดจริงทำจริงและสนใจในเวทย์มนต์คาถา มักชอบไปกราบนมัสการหาพระอยู่เสมอ ในปีพ.ศ.2485 หลวงพ่อแช่ม อินทโชโต แห่งวัดตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม ท่านได้สร้างเหรียญรุ่นแรกของท่านขึ้น ได้แจกให้คณะศิษยานุศิษย์ ทายกทายิกาที่ร่วมทำบุญมาทำการทอดกฐินยังวัดศรีสาครและได้มาพำนักอยู่ที่วัด ศรีสาครเป็นเวลาถึง 6 เดือน เพราะท่านขอบพอสนิทกับหลวงพ่อดี เจ้าอาวาสวัดศรีสาคร
    ในสมัยนั้น หลวงพ่อฉาบ ในวัยเด็กขณะนั้นอายุได้ 14 ปี มีความศรัทธาเลื่อมใสหลวงพ่อแช่มมาก ได้มากราบนมัสการหลวงพ่อแช่มบ่อยครั้ง และได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์ขอเล่าเรียนวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ ในลำดับแรกหลวงพ่อแช่มได้สอนให้เรียนรู้ทางด้านการปฏิบัติจิต สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ให้จิตนิ่งเป็นสมาธิก่อน และหลังจากทำกรรมฐานและวิปัสสนาอยู่ 3 เดือน หลวงพ่อแช่ม ก็ได้สอนวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ ให้ ในปีพ.ศ.2486 หลวงพ่อแช่ม ก็ได้กลับไปวัดตาก้อง หลังจากนั้นในปีพงศ.2488 หลวงพ่อแช่มได้มาพำนักที่วัดศรีสาครอีกครั้งหนึ่ง เป็นเวลา 25 วัน หลวงพ่อฉาบ ตอนนั้นอายุได้ 17 ปี ได้เข้าพบรับใข้และเล่าเรียนสอบถามวิชาไสยเวทย์พร้อมให้หลวงพ่อแช่มช่วย ทบทวนวิชาคาถาที่เล่าเรียนจนสามารถปฏิบัติได้ตามคำสอนอย่างดี แล้วหลวงพ่อแช่มก็เดินทางกลับวัดตาก้อง ต่อมาในปีพ.ศ.2490 หลวงพ่อแช่ม ท่านก็ได้ละสังขารมรณภาพลงในปีนั้น
    ครั้นเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดศรีสาคร เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2491 โดยมีพระครูเกศิวิกรม (หลวงพ่อทรัพย์ ฐิตปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดสังฆราชาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ประทุม เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการฉ่ำ เจ้าอาวาสวัดตึกราชาวาสเป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วได้รับฉายาว่า มงฺคโล เมื่อได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วได้ตั้งจิตมั่นได้กล่าวคำสัจจะวาจาบอกกล่าว ต่อโยมบิดามารดาของท่านว่า เมื่อฉันได้บวชเรียนเป็นภิกษุแล้วจะขอรับใช้พระพุทธศาสนาตลอดชีวิต โยมพ่อและโยมแม่ก็ไม่ได้ทักทวงแต่ประการใด เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีสาคร 2 พรรษา ได้เรียนพระธรรมวินัยไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานและพุทธาคมจากหลวงพ่อทรัพย์ ฐิตปญฺโญ ซึ่งองค์นี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อพูล (เจ้าอาวาสองค์ก่อน) วัดสังฆราชาวาส ซึ่งเป็นสหายธรรมของหลวงพ่อเชย วัดท่าควาย และหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก เหรียญรุ่นแรก
    เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อพูล วัดสังฆราชาวาสเป็นเหรียญยอดนิยมของชาวเมืองสิงห์บุรีมีค่านิยมหลักหมื่น ถือว่าเป็นสุดยอดเหรียญที่ศักดิ์สิทธิ์และคงกระพัน หลังจากหลวงพ่อฉาบได้ศึกษาวิชาจากหลวงพ่อทรัพย์แล้ว ก็ได้ปรึกษาหลวงพ่อทรัพย์ในการปฏิบัติกิจแห่งธุดงค์วัตร ก็ได้รับการแนะนำสั่งสอนอย่างดี
    ในปีพ.ศ.2493 โดยมุ่งสู่จังหวัดลพบุรีดินแดนซึ่งเคยเป็นอาณาจักร ลวปุระ (ละโว) อันรุ่งเรืองเกรียงไกรมาแล้ว หลวงพ่อฉาบได้เดินธุดงค์ไปยังถ้ำตะโก เพื่อจะไปหาความสงบวิเวก เมื่อถึงถ้ำตะโกมาทราบว่าหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโกพุทธโสภา ท่านได้ละสังขารมรณภาพไปแล้ว ก็ได้พบกับหลวงพ่อคง คงฺคปัญโญ เจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโก ศิษย์เอกหลวงพ่อเภา ซึ่งได้รับสืบทอดวิชาวิปัสสนากรรมฐานและไสยเวทย์ต่าง ๆ จากหลวงพ่อเภาทั้งหมด หลวงพ่อฉาบจึงได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาต่าง ๆ ของหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก จากหลวงพ่อคง คงฺคปัญโญ เจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโกพุทธโสภา จากนั้นหลวงพ่อฉาบก็เดินทางมุ่งไปสู่วัดเขาสาริกา เพื่อจะไปศึกษาธรรมกรรมฐานจากหลวงพ่อกบ ก็ปรากฎว่าได้มรณภาพไปแล้วเช่นกัน จึงได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎ
    หลวงพ่อฉาบได้มาปฏิบัติธรรมได้พบกับ พระมหาชวน มลิพันธ์ (หลวงพ่อโอภาสี) หลวงพ่อฉาบได้พบหลวงพ่อโอภาสี เล่าเรื่องมีความศรัทธาหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา แต่มารู้ภายหลังว่าท่านได้มรณภาพไปแล้วด้วยความตั้งใจมุ่งหวังจะศึกษาวิชา ต่างๆ จากท่าน ก็ได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อโอภาสี ซึ่งเป็นศิษย์ที่รับการถ่ายทอดวิชามาหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา หลวงพ่อฉาบจึงขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อโอภาสี ขอศึกษาวิชากสิณต่าง ๆ และไสยเวทย์ หลวงพ่อโอภาสีได้ฝึกสอนวิชาต่าง ๆ ให้เช่นกสิณไฟ และคาถาอาคมต่างๆ ให้หลวงพ่อฉาบจำนวนมากและยังได้ชักชวนนิมนต์ให้หลวงพ่อฉาบเดินทางไปพบท่าน ที่อาศมบางมดกรุงเทพฯ
    ในครั้งนั้นที่วัดเขาวงกฎหลวงพ่อฉาบยังได้พบปะรู้จักเป็นสหายธรรมกับหลวงพ่อ ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้เดินทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎแห่งนี้ด้วย ได้ปฏิบัติธรรมร่วมกันได้ขอศึกษาแลกเปลี่ยนวิชาไสยเวทย์ต่าง ๆ กับหลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงพ่อชาเกิดปีพ.ศ.2471 ปีเดียวกับหลวงพ่อฉาบ มงฺคโล หลวงพ่อชาท่านได้ละสังขารไปแล้วเมื่อปีพ.ศ.2536 ร่วมสิริอายุได้ 65 ปี หลวงพ่อฉาบอยู่ปฏิบัติธรรมเป็นเวลา 45 วัน ก็ได้เดินทางกลับไปยังวัดถ้ำตะโกอีกครั้งหนึ่ง ได้พำนักอยู่ที่วัดถ้ำตะโกพบปะใกล้ชิดกับหลวงพ่อคงอีกครั้งก็มาศึกษาพบว่า ที่วัดถ้ำตะโกแห่งนี้อยู่ในบริเวณดอยเขาเทือกเขาเดียวกับวัดต่าง ๆ อีกถึง 3 วัดรวมดอยนี้มีวัดถึง 4 วัดคือ วัดเขาสมอคอน วัดถ้ำช้างเผือก วัดถ้ำตะโก และวัดบันไดสามแสน ในอดีตตั้งแต่ยุคสมัยทวาราวดีเป็นต้นมา ดอยเทือกเขานี้มีความสำคัญมากมีถ้ำใหญ่น้อยเป็นร้อย ๆ ถ้ำ เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล สมณะ ฤาษี พราหมณ์ เป็นแห่งกำเนิดของวิชาไสยเวทย์มนต์คาถาแหล่งรวมวิชาไสยศาสตร์ เช่นวิชาขอมดำดิน ก็ก่อเกิดในที่แห่งนี้เป็นตรรกศิลาแห่งไสยศาสตร์และเวทย์มนต์ วัดเขาสมอคอนเป็นวัดอยู่ต้นดอย มีถ้ำพระนอนและที่พำนักของฤาษีสุกกะทันตะและ ถ้ำพราหมณี พ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยก็มาศึกษาที่แห่งนี้ นับว่าเป็นแหล่งรวมศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ หลวงพ่อฉาบ ก็ได้เดินทางมาที่วัดเขาสมอคอน เข้ากราบนมัสการฝากตัวขอเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชาจากหลวงพ่อบุญมี อิสสรโร ศิษย์ผู้รับการสืบทอดวิชาไสยเวทย์จากหลวงพ่อพระครูปัชฌาย์ก๋ง จฺนทสโร พระอุปัชฌาย์ก๋ง มีวิชาไสยเวทย์มากมายได้จากตำราเก่าอักขระยุคขอม
    หลวงพ่อฉาบ ได้เข้าจากธุดงค์ครั้งที่ 2 แล้ว ก็อยู่แต่ภายในวัดศรีสาครไม่ได้เดินทางไปไหนอีกเลยท่านปิดกุฏิเป็นเวลานาน มุ่งบำเพ็ญกรรมฐานและสมาธิวิปัสสนากรรมฐานอยู่เป็นเวลาหลาย 10 ปี ในแต่ละวันจะเปิดกุฎิรับญาติโยมและพุทธศาสนิกชนเพียงบางเวลาเท่านั้นท่านไม่ มีโทรทัศน์, วิทยุปิดกุฎิไม่รับรู้เรื่องภายนอกแต่ท่านก็รอบรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ดี ท่านจะเน้นเรื่องกรรมบางครั้งสิ่งที่เป็นกรรมเหตุจะเกิดก็ไม่อาจเลี่ยงได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมคุณสุนทร คนที่ดูแลหลวงพ่อคุยให้ฟังว่าหลวงพ่อจะพูดถึงหลวงพ่อชา สุภัทโท อยู่เสมอ เหมือนท่านได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตถึงกันเหมือนติดต่อกันทางจิตในวันที่หลวง พ่อชาได้ละสังขารลง หลวงพ่อฉาบได้รีบเดินทางล่วงหน้าไปยังวัดหนองป่าพงและหลวงพ่อฉาบได้ไปร่วมใน งานพระราชทานเพลิงศพในครั้งนั้นด้วยหลวงพ่อฉาบได้ศึกษาไสยเวทย์และคาถาต่าง ๆ จากพระเกจิอาจารย์และพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากอีกทั้งท่านได้ ปฏิบัติดีและประพฤติชอบตามพระธรรมวินัยคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมเป็นที่ยอมรับนับถือของชาวพุทธและชาวจังหวัดสิงห์บุรีอีกทั้งจังหวัด ใกล้เคียงอีกจำนวนมาก


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลวงปู่ฉาบวัดศรีสาครปลุกเสก 1 ไตรมาสให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ (ปิดรายการ)
    IMG_20231001_211104.jpg IMG_20231001_211121.jpg IMG_20231001_211044.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2023
  19. rt5038

    rt5038 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +2,612
    ขอปิดครับ

     
  20. rt5038

    rt5038 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +2,612
    ขอปิดครับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...