ลุงเทพอภิบาลลุงเป็นใครค่ะ?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย dakini, 21 กันยายน 2012.

  1. ติโลกเหลน

    ติโลกเหลน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +86
    เหตุเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 100 "



    เห็นช่วงนี้ มีคำสอนจากนิกายอื่น พยายามเข้ามาเผยแพร่ พยายามชี้ให้เห็นว่า พระไตรปิฏก อรรถกถา ฝ่ายเถรวาท ไม่น่าเชื่อถือ ความขัดแย้งกันทางความคิด ก่อรูปก่อร่างขึ้นอีกเมื่อสมัยสังคายนาครั้งที่ 1 คือ เมื่อพระมหากัสสปะรวบรวมพระอรหันต์สาวก 500 รูป ประชุมทำการสังคายนาครั้งที่หนึ่งนั้น พระอานนท์ผู้ที่ใกล้ชิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สุด และโดยเสด็จมาตลอดในวาระสุดท้ายของพระพุทธองค์ ได้เล่าเรื่องต่างๆ ที่พระพุทธองค์ตรัสกับท่านให้พระสงฆ์ฟัง

    หนึ่งในหลายเรื่องที่เล่าคือ พระพุทธองค์ตรัสว่า " ต่อไปภายหน้า ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะยกเลิกสิกขาบทเล็กน้อยบ้างก็ได้ " ที่ประชุมสงฆ์ซักถามพระอานนท์ว่า สิกขาบทเล็กน้อยคือข้อใด พระพุทธองค์ตรัสบอกไหม พระอานนท์ตอบว่า มิได้บอก ที่ประชุมซักอีกว่า แล้วทำไมท่านไม่ทูลถาม พระอานนท์กล่าวว่า ตอนนั้นมัวแต่กังวลใจว่าพระพุทธองค์จะจากเราไปแล้ว จะทำอย่างไร เลยไม่มีกะจิตกะใจจะซักถามเรื่องต่างๆ

    ที่ประชุมสงฆ์เลยตำหนิว่าพระอานนท์ไม่รอบคอบ ไม่ตำหนิเปล่า ถึงขั้นปรับอาบัติทุกกฎแน่ะครับ (อาบัติคืออะไร ทุกกฎ คืออาบัติระดับใด ไม่บอกครับ ให้ไปเปิด พจนานุกรม พุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์ ของ ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ประยุทธ์ ปยุตฺโต มาอ่านแล้วกัน)

    เมื่อไม่ได้ความกระจ่าง พระสงฆ์ก็เลยแสดงความคิดเห็นแตกต่างกัน แบ่งเป็นพรรค เอ๊ย กลุ่มได้ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเห็นว่า ยกเว้นปาราชิก 4 และสังฆาทิเสส 13 นอกนั้นนับเป็นสิกขาบทเล็กน้อยหมด อีกกลุ่มเห็นว่า เฉพาะสิกขาบทเกี่ยวกับมารยาทต่างๆ เท่านั้น เป็นสิกขาบทเล็กน้อย เมื่อความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน พระมหากัสสปะประธานที่ประชุม จึงขอมติที่ประชุมว่าจะยกเลิกหรือไม่ เสียงข้างมากบอกว่าไม่ยกเลิก มติเสียงข้างมากนี้เรียกว่า "เถรวาท" (วาทะ หรือข้อตกลงของพระเถระทั้งหลายในที่ประชุมนั้น) ต่อมาคำนี้กลายมาเป็นชื่อนิกายหนึ่ง หลังจากมีนิกายแล้ว

    เมื่อเสียงข้างมากออกมาอย่างนี้ ฝ่ายเสียงข้างน้อยก็ต้องยอมรับ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่ก็มี "ควันหลง" จนได้ ควันหลงนี้มิได้มาจากพระเถระที่เข้าประชุม มาจากพระผู้เฒ่ารูปหนึ่งนามว่า " พระปุราณะ " พระปุราณะมิได้ถูกเลือกให้เข้าบัญชีปาร์ตี้ลิสต์ เอ๊ย ให้เข้าประชุมกับเขา ได้รับทราบมติที่ประชุมดังนั้นก็กล่าวว่า ในส่วนตัวของท่านเห็นว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธาธิบาย (คือมีพุทธประสงค์) เช่นนี้ ก็ต้องยกเลิกได้สิ ดังเช่นสมัยพุทธกาลเมื่อเกิดข้าวยากหมากแพงขึ้น พระพุทธองค์ยังทรงยกเลิกสิกขาบทบางข้อ เช่น อนุญาตให้พระสะสมอาหาร หรือหุงต้มกินเองได้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าได้ฟังมาจากพระพุทธองค์อย่างไร ก็จะยึดถือตามนั้น ไม่เชื่อมติที่ประชุม ว่าอย่างนั้นเถอะ

    แต่ก็ยังไม่เกิดนิกาย มีเพียง "เค้า" ว่าจะเกิดเท่านั้น เวลาผ่านไป 100 ปี มีกลุ่มพระวัชชีบุตร เสนอให้แก้ไขสิกขาบท 10 ข้อ อันเรียกว่า "วัตถุ 10 ประการ" คือ

    1. ตะวันบ่ายคล้อยไปประมาณ 2 องคุลี ฉันอาหารได้ (เทียบประมาณบ่าย 2 โมง)
    2. เก็บเกลือไว้แล้วนำมาผสมกับอาหารอื่นฉันได้
    3. ฉันอาหารในวัดแล้วเข้าบ้าน เขาถวายอีกฉันอีกได้
    4. วัดใหญ่มีพระสงฆ์มาก จะแยกกันทำอุโบสถก็ได้
    5. เวลาทำอุโบสถ แม้ยังไม่นำฉันทะของพระรูปที่ไม่เข้าประชุมมา สงฆ์จะทำอุโบสถก่อนก็ได้
    6. ข้อปฏิบัติที่อุปัชฌาย์อาจารย์เคยประพฤติปฏิบัติมา แม้จะผิดก็ควรทำตาม
    7. ฉันนมสดที่ยังไม่แปรเป็นนมส้มได้
    8. ฉันสุราอ่อนๆ ได้
    9. ผ้านิสีทนะ (ผ้าปูนั่ง) ไม่มีชายใช้ได้
    10. รับเงินและทองได้

    ต่อท้าย #1 14 ก.ย. 2555, 12:24:43
    พระสงฆ์จำนวน 700 รูป ได้ประชุมสังคายนา นำข้อเสนอทั้ง 10 ประการนั้นเข้าวินิจฉัย มติส่วนมากไม่ยอมรับ แต่กลุ่มภิกษุวัชชีบุตรไม่ยอมรับมติที่ประชุม คือแพ้แต่ไม่ยอมแพ้ จะกวาด 3 ที่นั่งภาคใต้สมัยหน้า เอ๊ย จะให้มีการแก้ไขสิกขาบทตามที่พวกตนเสนอให้ได้ จึงแยกตัวออกไป แสวงหาสมัครพรรคพวกได้จำนวนมากกว่าเดิมอีก ตั้งนิกายใหม่ชื่อว่า "มหาสังฆิกะ" (มหายาน) มีจุดยืนว่า สิกขาบทใดๆ ที่ไม่เหมาะกับยุคสมัยสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ (และสุดท้าย ก็เลยเถิดเป็นการตกแต่งหรือดัดแปลงพระธรรมในหลายๆส่วนให้เข้ากับอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดจิตใจส่วนตัวตามใจชอบ และลุกลามจนกระทั่งอ้างสร้างคำพูดขึ้นมาใหม่ แล้วจับไปยัดใส่พระโอษฐ์พระพุทธเจ้าโดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เองจริงๆ จนธรรมะวิปริตผิดเพี้ยน กลายเป็น"สัทธรรมปฏิรูป" (ธรรมะตัดแต่งพันธุกรรม)ไปมากกว่ามากในที่สุด)

    เมื่อเกิดมีนิกายมหาสังฆิกะ พระสงฆ์ดั้งเดิม ก็กลายเป็นนิกายหนึ่งนามว่า "เถรวาท" มีจุดยืนว่า สิกขาบทใดๆ ที่ตราไว้โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่แก้ไข ต้องรักษาไว้ตามเดิม เพราะหากปล่อยให้มีการแก้ไขอันใดได้ ในภายหน้า เมื่อคนจิตใจต่ำลง ย่อมหาเหตุแก้ไขธรรมวินัยเพื่อสนองกิเลสตนจนผิดรูปไป ทำให้ทางมรรคผลนิพพานที่"ถูกต้องร่องรอย"จริงๆ ต้องเสื่อมสูญไปอย่างไม่อาจเรียกคืนในที่สุดนั่นเอง..........
     
  2. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    นั้นแหละดีแล้ว บางทีสิ่งสำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่ตัวคำตอบ
    แต่อยู่ที่ความใส่ใจในคำถามนั้นแล เพราะคำถามที่ดีมันย่อมมีคำตอบในตัว
    มันเองอยู่แล้ว
    แต่คนส่วนใหญ่นั้นไม่เข้าใจสิ่งนี้ดอกนะ แก(คนส่วนใหญ๋)ก็จะมองเหมือนว่า บอกฉันหน่อยสิว่าฉันควรทำอะไรดี
    คุณบอกผมหน่อย ซึ่งสุดท้ายเขาก็อาจะไม่ได้คำตอบ หรืออาจจะได้ แต่กลายเป็นว่ามันเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองทำไม่ได้ ถ้าเอ็งเปิดตำรา เอ็งก็จักเห็นสูตรสำเร็จมากมาย
    แต่สุดท้ายสูตรสำเร็จพวกนั้นมันหาได้ให้คำตอบจริงๆๆๆจังๆๆๆ กับปัญหาของโลกนี้ไม่ ที่สำคัญมันขัดแย้งกันเองตีกันไปมา อย่าคอมมิวนิสวต์อย่างทุนนิยมต่างฝ่ายต่างบอกว่าระบบของตนคือคำตอบของมนุษย์
    ของโลก หรือศาสนาต่างๆๆที่มันขัดกันอย่างตอนนี้พวกคริสต์ที่เมกากับอิสลามในหลายๆๆประเทศกำลังจักตีกันนั้นแล
    อันที่จริงปัญหาขอโลกใบนี้มันไม่ได้อยู่ที่ การมีระบบกฏเกณฑ์ใหม่ๆๆดอก ไม่ได้อยู่ที่การมีเทคโนโลยีชนิดใหม่เอี่ยม รัฐบาลพันธุ์ใหม่ถอดด้าม หรือคำตอบในรูปแบบใดๆๆ

    แต่อยู่ที่การนำเอาจิตสำนึกของคนบนโลกนี้ให้กลับมา และสิ่งนี่ไม่มีใครให้สูตรสำเร็จได้ แม้แต่พระพุทธเจ้า เพราะคำตอบนั้นแต่ละคนต้องแสวงหาให้พบด้วยตัวเอง นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  3. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วพ่อหนุ่ม เอ็งเข้าใจผิดตั้งแต่ คำว่านิพาน เป็นแดนเสียแล้ว
    นิพานเป็นสภาวะ ดับสิ้นซึ่งกิเลส ทั้งปวง หมดอาสวะทั้งหลาย และเป็นอิสระจากสังสารวัฏ ซึ่งทั้ง3นิกายคือจุดหมายเดียวกัน นิพพาน ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การไป ไม่ใช่ดินแดนอะไรทั้งนั้น

    ส่วนพุทธเกษตรนั้น คือแดนที่ พุทธเจ้าแสดงธรรม โลกเราก็คือพุทธเกษตรอย่างหนึ่งเพราะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นเพื่อโปรดสัตว์ให้หลุดพ้น
    ตามแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนจะมีปณิธานมาอย่างไร เพื่อให้สพรรสัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์ แต่ พระพุทธองค์ ได้เคยตรัสถึง พุทธเกษตรของพระ อมิตาภพุทธเจ้าซึ่งมีอายุยืนยาวนานไปอีกไม่มีประมาญ อยู่โลกธาตุเบื่องทางตะวันตกถัดไปอีกเป็นโกฏิโลกธาตุ พระอามิตาพุทธเจ้าท่านตั้งปณิธานว่า หากสพรรสัตว์ใดกล่าวนามท่านอย่างแน่วแน่ และมีอื่นๆอีก3อย่างไปศึกษาเอา ท่านจักรับเข้าสู่พุทธเกษตรของท่านเพื่ออมรมสั่งสอนสพรรสัตว์ให้เห็นถึงโพธิจืตหมดกิเลส

    พระพุทธเจ้าทรงมอบแนวทางนี้เป็นแนวทางที่เหมาะแก่ บัวเหล่าที่ค่อนข้่งไม่พ้นน้ำ ผู้มีปัญญาน้อย สมัยหลังพุทธกาล มีแต่พระพรามห์ผู้มีปัญญาปฏิบัติไม่นานก็บรรลุ พระสูตรนี้จึงไม่สำคัญอะไร แต่พอพระธรรมทูตมาถึงประเทศอื่นต่างบ้านเมืองพบคนที่มีปัญญาน้อยที่ไม่สามารถเข้าใจสัจจะธรรมได้เลย จึงเลือกใช้วิธีนี้เป็นสำคัญให้คนสวดนามพระอามิตตา และอยู่ในกรรมฐาน40กอง หมวด พุทธานุสติ เป็นนิกายใหม่ชื่อว่า นิกายสุขาวดี มีมากที่ใต้หวัน

    โหลดไปอ่านเสีย ศึกษามากๆหน่อย
    มหาสุขาวดีวยูหสูตร | มหาปารมิตา

    พ่อหนุ่มเอ้ยเอ็งศึกษาเสียบ้างเอ็งศึกษาน้อยนัก เก็บความสงสัยไปวัดมหายานในไทยไปถามพระบ้างสิ จะศึกษาการทำสวน เอ็งไปถามอู่ซ่อมรถ จักได้เรื่องอันใด
     
  4. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ไอ้เรื่องมหายานเถรวาทนี่พูดยาว อย่างหนึ่งคือพวกเอ็งฟังความเถรวาทข้างเดียว แต่ไม่รู้เรื่องมหายานเลย นี่แหละปัญหา นี่หาได้หมายความว่าข้าโต้เถียงว่าคำกล่าวของเถรวาทไม่มีมูลความจริงไม่
    แต่หมายความว่าจงอย่ามองเหมือนกระต่ายมองป่ามันก็เห็นต้นไม้เพียงไม่กี่ต้น แต่จงมองดุจดังอินทรี ก็จักเห็นป่าทั้งป่า
    เรื่องพระวินัย ถ้าสังเกตุดูข้อโต้แย้งของเถรวาทว่าเราจักไม่แก้ไข ข้าใคร่ถามว่าแล้วที่เดินแจกซองผ้าป่า รับเช็ค รับปัจจัยทั้งสมเด็จ ทั้งพระไม่มีสมณศักดิ์เล่า นี้เรียกว่าแก้ไขหรือไม่(รับเงินและทองได้)การมีตู้เย็นในกุฏิเล่า(เก็บเกลือไว้ในเขาสัตว์แล้วนำมาผสมกับอาหารอื่นเพื่อดองเก็บไว้กินสมัยก่อนมันไม่มีตู้เย็นนี่เอ็งก็ต้องดองเกลือ) นี่เรียกว่าแก้ไขหรือไม่ทั้งที่พระพุทธห้ามมิให้เก็บอาหารไว้
    เหล่านี้เป็นเพียงโวหารหรือไม่เล่า นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆๆน้อยๆๆๆ

    ที่ต้องมองต้องศึกษาให้รอบครอบก็จักเข้าใจว่า เรื่องนิกายนี่มันไร้สาระมาก เราเป็นสาวกพระพุทธเจ้า ไม่ใช่นิกายเถรวาท มหายาน วัชรยาน หรือ กระทั้งเซน นั้นแล จักนิกายไหนเราหาได้สนใจไม่เราสนใจเพียงแค่มานั่งลงตรงนี้ที่นี่
    กับเราและมาปฏิบัติร่วมกันมาแลกเปลี่ยนความเข้าใจ มาช่วยเหลือ และ มาเดินไปร่วมกันในฐานะมนุษย์จากหัวใจถึงหัวใจ นั้นแลคือท่าทีที่ถูกของคนเป็นพุทธ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  5. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    จริงๆแล้วเรื่องสิขาบท นี่ไม่ใช่ประเด็นในการแยกนิกายนะ คณะสงฆ์ฝ่าย มหาสังฆิกะ นำโดยท่านปุราณะ ไม่เห็นด้วยกับพระไตรปิฏกที่ทำการ ปฐมสังคยานา เหตุเพราะ เนื้อหายังไม่ครอบคลุม ส่วนพระมหากัสปะท่านก็คัดเอาเฉพาะส่วนสำคัญ ด้วยสงฆ์ที่ละสิขาบทนั้นถ้าเราศึกษาดีๆ จะพบว่าคณะสงฆ์ หมู่นั้นท่านได้กระจายไปเป็นพระธรรมทูตตามประเทศ ตามเมืองต่างๆ มีความลำบากด้านการขบฉันไม่น้อยกว่าจะกลับมาก็ใช้เวลาหลายเดือน จึงเห็นควรถอนสิขาบทด้านการขบฉันนี้แหละเล็กน้อย ด้านการห่มจีวรก็แปลงตามไปตามภูมิประเทศ หิมะบ้าง ทะเลทรายบ้าง ป่าเขาบ้าง แต่ปรัชญายังคงเดิม จุดมุ่งหมายเดียวกัน

    หน่ายจักบรรยายแล้ว ข้ามิได้ชวนเชื่อนะอยากให้รู้ไว้
    นิกายคือยี้ห้อ

    ทุกนิกายก็มี วัดที่ปฏิบัติ และวัดที่เสื่อมเหมือนกัน
    ไม่ต้องดูที่ไหนดอก ดูเมืองไทยนี่แหละ
    ถ้าเอาวัดปฏิบัติแต่ละนิกายมาเทียบเคียงกันก็คงไม่ต่างกัน
    ถ้่เอาวัดเสื่อมแต่ละนิกายมาเทียบเคียงกันก็คงไม่ต่างกัน

    อย่าสงสัยเลย ถ้าไม่มีมหายาน ก็คงไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะมหายานมุ่งพุทธภูมิอย่าสนเทห์เลย
     
  6. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    คมคายยิ่งนัก......................
     
  7. พรหมาวตาร

    พรหมาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +66
    ที่กล่าวมานั้น "แล้วที่เดินแจกซองผ้าป่า รับเช็ค รับปัจจัยทั้งสมเด็จ ทั้งพระไม่มีสมณศักดิ์เล่า นี้เรียกว่าแก้ไขหรือไม่(รับเงินและทองได้)การมีตู้เย็นในกุฏิเล่า(เก็บเกลือไว้ในเขาสัตว์แล้วนำมาผสมกับอาหารอื่นเพื่อดองเก็บไว้กินสมัยก่อนมันไม่มีตู้เย็นนี่เอ็งก็ต้องดองเกลือ) นี่เรียกว่าแก้ไขหรือไม่ทั้งที่พระพุทธห้ามมิให้เก็บอาหารไว้
    เหล่านี้เป็นเพียงโวหารหรือไม่เล่า นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆๆน้อยๆๆๆ"

    คือ มหายาน ตันตระ วัชรยาน แฝงตัวมาในคราบเถรวาท ที่ซุกตัวมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ

    "ที่ต้องมองต้องศึกษาให้รอบครอบก็จักเข้าใจว่า เรื่องนิกายนี่มันไร้สาระมาก เราเป็นสาวกพระพุทธเจ้า ไม่ใช่นิกายเถรวาท มหายาน วัชรยาน หรือ กระทั้งเซน นั้นแล จักนิกายไหนเราหาได้สนใจไม่เราสนใจเพียงแค่มานั่งลงตรงนี้ที่นี่
    กับเราและมาปฏฺบัติร่วมกันมาแลกเปลี่ยนความเข้าใจ มาช่วยเหลือ และ มาเดินไปร่วมกันในฐานะมนุษย์จากหัวใจถึงหัวใจ นั้นแลคือท่าทีที่ถูกของคนเป็นพุทธ"

    ประโยคนี้ก็ดี คิดถูกแล้วดีมากๆ
     
  8. พรหมาวตาร

    พรหมาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +66
    "พระพุทธเจ้าทรงมอบแนวทางนี้เป็นแนวทางที่เหมาะแก่ บัวเหล่าที่ค่อนข้่งไม่พ้นน้ำ ผู้มีปัญญาน้อย สมัยหลังพุทธกาล มีแต่พระพรามห์ผู้มีปัญญาปฏิบัติไม่นานก็บรรลุ พระสูตรนี้จึงไม่สำคัญอะไร แต่พอพระธรรมทูตมาถึงประเทศอื่นต่างบ้านเมืองพบคนที่มีปัญญาน้อยที่ไม่สามารถเข้าใจสัจจะธรรมได้เลย"

    นี่ไงประโยคนี้ชัดเจน พราหมณ์ชัดเจน การข่มวรรณะอื่นคือนิสัยพราหมณ์ ที่พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วย จึงได้กำเนิดพระพุทธศาสนา ที่ทำให้เห็นว่าปัญญามนุษย์มีเท่ากัน วรรณะใดก็ตามไม่ได้สูงส่งไปกว่ากัน
     
  9. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    จะขอชี้แจงหน่อย พราหม์ที่ข้ากล่าวมาไม่ได้มุ่งประเด็นที่วรรณแต่อย่างใด สมัยนั้น พรามห์ที่ข้ากล่าวก็รวมถึงโยคีศาสนาอื่นๆด้วย แต่เหตุที่พรามห์บบรลุเร็วเพราะ
    พรามห์ ก่อนพบพระพุทธศาสนา ก็ปฏิบัติฝึกจิตอยู่แล้ว มีถึงขั้นเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะ เลยก็มี พอฟังสัจจะธรรม ด้านอริยะสัจ หรือ ปกิจะสมุทปบาท นิดหน่อยก็เข้าใจแจ่มแจ้งมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาทันทีบรรลุอรหันต์กันง่ายได้เพราะมีพื้น.... ส่วนภูมิภาคอื่น เช่นธิเบต จีน ไทย ลาวฯลฯ แต่เดิมนั้นแทบไม่มีผู้ปฏิบัติจิต ชนเหล่านี้นิยม บูชาผี บูชาฟ้าดิน เซ่นสังเวย งานธรรมทูตจึงต้องมีอุบายต่างๆเป็นการปรับพื้น เช่นต้องแสดงอภินิหารสร้างศรัทธา เป็นต้น
    จะสังเกตุว่า คุรุปัทมสมภพต้องทำพิธีกรรมให้เหนือกว่าลัทธิบอนเพื่อให้คนนับถือพุทธ ตั๊กม้อต้องขี่กิ่งหลิว ถ้าในไทยก็ดูพระเกจิสมัยก่อนสิ ต้องสักยันต์ให้พวกนักเลงหัวไม้ยุคก่อน และมีข้อห้ามเช่น ห้ามทำใครก่อน ห้ามด่าพ่อแม่ ต้องมาวัดบ่อย มันก็คือกุศโลบาย ข้าอธิบายขยายความเยอะนะ
     
  10. พรหมาวตาร

    พรหมาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +66
    ลุงแกคือ อนาคตพระพุทธเจ้างัยครับ

    เป็นผลข้างเคียงของการที่พระถั๋งซำจั๋ง คัดลอกคัมภีร์จากพระเถราจารย์ที่ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมสังคยนาพระไตรปิฏก มนุษย์หลายต่อหลายวิญญาณจึงยังคงเวียนว่ายในวัฏสงสาร เพื่อเพราะคำว่าต้องการเป็น "พระพุทธเจ้า"

    เป็นไปตามความคาดหมายของพญามาร ที่ใช้แก้เกมการช่วยให้สรรพสัตว์หลุดพ้นของพระพุทธเจ้า โดยใช้ความวิเศษของพระองค์เป็นดุจคำโฆษณา

    และความเลิศในอุดมการณ์ที่จะช่วยสัตว์โลกทุกนามให้ข้ามวัฏสงสาร ทั้งที่จริงแล้ว โลกไม่มีหมดสิ้นซึ่งสัตว์ที่จะเกิด ดังนั้นผู้ที่หลงกลนี้จึงจะไม่มีทางพ้นวัฏจักรบ่วงมาร บ่วงใหม่นี้ได้เลย
     
  11. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    อณุโมทนา ^^ ......
     
  12. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    "จะขอชี้แจงหน่อย พราหม์ที่ข้ากล่าวมาไม่ได้มุ่งประเด็นที่วรรณแต่อย่างใด สมัยนั้น พรามห์ที่ข้ากล่าวก็รวมถึงโยคีศาสนาอื่นๆด้วย แต่เหตุที่พรามห์บบรลุเร็วเพราะ
    พรามห์ ก่อนพบพระพุทธศาสนา ก็ปฏิบัติฝึกจิตอยู่แล้ว มีถึงขั้นเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะ เลยก็มี พอฟังสัจจะธรรม ด้านอริยะสัจ หรือ ปกิจะสมุทปบาท นิดหน่อยก็เข้าใจแจ่มแจ้งมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาทันทีบรรลุอรหันต์กันง่ายได้เพราะมีพื้น.... ส่วนภูมิภาคอื่น เช่นธิเบต จีน ไทย ลาวฯลฯ แต่เดิมนั้นแทบไม่มีผู้ปฏิบัติจิต ชนเหล่านี้นิยม บูชาผี บูชาฟ้าดิน เซ่นสังเวย งานธรรมทูตจึงต้องมีอุบายต่างๆเป็นการปรับพื้น เช่นต้องแสดงอภินิหารสร้างศรัทธา เป็นต้น
    จะสังเกตุว่า คุรุปัทมสมภพต้องทำพิธีกรรมให้เหนือกว่าลัทธิบอนเพื่อให้คนนับถือพุทธ ตั๊กม้อต้องขี่กิ่งหลิว ถ้าในไทยก็ดูพระเกจิสมัยก่อนสิ ต้องสักยันต์ให้พวกนักเลงหัวไม้ยุคก่อน และมีข้อห้ามเช่น ห้ามทำใครก่อน ห้ามด่าพ่อแม่ ต้องมาวัดบ่อย มันก็คือกุศโลบาย ข้าอธิบายขยายความเยอะนะ<!-- google_ad_section_end --> "


    จักกล่าวอย่างนี้ก็หาได้ผิดไม่ นั้นแลต้องเข้าใจว่าอินเดียนั้นมันเป็นแหล่งแสวงหาทางจิตวิญญาณอยู่แล้ว คนทุกคนเมื่อถึงวัยหนึ่งก็จักกลายมาเป็นนักบวช หาได้มีเรื่องวรรณะไม่ แต่เป็นข้อปฏิบัติของคนในสังคมที่วางมานานตั้งแต่สมัยมณู นั้นแล ส่วนประเทศอื่นๆๆมันก็ตามนั้น จักยกเว้นจีนบ้าง เพราะจีนมีลัทธิเต๋าอยู่ ซึ่งมันไปไกลถึงโลกุตระธรรม ระดับเดียวกับพุทธศาสนา แต่ทว่าหาได้มีคนเข้าใจในตัวคำสอนไม่ คนส่วนใหญ่เข้าใจขงจื่อซึ่งเน้นโลกียะธรรมมากกว่า เมื่อพระพุทธศาสนาเข้าไป ได้ช่วยให้คนเข้าใจคำสอนเต๋ามากขึ้นเพราะมันพูดเรื่องเดียวกัน จักพูดว่าเต่าพูดไม่สมบรูณ์เหมิอนพุทธก็ได้ เพราะคนจีนเวลาพูดจะไม่อธิบายมากแต่จักใช้คำสั้นๆๆๆ ที่มีความหมายมากมายในคำเดียวให้คนตีความ เอ็งดูเต๋าเต้อจิงสิทุกวันนี้คนยังตีความกันอยู่เลยทั้งๆๆที่เล่มมันเล็กนิดเดียว คนไทยถูกจริตเล่มนี้เสียด้วยดังมันมีคนแปลมา20 สำนวนแล้ว เล่มล่าสุดก็ของนายประชา(อดีตพระประชา)
    ส่วนพุทธธรรมนั้นคนอินเดียแกมีจริตไปทางการอธิบายความแกก็อธิบายคำสอนพระพุทธเจ้ามันก็ละเอียดเข้าใจได้ง่าย ดังนั้นมันก็ไปเสริมเต๋าโดยไม่รู้ตัว แลพุทธกับเต๋าก็หลอมรวมเป็นเซน นั้นแล เพราะคนจีนนั้นไม่สนใจเรื่องศาสนาในลักษณะองค์กร แต่มุ่งไปที่การปฏิบัติที่ตัวคำสอนมากกว่า จึ่งเป็นพุทธเป็นขงจื่อเป็นเต๋าในตัวคนเดียวกัน
    ส่วนประเทศอื่นๆๆๆ มันก็ตามนั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  13. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ว่าแต่เอ็งเลี้ยงไก่ชน เอ็งต้องเอามันไปชนกับใครด้วยหรือ ไอ้โต้งบ้านข้านั้นแม้แต่แมวมันยังกลัวเลย นับประสาอันใดจักไปตีกับเขาพ่อมหาจำเริญ

    อีกอย่างหนึ่งลัทธิเสพกาม เอ็งไม่รู้หรือว่าพระวัชรยานนั้นถ้าล่วงปราชิกก็ต้องสึก นี้แลเป็นเรื่องปกติ คนไม่รู้เข้าใจว่าพระวัชรยานมีภรรยาได้ แต่นี่คือความจริง มิได้แปลกปลอมแล
    จักเป็นลัทธิเสพกามไปได้อย่างใด? ลามะกับพระไม่เหมือนกันดอก ลามะเป็นพระ เป็นฆาราวาสก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นพระ ตามความเชื่อนิกายนี้
    อีกประการเรื่องกามนี้มันยุ่งนัก อธิบายไปแล้วมันยาว แต่เอาเป็นว่าใครต่อต้านประนาณกามนี้มันลึกๆๆลงไปแล้ว มันก็ประนาณชีวิตเพราะมันก็เกิดมาจากพลังทางเพศกันทั้งนั้น แลที่ตันตระมันโด่งดังทางเพศนี้เพราะมันเอาเรื่องนี้มาพูดว่าเราจักจัดการกับมันอย่างไรนั้นแล ซึ่งมันจักรวมไปถึงเรื่องการเพ่งนิมิตร ยิ่งตัวกามนี้มันอยู่ลึกลงไปถึงในระดับจิตใต้สำนึก การถือศีลไม่เสพกามนี่มันไม่พอดอก อย่างพระยังคงฝันเปียกได้ ในพระวินัยท่านก็มีพูดเรื่องนี้ว่าถือว่าล่วงปราชิกไหม? อีกทั้งเวลานักปฏิบัติทำสมาธิ มันจะผลุดขึ้นมาในรูปแบบการร่วมเพศ(บางท่านมาในรูปเทพเจ้าเสพกาม) อันที่จริงตัวอื่นๆๆมันก็ผลุดออกมาด้วยเช่นโทสะ ซึ่งตรงนี้เราจะต้องจัดการมันอย่างมีอุปายะ เรื่องนี้ก็คล้ายๆๆที่Sigmund Freud, เคยชี้ให้เห็นว่า ไอ้ปรากฏการณ์ทางจิตหลายๆๆอย่างมันมีแรงขับมาจากพลังทางเพศนั้นแล ซึ่งเขาก็สอนกันในวงการแพทย์ ในวงการจิตวิทยา เอ็งก็น่าจักเคยเรียนมาบ้าง เรื่องความคิดของFreud นี่
    แลมันมาพ้องกับเรื่องที่นักบวชทิเบตศึกษากัน อย่างที่Carl G. Jung ก็ไปศึกษาเรื่องนี้กับพวกลามะ กับคัมภีร์ตันตระ มาสังเคราะห์เป็นทฤษฏีจิตวิเคราะห์(เน้นวิเคราะห์ฝัน)ยุคใหม่นี้แล

    อีกอย่างนายเสถียรนี้แกเป็นมหายานนะจ๊ะ ส่วนลุงเป็นกวีไม่มีนิกาย อันไหนน่าสนใจก็แค่เล่าให้ฟังไม่ได้มาสอนศาสนาพุทธนิกายใดๆๆทั้งสิ้น ดอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กันยายน 2012
  14. พรหมาวตาร

    พรหมาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +66
    อ่านละเอียดแล้วหรือ ซึ่งท่านก็หนึ่งคือ ที่เป็นอนาคตพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าที่พญามาร จะเป็นผู้สวมมหาพิชัยมงกุฎให้นั่นเอง

    ซึ่งเปรียบได้กับผู้ช่วยมาร คือ ช่วยให้สรรพสัตว์ไม่ยอมข้ามสงสารวัฏและแปลงธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว
     
  15. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ไปๆๆๆ มาๆๆกลายเป็นข้าไปสอนลัทธิตันตระ ไปได้
    ข้า ชักมึนแล้วสิ ข้าก็แค่เล่าให้ฟังว่าเขามีเรื่องนี้ บ๊ะ
     
  16. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126

    ขอกราบเอ็งงามๆ1ที
     
  17. localpood

    localpood เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +300
    เอ็งๆ เอ็งๆ ข้านะจะบอกเอ็ง ว่าข้านี่แหละ กำลังอ่านข้อความของเอ็ง เอ็งเขียนไป ข้าก็อ่านไป เอ็ง ก็ บ๊ระๆๆ เป็นเช่นนั้นแล เองเอ๋ย
     
  18. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    อาจารย์เสถียร ข้าโหลดฟังมีทุกคลิปเสียง คนนี้ข้านับถือนัก น่าเสียดายท่านเสียตอนอายุ35 บางครั้งข้าก็เปิดอาจารย์สเถียรให้คนอื่นฟัีงในห้องแซทเลย เอ็งฟังครบแล้วยังหล่ะ พ่อหนุ่ม
     
  19. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    เอาอย่างนี้นะ หากข้อความใดทำให้ ใจใครเกิดไม่พอใจ จิตก ข้าก็ขอกราบขอขมาโทษด้วย ข้าไม่ถนัดในศิลป์แห่งวาทะนัก เอาเป็นว่าข้าเล่านิทานให้ฟังแล้วกัน ยกโทษให้ข้าด้วย
    ขออภัยทุกๆท่าน
     
  20. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    ขอบคุณทุกท่าน ที่ทำให้ข้าน้อยดวงตาเห็นธรรมเล็กน้อย ตอนนี้ก็ต้องไปทำคะแนนกับท่านอา แล้วสินะ \(*0*)/
     

แชร์หน้านี้

Loading...