สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506


     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    sxUTHx10IXtJScXGyN_8pV7Q8nRcL&_nc_ohc=LQxYtflAcP0Q7kNvgFdcdOn&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506


    เคล็ดลับในการปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ให้ได้ผลดี ต่อด้วยนั่งสมาธิเบื้องต้น ๗ ฐาน | พระเทพญาณมงคล

    ที่มา https://www.youtube.com/@user-vw1qv8gk6o
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    ?temp_hash=108517e891bd91c0767e8cda9ae5646a.jpg



    #เมื่อทำวิชชาได้ละเอียดเข้าไป
    จนถึง “ปราสาททำวิชชาของหลวงพ่อ” ก็จะพบธาตุธรรมของ หลวงพ่อ และ “กลางธาตุ” ทั้งหลายของหลวงพ่อ กำลังทำวิชชาสะสางธาตุธรรม และพระนิพพาน เพื่อช่วยสัตว์โลกทั้งหลายอยู่มิได้หยุดเลย
    และเมื่อทำวิชชาละเอียดเข้าไป ก็จะทราบว่า หลวงพ่อ(สด) คือ “ต้นธาตุต้นธรรมภาคพระ” ซึ่งได้ถอยพืดกำเนิดธาตุธรรมเดิมมาสร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก ช่วยรื้อสัตว์ ขนสัตว์ที่ยังหลงติดอยู่ในไตรวัฏฏ์ให้เข้านิพพานเป็นอีกต่อไปนั้นเอง
    ส่วนผู้ที่ช่วยเหลือทำวิชชาอยู่กับหลวงพ่อ ซึ่งจะเห็นอยู่โดยรอบ ๆ หลวงพ่อนั้น ชื่อว่า “กลางธาตุ” ของท่าน
    บางรายก็ยังเป็น “กลางธาตุกายมนุษย์” (คือยังมีชีวิตเป็นมนุษย์) สร้างบารมี และทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างพระศาสนาอยู่ บางท่านก็ล่วงลับไปแล้ว และว่าโดยที่จริงแล้ว
    ผู้มีบารมีระดับกลางธาตุนั้นมีมาก แต่ปฏิบัติพระศาสนาไม่ตรงตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า
    ก็เพราะว่า ภาคมารเขาพยายามปัดบังวิชชานี้
    และภาคมารจะปัดเข้านิพพานถอดกาย (ถ้าเขาต้านทานบารมีไม่อยู่) เพื่อให้สิ้นฤทธิ์ ที่จะช่วยเหลือสัตว์โลก
    บรรดากลางธาตุทั้งหลายเหล่านั้น จึงไม่ปรากฏอยู่ในผังปราสาทที่ทำวิชชาของหลวงพ่อ
    อนึ่ง “กลางธาตุกายมนุษย์” บรรดาที่สร้างบารมี และทำหน้าที่อยู่ในปัจจุบันนี้ หากปฏิบัติตรง และเจริญวิชชาชั้นสูงนี้ ก็จะพบอยู่ในปราสาทที่ทำวิชชาของหลวงพ่อ ตามฐานะของอำนาจ สิทธิ และสิทธิเฉียบขาด ในการปกครองธาตุธรรมของแต่ละท่าน
    แต่ถ้าผู้ใดปฏิบัติไม่ตรง หลงกลทำประโยชน์ หรือเป็นฐานให้แก่ภาคมาร (เป็น “ฐานทัพ”ให้ฝ่ายมาร)
    “ต้นธาตุต้นธรรม” ก็จะเก็บวิชชา อำนาจสิทธิของผู้นั้นเสีย แล้วอำนาจสิทธินั้นก็จะเปลี่ยนไปเป็นของ “ผู้ที่ปฏิบัติตรง” และสร้างบารมีสูงขึ้นมาแทนที่ใหม่ต่อไป.

    #หลักสำคัญอยู่ว่าเมื่อรู้เห็นแล้วก็อย่าคะนองใจ
    ว่าตนเก่งกล้าแล้วพยากรณ์ให้แก่ผู้อื่นฟัง หรือโอ้อวดในคุณธรรมของตน อันจะเป็นทางเสื่อมอย่างยิ่ง

    เพราะจริง ๆ แล้ว ปฏิบัติเพื่อละวางอุปาทานนะ
    คำว่า“ หยุด” นี่ เขาให้ปฏิบัติเพื่อให้หยุดทำชั่ว
    ให้หยุดปรุงแต่ง ไม่ต้องติดอะไร
    เพื่อละวาง ละวางกิเลสในใจเรา ปล่อยความยึดติดอย่าให้มี

    เอา ๑๘ กายนี้ให้มันตลอดปลอดภัย ให้ถึงธรรมกาย แล้วก็ให้เป็นธรรมกายดับหยาบไปหาละเอียดให้บริสุทธิ์ใสสว่างอยู่เสมอ รับรองไม่มีโทษ

    เปิดดูไฟล์ 6084645 ดังเช่นที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ได้เคยกล่าวว่า.....

    “ ต่อแต่นี้ไป เราจะต้องเข้าให้ถึงที่สุด
    เข้าไปในกายที่สุดของเราให้ได้ เป็นกาย ๆ ออกไป
    เมื่อเป็นกาย ๆ เข้าไปแล้ว ถ้าทำเป็นแล้ว ไม่ใช่เดินท่านี้
    เดินในไส้ทั้งนั้น ในไส้เห็น ไส้จำ ไส้คิด ไส้รู้
    ในกำเนิดดวงธรรมที่ทำให้เป็นสุดหยาบสุดละเอียด
    (เถา – ชุด – ชั้น – ตอน – ภาค – พืด .....ฯลฯ)

    เดินในไส้ (หยุดในหยุด กลางของหยุดในหยุด)
    ไม่ใช่เดินทางอื่น เดินในกลางดวงปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา
    เดินไปในกลางดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา ดวงวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    นั่นเป็นทางเดินของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์

    เดินไปในไส้ ไม่ใช่เดินไปในไส้เพียงเท่านั้น
    ในกลางว่างของดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
    ของดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    ว่างในว่างเข้าไป เหตุว่างในเหตุว่าง เหตุเปล่าในเหตุเปล่า
    เหตุดับในเหตุดับ เหตุลับในเหตุลับ เหตุหายในเหตุหาย
    เหตุสูญในเหตุสูญ เหตุสิ้นเชื้อในเหตุสิ้นเชื้อ
    เหตุไม่เหลือเศษในเหตุไม่เหลือเศษ ...ฯลฯ

    หนักเข้าไปไม่ถอยหลังกลับ
    นับอสงไขยไม่ถ้วน นับชาติอายุไม่ถ้วน
    ไม่มีถอยกลับกัน เดินเข้าไปอย่างนี้นะ

    พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่ใช่เดินโลเลเหลวไหล
    ที่เรากราบ ที่เราไหว้ เรานับถือนะ ท่านวิเศษวิโสอย่างนี้
    นี่แหละเป็นผู้วิเศษแท้ ๆ นี่แหละเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกแท้ ๆ
    ถ้าเป็นผู้รู้จริง เห็นจริง ได้จริง เราจึงเอาเป็นตำรับตำราได้...”

    การเดินตามรอยบาทของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์
    เราจะต้องทำวิชชา...เข้าไปถึงขนาดนั้น
    ก็เพราะเหตุผลที่หลวงพ่อว่า ...

    “ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านก็ไปถึงที่สุดเหมือนกัน
    ถ้าใครยังไปไม่ถึงที่สุด ก็ยังไม่ฉลาดเต็มที่
    ต่อเมื่อเข้าไปถึงที่สุดกายของตัวต่อไปแล้วละก็ ฉลาดเต็มที่แน่

    ต้องไปให้ถึงที่สุดให้ได้
    เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็
    รักษาตัวได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา

    ที่บังคับเรา ให้เกิด ให้แก่ ให้เจ็บ และให้ตายอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
    พวกมาร บังคับให้เป็นไปตามนั้น
    ส่วนพวกพระ บังคับไม่ให้เกิด ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ และไม่ให้ตาย
    นี่พวกพระ พวกมาร บังคับกันอย่างนี้

    เวลานี้พวกพระ บังคับไม่ให้รบกัน
    แต่พวกมาร บังคับให้รบกันหนักขึ้น ”


    ------------------------------------

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    ถ้าเมื่อมาเจอกายมนุษย์แล้วมาสุขกับกายมนุษย์
    มัวงมอยู่แต่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั่นแหละ
    มันก็ได้เท่านั้นจนแก่ตาย เอาดีไม่ได้เลย สุขแค่นั้นเอง
    นี่มันสุขน้อยอย่างนี้ เพียงนิดเดียวเพราะอะไร
    เพราะรู้ไม่เท่าทันตัวเอง ไม่ฉลาด รู้ไม่เท่าทันตัวเอง
    ไม่ได้ฟังธรรม ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ฝึกฝนใจในทางพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ
    ไม่ได้ฝึกฝนใจในธรรมของสัตบุรุษ ความเห็นจึงพิรุธไปเช่นนั้น ถ้าหากว่าฉลาด รู้จักให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ถ้าแม้ว่ายังไม่ได้สูงขึ้นไปก็จะได้สุขในชั้นจาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี เหล่านี้
    มันก็เวียนอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั่นแหละ ในกามนั่นเอง มันยังเป็นกาม ไปทางโลกก็สุขนิดหน่อยเท่านี้ ไม่ได้อะไรหละ สุขอยู่ชั่วคราว มนุษย์นี่ก็สุขอยู่ชั่วคราว ประเดี๋ยวเดียว อายุร้อยปีเท่านั้นอย่างมาก หรือน้อยกว่านั้น ก็ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ถ้าเราได้เห็นเทวดาก็สุขตามส่วนขึ้นไป อายุก็ตามส่วนขึ้นไป จะนาน หนักเข้า แต่ว่าถึงกระไรก็เถอะ ปรนิมมิตวสวัตตี สุขมากน้อยเท่าใดก็ช่าง สุขประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ไม่มากเท่าใด ไปถึงรูปพรหมก็สุขเป็นกัปๆ เหมือนกัน เป็นมหากัปถึงอกนิฏฐภพ ถึงเวหัปผลานั่นแน่ อสัญญีสัตตาโน่น 500 มหากัป ถึง 500 มหากัป ก็สุขนิดเดียวอีก เหมือนกัน ไม่จริง หลอกๆ ไม่จริงหรอก สุขในชั้นเนวสัญญานาสัญญา อกนิฏฐาโน่น สุขสูง ขึ้นไป สุขสูงขึ้นไปขนาดนั้นก็ขนาดพันมหากัปเท่านั้น ไม่เท่าไรนัก สุขยิ่งขึ้นไป นี่ไม่ใช่สุข ในทางนิพพาน มีชั้นสุขสูงสุดอย่างนี้
    ถ้าสุขในภพถึง 84,000 มหากัปในโลก เพราะติดสุข ในภพเหล่านี้แหละเรียกว่าติดสุขน้อย ไม่ใช่สุขใหญ่
    สุขใหญ่คือสุขอันไพบูลย์ ให้ละสุขน้อย อันนั้น
    เมื่อไปถึงแล้วก็ไม่ติดสุขหนักขึ้นไป ไม่ถอยเลย ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ สุขทวีขึ้นไป เหล่านี้เลย ไม่มีถอยกลับ นี่ต้องนับว่าวิชชาวัดปากน้ำ วิชชาสมถวิปัสสนาเดินให้ถูกแนวนั้น ทีเดียว เข้าถึงธรรมกายให้ได้ เข้าถึงธรรมกายเป็นลำดับไป ยิ่งใหญ่ไพศาลนับประมาณไม่ได้ จะไปพบพระพุทธเจ้า พระนิพพาน พระอรหันต์ ก็จะรู้ตัวทีเดียวว่า อ้อ! เราเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ได้รู้จักของจริง เห็นของจริงอย่างนี้ ไม่เสียทีที่พ่อแม่อาบน้ำป้อนข้าวมา อุ้มท้องมาไม่หนักเปล่า แม้บุคคลที่จะทูนไว้ด้วยเศียรเกล้าก็ไม่เมื่อยเปล่า ไม่หนักเปล่า ได้ชื่อว่าเป็นคนมีปัญญา ประกอบคุณสมบัติยิ่งใหญ่ไพศาลใส่อาตมาของตนได้ ไม่เสียทีที่ เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา

    :คัดลอกมาส่วนหนึ่งเรื่อง "สุขที่สัตว์ปรารถนาจะพึงได้"
    พระธรรมเทศนาหลวงพ่อสด จันทสโร


    FB9VMIB4CFK8WeDOKGVLmPQN99N3L&_nc_ohc=ruQA5CErJkkQ7kNvgHxYyf8&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    1f4cc.png "... ถ้าเลิกมุสากันหมดทั้งประเทศเสีย คำเดียวเท่านั้นแหละ สบายกันหมดทั้งประเทศทีเดียว อ้ายมุสานี่ร้ายกาจนัก ให้โทษมาก กล่าวคำเท็จไม่จริง ท่านกล่าวหลักไว้
    อตถํ วตฺถุ เรื่องไม่จริง
    วิสํวาทกจิตฺตํ จิตคิดจะกล่าวให้คลาด
    ปชฺโช วายาโม ทำความเพียรเพื่อจะกล่าว
    ปรสฺส วิชานนํ บุคคลอื่นรู้ ความที่ตนกล่าวนั้น ๆ มันก็เริ่มเป็นปดขึ้น
    ถ้าไม่จริงก็เป็นปดทีเดียว เป็นมุสาทีเดียว ถ้ากล่าวตามจริงครบองค์อยู่เช่นนั้น เรื่องนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นถ้อยคำที่จริงไม่มีโทษ ถ้อยคำเหล่านี้แหละ ผู้มีศีล ผู้ถือศีลในสิกขาบทมุสาวาทแล้ว ต้องเว้นขาดจากใจเหมือนพระอริยบุคคล ไม่มีกริกในใจทีเดียวที่จะปดน่ะ ไม่มีเลือกไม่มีเฟ้นต่อไป นี้ต้องแก้ไขตัวของตัวให้ดีนะ ถ้ายังมีเลือกเฟ้นว่า จะปดดีหรือไม่ปดดี ยังงี้ละก็ ศีลยังเหลวอยู่ ศีลมุสายังเหลวอยู่ ต้องไว้ใจได้ว่าจะตัดหัวคั่วแห้งอย่างหนึ่งอย่างใด ตีรันฟันแทงสักเท่าหนึ่งเท่าใด จะตัดชีวิตจิตใจสักเท่าหนึ่งเท่าใด จะให้กล่าวเท็จน่ะ กล่าวไม่ได้เสียแล้ว ขาดจากใจเสียแล้วว่า คำเท็จเป็นอันไม่กล่าว กล่าวแต่คำจริงทั้งนั้น อย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีศีล ยกตัวอย่างพระอริยบุคคลเป็นตัวหลัก รักศีลเหมือนอย่างกับพระอริยบุคคลดังนั้น ได้ชื่อว่ามีศีลมุสาวาทล่ะ ..." 1f4cc.png
    270d.png คัดลอกบางส่วนจาก 270d.png
    พระธรรมเทศนา เรื่อง ศีลเบื้องต่ำและศีลเบื้องสูง
    เทศน์เมื่อ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๗

    โดยพระเดชพระคุณ #พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    #หลวงพ่อวัดปากน้ำ
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    ?temp_hash=106572cf119969030dbcb656b4c8dcc4.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ว.jpg
      ว.jpg
      ขนาดไฟล์:
      423.8 KB
      เปิดดู:
      53
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    การที่มีผู้ปฏิบัติแบบ ธรรมกาย แล้วได้ผลของสมาธิ เห็นดวงเห็นกาย 18 กาย แล้วไป ฝึกแบบมโนมยิทธิต่อ ส่งใจไปใน ที่ต่างๆ ได้ เมื่อปรารถนาดีกับ ผู้อื่นก็เอาธรรมะไปสอน แบบ เอาวิชชาธรรมกายปนผสมกับ ความรู้ของสายอื่นที่ตนฝึกฝนมา อยากทราบว่าจะมีผลเสีย กับผู้ฝึกและผู้สอนไหมครับ ?
    ตอบ:
    มีผลเสีย บอกซะเลยตรงๆ อย่างนี้ ก็คือว่า วิชชาธรรมกายมีแนววิธีปฏิบัติไป อย่างที่พูดนี่ มันไม่ต้องผสม อะไรอีกแล้ว ถ้าไปผสมจะยุ่ง เลย ทำให้ตัวเองไม่ก้าวหน้า และทำให้อาจจะเห็นผิดเพี้ยนได้

    ตรงนี้นี่ท่านไม่รู้


    ความเห็นที่ถูกต้องน่ะ มันต้องใจหยุดนิ่งสนิท และก็ดับหยาบไปหาละเอียด หรือเรียกว่าทำ “นิโรธ” ดับสมุทัย คือ ละอกุศลจิตของกายในภพ 3 เพื่อกำจัดกิเลสมาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อภิสังขารมารที่ปรุงแต่งในใจ
    คนมีฌานน่ะ จะคิดให้เห็นกวางเต็มวัดนี่ก็ยังได้เลย ต้องเข้าใจนะ เพราะฉะนั้น การเห็นนี่ปรุงแต่งได้ จิตกระดิกปรุงแต่ง ก็เห็นได้ตามใจนึกเลย
    แต่วิชชาธรรมกายสอนให้ไม่ปรุงแต่ง ด้วยการดับหยาบไปหาละเอียดอยู่ตลอดเวลา เป็นนิโรธ คือดับสมุทัย การรู้เห็นสภาวธรรมและสัจจธรรม จึงแม่นยำ


    แต่ถ้าวิธีปฏิบัติเพี้ยนไป ผลคือ การรู้เห็นมันก็เพี้ยน แต่ตัวเองไม่รู้ว่ามันเพี้ยน
    มันเหมือนกันอย่างนี้โยม เหมือนว่าเรามีแกงอย่างดีอยู่แล้ว มีคุณค่าของอาหารครบถ้วนดีอยู่แล้ว คือทั้งสมถะวิปัสสนาไปจนถึงนิพพานแล้ว แล้วอยู่ๆ โยมก็ บอกว่า เออ เคยตำส้มตำกินกับข้าว เพราะฉะนั้น ถ้าว่ามารู้วิธีแกงอย่างดี มีอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนแล้ว ถามว่า จะผสมกับส้มตำกิน แล้วก็แจกคนอื่นกินน่ะ ดีไหม อาตมาก็ต้องบอกว่าไม่ดี ยิ่งเป็นส้มตำใส่ปูดองปลาร้าดิบ ที่มันเคยว่าอร่อยน่ะ มันเป็นพิษเป็นภัยได้ เราไม่รู้ตัว
    ถ้าเราเป็นพระอรหันต์แล้ว เราจะสอนอย่างไรก็สอนไปเถอะ ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ อย่าเพิ่งมั่นใจการรู้เห็นว่าเป็นอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์
    ในข้อที่ว่า ถ้าเรายังไม่แจ่มแจ้งถึงที่สุดในเรื่องนั้น ก็อย่าเพิ่งวางใจนั้น อาตมาเองนี่นะ จะบอกโยม ไม่ว่าจะรู้อะไร เห็นอะไร โดยเฉพาะเรื่องการรู้เห็นน่ะ อาตมาไม่เคยเอามาเล่ากันว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้แน่ ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ไม่มี เพราะอะไร? เพราะเรายังไม่ใช่พระอรหันต์ ญาณทัสสนะยังไม่บริสุทธิ์พอ เห็นจึงสักแต่เห็น รู้จึงสักแต่รู้ เอามาเพียงเป็นเครื่องพิจารณาสภาวธรรม ให้จำไว้ ให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เท่านั้น ให้เป็นศีล สมาธิ ปัญญา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา ธรรมโคตรภู โสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหัต ไปถึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เดินทางนี้ไว้ ไม่ลอกแลกวอกแวกโวเว ไม่ไปดูโน่นดูนี่โดยไม่จำเป็น แต่ว่ามันต้องรู้ต้องเห็น ดูนรก สวรรค์ ดูครั้งเดียวก็รู้แล้ว [ไม่ต้อง]ไปดูอะไรบ่อยๆ ก็รู้อยู่แล้ว
    เพราะฉะนั้นกิจที่อาตมาทำ คือกิจชำระกิเลส
    จริงอยู่ ท่านก็บอกว่า ก็นี่เป็นกิจชำระกิเลสเหมือนกัน ผสมกัน แต่มันเหมือนกับเอาส้มตำมาผสมกับแกง แล้วถ้าแกงนั้นน่ะ ใส่ปูดองด้วย ใส่ปลาร้าดิบด้วย เผลอๆ มันอาจจะเป็นโทษได้
    นั่นที่อาตมาพูดไม่ได้หมายความว่า วิธีที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านสอนผิด ท่านไม่ได้สอนผิด แต่ลูกศิษย์ยังมือไม่ถึง นี่ตรงนี้คือที่อาตมาพูด อย่าไปหลงตัวเองว่าถึงแล้ว เก่งแล้ว มันไม่เก่งจริงๆ หรอก และถ้ามันผสมกันอย่างนั้นน่ะ มันวุ่นวายในใจเราเองว่า ธาตุธรรมมันปนเป็นกันหมด ทั้งเห็นจริงบ้าง ทั้งถูกหลอกให้เห็น เหมือนจริงแต่ไม่จริงบ้าง มันไม่ได้เรื่องละ เข้าใจไหม?
    เพราะฉะนั้น อันนี้ปฏิบัติหรือทำอะไรก็ให้มันดิ่งถึงที่สุด คือ ให้มันเสร็จไปซะอย่างหนึ่ง เพราะ “มโนมยิทธิ” ก็บอกอยู่แล้วว่า “อิทธิฤทธิ์ทางใจ” ไม่ใช่ไม่ดี ดีทีเดียว แต่เป็นเบื้องต้น การรู้เห็นใช่ว่าจะบริสุทธิ์ผ่องใส ถูกต้องเป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์ ใช่หรือไม่ใช่ อาตมาเองไม่กล้ารับรองนะ และใครกล้ารับรองล่ะ? แม้ในวิชชาธรรมกายน่ะ ตัวเองยังไม่กล้ารับรองตัวเองเลย
    ทำไม? ไม่ได้กลัวว่ามันไม่ถูกทางน่ะ กลัวว่าตัวเองจะไม่บริสุทธิ์พอ กลัวว่าพูดไปแล้วจะผิดได้
    เพราะฉะนั้น วัดนี้จึงไม่ให้ผู้ปฏิบัติถึงธรรมกายพยากรณ์ยังไงล่ะ ไม่ต้องพยากรณ์ ให้เห็นสักแต่เห็น รู้สักแต่รู้ เป็นสักแต่เป็น นี่คือจุดยืนของผู้ ปฏิบัติที่วัดเรา
    รู้เห็นแล้วก็ปล่อยก็ละไป เราก็ทำภาวนาของเราต่อไป ชำระกิเลสของเราเรื่อยไป เมื่อทางดีๆ มีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปปฏิบัติ ไปสอนเขาอีกตั้งหลายทาง ให้มันวุ่นวายอีกล่ะ เรื่องตรงนี้นี่สำคัญ
    เคยมีบางท่านครับ อาตมารู้จักด้วย เมื่อเขาได้เรียนรู้วิธีมโนมยิทธิมาก่อน เมื่ออาตมาสอนวิชาธรรมกายเบื้องต้น เขาก็เอาท่านผู้นั้นรับปฏิบัติได้ พอปฏิบัติเสร็จเบื้องต้น คือ ได้เห็นดวงเลย ต่อจากนั้นไปก็ไม่ทำแล้ว จะทำแต่มโนมยิทธิท่าเดียว ก็คลำอยู่ตรงนี้แหละ มันจะต่อไปไหนได้ล่ะ เราบอกเขาก็ไม่เชื่อ เพราะเขาบอกว่าเห็นนี่ และเขาก็เห็นว่า มันเห็นถูก แท้ที่จริงไม่ถูกหมดหรอกครับ ตราบใดยังไม่ใช่พระอรหันต์ อย่าไปนึกมั่นใจตัวเอง ยังเห็นไม่ถูกหมดหรอก แทนที่จะก้าวหน้าถึงนิพพาน ถึงทำวิชชาชั้นสูงได้ ไม่ไป มันติดขัดหมด วิธี สองวิธี สองระดับน่ะมันผสมกันไม่สนิทหรอก
    จริงอยู่ ข้อปฏิบัติ คือศีล สมาธิ ปัญญา แต่รายละเอียดมันไม่เหมือนกัน เหมือนอย่างทำอาหาร อาหารเหมือนกัน แต่อันหนึ่งส้มตำ อันหนึ่งแกง มันคนละอย่าง จะเอาอะไรก็เอาให้แน่นอน ให้ได้ดีสักอย่างหนึ่ง นี่ จำไว้นะ อันนี้ให้จำไว้
    ท่านผู้นั้นจนกระทั่งบัดนี้นะ ก็ไม่ยอมทำให้ตัวเองก้าวหน้า แล้วตัวเองก็รู้ด้วยว่า “ผมไม่ก้าวหน้า”
    มาสารภาพกับอาตมา “ผมก็ยังไม่ก้าวหน้า” เราก็บอกว่า “ไม่ก้าวหน้า แล้วทำไมไม่ทำตามที่บอกล่ะ?” เขาก็ไม่เชื่อเรานี่ เวลาเจริญภาวนาจริงๆ เขาก็เชื่อมั่นตัวเขา มันก็ไปลงปล่องเก่าอีกนั่นแหละ
    การช่วยคนอื่น ถ้าจะพูด แบบว่าอาตมามั่นใจนะ แต่ก็อยากจะเพียงให้ฟังไว้เฉยๆ
    เรื่องช่วยคนน่ะ ไม่มีวิธีไหนจะสูงเกินไปกว่าวิชชาธรรมกายหรอก บอกไว้ได้เลย วิชาอื่นเขาก็ทำได้ แต่ก็ทำได้ในจุดหนึ่ง ระดับหนึ่ง แต่วิชชาธรรมกายนี่ ทำไปแล้วก็ดับหยาบไปหาละเอียด ชำระธาตุธรรมของตนเองให้บริสุทธิ์ต่อไป ทำวิชชาได้ผลสูงด้วย แล้วก็ดับหยาบไปหาละเอียด ทำ “นิโรธ” กำจัดกิเลสด้วย
    ทีนี้ ก็มีคนถามว่า ถ้าเช่นนั้น พวกปฏิบัติธรรมกายก็เป็นอริยเจ้า เป็นพระอรหัตอรหันต์กันหมดแล้วซิ? ก็บอกแล้วว่าอยู่ที่อธิษฐานบารมี ใครอธิษฐานเท่าไรมันได้ตามนั้น แล้วจะไปโทษเขาว่า เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้ เหมือนผู้ที่ถามเรื่องพระธาตุ เมื่อวานนี้ บางท่านอธิษฐานบำเพ็ญบารมีไว้สูง ท่านก็ยังต้องบำเพ็ญบารมีมาก เพราะเมื่อบรรลุโมกขธรรมแล้วมัน หมายถึงทำคุณประโยชน์แก่สัตวโลกได้มาก ก็เหมือนว่าบุญบารมีของท่าน เหมือนภาชนะที่จะรองรับน้ำฝน มันต้องกว้างใหญ่ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องพระธาตุที่พูดนี่ ในสายธรรมกายเราจึงไม่ค่อยได้ยินกัน เพราะว่าเห็นว่ามรณภาพทีไร ก็เอาอังคารไปลอยกันหมด ลงทะเลไปหมด ที่พอรู้จักคนสองคนนะ ไปลอยอังคารหมด ไม่เห็นเอามาเก็บไว้ดู ก็เพราะเขาไม่ได้สนใจกัน นี่ข้อหนึ่ง
    นี่ยังบ่นๆ พวกเรา ลูกศิษย์ของเรา บางคนระลึกชาติถอยหลังหน่อย เห็นเคยเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกกัน เห็นยึดติดกันนุงนัง ก็เลยดุไปหลายวันแล้ว เห็นไหมล่ะ ไปยึดติดทำไม ต้องปัจจุบันธรรมนี่ ทำให้มันดี ให้มันละ ให้มันวาง นี่แหละคือการปฏิบัติ ถูกวิธี แม้แต่พวกเรากันเองก็ยังไม่เข้าใจซักที บางทีดื้อด้วย ดื๊อ แล้วคนที่ดื้ออาตมาน่ะ ไปๆ ละก็เพี้ยนนะจะบอกให้ บอกให้ หยุดในหยุดกลางของหยุด ให้เข้ากลางของกลาง ดับหยาบไปหาละเอียดไว้เสมอ นี่ บางคนนะไม่ใช่เรื่องเท่านี้ ทำอย่างอื่นไปอีก บางคนก็ไปเอาโน่น พ่อแม่ ปู่ย่า ตา ยาย ที่ตายแล้วก็เอามาซ้อน เอ้าซ้อนๆ เข้ามาแล้ว
    ตัวเองธรรมะยังไม่แก่กล้า พอกลั่นธาตุธรรมตนเองให้บริสุทธิ์ผ่องใสไม่ได้ ละลายธาตุธรรมไม่เป็น ทำนิโรธไม่เป็น ก็ติดอยู่ พอติดอยู่ ภาคมารก็แทรกและยึดธาตุธรรมที่สุดละเอียดเลย ภาคมารแทรกแล้วเป็นยังไง? อาตมาจะไม่พูด เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้นั้น อาตมารู้ อาตมาบอกแล้วไม่เชื่อละก็สวัสดี ไปไม่รอด
    เพราะจริงๆ แล้ว ปฏิบัติเพื่อละวางอุปาทานนะ คำว่า “หยุด” นี่เขาให้ปฏิบัติเพื่อให้หยุดทำชั่ว ให้หยุดปรุงแต่ง ไม่ต้องติดอะไร ถ้าหยุดแล้วกลับ ติด จะไปหยุดหาลิงอะไร? เอ้า! ถ้าหากมันยังโง่นัก ก็ยึดให้เหมือนลิงติดแหไปเลย ให้มันติดนุงนังไปเลย จะได้ไปอบายภูมิสะดวกๆ
    เพราะฉะนั้น ปฏิบัติธรรม ต้องเข้าใจนะว่าปฏิบัติไปทำไม ปฏิบัติไปเพื่อละวาง ละวางกิเลสในใจเรา ปล่อยความยึดติด อย่าให้มี แต่ให้รู้ทางปฏิบัติตามที่เป็นจริง ว่าอะไรคือทาง เดินตามทางที่ครูอาจารย์สอน ตามธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ทำไปเถอะ ไม่เสียผล ไม่ผิดทาง
    แต่บางคนไม่ยอมเชื่อ บางคนบางที่ประสาทกิน ทุกสำนักนั่นแหละ ถ้าปฏิบัติผิดทางก็อาจประสาทกิน แต่ถ้าทำถูกทางก็ดี แบบวิชชาธรรมกายนะ ทำให้ถูกตามนี้ อย่าเบี้ยว อย่าหลงผิดทางนะ ไม่มีเป็นโรคประสาทหรอกครับ ที่เคยเป็นก็ต้องหาย แต่ที่มันเป็น [โรคประสาท] น่ะก็เพราะว่า ปฏิบัติเพี้ยนผิดทาง ไปยึดไปติดวิธีปฏิบัติผิดๆ เข้า แม้แต่เรื่องการรู้เห็น บางคนบอกเห็นโน่นเห็นนี่ เห็นสารพัด เอ้อ เห็นก็ช่างเห็นเถอะ เอา 18 กายนี่ให้มันตลอดปลอดภัย ให้ถึงธรรมกายแล้ว ก็ให้เป็นธรรมกายดับหยาบไปหาละเอียด ให้บริสุทธิ์ ใส สว่างอยู่เสมอ รับรองไม่มีโทษ ดีอย่างเดียว โรคภัยไข้เจ็บยัง แถมหายด้วย จะเหลืออยู่ก็เล็กน้อยเต็มที
    นี่อาตมาบอกอย่างนี้ แต่ถ้าไปทำอย่างอื่น เห็นอย่างอื่น แล้วไปยึดไปเกาะกันแต่เรื่องผิดๆ แล้วก็นั่นละ สวัสดี
    ก็ขอบอกแนะนำตักเตือน กันไว้นะ
    เพราะฉะนั้น ที่ว่าไปเอาวิธีปฏิบัติหลายอย่างมาแล้วผสมกันน่ะ อาตมาให้ท่านนึกเอาก็แล้วกัน เหมือนว่าแต่ก่อนเคยตำส้มตำ กินกับข้าวเหนียวกับไก่ย่าง แต่บัดนี้รู้วิธีทำแกงอย่างดี มีคุณค่าอาหารครบถ้วนดีอยู่แล้ว แทนที่จะทำให้ก้าวหน้าต่อไป ให้ร่างกายมันสมบูรณ์ปราศจากโรค กลับไปเอามาผสมกันซะนี่
    ถ้าเป็นระดับครูอาจารย์ เป็นพระอริยเจ้าล่ะก็ไม่ต้องห่วง ครูอาจารย์ระดับสูงเราไม่ต้องห่วงท่าน ท่านแจ๋วอยู่แล้ว แต่ลูกศิษย์น่ะมันเท่าครูหรือเปล่า?
    ถามตัวเองเสียก่อน ใช่ไหมล่ะ เมื่อไม่เท่า อะไรผิดอะไรถูก ตัวเองยังไม่แจ่มแจ้ง ผิดหรือถูก บางทีก็ไม่รู้ แต่ว่าเห็นนะ ไม่ใช่ ไม่เห็น เห็นนะ แต่อาตมาจะบอก ว่าการเห็นนี้นะ ไม่เชื่อ[ก็]ให้ผู้ปฏิบัติถึงธรรมกายนี้แหละ ลองทำดูซิ ให้แม่ชีจันดีนั่นแหละ ลองนึกให้ควายเต็มวัดเลย ลองนึกซิ เดี๋ยวก็เห็นตามใจนึกนั่นแหละ เพราะมันเป็นฌานน่ะ เป็นฌานจิต ก็มีความปรุงแต่งได้ เป็นอภิสังขารมาร ปรุงแต่งได้ มันก็เห็นตามใจนึกได้
    เพราะฉะนั้น เขาจึงบอกให้ละวางอุปาทาน ให้เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ให้หยุดในหยุดกลางของหยุด และให้ดับหยาบไปหา ละเอียดเพื่อหยุดความปรุงแต่ง จึงจะเข้าถึง และเป็นองค์พระธรรมกายใสบริสุทธิ์มีรัศมีสว่าง
    เท่านี้แหละ อาตมารับรองว่าไม่มีเสียหาย มีแต่ดีกับดีอย่างเดียว เข้าใจนะ.

    WVXlSYysr41Vz6BJ_fy7iTQXyeJ5G&_nc_ohc=pbHhwjMMNooQ7kNvgFcJQfY&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    #วิชชาธรรมกายเหตุไรจึงหายสาบสูญไป และหลวงพ่อสดค้นคว้ากลับคืนมาจากไหน ?
    ตอบ:

    วิชชาธรรมกายในคัมภีร์มิได้หายสาบสูญ แต่คนปฏิบัติไป ค่อยๆ ข้ามเรื่องนี้ไปทุกที เพราะเหตุไร อันนี้ก็เป็นไปตามธรรมชาติของการบำเพ็ญบารมีสร้างสมอบรมของสัตว์โลก ที่ว่ายิ่งนานยิ่งห่างจากต้นเดิมคือพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่ทรงคุณธรรมสูง ได้แก่พระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทาเป็นต้น ยิ่งห่างออกไป การปฏิบัติของสัตว์โลกก็ยิ่งคลาดเคลื่อนหรือจืดจางจากคุณธรรมที่ปฏิบัติได้ นี่กล่าวโดยส่วนรวมส่วนเฉลี่ย ที่จะลดลงเป็นธรรมชาติ เรื่องนี้เป็นธรรมชาติ
    ที่ว่าหายสาบสูญ ก็ไม่ได้หายไปไหน ในคัมภีร์มีอยู่ เมื่อท่านได้รับนิพพาน 3 นัย ท่านจงอ่านดู มีอยู่ในคัมภีร์ครบถ้วน แต่ว่าผู้ปฏิบัติรู้เห็นและเป็นค่อยจางไป น้อยไปตามลำดับ ถ้าจะพูดในลักษณะของวิชชาชั้นสูง ก็คือ ภาคมารเขาปิดบัง มารคือกิเลสตั้งแต่อวิชชาเขาปิดบังมากขึ้น เพราะผู้ปฏิบัติที่ห่างจากต้นตอพระศาสนา คือพระพุทธเจ้าและจากพระอรหันต์ขีณาสพที่ทรงคุณวิเศษ มันห่างออกไปทุกทีๆ ทั้งพระธรรมพระวินัยก็ย่อหย่อนไป เปิดช่องให้ภาคมารมาสกัดกั้นมากขึ้น มารคือกิเลสในแต่ละบุคคล เป็นไปตามธรรมชาติ ยิ่งห่างไกลจากพุทธกาล ก็ยิ่งเป็นอย่างนี้ คัมภีร์มีจึงอ้างถึงได้
    หลวงพ่อสดค้นคว้ากลับคืนมาได้จากไหน จากภาวนามยปัญญานี้แหละ ภิกษุสามเณรเรียนแต่ภาคปริยัติ และถ้าหากไม่ใส่ใจในการปฏิบัติ ถึงจะฉลาดเก่งกาจเพียงไหน ก็เป็นปัญญาที่เกิดและเจริญขึ้นได้แต่เพียงสุตมยปัญญา และจินตมยปัญญา มันไม่ละเอียดสุขุมลุ่มลึกลงไปถึงแก่นแน่ชัด หรือชัดแจ้งจากการที่ได้ทั้งเห็นทั้งรู้
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตัวอย่างไว้แล้ว คือ พระองค์เองตรัสรู้ก็เพราะเห็น เห็นแล้วจึงตรัสรู้ ทรงแสดงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า จกฺขุ ํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ (อาโลโก อุทปาทิ)
    ถ้าว่าได้ปฏิบัติเพื่อเจริญปัญญาด้วยภาวนามัย ปัญญาย่อมแจ้งชัด ละเอียดสุขุมลุ่มลึก ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักทำนิพพานให้แจ้ง อันนี้ไม่ค่อยนำมาพูดกัน แต่หลวงพ่อวัดปากน้ำปฏิบัติดำเนินตามแนวนั้น เริ่มตั้งแต่เข้าสมถะเต็มรูปแล้วจึงวิปัสสนาเป็นชั้นไปว่ามหาสติปัฏฐาน 4 เบื้องต้นเป็นอนุวิปัสสนา เมื่อถึงธรรมกายแล้วจึงพิจารณาเห็นอริยสัจ ทุกขสัจ สมุทัย นิโรธสัจ นิโรธต้องสัมผัส ต้องได้อารมณ์พระนิพพาน มรรคสัจจึงจะเกิดและเจริญ
    หลวงพ่อสดได้ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ ในลักษณะนี้ ในทำนองนี้ ก็ได้เห็น แล้วจึงรู้อย่างนี้ หลวงพ่อสดศึกษาคัมภีร์มาก ฝึกปฏิบัติหลายครูหลายอาจารย์ หลายสำนัก แต่ว่าท่านปฏิบัติไปด้วยบุญบารมีของท่านที่ได้ความรู้จากทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายปริยัติด้วย ท่านเรียนภาคบาลีสูง ผมได้ยินพระมหาเถระฝ่ายปริยัติว่าท่านสอนได้ถึงประโยค 7 คือสามารถสอนได้ เพราะสอนแปลได้
    เพราะฉะนั้น การได้สมณศักดิ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เขาถึงให้พัดฝ่ายวิปัสสนาถึงราหูใหญ่ เทียบความรู้เปรียญธรรม 4 ประโยค เป็นหลักเกณฑ์การถวายพระสมณศักดิ์แก่หลวงพ่อ หลวงพ่อจึงได้พัดยศฝ่ายวิปัสสนาที่เทียบได้กับการสำเร็จเปรียญธรรม 4 ประโยค เป็นราหูใหญ่ เป็นที่แน่นอน แปลว่าได้จากการปฏิบัติวิชชาธรรมกายได้แท้ๆ เข้าไปถึงไปรู้ไปเป็น และมาถึงบางอ้อในคัมภีร์ที่เคยผ่านมาแล้ว



    หลวงป๋า
    ตอบปัญหาธรรม
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    #มีคนบอกว่าคนนั่งธรรมกายเหมือนยังติดอยู่ในรูป
    #ไม่สามารถจะหลุดพ้นได้นั่นจริงหรือไม่ ? อย่างไรครับ



    ตอบ:
    ก็บอกแล้วว่า เขาไม่รู้ว่าติดรูปคืออะไร เพราะเขาไปเข้าใจเรื่องธรรมกายเป็นนิมิต และกระผมจะบอกให้ชัดเจนกันตรงนี้ พระคุณเจ้าโปรดทราบ โจมตีกันมานานแล้วว่า ธรรมกายวัดปากน้ำติดนิมิต ติดรูป กระผมอยากจะเรียนถามว่า มีอยู่ตรงไหนที่พระพุทธเจ้า ไม่ให้ใช้นิมิต มีไหม ! ใครเอามาแสดงให้ดูหน่อยได้ไหมครับ ผมจะประกาศให้ก้องทั่วโลก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ไม่มีใครเอาบทนี้มาดูเลย นี่ #เพราะฉะนั้น นิมิตนี่เป็นของต้องมี สมถภูมิ 40น่ะบอกไว้ชัดเจนเลย กสิณ 10 นี่มันชัดอยู่แล้วก็มันนิมิตอยู่แล้วนี่ จริงๆ แล้ว แม้ อนุสสติ 10 อสุภะ 10 ก็ต้องเห็นนิมิต แต่นิมิตที่เห็นอย่าง อนุสสติ นี่ยังไม่แท้ แปลว่า พิจารณาจริงๆ จะเอาแน่ๆ เช่น เอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าคนที่เห็นนิพพาน สัมผัสนิพพาน ซ้อนนิ่งอยู่กลางนิพพานทั้งรู้ทั้งเห็นและได้อารมณ์พระนิพพาน ส่งกระแสพระนิพพานมันผิดตรงไหน แต่นั่นนิพพานไม่เรียกว่านิมิต แต่ว่าสัมผัสได้ด้วยอายตนะที่ละเอียดเสมอกัน
    แต่เทวตานุสสตินี่มันชัดอยู่แล้วมันต้องเห็น แต่ไม่เห็นก็ได้ ก็นั่งท่องเอาว่าเทพยดามี เขาทำกุศลสำคัญ มีศีลกุศล ทานกุศล ภาวนา กุศล เป็นต้น เลยไปเกิดเป็นเทพยดา มีหิริโอตตัปปะ อย่างนี้ก็ได้...ก็ลองดูสิว่า ใจมันสงบได้เท่าไร กระผมว่าสงบได้นิดเดียว แต่ถ้าเป็นผู้สื่อกับเทวดาได้ โดยวิธีการที่ถูกต้องไม่ใช่โดยบังเอิญหรือถูกหลอก อันนั้นล่ะดีที่สุด เป็นนิมิตของจริงโดยสมมติ รู้เลยว่าเทวธรรมมีอะไร อย่างชัดเจนและถ้าคนถึงเทวกายได้เห็นเทพยดา ผมรับรองว่า สงบครับ..สงบแน่ ๆ เพราะขึ้นชื่อว่าสมถกัมมัฏฐาน ต้องสงบจากกิเสลนิวรณ์
    #ดังนั้น นิมิตคือ สื่อที่ทำให้ใจรวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกสิณ 10 อาโลกกสิณเป็นกสิณครอบจักรวาล เป็นกสิณกลาง ไม่ว่าบุคคลจะมีอัธยาศัยอย่างไรก็ตาม ใช้กสิณนี้กสิณเดียวครอบได้หมด ใช้แก้ไขป้องกันได้เลย กสิณก็คือนิมิตนั่นแหละ
    และแม้แต่คนที่ทำวิปัสสนาไม่ว่าจะสายไหนก็เอานิมิตทั้งนั้น ท่านสูดลมหายใจเข้าออก ท่องพุทโธๆ ไป พอจิตละเอียดหนักท่านเห็นอะไรล่ะ ให้ไปถามผู้ที่ถึงจุดนี้ได้ทุกคน..ก็เห็นดวงใสครับ กระผมเชื่อแน่และรับรอง 100% ว่าหลวงพ่อมั่นนี่ท่านเห็นดวงใส แล้วท่านก็เอาเข้ากลางดวงนั้น กลางของกลางดวงนั้น แต่ท่านปฏิเสธการเอาดวงออกนอก ท่านบอกมันไม่ถูกต้อง แต่ดวงใสอยู่ในใจของท่าน อยู่ศูนย์กลางข้างในกายท่าน พิจารณาเช่นนี้ครับ ทิพพจักขุ ทิพพโสต เกิดตรงนั้น เห็นแจ้ง เห็นชัด ก็เห็นจากตรงนั้น ไปถามเอาเถอะครับ
    ยุบหนอพองหนอ นั่งภาวนาก็เห็นครับ ทำไมจะไม่เห็น เห็นตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำไป ไปถามดูก็ได้ แต่ก็เห็นด้วยใจหรือจะพิจารณาอะไรก็ตาม ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เรารู้จักหรือไม่ก็ตาม นึกออกไปเห็น เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไม่ใช่นั่งท่องเอานะครับ เห็นน่ะนิมิตทั้งนั้น แต่ต้องเห็นด้วยใจ ทีนี้..นิมิตมันไปหมดตรงไหน ? ไปดูเถอะครับ ตำราวิสุทธิมรรค ท่านแสดงไว้ว่าเมื่ออริยมรรคญาณจะเกิดขึ้นปหานสังโยชน์กำลังแห่งสมถะและวิปัสสนา มีกำลังเสมอกัน จิตยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ในขณะเดียวกันปหานสังโยชน์กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลกได้ ได้ชื่อว่าท่านออกจากภาคทั้ง 2 คือสังขารนิมิตและตัณหาปวัตติ อุภโตวุฏฐานะ ไปดูได้ในปัญญานิทเทส ปวัตติ คือเครื่องปรุงแต่ง ก็ตัณหานั่นแหละหรือสัญโญชน์ อุภโตวุฏฐานะ คือออกจากภาคทั้ง 2
    ทีนี้ ออกจากสังขารนิมิตนี่ครับ วิชชาอื่นกระผมอธิบายไม่ได้เพราะไม่รู้จัก แต่วิชชาธรรมกายน่ะให้พิสดารกายสุดกายหยาบกายละเอียด จนจิตละเอียดหนัก สมถพละคือกำลังสมาธิ และวิปัสสนาพละมีกำลังเสมอกัน แล้วจิตยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ นี่พิสดารละเอียดไปจนจิตละเอียดหนัก จนวางอุปาทานในขันธ์ 5 ได้ชั่วคราว หรือ สำหรับพระอรหัตมรรคก็ต้องได้ถาวร หรือปล่อยความยินดีในฌานสมาบัติ ธรรมกายหยาบตกศูนย์ ธรรมกายละเอียดปรากฏเข้าไปในอายตนะนิพพาน หรือซ้อนเข้าไปในพระนิพพาน หรือปรากฏอยู่ในอายตนะนิพพาน ก็ได้อารมณ์พระนิพพาน นั่นจิตยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ จึงออกจากภาคทั้ง 2 คือ จิตละเอียดหนัก พ้น..หลุดจากสังขารนิมิต คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ในภพ 3 ตั้งแต่มนุษย์หยาบ มนุษย์ละเอียด ทิพย์หยาบ ทิพย์ละเอียด พรหมหยาบ พรหมละเอียด อรูปพรหมหยาบ อรูปพรหมละเอียด ไปจนสุดละเอียด จึงวางอุปาทานในขันธ์ 5 ได้เบื้องต้นในระดับโคตรภูญาณเป็นเพียงชั่วคราว แต่จะไปได้โดยเด็ดขาดตามระดับภูมิธรรม ที่ปฏิบัติได้ เมื่อมรรคจิตเกิดปหานสัญโญชน์ ได้ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ เช่น โสดาบันบุคคล ก็ปหานสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้ แล้วเข้าผลสมาบัติไปเลย ธรรมกายรู้เลยครับ เพราะมันดับหยาบไปหาละเอียด ส่วนหยาบเมื่อมรรคจิตเกิดสมบูรณ์ปหานสังโยชน์ นั่นธรรมกายมรรค เมื่อธรรมกายมรรคเกิดขึ้นธรรมกายผลก็ตามมาเลยชั่วขณะจิตเข้าผลสมาบัติ เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์ มันตรง..เข้าใจได้เลย ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก แต่ว่า..วิธีอื่น สายอื่น กระผมไม่เข้าใจว่าละสังขารนิมิตได้โดยวิธีไหน..ผมไม่ทราบ..ไม่เข้าใจเพราะฉะนั้นเรื่องนิมิตได้ โปรดเข้าใจได้เลยว่า พระพุทธเจ้าไม่มีตรัสไว้ตรงไหนเลยว่า..เธอ อย่าใช้นิมิต ถ้าใครเอามา ให้ผมดูสักนิดเถอะครับ
    หลวงป๋าตอบปัญหาธรรม
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    น้อมถวายความอาลัย สิ้นแล้วร่มโพธิ์ใหญ่ ศิษย์ก้นกุฎิหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ผู้สำเร็จธรรมขั้นสูง ละสังขารอย่างสงบ หลวงปู่ทองพูน อายุ 112 ปี
    หลวงปู่ทองพูน เขมเปโม แห่งสำนักปฎิบัติธรรมถ้ำจำปาทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี มหาเถราจารย์มากเมตตาบารมี สมถะสงฆ์ผู้มีจริยวัตรอันงดงาม อายุยืนยาว 112 ปี ศิษย์ก้นกุฎิหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านเดินธุดงค์มาค่อนชีวิต บำเพ็ญเพียรภาวนาภายในถ้ำมาเป้นเวลานานกว่า 40 ปี และเคยเข้าไปในโลกของชาวลับแลมาแร้ว แม้เมื่อปัจุบันท่านสร้างสำนักปฎิบัติธรรม ท่านก้ฝ็ยังอยู่ในถ้ำ
    หลวงปู่เป็นชาวอ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี. เกิดในสกุล"จันทร์นาค"เป้นยุตรคนที่4ในจำนวนพี่น้อง6คน ของนายเพิ่มศักดิ์และนางอบเชย(อังกินันท์)วัยเยาว์เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดไสค้าน จากนั้นได้บรรพชาสามเณรอยุ่กับพระพี่ชายที่วัดราษฎร์ศรัทธาราม อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี มรพระครูวิสุทธิเมธร(หลวงพ่อเวก)วัดศาลาหมูสี เป้นพระอุปัชฌาย์ โดยช่วงนั้นทางวัดได้นิมนต์พระอาจารย์จากวัดปากน้ำภาษีเจริญมาสอนกรรมฐาน
    ช่วงหนึ่งพี่ชายชวนท่านลาสิกขา แต่ใจของท่านชื่นชอบทางธรรม จึงตัดสินใจหนีออกมาอยุ่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้พบและศึกษาธรรมกับหลวงพ่อสดและอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดปากน้ำ โดยมีโอกาศไปเรียนหนังสือจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่โรงเรียนวัดประยุรวงศาวาส และสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค
    ต่อมาขณะมีอายุ 31ปี ท่านเกิดติดเชื้อไข้ป่าหรือไข้มาลาเรียจนขึ้นสมอง โชคดีที่แพทย์ช่วยรักษาไว้ทัน แต่ก้ทำให้สมองเสียหายบางส่วนส่งผลกระทบในเรื่องความจำ ท่านจึงตัดสินใจลาสิกขา รวมเวลาอยุ่ที่วัดปากน้ำ 22 ปี โดยหลวงพ่อสดได้สอนให้ท่านนั่งกรรมฐานมาตลอดตั้งแต่เป้นสามเณร โดยให้ใช้การบริกรรม"สัมมาอะระหัง"
    หลังลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตฆราวาส ทำไร่ทำนา พร้อมกับรักษาศิลด้วยความที่เป้นคนรักความยุติธรรม. ท่านได้ต่อสู้กับพวกอันธพาลคนเลวที่ชอบรังแกชาวบ้าน โดยท่านกล่าวว่า "อาตมาไม่เคยดื่มเหล้า ไม่เคยสูบบุหรี่ แต่เกลียดคนทำชั่ว"
    กระทั่งในปีพ.ศ.2520 ท่านได้ตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ณ.วัดบ้านหม้อ ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี พรรษาแรกผ่านไปท่านก้ออกแสวงหาที่สงบหลายแห่งโดยย้ายไปอยุ่วัดเขาเขียว แล้วไปอยุ่ที่ถ้ำเขาปิ่นทอง วัดถ้ำสิงโตแก้ว จนสุดท้ายมาอยุ่ที่ถ้ำจำปาทองเป้นเวลา 9 ปี
    หลวงปู่มหาทองพูนท่านเป็นศิษย์ 10 สายพระเกจิอาจารย์หรือที่ลูกศิษย์เรียกกันว่า"หลวงปู่ทองพูน 10 ทัศน์"ซึ่งส่วนมากเป้นอดีตเกจิอาจารย์ดังแห่งเมืองเพชรบุรี ประกอบด้วย
    1.หลวงพ่อสด จันทสโร วัดปากน้ำ สุดยอกพระอริยสงฆ์ที่คนทั้งประเทศรุ้จักดี หลวงปู่ได้รับการบวชเณรและบวชพระจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ พร้อมทั้งถ่ายทอดวิชายมหาโภคทรัพย์และธรรมกายชั้นสูงให้เรียกว่า ท่านสำเร็จธรรมกายและการลบผงมหาโภคทรัพย์ตามแบบฉบับหลวงพ่อวัดปากน้ำมาเนิ่นนานแล้ว โดยท่านอยุ่อุปัฎฐากและร่ำเรียนกับหลวงพ่อสดเป้นเวลายาวนานถึง 22 ปี ตั้งแต่ 9 ขวบถึง 31 ปี จนสามารถชักยันต์ลบผงและบรรจุวิชาสำเร็จ จึงได้ออกจากวัดปากน้ำไปแสวงหาพุทธาคมเพิ่มเติมโดยสืบสายพระเกจิหลายรูปซึ่งล้วนแล้วแต่เป้นญาติผู้ใหญ่ของท่านทั้งสิ้น
    2.สายพระเทพวงศาจารย์หรือหลวงปู่อินทร์ อินทโชโต วัดยาง อดีตเจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี เจ้าของวิชากระสุนหลงนะโมหัวช้าง ไม้สระแกตาบอด โดยหลวงปู่อินทร์มีศักดิ์เป้นหลวงลุงของท่าน
    3.สายพระครูสุชาตเมธาจารย์หรือหลวงพ่อกุน วัดพระนอน จ.เพชรบุรี. เจ้าของวิชาตะกรุดไมยราพสะกดทัพ และวิชาด้านคงกะพันต่างๆโดยเรียนจาก 2 ศิษย์เอกของหลวงพ่อกุนคือหลวงพ่อม่วง วัดหนองกาทองกับหลวงปู่โต๊ะ วัดท่อเจริญธรรม ซึ่งเป็นหลวงน้าของท่าน โดยสายนี้ท่านยังศึกษาเพิ่มเติมจากอาจารย์ฆราวาสซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่านคือปู่หมอหนู ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อกุนวัดพระนอน และหลวงพ่อชม วัดดอนกอก
    4.สายหลวงพ่ออบ อินทวิริโย วัดถ้ำแก้ว เจ้าของวิชาชาตรี โดยหลวงปู่ทองพูนมีศักดิ์เป็นหลานหลวงพ่ออบ
    5.สายหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง เรียนวิชานะปัดตลอด มหาอุตม์คงกระพัน จากหลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร
    6.สายหลวงพ่อพิมพ์(มาลัย มาลโย)วัดหุบมะกล่ำ จ.ราชบุรี เจ้าของวิชาเข็มทองคะนองฤทธิ์ สมัยหลวงพ่อพิมพ์อยู่วัดมาลัยทับใต้ได้ฝังเข็มทองให้หลวงปู่ด้วย
    7.สายหลวงพ่อชม วัดดอนกอก ศิษย์ผู้น้องของหลวงพ่อกุน วัดพระนอน เจ้าของลูกสะกดหมากทุย พระปิตตาคลุกรักวิชามหาอุตม์คงกระพันของท่าน นักเลงบ้านลาดต่างมีความเชื่อมั่นในพุทธคุณมาก ทางด้านคงกระพันชาตรี
    8.หลวงพ่อผิน วัดโพธิ์กรุ วิชาด้านคงกระพันแคล้วคลาด หลวงพ่อผินเป็นเพื่อนสนิทโยมพ่อของหลวงปู่
    9.สายหลวงพ่อเทพ วัดถ้ำรงค์ เรียนวิชามหาเมตตา เนื่องจากหลวงพ่อเทพเอ็นดูหลวงปู่มหาทองพูนตั้งแต่เป็นสามเณรติดตามพระครูวิสุทธิเมธี วัดหมูสี ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์บวชเณรครั้งแรงของหลวงปู่และเป็นเจ้าคณะแขวงเดินทางมาแต่งตั้งหลวงพ่อเทพเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำรงค์
    10.หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เรียนวิชาโพธิสัตว์ บารมีสิบทัศน์ สาริกาลิ้นทองจากหลวงพ่อเวก วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม(วัดศาลาหมูสี)ศิษย์เอกองค์หนึ่งของหลวงพ่อเงิน เนื่องจากเมื่ออายุ 8 ขวบ โยมย่าพาท่านมาบวชเณรอยุ่กับพระพี่ชายที่วัดศาลาหมูสี ทำให้ท่านสนิทกับหลวงพ่อเวกซึ่งจำพรรษาอยุ่ที่วัดนี้ ก่อนที่ปีต่อมาท่านจะหนีพระพี่ชายไปอยุ่วัดปากน้ำ และหลวงพ่อสดให้สึกและเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ใหม่ ภายหลังทุกครั้งที่หลวงปู่กลับมาบ้าน มักไปกราบไปนอนกับหลวงพ่อเวกเป็นประจำ
    หลวงปู่ทองพูน เขมเปโม สำนักสงฆ์ถ้ำจำปาทองมรณภาพโดยสงบ 26 กันยายน 2567เมื่อเวลา 23.33 น สิริอายุ 112 ปี


    ?temp_hash=6918750a8ae0bbfe86d05085eceb0c92.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    #ถ้าปฏิบัติถึงสุกขวิปัสสโกจะมีโอกาสถึงธรรมกายหรือไม่ ?


    ตอบ:

    ขึ้นชื่อว่าพระอรหันต์....เป็นธรรมกายทั้งหมดนะครับ
    ขึ้นชื่อว่ามรรค ผล นิพพาน ผู้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็นธรรมกายทั้งหมดครับ

    แต่เป็นธรรมกายมรรค ธรรมกายผล เพราะพระนิพพาน หรือพระอรหัต อรหันต์ท่านแสดงตนว่าเป็นธรรมกายอยู่ในเอกสารที่แจก อย่างน้อยเปิดดูเล่มสีส้ม ปกหลัง ดูสรภังคเถรคาถาว่า
    “พระพุทธเจ้าทั้ง 6 พระองค์ มีพระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันโธ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ เสด็จไปแล้วโดยทางใดแล พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ก็เสด็จไปโดยทางนั้น ทรงหยั่งถึงความสิ้นกิเลสเสด็จอุบัติแท้ โดยธรรมกาย”
    ท่านสรภังคเถระท่านกล่าวอย่างนั้น และท่านก็ว่าท่านก็บรรลุธรรมเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่า มรรค ผล นิพพาน เป็นธรรมกายทั้งสิ้น แต่ว่าบุคคลในปัจจุบันมองข้าม คำว่าธรรมกายไป แต่ที่กำลังจะเข้าถึงก็มี แต่ก็ไม่ชัดเจนว่า
    ธรรมกายสัมผัสได้หรือเปล่า? ธรรมกายสัมผัสได้ด้วยอายตนะที่ละเอียดเสมอกัน ทำไมจึงสัมผัสได้พระบาลีแสดงไว้แล้ว “อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ..” คือ บอกไว้เลยว่าอายตนะนิพพาน มีอยู่ เป็นที่สถิตของพระนิพพาน เมื่อขึ้นชื่อว่าอายตนะ แปลว่า สื่อถึงกันได้ 100% แต่ต้อง อายตนะที่ละเอียดเสมอกัน
    ผู้ที่ถึงธรรมกายแล้ว ที่จิตละเอียดนะครับ สัมผัสพระพุทธเจ้าได้ทุกคน และรู้ด้วยว่า พระพุทธเจ้ามีพุทธลักษณะอย่างไร สัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็งอย่างไร ละเอียดปราณีตหรือ หยาบอย่างไร แต่ว่าเราจะไม่ถามพระ แต่กับฆราวาสเราถามเขาได้ แต่ถึงอย่างไรเราห้าม มี กฎเกณฑ์ห้ามอยู่ว่าพระภิกษุอวดอุตตริมนุษยธรรมอันมีในตนกับอนุปสัมปันต้องปาจิตตีย์ ถ้าไม่มีอยู่แล้วอวดต้องปาราชิก โดยไม่ต้องอาบัติ เพราะฉะนั้นการพูดเรื่องอุตตริมนุษยธรรมมี ประตูออกทางเดียว คือพูดตามครูบาสั่งสอน และพูดเพื่อเป็นวิทยาทาน แต่ถ้าโอ้อวดแล้วละก็ เป็นอันว่าเดินใกล้ขอบนรกเข้าไปทุกทีๆ
    พระเทพญาณมงคล
    (หลวงป๋า)
    หลวงป๋าตอบปัญหาธรรม
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
    ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นพวกขาว กลางหรือดำ
    ก็สังเกตดูเอา ถ้าซื่อตรงนักปราชญ์ฉลาดใจบุญ ก็ให้รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของภาคขาว,
    ถ้าคดโกงเก่งกาจฉลาดใจพาล ก็ให้รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของภาคดำ,
    ถ้าไม่ตรง ไม่โกงนั่นก็เป็นเครื่องหมายของภาคกลาง …


    พระราชพรหมเถรวีระ คณุตฺตโม
     
  17. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    25
    ค่าพลัง:
    +29,754
  18. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,166
    กระทู้เรื่องเด่น:
    25
    ค่าพลัง:
    +29,754
    กำหนดนึกถึงความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
    โดยมีพระพุทธรูป หรือพระพุทธปฏิมากรนี้ เป็นตัวแทนความบริสุทธิ์ของพระบรมศาสดา
    เมื่อห้ามความคิดในชีวิตประจำวันไม่ได้ ท่านก็ให้มาคิดถึง พระพุทธเจ้าแทน โดยนึกถึงพระพุทธรูป
    พระพุทธรูปที่ทำด้วยเพชร แกะสลักด้วยเพชร ให้ใสบริสุทธิ์ นั่งเจริญสมาธิภาวนาอย่างนี้แหละ อยู่ในกลางตัวของเรา ขนาดใหญ่ เล็ก แล้วแต่ใจเราชอบ กำหนดนึกถึงพระแก้วขาวใสบริสุทธิ์ ตัวแทนของพระบรมศาสดา ให้นั่งขัดสมาธิภาวนา เช่นเดียวกับกายหยาบนี่แหละ อาราธนาให้สถิตย์อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗

    ถ้าไม่ฝึกจรดใจที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลา
    เวลานั่งใจจะรวมได้ช้า ต้องมัวปัดของเก่าออก ทำให้เสียเวลา
    ให้หมั่นตรวจดูตัวของเราเองอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้สิ่งที่เศร้าหมองเข้ามาเคลือบแคลงแฝงในจิตใจของเรา ให้ใจเราใส เยือกเย็น เข้มแข็ง มีกำลังอย่างไม่มีสิ้นสุด
    ต้องสังเกตไว้ให้ดีว่า ทำอย่างไรถึงจะเข้าถึงตรงจุดที่สบาย โล่ง โปร่ง เบา สังเกตแล้วทำให้ได้
    ให้หมั่นสังเกตว่าเรามีข้อบกพร่องอะไร ทำไมใจถึงไม่หยุด พบแล้วต้องปรับปรุงแก้ไข

    ที่มา
    https://web.facebook.com/profile.php?id=100085321347242&__cft__[0]=AZUBly8AZxhRnBzufdToSEoTsN8yKMMs7UeUff4AuAj1Q45MQxz8kvs4d-9fmlMjD96gj58dYu0wkvVuSjsBIjN_D6hjx7kSbuVOY_qY2Of-AwiTwDScEmUxTJ1AzIUnZsYxlNYRASeYC2-U_zv58WwaiDFWmaRiBMqiCZWNngTnpw&__tn__=-UC,P-R
    ************

    G_SIW9tyPyC7rhx6ZtlhzARooHyfl&_nc_ohc=9capd4KsydEQ7kNvgF3e1-d&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-6.jpg

    ?temp_hash=09420ff9c9f749b94ab483cfccf7aeac.jpg

    ?temp_hash=09420ff9c9f749b94ab483cfccf7aeac.jpg


    ?temp_hash=09420ff9c9f749b94ab483cfccf7aeac.jpg



    ?temp_hash=09420ff9c9f749b94ab483cfccf7aeac.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,135
    ค่าพลัง:
    +70,506
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...