วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post3064372 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Me, myself<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3064372", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Mar 2009
    อายุ: 42
    ข้อความ: 963
    Groans: 0
    Groaned at 4 Times in 3 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 2,706
    ได้รับอนุโมทนา 26,342 ครั้ง ใน 963 โพส
    พลังการให้คะแนน: 584 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_3064372 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ย่อมเป็นที่รักของเทพพรหมและสรรพสัตว์ทั้งหลาย<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->เอาคำสอนของพระศาสดาเรื่องพรหมวิหาร 4 มาฝากค่ะ เมื่อก่อนพระอาจารย์อนุรุททะ ท่านเคยเทศน์สอนมาหนหนึ่งแล้วเหมือนกันว่า ถ้าไม่มีพรหมวิหาร 4 ศีลห้าก็จะไปไม่ถึงไหนเหมือนกันค่ะ คราวนี้พระศาสดาก็เลยเทศน์โปรดอีกรอบ


    ดิฉัน - นมัสการพระศาสดาค่ะ วันนี้พระศาสดามีอะไรจะสอนไหมคะ

    พระศาสดา - เจริญพร พระศาสดาจะสอนเรื่องพรหมวิหาร 4 ก็แล้วกัน เอาธรรมะพื้นฐานก่อน สำหรับบุคคลทั่วๆไป

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    พระศาสดา - คนเราทุกคนควรมีพรหมวิหาร 4 อยู่ในใจตลอดไป ต้องทรงให้ได้ หากว่าเราทุกคนมีพรหมวิหาร 4 ประจำใจทุกคน โลกนี้คงจะไม่วุ่นวายเหมือนทุกวันนี้หรอก พรหมวิหาร 4 ประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    อันแรกเมตตา เราควรจะมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน มีความคิดดี ทำดีให้แก่กัน รู้จักให้อภัยแก่กัน ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข และการกระทำนั้นต้องไม่หวังผลตอบแทนใดๆ นั่นคือเมตตา

    อันกรุณานั้น เป็นความต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มีความสงสารในเพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย เป็นการสงเคราะห์ในสิ่งที่ผู้อื่นขาดแคลนหรือต้องการ และการกระทำนั้นๆก็ต้องไม่หวังผลตอบแทนเช่นกัน

    มุทิตาคือความรู้สึกพลอยยินดีที่ผู้อื่นได้ดี โดยที่ไม่มีความอิจฉาริษยา เห็นเขามีชีวิตที่ดีก็พลอยยินดีด้วย เห็นเขามีปัญญาดีก็พลอยยินดีด้วย โดยความยินดีนี้ทำไปก็โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆเช่นกัน

    อุเบกขาคือการวางเฉยในทางธรรม ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยไม่เป็นธรรม การที่เรามีเมตตา กรุณา มุทิตา กับผู้อื่นแล้ว แต่เราไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ ก็ไม่ให้เก็บเอามาคิด ก็ต้องให้วางเฉยกับเรื่องนั้นไป ถือว่าเป็นกรรมของเขา

    หากทุกคนมีเมตตา กรุณา อยู่กับตัวแค่สองข้อนี้ ก็ทำให้การผิดศีลข้อ 1-3 ทำได้ยากขึ้น ในเมื่อเรามีเมตตา กรุณา คือความรักความสงสารในเพื่อนร่วมโลก เราก็ไม่สามารถที่จะไปฆ่าหรือทำร้ายใครได้ เราไม่สามารถไปลักขโมยของๆใครได้ เราไม่สามารถที่จะไปทำร้ายครอบครัวของใครได้ หากว่ามีพรหมวิหาร 4 ครบทุกข้อ บุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศีลบริสุทธิ์ได้ ตถาคตถึงสอนว่าการถือศีลจึงต้องควบคู่ไปกับพรหมวิหาร 4 หากว่าใครทรงพรหมวิหาร 4 ได้นี้ก็จะทำให้การปฏิบัติในเรื่องอื่นๆก็จะทำได้ง่ายขึ้น และผู้ที่ทรงพรหมวิหาร 4 ก็จะทำให้เป็นที่รักของเหล่าเทพเทวดา พรหมทั้งหลาย อีกทั้งสัตว์โลกทั้งหลายด้วย ทำให้ชีวิตมีความสุข ความเจริญ มีคนนับหน้าถือตา ให้ความเคารพยำเกรง มีปัญญาดี มีความปลอดภัยในชีวิต มีหน้าตาผ่องใส จิตใจดี ไม่ขุ่นมัว นอนหลับสนิท ผลดีมีเยอะอย่างนี้ ทำไมถึงไม่รีบปฏิบัติกัน

    ดิฉัน - กราบขอบพระคุณในคำสอนของพระศาสดาค่ะ นมัสการลาค่ะ

    พระศาสดา - เจริญพร<!-- google_ad_section_end -->

    http://palungjit.org/threads/เธ˜เธฃเธฃเธกเธฐเธˆเธฒเธเธžเธฃเธฐเธ™เธดเธžเธžเธฒเธ™.230652/


    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เมตตา นั้นประกอบให้ธรรมพื้นฐานคือศีลอิ่มบริบูรณ์เต็มจากภายในจิตใจได้

    ยังให้ธรรมขั้นกลางคือ สมาธิภาวนา ฌาน สมาบัติ ทรงตัวมั่นคงได้

    และเมื่อเจริญเมตตาจนถึงที่สุด ก็ยัง โลกุตระธรรมให้ปรากฏ จนจิตวิมุติหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร ด้วย "เมตตาเจโตวิมุติ" ได้ในที่สุด


    ทรงกำลังใจ ในการทรงอุปมานุสติกรรมฐาน น้อมนำอาทิสมานกาย ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าด้วยอำนาจแห่งพุทธบารมี

    จากนั้นยังจิตในเมตตาอัปปันณานฌาน เจริญจิตด้วยเมตตาว่า

    "อารมณ์ใจที่บริสุทธิ์ในอารมณ์พระนิพพาน มีพระพุทธเจ้าเป็นหลักชัย มีพระรัตนไตรเป็นสรณะคมม์นี้ เป็นเอกบรมสุขเพียงใด

    เราปรารถนาให้มวลสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่ง พระนิพพาน ดังที่ดวงจิตเราได้เสวยอารมณ์อยู่นี้เช่นกัน

    ขอให้มวลสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้ง สามไตรภูมิ ทั่วจักรวาล อนันตจักรวาล ทุกๆมิติ ทุกภพ ทุกภูมิ จงสัมผัสถึงซึ่งพระนิพพานได้ในที่สุดด้วยเทอญ"

    และด้วยอำนาจแห่งเมตตาการให้ การปรารถนาดีต่อดวงจิตอื่นนั้น ท้ายที่สุดก็จะย้อนกลับมาส่งผลให้เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่าย ทรงใจเป็นสุขในอารมณ์พระนิพพานได้ตั้งมั่น จิตสะอาดใส ผ่องผุดดุจดอกบัวแก้ว ที่เปล่งประกายงามในธารแห่งธรรม อันสมเด็จพระบรมสุคตได้ทรงหลั่งรดลงสู่กลางระหว่างดวงใจ ในทุกเวลานาที ทุกลมหายใจ ให้อิ่มให้ยิ้มให้เต็มเป็นสุข


    "ขอให้เมตตาจงเติบใหญ่งดงามท่ามกลางทุกๆดวงจิต ให้เบิกบานในธรรม ให้ตั้งมั่นในความรักความเคารพนบนอบในพระพุทธองค์ เป็นหลักเป็นสรณะตลอดไปนับ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน ตราบจนอนาคต ประดุจดั่งที่เราตั้งกำลังใจในการกราบพระทุกๆครั้งด้วยเทอญ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 002.jpg
      002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.2 KB
      เปิดดู:
      55
  3. Oupasene

    Oupasene เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    833
    ค่าพลัง:
    +2,867
    ขออนุโมทนากับทุกท่านและทุกบุญในกระทู้นี้ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ <!-- google_ad_section_end -->
     
  4. มรรค 8 ประการ

    มรรค 8 ประการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    884
    ค่าพลัง:
    +2,642

    สวัสดีครับพี่คณานันท์
    ผมพึ่งเข้ามาศึกษาในกระทู้นี้ไม่กี่วัน แต่ว่าต้องการคลายข้อสงสัยก่อนจะลงมือปฏิบัติจริงน่ะครับ
    1.วิธีที่พี่คณานันท์กล่าวถึงนี้ เป็นวิธีแบบมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังหรือเปล่าครับ
    2.เมื่อได้ทำการไหว้ครูแล้ว เมื่อจะนั่งครั้งต่อไปจะต้องทำพิธีไหว้ครูก่อนจะนั่งเหมือนครั้งแรกหรือเปล่าครับ
    3.ตอนกล่าวสมาทานศีล กล่าวศีล 5 หรือ ศีล 8 ครับ
    4.ช่วงที่หลวงพ่อกล่าวนำสมาทานกรรมฐาน เราสามารถกล่าวเองได้หรือเปล่าครับ

    อนุโมทนาครับพี่คณานันท์
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ที่ไหว้ครูนี้ เป็นวิชชาที่ปูพื้นฐานรองรับก่อนที่เราจะก้าวเข้าสู่การฝึกมโนมยิทธิหรืออภิญญาใหญ่ครับ

    ปรับจิตให้เกิดสมาธิ เกิดฌานสี่หยาบกันให้ได้ก่อน
    ฝึกจิตให้เกิดจิตเมตตาก่อน
    และเมื่อจิตอ่อนน้อมเข้าถึงความเป็นสัมมาทิฐิ และไตรสรณะคมม์แล้วเกิดสุขจากธรรม จึงค่อยก้าวเข้าสู่ธรรมมะระดับสูงต่อไปครับ

    ลองอ่านทำความเข้าใจในเนื้อหา พิจารณาโดยแยบคายก่อน จึงค่อยปฏิบัติก็ได้ครับ

    ให้พละทั้งห้าสมบูรณ์เต็ม จะได้ก้าวหน้าในธรรมอย่างรวดเร็วครับ
     
  6. มรรค 8 ประการ

    มรรค 8 ประการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    884
    ค่าพลัง:
    +2,642
    ขอบพระคุณมากๆครับพี่คณานันท์
    ผมได้อ่านหลายรอบแล้วแต่ดันโง่ไปวิกิจฉาตอนต้องทำพิธีไหว้ครูน่ะครับ
     
  7. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
  8. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ยิ่งเราศรัทธาและจิตนอบน้อมในพระรัตนไตรมากเท่าไรก็ตามจิตก็จะยิ่งละเอียดปราณีตมากขึ้นเท่านั้น

    ที่สำคัญ พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ท่านก็จะยิ่งสงเคราะห์เราได้มากยิ่งขึ้น ญาณ ฌานก็จะยิ่งตั้งมั่น แม่นยำมากขึ้น

    สิ่งใดที่รู้เพื่อละ เพื่อวาง เพื่อธรรม เพื่อพระนิพพาน เพื่อปฏิปทาสาธารณะประโยชน์ ก็พึงรู้ พึงดู พึงพิจารณา พึงน้อมธรรมสู่ใจ

    สิ่งใดที่รู้แล้วเพิ่ม กิเลส เพิ่มตัวยึด ตัวทิฐิอันไม่บริสุทธิ์ มีมานะ มีอาฆาต พยาบาท เป็นต้น เราก็ดูเพียงเพื่อเป็นวิปัสนาญาณ อย่าได้ ไปเกาะไปเอามาใส่ในจิต ให้เหนื่อยให้หนัก ทั้งเรื่องของเราเองก็ดี เรื่องของบุุคคลอื่นก็ดี ดูไปดูมา พิจารณาไป ก็มีแต่เรื่อง ความไม่เที่ยง ความสลายตัว ความแปรปรวน อันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งหมดทั้งสิ้น พึงพิจารณาเพื่อการปล่อยวาง เพื่ออโหสิกรรม เพื่อการให้อภัยกัน เพื่อการปลงสังเวชธรรมให้เกิดวิปัสสนาญาณอันมีนิพพิทาญาณเป็นบาทฐาน เพื่อเป็นกำลังน้อมจิตสู่พระนิพพาน

    ยิ่งดู ยิ่งรู้ ยิ่งเบา
     
  9. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ADVERTISEMENT
    [​IMG]ขอมอบ พระพลังจิต เสาร์ห้า รุ่น 2 แก่ผู้ที่บริจาคเงินให้แก่เว็บพลังจิต
    ขอเชิญชวนท่านที่มีจิตศรัทธาได้ร่วมบริจาคเงินสนับสนุนกิจกรรมของเว็บพลัง จิตคนละเล็กคนละน้อยตามกำลังใจและกำลังทรัพย์ โดยที่ไม่ทำให้ตนเองและคนในครอบครัวเดือดร้อน เพื่อเป็นการตอบแทนความมีน้ำใจของท่านสมาชิกและเพื่อเป็นพุทธานุสสติ ขอมอบพระพลังจิต เสาร์ห้า รุ่น 2 ให้แก่ทุกท่านที่บริจาคเงินให้แก่เว็บพลังจิตตั้งแต่ 200 บาท ขึ้นไป 1 องค์ โดย Tamsak

    [​IMG][​IMG][​IMG]


    <TABLE class=tborder id=post3104600 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->VANCO<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3104600", true); </SCRIPT>
    ทีมงานเว็บพลังจิต (เต้)

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2007
    ข้อความ: 25,420
    Groans: 4
    Groaned at 27 Times in 23 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 106,436
    ได้รับอนุโมทนา 185,736 ครั้ง ใน 24,559 โพส
    พลังการให้คะแนน: 8297 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_3104600 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->การทรงความดี<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><IFRAME id=google_ads_frame1 style="LEFT: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px" name=google_ads_frame marginWidth=0 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1269405582&flash=10.0.22.87&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B5-232152.html&dt=1269405582843&correlator=1269405582843&frm=0&ga_vid=1310297511.1268962266&ga_sid=1269399727&ga_hid=842369410&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=30&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=800&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1252&bih=613&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff23%2F%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3%2F&fu=0&ifi=1&dtd=16&xpc=AmxDyzUrEC&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=250 scrolling=no height=250 allowTransparency></IFRAME></INS></INS><SCRIPT type=text/javascript><!--zone = "13";url = "http://ads.palungjit.org";//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://ads.palungjit.org/show.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.palungjit.org/show.php?z=13&w=0&pl=0&ad_type=0&shape=0&c_border=0&c_background=0&c_text1=0&c_text2=0&c_text3=0&c_text4=0&c_text5=0&c_text6=0&c_text7=0&c_text8=0&c_text9=0&c_text10=0&code=1269405582890"></SCRIPT><STYLE type=text/css>#amp_slide_in_div { BORDER-TOP-WIDTH: 0px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; Z-INDEX: 50000; LEFT: -347px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 314px; BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px; POSITION: absolute; HEIGHT: 363px; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px}</STYLE><STYLE type=text/css>#amp_slide_in_div { }</STYLE><LINK href="http://ads.palungjit.org/files/slide_in/styles.css" type=text/css rel=stylesheet>
    1) ถ้าเราจะเป็นคนดี เรา ทำอย่างไร

    อันดับแรก จิตจับ พรหมวิหาร 4 ไว้ ก่อน คำว่า พรหมวิหาร 4 นี่ให้รักษาตามกำลัง ค่อย ๆ รักษาเรื่อย ๆ ไปจนมีกำลังเข้มข้นมาก เพราะว่า พรหมวิหาร 4 นี่ เป็นศูนย์กลางของความดี คนที่มีพรหมวิหาร 4 อยู่นี่จะมีสมาธิดีเป็นปกติ

    ศีล บริสุทธิ์ต้อง พรหมวิหาร 4
    สมาธิ จะทรงตัวตั้งมั่นเพราะ พรหมวิหาร 4
    ปัญญา กับ วิปัสสนาญาณ จะเข้มข้น ตัดกิเลสได้ง่ายเพราะ พรหมวิหาร 4

    พรหมวิหาร 4 มีอะไร ที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้า จิตใจคิดไว้เสมอ คิดว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั่วโลก เราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร จะไม่มีเวรมีภัยกับใคร นึกไปถึงคนต่าง ๆ ในโลก ว่าทุกคนก็ต้องการความสุข และทุกคนก็ต้องการความรัก เราจะรักเราจะสงสารคนทุกคนในโลก และสัตว์ทุกตัวในโลก
    ถ้าท่านผู้ใดมีทุกข์ ถ้าไม่เป็นเหตุเกินวิสัยเราที่จะช่วยได้ เราจะช่วยให้เขามีความสุข
    มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร เมื่อใครได้ดีจะพลอยยินดีด้วย จิตจะเป็นสุข
    ถ้าเกิดอะไรขึ้นมันเป็นเหตุสุดวิสัยที่เราจะสงเคราะห์ได้ หรือแก้ไขได้ เราจะวางเฉย จิตใจไม่ซ้ำเติม

    2) ถ้าเรายังปรารภคนอื่นว่าดีหรือชั่ว แสดงว่าเรายังเลวมาก ถ้าเราไม่เลว เราก็ไม่เห็นความเลวของคนอื่นหรอก ถ้าเราเห็นความเลวของบุคคลอื่นมากเพียงไร แสดงว่าเราเลว เลวมากเพียงนั้น

    ต้องไปดูพระพุทธเจ้า ท่านตำหนิใครบ้าง มีไหม เจอไหม ไม่มี เพราะคนทุกคนที่เกิดมาต้องการดีหมด ไม่มีใครต้องการความชั่ว แล้วทำไมถึงได้ทำความชั่ว เพราะ ไอ้กรรมที่ติดตามเรามา เราไม่สามารถจะต้านทานมันได้ เราเกิดมาเราต้องรับผล 2 อย่าง คือ กรรมที่เป็นกุศลอย่างหนึ่ง กรรมที่เป็นอกุศลอย่างหนึ่ง ขณะใดที่กรรมอกุศลครอบงำ จิตไม่มีทางจะทำความดีได้เลย ความเลวมันจะครอบงำจิต เห็นผิดเป็นชอบ ถ้าอกุศลมันถอยไป กุศลกรรมเดิมมันเข้ามาสนอง จะรู้เลยว่าที่ทำครั้งเก่ามาเลวมาก มันก็ไม่ทำ

    พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่าดีหรือชั่ว เพราะกรรมบังคับใจ ท่านก็เลยไม่ตำหนิโทษ แต่ก็ทรงตำหนิเหมือนกัน ทรงตำหนิกิเลส ไอ้นี่มันระยำ ช่วยกันไล่มันไปเสียให้หมด นี่ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ ต้องคำนึงตอนนี้

    3) ท่านทั้งหลายจงอย่าลืม อย่าเบื่อในความดีที่ท่านทำ เมื่อเราทำความดีเท่านี้แล้ว เราก็ทำดีให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป เอามันให้มันเต็มดีให้ได้

    4) จงจำไว้ว่า จริยาที่เราจะต้องทรงใจ มีดังนี้
    - ในยามปกติ เราจะไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น ใครเขาจะดี ใครเขาจะเลวมันเรื่องของเขา อย่าโอ้อวด อย่ายกตนข่มท่าน อย่าถือตัวเกินไป
    - ไม่มีกังวล
    - ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
    - ระงับนิวรณ์ได้โดยฉับพลัน เมื่อเราต้องการความเป็นทิพย์ของจิต ขณะใดที่จิตต้องการสมาธิ ได้ความเป็นทิพย์นี่มาจากสมาธิ มีความตั้งใจ จิตสะอาด ถ้าต้องการจิตเป็นสุขหรือ ต้องการสมาธิ ต้องระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใด

    5. จิตทรงพรหมวิหาร 4 ตลอดเวลา คือ เป็นปกติตลอดวัน

    6. และขอแถมอีกนิดหนึ่งคือ ใจยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรม ความดีของพระสงฆ์ มีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น

    ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททำได้อย่างนี้ ฌานสมาบัติจะทรงตัว คำว่าเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กำลังใจไม่เสมอกัน สว่างบ้าง มืดบ้างจะไม่มี จะมีแต่คำว่าผ่องใสเรื่อยขึ้นไปตามลำดับ ขึ้นชื่อว่าการเกิดในอบายภูมิต่อไปไม่มีแน่ จะเป็นการเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ ไม่มีอีกต่อไป มีอย่างเดียวคือ มุ่งหน้าไปนิพพาน

    7) รักษากำลังใจให้มันมั่นคงจริง ๆ ให้จิตมันแน่วแน่จริง ๆ อย่าเอาจิตเข้าไปยุ่งกับอารมณ์ภายนอก ทำงานทุกอย่างเพื่อสาธารณะประโยชน์ เราทำเพื่อพระนิพพาน ที่เราทำนี่เพื่อไม่เกิด ไม่ใช่ทำเพื่อเกิด ไม่เกิดทำไม ก็ทำเพื่อเป็นการตัดอารมณ์ว่า ไอ้งานที่เราทำไปแล้ว เราลงทั้งทุน ลงทั้งแรง แต่ว่าทำไปแล้วเราก็รู้ว่ามันเป็น อนิจจัง ของไม่เที่ยงนะ อนัตตา ไม่ช้าก็สลาย มันไม่ตายก่อนเราก็ตายก่อน เราทำเพื่อจิตตัดโลภะ ความโลภ การทำงาน อารมณ์มันจุกจิก ฝึกอารมณ์ใจให้มันเย็น ตัดความโกรธ การไม่สนใจว่ามันเป็นของเรา เพราะว่าเรากับมันไม่ช้าต่างก็บรรลัย เป็นการตัดความหลง ไปนิพพานเลย

    8) เราตั้งใจไว้โดยเฉพาะ รักษาอารมณ์อุปสมานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ว่า เราต้องการพระนิพพานในชาตินี้ โดยสรุปตัวท้ายเสียทันที คือ ตัดอวิชชา ความโง่ มานั่งใคร่ครวญว่า มนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นดินแดนที่ไม่พ้นความทุกข์ ความทุกข์มันมีกับเราได้ทุกขณะจิต เราเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความร้อน ความหนาว ความหิว ความกระหาย ความปวด ความเมื่อย ป่วยไข้ มีความไม่สบาย มีความตายไปในที่สุด มีการกระทบ กระทั่งกับอารมณ์ของชาวโลก เรื่องโลกมนุษย์ไม่ดี เทวโลก กับพรหมโลกก็พักความดีอยู่ชั่วคราว ไม่มีความหมาย ใจเราต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าจิตถึงตอนนี้ละบรรดาท่านพุทธบริษัท จิตจะเบามาก เหมือนกับมีความรู้สึกว่าเราไม่ได้อะไรเลย จิตมันสบายๆ กำลังฌานที่เราเคยมั่นคง กดอารมณ์นิ่ง มีความหนัก มันจะสลายตัวไป แต่ว่าจิตใจของเรามีความสุข จะกระทบกระทั่งอาการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามที ไม่มีความรู้สึกว่ามันจะมีความลำบาก ไม่มีอะไรที่จะมีความหนัก ไม่มีอะไรที่จะทำจิตใจของเราให้เร่าร้อน ได้ยินเสียงคนด่าก็สบายใจ คิดว่าเขาไม่น่าจะทำความชั่ว เป็นปัจจัยของความทุกข์ เห็นใครเขาสรรเสริญเรา ก็ไม่มีความสุขใด ๆ ไม่สั่นคลอน รู้สึกว่าความสรรเสริญไม่มีความหมาย เราดีขึ้นมาได้ไม่ใช่อาศัยการสรรเสริญ หรือว่าถ้าเราไม่ดีก็ไม่ใช่อาศัยการแช่งด่าของบุคคลใด ความดีจะมีขึ้นมาได้หรือความไม่ดีจะมีขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยเราปฏิบัติเท่านั้น ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททรงได้อย่างนี้เรียกว่า อรหัตตผล


    พระธรรมเทศนา และ คำสอน ของ หลวงพ่อ พระมหาวีระ ถาวโร ( หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ) ดูแลโดย อินทราพงษ์



    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ l ร่วมไถ่ชีวิตโค-กระบือ l ช่วยวัดพระบาทน้ำพุด่วน l งานปริวาสกรรม ทั่วไทยตลอดปี 2553
    กด 1900 - 222 - 200 ​บริจาคเงิน​ให้​กับ​มูลนิธิธรรมรักษ์​ ​ร่วม​กับ​หลวงพ่ออลงกต​ ​ครั้งละ​ 9 ​บาท​ทั่ว​ประ​เทศ
    <!-- google_ad_section_end -->
    http://palungjit.org/threads/การทรงความดี.232152/
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มีนาคม 2010
  10. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สาธุ พอได้อ่านเรื่องการทรงความดีของหลวงพ่อ และได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าที่อาจารย์คณานันท์ถ่ายทอด ทำให้ปูเข้าใจและจะปรับปรุงแก้ไขในการปฏิบัติให้มากขึ้นค่ะ
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ช่วงนี้จะมีหลายๆท่านที่ก้าวหน้าในสมาธิไปมากครับ

    รวมถึงปรากฏการณ์ที่ถูกปลุกขึ้นมาตอนตีสาม บ้างตีสี่บ้าง แล้วนอนไม่หลับ

    หากมีอาการดังกล่าว ขอให้ตั้งกำลังใจเร่งความเพียร ทางจิต จะขึ้นมานั่งสมาธิ หรือนอนสมาธิก็ได้

    ให้กำหนดภาวนาบ้าง ทรงภาพพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสติบ้าง ทรงอารมณ์พระนิพพานหรือ ทรงพรหมวิหารสี่บ้าง ตามกำลัง ตามความสบายของจิต แต่ขอให้ทำสะสมเอาไว้โดยเราจงตั้งจิตอธิฐานขอครูบาอาจารย์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุดให้ท่านเมตตาสงเคราะห์เอาไว้ให้เป็นปกติ

    ไม่ช้าก็จะก้าวหน้าตามที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า "ท่านที่มีวิสัยในอภิญญาและมีหน้าที่ช่วงภัยพิบัติ ถึงเวลาจะเร่งรัดตนเองให้ให้เร็วขึ้นก้าวหน้าขึ้น และจะได้ใช้อภิญญาช่วยคนเมื่อถึงเวลา"

    รวมถึงครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยห่วงไม่ให้เราไปติดหรือมีอภิญญาเป็นมานะ ตอนนี้ท่านก็เมตตาสอนให้เล่นอภิญญาให้กำลังสมาธิตั้งมั่นก่อนเข้าสู่วิปัสสนาญาณกันครับ

    เรื่องถูกปลุก ตีสามนี้ ช่วงนี้เป็นกันหลายท่านครับ อย่าได้ขี้เกียจนอนทิ้ง แข็งใจทำสมาธิไว้ครับ

    ตื่นปุ๊ปเข้าสมาธิปั๊ปให้จิตชิน จิตคล่องตัว
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ครูบาอาจารย์ คือ หลวงปู่ลมัย ท่านได้เคยเมตตาเตือนไว้เรื่องหนึ่ง ซึ่งครั้งแรกนั้นก็ พยายามที่จะให้คำเตือนนั้นไม่มีผล หรือทำให้เสียกำลังใจกันในการทำความดี

    คือเรื่อง "ให้เรียนรู้ทันวิชามารเอาไว้บ้างนะ"

    มา ครั้นถึงเวลานี้ ก็จำเป็นที่จะต้องให้ทุกๆคนได้ทราบถึง ลีลาฝ่ายมารที่มาส่งผลกับการปฏิบัติธรรม เพื่อให้รู้เท่าทัน เนื่องจากมีผู้เพลี่ยงพล้ำถลำตัวไปกันหลายคน หากปล่อยเลยไปแทนที่จะเป็นกำลังให้พระพุทธํศาสนาก็จะกลายเป็น โทษไปเสีย
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ก่อนอื่นเรารู้จัก ท่านผู้เป็นคู่ปรับของ "มาร"กันก่อนเพื่อที่ จะได้อาศัยขอ บารมีท่าน คุ้มครองป้องกัน ภัยเป็นสำคัญ

    พระบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    บุญ บารมีสามสิบทัศน์ ที่แม่พระธรณีเป็นพยาน

    และพระอุปคุต

    น้อมจิตขอบารมีทุกๆท่านทุกๆพระองค์ เป็นกำแพงแก้ว เกราะแก้ว เพื่อคุ้มครองป้องกัน กาย วาจา ใจ ดวงจิตเราจากหมู่มาร ทั้งปวง
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มารนั้น คือ ผู้ขัดขวางความดี

    ขันธะมาร คือ มารอันเกิดจากร่างกาย เกิดความปวด ความเมื่อย ความหิว ความร้อน ความชรา จนเป็นเหตุ เป็นเครื่องขัดใจ ขัดเคือง ถอดใจ จากความตั้งใจทำความดี สร้างกุศลของเรา ยามทำอกุศล นั่งตกปลา นั่งกินเหล้า เล่นพนันหามรุ่งหามค่ำ ไม่ปวดไม่เมื่อย ครั้น ไปทำสมาธิ 10 นาที ครึ่งชั่วโมงนี่เมื่อยแทบขาดใจ นี่เป็นขันธะมารมาขัดขวางการทำความดี การสร้างกุศล

    อันเราต้องแก้ด้วย ตัวขันติบารมี ความอดทน อดกลั้น ต่อความเมื่อย ความร้อนทั้งหลายเพื่อความดี

    โบราณนั้น ท่านตั้งใจว่า หากยังไม่ได้ใส่บาตร ต่อให้หิวเพียงใดก็จะไม่กินข้าวเช้า ตัดเป็นตัดตายเพียงนั้น

    หรือแม้แต่พระพุทธองค์ยามนั่งทำความเพียรเพื่ออภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณก็ทรงตั้งกำลังใจเป็นสัจจาธิษฐานไว้ว่า หากไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใดก็จะไม่ลุกจากที่นั่งรัตนะบัลลังค์นี้

    เราเองก็ตามอย่างเบาก็ตั้งกำลังใจว่า หากยังไม่ได้สวดมนต์ ทำสมาธิเพียงใดก็จะไม่ยอมนอนเพียงนั้น เป็นการบ่มบารมีไว้เป็นกำลังใจเอาไว้ พอสะสมมากเข้า กำลังก็สูงยิ่งขึ้นไปจนมาร ต่อกรด้วยยาก

    -ทุกวันเราจะไม่คราดจากการสร้างความดี อย่างใดอย่างหนึ่ง

    -ทุกวันเราจะสร้างทานบารมีทุกวันไม่ขาด

    -ทุกวันเราจะเจริญเมตตาพรหมวิหารสี่เป็นปกติ

    ตัวนี้จะได้บารมีสิบไปพร้อมๆกัน ยิ่ง บารมีคือกำลังใจสูง เรายิ่งชนะมารได้ด้วยความดียิ่งขึ้นไปมีกำลังใจข่มความทุกข์ในขันธมารได้โดยง่าย

    กิเลสมาร มารอันสิงใจเราด้วยกิเลส มาลวงจิต ลวงใจเราให้คล้อยไปตามกิเลสบ้าง คล้อยไปตาม ความอยากบ้าง เป็นเหมือนเสียงมากระซิบในใจเราบ้าง มาหลอก มาล่อใจเราบ้าง

    -มองหาความชั่วของคนอื่นมา ตีแผ่บ้าง เพ่งโทษคนอื่น โดย มารหลอกว่า ให้เราหวังดีต่อเขาบ้าง หาชั่วเขาออกมามากๆเขาจะได้กลายเป็นดี แต่ขาดการพิจารณาว่า เกิดความทุกข์กระทบใจกันไหม พอเราคิดแบบนี้มากๆเข้า เรากลายเป็นจิตมาร มองเห็นแต่ข้อชั่วของคนทุกคน กล่าวเอ่ยโดยอ้างความหวังดีต่อเขา แต่ที่จริงเป็นที่จิตเราติดชั่วบ้าง จิตอิจฉาบ้าง จิตริษยาบ้างเป็นที่เราไปดูชั่วจนลืมตัวลืมดู จิตตนเองและการรักษาใจเราเองให้ผ่องใสเบิกบานเอาไว้

    มารเขาหลอกกันแบบนี้

    เรามาดู พระพุทธเจ้าท่านบ้าง ท่านมอง พระองคุลีมาลด้วย มุมแห่งความงดงามใน วิสัยแห่งการบรรลุธรรม ประดุจช่างผู้ชำนาญพิจารณาเห็นเพชรเม็ดงาม ในก้อนเพชรดิบอันขมุขมอมจนผู้อื่นไม่เห็นแสงอันแวววาวได้

    ครั้นแล้วก็ปรากฏ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณนามพระองคุลีมาลอันเป็นผู้ปราศจากเวรภัยขึ้น

    มีครูบาอาจารย์อีกหลายพระองค์ที่ท่าน เป็นโจร แต่กลับกลายเป็น พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ที่เรารู้จักก็หลายท่าน

    เลือกมองเลือกพิจารณาตามพระบรมครูอย่าให้มารสิงใจ

    มารนั้น ลวงให้หวังดี ตีหัวคนอื่น พอเราตีแล้ว เราก็เป็นมารเมื่อนั้น
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    กิเลสมาร ผู้ลวงด้วย มานะทิฐิ

    มารนี้มีลีลา ชอบชม ค่อยๆแทรกในความคิดบ้าง ในญาณสมาธิบ้าง ชมว่าเราเก่ง เราดี เราบารมีเยอะ

    ชมไปชมมา คราวนี้เราก็ค่อยๆคล้อยจิต ตาม เริ่มตกหลุม

    ก็จะเริ่มชม ว่า เราเก่งกว่าครูบาอาจารย์บ้าง

    จนถึงที่สุด ก็ชมเราว่า โอ้โห เราน่ะบารมีมากกว่าพระพุทธเจ้าอีก

    จุดนี้ละ ที่เป็นจุดที่สุด ที่มารปรารถนา เพราะเป็นจุดที่ทำให้เราหลุดจาก ไตรสรณะคมม์ ความเคารพนอบน้อมในพระรัตนไตร

    คราวนี้หลุดเป็นยวง

    หลุดจากสัมมาทิฐิ เข้าสู่มิจฉาทิฐิ

    หลุดจากบารมีที่พระพุทธเจ้า ท่านจะคุ้มครองได้ เพราะดันไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้าเสียแล้ว

    คราวนี้สวรรค์ พรหม พระนิพพานไม่ต้องไปหวัง เจอ กรรมหนักข้อ อกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ ปรามาสพระรัตนไตร ไปไหนก็รู้เอง หากเราเป็นอาจารย์ก็พึงเมตตา ทำลายญาณฌานอภิญญาเพื่อไม่ให้นำวิชชาไปใช้ในทางที่ผิด

    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้โปรดสรรพสัตว์เพื่อให้ถึง สวรรค์ พรหม พระนิพพาน ไม่ใช่ให้สอนเพื่ออบายภูมิ

    ที่ต้องเตือนกันแรง เพราะเมตตา เห็นว่า หากเกิดมานะทิฐิแม้เพียงเล็กน้อย เห็นว่าไม่เป็นโทษ พอถลำลึกแล้ว ไม่ต่างจากพระเทวทัต ที่ท่านเองก็เกิดมานะทิฐิเห็นว่าตนเองเก่งกว่าพระพุทธเจ้าท่าน

    และครูบาอาจารย์หลวงพ่อฤาษีเองท่านก้เคยเตือนเสมอเรื่องไอ้ตัวเก่งที่ ยิ่งเก่งไปจนเก่งกว่าพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่นี่มีนรกเป็นที่ไปแน่นอน

    เหตุนี้ ท่านจึงสอนให้ขอบารมีพระพุทธเจ้า อย่าได้ใช้กำลังของตนเอง อย่าได้สำคัญในความเก่งหรือตัวเก่งเป็นอันขาด

    ความดีทั้งปวงเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสงเคราะห์ เทวดาพรหมท่านเมตตาให้เกิดเทพฤทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น

    ฝึกจิตอย่าได้ ระเริงในความดี ในคำชม ให้มองเป็นความดีของหมู่คณะ เป็นกุศลที่มุ่งเกิดอานิสงค์เพื่อส่วนรวม

    ดังที่ยิ่งเราทำด้วยเมตตามากเท่าไร ไม่ได้ทำเพื่อตน ก็จะเป็นตัวตัดมานะทิฐิไปในที่สุด
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    กิเลสมาร ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่เป็นไร ความผิด บาปที่ เราประมาทว่าเล็กน้อยไม่มีโทษหากทำบ่อยเข้าก็เกิดผลสะสมตัวจนในที่สุดก็มากขึ้น


    มารนี้จะมี จะหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง อ้างความจำเป็นบ้าง อ้างนั่นบ้าง อ้างนี่บ้าง ที่จะหลอกให้เราทำชั่ว จนเราคล้อยตาม

    พอคล้อยบ่อยเข้ามันก็คุมใจเราได้

    ดังนั้นเราทั้งหลาย
    พึงทำความดี ละความชั่วบาปอกุศลทั้งปวง ทำจิตให้ผ่องแผ้วเบิกบาน

    ให้กำลังใจกันในการทำความดี หาเหตุผลมาสนับสนุนกล่าวอ้างในความดี ในบุญให้จิตตั้งมั่นในความดีให้มากๆ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    กิเลสมารอันเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายเกลียดชัง พออารมณ์เกลียดไหลออกมา ความชั่วในใจในจิตก็จะพรั่งพรูออกมา มากมายบางครั้งหยุดไม่ได้ ยั้งใจไม่อยู่

    ลองเอากระจกมาส่องดูหน้าตนเองยามใจเราเกิด อารมณ์เกลียดชังใครก็ตาม เราจะเห็นโฉมหน้าของมารชัดเจน

    ลองแก้ด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหารสี่ให้มากๆเอาไว้ ทรงให้ได้ทั้งวันทั้งคืน ตื่นจิตเป็นพระ หลับเป็นพรหม

    ปราศจากศัตรู ปราศจากเวรภัย มีเพียงจิตอันเป็นกุศล
     
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    คราวนี้ มาดู ท่านสำคัญ คือ "เทพปุตมาร" อันประกอบไปด้วย "พญามาราธิราช"และ เสนามารทั้งปวง

    ท่านเหล่านี้บุญ บารมี ความดีท่านก็มาก

    แต่ครั้นท่าน มีจิตประกอบไปด้วยทิฐิมานะ ตัวเก่ง มิจฉาทิฐิ อันสำคัญผิด จึงเป็นมารขัดขวางความดี ของผู้ปฏิบัติธรรมบ้าง โดยเกรงว่าจะไปนิพพานกันหมดไม่เหลือเป็น สาวกของท่าน

    อวิชชาขั้นสูงที่ท่านใช้กัน คือ พลิก ดับ บัง บิด ธรรม ดังจะอธิบายต่อไป

    พลิกคือ พลิกข้อธรรมให้กลับ ให้ผิดเพี้ยนไปทำให้ ผู้ปฏิบัติธรรมเข้าใจหรือตีความผิด

    ดับ คือ ดับ ญาณในธรรม ที่ผู้ปฏิบัติยังมีตบะไม่กล้าแข็ง ทำให้ไม่เข้าใจในธรรม และในภาคสมถะไม่อาจตั้งดวงกสิณให้ปรากฏได้

    บัง คือ บังภาพนิมิตรในจิต เช่นมีหลายท่านที่เคยปรามาสพระรัตนไตร จะปรากฏ ว่าภาพพระเหมือนมีเงาดำบังบ้าง มีมือมาบังบ้างให้ทรงภาพพระไม่ได้ ปฏิบัติต่อไม่ได้

    บิด คือ การกล่าวธรรมที่ถูกทั้งหมดเป็นส่วนมากให้ตายใจ ก่อนที่จะมาพลิกในภายหลัง ให้ออกจากมรรคผลพระนิพพาน

    นอกจากนี้ ก็ยังมีการโจมตีทางจิต ทางกายในอีกหลายกรณี เช่น

    การโจมตีทางกาย

    ให้เกิด โรคภัย การปวดเมื่อย ขัดตัว ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เกิดท้องเสียกะทันหันในยามไปทำความดี ทำให้เข็ด หรือเกิดความเข้าใจผิดว่า ไปทำดี ไปนั่งสมาธิ ไปทำบุญแล้ว แย่ทุกที จนเข็ด ออกจากความดีไป

    แต่หากใช้กำลังใจในการสร้างบุญฝ่าไปได้ ก็จะกลับกลายเป็นปรมัตถบารมี

    การโจมตีทางจิต นับตั้งแต่ การมาปรากฏเป็นนิมิตรน่าเกลียด น่ากลัว ในยามทำสมาธิจน ทำให้เข็ดขยาดการทำสมาธิความเพียรไปเสีย

    การมาทำการล่วงเกินทางกาย ในยามทำสมาธิ และในความฝัน บางครั้งก็ปรากฏหลอกเป็นคนที่เรารักบ้าง ชังบ้าง ให้เราคล้อยตามอารมณ์ไปในกิเลส หากเราคล้อยตามไป ท้ายสุดก็จะถูกควบคุมและครอบงำจิตได้ในที่สุด

    มารนั้นไม่มีข้อห้ามทำชั่ว ทำกลโกง ล่อลวงอย่างใดก็ได้ เพื่อผล ที่พรากเราออกจากความดี จากทางบุญ ทางกุศล

    ชาวธรรมนั้นเองกลับมีข้อห้ามในศีลในเมตตา จึงกลายเป็นผู้ถูกกระทำเสียส่วนใหญ่ เราไม่ทำร้าย ไม่แก้แค้น ไม่ให้จิตเราเกิดความเกลียดชังขึ้นในจิต ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่ต่างจากมาร

    สิ่งใดคือเครื่องชนะมาร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 39902.jpg
      39902.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.6 KB
      เปิดดู:
      49
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เราดูพระบรมครูของเราท่านเป็นแบบอย่าง

    สิ่งเดียวที่ชนะมารได้ คือ ความดี

    "ขอคุณ แห่งบุญกุศล บารมี ความดีทั้งหลาย อันได้แก่ บุญญาธิการที่เราทั้งหลายสะสมมานับแต่อดีตังชาตินับไม่ถ้วน

    รวมตัวเป็นบารมีทั้งสามสิบทัศน์ เราตั้งจิตรำลึกถึงเป็นเครื่องคุ้มตัว

    อธิฐานจิตอารธนาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ท่านเหนือเศียรเกล้า กล่าวอ้างน้อมนำเอาคุณพระรัตนไตรอันเราทั้งหลาย ตั้งมั่นในไตรสรณะคมม์มั่นคงตลอดชีวิตตราบเท่าถึงพระนิพพาน เป็นสััจจาธิษฐานให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์

    ขอเทพพรหมเทพฤทธิ์อันเป็นสัมมาทิฐิ มีพระวิสทธิเทพทุกๆพระองค์บนพระนิพพานเป็นที่สุด ได้โปรดเมตตา ขอพระอุปคุตมหาเถระเจ้าทรงสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ชนะ หมู่มารทั้งปวงด้วยอำนาจแห่งความดี มีเมตตาอันไม่มีประมาณเป็นที่สุดด้วยเทอญ

    นับแต่นี้ขอเมตตารัศมีจงแผ่กระจายไพศาลสลายมิจฉาทิฐิทั้งปวงให้ปราศนาการได้ด้วยแสงแห่งธรรมขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      847.5 KB
      เปิดดู:
      47
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    โดยเหตุนี้เอง เราทั้งหลายจึงยิ่งต้องมีสรณะที่พึ่งอาศัย เป็นร่มฉัตรคุ้มเกศเกล้าให้อยู่ในความสุขความร่มเย็น คือ ไตรสรณะคมม์

    ยิ่งอารมณ์ใจเราแนบในพระ ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยะสงฆ์มากเท่าไร แนบในพระนิพพานมากเท่าไร

    โอกาสที่มารจะมาสิงใจ มาล่อลวงใจเราก็น้อยลงไปด้วย

    เวลาที่พระท่านมาสอนก็มากขึ้นเพิ่มขึ้น ธรรมเข้าสู่จิตสู่ใจมากขึ้น จิตก็เป็นสุขมากขึ้น จนหัวใจเรามอบกายถวายชีวิตให้พระพุทธพระธรรม พระอริยะสงฆ์ได้ อย่างแท้จริง

    เมื่อนั้นความเจริญในธรรมก็ยิ่งงดงามไพบูลย์ขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด

    นี้คือเหตุที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงพระธรรมเทศนาโดยมุ่งหวังให้หมู่ชนทั้งหลาย ได้ไตรสรณะคมม์ เป็นพื้นฐานสำคัญ แม้ในวิสัยของพุทธภูมิก็ตามสาวกภูมิก็ตาม เพื่อเป็นฐานต่อไปยังอารมณ์แห่งพระอริยะเจ้าเบื้องต้นพระพุทธศาสนาคือ พระโสดาบัน

    เมื่อเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบัน ความแนบแน่นมั่นคงในไตรสรณะคมม์ไม่หวั่นไหว สิ้นวิจิกิจฉาในพระรัตนไตรอย่างแท้จริง

    ดังนั้นในข้อสังโยชน์นี้ หากเราสำคัญว่า ได้ไตรสรณะคมม์เรานับถือพระรัตนไตรแล้ว ไหว้พระ กราบพระแล้ว แต่ธรรมอันมีความละเอียด ปราณีตลึกซึ้งนั้น เราเข้าถึงไตรสรณะคมม์มากแค่ไหน จิตแนบพระแค่ไหน มีดื้อ มีเก่ง มีอวดดีกับท่านหรือไม่ หากยังมีอารมณ์ปรามาสพระอยู่ ก็ยังห่างไกลมาก และโอกาสที่พระท่านมาสอนก็ยังน้อย โอกาสที่มารมาแทรกจิตบิดเบือนธรรมก็มากขึ้นตามไปด้วย

    ด้วยเหตุนี้ ไตรสรณะคมม์จึงเป็นเครื่องรักษาใจเราในการปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้าใกล้พระพุทธเจ้า ใกล้พระนิพพาน เป็นหลัก เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ตั้งมั่นในความดี ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...