ร่วมแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการประคองศีล 5 กันคะ่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ren, 22 กรกฎาคม 2009.

  1. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    ใช่เลยพวกเดียวกับผมเลย ทุกข้อขาดกระจุย แต่ตอนนี้สบายและ รักษาไม่ยากครับ ส่วนข้อสงสัยของท่านนี่ ศีลข้อกาเมคือ ไม่ล่วงละเมิดคนรักของบุคคลอื่นหมายเอาบุคคลที่มีสามี ภรรยา อย่างถูกต้อง และลูกหลาน หรือคนที่บุคคลปกครองโดยไม่รับอนุญาติครับ สรุปคือร่วมรักก่อนแต่ง ผิดทันที
    ส่วนข้อมุสานี่ ศีล 5 เอาพูดปด แต่พูดปดในที่นี้หมายเอา โกหกเพื่อให้บุคคลอื่นเสียประโยชน์หรือ หาผลประโยชน์ใส่ตัวเองครับถึงจะผิด แต่โกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ หรือ ไม่ทำผิด นี่เรียกว่า กุศลโลบาย บอกแล้วไงดูที่เจตนาตัวเดียวครับ
    พยายามครับรักษาไปทีละข้อเริ่มจากข้อหนัก ๆก่อนคือข้อที่เราผิดบ่อย เริ่มจากการตั้งเวลา เช่น ตั้งแต่ตื่นนอน มาจน เที่ยงเราจะพยายามไม่ผิดศีล เมื่อเริ่มชินแล้วก็ค่อยเพิ่มเวลาจนกระทั่ง 24 ชม. แล้วค่อยเพิ่มจำนวนข้อ แต่ที่พบมา นี่ส่วนใหญ่ถ้าเวลาละเว้นแล้วมีอารมณ์คิดพิจารณาแบบ เมตตา กรุณา ไปด้วย ศีลบริสุทธิ์ข้อเดียวเมื่อไร ข้ออื่นจะบริสุทธิ์ไปด้วยครับ สู้ ๆ
     
  2. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    ข้อ กาเม นี่ คือ ร่วมประเวณี กับบุคคลอื่นที่เจ้าของไม่อนุญาติ รวมถึงบุตร หลาน หรือบุคคลที่มีผู้ปกครอง พูดง่าย ๆ คื่อ ฟันก่อนแต่งนั่นแหะ ผิดทันที
    ข้อมุสานี่ ถ้าศีล 5 นี่หมายเอาโกหกอย่างเดียว แต่กรรมบท 10 นั้นรวมเพ้อเจ้อด้วยเพราะละเอียดขึ้น เราเอาแค่ศีล 5 ก่อน ถ้าโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ หรือ ไม่ทำผิด นี่เรียกว่ากุศโลบาย ไม่ผิด แต่โกหกหาประโยชน์ใส่ตน หรือทำให้คนอื่นเป็นทุกข์เสียประโยชน์นี่ผิดแน่ ถ้าใครจะเถียงให้ไปดูเรื่องพระสารีบุตรกับโจรเคราแดง ภาษาบาลีว่าไงไม่รุ ส่วนข้อสุรานี่จำไว้ว่า สังคมไหนมีสุราสังคมนั้นไม่น่าเข้าสังคมนั้นไม่น่าคบ ผมโพสต์นี่หลายคนอาจจะหมั่นใส้ แต่ผมไม่คบคนที่รู้มากเกินพระพุทธเจ้าเพราะเวลาตกนรกคนพวกนี้ไม่ได้ไปช่วยผม พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่ดี ก็ไม่กินซะก็หมดเรื่องกัน ส่วนถ้าท่านจะเลี่ยงก็ปฏิเสธไปตรง ๆ หรืออ้างเรื่องติดธุระที่บ้านก็ได้ไม่โกหก เช่นไปดูแลลูก หรือ ไปทำธุระ เขาคงไม่ชวนท่านไปกินทุกวันหรอกบอกไปทำธุระนี่ ไม่ต้องไปสาธยายว่าไปทำอะไรบอกเรื่องส่วนตัวก็จบครับ ส่วนการรักษาให้บริสุทธิ์ นี่ท่านต้องเริ่มจากข้อที่ท่านผิดบ่อย ระวังตั้งเวลาไว้ เช่น ตั้งแต่ตื่นจน เที่ยงจะไม่ฆ่าสัตว์ พยายามระวังไปเรื่อย จนชิน ค่อยเพิ่มเวลา จนกระทั่งได้ 24 ชม. จนกระทั่ง จิตบังเกิดเมตตา ไม่ฆ่าสัตว์เพราะเห็นอกเห็นใจ เท่ากับว่าท่านต้องเจริญพรหมวิหาร 4 ไปด้วยครับ ศีลจะบริสุทธิ์ง่าย แล้วไล่ไปทั้ง 5 ข้อ แต่ที่พบมา ส่วนใหญ่ ถ้าบริสุทธิ์ 1 ข้อ แล้ว ย้ำว่าต้องบริสุทธิ์คือไม่ต้องระวังรักษาแล้วมันเป็นปกติแล้ว ข้ออื่น ๆ จะบริสุทธิ์ไปเองเพราะความเข้าใจในพรหมวิหาร 4 ครับ จำไว้นะครับ พรหมวิหาร 4 เป็นอาหารเลี้ยงศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าขาดไปปฏิบัติไปเท่าไรก็ไม่ได้อะไร ไม่ก้าวหน้าเพราะใจเราไม่เย็นด้วยเมตตา
     
  3. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    ขอบคุณมากครับที่ช่วยแนะนำ ก็พยายามอยู่เหมือนกัน เรื่องกาเมนี่พยายามอยู่จริงๆครับคิดว่าถ้าตัดข้อนี้ได้ ที่เหลือก็ไม่มีอะไรให้หนักใจแล้ว

    ตอนนี้ปฏิบัติอยู่ก็ไม่ได้ก้าวหน้าสักเท่าไหร่ มานั่งนึกๆดูคงเพราะเรื่องศีลนี่แหละครับ แต่ก็ไม่หนักใจอะไรถือคติไม่ออกเดิน ก็ไม่ถึงเป้าหมายนะครับ (แม้จะเป็นการเดิน/คลานก็เถอะ55)
     
  4. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    พระท่านว่า ผู้รู้ตนว่าผิดว่าไม่ดี นั่นแลคือบัณฑิต พยายามครับ พระและเทวดาทั้งหลายที่เป็นผู้มีคุณเราท่านคอยสงเคราะห์เราอยู่ครับ
     
  5. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อืม....วันที่ 28 ก.ค. 2552 09:41 PM
    ได้รับแจกใบเหลืองมาสะสมเล่นเป็นคอลเลคชั่นเพิ่มเติมอีกใบนึง
    อ่านแล้วอิฉันดันซาบซึ้งจนถึงกับพลั้งปากบอก คนแจก ออกไปว่า
    " จะไปจำศีล เอ๊ยสำนึกผิดสัก 10 วันตามระยะเวลา"
    เลยจำต้องหุบปากหายหัวจากเวบบอร์ดไประยะหนึ่ง
    ขี้เกียจทำศีลข้อ 4 ถลอกปอกเปิก อ่ะ
    เป็นลูกผู้หญิงน่ะมันต้องรู้จักหยิ่งในศักดิ์ศรี
    และ รักษาสัจจะยิ่งชีวิต อิอิ
    ส่วนตอนนี้
    เลยกำหนดเวลา สิบวัน นั่นแล้ว
    ใบเหลือง Exp. แล้ว ก็เลยเข้ามาพล่ามต่อ 5555
    ----------------------------------------------------
    นี่ ๆ ๆ คุณ จีโอ14 คห. 63
    อิฉันกลายเป็น จำเลยรัก.... เอ๊ย จำเลยทางสังคม
    ของคุณตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ ?
    แหม ๆ ไม่ทันตั้งตัวเลยนะเนี่ย ^ - ^
    ปกติเคย รับบท เป็นแต่ แกะดำ อ่ะ
    ไม่ถนัดกับบท แพะรับบาป สักเท่าไรเล๊ยยยย หุหุ
    แล้วเมื่อไร คุณจะกรุณาเล่าเทคนิคการถือศีลของตัวเอง
    ให้ชาวบ้านฟังเป็นวิทยาทาน ซะทีล่ะ
    มัวเล่นตัว เอ๊ย มัวแต่ง่วงอยู่ได้
    อิฉันรออ่านอยู่นะยะ
    ( เผื่อจะได้แอบจำเอาไปใช้มั่ง ^ - ^ )

    และ ขอบคุณที่แนะนำเรื่อง เขียนหนังสือ
    ก็มีไอเดียบรรเจิดจะทำเหมือนกัน
    อืม....ปกติ จะตั้งงบซื้อหนังสือบริจาคห้องสมุดต่าง ๆ
    ปีละอย่างน้อย 1 เล่มอยู่แล้วนิ
    ไว้ครึ้ม ๆ ก่อนเหอะ จาเอางานเขียนของตัวเอง
    ไปพิมพ์แจกห้องสมุดมั่ง (จะได้ประหยัด ตังค์)
    ประมาณว่า เขียนเอง พิมพ์เอง ไล่แจกเอง ไง 555
    ว่า แต่ จะเอาเรื่อง อะไรดีล่ะ มีตั้งหลายโปรเจคแหน่ะ
    ( แต่ยังไม่เสร็จสักอัน ขี้เกียจ+ มัวติดเนต อิอิ )
    นี่หากเสร็จจาก " ศีล 5 ในฮาเร็ม " ก็กะจะ เขียน

    จะเขียน " ทานบารมี ท่านทำสิ่งนี้เพื่ออะไร "
    เพื่อนำเสนอมุมมอง และ วิธีเลือกทำทาน ของตัวเองว่า
    เลือกจากอะไร โดยไม่ต้องไปเสียเวลา
    พินิจพิจารณาคุณภาพของ นาบุญ

    จะเขียน " 1 วัน ก่อนแหกค่ายปฏิบัติธรรม "
    เพื่อเล่า ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ธรรมะ ใน 1 วัน
    ก่อนที่จะ...หนี....ออกจากวัด แล้วก็หัดเดินจงกรมเอง
    จะเขียน " ฉันรู้จัก สติปัฏฐาน ผ่านจานข้าวผัดกระเพรา "
    เพื่อเล่าถึง ธรรม...ดาของโลกรอบ ๆ ตัว
    ให้คนอ่านรู้จักสังเกต ธรรม ที่อยู่รอบ ๆ ตัว
    แล้วนำมันมาประยุกต์ใช้ในชีวิต ประจำวัน
    จะเขียน " สันดานดิบ ของ ฉัน ชื่อ คิตตี้ "
    เพื่อเล่าเรื่องของตัวเอง ในแง่ของ สมดุลจิต
    ระหว่าง Id -Ego -Super Ego

    งานเขียนที่จะทำ
    ไม่ได้สอนให้รู้จักอดทน อดกลั้น
    หรือขจัด กิเลสตัณหาในตัว
    แต่จะสอนให้ปุถุชนที่ยังปฏิบัติธรรมไม่ได้
    เรียนรู้ เข้าใจ เจ้าสันดานดิบ ( Id ) ในตัวเอง
    และ อยู่กับมันอย่างเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข
    อยู่กันด้วยความเอ็นดู ไม่ใช่ อยู่กันแบบศัตรู
    ตลอดจนสอนให้ปุถุชนไม่เกิด หิริโอตะปะ มากเกินไปจนเกิดทุกข์

    ก็ไม่แน่ใจหรอกนะ ว่า เขียนออกไปแล้ว
    ศีล ข้อ สี่ ของอิฉันมันจะยับเยิน
    เพิ่มขึ้นอีกแค่ไหนเพราะศีลที่เธอถือ
    ไม่ได้ดูที่ เจตนา เพียงอย่าง อย่างเดียว
    เธอดูเรื่อง การ กระทบคนกระทบโลกด้วย

    ก็อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ
    เป็นไม่ได้ ที่เราจะเขียนอะไรต่อมิอะไร
    ให้ถูกจริต คนทุกๆคน
    เมื่อไรที่เราจรดปากกาเขียนตัวอักษรขึ้นมาสักตัว
    ย่อมเกิดการ กระทบคน กระทบโลกอยู่แล้ว
    โดยที่เรา คาดเดาไม่ได้หรอก
    ว่า มันจะกระทบในทิศทางไหน
    การปรุงแต่งจริตของคน มันไม่เหมือนกัน

    เอ๊ ....? หรือ อิฉันจะเขียน เรื่อง
    " ตัวหนังสืออื้อฉาวของอีสาวบัวผ่อง เหตุปัจจัยที่ทำให้ได้ใบเหลืองอันเรืองรอง"
    ดีล่ะหว่า เข้าท่าดีเหมือนกันนะ 55555555555
    ปล.
    แท้งกิ้ว ที่ตามเข้าไปอ่าน หมายศาลเอ๊ย กาทู้กรณีใบเหลืองของอิฉัน หุหุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2009
  6. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ffice:eek:ffice" /><O:p>เอาล่ะ พล่ามมามากแล้ว<O:p></O:p>
    ต่อไป จะเอาข้อความที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ศีล<O:p></O:p>
    มาฝากให้อ่านเล่น ๆ ^ - ^<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ศีล ข้อ 5<O:p></O:p>
    สุราเมระยะ มัชชะปะมา ทัฏฐานา เวระมะณี สิกขา ปะทังสะมาทิยามิ<O:p></O:p>
    ข้าพเจ้าสมาทานสิกขาบทคือเจตนางดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    " สุราแปลว่าเหล้า <O:p></O:p>
    กินค่ำเช้าฆ่าพยาธิตาย<O:p></O:p>
    ขึ้นสวรรค์ก็ง่ายดาย<O:p></O:p>
    มีนางฟ้าคอยแห่แหน<O:p></O:p>
    ผู้ใดไม่กินเหล้าตกนรกชั่วดินแดน<O:p></O:p>
    ยมบาลมัดตีนแขวนพุ่งหัวลงสู่โลกันต์ "<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คุณสมาน ( พ่อหนูบัว ฯ ) เคยท่องกลอนบทนี้ให้ฟัง<O:p></O:p>
    ตอนเลคเชอร์ ถึงเหตุปัจจัยในเรื่อง<O:p></O:p>
    ทำไมไม่ยอมสมาทานศีล ข้อที่ 5<O:p></O:p>
    ทำไมต้อง " สุราเป็นระยะ ๆ"<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    และวลีเด็ด ประจำตัวของพ่อ อีกอัน <O:p></O:p>
    ที่มักจะยกมาเอ่ยอ้างอย่างอหังการ์เสมอ คือ<O:p></O:p>
    " พ่อกินเหล้าไม่ใช่เหล้ากินพ่อ " <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ฟังแล้ว หนูบัวฯ ก็ได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ <O:p></O:p>
    มิบังอาจ สอนสั่งพ่อบังเกิดเกล้า <O:p></O:p>
    ว่าด้วย ข้อเสียของการผิดศีล ข้อ 5 อีกเลย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    หลายปีก่อน เมื่อไปทำงานที่ต่างจังหวัด <O:p></O:p>
    เธอเคยส่งยาเลิกเหล้า ( Disulfulram )<O:p></O:p>
    ให้พ่อกิน ด้วยความหวังว่า <O:p></O:p>
    มันจะรักษาโรค แอลกอฮอล์ลิสซึ่ม ของพ่อ ได้บ้าง<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    พ่อ...ทน...กินยาด้วยความเกรงใจลูกสาวสุดที่รัก<O:p></O:p>
    ด้วยสัญญาของลูกผู้ชาย ที่เผลอให้ไว้กับหนูบัวฯ<O:p></O:p>
    แต่หัวใจของพ่อนั้น ก็ ยังมี ปีศาจสุราสิงสถิตอยู่เสมอ<O:p></O:p>
    พ่อจึงต้องบำเรอบำรุงมันด้วยน้ำเหล้า<O:p></O:p>
    สุดท้าย พ่อจึงเลือก เดิน "ทางสายกลาง "<O:p></O:p>
    ประนีประนอมด้วยการกินทั้งยา กินทั้งเหล้า !<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผลก็คือ พ่อแทบคางเหลือง เมื่อเจอฤทธิ์ยา <O:p></O:p>
    วงศาคณาญาติยกโขยงกันมา นั่งร้องห่มร้องไห้แง ๆ อยู่ ข้าง ๆ เตียง <O:p></O:p>
    พวกเขาเตรียมพร้อมทุกเมื่อที่จะตามพระมาสวดบังสกุล<O:p></O:p>
    ส่วนแม่ก็ใจเด็ดพอกัน ยัยแก้วดีไม่ยอมบอกญาติสักคำ <O:p></O:p>
    เรื่อง พ่อกำลังกินยาเลิกเหล้า<O:p></O:p>
    และก็ไม่ยอมพาพ่อไปหาหมอ ตามคำแนะนำของญาติด้วย<O:p></O:p>
    ( แม่กับพ่อรู้ผลข้างเคียงของยามาบ้างแล้ว เพราะ เธอบอกไว้ )<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ตอนหลังแม่เล่าเรื่องนี้ ให้หนูบัวฯ ฟัง<O:p></O:p>
    เธอนั่งขำไป เคือง คุณสมานไป<O:p></O:p>
    เฮ้อ ก็จะไม่เดี้ยงได้ยังไง ล่ะ <O:p></O:p>
    ก็พ่อเล่น กินทั้งยา กินทั้งเหล้า นี่หน่า<O:p></O:p>
    แล้ว กลไกของยานี้น่ะ มันก็จะไปทำให้<O:p></O:p>
    เกิดอาการเหมือนลงแดง ถ้าดื่มเหล้าเข้าไป<O:p></O:p>
    คนกินเหล้าจึงเข็ดขยาด แล้ว เลิกกินเหล้าไปเอง<O:p></O:p>
    ( จริง ๆ เธอก็บอกพ่อแล้วนะ <O:p></O:p>
    ก่อนจะเกลี่ยกล่อมตะล่อมให้พ่อกินยาน่ะ )<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    การกินยาเลิกเหล้าคอร์สนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรพ่อนัก<O:p></O:p>
    นอกจากทำให้ พ่อกินเหล้า น้อยลงหน่อย <O:p></O:p>
    พยายาม ลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดลงไปนิด<O:p></O:p>
    พ่อเปลี่ยนจาก แม่โขง หันมา กิน เบียร์ ลีโอ แทน<O:p></O:p>
    ซึ่งก็ซื้อ ทีละ...ลัง... จากร้านขายส่ง เจ้าประจำ ตามเคย <O:p></O:p>
    และเมื่เธอรู้ เธอก็ได้แต่ ปลง ตามเคย ( อีกเช่นกัน )<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    " พ่อกินเหล้าไม่ใช่เหล้ากินพ่อ " <O:p></O:p>
    ได้กลายมาเป็นคติพจน์ประจำใจ ของคุณffice:smarttags" /><?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]สมาน อยู่นานทีเดียว</st1:personName><O:p></O:p>
    ฟังแล้ว เธอก็ไม่รู้จะทำยังไง นอกจากปลงแล้วเฝ้ามองดู<O:p></O:p>
    พ่อ...กิน...เหล้า จนกระทั่ง...อัมพฤกษ์...มา...กิน...พ่อ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เมื่อแอลกอฮอล์ที่สะสมไว้ในกระแสเลือด<O:p></O:p>
    เริ่มเบียดเบียนเส้นโลหิตในสมอง <O:p></O:p>
    พ่อต้องกลายเป็นตาแก่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้<O:p></O:p>
    จะกินก็ต้องป้อนจะนอนก็ต้องอาศัยคนอื่น<O:p></O:p>
    จะตื่นมาขี้มาเยี่ยวก็ต้องให้คนมาช่วย<O:p></O:p>
    สภาวะเหล่านี้มันคงทำให้พ่ออัดอั้นตันใจอย่างแรง<O:p></O:p>
    พ่อเคยเป็น คนเก่งที่ทำอะไรทุกอย่างได้ด้วยตัวเองนี่นะ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    เจ้าโรคร้ายนี้อยู่กับพ่อเกือบครึ่งปี<O:p></O:p>
    โชคดีที่กำลังใจพ่อ ดีเยี่ยม และ เปี่ยม ไปด้วยความหวัง<O:p></O:p>
    วันหนึ่งหลังจากกินยา และ พยายามทำกายภาพ อย่างหนัก<O:p></O:p>
    พ่อก็หายเกือบเป็นปกติ ในเวลาไม่นานนัก<O:p></O:p>
    คุณ อัมพฤกษ์ โบกมือลาพ่อ <O:p></O:p>
    พร้อมกับจิกหัวลากตัวเจ้าปีศาจสุราไปด้วย<O:p></O:p>
    ตอนนั้นพ่อตัดสิน ใจ หักดิบ เลิกกินเหล้าได้อย่างเด็ดขาด<O:p></O:p>
    โดยไม่ต้องสมาทานศีล ข้อที่ 5 หรือ พึ่งยารักษาใด ๆ เลย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    หนูบัวฯ มองความเป็นไปของพ่อ <O:p></O:p>
    แล้วเธอก็ได้บทเรียนหลายอย่างเลยหนา<O:p></O:p>
    ในฐานะเภสัชกร เธอได้เรียนรู้ว่า <O:p></O:p>
    ยาเลิกเหล้า นี่ ... ต่อให้มีฤทธิ์รักษาดีเลิศแค่ไหน<O:p></O:p>
    มันก็ไม่สำคัญเท่ากับการเยียวยารักษา...ที่หัวใจของตน...<O:p></O:p>
    บางครั้ง การได้ รู้เอง เห็นเอง และ เป็นเอง<O:p></O:p>
    มันก็ช่วยเปิดโลกทัศน์ และมุมมองของสมองได้กว้างขึ้น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    อืม...พ่อหนูบัวคงไม่ชอบเท่าไรนัก<O:p></O:p>
    ถ้ารู้ว่า เธอ แอบขอบใจ คุณอัมพฤกษ์<O:p></O:p>
    ที่สละเวลามาอยู่เป็นเพื่อนพ่อ เกือบครึ่งปี<O:p></O:p>
    อย่างน้อย คุณอัมพฤกษ์<O:p></O:p>
    ก็มีส่วนช่วยทำให้ พ่อ ตาสว่างขึ้นมาบ้าง<O:p></O:p>
    อย่างน้อย คุณอัมพฤกษ์ <O:p></O:p>
    ก็ทำให้พ่อตัดหางปล่อยวัด<O:p></O:p>
    เจ้าปีศาจสุรา ออกไปจากตัวได้ล่ะเน๊อะ<O:p></O:p>
    นั่นคือเรื่องราว ของพ่อ กับ สุราเป็นระยะ ๆ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ส่วนตัว หนูบัวฯ เองนั้น<O:p></O:p>
    ก็ค่อนข้าง คุ้นชิน กับ ภาพขวดเหล้ามาแต่เล็กแต่น้อย<O:p></O:p>
    เพราะงานอดิเรกที่แสนจะโปรดปรานของพ่อ คือ <O:p></O:p>
    การสะสมขวดเหล้าไว้ดูเล่น<O:p></O:p>
    ( และ การสะสม แอลกอฮอล์ไว้ในเส้นเลือด )<O:p></O:p>
    ภาพความหลังที่เธอจำได้ <O:p></O:p>
    คือ ภาพขวดเหล้า เรียงเป็นตับอยู่ใต้โต๊ะวางของ ที่บ้าน<O:p></O:p>
    ทั้ง แม่โขง หงษ์ทอง กวางทอง ทั้งแบบกลมแบบแบน<O:p></O:p>
    รวมไปถึง ขวดเชียงชุน และ กระทิงแดง<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    จำนวนขวดเปล่า มากมายเหล่านี้ <O:p></O:p>
    เสมือน เป็นตัวชี้วัดให้ชาวบ้านได้รับรู้อย่างโจ่งแจ้ง<O:p></O:p>
    ถึงความเป็น เอกทัคคะ ด้าน สุราน้ำแดง ของ พ่อ<O:p></O:p>
    และ ขวดเปล่าที่เรียงรายกันนับร้อยขวด อีกนั่นแหล่ะ<O:p></O:p>
    ที่มักจะอวดจำนวนของมันอย่างภาคภูมิ (เวลามีซาเล้งมารับซื้อ)<O:p></O:p>
    สมัย ยังเด็ก ( เมื่อยี่สิบปีก่อน ) เธอเคยทำยอดขาย ขวดเปล่าให้ ซาเล้ง<O:p></O:p>
    ได้เงินเกือบถึง ห้าร้อยบาท !<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    บางครั้งเมื่อยังเด็ก เธอเคยไปป้วนเปี้ยนแถว ใต้โต๊ะ<O:p></O:p>
    แล้วนั่งคุยกับคุณขวดเปล่า <O:p></O:p>
    คุณขวดเปล่า ก็เล่าเรื่อง ตำนาน กำเนิด สุรา <O:p></O:p>
    ให้ หนูบัวฯ ฟังว่า<O:p></O:p>
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในพิธีบูชาเทพ<O:p></O:p>
    มีงานรื่นเริง มีอาหารสารพัด <O:p></O:p>
    จัดไว้ให้อย่างเหลือเฟือกินไม่หวาดไม่ไหว <O:p></O:p>
    จนชาวบ้านต้องนำไปเทขว้างในหนองน้ำ<O:p></O:p>
    ข้าวเหลือทิ้งเหล่านั้น เกิดการหมัก<O:p></O:p>
    และกลายเป็นน้ำรสเลิศ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    วันหนึ่ง มีคนบังเอิญผ่านไปดื่มน้ำที่ลำธาร นี้ เข้า<O:p></O:p>
    แล้วรู้สึกว่า ตัวเองคึกคัก และ ฮึกเหิม มากกว่าปกติ <O:p></O:p>
    เขาจึงเรียก เจ้าน้ำรสเลิศ นี้ ว่า สุระ แปลว่า กล้าหาญ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    " กินเจ้าน้ำนี่แล้ว คนขลาด จะกลายเป็น คนกล้า<O:p></O:p>
    เห็นช้างตัวเท่าหมู เห็น หนูตัวเท่ามด <O:p></O:p>
    เห็นแม่ยายเป็นน้องเมีย "<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คุณขวดเปล่าบอกอย่างนั้น ฟังแล้ว หนูบัวฯ ก็ยังงง ๆ <O:p></O:p>
    นึกสงสัยตงิด ๆ ว่า ไอ้น้ำเหลือง ๆ แค่ไม่กี่แก้วนี่<O:p></O:p>
    มันมีฤทธ์เดชได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ?<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    แต่คุณ<st1:personName w:st="on" ProductID="ขวดเปล่า กลับยืนยันแข็งขัน">ขวดเปล่า กลับยืนยันแข็งขัน</st1:personName> พร้อมกับ ตบท้าย ว่า <O:p></O:p>
    ด้วยเหตุนี้กระมัง ผู้ชายทั้งหลาย <O:p></O:p>
    จึงพยายามขวนขวายเก็บงำเจ้าสุราไว้ในกระแสเลือด<O:p></O:p>
    เพื่อว่า เขาจะได้มี สุระ( ความกล้า ) ที่จะทำในสิ่งต่าง ๆ<O:p></O:p>
    เพื่อว่า เขาจะได้ หลบลี้ออกจากโลกแห่งความจริงที่ขมขื่น<O:p></O:p>
    แล้วตื่นมาพบกับความฝันอันบรรเจิด <O:p></O:p>
    ที่น้องเหล้าจ๋า บรรจงสร้างขึ้นมาปรนเปรอ <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    " แล้วตอนคุณขวดเปล่า มีน้องเหล้าจ๋าอยู่ในตัว<O:p></O:p>
    คุณขวดฯ มีสุระ( ความกล้า ) มากขึ้นไหมคะ <O:p></O:p>
    แล้วได้พบกับความฝันอันบรรเจิด ไหมคะ "<O:p></O:p>
    หนูบัวฯปะเหลาะถามด้วยความอยากรู้ <O:p></O:p>
    เพราะฟังคำโฆษณาสรรพคุณของน้องเหล้าจ๋า แล้ว<O:p></O:p>
    หนูบัวฯ ก็เริ่มอยากลองกินเจ้าน้ำสีอำพัน นี้ดูสักหน<O:p></O:p>
    เธอนึกอยากมีความกล้าแบบ ฮัวมู่หลาน<O:p></O:p>
    และ อยากมีความฝันอันบรรเจิด แบบ ดอน กีโฮเต้<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คุณขวดเปล่า ฟังความปรารถนาของเธอ แล้วหัวเราะ <O:p></O:p>
    กระซิบ บอกหนูบัวฯ อย่างยโส ว่า<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    " แม้ฉันจะเป็นขวดกลวง ๆ ที่ไร้สมอง <O:p></O:p>
    ต้องอยู่กับน้ำเหล้ามาเกือบชั่วชีวิต<O:p></O:p>
    แต่ฉันก็มีสติ พอที่จะไม่หลงคารม <O:p></O:p>
    และไม่ยอมให้เจ้าน้ำเหล้าพวกนั้น <O:p></O:p>
    มาล่อลวงฉันได้หรอกจ้ะ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ฉันชอบยืนหยัดอย่างกล้าหาญ<O:p></O:p>
    ในโลกใต้โต๊ะ ที่มีแต่ฝุ่น กับ หยากไหย่<O:p></O:p>
    มากกว่า หลบไปอยู่กับความเพ้อฝันที่ไม่จีรัง พวกนั้น <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    และ ถ้าฉันอยากมีความกล้า แบบ ฮัวมู่หลาน<O:p></O:p>
    หรือมีความฝัน แบบ ดอน กี โฮ เต้ <O:p></O:p>
    ฉันก็จะสร้างมันขึ้นมาด้วยสองมือของฉันเอง<O:p></O:p>
    ฉันไม่ใช่ พวกมนุษย์หน้าโง่ ที่แสนจะขี้ขลาดแบบเธอ นี่จ๊ะ หนูบัวฯ<O:p></O:p>
    จะได้คิดอะไรตื้น ๆ คิดแต่จะพึ่งพาอาศัยน้ำเหล้าให้คอยช่วย "<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ฟัง คุณ<st1:personName w:st="on" ProductID="ขวดเปล่าอวดดี นี่">ขวดเปล่าอวดดี นี่</st1:personName> คุยโว<O:p></O:p>
    หนูบัวฯก็ชักโมโห ที่ถูกหาว่า โง่ และ ขี้ขลาด<O:p></O:p>
    เธอเลยจับขวดทุกใบ โยนใส่กระสอบให้รถซาเล้งเอาไปขาย<O:p></O:p>
    แล้วไม่ยอมเฉียดกรายเข้าใกล้ ขวดเปล่าที่อยู่ใต้โต๊ะพวกนั้นอีกเลย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    แม่เคยเล่า ว่า หนูบัวฯ เริ่มลิ้มรส แอลกอฮอล์ ครั้งแรกในชีวิต<O:p></O:p>
    ตอนอายุได้ประมาณ สองขวบ<O:p></O:p>
    ตอนนั้น มีงานเลี้ยง พ่อเลยนึกสนุก <O:p></O:p>
    ยกแก้วเบียร์มาจ่อปากให้เธอลองกิน<O:p></O:p>
    ตอนนั้น เธอยังเด็กเกินกว่าจะจำได้ ว่า รสชาดมันเป็นยังไง<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    มารู้รสของมันอีกที ก็ราว ๆ ป.6 ได้มั้ง<O:p></O:p>
    แม่แอบเอาเหล้าขาว ของพ่อ ไปซ่อนในขวดน้ำที่ตู้เย็น<O:p></O:p>
    เธอไม่รู้เผลอยกดื่มเข้าไปเต็ม ๆ<O:p></O:p>
    เลย สำลัก แค๊ก ๆ หน้าแดงคอแดงกะทันหัน<O:p></O:p>
    รสชาดเฝื่อน ๆ ที่บาดลึกในลำคอตอนนั้น<O:p></O:p>
    ทำให้เธอนึกสงสัยว่า <O:p></O:p>
    พวกผู้ใหญ่กินไอ้เจ้าน้ำนี่ เข้าไปได้ยังไงกันนะ <O:p></O:p>
    รสชาดก็แสนพิลึก ( อร่อยสู้เป๊บซี่ ก็ไม่ได้ )<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    เธอเคยได้ยินใครต่อใครบอกให้ฟังว่า <O:p></O:p>
    อันสุราเมรัย นั้นก็เปรียบได้<O:p></O:p>
    กับ น้ำอมฤต ในสรวงสวรรค์ที่เทวดาใช้ดื่มกิน<O:p></O:p>
    ฟังแล้ว หนูบัวฯ ก็นึกสงสารเทวดา <O:p></O:p>
    ที่ต้องทนกิน น้ำรสชาดประหลาด ๆ อย่างนี้<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ค่อยจะมีโอกาส<O:p></O:p>
    ได้ลิ้มลอง " น้ำอมฤต" นั่นสักเท่าไร<O:p></O:p>
    ( เพราะเธอตัดสินใจว่า เธอชอบดื่มเป็บซี่ มากกว่า )<O:p></O:p>
    ยิ่งเธอได้ฟัง เพลง ลุงขี้เมา ของ พี่แอ๊ด คาราบาว<O:p></O:p>
    เธอยิ่งรันทดกับชะตากรรมที่ใต้สะพานลอยของอีตาลุงนั่น<O:p></O:p>
    พอดู ทองเนื้อเก้า เธอก็นึกกลัว <O:p></O:p>
    ว่าตัวเองจะเป็นสาวสวยขี้เมา แบบอีลำยอง<O:p></O:p>
    เธอเลยตัดสินใจไม่คิดจะกระดกเหล้าเข้าปากอีกเลย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    พอเธอเริ่มโตขึ้น พ่อสอนให้เธอหัดขี่จักรยาน<O:p></O:p>
    และ พอเริ่มชำนาญพ่อก็มักจะใช้เธอปั่น รถถีบ<O:p></O:p>
    ไปซื้อน้องเหล้าจ๋ามา โดยมี "ติ๊ป" เป็นเศษตังค์ทอน <O:p></O:p>
    ไว้ให้หนูบัวฯ ซื้อขนม<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    อีกภาพหนึ่ง ที่หนูบัวฯเห็นจนชินตา<O:p></O:p>
    คือ ภาพที่ พ่อจะเอาพระลำพูนที่แขวนคอไว้<O:p></O:p>
    มาพนมมือไหว้เหนือหัว<O:p></O:p>
    แล้วสวดคาถาบูชาด้วยความเคารพ<O:p></O:p>
    นอกจากนี้ เวลาก่อนไปทำงาน <O:p></O:p>
    พ่อก็มักไหว้รูป พระอาจารย์ฟั่น <O:p></O:p>
    พระอาจารย์ มั่น ภูริโต และ หลวงปู่แหวนสุจินโณ<O:p></O:p>
    พอถึงเวลาโพล้เพล้ หลังเลิกงาน พ่อเก๊าะนั่งก๊งเหล้า <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ภาพของพระ กับ พ่อ และ ขวดเหล้า นี้<O:p></O:p>
    ยังคงติดตาเธออยู่เสมอ มันเป็นความขัดแย้งที่ดูน่าขัน <O:p></O:p>
    และ เตือน ให้เธอ...เห็น ...ภาพสะท้อนของ...อะไร...บางอย่าง<O:p></O:p>
    ในสังคมชาวพุทธแบบไทย ๆ<O:p></O:p>
    </O:p>
     
  7. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    พี่คนหนึ่ง เคยบอกหนูบัวฯ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ว่า อันสุรานั้นหนา คือน้ำเปลี่ยนนิสัย <o:p></o:p>
    มันสามารถเปลี่ยนตัวตนของคน<o:p></o:p>
    ได้ราวกับปอกกล้วยเข้าปาก<o:p></o:p>
    ถ้าเราอยากจะรู้ตัวตนของใคร<o:p></o:p>
    เราต้องมองตอนที่<o:p></o:p>
    เขามีแอลกอฮอล์อิ่มตัวอยู่ในกระแสเลือด<o:p></o:p>
    บางคนเห็นหงิ๋ม ๆ ดูสุภาพเรียบร้อย<o:p></o:p>
    พอเหล้าเข้าปากได้หน่อยเท่านั้น <o:p></o:p>
    พูดฉอด ๆ เป็นต่อยหอย ราวกับก๊อกน้ำประปา แตก<o:p></o:p>
    มืองี้นัวเนียแหลกเป็นหนวดปลาหมึก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ฟังพี่เขาพูด แล้ว หนูบัวฯ ก็นึกขำ<o:p></o:p>
    ทำให้อยากรู้ขึ้นมา ตะหงิด ๆ เหมือนกัน ว่า <o:p></o:p>
    ตัวตนที่ จริงแท้ ของเธอนั้น เป็นเช่นไร <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    และเธอก็ได้รู้ เมื่อ สองปีก่อน...<o:p></o:p>
    วันนั้น ห้องยาจัด ปาร์ตี้หอยแครง <o:p></o:p>
    พี่หมัย งัดเอาเหล้าข้าวโพดดีกรีแรง มาสมทบ<o:p></o:p>
    พร้อมกับโฆษณาสรรพคุณ<o:p></o:p>
    กลั่นเอง ต้มเอง ผลิตเองกับมือ ( ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน )<o:p></o:p>
    น้ำงี้ใสเหมือนตาตั๊กแตน หาไม่ได้ง่าย ๆ เลยนะ<o:p></o:p>
    ใครไม่ได้กิน เสียชาติเกิด ไม่รู้ด้วย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ฟังพี่แกพูดแล้ว หนูบัวฯก็ชักกลัว เสียชาติเกิด <o:p></o:p>
    เลยลองเอามาผสมกับเป็บซี่ ดื่ม<o:p></o:p>
    กรึ๊บไปได้ สองสามแก้ว เท่านั้น<o:p></o:p>
    คนที่เคยเม้าส์กระจายจนน้ำลายแตกฟองฟ่อด ๆ อย่างหนูบัวฯ<o:p></o:p>
    กลับรู้สึกปวดหัวตึ้บ เลย <o:p></o:p>
    มันรู้สึกหนัก ๆ เหมือนมีอะไรมาทับอยู่ในหัว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตอนนั้น สติสัมปชัญญะ ยังมี ยังรู้สึกตัวเองนะ<o:p></o:p>
    แต่รู้สึกปากมันหนัก ๆ ขึ้เกียจพูดขึ้นมากะทันหัน<o:p></o:p>
    เธอ นั่งซึมกะทือ อึดทืด เป็นอีบื้อ<o:p></o:p>
    ไม่อยากทำอะไรเลย นอกจากอยากจะหลับอย่างเดียว<o:p></o:p>
    ครั้นเห็นเธอไม่ยอมพูดยอมจาหนักเข้า <o:p></o:p>
    คนรอบข้างก็เริ่มตกใจ ทำเอา ปาร์ตี้หอยแครงวันนั้น งานกร่อย สิ้นดี<o:p></o:p>
    ( เพราะขาดอีลูกช่างเม้าส์อย่างหนูบัวฯ )<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    และ หลังจากวันนั้น ไม่เคยมีใครคะยั้นคะยอ<o:p></o:p>
    ให้ หนูบัวฯดื่มเจ้าน้ำเปลี่ยนนิสัยนั่น อีกเลย<o:p></o:p>
    เค้าคงคิดมั้ง ว่า นิสัยเธอตอนนี้ ก็ดีอยู่แล้ว<o:p></o:p>
    เลยไม่รู้จะไปชวนให้เธอดื่ม เจ้าน้ำนั่น <o:p></o:p>
    เพื่อเปลี่ยนนิสัย ( ให้เลวลง ) ไปทำไม<o:p></o:p>
    นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ เหล้า เข้าปากเธอ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    และเธอก็มักจะหยิบยก บทเรียนเรื่องนี้ <o:p></o:p>
    มาเอ่ยอ้างกับเพื่อนฝูงเสมอ<o:p></o:p>
    เวลาไปสังสรรน์ แล้ว ถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้า<o:p></o:p>
    โชคดีที่เพื่อนมันเข้าใจ<o:p></o:p>
    ( หรือมันกลัวขาดขาเม้าส์ ก็ไม่รู้ )<o:p></o:p>
    มันก็เลยหันไปชนแก้วดื่มกันเอง <o:p></o:p>
    แล้วพร้อมใจกัน ทิ้ง เป็บซี่ <o:p></o:p>
    กับ น้ำแข็งเปล่า ไว้ให้เธอเป็นของปลอบใจ<o:p></o:p>
    แต่บทครึ้ม ๆ ขึ้นมาเธอก็ยกแก้วน้ำแข็งเปล่าใส่เป็บซี่ชนกับมัน<o:p></o:p>
    แล้วก็พูดคุยเฮฮา " เมาดิบ " เนียนไปได้เหมือนกัน ^ - ^<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    --------------------------------------------------<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สุดท้าย ต้องขอโทษท่านผู้อ่านทั้งหลายด้วย<o:p></o:p>
    ถ้าประสบการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นจริงของหนูบัวฯ<o:p></o:p>
    มันทำให้จิตของใครต้องขุ่นมัว เศร้าหมอง <o:p></o:p>
    และ เกิดทุกข์กับการยึดติดในบางสิ่ง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เธอชั่งใจอยู่นานเหมือนกัน<o:p></o:p>
    ว่าจะโพสเรื่องนี้ดีไหม ?<o:p></o:p>
    เพราะ การถูกลบกระทู้บ่อย ๆ <o:p></o:p>
    มันก็ทำให้เธอเสีย self เหมือนกัน นะ<o:p></o:p>
    อัตตาในตัวมัน....ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี...เลยล่ะ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร<o:p></o:p>
    ตัวหนังสือที่เขียนออกไป <o:p></o:p>
    ก็ถูกปรุงแต่งโดยจริตของผู้ที่ถือปากกา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร<o:p></o:p>
    ตัวหนังสือที่ปรากฏให้เห็น<o:p></o:p>
    ก็ถูกปรุงแต่งต่อโดยจริตของผู้ที่อ่านมัน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มันไม่สำคัญหรอกว่า <o:p></o:p>
    คนเขียนจะรู้สึกอย่างไร กับการแสดงออกของผู้อ่าน<o:p></o:p>
    แต่มันสำคัญที่ คนอ่านจะรู้สึกอย่างไร<o:p></o:p>
    ถ้าเขา ยึดมั่นถือมั่น แล้วปรุงแต่งตัวอักษรที่เห็น มากเกินไป<o:p></o:p>
    จนเกิดเป็นทุกข์กับสิ่งที่ยึดติดโดยจักษุประสาทขึ้นมา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หนูบัวฯ อยากให้สิ่งที่เขียนสร้าง รอยยิ้ม และ เสียงหัวเราะ<o:p></o:p>
    มากกว่า จะให้ ตัวอักษรเหล่านั้น<o:p></o:p>
    สร้างปัญหา ให้ใครต้องมานั่งทุกข์ มานั่งขุ่นมัวกับอัตตาในตัว<o:p></o:p>
    การที่ศึกษาเรื่อง จิตวิทยา มาบ้าง<o:p></o:p>
    มันทำให้ เธอ มองเห็นเจตนาของตัวเอง<o:p></o:p>
    และกล้าที่จะ ยอมรับสิ่งที่เป็นตัวตนของเธอ<o:p></o:p>
    แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะ ฟันธง หรอกว่า <o:p></o:p>
    คนอ่านจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เธอเขียน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลายอาทิตย์มาแล้วที่นั่ง จิ้มดีด เรื่องนี้หน้าคอม<o:p></o:p>
    บางครั้งก็ให้สงสัย <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    "นี่ตูจะนั่งหลังขดหลังแข็งเขียนเรื่องนี้ไปทำไม<o:p></o:p>
    ให้มัน กระทบคน กระทบโลก ด้วย ( วะ )"<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แนวคิดแบบคาธอลิก เคยสอนเธอ ว่า <o:p></o:p>
    กิจการที่ดีที่สุด คือ การไม่กระทำ มิใช่หรือ<o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้า ก็เคยตรัสเรื่อง อกรรม มิใช่หรือ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แล้วจะทำไปทำไม จะเขียนทำไม<o:p></o:p>
    ในเมื่อ ถ้าปลีกวิเวก ไปถือศีล กินมังฯ <o:p></o:p>
    และ เดินจงกรม ( รอบโรงพยาบาล )<o:p></o:p>
    อยู่เพียงลำพังในกะลาครอบ อันแสนสุข<o:p></o:p>
    ว่างนักก็เอาหนังสือธรรมะ<o:p></o:p>
    อีกหลาย ๆ เล่มที่ยังอ่านไม่จบมานั่งดู<o:p></o:p>
    ชีวิตเธอก็สงบ ดีอยู่แล้ว นี่ <o:p></o:p>
    ที่สำคัญ ไม่ต้อง สุ่มเสี่ยง กับการผิดศีลข้อ 4 ด้วย<o:p></o:p>
    ทำไมหนูบัวฯ ถึงต้องหาเรื่อง ให้ศีลของเธอมัวหมองด้วยนะ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พอเธอบ่นกับตัวเอง มาก ๆ <o:p></o:p>
    เจ้ากุศลจริต ก็เลยเข้ามานั่งปลอบอกปลอบใจเธอใหญ่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    " หนูบัวเอ๋ย นึกสิว่า เธอถือศีลเพื่ออะไร<o:p></o:p>
    คนที่ไม่สนเรื่อง บุญ เรื่อง บาป <o:p></o:p>
    เรื่อนรก สวรรค์ อย่างเธอ<o:p></o:p>
    เคยบอกฉันว่า เธอตั้งใจถือศีล<o:p></o:p>
    เพราะอยาก ลดการเบียดเบียนชาวบ้าน มิใช่หรือ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แม้บางครั้งความขัดแย้งทางความคิด<o:p></o:p>
    จะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ขุ่นเคือง กันบ้าง<o:p></o:p>
    แต่มันก็คือ วิถีแห่งโลกมิใช่หรือ<o:p></o:p>
    คนเราจะเอาให้ได้ดั่งใจเสมอไป ไม่ได้หรอกนะ<o:p></o:p>
    เธอก็ รู้จัก หยุด รู้จักเย็น รู้จักยอม<o:p></o:p>
    มาได้เท่าที่เธอจะยอมรับมันไว้แล้วนี่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หนูบัวฯ เอ๋ย ขออย่าได้กลัวไปเลย <o:p></o:p>
    ที่จะแปลความคิดในหัวออกมาเป็นตัวหนังสือ<o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้า สอนว่า จริตของสิ่งมีชีวิต <o:p></o:p>
    มีถึง 6 ชนิด มิใช่หรือ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ต่อให้เธอ พยายามเขียนให้ดีแค่ไหน<o:p></o:p>
    มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ ตัวหนังสือของเธอ<o:p></o:p>
    ถูกจริต กับคนทุกคนดอกหนา<o:p></o:p>
    ทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน<o:p></o:p>
    อย่างน้อยสิ่งที่เธอเขียน <o:p></o:p>
    มันคงจะถูกจริตกับบางคนบ้าง<o:p></o:p>
    และทำให้เขาเริ่ม สนใจ<o:p></o:p>
    ที่จะมาหันถือศีลบ้างแค่สัก คนนึง ก็พอแล้ว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ส่วน เรื่องที่ห่วงว่า<o:p></o:p>
    ตัวหนังสือที่เธอเขียน <o:p></o:p>
    มันจะเบียดเบียนไปกระทบคนอ่าน<o:p></o:p>
    จะทำให้ศีลข้อ 4 ของเธอขาด<o:p></o:p>
    เธอก็จงอย่าไปวิตกจริตให้มากนักเลย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สิ่งที่น่ากลัวในการถือศีล<o:p></o:p>
    ไม่ใช่ การขาดสะบั้นของศีล ดอกหนา<o:p></o:p>
    ศีล...เมื่อขาด หากมีสตินึกรู้ ก็ต่อขึ้นมาใหม่ได้<o:p></o:p>
    แต่เมื่อไรที่ เธอ ถือมันไว้จน หลง<o:p></o:p>
    คิดไปว่า ตนนั้นเป็นผู้ทรงศีล ที่ผุดผ่อง<o:p></o:p>
    แล้วมองปุถุชนรอบข้าง อย่างนึกเหยียดหยาม<o:p></o:p>
    ว่ามัวหมอง เพราะไม่ครองศีล 5 <o:p></o:p>
    สิ่งนี้ต่างหากคือ สิ่งที่น่ากลัวในการถือศีล<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เฮ้อ ฟังแม่กุศลจริต มาเทศนาสั่งสอน<o:p></o:p>
    แล้วหนูบัวฯ ก็ยิ้มได้ รู้สึกดีขึ้นมา( นิดหน่อย )<o:p></o:p>
    จริงด้วยสิ ศีล...เมื่อขาด<o:p></o:p>
    หากมีสตินึกรู้ ก็สามารถต่อใหม่ได้<o:p></o:p>
    แต่ถ้าเมื่อไร เธอหลงตัวเอง <o:p></o:p>
    จนมองไม่เห็นหัวคนอื่น<o:p></o:p>
    นี่สิน่ากลัว เพราะถึงตอนนั้น <o:p></o:p>
    แม้ศีลเธอจะไม่ขาด แต่เธอก็จะขาดสติเสียแล้ว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คำสอนของ เจ้ากุศลจริต<o:p></o:p>
    ทำให้หนูบัวฯ นึกถึงตอนที่เธอเริ่มถือศีลใหม่ ๆ<o:p></o:p>
    ตอนนั้นเธอต้องฟังคนในโรงพยาบาล" เม้าส์ " คนโน้นคนนี้<o:p></o:p>
    เธอนิ่งเงียบ ยิ้มๆ ไม่พูด ไม่ต่อปากต่อคำร่วมวงนินทาด้วย<o:p></o:p>
    อุปทาน ทำให้เธอ ปรุงแต่งจนเห็น <o:p></o:p>
    ภาพ หนอนยั้วเยี้ยจุกอยู่ในปากของเขา<o:p></o:p>
    มันทำให้เธอรู้สึกขยะแขยง <o:p></o:p>
    และไม่อยากเลี้ยงหนอนไว้ดูเล่นในปากอย่างนั้น<o:p></o:p>
    วูบหนึ่งใจเธอกลับมองคนเหล่านั้นอย่างเหยียด ๆ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ว่า น่าสมเพช <o:p></o:p>
    ว่า เขามิได้ครองศีล 5 <o:p></o:p>
    ว่า เขามิได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เสมอด้วยเธอ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ <o:p></o:p>
    มันเป็น การปรุงแต่งที่โง่เขลา<o:p></o:p>
    เธอเสียเวลาไปกับเวทนานี้<o:p></o:p>
    ประมาณ 3 วินาที ( ตามที่จดไว้ในสมุดดูจิต )<o:p></o:p>
    ก่อนที่เจ้าสติสตัง จะวิ่งมาลากตัวเธอ<o:p></o:p>
    ออกไปจากแอ่งแห่ง อวิชชา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นึกถึงเรื่องนี้ทีไรหนูบัวฯ ก็ขนลุกนะ<o:p></o:p>
    เกือบไปแล้วเชียว เกือบทำ บาปสีขาว อีกแล้ว<o:p></o:p>
    บาปชนิดนี้ น่ากลัว กว่า บาปสีดำ อีกนะ<o:p></o:p>
    เพราะมันพรางตัวเก่ง หลอกเราได้แนบเนียน<o:p></o:p>
    จนบางครั้งหลงผิดไปกับมันโดยคิดว่าเป็น สัมมาทิฐิ<o:p></o:p>
     
  8. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อืม...พี่ที่ทำงาน เคยบอกหนูบัวฯ ว่าffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ถ้าไม่ได้ไปอยู่วัด เขาก็รักษาศีลไม่ได้หรอก<O:p></O:p>
    เพราะสิ่งเร้ามันเยอะ <O:p></O:p>
    มันไม่สงบเหมือนเขตพัธสีมา<O:p></O:p>
    ฟังแล้วเธอก็ขำ ๆ นะ <O:p></O:p>
    อาจเป็นเพราะ มุมมองต่อโลกและชีวิต<O:p></O:p>
    และ ความคิดของเธอ ไม่เหมือนกับชาวบ้านก็ได้<O:p></O:p>
    เธอไม่เคยมอง สิ่งเร้าว่าเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่<O:p></O:p>
    แต่มองว่า มันเป็นความท้าทายเล็ก ๆ น้อย ๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้า โลกในส่วนที่ไม่ได้อยู่ใต้ร่ม กาสาวพัตร์<O:p></O:p>
    คือ โลกที่เต็ม ไปด้วยกิเลส ตัณหา <O:p></O:p>
    และ ภาพมายาแห่งความสุข <O:p></O:p>
    โลก ณ ส่วนนั้น มันก็ไม่ต่างจาก <O:p></O:p>
    ฮาเร็มของสุลต่านหรอกนะ<O:p></O:p>
    หนำซ้ำ ราคจริตของหนูบัวฯ มันก็ชี้นำ <O:p></O:p>
    ให้หนูบัวฯ มายืนอยู่ ณ โลกส่วนนั้นเสียด้วยสิ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ใคร ๆ ก็เรียก ขนานนาม เธอว่า<O:p></O:p>
    เจ้าแม่ฮาเร็มนี่นา<O:p></O:p>
    ดังนั้น ปุถุชนอย่างหนูบัวฯ<O:p></O:p>
    คงไม่มีความสามารถพอที่จะนุ่งขาวห่มขาว<O:p></O:p>
    ไปถือศีลที่วัดได้หรอกนะ <O:p></O:p>
    มันไม่ถูกจริต กับคนอย่างเธอ<O:p></O:p>
    แต่ในเมื่อ เธอมีตั้งใจจริง ที่อยากจะถือศีล แล้ว<O:p></O:p>
    เจ้าแม่ฮาเร็ม อย่างเธอ<O:p></O:p>
    ก็จะลุยถั่ว ถือ " ศีล 5 ในฮาเร็ม... " แบบนี้แหล่ะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    หนูบัวฯมักพูดเสมอนะ ว่า สถานที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ<O:p></O:p>
    ความตั้งใจ ต่างหากที่สำคัญที่สุด <O:p></O:p>
    แม้ใน ฮาเร็มที่ เธออาศัยอยู่ <O:p></O:p>
    มันจะไม่เอื้อกับการปฏิบัติธรรมเท่าไรก็เหอะ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    นี่หนูบัวฯ ก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน<O:p></O:p>
    ว่า จะ ล้างมือ ในอ่างทองคำ <O:p></O:p>
    อำลาวงการ(ฮาเร็ม) ดีไหม ? <O:p></O:p>
    เพราะ ถ้ายังคงถือ " ศีล 5 ในฮาเร็ม " เช่นนี้<O:p></O:p>
    สักวันศีลที่ถือ คงขาดกระจุยเป็นแน่แท้ ^ - ^<O:p></O:p>
     
  9. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2009
  10. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ส่วน อันนี้ โยงลิงค์ไม่ได้ ข้อมูลมันหายตอน เวบลานธรรมล่ม

    ข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษาศีล
    เกี่ยวกับการเดินทางไปราชการ

    เนื้อความ : (สาวภูพาน) อ้างอิง |

    ข้อสงสัยของดิฉันที่อยากจะขอความเห็นคำชี้แนะเกี่ยวกับการรักษาศีลกับการเขียนรายงานเดินทางไปราชการ การเขียนรายงานไปราชการบางครั้งจะเขียนไม่ตรงกับความเป็นจริงแต่เพื่อให้ถูกกับระเบียบและแนวปฏิบัติจำเป็นที่จะต้องเขียนให้ตรงตามระเบียบ เช่น การเดินทางออกจากบ้านพักเราจะออกเดินทางโดยรถสามล้อ ทั้งที่แท้จริงแล้วเราก็ให้เพื่อนหรือน้องไปส่งบางครั้งก็เลี้ยงข้าวน้องตอบแทน (แต่ถ้าไปรถสามล้อจริงก็ราคาพอๆกับที่ขอเบิกแหละเพราะบ้านห่างจาก บขส. เกือบ ๑๐ กิโลเมตรหรือถ้าเลี้ยงข้าวน้องก็พอๆกับไปสามล้อแหล่ะค่ะ) หรือ ในบางกรณีเราเองก็ขับรถไปเอง เช่น มีคำสั่งให้เดินทางไปราชการจังหวัดที่ไม่ไกลนัก เราก็ขับรถไปเองแต่เวลาเขียนเบิกนี่ก็ต้องมานั่งเขียนเดินทางโดยรถสามล้อไป บขส. แล้วนั่งรถทัวร์ข้ามจังหวัด นั่งสามล้อไปที่พัก ไปปฏิราชการ จริงๆแล้วขับรถไปเอง แต่ด้วยระบบการเบิกแล้วไม่เอื้อให้เราเขียนว่าขับรถไปเองเพราะว่าการขับรถไปเอง เพราะต้องขออนุญาตผู้บังคับบัญชาระดับสูง ระดับผู้ว่าราชการ หรือใหญ่กว่านั้น(ถ้าขอขับรถไปเองเค้าคงเราโกงเข็มไมล์ หรือเปล่าไม่แน่ใจนะคะ) บางครั้งจะเดินทางอยู่แล้วจะไปขออนุญาตเลยจะไม่ได้ไปกันพอดี อิฉันก็มึนที่จะขอแต่ก็กังวลใจเกี่ยวกับการจะต้องรักษาศีลเพราะเคยลองคำนวณเหมือนกันว่าขับรถไปเองน่ะเราจ่ายมากกว่าที่หลวงให้เบิกนะ แต่เราสะดวกที่จะเดินทางเองไปนั่งรถโดยสารนี่เหนื่อยล้ามาก(จะไปจะมาบางทีกำหนดเวลาตรงๆไม่ได้โดยเฉพาะการเดินทางด้วยรถโดยสารต่างจังหวัด รอรถนานๆกว่าจะมา แถมต้องหิ้วของผลุงผรัง วิธีที่ดีที่สุดคือขับรถไปเองเลย) เลยใช้วิธีการเขียนการเดินทางปกติก็เฉลี่ยๆ ขาดเกินไม่มากหนัก แต่วิธีการนี้แต่ก็เขียนเพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบ(ที่อาจจะผิดศีล)
    อีกอย่างการเบิกค่าที่พักตามสิทธิ์การเบิกนั้น เบิกได้ไม่เกินตามระดับขั้นแต่ถ้ามากเกินกว่าสิทธิ์เบิกไม่ได้ เช่น สิทธิ์ ๗๓๐ ก็จะได้แค่นั้น ถ้าพักแพงกว่าก็ออกเองแต่ถ้าถูกกว่าก็เบิกตามสิทธิ์ ก็สงสัยว่าที่ทำแบบนี้ผิดศีลหรือไม่ เช่น อิฉันก็ไปราชการที่บ้านเกิดเขียนรายงานการเดินทางโดยรถสามล้อ โดยรถโดยสาร พักโรงแรม แต่จริงๆแล้วก็ขับรถออกจากบ้านพัก ขับรถไปราชการที่ในเมืองห่างตัวจังหวัดที่ไป-กลับ ไปกลับก็๑๔๐กิโลเมตร ก็ขับรถไปกลับมาพักที่บ้านเกิด แต่ก่อนไม่สงสัยว่าผิดศีลไหมเพราะมันเป็นสิทธิ์ที่เราได้รับอยู่แล้ว ถูกต้องตามระเบียบราชการทุกอย่าง ไม่ได้ใช้จ่ายเกินสิทธิ์เลย แต่เพราะต้องการรักษาศีลก็เลยสงสัยว่าเราโกหกราชการอยู่หรือเปล่า
    พักหลังๆเลยรู้สึกไม่อยากไปราชการ แต่มันก็จำเป็นต้องไปนะเราเลือกไม่ได้เหมือนกัน

    จากคุณ : สาวภูพาน [ ตอบ: 08 ธ.ค. 51 13:59 ]

    ความคิดเห็นที่ 2 : (บัวเหล่าที่ 5) อ้างอิง |

    อืม...จริง ๆ คิดจะเขียนประสบการณ์
    เรื่องทำนองนี้ ใน " ศีล 5 ในฮาเร็ม " อยู่เหมือนกันนะ
    แต่ตอนนี้อยู่ในโหมด ขี้เกียจ
    เลยเขียนไม่เสร็จซะที แหะ...แหะ...
    เอาสั้น ๆ แล้วกัน ผิดศีลไหม ไม่รู้ " แต่ไม่ทำเจ้าค่ะ "
    ครั้งล่าสุดไปประชุมที่บางกอก
    ก็ไม่เขียนค่าเดินทางสักบาทเดียว
    จน จนท. ที่ยื่นซองเบี้ยเลี้ยงให้ ทำหน้าพิลึก
    อืม...รู้สึกมันฝืนจริตตัวเองอ่ะ ( ก็ไม่ได้ออกสักบาทนี่หว่า )
    เฮ้อ สงสัยการเดินจงกรมรอบโรงพยาบาลเนี่ย
    มันจะทำให้ เจ้า หิริโอตะปะ ในตัวอิฉัน
    บอบบางมากกว่าปกติกระมัง เลยทำไม่ลง เฮ้อ
    แต่พอเหลือบมอง ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางของชาวบ้าน( ที่ไปด้วยกัน )
    อิฉันเก๊าะเห็น เจ้าความโลภ มันวิ่งพล่านในหัวตัวเอง เลยมั้ง
    กว่าจะจับมันไปขังในกรงได้น่ะ
    ก็เสียเวลาหลาย ชั่วโมงเหมือนกัน ^ - ^
    แหะ..แหะ..เล่า ย่อ ๆ น่ะเจ้าค่ะ
    ไว้เขียนเรื่อง ศีล5 ในฮาเร็ม เสร็จ
    อิฉันจะเอา เรื่องนี้ มาโพส
    ให้คุณอ่าน แบบยาว ๆ นะเจ้าคะ ^ - ^
    ____________________________________
    ต่างคน.......ต่างจิต........คิดต่าง
    ต่างคน.......ต่างความ.....ต่างเห็น
    ต่างคน.......ต่างโต.........ต่างเป็น
    ต่างคน.......จึงเห็น..........ต่างกัน
    คำเตือน ! ตัวอักษรที่ฉันพิมพิ์ลงไปทั้งหมดนั้น
    เป็นเพียงความคิดเห็นและมุมมองส่วนบุคคล
    โปรดอย่าได้นำไปอ้างอิง / ใช้เป็น Reference
    ในการทำข้อสอบ หรือ ตอบคำถามใด ๆให้กับชีวิตเลย
    และหากท่านอายุต่ำกว่า 18 กรุณาอย่านั่งอ่านคนเดียว
    ( ควรมีผู้ปกครองอยู่ด้วยเพื่อคอยชี้แนะ ^ - ^ )
    จากคุณ : บัวเหล่าที่ 5 [ ตอบ: 08 ธ.ค. 51 17:54 ]
    ความคิดเห็นที่ 4 : (บัวเหล่าที่ 5) อ้างอิง |

    อืม...ตะวานรีบโพส ไปหน่อย
    เลย อ่านกระทู้แบบฟังไม่ศัพท์
    แล้วจับไปกระเดียด โทษทีเจ้าค่ะ
    ขออนุญาตออกจากโหมดขี้เกียจ ( ชั่วคราว )
    มาโพสตอบเพิ่มเติมแล้วกันนะ
    เพราะคิดว่า สิ่งที่เขียนน่าจะมีประโยชน์
    กับ จขกท.บ้าง ตามสมควร ^ - ^

    อ้าง จขกท.
    --------------------------
    แต่ด้วยระบบการเบิกแล้วไม่เอื้อให้เราเขียนว่าขับรถไปเอง
    เพราะว่าการขับรถไปเอง เพราะต้องขออนุญาตผู้บังคับบัญชาระดับสูง
    ระดับผู้ว่าราชการ หรือใหญ่กว่านั้น
    ---------------------------
    อ่านแล้วก็คิดว่า อิฉันโชคดีกว่าคุณมั้ง
    บังเอิญทำงานในโรงพยาบาล น่ะ
    การเบิกเบี้ยเลี้ยงเลยค่อนข้างสะดวกกว่าแยะ
    เขียนปุ๊บ ผอ. ก็เซ็นปั๊บ (ก่อนวันเดินทางแค่หนึ่งวัน )
    แถมส่วนใหญ่มักเบิกกับงบผู้จัดงาน ยิ่งง่ายใหญ่
    เลยไม่อิหลักอิเหลื่อกับปัญหาตรงนี้
    และหากอิฉันเป็นคุณ อิฉันก็คงทำแบบคุณแหล่ะ
    ผิดศีลไหม ถ้ายึดตามมาตรฐานของอิฉันแล้ว " ผิด เจ้าค่ะ"
    อิฉันก็คงทำทั้ง ๆ ที่ผิด ๆ ด้วยความจำเป็น นั่นแหล่ะ
    แล้วค่อยรับวิบากของมันทีหลังก็แล้วกัน
    อิฉันไม่มานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจหลายรอบหร็อก
    เรื่องอะไรจะต้องรับวิบากสองเด้งด้วยล่ะ
    ศีลต้องถือด้วยดวงจิตที่ปกติสุข เจ้าค่ะ
    ไม่ใช่มัวมาวิตกจริตกลัวโน่นกลัวนี่
    ยึดติดกับความกลัวศีลถลอกจนทุกข์
    เมื่อจำเป็นต้องขาด ก็ให้มันขาดไป
    ไว้มีโอกาสเหมาะ ๆ เก๊าะมานั่งต่อศีลใหม่ ^ - ^
    เฮ้อ บางที่ สัญชาตญาณการเอาตัวรอดในตัวอิฉัน
    มันก็อยู่เหนืออำนาจควบคุม
    ของ ผจก. ส่วนตัว อย่าง เจ้า หิริโอตะปะ นะ


    อ้าง คุณ Vicha
    ---------------------------------------------
    ดังนั้นการเบิกเงินตามสิทธิ์เต็มที่ตามกำหนดไว้
    จะว่าเป็นการผิดศีลก็ไม่ใด้ครับ
    แม้ว่าในรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้าง
    ก็ยังอยู่ในสิทธิ์ที่กำหนดนั้น
    มีแต่จะเป็นประโยชน์กับพนักงานที่ประหยัดอดออมเสียมากกว่า
    และงานก็สมบูรณ์ได้ตรงตามเป้าหมาย
    โดยที่พนักงานไม่ต้องตั้งจิตใจที่จะคดโกง
    เพราะเป็นสิทธิ์ที่พึงได้โดยชอบ
    โดยยอมลำบากเพื่ออดออมให้กับตนเอง
    ----------------------------------------
    ขออนุญาตเห็นต่าง กับ คุณ vicha นะเจ้าคะ
    บังเอิญ standard ของ เรา คงจะคนละเบอร์กัน แหะ...แหะ...^ - ^
    อืม....สมัยก่อนอิฉันน่ะ
    เซียนเรื่อง การเมคเบี้ยเลี้ยงเดินทางประชุม เลยนะ
    มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ " ใคร ๆ ก็ทำกันทั้งนั้น "
    เมื่อก่อนอิฉันก็ มักจะอ้าง
    "สิทธิโดยชอบธรรม ถูกต้องตามระเบียบราชการทุกอย่าง
    ถึงใช้สิทธิ์เต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ใช้จ่ายเกินสิทธิ์เลยแต่ประการใดเลย "
    เช่นกันเจ้าค่ะ

    แต่พอเริ่มถูลู่ถูกังถือศีล 5 อย่างจริงจัง
    เลยเปลี่ยนความคิดใหม่ตามต่อมศีลธรรมที่มันบอบบางกว่าเมื่อก่อน
    ตอนนี้สำหรับอิฉัน นั้น มิใช่แค่ ใช้จ่ายตามสิทธิ แล้ว
    แต่มันรวมถึง " ใช้จ่ายตามจริง " ด้วย
    ยกตัวอย่างนะ เช่น ถ้าสิทธิ์ให้เบิกได้ถึง 800 บาท
    หากไปรถโดยสารรวมค่าสามล้อ +ค่าใช้จ่าย
    ในการเดินทางอื่น ๆ (ที่ควรจะเป็นโดยไม่เมค) ต้องจ่าย 400 บาท
    ถ้าขับรถไปเองจ่าย 700 บาท ( แต่หลวงไม่อนุมัติให้ใช้รถ )
    อิฉันก็จะเอาแค่ 400 บาท นะ
    อิฉันยอมรับได้ แค่การจ่ายตามระเบียบข้อบังคับ
    ถ้าขับรถไปเอง อิฉันก็จะเบิกตาม ราคารถโดยสารเท่านั้น
    ส่วนเกินจากที่หลวงให้เบิก อิฉันถือว่า อิฉันจะออกเอง
    เพื่อซื้อความสบายกาย (และ ใจ ) ของตัวเอง
    อิฉันคิดว่า เงินเล็กน้อยแค่นี้ "ถูก" เกินกว่า
    ที่จะเอามาใช้ซื้อศักดิ์ศรีของตัวเองเจ้าค่ะ ^ - ^
    เฮ้อ บางทีอิฉันก็ขำกับจริตของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ( แต่ละคน ) นะ
    ทีเวลาทำบุญใส่ซองกฐิน ล่ะควักกันหนุบหนับได้โดยไม่ลังเล
    แถมปิติสุขจนพองคับอก หน้าบานเป็นจานเชิง
    แต่ทีเวลาจะคืน...กำไรให้หลวง...นิด ๆ หน่อย ๆ มั่ง
    กลับเริ่มอิด ๆ ออด ๆ ห่อเหี่ยวที่จะปล่อยวาง ตัวกูของกู
    ตลกดีเน๊อะ ^ - ^
    ------------------------------------------------
    " พักหลังๆเลยรู้สึกไม่อยากไปราชการ "
    น่าเสียดายจัง ที่คุณ จขกท.คิดแบบนี้
    อิฉันว่า มันดีออกจะตายไป
    ได้มีโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศ
    ในการดูจิตตัวเองอย่างนั้นน่ะ
    จะได้รู้ไงว่า ตัวเราน่ะ
    ยังยึดติดกับ คำว่า ตัวกูของกูแค่ไหน
    แถม ได้เห็นเจ้าความโลภ มาเดินเพ่นพ่านให้ดูเล่นด้วย
    ( ตอนเหลือบไปมอง เบี้ยเดินทางของเพื่อนที่มาด้วยกัน
    แต่มันได้เงินมากกว่าเราถึงสิบเท่าน่ะนะ )
    สนุกจะตายไปคุณเอ๋ย
    เวลาต้องไล่จับเจ้าความโลภเข้ากรงขังน่ะ ^ - ^
    นี่ ๆ คุณรู้ไหม ? การไปประชุมที่บางกอกครั้งล่าสุด
    นอกจากได้ความรู้ทางวิชาการมาแล้ว
    อิฉันยังได้ ไอเดียกิ๊บเก๋ บางอย่างติดมาด้วยนะ
    นอกจาก การเขียนรายงานเบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทางตัวแดงหรา
    ท้าสายตา จนท. การเงิน ว่า
    " ขออนุญาต ไม่รับเบี้ยเลี้ยงในส่วนของค่าเดินทาง " น่ะนะ
    ไอเดียอีกอย่างที่ได้ ก็คือ จู่ ๆ ก็นึกถึงวิบาก
    ในการเมค ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ครั้งเก่าก่อนขึ้นมาเฉย ๆ
    เลยคิดว่า จะคืนกำไรให้หลวง
    ในส่วนที่เคยไป เบียดบัง ( โดยชอบธรรมมาน่ะ )
    กะจะบริจาคเงินคืนหลวง น่ะ( นี่ก็ทยอยทำแล้วบางส่วน )
    แต่ก็ไม่ได้ทำเพื่อ ล้างบาป หรอกน่ะ
    กรรมแต่เก่าก่อนมันก็ยังอยู่ครบถ้วน
    และวิบากของมันก็คงจะแวะมาทักทายอิฉัน ในสักวันหนึ่ง
    แต่ที่อิฉัน คืนกำไรให้หลวงนั้น
    ก็เพราะอิฉันต้องการ ชดเชยความรู้สึกผิดในใจ ต่างหาก
    การเยียวยาอัตตาตัวเอง ตาม ทฤษฎีจิตวิทยาน่ะ
    ที่น่าขำกว่านั้นคือ ถ้าดูจาก จำนวนเงินที่ตั้งเป้าจะบริจาค
    กับ เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อิฉันไปเบียดบังหลวง ( โดยชอบธรรม )
    มันค่อนข้างจะต่างกันลิบเลยนะ
    ถ้าดูในสายตาของแม่ค้า อิฉันขาดทุนป่นปี้เลยมั้ง
    แต่ก็ดี แล้วแหล่ะ เงินแค่นี้ มันถูกมั่กๆ
    ถ้าจะใช้เป็นค่าหน่วยกิตลงทะเบียน
    วิชา การปล่อยวางตัวกูของกู น่ะ
    เออ แต่ถ้า จำเป็นต้องเขียนค่าเดินทางร่วมกับคนอื่น
    ( เช่นไปเป็นหมู่คณะ )
    อิฉันก็คงต้องเลยตามเลยแหล่ะมั้ง
    คงเขียนเหมือนชาวบ้านไปด้วยความจำใจ
    เพื่อ หลีกเลี่ยงการ " กระทบคน"
    แต่เงินส่วนเกินจากที่ใช้จริง
    อิฉันก็คงเอาไป " กระทบโลก "
    ด้วยการบริจาคคืนหลวงนั่นแหล่ะ



    จากคุณ : บัวเหล่าที่ 5 [ ตอบ: 09 ธ.ค. 51 08:38 ]

    ความคิดเห็นที่ 11 : (ฐานิโย) อ้างอิง |

    ผมมักแนะนำ เพื่อนที่ต้องทำงานสายราชการ
    ที่ชอบปรึกษา เรื่องการรับเงินใต้โต๊ะ โกงนั่นนิด โกงนี่หน่อย
    ( แต่ก็เป็นเคส เล็กๆครับ ไม่ใหญ่โตเหมือนนักการเมืองเค้ากินกัน )
    โดยปกติ คนถามก็มัก มีข้อแก้ตัวที่ทำให้ตัวเองดูไม่เลวร้ายมาก มาแก้ต่าง
    เพื่อนผมเค้าก็ศึกษาธรรม ปฎิบัติธรรม บ้างตามโอกาส ก็เลยมีอาการ วิตกเรื่องศีล
    เหมือนที่ท่าน จขกท รู้สึกเป็นห่วง
    บทสนทนาระหว่างกลุ่มเพื่อนๆ
    นาย ก - "คุณอยากเป็นคนดีมั้ย?"
    นาย ข - "ก็อยากสิครับ"
    นาย ก - "อยากเป็นคนดี ก็จงเป็นคนดีซะ"
    นาย ค - "อืม..พูดซะเท่ห์เลยน่ะ"
    นาย ก - "ผมว่า วันหลังเพื่อความปลอดภัย ถ้าคุณอยากเป็นคนดีจริงๆ คุณทำอย่างงี้ "
    นาย ข - "ทำยังไงครับ?"
    นาย ก - "อย่างเรื่องที่คุณมานั่งเล่า ถามพวกผมว่า ผิดมั้ยเนี่ยทำแบบนี้? ใครๆเค้าก็ทำกัน
    คุณลองคิดง่ายๆว่า เรื่องนี้ ถ้าเป็น ในหลวงของเรา คุณคิดว่าท่านจะทำเหมือน
    ที่คุณทำมั้ย?"
    นาย ข - "โอย....ท่านไม่ทำแน่"
    นาย ก - " ก็นั่นไง แค่นั้นเอง จบ "
    นาย ค - "คิดแบบนี้ ก็ดีน่ะ เอาในหลวงท่าน มาตั้งเป็นโจทย์ เป็นตัวอย่างความดี"
    นาย ก - "ยิ่งคุณเป็นคนรับราชการด้วย ผมว่าเหมาะที่สุด"
    จากคุณ : ฐานิโย [ ตอบ: 12 ธ.ค. 51 14:45 ]
     
  11. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ส่วนอันนี้ ข้อความเกี่ยวกับศีล ข้อหนึ่ง
    ที่เคยคุยกับทั่นผู้เฒ่าคนหนึ่ง ที่ โตะศาสนา ของพันติ๊ป
    ( กระทู้ตกขอบไปนานแล้ว ฝอยเพลิน ไม่ได้กดเก็บเข้าคลังกระทู้ )
    ความคิดเห็นที่ 9
    เรื่องศีลข้อหนึ่ง ของคุณหนูบี อ่านเพลินและได้สาระดีมาก
    น่าจะไปเป็นนักเขียนใน ถนนนักเขียนนะครับ
    ผมเห็นด้วยกับมังสวิรัติ ที่ยังติดรสชาติ
    ปลาดุกผัดเผ็ด ต้มยำปลาช่อน เนื้อน้ำมันหอย แกงหมูเทโพ ฯลฯ
    การงดกินเนื้อสัตว์ น่าจะลองงดสัตว์เล็ก ที่กินคำละหนึ่งชีวิตก่อนซีครับ
    พวก หอยแคลงยำ หอยแมงภู่อบหม้อดิน ออส่วนหอยนางรม
    กุ้งเต้น ฯลฯ
    สัตว์ใหญ่เอาไว้ทีหลัง เพราะที่เรากิน เป็นเศษหนึ่งส่วนร้อยส่วนพันของบาป
    อย่างหมูนี้เกิดมาเพื่อเป็นอาหารมนุษย์ เอาไปใช้งานอะไรก็ไม่ได้
    ส่วนวัวกับควาย ควรจะเลี่ยงเสีย
    และสัตว์อื่นที่พิศดาร เช่น แย้ผัดเผ็ด ต้มโคล้งงูเห่า สมองลิง ฯลฯ อย่ายุ่งดีกว่า
    พูดถึงเรื่องยุง ถ้ามันมากัดกลางวันต่อหน้าต่อตา
    ผมจะเอามือดึงหนังกำพร้าตรงที่มันกัด
    ปากมันจะถูกหนังบีบไว้ มันก็ตกใจพยายามจะถอนปากออก
    มองเห็นความรักชีวิตของยุงชัดเจนเลยครับ
    ขอบคุณคุณหนูบีที่ทำให้ผมเชื่อว่าการรักษาศีลข้อหนึ่ง
    ไม่ยากอย่างที่คิดครับ.
    แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 52 16:30:52
    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 8 ก.พ. 52 16:30:16 ]






    ความคิดเห็นที่ 10
    ถึงคุณ เจียวต้าย คห.9
    ดีใจจัง ที่คุณชอบ ตัวหนังสือที่อิฉันปรุงแต่งขึ้นมา ^ - ^
    เฮ้อ จริง ๆ เรื่อง ศีล 5 ในฮาเร็ม น่ะ
    นอกจากเขียนเอามันส์ แล้ว ตั้งใจจะเขียนไว้ให้เป็นแนวทาง
    ว่า ศีลมันถือไม่ยากหรอกนะ ถ้ามีความตั้งใจ
    อย่างน้อย ถ้าเขียนเรื่อง การล้มลุกคลุกคลาน ในการถือ ศีล 5
    จากประสบการณ์ตรงของตัวเองออกมาเป็นตัวหนังสือ
    คงจะมีคนที่อ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจในการถือศีลบ้าง
    พอได้ยินคุณบอกว่า
    "ขอบคุณคุณหนูบีที่ทำให้ผมเชื่อว่า
    การรักษาศีลข้อหนึ่ง ไม่ยากอย่างที่คิดครับ"
    เลยรู้สึกว่า ตัวหนังสือที่อิฉันเขียน
    มันก็สัมฤทธิ์ผลแล้วนะอย่างน้อยก็มีคุณคนหนึ่งล่ะ
    ที่อ่านแล้ว ได้ อะไร กลับไป

    ก็ตั้งใจจะเอาไปโพสลงใน ถนนนักเขียนเหมือนกันนะ
    แต่ คงต้องถากต้องเกลาชิ้นงานอีกแยะ
    เพราะ เนื้อหามันเยอะ จนตาลาย
    ต้องสังคายนา จัดหมวดหมู่ให้น่าอ่านน่าดู
    กว่าจะเขียนเสร็จ ปิดงบได้ อีกนานนนนนนน
    ยิ่งเขียนยิ่งบานตามประสบการณ์ที่พบเจอน่ะ
    นี่ยังอยากจะยัด เรื่องการวิตกจริต
    เกี่ยวกับ แบคทีเรีย อมีบา พารามีเซียม
    รวมทั้ง เรื่อง จุลินทรีย์ แลคโตบาซิลลัส (ในยาคูลท์ )ลงที่ศีลข้อ 1 ด้วย
    ตลอดจนเรื่อง สวยด้วยศีล เรื่องการชาร์จแบตโทรศัพท์
    การเมคเบี้ยเลี้ยงเดินทางประชุม กับศีล ข้อ 2
    และเรื่องโสเภณี กับ ศีล ข้อกาเม เพิ่มเติมเข้าไปอีก
    โอ๊ย บานนนนนนนนนนนนนน เล๊ยยยยยเฮ้อ
    และคงอีกนานเลยกว่าจะแก้ไขชิ้นงานเสร็จ
    ตอนนี้เริ่มเข้าสู่โหมด ขี้เกียจ แล้วอ่ะ
    น่าขำบทจะขยัน อิฉันก็มีความเพียรจนล้นเหลือ
    นั่งพิมพ์ได้ตั้งแต่ 2 ทุ่มยันเที่ยงคืน
    แถมตื่นมาพิมพ์ต่อ ตอน ตีสี่ จนถึง สองโมงเช้าได้อีกแหนะ
    ครั้นพอบทจะเบื่อ อิฉันก็ขี้เกียจจนตัวเป็นขนเลยล่ะ
    ตานี้ เวลาอ่านเจอบางกระทู้ ที่พูดถึงเรื่อง ศีล
    ถ้า เห็นว่าสิ่งที่เขียนเกี่ยวข้องกับคำถามของ จขกท
    ก็จะไปก๊อปเอา บางส่วนของชิ้นงาน ที่พิมพ์ไว้
    มาโพสให้อ่านก่อนเพื่อเป็น ไอเดียให้ กับ จขกท อ่ะค่ะ
    เพราะ หาก รออ่าน ตอน อิฉัน พิมพ์ ศีล 5 ในฮาเร็ม จนจบ คงอีกนานนนนน
    อืม....ตอนที่เขียนเรื่องศีล ข้อ 1 นั่น ประมาณ ปลายปี 51 มั้ง
    เนื้อหาเลยไม่อัพเดต เท่าไร
    อิฉันเริ่มถือศีลประมาณ ส.ค. 51 น่ะ
    ถือจนชินจนเป็นปกติแล้วอ่ะ เรื่องกินมังฯ นี่ก็เหมือนกัน
    เดี๋ยวนี้ก็ ตุน ม่าม่าเจ ไว้เพียบ รับรองไม่อดตายในยามยาก ^ - ^
    แต่เรื่อง น้องหมู นั้น อิฉันคิดต่างจากคุณนะ แหะ ๆ
    อิฉันคิดว่า สัตว์โลกทุกชีวิต ล้วนเกิดมาชดใช้กรรมอ่ะ
    หาได้เกิดมาเพื่อสนองตัณหา เอ๊ย เพื่อยังประโยชน์กับมนุษย์ไม่ ?
    จะนกอีแร้ง แมลงวัน แมลงหวี่ หรือ สาธุชนคนดี
    อิฉันก็มองว่า มันคือ หนึ่งชีวิตในห่วงโซ่อาหาร เหมือน ๆ กัน เจ้าค่ะ
    เฮ้อ ถ้า น้องหมู มันพูดได้
    มันคงเถียงฉอด ๆ ใส่พวกเราแล้วมั้งว่า
    " ถ้าหมูไม่มีประโยชน์
    แล้ว มนุษย์ ขี้เหม็นอย่างพวกเอ็ง
    ยังประโยชน์ อะไรให้กับโลกบ้างล่ะ
    ถึงจะกินล้างกินผลาญไปวัน ๆ
    หมูอย่างข้าก็ไม่เคยใช้ตัณหาตัวเองทำลายโลก
    จนเกิดปัญหาเรือนกระจก หรอกนะ"
    แหะ ๆ อันนี้ อิฉันลองคิดเล่น ๆแทน น้องหมูอ่ะค่ะ
    จริง ๆ เรื่องกินมังฯ นั้นก็เห็นด้วยกับคุณ บางส่วนนะเจ้าคะ
    แต่ตัวเอง เลย จุดที่จะคิดเรื่อง สัตว์เล็กบาปน้อย สัตว์ใหญ่บาปมาก ไปแล้ว
    มันคงขึ้นกับว่า อะไรมันถูกจริตไม่ฝืนจริตเรา
    และ เรา ถือศีลกินมังฯ เพื่ออะไร มากกว่า มั้ง
    คุณถือศีลเพราะอะไรล่ะ เจ้าคะ ?
    ถ้าคุณ ถือศีลกินมังฯ เพราะกลัวบาป อยากได้บุญ มันก็ยากแบบหนึ่ง
    ถ้าคุณ ถือศีลกินมังฯ เพราะ อยากขึ้นสวรรค์
    หรือ เห็น ประโยชน์ ของแมคโครไบโอติก มันก็ยากอีกแบบหนึ่ง
    แต่ถ้าคุณ ถือศีลกินมังฯ เพราะต้องการลดการเบียดเบียนชีวิต
    มันจะไม่ยากเลย เพราะคุณทำด้วย ใจ ไม่ใช่ด้วย ความอยาก ^ - ^
    เฮ้อ พูดซะดูดีเลย แฮะ
    แต่อิฉันเองก็ยังทำได้ ไม่หมดจด หรอกนะเจ้าค่ะ
    ( โดยเฉพาะ ศีลข้อ 4 ถลอกประจ๊ำ )
    อืม.. ที่คุณเล่าให้ฟัง เรื่อง ยุงกัด แล้วเอามือดึงผิวหนัง เนี่ย
    อิฉันอ่านแล้วนึกถึง คุณสมาน ที่ร้าก พ่ออิฉันจังแฮะ
    ขานั้นก็เคยเล่าให้ฟังประมาณคุณ นี่แหล่ะ
    แต่เวอร์ชั่นพ่ออิฉัน มันโหดกว่า นิดนึง
    พ่อเคยเล่าให้ฟัง ว่า
    เวลายุงกัด พ่อเคยเอามือดึงผิวหนังตรงที่ยุงกัด
    จนปากยุงมันถูกหนีบติดอยู่ที่เนื้อ ขยับไปไหนมาไหนไม่ได้
    จนยุงมันสำลักเลือดแล้วท้องแตกตาย อย่างกับชูชก
    น้ำเสียงพ่อ ตอนนั้นดูสะใจกับชะตากรรมของเจ้ายุงนั่นพิลึก
    พออิฉันบ่นว่า พ่อโหดจัง คุณสมานเก๊าะยักไหล่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
    ประมาณว่า
    " ช่วยไม่ได้ ก็มันอยากมากัดพ่อเองนี่ ตะกละดีนัก สมน้ำหน้า "
    ฟังแล้วก็ได้แต่ปลง เฮ้อ นั่นน่ะ เวอร์ชัน พ่อ อิฉันล่ะ
    ก็ไม่รู้ว่า เวอร์ชั่นคุณ เป็นไงนะ

    อ้อ พิจารณาจากหนังสือสยามรัฐยุคบุกเบิกที่คุณสะสม
    อิฉันคิดว่า อิฉันคงอ่อนอาวุโส กว่าคุณแยะเลย
    แล้วก็มี ชั่วโมงบิน ในยุทธจักร น้อยกว่า คุณมาก
    แต่ไง อิฉันก็ขออนุญาต เอามะพร้าวห้าว มาขายสวน
    ให้คุณอ่านหน่อยนะเจ้าคะ
    ในฐานะ ที่คุณ...อยาก ...ถือศีลอย่างเคร่งครัด ^ 0 ^
     
  12. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ปล.
    อย่าเชื่อน้ำลาย อิฉันนักเลยนะ
    แล้ว ก็อย่า ให้ กิฟท์ อิฉันบ่อย ๆ ด้วย
    เดี๋ยวคุณอาจจะติดร่างแห
    โดน ข้อหา ส่งเสริม สปาย
    ผู้บ่อนทำลายพุทธศาสนา
    ไม่รู้ด้วยเด้อออ
    อิฉันยิ่งถูกเพ่งเล็ง อยู่ อิอิ
    "..ขึ้นนั่งยังกำแพงแสร้งตีขิม พยักยิ้มให้ข้าศึกนึกฉงน.."
    เฮ้อ แค่นั่งตีขิม บนกำแพง
    เก๊าะทำให้ กระต่าย ตื่นตูม ได้ แฮะ เรา
    เก่งไม่เบาเลย สงสัยจะสืบเชื้อสายมาจากทั่นขงเบ้ง อิอิ
    จากคุณ : นู๋บี - บัวเหล่าที่ 5 - [ วันมาฆบูชา 19:35:03 ]


    ความคิดเห็นที่ 11
    ขออภัย ผมให้กิ๊ฟเพราะตอบได้ถูกใจ หรือภาพถูกใจ ไม่ใช่ให้เพราะสิเหน่หาครับ
    สำนวนของคุณหนูบี อ่านแล้วสนุกทั้ง ๆ ที่มีสาระเพียบ
    อยากอ่านตัวจริงของเรื่อง ศีลห้าในฮาเร็ม เร็ว ๆ
    หากจะปรับปรุงแล้วนำมาลงที่ละบทหรือทีละตอนก็จะดีมากครับ
    เรื่องสัตว์เล็กบาปน้อยสัตว์ใหญ่บาปมากนั้น
    ตรงกันข้ามครับ
    สัตว์เล็กบาปมากเพราะหนึ่งชีวิตรับบาปคนเดียว
    สัตว์ใหญ่บาปน้อยเพราะช่วยกันรับบาปเป็นร้อยเป็นพัน(ถ้าเป็นปลาฉลาม)
    เรื่องแกล้งยุงนั้น ผมมองดูยุงดิ้นรนที่จะเอาปากออกจากผิวหนังเรานั้น
    กลับสงสารจับใจเลยครับ
    มันกินเลือดเราเพียงหยดเดียว ไม่รู้สึกเจ็บเพียงแค่คัน ๆ
    แต่มันกำลังจะต้องเสียทั้งชีวิตเชียวครับ
    หมูเลี้ยงไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ เพียงแต่เกิดมาสำหรับเป็นอาหารเท่านั้น
    หมูป่าไม่เกี่ยวนะครับ ไม่ได้เกิดมาเป็นอาหารใคร นอกจากสัตว์ป่าด้วยกันครับ.
    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 10 ก.พ. 52 09:48:10 ]

    -----------------------------------------------

    อันนี้ก็ ก๊อปมาจาก กาทู้คุณเจี๊ยวตาย เมื่อนานมาแล้ว

    การปฏิบัติธรรม.................
    การปฏิบัติธรรม.......ไม่ยากอย่างที่คิด
    ปภัสสร

    ในรอบปีหนึ่ง มีวันสำคัญทางพุทธศาสนาอยู่เพียงสี่วันเท่านั้น คือ มาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ความสำคัญทั้งสี่วันนั้น ผู้อ่านทุกคนย่อมรู้มานานแล้วตั้งแต่เป็นนักเรียน ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน ต่างก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมในวันสำคัญเหล่านี้ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามความเชื่อหรือความสามารถของแต่ละคน เริ่มตั้งแต่การสมาทานศีลห้า ศีลแปด หรือปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน อย่างน้อยก็ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ฟังเทศน์ฟังธรรม เป็นต้น
    ผมเองเมื่อยังรับราชการอยู่ ก็ตักบาตรทำบุญ รับศีลฟังธรรมไปตามโอกาส ส่วนชีวิตประจำวันก็ทำบาปไปตามปกติธรรมดา ฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย โลภมากอยากได้แต่ไม่ถึงกับเป็นโจร จีบเด็กเสริฟบ้างตามโอกาสที่เขา โกหกหรือพูดไม่จริงเยอะมากแต่ไม่เคยหลอกลวงใครให้เสียหาย ดื่มสุราเป็นอาจิณ
    ครั้นพอเกษียณอายุราชการแล้ว ไม่ค่อยมีการเกี่ยวข้องกับผู้อื่นมากนัก นอกจากการเขียนหนังสือขาย โอกาสที่จะทำบาปก็น้อยลง พอเกษียณมาได้สิบปี ก็รู้ตัวว่าเวลาในการทำชั่วน้อยลง และเรี่ยวแรงที่จะไปทำความชั่ว ก็น้อยลงเช่นกัน จึงคิดว่าอย่ากระนั้นเลย ลองพยายามละเลิกความชั่ว ที่ท่านระบุไว้ในศีลห้าข้อดูบ้างซิ ว่าชีวิตจะขาดรสชาติไปสักแค่ไหน
    แต่ความที่เคยชินมาเป็นเวลานานมาก จึงต้องค่อย ๆ ลดลงทีละน้อยก่อน คือตั้งใจจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาก่อน ปีหนึ่งก็มีเพียงสี่ครั้งเท่านั้น ต่อมาก็เพิ่มเป็นวันอาทิตย์ ถ้าทำได้ตลอดปลอดโปร่ง ปีหนึ่งก็จะได้ทำบุญทำกุศลให้แก่ตนเอง ถึงห้าสิบกว่าครั้ง
    คิดได้แล้วก็ลงมือทำ แต่ก็ไม่ค่อยครบ เพราะมีมารมาคอยขัดขวางอยู่เป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นบัตรเชิญงานต่าง ๆ ที่มักจะจัดกันในวันอาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นงานวันเกิด งานอุปสมบท งานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ฉลองในโอกาสต่าง ๆ หรืองานฌาปนกิจศพ ถ้าขืนอ้างว่าฉันจะปฏิบัติธรรม เจ้าภาพก็คงจะกล่าวหาว่าบ้า จึงต้องยอมผ่อนผันไปบ้าง แต่ทุกสิ่งที่มีกติกา ถ้าสามารถละเมิดได้สักครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะอ้างเหตุความจำเป็นสักเพียงใด โอกาสที่ละเมิดในคราวต่อ ๆ ไปก็จะมีมากขึ้น ดังนั้น ในปีที่ผ่านมาแล้ว ผมจึงปฏิบัติธรรมไม่ถึงสามสิบครั้งสักปีเดียว
    การปฏิบัติธรรมที่คนส่วนมากเข้าใจนั้นก็คือ การนุ่งขาวห่มขาว ไปอยู่ที่วัดคืนหนึ่งหรือสองคืน ได้สวดมนต์ภาวนา รักษาศีลอุโบสถ ฟังธรรม เป็นต้น แต่ท่านอาจารย์บางท่านบอกว่า ไม่ต้องเสียเวลาขนาดนั้นหรอก ปฏิบัติธรรมที่บ้านก็ได้ ขอให้มีสติระลึกอยู่ทุกขณะ อย่าผิดศีลก็ใช้ได้แล้ว
    ผมเห็นว่าการรักษาศีลที่บ้านนี้ดูจะง่ายดี จึงรับเอามาปฏิบัติเป็นประจำทุกครั้งที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม
    ข้อที่หนึ่ง ไม่ฆ่าสัตว์ ข้อนี้หลายท่านบอกว่าทำยาก เพราะบ้านเรามียุง มด แมลงวัน ปลวก หนู งู เราก็ตั้งใจว่าจะไม่ฆ่ามันโดยเจตนาเป็นอันขาด แล้วทำให้ได้ ยุงกัดเราก็เอาผ้าปัด ๆ เอามือลูบ ๆ โดยไม่ตบผัวะ หรือจุดยากันยุงเพื่อไล่ให้มันไปพ้น ๆ เสีย ไม่ใช่เอาดีดีทีจ้องฉีดให้มันตายทั้งกลุ่ม หรือเอาไม้ไฟฟ้าไล่ฟาด จนมีเสียงดังเพียะ ๆ สมัยนี้ห้องนอนส่วนใหญ่จะมีมุ้งลวด อาจจะมียุงเล็ดรอดเข้ามาเพียงสองสามตัว ปล่อยให้มันอาศัยอยู่บ้าง เสียเลือดไปไม่ถึงหยดมันก็อิ่มแล้ว
    ส่วนมด แมลงวัน หรือปลวก ก็หายาสมุนไพรมาไล่ให้มันหนีไปเสีย หรือเอาชอล์ก กันแมลง มาขีดเขียนเป็นวง ไม่ให้มันเข้ามายุ่มย่ามกับของกินของใช้ของเราก็ได้ ส่วนหนูนั้นไม่ยากไม่ต้องใช้กับดักหรือกรงดัก หรือเอายางเหนียวมาล่อให้มันติดตัง เป็นที่น่าทุเรศเวทนา เพียงแค่เลี้ยงแมวตัวสองตัว มันเดินวนรอบ ๆ บ้าน หนูก็หายไปหมดแล้ว สำหรับงูนั้นถ้าบ้านไม่รกอย่างกับอยู่ในสวนก็ยากที่จะเจอมันอยู่แล้ว
    เมื่อไม่ฆ่าสัตว์แล้วก็พยายามไม่กินสัตว์ได้เป็นดี แต่ก็มีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนว่า ไม่ควรยึดติดว่ากินเนื้อหรือกินผัก เรากินอาหารที่เขาปรุงมาเรียบร้อย เป็นแกงเป็นผัดแล้ว ไม่ได้เจาะจงว่าจะกินหมู วัว หรือไก่ ผมก็เลยไม่กินสัตว์อะไรที่มันเป็นตัว ๆ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นต้น ส่วนสัตว์ อื่น ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ เช่น สมองลิง อุ้งตีนหมี หรือบ้องหางจรเข้ ฯลฯ เป็นอันว่าไม่ยุ่งด้วยเลย
    ศีลข้อนี้ไม่ได้หมายถึงการฆ่าอย่างเดียว แต่ครอบคลุมไปถึงโทสะด้วย ความโกรธ ความเกลียด ความริษยา ความอาฆาต ความพยาบาท ความจองเวร ความหงุดหงิด ความหมั่นไส้ ฯลฯ ก็รวมอยู่ด้วย
    วิธีแก้ก็ไม่ยากอะไร ยกเอาความเมตตา ปรารถนาให้เขาหรือมันพ้นทุกข์ และพยายามช่วยให้พ้นทุกข์ ความกรุณาปรารถนาให้เขามีความสุข และพยายามช่วยเหลือให้เขาได้รับความสุข ความพลอยยินดีด้วยเมื่อเขาพ้นความทุกข์หรือมีความสุขแล้ว ความวางเฉยเมื่อเห็นเขาได้รับความทุกข์ ที่เราไม่สามารถช่วยได้แล้ว
    เห็นไหมล่ะ การรักษาศีลข้อหนึ่งไม่ยากเลย.
    ส่วนศีลข้อที่สอง สำหรับผมที่มีบำนาญพอกิน พอเลี้ยงครอบครัวแล้ว ก็ไม่ต้องไปลัก ขโมยใคร หรือไม่อยากได้ของใครที่เขาไม่ได้ให้เรา พอใจอยู่แต่เพียงสิ่งที่เราควรได้เท่านั้น เท่านี้ก็ปลอดภัยแล้ว แต่ควรจะเพิ่มการบริจาคทานด้วย ท่านว่าเมื่อเรามีพอกินแล้ว ส่วนที่เกินก็ควรจะบริจาคให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนบ้าง ผมก็พยายามแบ่งเงินเอาไว้ทำบุญทำทานพอสมควร ถ้าเป็นขอทานก็ให้รายละสองบาท ไม่เลือกเพศเลือกวัย ไม่เลือกว่าวนิพกหรือคนพิการ เขาจะเอาไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาเอาไปซื้อข้าวกิน เขาก็อิ่ม ถ้าเอาไปซื้อกาวดม เขาก็เมา ไม่เกี่ยวกับเรา
    ผมพยายามช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเราเสมอ เท่าที่จะทำได้ ผมมีงบบริจาคสำหรับการสาธารณกุศลทุกเดือน เปลี่ยนที่กันไปเรื่อย ๆ เช่นมูลนิธิเกี่ยวกับเด็ก มูลนิธิเกี่ยวกับคนพิการ มูลนิธิเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น ส่วนเรื่องผ้าป่ากฐินก็ปวารณาไว้เลยว่า ใครอยากจะให้ผมทำบุญก็ใส่ชื่อไปเลยโดยไม่ต้องขออนุญาต แต่อย่าเอาไปเป็นประธานหรือรองประธานเลย เพราะจะช่วยเพียงซองละร้อยเดียวเท่านั้น ก็ได้ทำบุญอยู่ทุกปีเป็นประจำ
    ศีลข้อที่สามเป็นเรื่องของกิเลสคือความอยาก ในสิ่งที่ไม่เหมาะสม เมื่อเวลาผ่านไปจนสังขารร่วงโรย ไม่มีใครเขาเหลียวแลแล้ว การไม่ผิดศีลในข้อนี้จึงทำได้ง่ายมาก เพราะปัจจัยที่แปลว่าเงินก็มีแค่เพียงพอกิน ไม่เหลือเฟือพอที่จะอุปการะหรืออุปถัมภ์ใครได้อีก สมัยที่เขามีเทาว์เฮ้าส์หนึ่งหลัง รถเก๋งหนึ่งคัน เงินเดือนหนึ่งหมื่นนั้น สำหรับผมไม่เคยพานพบ มาสมัยนี้ก็เลยรอดตัวไปได้ ไม่หลงติดอ่าง ฟังเพลงแกล้มเหล้า เฝ้านักร้อง เพราะอยู่บ้านก็แค่ กิน ถ่าย แล้วก็นอนเท่านั้น ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว
    ศีลข้อที่สี่ซึ่งปฏิบัติได้ยากมากนั้น ต้องอาศัยรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าจะไม่พูดเท็จ หรือโกหก สมัยก่อนที่ไปกินเหล้ากับเพื่อนหลังเลิกงาน แล้วบอกว่าติดประชุมนั้น ก็ไม่มีข้ออ้างแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่มี จะไปไหนมาไหนก็บอกกล่าวกันไปตามตรง เรื่องใดไม่อยากพูดก็นิ่งเสีย ศีลข้อนี้ท่านเพิ่มเติมว่า ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดยุยง ไม่พูดเพ้อเจ้อ แล้วต้องพูดด้วยวาจาไพเราะอ่อนหวาน พูดให้สมานไมตรี พูดให้มีประโยชน์ อีกด้วย ซึ่งก็ทำได้ไม่ยากเย็น สำหรับผมเมื่อรับศีลกลับจากวัดแล้ว ผมก็แวะเข้าไปอ่านหนังสือในหอสมุดแห่งชาติ ไม่ได้พูดกับใครเลย จนเย็นก็กลับมากินข้าวบ้าน ไม่ดูทีวี ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังเพลงที่ทำให้ใจเยือกเย็น แล้วก็เข้านอน ก่อนนอนก็สวดมนต์บทสรรเสริญพระรัตนตรัย แบบที่เราเคยสวดสมัยอยู่โรงเรียน ทำให้หลับสบายไม่ฝันร้ายอีกด้วย
    ศีลข้อสุดท้ายซึ่งเป็นกิจที่ทำมานานหลายสิบปี คือการดื่มแอลกอฮอล์ สุราเมระยะ ท่านแปลว่าสุราเมรัย อันได้แก่เหล้าและเบียร์ บรั่นดี ไวน์ น้ำขาว น้ำตาลเมา กระแช่ อุ สาโท ส่วนมัชชะ ท่านแปลว่าสิ่งเสพติดทั้งปวง อันได้แก่ฝิ่น กัญชา เฮโรอีน ยาบ้า ยาขยัน ยาเลิฟ กระท่อม หมากพลู บุหรี่ ยานัดถุ์ เป็นต้น ว่าที่จริงพวกเครื่องดื่มประเภทบำรุงกำลังขวดเล็ก ๆ ก็น่าจะอนุโลมเข้าด้วย เพราะมีตัวที่ทำให้เสพติดได้เหมือนกัน
    บุหรี่ผมก็เลิกสูบมาตั้งแต่อายุได้สามสิบกว่า ๆ นอกนั้นไม่ได้แตะต้องเลย เหลือแต่เบียร์เติมโซดา มื้อละขวดสองขวดเท่านั้น ซึ่งสามารถจะงดได้ไม่ยาก ท่านนักเขียนการ์ตูนระดับรางวัลแม็กไซไซ ท่านบอกว่าเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อใดก็ตามรีบกินข้าวให้อิ่มเสียโดยเร็ว มันก็ไม่อยากกินเหล้าไปเอง แต่ใช้ไม่ได้สำหรับผมและเพื่อนของผมบางคน เพราะกินข้าวแล้วก็ยังกินเหล้าเบียร์ต่อได้อีก ถ้าตั้งใจจะงดก็งดในวันนั้นตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่งเลยทีเดียว
    ทั้งหมดนี้เป็นการเล่าถึงความพยายามของผม ที่จะรักษาศีลห้าในวันสำคัญของพุทธศาสนา ไม่ได้เจตนาจะสั่งสอนผู้ใด ให้เชื่อหรือให้ทำตาม ทุกคนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย และต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม
    ที่ผมพยายามจะรักษาศีลก็เพราะคิดว่าได้ทำชั่วมานานแล้ว เหลือเวลาอีกไม่มากนักก็ควรจะสะสมความดีไว้บ้าง ดังที่ท่านสอนไว้ว่า จงละความชั่วทั้งปวง กระทำความดีให้ถึงที่สุด และทำใจให้สะอาด สว่าง สงบ นั่นเอง
    และอย่าลืมว่า ผมก็ทำเท่าที่จะสามารถทำได้เท่านั้น แม้จะไม่ยากนักก็ตาม.
    #############
    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 3 พ.ค. 52 08:02:44 ]


    --------------------------------------------------------------------------------


    --------------------------------------------------------------------------------
    ความคิดเห็นที่ 1
    การปฏิบัติธรรม สมัยพุทธกาล VS สมัยนี้ในเมืองไทย
    เหมือน ต่าง กัน อย่างไร?
    น่าพิจารณา.......
    อาฬารดาบส อุทกดาบส
    เจ้าชายสิทธัตถะ
    ปัญจวัคคีย์
    ครูทั้ง ๖
    นิครณ์นาฏบุตร
    อุปติสสะ (พระสารีบุตร) โกลิตะ (พระโมคคัลลาน)
    ฯลฯ
    บุคคลเหล่านี้ ......ไม่ได้ " อะไรๆ" อยู่กับ ศีล ๕ ศีล ๘ / ศีล ๑๕๐ พระบรมศาสดาก็ยังไม่ทรงบัญญัติ เพราะเจ้าชายสิทธัตถะ ยังไม่ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ หรือ ปฏิจจสมุปบาท .....จึงยังไม่ต้อง กล่าวถึง ศีล ๒๒๗
    บุคคลเหล่านี้ ท่านดำรง กาย วาจา ใจ สติ สัมมาทิฏฐิ ปัญญา อย่างไร?
    เมื่อเทียบกับ สมัยนี้?
    ที่ เน้นย้ำ "บุญบ้าง ทานบ้าง ศีลบ้าง" ......เพราะ ????
    ขอให้ ชาวพุทธ อ่านพุทธประวัติ ตรัสเล่าเอง สมัยที่ยังทรงเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษาสืบต่อมา .....อ่านในพุทะประวัติจากพระโอษฐ์ ที่ท่านพุทธทาส แปลไว้ .....
    ก็จะ เป้น แนวทางให้ เอาเยี่ยงอย่าง ว่า ควรมีสัมมาทิฏฐิ เกี่ยวกับ การปฏิบัติธรรม ในพระพุทธศาสนา อย่างไร?
    จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) - [ 3 พ.ค. 52 08:30:36 ]






    ความคิดเห็นที่ 2
    สู้ๆค่ะ
    จากคุณ : โคนันน้อย - [ 3 พ.ค. 52 09:30:08 ]






    ความคิดเห็นที่ 3
    อนุโมทนาด้วยค่ะ
    การรักษาศีลห้าที่ง่ายที่สุดคือ การสำรวมอินทรีย์ ให้อยู่ในภาวะปกติเสมอ
    อย่าให้เกิด ความพอใจหรือไม่พอใจ
    จากคุณ : รักดี - [ 3 พ.ค. 52 10:30:50 ]






    ความคิดเห็นที่ 4
    ทั้งหมดอยู่ที่ใจ






    จากคุณ : โทมัส (khunz) - [ 3 พ.ค. 52 10:34:19 ]






    ความคิดเห็นที่ 5
    อนุโมทนาด้วยค่ะ
    ดิฉันเองก็รักษาศีล 5 เป็นนิจ แรกๆ ก็รู้สึกยากเหมือนกัน แต่หลังจากปฏิบัติธรรม เจริญสติอยู่เป็นนิจ ก็รักษาง่ายขึ้น แม้จะยังไม่มีศีลบริสุทธิ์ที่พระอริยเจ้าชอบใจ เพราะยังมีขาดตกบกพร่องโน่นนิดนี่หน่อยอยู่เสมอ แต่กลับเป็นว่า ศีลมักรักษาดิฉันเสมอ เช่น อะไรที่คนเคยเข้าใจผิด ศีลที่เราถือนี่แหละจะนำให้เขากลับมาเข้าใจเราถูกภายหลัง
    อานิสงค์ของศีลนี้มีมากจริงๆ สาธุกับคุณเจียวต้ายด้วยค่ะ
    จากคุณ : ก.เอ๋ยก.ไก่ (oDaineo) - [ 3 พ.ค. 52 10:47:54 ]






    ความคิดเห็นที่ 6
    อุปาทานศีล ๕ กับ สมาทานศีล ๕ ไม่ใช่ สิ่งเดียวกัน
    คคห 1 ...ไม่ได้ ปฏิเสธ การ สมาทานศีล ๕ ที่ตรัสไว้ว่า เป็นธรรมเก่า (ปุราณธรรม ถ้าจำไม่ผิด)
    ขอให้ ยุวพุทธ กำหนดดีดีว่า...... ศีล เป็น บาทฐานให้ สมาธิที่มีคุณภาพสูงกว่าสามัญเจริญงอกงาม อันจะเป็นบาทฐานให้ ภาวนามยปัญญาเจริญงอกงาม
    นั้นคือ ต้องมี สัมมาทิฏฐิ เกี่ยวกับ ศีล ให้ตรงกัน ตามที่ตรัสว่า....ศีล มีอานิสงส์ คือ ความไม่ต้องร้อนใจในภายหลัง (อวิปปฏิสาร)

    ที่สำคัญ
    ตรัสถึง อธิศีลสิกขา ...ซึ่ง ใช่ ศีล ๕ หรือไม่ ....ดูเองนะครับ
    จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) - [ 3 พ.ค. 52 11:29:23 ]






    ความคิดเห็นที่ 7
    เข้าใจลึกซึ้งดีจริงๆเลยค่ะ..
    จากคุณ : MeJayya - [ 3 พ.ค. 52 15:07:56 ]






    ความคิดเห็นที่ 8
    ก็ถูลู่ถูกัง ถือ ศีล 5 ( ในฮาเร็ม )
    อยู่เหมือนเดิมแหล่ะเจ้าค่ะ คุณ เจี๊ยว...ตาย
    ถือมาได้เกือบปีแล้วมั้ง ก็เรื่อย ๆ แหล่ะ
    ศีลถลอกบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ( โดยเฉพาะข้อ 4 ) แต่ไม่ถึงกับขาด
    ไว้มีโอกาสจะเม้าส์ให้ฟังเจ้าค่ะ ^ - ^
    ตอนนี้ยังไม่ได้เขียน ศีล 5 ในฮาเร็ม ต่อเลยอ่ะ ( ขี้เกียจ แหะ )
    อืม...ศีลน่ะทำจนเป็นปกติแล้วแหล่ะ
    เหมือนการกินข้าว การหายใจ การผิวปาก ยังไง ยังงั้น
    แถม ยิ่งมา ผนวกกับการ เดินจงกรม รอบโรงบาลอ่ะน่ะ
    สติสตัง มันไวเป็นบ้า พอศีลเริ่มถลอก
    มันรู้โดยอัตโนมัติเลยอ่ะ
    แถม เช้าวันไหน ไม่ได้ ทวนศีลต่อศีล และ ทวนการดูจิตอ่ะนะ
    มันจะรู้สึก ค้าง ๆ คา ๆ ไม่เคลียร์ ไงก็ไม่รู้แฮะ
    เหมือน เวลาออกไปพบปะผู้คนนอกบ้าน
    แล้วไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันไปน่ะ เคยเป็นป่ะเจ้าคะ ?
    เดี๋ยวนี้ เน้นเรื่องการ ดูจิต มากกว่านะ
    เรื่องศีลมันทำจนชินแล้วอ่ะ
    เพียงแต่ยังขี้เกียจ ถือแบบขั้นอุกฤษณ์
    ยังอยากแกว่งปากหาเท้ากับชาวบ้านอยู่ หุหุ
    ปล.
    แวะมาโพส เพราะสังเกตเห็นว่า
    จขกท.นี้ ใจดี ใครเข้ามาแจมเป็นได้รับแจกกิ๊ฟ กันอย่างถ้วนทั่ว
    อะฮั้นเลยหลงเข้ามา อ่ะ อิอิ ^ 0 ^

    แก้คำผิด.
    .
    แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 52 18:11:26







    จากคุณ : นู๋บี - บัวเหล่าที่ 5 - [ 3 พ.ค. 52 18:09:21 ]






    ความคิดเห็นที่ 9
    อ้อ ต่ออีกนิด กระทู้คุณน่ะ เนื อหาโอเค นะ
    แต่จั่วหัวกระทู้ จืดสนิท ไม่กระตุ้นให้ อยาก คลิ๊กเข้ามาอ่าน เลยอ่ะ
    ( คลิ๊กเข้ามาเพราะชื่อ จขกท. เป็นเหตุ เลยนะจะบอกให้ อิอิ ) ^ - ^
    .
    จากคุณ : นู๋บี - บัวเหล่าที่ 5 - [ 3 พ.ค. 52 18:14:07 ]






    ความคิดเห็นที่ 10
    ก็ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
    ^
    ^
    ต่างจากผม เจตนาเข้ากระทู้แบบนี้โดยเฉพาะเลยละ
    จะได้ดูว่าชาวบ้านเขาปฏิบัติธรรมกันอย่างไร มีอะไรดีๆที่เราจะเอาไปใช้ได้บ้าง
    จากคุณ : P2wichai - [ 3 พ.ค. 52 22:15:16 ]






    ความคิดเห็นที่ 11
    ความเพียรเมื่อครั้งพุทธกาลเป็นแบบทะเลมหาสมุทร ส่วนความเพียรของผู้ปฏิบัติในปัจจุบันนั้นหากเทียบกับน้ำลายที่เราๆ ท่านๆ บ้วนทิ้งก็คงจะเทียบไม่ได้ เพราะความเพียรน้อยมาก ฉะนั้น คนที่ได้มรรค ผล นิพพาน จึงมีน้อย มันต้องเอาจริงเอาจังชนิดพร้อมสละทุกอย่างแม้ชีวิตก็ตามที ฉะนั้นความเพียรในครั้งพุทธกาลกับปัจจุบันจึงเทียบกันไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
    จากคุณ : ngagotosang@hotmail.com (ราบ) - [ 3 พ.ค. 52 22:52:12 ]






    ความคิดเห็นที่ 12
    ขอบคุณคุณ F=96 ที่กรุณาขยายความครับ
    อยากปฏิบัติธรรม ก็ต้องสู้กับกิเลสหน่อยละครับ คุณโคนันน้อย
    ท่านว่าเห็นสักแต่ว่าเห็น ฯลฯ ไม่ต้องไปชอบหรือไม่ชอบ ใช่ไหมครับคุณรักดี
    ทั้งหมดจะทำได้หรือทำไม่ได้ ก็อยู่ที่ใจเราเอง
    อย่างที่คุณโทมัส ว่าแหละครับ
    ขอบคุณคุณ ก.เอ๋ย ก.ไก่ คุณเดินนำหน้าผมไปหลายก้าวแล้วครับ
    ที่เข้าใจลึกซึ้งน่ะ ผมหรือคุณ MeJayya ครับ
    ผมชอบสำนวนของคุณ นู๋บี-บัวเหล่าที่ ๕ ครับ จึงได้ให้กี๊ฟ
    ผมเที่ยวได้ตอบไว้หลายกระทู้
    คงมีคนสนใจว่า กระทู้ของ เจียวต้าย มันจะว่าเรื่องอะไรหนอ
    ก็เลยตั้งชื่อกระทู้ให้ดูเป็นธรรมด๊า ธรรมดา ครับ
    ขอบคุณคุณP2wichai แล้วการปฏิบัติของผม พอใช้ได้ไหมครับ
    สมัยนี้อย่าว่าแต่คนเดินดินอย่างเรา
    จะปฏิบัติให้ถึงนิพพานเลยครับคุณ ngagotosang@hotmail.com (ราบ)
    ท่านที่สละบ้านเรือนแล้ว ยังไปไม่ถึงเลยครับ.
    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 4 พ.ค. 52 17:16:23 ]






    ความคิดเห็นที่ 13
    คุณเจียวด้าย ครับ ไม่ใช่พอใช้ แต่นับว่าใช้ได้ดีเลยละ
    แต่ถ้าจะให้ศีลเจริญมั่นคง น่าจะตรวจศีลทุกๆวัน และมีหมู่กลุ่มที่จะให้เรารายงานผลด้วย
    ผมได้เข้ากลุ่มเพื่อนบุญ เราพบกันทุกวันอาทิตย์ที่ 2ของเดือนมา 20กว่าปีแล้ว
    กิจกรรมก็นิมนต์พระมาให้โอวาท และตรวจเชคศีลกันใครเจริญขึ้นก็อนุโมทนา
    ใครมีัปัญหาก็ปรึกษาพระและช่วยกันแก้ ก็จะช่วยให้เรารักษาศีลไดเจริญขึ้นและมั่นคงยาวนาน
    ดังภาษิตว่า มิตรดี สหายดี สังคมแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์
    จากคุณ : P2wichai - [ 4 พ.ค. 52 21:33:33 ]



    ความคิดเห็นที่ 14
    ขอบคุณในคำแนะนำครับ.
    จากคุณ : เจียวต้าย - [ วันฉัตรมงคล 05:54:33 ]
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ท่าน บัว เหล่าที่ 5 สงสัยต้องเปลี่ยน เป็น ท่าน นิ้วจรวจหรือเปล่าครับ ขยันพิมพ์จริง
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    พระท่านสอนให้รักษาศีล ๕ เพื่ออะไร รู้รึเปล่า...

    หรือรู้แต่ว่า ต้องรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ก่อน ถึงจะได้โสดาบันครับ...;)
     
  15. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    ท่านสอนว่าที่ให้รักษาศีล 5 นั้น เพราะต้องการให้มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายงดเว้นการเบียดเบียนกันด้วยกาย วาจาครับ ศีลแปลว่า ปกติ ถ้าศีลไม่ครบ ก็ไม่ปกติแล้วครับ ส่วนเรื่องศีล 5 ครบ แล้เป็นพระโสดาบันนั้น มันอีกเรื่องหนึ่ง ต้องละสังโยชน์ 3 ด้วยครับ พูดง่าย คือคนเบื่อเกิด อยากไปนิพพาน แต่กำลังใจมันยังอ่อนอยู่ วิปัสสนาก็มีแค่นึกถึงความตาย คือรู้ว่ากายนี้จะต้องตาย เมื่อจะตายเมื่อไรไม่รู้ก็รักษาศีล 5 เพื่อตายไปจะได้ไม่ลงอบายภูมิไง ส่วนบรรดาปุถุชนทั้งหลายที่กล่าววาจาต่อหน้าพระรัตนตรัยว่ายอมรับนับถือศาสนาพุทธอ่ะ พระพุทธเจ้าท่านบอกอยู่แล้ว่าต้องมีศีล 5 เป็นเบื้องต้น
    สรุป คนมีศีล ไม่จำเป็นต้องเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบัน จำเป็นต้องมีศีล 5 (เข้าใจใหมเนี่ย)...
     
  16. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    พระโสดาบันนั้น ยังทำความผิดเล็กน้อยทางกาย ทางวาจา
    ทางใจ อยู่บ้างก็จริง

    พระโสดาบันนั้น ก็เป็นผู้ไม่ปกปิดความผิดนั้นไว้
    ความที่บุคคลผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพานแล้ว

    เป็นผู้ไม่ควรปกปิดความผิดไว้นี้ เพราะปิดประตูอบายภูมิได้แล้ว
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เคล็ดลับของการรักษาศีล คือ รักษาใจให้เป็นปกติ

    จะรักษาใจให้เป็นปกติได้ ก็ต้องรู้เท่าทันเมื่อเขาจะไม่ปกติ

    จะรู้เ่ท่าทันเขาได้ เราก็ต้องมีสติ ฝึกสติ

    สติจะมีกำลัง มีความต่อเนื่องเพียงพอไปไม่ได้ ถ้ากำลังใจไม่มี

    กำลังใจไม่มีเพราะไม่มีกำลังใจที่จะเอาชนะกิเลส ชอบตามใจตัวเอง

    อยากคิดอะไรก็คิด อยากทำอะไรก็ทำ ตื่นขึ้นมา เราคิดไปกี่เรื่องแล้ว

    นั่นแหละเราต้องหัดฝืนความเคยชิน เอาชนะใจตัวเองให้ได้บ่อย ๆ

    หายใจเข้าลึก ๆ ให้ทั่วท้องแล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ

    มีสติระลึกรู้อยู่กับลมหาใจ ฝึกให้สติอยู่กับปัจจุบันให้ได้บ่อย ๆ

    ต่อไปก็จะดีเอง ค่อย ๆ ทำไป อย่าใจร้อนด่วนได้ ทำอะไรให้ทำเป็นขั้นเป็นตอนไป

    อย่าโลภอยากรู้เรียนลัด ความรู้ลัด ๆ มันไม่รอบนะ
     
  18. นิพ

    นิพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +48
    การมีความเมตตา ความสงสาร รู้จักเอาใจเขาใส่ใจเรา ลองคิดนึกว่าถ้าเราเป็นเขา..ต้องเจออะไรแบบนี้ ต้องได้ยินอะไรแบบนี้ เราจะชอบใจดีใจไหม หรือจะทุกข์ใจเสียใจไหม ถ้าเรารู้สึกอย่างไร คนอื่นก็เช่นเดียวกัน..ดุจเดียวกัน เมื่อเรารู้แล้วว่าการกระทำก็ดี คำพูดหรืออะไรของเราก็ดี จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เราก็ละเว้นเสีย ไม่ทำ ดังนี้จึงเรียกว่ามีศีล
     
  19. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    สาธุ นำมาฝากนะคะคุณ ren

    <<< ไขข้อข้องใจ ศีลข้อมุสาวาท >>>

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ เรื่องศีล ๕ มีอยู่ข้อหนึ่งที่รักษายากคือ ข้อมุสาวาท ห้ามพูดปด ความจริงไม่อยากพูดปดหรอกค่ะ แต่ด้วยความเกรงใจเขา ถ้าเราไม่พูดปดเขาก็ยิ่งเกลียดแล้วจะทำอย่างไรดีคะ ?

    หลวงพ่อ : ก็ไม่พูดปดก็หมดเรื่อง แต่ความจริงคำว่า “มุสาวาท”ถ้าไม่เข้าใจก็รู้สึกรักษายาก การพูดไม่ตรงตามความเป็นจริง แต่เต็มไปด้วยความเมตตา อันนี้ไม่เรียก มุสาวาท

    อย่างสมมติว่า คน ๒ คนทะเลาะกันอยู่ อีกคนหนึ่งมาหาเราแล้วก็ไปนั่งนินทาคนนั้น ที่นี้พอเขาไปแล้ว อีกคนหนึ่งถามว่า “เมื่อกี้เขามาว่าอย่างไรเขานินทาฉันหรือเปล่า ? ”

    ถ้าเราพูดตามความเป็นจริง คน ๒ คนก็จะทะเลาะกันใหญ่ เราบอกว่า “เปล่าเขามาพูดธรรมดาๆ ไม่เห็นว่าไรเธอ”

    ไอ่ นี่ไม่ตรงตามความเป็นจริง แต่เป็นพรหมวิหาร ๔ สงเคราะห์ให้เขา ๒ คน ไม่แตกร้าวกัน อันนี้ไม่ขาด ศีลข้อ มุสาวาท จะขาดต้องทำลายประโยชน์เขา แต่นี่รักษาประโยชน์ พระพุทธเจ้าก็ใช้ พระสารีบุตร ก็เคยใช้มาก่อน ใช้แล้วก็มีผลให้บุคคลนั้นบรรลุมรรคผล แต่ผลให้มีความชื่นใจ อันนี้ก็ยังดี.

    ที่มา : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๑๒ ประจำเดือน มีนาคม ๒๕๕๐ หน้าที่ ๙๕

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง
     
  20. Jan2014

    Jan2014 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +143
    ศีล มีไว้เพื่อคุ้มครองตัวคุ้มครองใจ
    จะได้ไม่เดือดร้อน หมองมัว ที่เกิดจาก "ผลของการละเมิดศีล"

    คนที่รู้จักศีล "ถ้าไม่พิจารณาให้ขาด"

    นอกจากจะทุกข์ใจ จาก "ผลของการละเมิดศีลแล้ว"
    ยังทุกข์ใจ
    จากการที่ "เฝ้าแต่คิดถึงศีลที่ตัวเองได้ละเมิดด้วย"

    ศีลไม่ใช่ข้อบังคับ
    แต่เป็นความห่วงใย ที่พระพุทธเจ้า ท่านได้สอนให้เราสร้างรั้วไว้ ให้ไกลห่างจากสิ่งไม่ดีให้แก่เรา
     

แชร์หน้านี้

Loading...