วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1699593 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->teporrarit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1699593", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (บลู)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: เทพออรฤทธิ์ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    อายุ: 22
    ข้อความ: 3,557
    Groans: 3
    Groaned at 18 Times in 15 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 477
    ได้รับอนุโมทนา 34,427 ครั้ง ใน 2,565 โพส
    พลังการให้คะแนน: 547 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1699593 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->แม่พระทั้ง 5 เสมือนหนึ่งมารดาทางธรรม<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1261829214&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87-5-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-161722.html&dt=1261829214218&correlator=1261829214218&frm=0&ga_vid=1322148329.1261015695&ga_sid=1261828229&ga_hid=1711806530&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=9&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=768&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1004&bih=589&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3%2Findex3.html&fu=0&ifi=1&dtd=78&xpc=RhbExVQHJu&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    แม่พระทั้ง5

    เสมือนหนึ่งมารดาทางธรรม
    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    <O:p
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความพ้นทุกข์ (เล่มที่ 4)

    สมเด็จงค์องค์ปัจจุบัน ทรงเมตตาสอนไว้ เมื่อ 29 ส.ค. 2535 ที่วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี เพื่อสะดวกในการจดจำและความเข้าใจของผู้อ่าน จึงขอแยกออกเป็นข้อ ๆ มีความสำคัญดังนี้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1. ในทางโลก บิดา-มารดา ท่านเสพกามกัน ดวงจิตของเราก็มาจุติได้ มารดาอุ้มท้องเลี้ยงดูเรามาตราบกระทั่งชีวิตของท่านหาไม่ พระคุณแห่งบุพการีทั้งสอง ขอจงจดจำไว้ อย่าตำหนิ หรือ ลบหลู่ เป็นอันขาด
    <O:p</O:p
    2. ในทางธรรม กายเกิดธรรมก็เกิด เกิดด้วยธาตุ 4 เข้ามาประกอบกันโดยมีแม่พระโพสพ (ข้าว) เป็นอาหารหลักที่เลี้ยงกาย แม่พระทั้ง 5 จึงเสมือนหนึ่งมารดาทางธรรมที่เลี้ยงกาย แม่พระทั้ง 5 จึงเสมือนหนึ่งมารดาทางธรรมที่อยู่กับเราตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย
    <O:p</O:p
    3. บุตร บิดา มารดา ฆ่ากันในทางโลก หากมีอีกฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตั้งจิตสร้างอภัยทานให้เกิด กล่าวขออโหสิกรรม และเป็นฝ่ายยอมรับผลของกรรมที่ตนได้ก่อไว้ในอดีตชาติอย่างสงบ กรรมนั้น ๆ ก็จะลุล่วงเลิกแล้วต่อกันไปได้ เช่น อย่าง ตถาคตตรัสอโหสิกรรมให้พระเทวทัต หรือ พระอาหันต์สาวกทั้งหลายทุกๆ องค์ ที่เคารพในกฏแห่งกรรมสำแดงปฏิปทาให้ปรากฏ ตั้งแต่พุทธันดร ผลแห่งการให้อภัยย่อมมีอยู่ให้เห็นเป็นตัวอย่างสืบเนื่องตลอดไป
    <O:p</O:p
    4. ต่างกับคนผู้ที่ฆ่าตัวตาย ทำร้ายแม่พระทั้ง 5 โทษของกรรมนั้นยากนักที่จะพ้นได้ จะอย่างไรก็ต้องฆ่าตัวตายไปอีกตั้ง 500 ชาติ เพราะเนรคุณไม่รู้คุณแห่งแม่พระธรรมทั้งปวง
    <O:p</O:p
    5. เรามาจุติ (เกิด) เราก็ต้องอาศัยเขาสร้างพระบารมี จะไปนรก สวรรค์ นิพพานได้ ก็ด้วยชาติที่เป็นมนุษย์ส่งผลนี้แหละ เพราะฉะนั้นอย่าเนรคุณ เวลาป่วยไข้ก็จงหมั่นดูกฏของกรรมเป็นต้นเหตุ
    <O:p</O:p
    6. ตัวเวทนาของกาย คือ วิญญาณธาตุ (ระบบประสาทรับสัมผัสของกาย) จงรู้เท่าทันมันให้ดีๆ เพราะตัวนี้เป็นตัวผสมทำสุข ทุกข์ให้เกิด ถ้าแยกจิตไม่เป็น เวทนาของกายก็จะทำให้เวทนาของจิตเกิดขึ้นด้วย ขอให้ศึกษาธรรมนี้ให้ดีๆ จะได้แยกจิต แยกกาย แยก เวทนาออกจากกันได้
    <O:p</O:p
    7. การทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นทางกาย ด้วยโทสะก็ดี ด้วย โลภะก็ดี ด้วยความหลงก็ดี เช่น คนฆ่าตัวเองตาย เท่ากับทำร้ายดิน น้ำ ลม ไฟ ผู้มีพระคุณ ในเมื่อตัวเองยังไม่รู้จักคุณค่าของตัวเอง จึงปล่อยจิตเศร้าหมองทำร้ายตนเองได้
    <O:p</O:p
    8. คนไม่รู้จักพระคุณของแม่พระทั้ง 5 จึงมี โทษหนัก เกิดภพใด ชาติใด ก็ต้องฆ่าตัวไปถึง 500 ชาติ ด้วยเหตุผลดังกล่าว บุคคลประเภทนี้หาความเจริญได้ยาก เพราะมักจะชอบทำร้ายบุคคลอื่นอยู่เนื่องๆ ด้วยเหตุมิละเว้นแม้นการทำร้ายตนเองได้ (ทรงหมายความว่า สิ่งที่เขารักที่สุดในโลกนี้ก็คือร่างกายที่เขาอาศัยอยู่ เขาก็ยังทำร้ายฆ่ามันให้ตายได้ ดังนั้นเขาผู้จึงสามารถทำร้ายและฆ่าผู้อื่นได้ทุกคนในโลกนี้) เจ้าจงหมั่นระวังจิต อย่าให้คิดทำร้ายตนเองและทำร้ายผู้อื่น เห็นโทษเห็นทุกข์ตามนี้ด้วยเถิด<O:p</O:p
    วิจารณ์ (ธัมวิจัย) เนื่องจากพระธรรมจุดนี้ละเอียดอ่อนมากพระองค์จึงสอนแต่เฉพาะพวกพุทธจริตเท่านั้น ผมจึงขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พวกจริตอื่นๆ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1.บุคคลส่วนใหญ่ ยังไม่รู้บุญคุณของพระแม่ทั้ง 5 และยังไม่ทราบว่าร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลมไฟ และพระแม่โพสพ หรือ ข้าว ก็คือ ธาตุ 4 หรือ ประกอบด้วยธาตุ 4 ครบ ในเมื่อคนในโลกนี้ต่างเติบโตและมีชีวิตอยู่ได้ด้วยข้าว อันเป็นอาหารหลัก และต้องบริโภคอยู่ทุกวัน แต่จิตยังหยาบเกินไป จึงไม่รู้จักบุญคุณของพระแม่ทั้ง 5 ยิ่งมองเห็นแม่พระทั้ง 5 เป็นพระธรรมเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งห่างไกลสุดประมาณ
    <O:p</O:p
    2.ผมจึงเน้นเอา แต่พวกที่มีศรัทธาอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนา และตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นทุกข์จากเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างภาวร ในชาติปัจจุบันนี้เป็นหลักสำคัญ ท่านแหล่านี้สะสมบารมีมามาก เข้าใจและยอมรับเรื่องบุญ บาป เรื่อง สวรรค์ นิพพาน และกฏของกรรม อันเป็นอริยสัจขั้ขสูง โดยจิตหมดความสงสัย (วิจิกิจฉา) ในธรรมเหล่านี้แล้ว<O:p</O:p
    3.คำสอนของพระองค์เกี่ยวกับพระแม่ทั้ง 5 ทั้งคุณและโทษที่ทรงตรัสสอนไว้ พอสรุปมีความสำคัญดังนี้
    [​IMG]
    <O:p</O:p
    3.1 พระแม่ธรณี (แผ่นดิน, ธาตุดิน) พวกทำลายชาติไม่รู้คุณค่าของมาตุภูมิที่เลี้ยงดู ได้อาศัยอยู่มาจนถึงปัจจุบันว่าท่านมีพระคุณอย่างใหญ่หลวง จงอย่าเหยียบย่ำและลบหลู่พระคุณของท่าน กรรมของพวกขายชาติจึงต้องลงนรกโลกันตะมหานรก (นรกขุมที่ 9 )
    [​IMG]

    <O:p</O:p
    3.2พระแม่โพสพ (ข้าว) พระองค์เน้นให้เห็นพวกที่มีโทสะจริตสูง เวลาบริโภคอาหารมิได้สำรวม ตถาคตรวมไปถึงพวกสมมุติสงฆ์ด้วย จะกินอาหารอย่างกระหายก็ดีขยุ้มข้าวสุกลงมาจากยอดก็ดี หรือ ปุถุชนเมียปรุงอาหารไม่ถูกปาก สาดข้าวสุดเททิ้งก็ดี พอกายแตกดับก็มาเสวยกรรมแห่งโทสะนั้น ในนรกอีกรุปแบบหนึ่ง ทรงเมตตาให้เห็นภาพสัตว์นรก หิวกระหายจะกินข้าว ข้าวก็กลายเป็นเมล็ดทรายร้อนแรงด้วยเปลวไฟบาด ปากบาคคอให้พังเป็นแถบๆ แล้วล้มตัวลงนอนดิ้นจนตัวละลายไป เพราะพอทรายร้อนไปถึงส่วนไหนส่วนนั้นก็พัง ดัวนั้นเมื่อพระแม่โพสพมีพระคุณแก่เรามากนักเจ้าจงอย่าลบหลู่หรือเหยียบย่ำพระคุณท่าน

    [​IMG]
    <O:p</O:p


    3.3 แม่พระคงคา (พระแม่คงคาหรือ แม่น้ำ) สมมุติสงฆ์บ้วนน้ำลาย ถ่ายของเสียออกจากทวารหนัก- เบา คนธรรมดาก็เช่นกัน ทิ้งขยะลงไปบ้าง ถ่ายของเสียลงไปบ้าง บางรายอยากได้ปลาก็ใช้ยาเบื่อปลาละลายลงไปบ้าง บุคคลเหล่านี้เมื่อตายไปเสวยกรรมในนรก มีทีท่าหิวกระหายน้ำจัด เห็นแม่น่ำอยู่ใกล้ๆ ก็วิ่งกระโจนลงไป วักน้ำขึ้นมาดื่ม น้ำก็กลายเป็นทรายร้อนจัด ถูกปาก-คอ-ท้องก้พัง ละลายไปเป็นแถบๆ เพราะผลกรรมที่เหยียบย่ำแม่น้ำคงคา

    [​IMG]
    <O:p</O:p
    3.4 แม่พระพาย สัตว์นรกบางเหล่า ไม่รู้บุญคุณของลมหรือ อาวกาศ ทำกรรมบ่น-ด่า-ว่า พายุที่พัดเสียหายทั้งข้าวของ-ทรัพย์สิน-ชีวิต บ้างบ่นว่าร้อนหาลมพัดไม่ได้ทั้งๆ ที่ตนเองก็ยังอากาศหายใจอยู่ โมหะเข้าครอบงำจิต คิดแต่จะเอาความเย็นมาบำเรอร่างกาย จึงสร้างโทสะให้เกิด กล่าวโทษแม่พระพายว่าไม่เอาความเย็นมาให้ ทั้งๆ ที่ตนเองก็มีพระพายหรือลมบริโภคอยู่ทางจมูก ทั้งลมภายนอกและภายในอย่างสมบูรณ์ พอลมหยุดพัดเพียงชั่วขณะ จิตก็วุ่นวาย เพราะความโง่ทำจิตใจเศร้าหมอง พวกเหล่านี้เมื่อตายไป ต้องไปเสวยกรรมในห้องเปลวไฟที่ร้อนแรง อันหาอากาศหายใจมิได้ พอมิได้ พอบ่นมากๆ ว่าต้องการลม ศาสตราวุธมากมายก็ตกลงมาทิ่มแทงการแทนลมที่ต้องการ นี่คือผมจากการลบหลู่พระคุณของท่านแม่พระพาย โดยเฉพาะการเจริยอานาปานุสสติ จึกพึ่งท่านโดยตลอด อย่าเหยียบย่ำหรือลบหลู่เป็นอันขาด ตถาคตก็ยังต้องพึ่งท่านในขณะที่ยังทรงขันธ์ 5 อยู่

    [​IMG]
    <O:p</O:p
    3.5 แม่พระเพลิง ไฟของท่านร้อน หากรู้จักนำมาใช้ก็มีประโยชน์มหาศาล พลังงานต่างๆ ในโลกล้วนต้องอาศัยความร้อนทั้งสิ้น แม้ขันธโลกก็เช่นกัน ถ้าไม่มีไฟ (Energy) กายก็เคลื่อนไหนไม่ได้ แม้สิ่งอุปโภครวมทั้งอาหารเครื่องใช้ทั้งมวลล้วนอาศัยไฟทั้งสิ้น สรุปแล้วจงอย่าลืมพระคุณของไฟ อย่าลบหลู่เหยียบย่ำไฟ เพราะท่านมีพระคุณแก่โลกและสัตว์โลกอย่างมาก โมหะชนที่เอาแต่โทสะเป็นที่ตั้ง จึงตำหนิไฟเวลาไฟไหม้ ทั้งๆ ที่คนประมาณเป็นผู้ก่อขึ้นสูง สร้างกรรมขึ้นเองทั้งสิ้น แต่ก็อดตำหนิไฟไม่ได้ จิตของคนจึงเศร้าหมอง หากตายตอนนั้นก็ไปสู้ทุคติ ถุกไฟนรกเผาไหม้ตามกรรมที่ตนทำไว้
    <O:p</O:p
    4.พระองค์ทรงสรุปว่า ธาตุทั้งหลายจงหมั่นบูชา ระลึกถึงบุญคุณของแม่พระทุกๆ ท่าน ถ้าเจ้าลืมพระคุณของแม่พระทั้ง 5 ท่านแม่ทั้ง 5 ก็จะช่วยให้ธาตุทั้งปวงสามัคคีกันได้จนวันตาย และจงหมั่นอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้กับแม่พระทั้ง 5 ไว้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงพระนิพพาน
    <O:p</O:p
    5.กรรมเรื่องการลบหลู่บุญคุณของแม่พระทั้ง 5 นี้อัศจรรย์มาก หากองค์ไม่ทรงเมมตามาสั่งสอนให้ ก็ไม่มีทางรู้และเข้าใจได้ ในอดีตผู้ใหญ่ท่านเคยส่อนว่า อย่าดูถูกดูหมิ่นหรือลบหลู่พระแม่โพสพ (ข้าว) บ่อยๆ แต่มิได้อธิบายเหตุผลให้ทราบ จึงจำกันต่อๆ มาเป็นสัญญา ความสงสัยหรือ วิกิจฉาจึงยังมีอยู่กับจิต เมื่อพระองค์ทรงเมตตาให้รู้-เห็น ตามความเป็นจริงแล้ว ความสงสัยก็หมดไป
    <O:p</O:p
    6.โดยปกติของพระพุทธองค์ ธรรมใดที่ไม่จริง พระองค์จะไม่ตรัส ตรัสอย่างใดก็เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอื่น คำสอนของพระองค์จึงเป็นหนึ่งเสมอ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพราะว่าอริยสัจหรือความจริงทุกคำพูด จัดเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบได้ พวกเราจึงควรตอบแทนพระคุณของท่าน โดยใช้ขันธ์ 5 หรือร่างกายของเรานี้ใช้พระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะพัง โดยไม่บ่นแม้แต่ทางใจ (มโนกรรม) คำสอนใดๆ ที่พระองค์จัดว่าดี ก็ควรรีบปฏิบัติให้เกิดผลโดยเร็ว ธรรมใดที่พระองค์ห้ามไว้ ก็พยายามละให้เด็ดขาดในเวลาอันสั้นที่สุด


    7.เรื่องกรรมบถสิบหมวดวาจา 4 (ไม่พูดโกหก-คำหยาบ-ส่อเสียด-และเรื่องไร้สาระ) บุคคลที่ขาดความดีในหมวดนี้จึงหลงลืมพูดวาจาลบหลู่ดูหมิ่นพระแม่ทั้ง
    5 เพราะมี โมหะ โทสะ ราคะเป็นเหตุ ใช้คำพูดว่าดินมันแข็ง.น้ำมันท่วม ลมมันพัดหรือมันร้อน . ไฟมันร้อน .ข้าวมันแข็ง มันเหนียวมันแฉะ มันไหม้ มันบูด เป็นต้น ล้วนแต่เป็นคำหยาบที่ใช้กับผู้มีพระคุณทั้งสิ้น จะโดยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก้ดีล้วนแต่ยังจิตใจหยาบขาดกรรมบถสิบ หมวดวาจา 4 ทั้ง สิ้น หากไม่ระวังและแก้ไขจิตตยเอง จิตก็จะชินในความชั่วเรื่องวจีกรรม ในที่สุดกลายเป็นวิสัย เป็นสันดานประจำจิต และที่สุดก็อาจจะปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่ตั้งใจ โดยเอาคำว่ามันนำหน้า เช่น พระมัน , ครูมัน , พ่อมัน , แม่มัน, ผลเมื่อกายพังก็ต้องลงนรกไปตามกรรมที่ตนเองทำไว้ทั้งสิ้น
    <O:p</O:p
    8.พระพุทธองค์เคยเมตตาให้ดูอย่างของจริง ตอนที่หลวงพ่อฤาษียังมีชีวิตอยู่ มีความสำคัญสั้นๆ ดังนี้ <O:p</O:p
    ทรงบอกล่วงหน้าว่า ให้สังเกตบุคคลท่านหนึ่งซึ่งจะร่วมวงกินข้าวด้วยวันนี้ ซึ่งมีนิสัยกินไปบ่นไป ว่าข้าวมันแฉะ ข้าวมันไหม้...แล้ว จะเห็นผมปรากฏ ผมจริงตามนั้น เขาผู้นั้นกินไปติกรรมของพระแม่โพสพไป ทำให้เกิดอาการสำลักข้าว และอาหารที่กินจนเกือบหายใจไม่ออกตาย และทรงเมตตาตรัสสอนต่อไปว่า บุคคลเหล่านี้มักจะมีอาการธาตุ 4 ไม่สมดุลกัน ทำให้เกิดอาการท้องเสีย หรือเป็นโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารเสมอ (โรคกระเพาะและลำไส้) จึงขอเตือนผู้อ่านบทความนี้ไว้ให้ระมัดระวังเรื่องการตำหนิกรรมของพระแม่ทั้ง 5 เพราะไม่มีคำว่าสายเกินแก้ในพระพุทธศาสนา เมื่อรู้ว่าผิด รู้ว่าไม่ดี รู้ได้ที่ใจเราก่อน ทั้งสิ้น กรุณาอ่านเรื่องอุบายละความชั่วที่ใจเราประกอบจะมีความประโยชน์มาก<O:p</O:p
    <O:p

    ด้วยพระคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ อันหาประมาณมิได้เป็นที่ตั้ง ผมขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านจงโชคดีอ่านแล้วจำได้ก่อน จึงค่อยนำไปคิดพิจารณา เพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือตัวรู้ อันเป็นปัญญาที่แท้จริงในพระพุทธศานา ทำให้เกิดผล มีดวงตา (ใจ) เห็นธรรมตามลำดับ จนถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกท่านเทอญ

    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความพ้นทุกข์ (เล่มที่ 4)




    จากหนังสือ ธรรมะหลวงพ่อ หลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยาน) และอริยเจ้าบางองค์
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความพ้นทุกข์

    1. สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาสอนเรื่องพรหมวิหาร 4 ทรงตรัสว่า
    ก) ใครจักกรุณาไม่สำคัญ สำคัญอยู่ตัวของเจ้าเองต้องหมั่นกรุณาตัวของเจ้าเอง จงรู้เองไว้เถิดว่า คราวใดที่เจ้ายังอารมณ์จิตเร่าร้อนไปด้วย ไฟโมหะ โทสะ ราคะนั้น เจ้าได้สิ้นความกรุณาแก่ตัวเจ้าเอง

    ข) พรหมวิหาร 4 จักต้องเมตตาตัวเองเป็นบาทต้น ธรรมปฏิบัติทุกประการ จักต้องทำให้เกิดผลกับตนก่อน พระธรรม คือ อริยสมบัติอันล้ำค่า จักต้องปฏิบัติให้เกิดผลกับตนเองก่อน จึงจักเป็นของแท้ ตราบเมื่อมีอริยทรัพย์เกิดขึ้นในตน ในจิตของตนแล้วย่อมได้ชื่อว่าเป็นอริยเจ้าอย่างแท้จริง ซึ่งเมื่อต่อ ๆ ไปจักนำธรรมที่ปฏิบัติแล้วไปแจกจ่ายกับใครตามที่ตนเองปฏิบิติได้มา จึงจักเป็นของจริง อย่าลืมนะ พวกเจ้าต้องหมั่นสร้างพรหมวิหาร 4 ให้เต็มที่จิตที่ตัวของพวกเจ้าเองก่อน ธรรมทั้งหลายทั้งปวงจึงจักเป็นของแท้

    ค) เมื่อเมตตา กรุณา ตนเองแล้ว ทำให้ได้ตามประการนี้จิตจักเป็นสุข สร้างมุทิตา อุเบกขาให้เกิดแก่จิต-แก่ตนเอง เมื่อเกิดแล้วก็จักวางทุกข์-วางสุขที่เกิดขึ้นมากระทบจิตได้อย่างสมบูรณ์ธรรมอัพยากฤษเกิดขึ้นได้ก็ที่ตรงนี้

    ง) ละครโรงนี้ถ้าปิดได้โรงเดียวที่จิตของเรา ละครโรงอื่นไม่มีความหมาย จงหมั่นรูดม่านปิดให้ดีๆ อย่าให้อารมณ์ปรุงแต่งมาสอดแทรก เข้ามาแสดงบทบาทแห่งละครโรงนี้ได้ หมั่นนำคำไปสอนไปปฏิบัติกันนะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->อดีตที่พลาดไปแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ให้เราอยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ดี ร่วมทำบุญอาหารถวายพระสงฆ์และโรงทานอาหารแจกผู้ถือศีลงานบวชธุดงค์ที่วัดท่าซุง
    <!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พระอ. โนรี ท่านเมตตาสอนเพิ่มเติมเรื่อง สมาธิอภิญญา สำหรับ ท่านที่ยังไม่ได้เข้าถึงซึ่งความเป็นพระอริยเจ้านั้น

    ยังเป็นโลกียฌานอยู่ ยังไม่มีความทรงตัวดีนัก

    จิตสะอาด สมาธิตั้งมั่น ฌานอภิญญาก็ชัดเจน มีขึ้นมีลง

    และที่สำคัญก็คือ ฌาน สมาธินั้นมีความเนื่องในกายอย่างมาก หากร่างกายป่วยหรือไม่แข็งแรง ก็รองรับสมาธิระดับสูงได้ยาก

    ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการฝึกฝนกายและจิตควบคู่กันไป

    เช่นดัง พระที่ท่านเน้นเรื่องการเดินจงกรม เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและเพื่อปรับจิตปรับอิริยาบท

    ดังนั้นอยากให้ ต่างฝึกฝนกายแต่ตัดกาย ควบคู่กับการฝึกจิต สมาธิเอาไว้ด้วยครับ

    อย่าลืมว่า วิชชาที่เราเรียนเราฝึกกัน เน้น ความสัมพันธ์ ของ ลมหายใจ กาย จิต สมาธิ

    หากเราผสมผสาน คล่องตัวในทุกส่วน สมาธิยิ่งก้าวหน้า

    ลมหายใจ จงคล่องในอาณาปานสติ และลมปราณ

    กาย จงคล่องในการกำนหดรู้ด้วยสติ ในกายคตาสติปัฐฐาน

    จิต จงคล่องใน จิตตานุปัสนาสติปัฐฐาน ประคองอารมณ์จิตในอารมณ์ฝ่ายกุศล

    สมาธิ จงคล่องตัวใน ฌานสี่ เมตตาฌานและอารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ

    ทุกเวลา ทุกขณะจิตเป็นการฝึก ด้วยใจสบายๆ จิตสบาย ผ่อนคลาย ปล่อยวางกาย ปล่อยวางจิตใจ ทำด้วยความเป็นธรรมชาติที่สุด

    จนเป็นธรรมชาติของจิต อย่างแท้จริง เมตตาเป็นธรรมชาติ เข้าถึงความเป็นธรรมดาแห่งกฏไตรลักษณ์ จนจิตปล่อยวางได้อย่างแท้จริง
     
  4. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post1792622 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->teporrarit<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1792622", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (บลู)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2008
    สถานที่: เทพออรฤทธิ์ พลังจิต-พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น
    อายุ: 22
    ข้อความ: 3,557
    Groans: 3
    Groaned at 18 Times in 15 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 477
    ได้รับอนุโมทนา 34,462 ครั้ง ใน 2,565 โพส
    พลังการให้คะแนน: 549 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1792622 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->การรับรู้สภาวะที่แท้จริง ของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1261918742&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%88-168526.html&dt=1261918742796&correlator=1261918742796&frm=0&ga_vid=1322148329.1261015695&ga_sid=1261915371&ga_hid=1382053213&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=0&u_java=1&u_h=768&u_w=1024&u_ah=768&u_aw=1024&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=622&bih=395&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D-%E2%80%9C%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C-%E2%80%9D%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9E%E0%B8%A5-%E0%B8%95-%E0%B8%97-%E0%B8%99%E0%B8%9E-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%99-201273.html&fu=0&ifi=1&dtd=110&xpc=tNj4eForDY&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]




    การรับรู้สภาวะที่แท้จริง ของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ
    <O:p</O:p
    เมื่อวันพฤหัสบดี 15 ก.ค. 2536 สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตามาสอนไว้ดังนี้

    <O:p</O:p
    1.การรู้สภาวะที่แท้จริงของร่างกายในธรรมปัจจุบัน คือ อริยสัจ เป็นทุกขสัจที่พระอริยเจ้าจักต้องยอมรับนับถือ สภาวะที่แท้จริงของร่างกายไม่มีใครเขาฝืนมันได้ ยิ่งฝืนมากเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ร่างกายเป็นไปตามสภาวะปกติของมัน คือ ทำงานหนักเกินกำลัง มันก็เสื่อมโทรมให้เห็นปรากฏชัดเจน เป็นเวทนาอยู่ภายใน หากจิตรับทราบเวทนานั้นแล้ว วางป็นสังขารรุเบกญาณ คือยอมรับสภาพของร่างกายขณะนั้นๆ จิตก็ไม่จักดิ้นรอเพื่อให้พ้นจากสภาวะนั้น ซึ่งไม่มีใครพ้นไปได้ เมื่อยอมรับจิตก็จักมีความสุข ด้วยความเห็นร่างกายนี้ มีความเสื่อมไปตามปกติของมัน

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    2.ประการสำคัญต้องรู้อยู่เสมอว่า ร่างกายนี้มิใช่เรา มิใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย น่างกายไม่มีในเรา จิตก็จักผ่อนคลายจากความยึกเกาะในเวทนานั้น ดังนั้นการกำหนดรู้ว่าร่างกายเสื่อมนั้นเป็นของจริง จิตก็ควรจักยอมรับความจริงนั้นๆ

    <O:p
    3.ในเมื่อรู้ก็สมควรพัก ดูความเสื่อมและเห็นความดับไปของความเสื่อมนั้น เมื่อร่างกายได้พักพอสมควรแล้ว ก็จักเห็นความไม่เที่ยงของร่างกายอย่างชัดเจน

    <O:p
    4.บุคคลผู้รู้จริงจักไม่ฝืนสภาพร่างกาย กล่าวคือไม่มีความเบียดเบียนร่างกายจนให้เกินไปกว่ากฎธรรมดา (ผู้เห็นทุกข์จริงจะไม่ฝืน และไม่เพิ่มทุกข์ให้แก่ตนเอง)


    <O:p</O:p5.กฏธรรมดาคืออะไร อย่างร่างกายแก่ก็ไม่ฝืนความแก่ อย่างสตรีแก่แต่ไม่ยอมแก่ ไปผ่าตัดเสริมสาว ทำร่างกายเจ็บปวดก้เป็นการเบียดเบียน หรือ คนเจ็บป่วยมีหนทางรักษา แต่ฝืนกฎธรรมดาไม่ยอมรักษา ไม่ยอมใช้ยา ไม่ยอมไปหาหมอ ก็เบียดเบียนร่างกาย อย่างร่างกายเสื่อม ต้องการเปลี่ยน อิริยาบถ จิตไม่รู้เท่าทัน ถือทิฏฐิ นั่งนาน ยืนนาน เดินนาน นอนนาน ก็ฝืนกฏธรรมดา คือการเบียดเบียนร่างกายเช่นกัน

    <O:p</O:p
    <O:p

    6.คำว่าสังขารุเบกขาญาณ ต้องแปลว่า วางเฉยอย่างรู้เท่าทันในกองสังขารทั้งปวง คือ ยอมรับกฎธรรมดาอัน เป็นจริงของสภาพร่างกาย

    <O:p</O:p
    <O:p

    7.อย่าคิดว่า เกิดมาชาตินี้ ขอมีร่างกายเป็นชาติสุดท้าย แล้ว ตะบี้ตะบันใช้งานมันไปอย่างไม่มีปัญญา ร่างกายถูกเบียดเบียนเท่าไหร่ จิตอาศัยเป็นเครื่องอยู่ ก็จักมีเวทนาที่ถูกเบียดเบียนเท่านั้น

    <O:p</O:p
    <O:p
    8.จักต้องรู้จักกฎธรรมดาของร่างกาย จิตจึงจะเป็นสุขได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ร่างกายมันมีความสกปรก ต้องอาบน้ำชำระล้างทุกวัน จิตเหมือนในบ้าน บ้านสกปรกตามกฎธรรมดาของโลก ถ้าไม่เช็ดไม่ล้างไม่ถูให้อาด คนอยู่จักหาความสบายใจได้หรือไม่ ร่างกายเช่นกัน กฎของธรรมดาเป็นอย่างนั้น ถ้าเราฝืนธรรมดาไม่อาบน้ำให้มัน จิตก็ทุกข์ไม่สบายใจเช่นกัน

    <O:p</O:p
    <O:p
    9.นี่คือธรรมในธรรมของร่างกาย ที่เจ้าจักต้องศึกษาเรียนรู้เพื่อก้าวไปสู่อารมณ์สังขารุเบกขาญาณที่ถูกต้องโดยไม่ฝืนกฎธรรมดาของร่างกาย

    <O:p</O:p
    <O:p
    10.จำไว้ธรรมของตถาคต ต้องเป็นไปเพื่อการไม่เบียดเบียน ทั้งร่างกายและจิตใจ ยอมรับกฎของธรรมดาของร่างกายและจิตใจ เช่น<O:p</O:p
    ก) ทุกข์ของร่างกาย หรือ โรคของร่างกาย ระงับได้ก็พึงระงับอย่างรู้เท่าทัน<O:p</O:p
    ข) ทุกข์ของจิตใจ หรือโรคของจิตใจ อันได้แก่สังโยชน์ 10 ก็จักต้องรู้กำหนดรู้กฎของธรรมดาของอารมณ์ที่ยังสังโยชน์นั้นๆ เห็นการเกิดดับไปของอารมณ์สังโยชน์นั้นๆ แล้วพึงอาศัยพระธรรมคำสั่งสอนของตถาคต เป็นยารักษาโรคหรือทุกข์ของจิตใจ ให้หายขาดจากโรคนั้นๆ <O:p</O:p
    <O:p


    11.อารมณ์กำหนดรู้จักต้องมี รู้ร่างกาย รู้จิตใจ รู้ระงับ รู้รักษา ให้ตรงจุดที่เป็นโรค จิตก็จักเป็นสุข หมดความเบียดเบียนทั้งร่างกายและจิตใจ<O:p</O:p
    <O:p

    ธรรมะที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่มที่ 6
    พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง

    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ควาหลุดพ้น<O:p</O:p

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->อดีตที่พลาดไปแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ให้เราอยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ดี ร่วมทำบุญอาหารถวายพระสงฆ์และโรงทานอาหารแจกผู้ถือศีลงานบวชธุดงค์ที่วัดท่าซุง
    <!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จากกระทู้เรื่องสมาธิเพียงใดระดับใดจึงเพียงพอต่อการบรรลุธรรมครับ

    -----------------------------------------------------------------


    ระดับ ของ สมถะ สมาธิ ที่เพียงพอต่อการบรรลุธรรม จนสิ้นอาสวะกิเลส นั้น ขึ้นอยู่กับ วิสัยแห่งการ บรรลุของแต่ละบุคคล

    หากเป็นวิสัยของท่านผู้เป็นสัพพรรณญูญาณ ตรัสรู้ชอบด้วยโดยพระองค์เอง เป็นพระพุทธเจ้า นั้น ย่อมต้องเข้าถึงซึ่ง อรูปสมาบัติแปด


    หากเป็นวิสัยของสาวกภูมินั้น ต้องพิจารณาว่า เป็นวิสัยของผู้ปฏิบัติใน วิสัยแห่งการบรรลุธรรมเช่นใด

    - สุขขะวิปัสโก ไม่รู้ไม่เห็นในความเป็นทิพย์ของจิต มีญาณเครื่องรู้แห่งการตัดอาสวะกิเลสให้เป็นสมุทเฉทประหาร ต้องได้ ฌาน สี่ จากอานาปานสติกรรมฐานเป็นอย่างต่ำ เพื่อให้ จิต สงบ สงัดจากนิวรณ์ห้าประการ ระงับ จิตจากอคติในการ พิจารณาธรรม

    เมื่อจิต สงบ จากนิวรณ์ห้าประการจึงใช้ กำลัง และความสงบแห่งฌานสี่ นั้นในการพิจารณาตัดกิเลส จนสิ้นไป


    -เตวิชโช หรือวิชชาสาม เป็นวิสัย ที่ได้ทิพยจักษุญาณ มีความเป็นทิพย์ของจิต รู้เห็น พิสูจน์ความเป็นไปในภพภูมิทั้งปวง เป็นญาณเครื่องประกอบการพิจารณา ในการตัดกิเลสและสังโยชน์เครื่องร้อยรัดในวัฏฏ์

    สมถะสมาธิที่ ได้ จึงต้องได้ ฌาน สี่ จากกสิณกองใดกองหนึ่ง อันเป็นบาทฐานของทิพยจักษุญาณ อันได้แก่ กสิณไฟ กสิณน้ำ กสิณแสงสว่าง
    เป็นอย่างต่ำ เพื่อให้เกิดญาณเครื่องรู้เป็นเครื่องประกอบในการพิจารณา ธรรม เพื่อตัดกิเลส


    -ฉฬภิญโญ หรือ อภิญญาหก ปรากฏ ฤทธิ์อภิญญาสมาบัติ และอิทธิวิธี เป็นเครื่องประกอบ

    ย่อมต้องเจริญ ฌานสี่ จบ ครบในกสิณทั้งสิบกอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คล่องตัว ในกสิณ ธาตุทัั้งสี่ คือกสิณดิน น้ำ ลม ไฟ เรียกว่าสำเร็จ วิชชาธาตุ อันเป็นเหตุ บาทฐานแห่งการแสดงฤทธิ์

    และเมื่อเห็นปรากฏประจักษ์ในการแปรเปลี่ยน ไม่เที่ยงในธาตุทั้งปวง

    ของอ่อนเป็นของแข็งได้ ของแข็งเป็นอากาศได้ ความว่างได้ จนจิตเห็นในกฏไตรลักษณ์ด้วยญาณที่ปรากฏจากการ ใช้ฤทธิ์ จนจิตปล่อยวางจากสังโยชน์ทั้งสิบ เข้าถึงโมกขธรรมในที่สุด

    -ปฏิสัมภิทาญาณ ปรากฏคุณธรรมวิเศษครอบคลุมในวิสัยทั้งปวง และยังทรงพระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์
    ทรงญาณเครื่องรู้ของจิต ในภาษาคน ภาษาสัตว์ทุกภาษา
    ทรงปฏิธานในการแสดงธรรม จากยากลึกซึ้งให้ง่าย จากธรรมมะที่ง่ายให้ละอียดพิสดารลึกซึ้งหลายชั้น หลายแง่มุม ในการเสริมความเข้าใจในธรรมของสาธุชนผู้สะดับในธรรมให้สิ้นสงสัย

    สมถะสมาธิ ที่ท่านต้องเข้าถึงก็คือ อรูปฌาน ในสมาบัติแปด กองใดกองหนึ่ง

    และใช้กำลังของอรูปสมาบัติ มาเป็นกำลังฌาน กำลังปัญญาพิจารณาในกฏไตรลักษณ์ พิจารณาในการตัดสังโยชน์สิบ จนจิตเกิดญาณเครื่องรู้ในการตัดกิเลสได้ในที่สุด

    สำหรับในการปฏิบัติจริงนั้น ถึงแม้ยังไม่เข้าสู่โลกุตรภูมิ แต่หากโยคะวจร ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อความดี ใช้กำลังของอรูปสมาบัติ ตัดกิเลสอยู่เสมอ องค์แห่งปฏิสัมภิทาญาณบางประการก็จะปรากฏได้เป็นโลกียอภิญญาได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ จากที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ฟังและจากผลแห่งการปฏิบัติจริงของท่านผู้ได้ อรูปสมาบัติ แปด


    ดังนั้นหากเราพิจารณาแล้ว ขั้นต่ำของกำลังสมถะสมาธิเพื่อให้เข้าถึงอรหันตผลนั้น ขึ้นกับวิสัยของการบรรลุธรรมของแต่ละบุคคล

    ส่วนกำลังแห่งวิปัสนาญาณในการเข้าถึงซึ่งพระอรหันต์ผลนั้น ต้องตัดสังโยชน์สิบให้สิ้นเสมอกันในทุกวิสัย

    ดังนั้นขอให้ท่านผู้ปฏิบัติพึงเจริญจิต เจริญสมาธิให้เกิดฌาน เกิดญาณให้ปรากฏตามเหตุ ตามวิสัย ตามภูมิอัตถ์ ภูมิธรรมของแต่ละบุคคลเถิด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด

    นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ
     
  6. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post7542 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->มงคล<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_7542", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Oct 2004
    ข้อความ: 62
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 0
    ได้รับอนุโมทนา 882 ครั้ง ใน 62 โพส
    พลังการให้คะแนน: 118 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_7542 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->ท้อแท้ทำความดี<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1262239005&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B5-1097.html&dt=1262239005531&correlator=1262239005531&frm=0&ga_vid=1912134471.1262231942&ga_sid=1262236769&ga_hid=100240579&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=48&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=800&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1260&bih=621&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3%2F&fu=0&ifi=1&dtd=78&xpc=llAT2XObTg&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    <TABLE class=alt1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=tcat align=middle>หลวงพ่อเดินทางมาถึงวัดโขงขาว





    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    ผู้ถาม

    หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะทำความเพียรเพื่อทำความดี แต่บางครั้งก็มีอารมณ์ท้อแท้จะทำอย่างไรดีค่ะ?


    หลวงพ่อ

    ถ้าท้อแท้ต่อความเพียร ก็แสดงว่าขี้เกียจ คนที่มีความเพียร คือ คนขยัน ความเพียร เพียรต่อสู้กับความชั่ว เพื่อหวังให้มีผลในความดี เป็นเรื่องธรรมดาของคน ไอ้การต่อสู้ความขยันหมั่นเพียร มันจะมีทุกเวลาไม่ได้นะ ในบางครั้งกรรมที่เป็นอกุศล เดิมมันเข้ามาครอบงำจิต เวลานั้นจะตัดความดีของเราให้รู้สึกท้อแท้ไม่กล้าต่อสู้...เบื่อ!
    พอกุศลเข้ามาสนองปั๊บ กุศลเตะไอ้นั่นออกไป นี่ขยันแล้วสร้างความดี ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกันทุกคน หนักเข้าๆ กุศลมีกำลังแรง ก็เตะไอ้นั่นกระเด็นออกไป

    พอถึงพระโสดาบันปั๊บ อกุศลยังเข้ามาได้ แต่เข้าก็เข้าแรงไม่ได้ ถ้าถึงพระโสดาบันอกุศลเข้าแรงไม่ได้ มันจะสร้างความขุ่นมัวบ้าง แต่จะถึงทำบาปไม่ได้ คำว่า "ขุ่นมัว" อาจจะต้องโกรธใช่ไหม

    พระโสดาบันยังมีโกรธ พระโสดาบันยังมีความรักในระหว่างเพศ พระโสดาบันยังมีความอยากร่ำรวย แต่เรื่องละเมิดศีลไม่มี แต่มีอารมณ์ที่แจ่มใสจริงๆ คือพระอรหันต์ ถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์เพียงใด ก็ยังเตะกันใหม่ แต่ว่าเตะเบาๆ




    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 10

    http://www.praruttanatri.com/member/htm/tttd.html

    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2723996 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->VANCO<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2723996", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (เต้)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2007
    ข้อความ: 24,078
    Groans: 4
    Groaned at 24 Times in 22 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 105,607
    ได้รับอนุโมทนา 175,484 ครั้ง ใน 23,281 โพส
    พลังการให้คะแนน: 7579 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2723996 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->โอวาทของหลวงพ่อเนียม วัดน้อย โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1262276382&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3-218109.html&dt=1262276382281&correlator=1262276382281&frm=0&ga_vid=1912134471.1262231942&ga_sid=1262275842&ga_hid=1870533619&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=8&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=800&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1260&bih=621&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3%2F&fu=0&ifi=1&dtd=78&xpc=Ou2MokUXdN&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]


    ..แล้วก็จงจำไว้ด้วยว่ามันไม่ใช่แต่ขันธ์ 5 ของฉัน แม้แต่ขันธ์ 5ของเธอ ก็เหมือนกัน ขันธ์ 5ของคนอื่นใด ๆ ในโลกก็เหมือนกัน แม้วัตถุต่าง ๆ ที่เป็นธาตุ 4 คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุเหล็ก ตึก บ้านช่อง วัตถุแข็ง อ่อน อากาศคือ ธาตุลม ก็เหมือนกัน มันไม่ใช่ฐานที่ตั้งของความสุข มันเป็นฐานที่ตั้งแห่งความทุกข์ มันไม่มีสภาพทรงตัว ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนในที่สุดมันก็สลายตัว ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า อนัตตา

    ความจริงฉันไม่มีอะไรวิเศษเลย ขันธ์ 5 ของฉันมันก็เลว มันจะพังสลาย สภาพร่างกายก็ไม่ดี ความจำก็ไม่ดี อะไรก็ไม่ดี ทุกอย่างมันหาความดีอะไรไม่ได้

    ตราบใดที่พระธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระจอมไตรยังมีอยู่ครบถ้วน ทั้งพระธรรมวินัย ในขณะนั้นถ้าคนเอาจริงปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนเป็นพระอรหันต์ได้หมดทุกคน

    การเป็นพระโสดาบันก็ดี การเป็นพระสกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ก็ดี เขาศึกษากันตัวเดียว คือ สักกายทิฏฐิ เมื่อตัดสักกายทิฏฐิ คือ ร่างกาย (หรือ ขันธ์ 5 หรือ รูปนาม) ได้ตัวเดียวก็เป็นพระอรหันต์

    ก่อนที่จะใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณ อันดับแรกต้องเข้าฌานให้ถึงที่สุดที่เธอทรงได้เข้าฌานออกฌานสลับกันมาสลับกันไป ให้มันมีอาการทรงตัว แล้วทำจิตให้ทรงในฌานให้แนบสนิททรงตัว มีความสุขที่สุด ถ้าได้สมาบัติ 8 เป็นกำลังใหญ่ ถ้าได้มโนมยิทธิก็ยกจิตไปไว้พระนิพพานกับองค์สมเด็จพระบรมพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอยกำลังถึงอุปจารสมาธิ พิจารณาขันธ์ 5 ว่า ขันธ์ 5 มันเป็นภัยสำหรับเรา มันเป็นวัตถุธาตุที่สร้างแต่ทุกข์ สร้างแต่โทษ ไม่มีอะไรเป็นปัจจัยของความสุข มองดูขันธ์ 5 คือ ร่างกายเกิดมาเราต้องเลี้ยงดูมันเท่าไร มันชอบอะไร เราให้มันกินหมด แต่เราคือจิตไม่ต้องการให้มันป่วย แล้วร่างกายยังขืนป่วย เพลีย เจ็บปวด หิวกระหาย ร้อนหนาว ยุ่งวุ่นวาย ฉันก็ไม่เคยต้องการให้มันแก่มันก็แก่ แล้วคนที่ตายไปก่อนเราเขาไม่ต้องการจะตายมันก็ตาย ในเมื่อร่างกายหรือขันธ์ 5 มันมีความเลวทรามอย่างนี้ จิตเราจะคบค้าสมาคมมันเพื่อประโยชน์อันใด

    ตั้งใจจับจุดไว้เพื่อพระโสดาบัน

    1. ระงับความพอใจในขันธ์ 5 เสีย คิดว่าร่างกายมันตายอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกไม่ลืมความตาย เป็นทั้งสมาธิและวิปัสสนารวมกัน
    2. ทรงศีลให้บริสุทธิ์ ควรทำเป็นสีลานุสสติกรรมฐาน ทรงศีลให้เป็นกำลังฌาน คือ ทรงอารมณ์อยู่ในศีลตลอดวันตลอดคืน ไม่ยอมให้ศีลบกพร่องทางใจ ไม่ใช่ต้องไปนั่งหลับตาปี๋ ให้ลืมตาทำงาน คุยกับหมากับแมว หรือเจอะหน้าคนด่าคนนินทา ศีลเราทรงตัวไม่หวั่นไหวใช้ได้ เป็นการตัดสังโยชน์ ข้อ 2 สีลัพตปรามาส
    3. ตัดวิจิกิจฉา โดยการน้อมใจเคารพในคุณพระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ คือ ทรงพระกรรมฐาน 3 ให้เป็นฌาน คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ให้ทรงตัว
    4. ตัดสินใจทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานในชาตินี้ ไม่ต้องการเกิดเป็นคนรวยสวยแข็งแรง ไม่ต้องการเกิดเป็นเทพ เทวดา พรหม กำลังใจมุ่งพระนิพพานเป็นอุปสมานุสสติกรรมฐาน


    การที่จะหลีกหนีบาปกรรมชั่วหรือนรกได้ ก็ต้องปฏิบัติให้ได้ทั้ง 4 ข้อนี้ หรือตัดสังโยชน์ 3 ประการได้ ท่านให้ชื่อว่าผู้เข้ากระแสพระนิพพาน คือ พระโสดาบัน ท่านผู้นั้นบาปเก่าทั้งหมดตามไม่ทัน ไม่สามารถถูกลงโทษได้แล้วก็ท่านผู้นั้นจะไม่มีการตกนรก ไม่เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานต่อไปอีกทุกชาติที่เกิด จะวนเวียนเฉพาะเป็นมนุษย์ เทวดากับพรหม และต่อไปถ้ากำลังใจเต็มไม่สนใจร่างกาย ไม่สนใจเทวดาพรหมก็ไปนิพพาน
    การเป็นพระสกิทาคามีก็มี 4 ข้อ เช่นพระโสดาบัน แต่มีคุณธรรมเพิ่มขึ้นมาจากศีล 5 ข้อ คือ กรรมบถ 10 คือ เพิ่มอีก 5 ข้อ นอกจากศีล 5 แล้วคือไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่คิดอยากได้ของของผู้อื่น ไม่คิดผิดจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ คือ มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง คือ ไม่มีอะไรในโลกนี้จีรังแน่นอ มีแต่ความเสื่อมทรุดโทรมสูญหายแตกสลายในที่สุด


    การปฏิบัติจิตเพื่อเป็นพระอนาคามี คือ นอกจาก 4 ข้อ แรกของการเป็นพระโสดาบัน และกรรมบท 10 ของพระสกิทาคามีแล้วก็เพิ่ม

    1. กายคตานุสสติกับอสุภกรรมฐาน ให้ชั่งใจควบกับสักกายทิฏฐิ นอกจากเห็นว่าร่างกายตายแน่แล้ว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความสกปรกเน่าเหม็นตลอดเวลา
    2. ระงับความโกรธความพยาบาท ด้วยความเมตตา พรหมวิหาร 4 หรือ ระงับด้วยญาณสมาบัติ ใช้วิปัสสนาญาณ คือ สักกายทิฏฐิควบคุมไว้ คนที่เขาโกรธเรา แกล้งเรา ด่าว่าเรา เขาด่าขันธ์ 5 และขันธ์ 5 ก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว จิตเราก็ไม่ใช่ขันธ์ 5 เขาอยากจะดุด่าก็เชิญว่าไปตามใจ เราไม่สะดุ้งสะเทือน คนด่าว่าเราเขาก็ตกนรกไปเอง


    ความเป็นพระอรหันต์ นั่นก็เป็นเรื่องขี้ผงแล้วง่ายมาก เพิ่มเข้ามาจากร่างกาย ธาตุ 4 คือ รูปทั้งหมดในโลกอย่าคิดว่าดีงาม

    1. อย่าติดในรูปฌาน ที่เราเข้าฌานได้ว่าเป็นของวิเศษ รูปฌานก็คือร่างกาย ธาตุ 4 คือ รูปทั้งหมดในโลกอย่าคิดว่าดีงาม
    2. อย่าติดในอรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณนัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญา นาสัญยตนะ ที่เราได้แล้วว่าเป็นของวิเศษ ให้ถือว่าเป็นกำลังใหญ่ที่ช่วยให้เราคือ จิตเข้าประหัตประหารกิเลส โลภ โกรธ หลง เท่านั้น ผู้ที่ไม่ได้อรูปฌานก็ไม่จำเป็น อรูปฌาน ก็คือ นามในขันธ์ 5 มีสังขาร ความคิด เวทนา ความรู้สึก สัญญา ความจำ วิญญาณ ประสาท ไม่ใช่ของจิต
    3. กำจัดมานะออกจากจิต อย่าทะนงตนว่าเป็นผู้วิเศษ ได้อภิญญา สมาบัติเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา เราดีเท่าเขา อารมณ์นี้ไม่ดีก็ทิ้งไปเสีย ด้วยการคิดว่า ทุกคนเกิดมามีทุกข์จากขันธ์ 5 เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นกัน ให้มีเมตตาเห็นอกเห็นใจทั้งคนและสัตว์
    4. อุทธัจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน ไร้สาระ คือ คิดทางโลกไม่มี พระอนาคามีก็ฟุ้งไปในด้านของกุศลที่ไม่ตรงกับพระนิพพาน คือ คิดว่า แค่เทวดา พรหมก็พอ ท่านห้ามคิดแบบนั้น ให้จิตมุ่งตรงพระนิพพานเป็นพรหมก็ไม่พ้นทุกข์
    5. อวิชชา เป็นสังโยชน์ข้อ 10 ข้อสุดท้าย ตัดอารมณ์พอใจ (ฉันทะ) อารมณ์รัก (ราคะ ) ในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เพราะมีปัญญาเข้าใจแล้วว่า พระนิพพานเป็นแดนทิพย์ อมตะสูญจากความทุกข์ ความไม่แน่นอน สูญจากขันธ์ 5 ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ มีอิสระเสรีจากบาปกรรม มีความสุขชั่วกาลนาน มีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืนมีความสุขหาเปรียบมิได้ ทุกอย่างเป็นทิพย์วิเศษ จิตเป็นสุขสมปรารถนาทุกประการ


    พระพุทธเจ้าท่านตรัส บอกว่า พระนิพพานดับธาตุทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดที่โลกมี ดับขันธ์ 5 หมด พระนิพพานไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีตัณหา อุปาทาน ไม่มีบาปกรรม ไม่มีร่างกายแบบคนนี้ แต่ว่า อายตนะ ตาหู จมูก ลิ้น กายทิพย์ มีจิตทิพย์ที่จะสะอาดบริสุทธิ์ มีกายโปร่งใสแพรวพราวสว่างไสว ไม่รู้สึกไม่มีระบบประสาทสมอง อยากรู้อะไรรู้ได้เพราะจิตเป็นทิพย์
    ทุกข์ ใด ๆ ไม่มี แต่ความรู้สึกเป็นสุข มีเมตตา มีห่วงลูกห่วงหลานแต่ไม่เป็นทุกข์ เพราะท่านมีอุเบกขาไม่ต้องกินต้องถ่ายหรือหลับ ไม่มีการอ่อนเพลีย
    จากหนังสือ ธรรมประทานพร

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --><!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    หุๆ ตอนนี้ความเพียรกำลังลด พอฝึกจิตจนเริ่มรู้ลมตลอดสายได้

    ไม่รู้ทำไมมันขี้เกียจขึ้นมา ไอตอนติดตามลมไม่ได้นี่ไม่ยอมหลับยอมนอน

    บ่นมายาวนานเเละ
    จากการติดตามลมจากหลังสือวิชชาฯ
    สงสัยอยู่นิดนึงครับคือตรง บางคนลมหายใจหายไป
    1.ให้เราสนใจเเต่ความนิ่งอ่ะตรงนี้ยังมีการติดตามลมอยู่รึเปล่าครับ หรือว่าสนใจเเต่นิ่ง
    2.ถ้าไม่มีการติดตามลมคือเรารู้สึกว่าควรหยุดติดตามลมก็หยุด ไม่ใช่มันหยุดเองใช่เปล่า

    เเล้วก็ถ้าทำได้ตามนี้จิตมันถึงขั้นไหนหรอ จะได้รู้ไว้ยึดติดหุๆ

    รบกวนหน่อยนะครับ
    เดวโรงเรียนเปิดก็ทำได้ไม่เต็มที่เเล้ว
     
  9. Sopasiri

    Sopasiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    449
    ค่าพลัง:
    +912
    ลมหายใจจะเหมือนหยุด แต่จริงๆยังหายใจอยู่ค่ะ แต่ลมหายใจจะละเอียดมากจนไม่รู้สึกว่ามี ให้ทำสมาธิต่อไปไม่ต้องตกใจค่ะ
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พอลมหายใจดับ เราย้ายสติมากำหนดรู้ใน "ตัวนิ่ง" "ตัวหยุด" นั่นคือการกำหนดรู้ในเอกกัคตารมณ์ ความตั้งมั่นเป้นหนึ่งของจิตใจ นั่นคือฌานสี่ใช้งาน หรือฌานสี่หยาบครับ

    ลมหยุดเลยหยุด ติดตามลม มาดูและประคับประคองความตั้งมั่นของจิตครับ

    ประโยชน์ตรงนี้ก็คือนำความสงบไปพิจารณาในธรรมเป็นวิปัสสนาญาณได้

    หรือ นำความสงบตรงนี้ไป ดึงจิตออกจากอารมณ์ที่เป็นอกุึศล มาวางจิตที่ อุเบกขารมณ์บ้าง อารมณ์ที่เป็นกุศล เช่นพรหมวิหารสี่บ้าง พุทธานุสติบ้าง อารมณ์พระนิพพานบ้าง
     
  11. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    ขอบคุณคร๊าบบ พูดได้เเค่นี้เเต่ขอบคุงมากๆครับ
    เดวเปิดมาสอบ พอสอบเสร็จจะลองปั่นอีกทีหุๆ

    อีกข้อนึงนะครับทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องทรงภาพพระใช่เปล่าครับ
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    หากทรงภาพพระพุทธรูปได้ด้วย ยิ่งดีครับ

    ยิ่งภาพพระใสเท่าไรยิ่งดี

    และในเบื้องต้น เน้น สมาธิที่ตั้งจิตให้เกิด อารมณ์ใจที่สบาย เบาๆ เอาไว้ครับ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกท่าน ตั้งจิต ตั้งใจ ปฏิบัติจิต ทำสมาธิกัน จะได้มาก หรือน้อยเพียงใด ก้ขอให้เราทุกคน ตั้งใจว่าจะทำ เเม้เพียงสัก นิดก็ยังดี แค่เพียง ก่อนนอนก็ดี หรือยามนึกถึงได้ก็ดี

    อย่าได้ผัดผ่อนว่าไม่มีเวลา หรือ เอาไว้ก่อน

    ทำน้อยๆแต่ทำบ่อยๆ

    ทำด้วยกำลังจิต กำลังใจที่เป็นกุศลเอาไว้ นึกถึงพระเอาไว้เสมอ

    ไม่ช้าสมาธิและอภิญญาจะมารวมตัวกันในที่สุด
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    และอย่าได้ลืมการฝึกกาย ควบคู่กับการฝึกจิตไปด้วย

    ความสัมพันธ์สอดประสานกันของ

    กาย

    จิต

    สมาธิ

    ลมหายใจ


    กายแข็งแกร่ง สมาธิตั้งมั่น ลมหายใจปลอดโปร่ง จิตปล่อยวางง่าย

    กายป่วย อ่อนแอ สมาธิตก ลมหายใจขาดห้วง จิตเกาะเวทนา


    พื้นฐานที่แน่น ของสมาธินั้นคือลมหายใจ

    ยิ่งเชี่ยวชาญในอานาปานสติ

    ยิ่งทำให้สมาธิตั้งมั่นคงตัว

    ยิ่งทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง

    ยิ่งทำให้ลมสัมพันธ์จิตใจ

    ยิ่งทำให้ตัดเวทนาได้ยามเจ็บป่วย

    ดังนั้นฝึกให้ชำนาญจนเป็นวสี เข้าออกฌาน จากอานาปา ได้ดังใจนึก

    กำหนดต่อในกสิณลม จนทรงอานาปานสติควบกสิณลมได้เป็นปกติ

    พอเป็นอภิญญาก็ต่อเมื่อ อธิฐาน เป่า เอา ได้ดังใจนึก

    ลองฝึกดูครับ
     
  15. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2813355 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ชนะ สิริไพโรจน์<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2813355", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jul 2008
    ข้อความ: 2,201
    Groans: 117
    Groaned at 7 Times in 6 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 21,693
    ได้รับอนุโมทนา 19,036 ครั้ง ใน 1,531 โพส
    พลังการให้คะแนน: 2977 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2813355 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1262859869&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3-221474.html&dt=1262859869281&correlator=1262859869281&frm=0&ga_vid=1645874145.1262602692&ga_sid=1262857328&ga_hid=805756126&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=21&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=800&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1260&bih=621&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ftopics%2Flp.htm&fu=0&ifi=1&dtd=31&xpc=a9XPr7ojxv&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]

    เวลาที่สำคัญที่สุดของนักเรียน นักศึกษา คือตอนสอบไล่
    เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเรา คือ อารมณ์จิตก่อนตาย
    จะไปสวรรค์ พรหม พระนิพพาน หรือแดนอบายภูมิ
    ก็อยู่ที่จิตก่อนตายของท่านจะผ่องใสหรือเศร้าหมอง

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ ที่กล่าวมาแล้ว กล่าวถึงความตาย
    ความจริงเรื่องความตายมีเรื่องเล่าสู่กันฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบอกว่า
    " คนเราจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน "
    ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ แล้วก็คนโบราณ โบราณสมัยนี้ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรา ก็ไม่ทราบว่า ตำราเล่มไหนเหมือนกัน
    ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต เรื่องนี้สำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัท ประเดี๋ยวจะเล่าเรื่องสมัยพระพุทธเจ้า คนที่เห็นนิมิตสมัยนั้นมาเล่าสู่กันฟัง คุยกันตอนนี้เสียก่อน
    คนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ
    ๑. เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่า คนนั้นตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักของพระยายม
    ๒. ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ๓. ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
    ๔. ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล ของที่เคยให้ทานหรือวัดที่เคยทำบุญ พระที่เคยไหว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่า สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล อย่างนี้ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ไปสู่สุคติ
    ตามที่ท่านเขียนมาอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ใช่ต้องการพิสูจน์ แต่ก็เข้าไปประสบโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือ มีอยู่ว่า มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ จวน นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เมื่อเวลาสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก เป็นนายก ฯ เวลานั้นก็เกณฑ์คนไปทำงานที่เพชรบูรณ์ ตามลีลาที่เขาเล่ากันบอกว่า ตั้งใจจะต่อต้านญี่ปุ่น ว่าอย่างนั้นชาวบ้านพูด แต่ท่านจอมพลแปลกไม่ได้พูดให้ฟัง แต่ท่านมาแถลงการณ์ทางวิทยุทีหลัง ก็คล้ายคลึงแบบนี้ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น จะเอานักเรียนนายร้อยไปไว้ที่นั่น เป็นผู้บังคับหมวด อย่างนี้เป็นต้น
    ก็เป็นอันว่า เมื่อเลิกสงคราม เธอเลิกงานมาแล้ว ก็ปรากฎว่าเป็นโรค เป็นไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรค คือ เป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด
    วันหนึ่ง เป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตามไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็พอดีกลับมา เขาบอกว่า จวนป่วยหนัก เป็นเวลาเย็น ประมาณสัก ๔ โมงเย็น ก็นิมนต์พระไปเป็นเพื่อน ๔ องค์ อาตามด้วย ๑ องค์ เป็น ๕ องค์
    ที่ไปเป็นเพื่อนไม่ใช่คิดว่ากลัวใครจะทำร้าย ที่นำไปแบบนั้นก็คิดว่าคนป่วยหนัก ถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะว่าตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล คนนั้นจะไปสวรรค์
    พอไปถึงเข้าจริง ๆ จวน ก็อาการหนักจริง ๆ หายใจเบา หายใจช้า ๆ แล้วก็เบาลง ๆ แต่ว่าอาตมาไปนั่งข้าง ๆ ก็เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม? "
    เธอเหลียวหน้ามา ก็พยักหน้าตอบว่า
    " จำได้ " เสียงเบามาก
    ก็ถามเธอว่า
    " เวลานี้เห็นอะไรไหม? ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง? "
    เธอก็ตอบว่า
    " เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า "
    เธอก็แสดงอาการหวาดกลัวมาก กลัวไฟ
    เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่า ท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตตามที่ท่านเขียนไว้ปรากฏ นึกในใจ ไม่พูด คิดว่า นิมิตอย่างนี้ ถ้าเห็นไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูก ถามว่า
    " จวน ภาวนา พุทโธ ไหม? "
    เธอส่ายหน้าบอกว่า
    " คิดไม่ออก "
    จึงหันไปหาภรรยาเขา อาตมาก็จำชื่อภรรยาไม่ได้ ลืมเสียแล้ว ถามว่า
    " มีสตางค์ไหม? "
    เธอก็บอกว่า " มี "
    ก็เลยบอกว่า " ถ้ามีละก็ ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม? "
    เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาท มาให้ อาตมาก็ไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือ บอกว่า
    " จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตายหรือไม่ตายนั้น ไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกัน ๔ องค์ ขอจวน ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ คิดว่าของต่าง ๆ ในวัดทั้งหลาย ที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท "
    เธอก็พูดเบา ๆ ตาม แล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระท่านบอกว่า
    " คุณทั้งหลาย ถ้าเห็นชอบ ให้ สาธุ พร้อมกันนะ "
    พระทั้งหลายก็ " สาธุ " พร้อมกัน พอพระสงฆ์ สาธุ พร้อมกัน รู้สึกว่า จิตใจของเธอสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า
    " จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง "
    เธอก็ตอบ " ไฟหายไปแล้ว "
    ถามว่า " เธอเห็นภาพอะไร "
    เธอบอก " เห็นภาพพระประธานในอุโบสถวัดบางนมโค " เพราะว่าเธอบวชวัดนั้น เธอก็ไปทำวัตรเป็นประจำ
    ถามว่า " เห็นชัดไหม "
    เธอก็บอก " เห็นชัด อยู่ใกล้มาก "
    ก็บอก " จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ "
    แทนที่เธอจะนึกในใจ เธอก็ออกเสียงว่า
    " พุทโธ ๆ ๆ ๆ " เบา ๆ เธอว่าไปสัก ๓ - ๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลง แต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย
    ถามว่า " จวน เวลานี้เห็นพระไหม "
    เธอตอบว่า " เห็นพระ "
    ถามว่า " ชัดขึ้นไหม "
    เธอก็ตอบว่า " ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างมาก ใหญ่กว่าเดิมมาก "
    บอก " ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็น คือ ภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์ "
    เธอยิ้มนิดหนึ่ง เธอตอบว่า พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระก็ชี้ แสดงว่า วิมานนี้เป็นของเธอ "
    จึงถามเธอว่า " เวลานี้ ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน "
    เธอก็ตอบเบา ๆ ว่า " ต้องการวิมานครับ "
    ก็ไม่ต้องการรบกวนให้เหนื่อยต่อไป ก็บอกว่า
    " ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ "
    เธอก็ภาวนาเบา ๆ ว่า " พุทโธ ๆ ๆ ๆ "
    ในที่สุดก็เงีบบไปพร้อมกับคำภาวนา และลมหายใจเข้า - ออก รวมความว่า เธอตายคู่กับพุทโธ
    เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท มีจริง อาตมาผ่านแบบนี้มาหลายสิบราย ที่พบมาเองนะ ไม่ใช่หลายราย หลายสิบราย และวิธีแก้ของอาตมาก็มีวิธีเดียววิธีนี้ เพราะว่าอย่างอื่นเวลานั้น มันแก้กันไม่ได้
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่า เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ
    นี่เป็นอันว่า มนุษย์เราที่ตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดี และก็ถูกตัดเพราะกฎของกรรม

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->๒๗-๒๘ ก.พ. และ ๑ มี.ค. ๒๕๕๓ งานบวชเนกขัมมะบารมีครั้งที่ ๖๗ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา วันมาฆบูชา ณ ศูนย์พุทธศรัทธา<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2053202 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Teetab<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2053202", true); </SCRIPT>
    สมาชิก PREMIUM

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Oct 2007
    ข้อความ: 802
    Groans: 0
    Groaned at 1 Time in 1 Post
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,045
    ได้รับอนุโมทนา 4,923 ครั้ง ใน 748 โพส
    พลังการให้คะแนน: 167 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2053202 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->ท่านแม่ศรี (ท่านพรรณวดีศรีโสภาค) สั่งมาถึงลูกทุกคนว่า<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1262860557&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-183770.html&dt=1262860557703&correlator=1262860557718&frm=0&ga_vid=1645874145.1262602692&ga_sid=1262859972&ga_hid=562351517&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=21&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=800&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1260&bih=621&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3%2F&fu=0&ifi=1&dtd=93&xpc=lyhSfiAOle&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    ท่านแม่ศรี (ท่านพรรณวดีศรีโสภาค) สั่งมาถึงลูกทุกคนว่า ลูกทุกคน พ่อเหนื่อยมาก พ่อเหนื่อยเพื่อลูกเป็นร้อยเป็นพัน ลูกหลายคนเหนื่อยเพื่อพ่อคนเดียว พ่อทำทุกอย่างเพื่อลูก และทำเพื่อทุกคน ความจริงธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอกินพอใช้แล้ว แต่ว่าเราเป็นพ่อเป็นแม่เขา ต้องหาเผื่อลูก แม่ขอสั่งลูกทุกคนว่า “ธรรมใดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พ่อแนะนำแล้ว ขอลูกทุกคนจงตั้งอารมณ์นั้นไว้ด้วยดี จงอย่าคิดว่าชีวิตินทรีย์ของพ่อจะอยู่กับลูกตลอดกาลตลอดสมัย เพราะว่าร่างกายเวลานี้มันบุบบับเต็มทีแล้ว เกือบจะทนไม่ไหว จะต้องอาศัยกำลังในเข้าประคับประคองอีกส่วนหนึ่ง แต่กำลังกายอย่างเดียวมันทรงตัวไม่ไหว

    ฉะนั้นขอลูกทุกคน ยังรักพ่อ รักแม่ ก็ขอให้รักษาความดีที่มีอยู่แล้วให้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม และจงสร้างความดีตลอดไป ขึ้นชื่อว่า ความดีใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้แล้ว ขอลูกทุกคนจงนำไปประพฤติปฏิบัติ โดยส่วนสุดที่มีความสำคัญ นั่นก็คือ
    <O:p
    อย่าเมากายจนเกินไป อย่าเมาชีวิต จงอย่าคิดว่าร่างกายของใครดี ดูร่างกายของเรานี้มันสกปรกโสมม และมีความเสื่อมโทรมไปเป็นธรรมดา ในไม่ช้ามันก็พัง อยู่คนเดียวมีความสุข สุขอย่างมีคนคนเดียวแต่ก็ทุกข์อย่างมีขันธ์ ๕ ฉะนั้นขอลูกทุกคนจงตั้งหน้าตั้งตาปลงจิตคิดว่า อนิจจา วัฎฎสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทวยธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แก่ไปทีละน้อยคือทรุดโทรมไป อุปัตชิตวานิรุตฌันติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วในที่สุดก็ตาย ให้เอาใจนึกถึงภาพคนตายว่าเวลานี้คนที่เขาตายมานอนอยู่ข้างหน้าเรา สภาพมันป็นยังไง เตสังวูปสโม สุโข ร่างกายที่เปื่อยเน่าอย่างนี้ ถ้าเรางดไม่มีเสียได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตรัสว่า จะมีกายแก้วคือพระนิพพาน
    <O:p
    ขอขมวดท้ายว่า ขอลูกทุกคนนึกถึงสภาพนี้ไว้เป็นปกติ อย่ารื่นเริงจนเกินไป และจงอย่าทำจิตใจหดหู่เมื่อกฎของกรรมมาถึง เราจะต้องสู้เพื่อหักล้างในการเกิด เราจะไม่เกิดต่อไป ขอให้ทุกคนจงรักษากำลังใจ อย่างองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เราจะทรงไว้ซึ่งความดี ไม่มีความเลว ตามกำลังของจิต ตอนนี้ทุกคนมีจิตเป็นทิพย์ ให้รักษาความเป็นทิพย์ไว้อย่างดียิ่ง ต่อสู้กับอุปสรรคทุกอย่าง เราต้องเป็นลูกที่มีความกตัญญูรู้คุณ เป็นบุคคลที่มีความกตัญญูรู้คุณในบุคคลของชาติ ทั้งคนในชาติเดียวกัน และคนในชาติอื่นถ้าเขามีคุณกับเรา เราจะสนองคุณท่านด้วยความดี อารมณ์ใดที่ไม่ดีจงตัดอารมณ์นั้นทิ้งไป รักษากำลังใจไว้เพื่อพระนิพพานโดยเฉพาะ จิตหวนคิดดูว่าไฟร้ายที่จะไหม้ใจของเรา คือ
    . ราคะ ความรักในระหว่างเพศ
    ๒. โลภะ ความโลภกอบโกยในทรัพย์สินมากเกินไป
    ๓.โทสะ อันตรายใหญ่เกิดความเร่าร้อนของใจด้วยอำนาจของความโกรธ
    ๔. จิตที่มองไม่เห็นที่เรียกว่าโมหะ คือความหลง ทั้งหมดนี้จงอย่ามีในจิตของลูก

    ท่านลงท้ายว่า..แม่ขอลาก่อน ขอความปรารถนาดีของแม่ จงมีแก่ลูกทุกคน สวัสดี



    อ่านสรุปและพิมพ์บางส่วนมาจาก หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน

    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
  18. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post2580819 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->bank8<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2580819", true); </SCRIPT>
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Mar 2009
    ข้อความ: 452
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 3,213
    ได้รับอนุโมทนา 1,779 ครั้ง ใน 255 โพส
    พลังการให้คะแนน: 100 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2580819 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->อภัยทานจักเกิดได้ด้วยอาศัยพรหมวิหารทั้ง 4 ประการ<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1262861775&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff14%2F%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87-4-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-212191.html&dt=1262861775828&correlator=1262861775828&frm=0&ga_vid=1645874145.1262602692&ga_sid=1262859972&ga_hid=1708696571&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=0&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=800&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1260&bih=621&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D-%E2%80%9C%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C-%E2%80%9D%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%9E%E0%B8%A5-%E0%B8%95-%E0%B8%97-%E0%B8%99%E0%B8%9E-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%99-201273.html&fu=0&ifi=1&dtd=31&xpc=M4MoEzvbcR&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </FIELDSET>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ได้มีโอกาศไปกราบคุณแม่รัมภา ประธานแม่ชีไทย หัวหน้าโรงงานทำวิชชา วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในช่วงปีใหม่

    ท่านได้สอน เคล็ดวิชชาธรรมกาย ขั้นสูง แค่ สี่คำ ให้ไปปฏิบัติ

    ดับ

    ระเบิด

    ละเอียด

    ใส


    ซึ่งเป็นการเดินจิตทั้งในมิติของสมถะ และวิปัสสนาญาน ในวิชชาธรรมกายคู่กัน


    ดับ คือ ดับนิวรณ์ห้า ดับอกุศลจิต ดับมิจฉาทิฐิ ให้จิต เป็นสมาธิ เป็นสัมมา

    ระเบิด คือ การเดินจิตในอรูปสมาบัติ เป็นความว่าง ระเบิดอกุศลจิต ระเบิดกาย ระเบิดธาตุให้สลายเป็นความว่าง อันเป็นกำลังของสมาบัติแปด

    ละเอียด คือ การเดินจิตให้ละเอียดเป็นแก้วประกายพรึก ให้จิตละเอียด นอบน้อมนุ่มนวล

    ใส คือ ให้จิตสะอาดจากกิเลสและสังโยชน์สิบทั้งปวง ใสในอารมณ์พระนิพพาน ปราศจากการยึดเกาะในภพภูมิต่างๆ

    ใช้เพียงสี่คำ เดินจิตตัดกิเลส ทรงสมาธิ เข้าอรูปจนถึง อารมณ์พระนิพพาน ในไม่กี่ขณะจิต

    คล่องตัว แนบแน่นในอารมณ์วิปัสนาญาณ มั่นคงในอารมณ์พระนิพพาน

    ซึ่งต้องกราบในคุณธรรมในเมตตาของท่านเป็นที่สุดครับ

    ท่านสอนในวิสัย ของปฏิสัมภิทาญาณ ที่อธิบายการทำ สมาธิจิต จาก จุดเริ่มจนสุดอารมณ์พระนิพพาน ด้วยกำลังของอรูป ด้วยคำอธิบายเพียง สี่ คำ เท่านั้น

    และที่ท่านเมตตา ให้พร ขอให้ สามารถสอน คนทั้งหลายให้ก้าวหน้าได้ธรรมมะยิ่งขึ้นไปมากๆ

    ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่านก้าวหน้า เร่งรัดการปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปครับ

    น้องๆ หลายๆท่าน ก้าวหน้ากันอย่างมาก ได้มโนเต็มกำลังกันนับสิบท่าน


    สิ้นสงสัยในพระรัตนไตรกัน ที่ได้อภิญญาเล็กๆน้อยๆ ก็ปรากฏกันหลายท่าน

    ต้องโมทนาบุญด้วย และขอให้นำอภิญญานั้น วิชชานั้นๆที่ได้กันไปแล้ว นำไปเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรม สู่ธรรม สู่จิตที่ละเอียดยิ่งขึ้นไป มีมรรคผล พระนิพพานเป็นที่สุดกันได้ทุกท่านครับ
     
  20. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697

แชร์หน้านี้

Loading...