หัวใจของพระพุทธศาสนา.... ความแตกต่างกับศาสนาอื่น ๆ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 4 ธันวาคม 2005.

  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    และการที่คนเรา จะมีความสนใจในธรรมะ ก็ย่อมต้องเข้าเขตปรมัตถบารมี แล้ว….

    บารมี มี 3 ระดับ คือ บารมีต้น บารมีกลาง และปรมัตถบารมี….
    (จะมีอธิบาย ในลำดับต่อไป ก็ลองไปพิจารณาเองว่า เราอยู่บารมีไหนแล้ว….)
    เมื่อถึงปรมัตถ์ จึงจะเกิด “ความศรัทธาแท้” ใคร่ที่จะอยากรู้ อยากฟังธรรมะ ….

    เรื่อง ความศรัทธา ก็ยังมีรายละเอียดแยกออกไป….

    องค์หลวงพ่อฯ ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้แบ่งความศรัทธา เป็น 2 อย่าง คือ….
    1. อธิโมกข์ศรัทธา เป็นความศรัทธาอย่างยิ่งในความเชื่อ เชื่อง่าย ใครพูดว่าอะไรดี ก็เชื่อไปทั้งหมด เชื่อโดยไม่ใคร่ครวญ

    ส่วนใหญ่บุคคลที่เป็นอธิโมกข์ศรัทธา ก็จะถูกหลอกลวงได้ง่าย หลงทาง ต้องเสียเวลา และสูญเสียเงิน เสียทอง

    ความศรัทธา ประเภทนี้ พระพุทธองค์ ไม่ทรงสรรเสริญ

    2. สัมปยุทศรัทธา เป็นความศรัทธา ที่เกิดขึ้น หลังจากการใคร่ครวญ คำนึงถึงเหตุ ถึงผล กันเสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อถือ

    ความศรัทธา อย่างนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญ….

    เพราะว่า แม้แต่คำสอนของพระองค์ ท่านก็ทรงบอกว่า ที่ท่านสอน ก็อย่าพึงเชื่อถือ….
    ให้นำคำตรัสสอนไปใคร่ครวญ และปฏิบัติให้มีผล ให้เห็นผล กันเสียก่อน

    แล้วจึงค่อยเชื่อถือ….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2006
  2. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    คำที่กระผมจะพูด จะกล่าวแสดงนี้ ก็เช่นกัน….

    ไม่ได้เป็นคำสอน…. ไม่ได้เป็นคำแนะนำ….

    เพราะว่า ถ้าหากจะหาคำสอน.. พระไตรปิฎก ก็มี หนังสือธรรมะ
    เทปธรรมะ ขององค์หลวงพ่อฯ ก็มีเยอะ….

    แต่ที่จะกล่าวแสดงนี้ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น ที่อยู่ในจิต ในใจ ตีแผ่ออกมา….
    ไม่ได้มุ่งหวังว่า จะสอนใคร ไม่คิดจะแนะนำใคร ๆ

    เพราะก็ไม่รู้ว่า คนที่อ่านอยู่นี้ เข้าในเขตของ กุศลกรรม หรือยัง ….
    ปรมัตถบารมี แล้วหรือยัง…. มีความศรัทธาแท้ กันแล้ว หรือยัง….

    ดังนั้น จึงเป็นเพียง นำประสบการณ์ที่เกิดจากการศึกษาธรรมะ….
    เมื่อศึกษาแล้ว มีความคิดเช่นนี้ ก็มาเล่าสู่กันฟัง….

    ท่านทั้งหลาย จึงต้องใช้การพินิจพิเคราะห์..
    และใช้ปัญญา ใคร่ครวญพิจารณา กันเสียก่อนนะครับ….
    เพราะว่ากระผมเอง ก็เป็นเพียงผู้เริ่มต้นบุญ เพียรสร้างบารมีอยู่ เช่นกัน….

    ความรู้ที่ได้รับมาจากองค์หลวงพ่อฯ เป็นความรู้ ความเข้าใจ
    เฉพาะในส่วนของตนเอง….ไว้สอนตัวเอง....

    ตัวเอง เข้าใจอย่างไร แล้วนำมาพูดต่อแนะนำต่อผู้อื่น เป็นสาธารณะ….

    ด้วยมุ่งหวังว่า อาจจะตรงใจใคร และอาจจะเป็นประโยชน์ได้บ้างสักเล็กน้อย ….

    แต่ทว่า หากมีข้อผิดพลาดไป ก็แสดงว่า....
    กระผม ผู้พูด ผุ้กล่าววาจาเช่นนี้ กล่าวผิดไปเอง….เพราะว่าเข้าใจผิดเอง

    ไม่ได้ มีส่วนเกี่ยวข้องถึงองค์หลวงพ่อฯ แม้แต่ ประการใด ทั้งสิ้น….
    ขออย่าได้กล่าวจาบจ้วงถึงพระเดชพระคุณฯ ท่านเลยขอรับ….

    (เพราะว่า องค์หลวงพ่อฯ ท่านก็ไม่ได้บอก ไม่ได้ใช้ให้ผม ออกมาพูด หรือกล่าวแสดง เช่นนี้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2006
  3. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    และหากคำกล่าวที่กล่าวแสดง เป็นอรรถ เป็นธรรม และมีประโยชน์
    ต่อท่านใด ท่านหนึ่ง….

    ก็แสดงว่า ความจำ และความเข้าใจ ของผู้กล่าวแสดง ก็พอที่จะมีอยู่บ้าง…
    ที่สามารถจำคำสอนสั่งของครูบา อาจารย์ มากล่าวแสดงได้ถูกต้อง….

    อย่างนี้ ก็ต้องนับเนื่องว่า เป็นคุณความดีของ ครูบา อาจารย์
    ที่สามารถนำพระธรรมคำตรัสสอน อันมากด้วยอรรถประโยชน์
    มากล่าวสอนให้ศิษยานุศิษย์รับรู้ และได้เข้าใจ….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2006
  4. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    กระผม ผู้กล่าวแสดง ย่อมยังไม่เข้าถึง ความเป็นพระอริยะเจ้า….

    จึงไม่ใช่ว่า ที่พูดแสดงมานี้ จะถูกต้องเสมอไป….

    เพียงแต่มั่นใจได้ว่า หากเราพูดตามคำสอนของพระมหาอริยเจ้า คือ….
    องค์หลวงพ่อฯ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    โดยไม่ได้ขัดแย้ง หรือคัดค้าน ส่วนหนึ่งส่วนใด….

    อย่างนี้ ก็พอที่จะเชื่อมั่นในจิต ในใจ ของตนเองได้ตามสมควรอยู่….


    และก็พอที่จะจำได้ว่า องค์หลวงพ่อฯ เคยพูดว่า….

    ถึงแม้เรายังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยะ แต่ก็สามารถแนะนำให้ผู้อื่น
    เข้าถึงความเป็นพระอริยะ ได้ ….

    หากว่า คำแนะนำนั้น เป็นธรรมบริสุทธิ์ กล่าวแนะนำตรง กับคำตรัสสอนที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสสอนไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2006
  5. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    เอาละครับ.. เรามาพูดถึง ข้อดี และหัวใจของพระพุทธศาสนา….

    จากที่ทุกท่านกล่าวมาทั้งหมดโดยธรรม ว่า ....
    สิ่งนั้น.. สิ่งนี้.. คือหัวใจของพระพุทธศาสนา….

    ผม มีความเห็นว่า.. ย่อมถูกต้อง.. เป็นข้อเท็จจริง ทุกประการ….

    เพราะว่า คำตรัสสอน 84,000 พระธรรมขันธ์ นั้น มีความละเอียด คัมภีรภาพ….
    และครอบคลุม จริต และวิสัย ของบรรดาผู้คน ไว้อย่างครบถ้วนแล้ว….

    ดังนั้น ส่วนหนึ่งส่วนใดของ 84,000 พระธรรมขันธ์….
    ที่แต่ละบุคคลรัก ชอบ และนำไปปฏิบัติ จนสามารถเข้าถึง “พระนิพพาน”ได้….

    ตรงนั้น ก็คือ “หัวใจของการปฏิบัติ” ในพระพุทธศาสนา ด้วยกันทั้งนั้น....

    หากพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่า การสอนถึงพระนิพพาน....

    ก็คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา หรือ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2006
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ที่กล่าวว่า ข้อเด่นของพระพุทธศาสนา คือ เรื่องสอนถึง “พระนิพพาน” นั้น

    ผม ก็น้อมยอมรับว่า เป็นความจริง….

    แต่ทว่า ตามความเป็นจริงแล้ว “พระนิพพาน” นั้น คือ “เป้าหมาย”
    ของทุก ๆ ศาสนา ทุก ๆ ผู้คน ทุกจิตวิญญาณ

    หมายความว่า ทุก ๆ คน ไม่ว่าศาสนาใด หรือ แม้กระทั่ง สัตว์นรก เปรต อสุรกาย
    สัตว์เดรัจฉาน และ เทพ พรหม ทั้งหลาย ทั้งสิ้น ต่างก็มี “เป้าหมาย” เดียวกัน ทั้งนั้น ….

    เพียงแต่ ตามภพภูมิ วิสัย และบารมี ยังไม่ถึง....
    ยังมองไม่เห็นแนวทาง หรือวิถีทาง เท่านั้นเอง….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2006
  7. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    หากจะเปรียบเหมือนกับว่า…

    “พระนิพพาน” คือ "การเรียนจนกระทั่ง จบปริญญา"
    ซึ่งทุก ๆ คน จะต้องจบปริญญา ให้เหมือนกันทั้งหมด….

    ผู้ที่เรียนระดับชั้น ป.2, ป.4 ย่อมที่จะมีภูมิความรู้ ไม่เท่ากับ
    ผู้ที่เรียนในระดับอนุปริญญา หรือเตรียมที่จะจบปริญญา

    “พระพุทธศาสนา” ก็เปรียบเสมือนว่า ครูผู้สอนกำลังอธิบายเนื้อหา
    ในหลักสูตรของปริญญาต่าง ๆ มาสอน มาแสดง ให้กับผู้ที่กำลังเรียน
    และผู้ที่กำลังจะจบหลักสูตรของปริญญา นั้น ๆ

    อย่างนี้ “พระนิพพาน” ก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับบุคคลที่กำลังเรียนอยู่
    ในระดับที่รับความรู้นั้น ๆ ได้

    สำหรับท่านที่กำลังเรียนในชั้น ป.2, ป.4 หรือ ป. อื่น ๆ
    ก็ย่อมที่จะยังยากที่จะเข้าใจ ในเนื้อหา ของหลักสูตร

    แต่ทว่า วันหนึ่งข้างหน้าโน้น….ผู้ที่เรียนในระดับชั้น ป.2, ป.4 หรือ ป. อื่น ๆ
    ก็จะต้องเรียนต้องจบปริญญาเหมือนกัน ก็จะง่ายสำหรับพวกเขา ในวันข้างหน้า....

    หากบอกว่า “พระพุทธศาสนา” มีข้อเด่น คือ เรื่องสอนถึง “พระนิพพาน” นั้น

    ก็จะสรุปได้ว่า ทุกคนก็ต้องบำเพ็ญบารมี ตามแต่ละบุคคลไป….
    แล้ววันหนึ่งข้างหน้า ท่านเหล่านั้น ก็จะได้พบกับ “พระพุทธศาสนา” ด้วยกันทั้งนั้น….

    ก็ขึ้นอยู่กับว่า ในขณะที่บำเพ็ญบารมีต้น บารมีกลาง และปรมัตถ์ นั้น
    ได้ตั้งความปรารถนาติดตาม “ใคร”ที่เป็นหัวหน้า
    และ “หัวหน้า” นั้น ก็จะมาบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า

    มาตรัสรู้ และสั่งสอนบุคคลที่เนื่องกับท่าน ให้เจริญสู่ “พระนิพพาน” นั้น แล.
     
  8. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ในเรื่อง “พระนิพพาน” ก็จะพอสรุปได้ว่า....

    ต่างก็เป็น “เป้าหมายสุดท้าย” ของทุก ๆ คน

    แต่ทว่า แต่ละบุคคล แต่ละศาสนา เขาจะมีบารมีที่จะเข้าใจในเรื่อง “พระนิพพาน”
    กันหรือยัง

    ตรงนี้ ก็สรุปได้ว่า…. ก็ต้องเป็นไปตามบุญ บารมี….

    บารมี ของคนเรามี 3 ระดับ ตามระยะเวลาที่เกิดมาบำเพ็ญบารมี….

    เรื่องนี้ หากจะให้ชัดเจนก็จะยาวมาก….
    แต่ก็เคยได้โพส ไว้แล้ว ที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า….
    ดูรายละเอียด ได้ที่ กระทู้....

    วิสัยการปรารถนา และการปฏิบัติ เพื่อพุทธภูมิ….
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=16896
     
  9. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    บารมีต้น ของพระองค์ บำเพ็ญด้วย “จิตใจ”
    คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต อยู่ถึง 7 อสงไขย

    บารมีกลาง(อุปบารมี) บำเพ็ญด้วย “การเอ่ยวาจา”
    อธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต อยู่ถึง 9 อสงไขย

    บารมีขั้นสูง(ปรมัตถบารมี) บำเพ็ญด้าย กาย วาจา และใจ อยู่ถึง 4 อสงไขย
    กำไรแสนกัป

    หากพวกเราที่ปรารถนาเพียง “สาวกภูมิ” ก็ต้องบำเพ็ญบารมีนามให้ได้เกิน 1 อสงไขย
    กำไรแสนกัป….

    ห้วงระยะเวลา 1 กัป และ 1 อสงไขยกัป นานเพียงใด ก็มีรายละเอียดอยู่ใน Link ที่อ้างถึงข้างบนนี้แล้ว ….(โพส ที่ 109)
     
  10. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    แต่ถึง จะเป็นเพียงสาวกภูมิ ก็ยังคงต้องแบ่งเขตเป็น บารมีต้น กลาง
    และปรมัตถ์ เช่นกัน….

    ลองสังเกต “ตัวเรา” ด้วยตัวเราเองว่า เราอยู่ในบารมีใดแล้ว ดังนี้….

    บารมี(กำลังใจ) ของคนเรา มี 3 ระดับ ด้วยกัน….
    คนเราจะให้ดีพร้อม ให้ยอมรับนับถือธรรมะ เหมือนกันไปทุกคน ย่อมเป็นไปได้….
    ลองพิจารณาตัวเราเองซิครับว่า ตัวเรานั้น อยู่ตรงไหนของหัวข้อต่อไปนี้….

    1. บารมีต้น..บางคน เมื่อเราบอกให้ทำบุญทำทานบ้างซิ จะได้มีความสุข ร่ำรวย….
    ก็ไม่เอา ไม่เชื่อ จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อต้องควักเงินทำบุญ มันต้องเสียเงินแหง ๆ
    เสียเงินนะ ไม่ใช่ได้เงิน แล้วมันจะทำให้รวยได้อย่างไร อย่างนี้ก็มี....

    2. อุปบารมี-บารมีกลาง บางคน เมื่อเราบอกให้ทำบุญ ก็ทำบุญ เพราะเริ่มเชื่อบางแล้ว บอกจึงจะทำ….

    แต่ พอบอกให้รักษาศีลซิ จะทำให้ยิ่งมีความสุข ยิ่งรวย เข้านิพพานได้ง่าย ….
    ก็บอกว่า มันยาก มันต้องยังประกอบอาชีพ ยังจำเป็นต้องโกหก….
    ต้องมีสังคม ต้องดื่มเหล้า จิปาถะฯ (อ้างอย่างนี้ก็เยอะ)

    3. ต้น ๆ ของปรมัตถบารมี บางคน เมื่อบอกให้ทำบุญ เขาก็ทำบุญ เมื่อบอกให้รักษาศีล ก็ยินดีรักษาศีล

    แต่ พอบอกให้ลองทำสมาธิ ลองเจริญภาวนาดูบ้างซิ ….
    ก็บอกว่า ยังยากเกินไป ยังทำไม่ได้ โลกนี้ยังสวยงาม ยังอยากรวยอยู่ ….

    ปรมัตถบารมีช่วงปลาย บางคน เราบอกให้ทำบุญ เขาก็ทำบุญ….
    รู้ข่าวก็ทำเอง.. บอกก็ทำ.. ไม่บอกก็ทำเอง เมื่อทราบข่าว….

    เมื่อบอกให้รักษาศีล มีอานิสงส์มากกว่าทาน เราก็รักษาศีล….
    ให้ภาวนา ก็ภาวนา และมีความตั้งใจจริงในการเจริญภาวนา….
    อย่างนี้บารมี(กำลังใจ) เต็มดีแล้ว….

    หากท่านที่มีความมั่นใจในปรมัตถบารมี ก็จะเข้าใจได้โดยง่ายดาย ในเรื่องธรรมะ
     
  11. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ส่วนในเรื่องที่ว่า ข้อใดที่เป็น “หัวใจของพระพุทธศาสนา” .

    อันที่จริง ก็เป็นข้อไหนก็ได้ หากปฏิบัติแล้วได้เข้าถึง “พระนิพพาน”
    ตามที่กล่าวมาแล้ว….

    แต่ถ้าหากจะให้ชี้ชัดเจาะลงไปว่า อะไร คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา….

    เราก็ลองมาดูจากคำตรัสสอน ที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ได้ตรัสไว้ว่า….

    “ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรมะ
    ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นตถาคต”

    ข้อนี้ ก็น่าที่จะแฝงไว้ด้วย หัวใจของพระศาสนา เช่นกัน….
     
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    หากจะถามว่า… เห็นทุกข์ อย่างไร…. เห็นธรรมะ อย่างไร…. เห็นตถาคต อย่างไร….

    บางท่าน ก็ยังอาจที่จะยัง งง งง อยู่ ว่าหมายความว่าอย่างไรกัน….

    ขอสรุป ย่อ ๆ ก่อนนะครับว่า….

    “ผู้ใดเห็นทุกข์” คือ เห็นทุกข์ในวัฏฏะ เวียนว่าย ตาย เกิด

    “ผู้ใดเห็นธรรมะ” คือ เห็นธรรมะปฏิบัติ ที่ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป เมื่อไม่เกิด ก็ไม่ต้องตาย ไม่ทุกข์อีกต่อไป

    “ผู้นั้นเห็นตถาคต” พระตถาคต ก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เนื่องจากพระพุทธองค์ ท่านทรงตรัสรู้ธรรมอันไม่ต้องเกิดอีก พระองค์ท่านจึงเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน คือ พระนิพพาน อันเป็นดินแดนที่สูญอย่างยิ่งจากกิเลส

    ดังคำตรัส ที่ว่า “นิพพานัง ปรมัง สูญญัง” สูญอย่างยิ่งจากกิเลสโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง….

    ดังนั้นใครที่จะพบเห็นพระตถาคตได้ก็ต้องสูญอย่างยิ่งจากกิเลสโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง…

    ซึ่งท่านผู้นั้น ก็ต้องผ่าน การ “เห็นทุกข์” เป็นอันดับแรก….

    แล้วต้อง “เห็นธรรมะ”

    แล้วจึงจะเห็น "พระตถาคต" ได้….
     
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    อธิบายอย่างนี้ ก็อาจจะยากที่จะเข้าใจได้ เพราะว่า….

    เห็นทุกข์ เป็นอย่างไร….
    (ในเมื่อคุณลูกหนอนฯ ก็บอกว่า ไม่มีความทุกข์….)

    อะไร คือ ทุกข์ …. ในเมื่อทุกวันนี้ ก็มีความสุข ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นเดือดร้อน อะไรเลย….
    ทุกข์ ก็คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ….

    ความจริงแล้ว ทุกข์ นั้นมีอยู่ เกี่ยวพันรอบตัวเรามากมาย….

    แต่พวกเราก็ ทุกข์ เสียจนเป็นฌาน คือ ชิน กับความทุกข์ ก็เลยไม่รู้ว่า
    นี่แหละ คือ ทุกข์….
     
  14. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    เรามาคุย เรื่องทุกข์ กันสักหน่อย นะครับ เพื่อสร้างความเข้าใจ....

    ตามที่องค์หลวงพ่อฯ สรุปตามคำตรัสสอน ว่า....

    “ชาติปิ ทุกขา” ความเกิดเป็นทุกข์
    “ชราปิ ทุกขา” ความแก่เป็นทุกข์
    “มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
    “โสกปริเทวทุกขโทมนัส” ความเศร้าโศก เสียใจ เป็นทุกข์
    ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ เป็นทุกข์
    มีอารมณ์ขัดข้อง หรือความปรารถนาไม่สมหวัง เป็นทุกข์

    เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์
    ทุกข์ในโลภ อยากได้ อยากมี อิจฉา ริษยา ก็เป็นทุกข์
    ทุกข์ในความโกรธ ใครทำให้โกรธ แม้กระทั่งบางที ก็โกรธตัวเอง ก็ทุกข์
    ทุกข์ในความหลง คิดว่าสิ่งสวยงาม จะอยู่กับเราได้นาน ๆ เมื่ออยู่ไม่ได้ ก็ทุกข์

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2006
  15. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    หากยังคิดว่า เกิด แก่ เจ็บ และตาย มันก็เป็นธรรมดาของโลก ไม่แน่ใจว่าจะทุกข์

    ก็มาดูที่ โลกธรรม 8 ประการ(มี 4 คู่) คือ ….

    1. ลาภ มีลาภ ย่อมดีใจ 2. เมื่อลาภหายไป หมดไป ก็เสียใจ ทุกข์ใจ
    3. มียศ ก็ดีใจ 4. เมื่อยศสลายไป ก็เสียใจ ทุกข์ใจ
    5. มีความสุขในกามรมณ์ ก็ดีใจ 6. เมื่อสุขเสื่อมไป ทุกข์เข้ามา ก็เสียใจ ทุกข์ใจ
    7. ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ก็ชื่นใจ ดีใจ 8. ถูกด่า ถูกติเตียน ถูกนินทาว่าร้าย ก็เสียใจ ทุกข์ใจ
     
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ร่างกายคนเรามีแต่ทุกขเวทนาทุกวัน ทุกขเวทนามีอะไรบ้างก็นั่งนึกตามความเป็นจริง

    1. เมื่อตื่นใหม่ ๆ ก็เกิดจากการปวดอุจจาระปัสสาวะ มันก็เป็นทุกข์เป็นประจำวัน
    2. ตื่นขึ้นมาแล้ว มันก็หิว ความหิวก็เป็นทุกข์
    3. การป่วยไข้ไม่สบายก็เป็นอาการของความทุกข์
    4. ความปรารถนาไม่สมหวัง เราตั้งใจอะไรไว้ ไม่ได้อย่างนั้น ไม่สมความหวัง มันก็ทุกข์
    5. การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มันก็เป็นทุกข์
    6. ความตายจะเข้าถึง มันก็เป็นทุกข์
    7. การงาน ขวนขวาย เร่งรัด ก็ไม่สำเร็จตามเป้าหมาย ก็เป็นทุกข์
     
  17. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ลองมาดูว่า เพียงแค่ “คำข้าว” คำเดียว ทุกข์ มากเพียงใด….

    องค์หลวงพ่อฯ ท่านก็กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้ามาสอนท่านให้เห็นทุกข์….
    พระพุทธองค์ ก็ทรงตรัสสอน ว่า “คำข้าว” คำเดียว เกิดทุกข์ มากมายเพียงใด….

    ข้าวสุกที่จะกินได้ ก็ต้องมาจากการหุงข้าวสาร ก็ต้องเตรียมไฟ เตรียมเตา...ก็ทุกข์
    ข้าวสาร มาจากไหน มาจากข้าวเปลือก กว่าสี จะคัดแยกมาเป็นข้าวสารได้.. ก็ทุกข์
    ข้าวเปลือก จะนำมาสีเป็นข้าวสาร ก็นำมาจากการเก็บรักษาในยุ้ง ในฉาง..ก็ทุกข์
    ก่อนเก็บเข้ายุ้งฉาง ก็ต้องนำมาจากลานข้าว นวดข้าว.. ก็ทุกข์
    ก่อนจะนวดข้าว ก็ต้องมาจากการเก็บเกี่ยว.. ก็ทุกข์
    ก่อนที่จะเก็บเกี่ยวได้ก็ต้องดูแล รักษา ให้ต้นข้าวเจริญเติบโต ให้ไร้ศัตรูพืช.. ก็ทุกข์
    ก่อนต้นข้าวจะเจริญเติบโต ก็ต้องดำข้าว หว่านข้าว ใส่ปุ๋ย.. ก็ทุกข์
    ก่อนหว่านข้าว ดำข้าว ก็ต้องไถ เตรียมดิน.. ก็ทุกข์

    นี่ เพียงข้าวคำเดียวที่จะกินเข้าไป สร้างทุกข์ได้มากมายเพียงใด….

    แล้วอย่างอื่น หมื่นพัน จิปาถะ จะสร้างทุกข์ ให้แก่ได้มากเพียงใด….
     
  18. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ส่วนใหญ่เรามีแต่ทุกข์ ความสุขมันก็หาได้ยาก สุขแท้จริง สุขอย่างถาวร มันไม่มี….

    มันอาจจะมีบ้างในความสุขในกามารมณ์ เช่น ได้เงิน ได้ทอง….
    คนที่รักกัน ที่ชอบพอกัน กล่าวสรรเสริญเยินยอ….
    ได้ยศ ได้ตำแหน่งเพิ่มเติมสูงขึ้น อย่างนี้ ก็ชื่นจิต สบายใจ….

    แต่ทว่า มันก็ไม่ได้สุขอย่างถาวร ดีใจ ได้เพียง ชั่วครั้ง ชั่วครู่….

    เดี๋ยวเงินมันก็หมดไป คนที่เคยเยินยอ มันก็กลับมาด่าเรา….
    ยศตำแหน่ง ก็ไม่แน่นอน ก็มีผลัดเปลี่ยนไปอยู่ประจำก็ได้….
    ยศใหญ่ การงานก็ยิ่งมาก รับผิดชอบมาก เรื่องราวก็เยอะมากตามมา….
    มีลูกน้อง 10 คน ก็ยุ่งก็ยาก ลำบากใจ ตามใจใครไม่ได้ทุกคน ก็มีความไม่พอใจ….
    ตำแหน่งใหญ่ขึ้น ลูกน้องมากขึ้น เป็น 50 คน 100 คน

    เดี๋ยวคนโน้น คนนี้ แผนกโน้น ฝ่ายนี้ ทะเลาะกัน เกลียดกัน งานก็ไม่เดิน ไม่ก้าวหน้า….

    ต้องคอยประคองจิต ประคองใจ เอาอกเอาใจ ให้รักกัน สมานสามัคคีกัน วิธีการก็ยุ่งยาก….

    ไหนจะลูกหลาน พ่อแม่ คนโน้น คนนี้ มาเกิด มาตาย ไปมีคดี ไปบวช ไปแต่งงาน….
    โอ้ย…. จิ ปา ถะ

    เห็นทุกข์ กันได้บ้างไหมครับ….
     
  19. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    เมื่อเรา “เห็นทุกข์” แล้ว ตรงนี้ ก็จะ “เห็นธรรมะ” ได้ง่าย

    โดยมีวิธีการปฏิบัติ วางอารมณ์ ให้รู้เท่าทันทุกข์….
    เมื่อรู้เท่าทันทุกข์ วางอารมณ์ได้ ก็แสดงว่า “เห็นธรรมะ”
     
  20. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    เมื่อ “เห็นธรรมะ” แล้ว ก็จะ “เห็นตถาคต”

    เบื่อการเกิดแล้ว เบื่อทุกข์ โดยแท้จริงแล้ว….

    วันที่ถึงที่สุดของ นิพพิทาญาณ…. วันนั้น ท่านก็จะได้พบ พระตถาคต ….

    พระองค์ท่านจะมาชี้แนะ ตัดกิเลสทั้งปวง ได้ตรงกับจริต วิสัย และตามกรรมของเรา….
    เมื่อนั้นเอง ท่านก็จะเข้าใจ เข้าถึงซึ่ง “พระนิพพาน”

    ตามที่ได้บำเพ็ญเพียร มานานนับเนื่องอสงไขย….
    เมื่อเห็นพระตถาคต ก็เห็น “พระนิพพาน” ได้ ในที่สุด….

    จบกันเสียที เลิกกันเสียที การเกิด ไม่มีสำหรับเราอีกต่อไปแล้ว.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2006

แชร์หน้านี้

Loading...