เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย jjustdream, 20 มิถุนายน 2012.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "ของผุด" คือของที่ปรากฏมีมาเอง โดยมีเจตนาที่จะให้เราเป็นเจ้าของ หรือมีเจตนาที่จะให้เราใช้ชั่วคราว ในกรณีชั่วคราว เมื่อเสร็จกิจแล้ว ของนั้นก็จะหายจากเราไปเอง เรียกได้ว่า ไปเองมาเองได้ ตามเจตนาของเขาเอง จัดได้ว่าเป็นเรื่องแปลกชนิดหนึ่ง ถือว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังนะครับ

    +++ ในตอนที่ผมยังเป็นทหารเกณฑ์อยู่ หลังจากฝึกภาคทหารเสร็จแล้ว ก็จะมีภาคฝึกในป่า ก่อนเข้าป่าวันหนึ่ง ผมนั่งดูภูเขาป่าไม้ไปเรื่อย ๆ เพลิน ๆ แล้วจูู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่า เข้าป่าครั้งนี้จะได้ของจากเจ้าป่า เป็นความรู้สึกแบบแว๊ป ๆ แต่ไม่ได้สนใจอะไรมาก

    +++ หลังจากเข้าป่าได้สัก 6-7 วัน วันนั้นหลังจากเสร็จภาระกิจ ผมก็ไปอาบน้ำในลำธารคนเดียว แล้วก็เดินมาสำรวจขอนไม้ก่อนจะนั่งพัก แต่ผมต้องสำรวจบริเวณขอนไม้ให้ดี ไม่งั้นอาจมี งู ตะขาบ แมลงป่อง หรือสัตว์พิษ อื่น ๆ อยู่แถวนั้นก็ได้ เพราะมันเป็นป่านั่นเอง หลังจากสำรวจเรียบร้อยแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ผมก็นั่งพักผ่อนเล่น ๆ จนหายเหนื่อย กะว่าจะไปเล่นน้ำในลำธารอีกรอบ

    +++ ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง ก็เกิดอาการ "เอ๊ะใจ" แบบแปลก ๆ ทำให้ผมก้มมองลงมายัง "ตรงกลางระหว่างเท้าทั้งสองข้าง" ปรากฏว่า มีสายสิญสีแดง และมีผ้าสีแดงห่ออะไรอยู่ขนาดเท่าหัวแม่มือ สายสิญนั้นยาวพอที่จะคล้องคอได้ แต่ด้วยความสงสัย ผมจึงแกะผ้าแดงนั้นดูว่า ห่ออะไรไว้ พอแกะออกมาปรากฏว่า นั่นไม่ใช่ผ้าแดงธรรมดา แต่เป็นผ้ายันต์สีแดงลงอักขระไว้เต็มผืน และห่อหุ้มหนังสัตว์ชิ้นเล็กที่ยังมีขนอยู่อย่างสมบูรณ์ หนังสัตว์ชิ้นนั้นคือ "หน้าผากเสือ" นั่นเอง

    +++ หลังจากได้มาแล้ว ผมก็ห้อยคล้องคอไว้ตลอดเวลา แต่รู้สึกได้ว่า เวลาเดินในป่ากลับคล้ายเดินอยู่ในบริเวณบ้านตัวเอง เหมือนกับป่าทั้งป่าคือบ้าน อย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าจะไปแต่ตัว ไม่ถืออาวุธใด ๆ ก็ตาม รู้สึกว่าสบายทั้งกายและใจอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งอีก 2-3 วันจะถึงกำหนดการออกจากป่า ก็ปรากฏว่า หน้าผากเสือนั้น หายไปเองอย่างไร้ร่องรอยไม่มีพิรุธใดทั้งสิ้น

    +++ อีกครั้งหนึ่ง อยู่ในช่วงก่อนผมจะบวช ผมได้ไปเที่ยว "เกาะเสม็ด" ระยอง ได้ไปพักที่บริเวณหลังเกาะ ที่อ่าวกิ่ว ในสมัยที่ยังมีสภาพเป็นธรรมชาติอยู่ ผมได้ฝึกสมาธิอยู่ที่นั้น แล้วจู่ ๆ ก็นึกอยากได้ลูกแก้วมาฝึกดูเล่น ๆ ว่าจะถูกจริตหรือไม่ 2-3 วันต่อมา ตอนผมกำลังจะลงจากกระต๊อบที่สูงจากดิน ฟุตกว่า ๆ ก็เกิด "เอ๊ะใจ" แบบแปลก ๆ ขึ้นมาอีก และทำให้ผมต้องมอง "ตรงกลางระหว่างเท้าทั้งสองข้าง" คราวนี้ มีลูกแก้วใสแจ๋วเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ตรงนั้น ผมก็หยิบขึ้นมา แล้วก็พยายามถามเด็กแถวนั้นว่า มีคนไหนเล่นลูกแก้วแล้วหายในบริเวณที่ผมอยู่บ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีใครมีลูกแก้ว แต่ในตอนนั้น ผมไม่ได้พิจารณาว่า มันเป็น "ของผุด" แต่อย่างใด เพียงแต่เห็นว่า "มันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น"

    +++ ผมก็เอามาฝึกเพ่งเล่น พยายามจำเล่น ๆ ประมาณ 7- 10 วัน เห็นว่า ไม่ใช่จริตของผมอย่างแน่นอน จึงคิดว่า จะยกลูกแก้วนี้ให้กับคนที่ผมพบเป็นรายแรก ดีกว่าจะโยนทิ้งเพราะอาจเป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้างก็ได้ พอคิดได้เท่านั้น ปรากฏว่า ลูกแก้ว เกิดอาการลื่น เหมือนกับ เอามือเปียก ๆ จับสบู่เปียก ๆ อย่างไรอย่างนั้น แล้วลื่น ตุ๊บ ลงไป "ตรงกลางระหว่างเท้าทั้งสองข้าง" ของผม ผมก็ก้มลงพยายามจะหยิบมันขึ้นมา แต่ว่าหาเท่าไรก็ไม่เจอ กลางวันแสก ๆ แท้ ๆ หาอยู่ชั่วโมงกว่า ๆ แถวนั้นจะมีก็เป็นแต่เพียง กรวดกับทรายเท่านั้น ไม่มีกอหญ้าขึ้นเลย แต่มันหายไปซะอย่างนั้นเอง หลังจากนั้นผมก็มาพิจารณาอาการ ตอนที่มันมา และตอนที่มันไป ก็จึงเข้าใจได้ว่า มันเป็นเรื่อง "ของผุด" ที่มาให้เราใช้แค่เฉพาะกิจเท่านั้นเอง
     
  2. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    ของผุดของคุณธรรม-ชาตินี่แปลกจัง มาเองไปเองต่อหน้าต่อตาด้วย
    คุณธรรม-ชาติคงพบเรื่องแปลกๆเยอะมาก ขอบคุณค่ะที่ช่วยอธิบาย
     
  3. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    เล่าสู่กันฟังนะคะ ...เมื่อคืนวันอังคารน่ะค่ะ อยู่ๆก็นึกถึงแม่ ก็เลยแผ่เมตตาให้แม่ บอกแม่ให้เอาบุญไปเยอะๆนะ ให้แม่นำบุญนี้ไปเป็นใบเบิกทางเพื่อจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า หลังจากนั้นก็เอนหลังนอน พอกำลังเคลิ้มๆจะหลับก็ได้ยินเสียงจิ้งจกร้องมาจากริมหน้าต่าง เหมือนเขาทักอะไรนี่แหล่ะค่ะ ก็เลยตื่น ก็ไม่ได้คิดอะไร พอสักพักกำลังจะเคลิ้มหลับอีก เสียงจิ้งจกก็ร้องอีก ก็ตื่นอีก ในใจคิดค่ะ เอ ใครมาเรียกมาทักอะไรหรือเปล่า ก็ไม่รู้สึกกลัวนะคะ เฉยๆค่ะ เพราะเวลานี้แยกแยะออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร แต่พอจะเคลิ้มหลับครั้งที่สาม เสียงจิ้งจกก็ร้องอีก ตื่นอีก คือเขาจะร้องเฉพาะเวลาช่วงที่เราเคลิ้มๆกำลังจะหลับน่ะค่ะ พอครั้งที่4 กำลังจะเคลิ้มหลับ ไม่ได้ยินเสียงจิ้งจกร้องทัก หลับไปก็ฝันเลยค่ะว่าแม่มานอนที่ข้างๆ ลำตัวท่านอนของท่านจะอยู่ระดับสูงกว่าดิฉันครึ่งตัวน่ะค่ะ มือขวาของดิฉันจะสัมผัสร่างท่านได้ ในฝันจะเป็นอีกสถานที่หนึ่งมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ ท่านจับข้อมือดิฉันแล้วได้ยินเสียงท่านพูดว่า” ดูเหมือนไม่ค่อยสบายนะ “ พูดจบท่านก็เอากรรไกรมาตัดฝ้ายผูกแขนเส้นใหญ่ที่ข้อมือข้างขวาของดิฉันขาด ในใจดิฉันบอกท่านไปว่า “ ฝ้ายเส้นนี้หลวงปู่ท่านให้มา “ พอหลังจากนั้นก็สังเกตดู รู้ว่าท่านเอาด้ายสีขาวเส้นเล็กๆมาผูกแทน พอผูกเสร็จแล้วรู้สึกว่าท่านหายไป ความที่อยากรู้ให้แน่ใจ ก็เลยลองเอามือขวายกขึ้นกะแตะ/วางพาดเบาๆลงไปสัมผัสกับตัวท่านในตำแหน่งที่ท่านนอนอยู่ ปรากฏว่าว่างเปล่า ท่านหายไปจริงๆ พอรู้ว่าท่านหายไปแล้ว สังเกตดูตัวเองเริ่มเคลื่อนตัวลอยออกแบบไสล์ขึ้น(เหมือนนกบิน)น่ะค่ะ พอไสล์ขึ้นแล้วรู้ว่ากำลังเริ่มจะสปีดความเร็ว ณ เวลานั้นเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี ลักษณะเหมือนไม่ไว้ใจน่ะค่ะ ก็เลยใช้มือซ้ายขยับไปรีบถอด(ลูด)ด้ายที่แม่ผูกให้หลุดออกจากข้อมือขวาแล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ข้างขวาหยิบด้ายไว้ พอลูดด้ายออกแล้วสังเกตร่างตัวเองไสล์กลับลงมานอนที่เดิมแล้วรู้สึกตัวตื่นน่ะค่ะ สังเกตตอนที่ตื่น ยังรู้สึกได้ว่านิ้วโป้งกับนิ้วชี้มือข้างขวายังอยู่ในลักษณะหยิบด้ายอยู่น่ะค่ะ และแขนวางพาดขึ้นอยู่ในลักษณะท่าเดียวกันกับท่าในฝันเลย
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ของคุณ photocycling

    ผมพบเรื่องแปลกๆเยอะในชีวิต และเยอะมากเป็นพิเศษในช่วงก่อนบวช จนทำให้ผมรู้ว่าถ้าไม่บวช ก็ไม่มีวันที่จะเข้าใจเรื่องประหลาดต่าง ๆ เหล่านี้ได้ พอบวชแล้วจึงได้เข้าใจว่า เรื่องบังเอิญต่าง ๆ แท้จริงแล้วไม่มี มันเป็นเรื่องของ กรรม บารมี คำอฐิษฐาน ซึ่งมาจากอดีตทั้งนั้น นะครับ

    ของคุณ จิตวิญญาณ

    จิ้งจกทัก 3 ครั้ง ไม่ใช่เหตุบังเอิญ พุทโธ ธรรมโม สังโฆ แม่ของคุณมาแจ้งข่าว เปลี่ยนฝ้ายผูกแขนเส้นใหญ่ (พุทธภูมิ) แล้วเอาด้ายสีขาว (ฆราวาส) เส้นเล็กๆมาผูกแทน (สาวกภูมิ)

    ถ้าคุณอยู่ในช่วงของการกำลังจะอฐิษฐาน ลา พุทธภูมิเร็ว ๆ นี้ แสดงว่าคุณลาได้สำเร็จ และคุณเป็นผู้หนึ่งที่ผมสันนิษฐานว่า เคยปรารถนาพุทธภูมิ มาก่อนหน้านี้แน่นอน

    สังเกตดูตัวเองเริ่มเคลื่อนตัวลอยออกแบบไสล์ขึ้น(เหมือนนกบิน)น่ะค่ะ พอไสล์ขึ้นแล้วรู้ว่ากำลังเริ่มจะสปีดความเร็ว ณ เวลานั้นเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี ลักษณะเหมือนไม่ไว้ใจน่ะค่ะ ก็เลยใช้มือซ้ายขยับไปรีบถอด(ลูด)ด้ายที่แม่ผูกให้หลุดออกจากข้อมือขวาแล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ข้างขวาหยิบด้ายไว้ พอลูดด้ายออกแล้วสังเกตร่างตัวเองไสล์กลับลงมานอนที่เดิมแล้วรู้สึกตัวตื่นน่ะค่ะ สังเกตตอนที่ตื่น ยังรู้สึกได้ว่านิ้วโป้งกับนิ้วชี้มือข้างขวายังอยู่ในลักษณะหยิบด้ายอยู่น่ะค่ะ และแขนวางพาดขึ้นอยู่ในลักษณะท่าเดียวกันกับท่าในฝันเลย

    +++ คุณถอดจิตด้วยการไหลขึ้น มักจะเป็นการระบุว่า สภาวะธรรมจะพัฒนา แต่ความไม่คุ้นในสภาวะธรรมที่รุดหน้าอย่างรวดเร็ว (สปีด) จะทำให้คุณกลัวเพราะจิตไม่คุ้น

    เลยรูดด้ายออกมาจากข้อมือเปลี่ยนมาเป็นหยิบไว้ด้วยสองนิ้ว เพราะการรูดด้ายออก จึงทำให้ไหลลงมาอยู่ในท่าเดิม

    +++ อุปสรรคในการปฏิบัติธรรมของคุณคือ ความไม่คุ้นของจิต ดังนั้นการปฏิบัติธรรมของคุณ ต้องไปในแนวทางหนักแน่น เรียกว่าการที่จะฝ่าแต่ละด่านของจิต สติ จะต้องครองฐานได้อย่างมั่นคงแล้วเท่านั้น มิฉะนั้น อาจเกิดอาการชะงักงันกลางคันได้

    +++ อุปนิสัยของคุณคือ พุทธจริต ชอบทดลองด้วยตนเอง หรือ หาอุปกรณ์ มาช่วย เช่น ดูกระจก เป็นต้น ต้องเพลา ๆ ลง เพราะนั่นหากเจอปรากฏการณ์ที่นอกเหนือความคาดหมาย แม้ว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ สปีด ของมันอาจกลับมาเป็นอุปสรรคได้

    +++ ความรู้สึกตัว แบบเต็ม ๆ เท่านั้น จึงเป็นฐานหลักของคุณในขณะนี้ แม้ว่าจะดูเหมือนช้าก็ตาม แต่ผมรับประกันในความเร็ว แต่เต็มไปด้วยความมั่นคงและหนักแน่นได้ เช่นเดียวกันกับ ทานอาหารให้อร่อยต้องทำอย่างถูกต้องและปราณีตเท่านั้น ไม่ใช่ อาหารแบบแดกด่วน (ยืมภาษาของ อ. สุรักษ์ ศิวลักษณ์ มาใช้) หรือพวก ฟาสต์ฟูด ที่เอาเข้าปาก งับ ๆ กลืนเอื๊อก ๆ แล้วเผ่น แล้วสมมติว่า เท่ห์อีกตะหาก อะไรทำนองนั้น นะครับ

    +++ ให้ฝึก ความรู้สึกตัว แบบเต็ม ๆ แล้ว เข้า ออก อยู่ ตรึง เร่ง ผ่อน จนเป็นนิสัย และให้ได้ดังใจในทุกครั้งที่ต้องการ จนกว่าจะเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งที่อยู่ในจิตคุณ นะครับ
     
  5. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ จิ้งจกทัก 3 ครั้ง ไม่ใช่เหตุบังเอิญ พุทโธ ธรรมโม สังโฆ แม่ของคุณมาแจ้งข่าว เปลี่ยนฝ้ายผูกแขนเส้นใหญ่ (พุทธภูมิ) แล้วเอาด้ายสีขาว (ฆราวาส) เส้นเล็กๆมาผูกแทน (สาวกภูมิ)

    +++ ถ้าคุณอยู่ในช่วงของการกำลังจะอฐิษฐาน ลา พุทธภูมิเร็ว ๆ นี้ แสดงว่าคุณลาได้สำเร็จ และคุณเป็นผู้หนึ่งที่ผมสันนิษฐานว่า เคยปรารถนาพุทธภูมิ มาก่อนหน้านี้แน่นอน

    ค่ะ เมื่อวันที่ 22 ตรงกับวันอังคาร ก่อนที่จะฝันเห็นแม่ ดิฉันเข้ามาอ่านโพสท์ #132 “ ... หากคุณ photocycling ยังมีความสุขดีกับการ สร้างบุญบารมี ไปเรื่อย ๆ และยังไม่ปรารถนาที่จะใส่ใจในเรื่องของ มรรค ผล ก็ไม่เป็นไรนะครับ แต่ถ้าหากสนใจเมื่อไร ก็ต้องอฐิษฐานจิตลาพุทธภูมิ ให้เรียบร้อยก่อน เพราะพันธะนั้นยังอยู่ในจิตลึก ๆ ของคุณ ...”

    พออ่านแล้วก็เลยคิดว่าตัวดิฉันเองควรจะอธิฐานจิตลาพุทธภูมิให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองเคยอธิฐานจิตไว้ว่าขอให้สำเร็จ มรรค ผล เป็นการลาพุทธภูมิหรือยัง ก็เลยตั้งกระทู้#142 ถามน่ะค่ะ ตอนนี้มั่นใจแล้วว่ายังไม่ได้ลาอย่างเป็นทางการ คงต้องหาสถานที่ ๆ มี พระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระธาตุของครูบาอาจารย์ แล้วล่ะค่ะ กราบขอบพระคุณมากนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2013
  6. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    ขณะนี้จิตใจวุ่นมาก รู้ตัวว่าสมาธิตันค่ะ
    รู้อย่างเดียวว่าสาปแช่งจะเป็นผลมากกว่าแต่ต้องหยุด เลยทำให้ตันแผ่บุญก็ตัน
    เพราะตอนนี้มีเรื่องเครียดมากๆเลย จะโดนคนลอบทำร้าย แต่ไม่อยากทำเขากลับเลย ปรารถนาให้ร้ายกลายเป็นดี
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ขณะนี้จิตใจวุ่นมาก รู้ตัวว่าสมาธิตันค่ะ

    +++ จิตใจฟุ้งซ่านเป็นเหตุ ผลลัพธ์ตามมาคือ ทำให้ สมาธิล้มเหลว (ตัน)

    รู้อย่างเดียวว่าสาปแช่งจะเป็นผลมากกว่าแต่ต้องหยุด เลยทำให้ตันแผ่บุญก็ตัน

    +++ ความฟุ้งซ่านย่อมไหลลงสู่ โลภะ โทสะ โมหะ การสาปแช่งเป็นผลลัพธ์มาจาก ฟุ้งซ่านในเรื่องที่ทำให้ตนเองโกรธ พอพลังงานของธรรมารมณ์แห่งความโกรธเกิดขึ้น แล้วจิตเข้าไป "อยู่" ในนั้น บุญก็ย่อมหายไปหมด จึงทำให้ ไม่มีบุญจะแผ่ (ตัน)

    เพราะตอนนี้มีเรื่องเครียดมากๆเลย จะโดนคนลอบทำร้าย แต่ไม่อยากทำเขากลับเลย ปรารถนาให้ร้ายกลายเป็นดี

    +++ อาการสมมุติของจิต ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่จริง ความฟุ้งซ่านคือการรวบรวมความสมมุติทั้งหมด (คิดเอาเอง) แล้วพยายามเอามาทำให้ลงตัว (เออเอาเอง) แต่ความลงตัว (เออเอาเอง) นั้น ไม่เคยถูกต้องตรงกับความเป็นจริง หรือ สัจจธรรมแห่งปัจจุบันขณะ การขัดกันของธรรมารมณ์จึงเกิดขึ้น กระบวนการทางจิตทั้งหมดนี้ กลายตัวมาเป็น ความเครียด

    +++ ความจริงแห่งปัจจุบันขณะ จะรู้ได้เพราะมี สติ และสติจะทำให้รู้เรื่องคนลอบทำร้าย ว่าจริงเท็จประการใด และเป็นผลลัพธ์มาจากอะไร รวมทั้งจะเกิดสติปัญญาในการระวังป้องกันตัวด้วย

    +++ สู้ด้วย สมมุติเอาเองเออเอาเองทางจิต ซึ่ง 100% ผิดเสมอแต่มนุษย์ชอบเชื่อ ชอบยึดความคิด ปกป้องความคิดผิด ๆ (มิจฉาทิฐิ) แบบยอมตายถวายชีวิต แถมดันอุตริคิดว่าเท่ห์หรือเก่งและศักดิ์ศรีสูงซะอีก กับสู้ด้วย สติ ซึ่งล้างความคิดโง่ ๆ ทิ้งและรู้อยู่กับความเป็นจริง จนเกิดปัญญาในการต่อสู้ที่เท่าทันกับสถานการณ์ และไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของความทุกข์

    ผมรู้ว่า คุณเลือกวิถีทางที่ถูกต้องได้ นะครับ
     
  8. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    ขอบคุณค่ะ เลือกวิธีที่จะหนีและเงียบแล้วปิดช่องทางสื่อสารต่างๆ
    ถึงแม้เขาจะตามและทำอะไรอยู่จากความเข้าใจผิดของเขาเองทั้งนั้น(จากที่มีคนเปิดเผยข้อมูลบางอย่างให้เห็นว่าเขามีความระแวงสูง)
    ดิฉันก็จะหนีไปก่อน ไม่ได้กลัวเลย แต่ ไม่อยากทำอะไร เลือกเปลี่ยนสถานที่ดีกว่า ทั้งๆที่นี่สามารถสมาธิแรงมากหลายครั้ง ซึ่งพอใจ คิดว่ากลับไปแล้วสติต่างๆจะกลับมาโดยไวค่ะ
     
  9. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ ให้ฝึก ความรู้สึกตัว แบบเต็ม ๆ แล้ว เข้า ออก อยู่ ตรึง เร่ง ผ่อน จนเป็นนิสัย และให้ได้ดังใจในทุกครั้งที่ต้องการ จนกว่าจะเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งที่อยู่ในจิตคุณ นะครับ

    แค่เล่าสู่กันฟังนะคะ .. เมื่อคืนวันศุกร์มีโอกาสได้ออกไปนั่งฝึกที่ระเบียงบ้าน ช่วงที่ฝึกแขนทั้งสองข้างจะเริ่มรู้สึกร้อนน่ะค่ะ แต่เป็นอะไรที่ร้อนบริเวณใต้ผิวหนังนะคะ แล้วสักพักบังเอิญมีลมพัดมา คือแบบว่ารู้ว่าลมพัดผ่านมากระทบน่ะค่ะ แต่ความรู้สึกบอกได้ชัดเจนเลยว่าลมที่พัดมานั้นไม่กระทบผิวหนังเราเลยน่ะค่ะ พอฝึกได้สักพักก็เข้ามาฝึกต่อในบ้าน ปรากฏว่าพอนั่งได้ที่ มีความรู้สึกทั้งตัวแล้ว ก็เริ่มหาวอย่างต่อเนื่อง น้ำตาไหลไม่หยุด ลักษณะหาวไม่ใช่หาวง่วงนอนนะคะ หาวเหมือนเหนื่อยแต่ก็ไม่เหนื่อย มันเหมือนมีพลังอะไรนี่ล่ะค่ะ และช่วงที่ฝึกเร่ง หูข้างขวาจะรู้สึกอื้อนิดๆ ลมตีขึ้นแล้วอาเจียนน่ะค่ะ อาเจียนลม ทีนี้มาสังเกตช่วงที่ฝึกเร่ง จะรู้สึกร้อนบริเวณใต้ผิวหนัง หายใจเข้าสั้นมาก หายใจออกยาวๆลักษณะค่อยๆปล่อยลมออกน่ะค่ะ แต่ความร้อนบริเวณใต้ผิวหนังยังเป็นอยู่ ช่วงที่ฝึกผ่อน อาการร้อนใต้ผิวหนังจะคลายจางลง หายใจปกติ พอเลิกฝึกสักพักหนึ่งแล้วแต่ยังรู้สึกว่าความร้อนบริเวณใต้ผิวหนังยังอยู่ ก็เลยลองเอามือซ้ายแตะสัมผัสเบาๆที่ผิวหนังตรงบริเวณลิ้นปี่ประมาณ 2-3 ครั้ง แตะสัมผัสทุกครั้งจะรู้สึกผิวหนังภายนอกขนลุกเย็นวาบทั่วร่างกายเลยน่ะค่ะ ลักษณะขนลุกเย็นวาบจะเริ่มจากบริเวณที่มือแตะแล้ววิ่งกระจายออกไปทั่วร่างกายน่ะค่ะ เหมือนมันแยกให้เรารู้สึกได้ชัดเจนเลยระหว่างความร้อนบริเวณใต้ผิวหนัง กับขนลุกเย็นวาบบริเวณผิวหนังด้านนอกน่ะค่ะ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    แค่เล่าสู่กันฟังนะคะ .. เมื่อคืนวันศุกร์มีโอกาสได้ออกไปนั่งฝึกที่ระเบียงบ้าน ช่วงที่ฝึกแขนทั้งสองข้างจะเริ่มรู้สึกร้อนน่ะค่ะ แต่เป็นอะไรที่ร้อนบริเวณใต้ผิวหนังนะคะ แล้วสักพักบังเอิญมีลมพัดมา คือแบบว่ารู้ว่าลมพัดผ่านมากระทบน่ะค่ะ แต่ความรู้สึกบอกได้ชัดเจนเลยว่าลมที่พัดมานั้นไม่กระทบผิวหนังเราเลยน่ะค่ะ

    +++ ในขณะจิตนั้น ๆ สติ "อยู่" ที่คลื่นความร้อน "ไม่ได้อยู่" ที่ผิวหนัง เวลาลมพัดมาจึงเหมือนกับ กระแสลมพัดมาปะทะกับ ผนังความร้อน และจริง ๆ แล้ว สภาวะในขณะนั้น ๆ เหมือนกับ ลมเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนกำแพงคลื่นความร้อนเป็นอีกส่วนหนึ่ง แยกต่างหากออกจากกัน ใช่หรือไม่

    พอฝึกได้สักพักก็เข้ามาฝึกต่อในบ้าน ปรากฏว่าพอนั่งได้ที่ มีความรู้สึกทั้งตัวแล้ว ก็เริ่มหาวอย่างต่อเนื่อง น้ำตาไหลไม่หยุด ลักษณะหาวไม่ใช่หาวง่วงนอนนะคะ หาวเหมือนเหนื่อยแต่ก็ไม่เหนื่อย

    +++ ก่อนการฝึก หากดื่มน้ำหวาน หรือ น้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น ก็จะช่วยได้มาก (อย่าใช้น้ำอัดลม) เพราะการฝึกนี้ ในขณะ "เร่ง" จิตมันจะไปเร่งเร้าพลังงานจากร่างกายโดยตรง ดังนั้นร่างกายจึงเผาผลาญพลังงานออกไปตามอัตราการ "เร่ง" ตามธรรมชาติของมัน อาการเหนื่อยหรือ เพลียทางร่างกายย่อมมีขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ทางจิต

    มันเหมือนมีพลังอะไรนี่ล่ะค่ะ

    +++ มันเป็น"พลังของกายเวทนา" หรือ "พลังของความรู้สึกตัว" หรือเรียกว่า "พลังสติ" ก็ได้

    และช่วงที่ฝึกเร่ง หูข้างขวาจะรู้สึกอื้อนิดๆ ลมตีขึ้นแล้วอาเจียนน่ะค่ะ อาเจียนลม

    +++ ต้องสังเกตุว่าช่วงนั้น ท้องว่างด้วยหรือไม่ เพราะบางครั้งอาการ เรอลม ก็มีขึ้นได้เหมือนกัน

    ทีนี้มาสังเกตช่วงที่ฝึกเร่ง จะรู้สึกร้อนบริเวณใต้ผิวหนัง หายใจเข้าสั้นมาก หายใจออกยาวๆลักษณะค่อยๆปล่อยลมออกน่ะค่ะ แต่ความร้อนบริเวณใต้ผิวหนังยังเป็นอยู่ ช่วงที่ฝึกผ่อน อาการร้อนใต้ผิวหนังจะคลายจางลง หายใจปกติ

    +++ อาการตรงนี้ถูกต้องตามขั้นตอนของมันแล้วครับ

    พอเลิกฝึกสักพักหนึ่งแล้วแต่ยังรู้สึกว่าความร้อนบริเวณใต้ผิวหนังยังอยู่ ก็เลยลองเอามือซ้ายแตะสัมผัสเบาๆที่ผิวหนังตรงบริเวณลิ้นปี่ประมาณ 2-3 ครั้ง แตะสัมผัสทุกครั้งจะรู้สึกผิวหนังภายนอกขนลุกเย็นวาบทั่วร่างกายเลยน่ะค่ะ

    +++ ในขณะนั้น หากคุณไปแตะคนอื่น เขาก็จะเกิดอาการขนลุกเช่นกัน เพราะพลังยังตกค้างอยู่ นะครับ

    ลักษณะขนลุกเย็นวาบจะเริ่มจากบริเวณที่มือแตะแล้ววิ่งกระจายออกไปทั่วร่างกายน่ะค่ะ

    +++ แสดงว่า คุณเริ่มได้นิสัยในการกำหนด ความรู้สึกตัวทั้งร่างแล้ว จึงสามารถกระจายกระแสแห่งสัมผ้สได้

    เหมือนมันแยกให้เรารู้สึกได้ชัดเจนเลยระหว่างความร้อนบริเวณใต้ผิวหนัง กับขนลุกเย็นวาบบริเวณผิวหนังด้านนอกน่ะค่ะ

    +++ ถูกต้องแล้วครับ และแสดงได้ว่า สติ ของคุณเริ่ม ครองฐานได้ดี และในขณะนั้น ความรู้สึก ร้อน เย็น จึงสามารถแยกได้ชัดเจน โดยมีผิวหนังเป็นตัวแบ่งความแตกต่างได้

    +++ ขั้นตอนต่อไป หลังจากฝึก เข้า ออก อยู่ ตรึง เร่ง ผ่อน ต่าง ๆ ได้แล้ว ให้สมมุติว่า จิตปกติ หรือ "ออก" มีระดับความเข้มข้นของความรู้สึกที่ 0% และความรู้สึกที่ "เร่งจนถึงที่สุด" อยู่ที่ 100% ให้ฝึก "ตรึง" ความรู้สึกที่ 80% แล้ว "แช่" แล้ว "อยู่" ที่ 80% นั้น หากรู้สึกว่ามันลดลงก็ให้ "เพิ่ม" แล้วอยู่ในระดับ 80% ใหม่ จนชำนาญใน "อิริยาบทนั่ง" นะครับ

    +++ ส่วนในระหว่างการฝึก "ตามรอยพระพุทธบาท" ให้ "อยู่" ในราว ๆ 15-25% ประกอบไปด้วยนะครับ
     
  11. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ ในขณะจิตนั้น ๆ สติ "อยู่" ที่คลื่นความร้อน "ไม่ได้อยู่" ที่ผิวหนัง เวลาลมพัดมาจึงเหมือนกับ กระแสลมพัดมาปะทะกับ ผนังความร้อน และจริง ๆ แล้ว สภาวะในขณะนั้น ๆ เหมือนกับ ลมเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนกำแพงคลื่นความร้อนเป็นอีกส่วนหนึ่ง แยกต่างหากออกจากกัน ใช่หรือไม่

    ใช่ค่ะ อาการเป็นแบบที่อธิบายมานี้เลยค่ะ แต่ถึงแม้ว่ากระแสลมจะพัดมาปะทะกับผนังความร้อน เหมือนกับ ลมเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนกำแพงคลื่นความร้อนเป็นอีกส่วนหนึ่ง แยกต่างหากออกจากกัน แต่เราก็ยังได้สัมผัสรู้ถึงกระแสความเย็นของลมที่พัดผ่านน่ะค่ะ คือลมไม่กระทบผิวภายนอกน่ะค่ะ .. อืม ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี

    +++ ต้องสังเกตุว่าช่วงนั้น ท้องว่างด้วยหรือไม่ เพราะบางครั้งอาการ เรอลม ก็มีขึ้นได้เหมือนกัน

    น่าจะท้องว่างจริงๆค่ะ เพราะวันนั้นทานอาหารเจมื้อเช้ามื้อเดียว แต่สังเกตุลักษณะอาการอาเจียรนี่จะเหมือนกับตอนอาเจียรช่วงที่เคยดูม้าทรง(ม้าทรงตอนที่กำลังจะเข้าประทับร่างในเทศการกินเจ)น่ะค่ะ เป็นแค่แปบเดียวก็หายค่ะ

    ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับพลังขึ้นมานิดหน่อยแล้วค่ะ สมมุติว่าถ้ามีใครส่งพลังมา เราจะรู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณผิวหนังภายนอกใช่ไหมคะ เพราะเคยเป็นน่ะค่ะ ร้อนวูบวาบผิวหนังภายนอกบริเวณไหล่และใบหน้า เหมือนจะรู้ด้วยว่าพลังมาจากไหน บางทีก็”ตัวพูดมาก”มันเอ่ยชื่อคนนั้นมาให้รู้เลยน่ะค่ะ เป็นแค่แปบเดียวก็หาย มีครั้งหนึ่งพอมีอาการอย่างนี้แล้ว เลยลองโทรไปถามเพื่อนรุ่นน้องให้แน่ใจว่าใช่ครูบาอาจารย์เธอส่งพลังมาไหม เธอบอกว่าใช่ อาจารย์เธอส่งพลังมาตรวจดิฉันโดยผ่านการจ้องที่หน้าเธอ


    +++ ขั้นตอนต่อไป หลังจากฝึก เข้า ออก อยู่ ตรึง เร่ง ผ่อน ต่าง ๆ ได้แล้ว ให้สมมุติว่า จิตปกติ หรือ "ออก" มีระดับความเข้มข้นของความรู้สึกที่ 0% และความรู้สึกที่ "เร่งจนถึงที่สุด" อยู่ที่ 100% ให้ฝึก "ตรึง" ความรู้สึกที่ 80% แล้ว "แช่" แล้ว "อยู่" ที่ 80% นั้น หากรู้สึกว่ามันลดลงก็ให้ "เพิ่ม" แล้วอยู่ในระดับ 80% ใหม่ จนชำนาญใน "อิริยาบทนั่ง" นะครับ

    +++ ส่วนในระหว่างการฝึก "ตามรอยพระพุทธบาท" ให้ "อยู่" ในราว ๆ 15-25% ประกอบไปด้วยนะครับ

    กราบขอบพระคุณมากค่ะ จะเพียรพยายามค่อยๆหมั่นฝึกให้ชำนาญค่ะ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ใช่ค่ะ อาการเป็นแบบที่อธิบายมานี้เลยค่ะ แต่ถึงแม้ว่ากระแสลมจะพัดมาปะทะกับผนังความร้อน เหมือนกับ ลมเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนกำแพงคลื่นความร้อนเป็นอีกส่วนหนึ่ง แยกต่างหากออกจากกัน แต่เราก็ยังได้สัมผัสรู้ถึงกระแสความเย็นของลมที่พัดผ่านน่ะค่ะ คือลมไม่กระทบผิวภายนอกน่ะค่ะ .. อืม ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี

    +++ ยามใดก็ตาม หากเกิดอาการ "แยก" อีกครั้ง ใหสังเกตุด้วยว่า "ความรู้สึกทั้งตัว" นั้น "เป็นสิ่งถูกรู้ และ แยกออกจาก สภาวะแห่งเราด้วยหรือไม่" รวมทั้ง "เสียงต่าง ๆ" ถูกแยกออกแบบ ส่วนของใครส่วนของมัน หรือเรียกได้ว่า "มิติใครมิติมัน" รวมทั้ง "ตัวพูดมาก" ก็ถูกแยกไปด้วยกัน ทั้งหมด แยกออกจากกันเป็นอิสระ รวมทั้ง "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" แบบ "ของใครของมัน มิติใครมิติมัน" ด้วยหรือไม่ โดยที่ สภาวะแห่งเรา ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย

    +++ ตรงนี้อาจต้อง เข้าไปรู้ หลาย ๆ ครั้ง จนกว่าจะ รู้แจ้ง นะครับ

    ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับพลังขึ้นมานิดหน่อยแล้วค่ะ สมมุติว่าถ้ามีใครส่งพลังมา เราจะรู้สึกร้อนวูบวาบบริเวณผิวหนังภายนอกใช่ไหมคะ เพราะเคยเป็นน่ะค่ะ ร้อนวูบวาบผิวหนังภายนอกบริเวณไหล่และใบหน้า เหมือนจะรู้ด้วยว่าพลังมาจากไหน บางทีก็”ตัวพูดมาก”มันเอ่ยชื่อคนนั้นมาให้รู้เลยน่ะค่ะ เป็นแค่แปบเดียวก็หาย มีครั้งหนึ่งพอมีอาการอย่างนี้แล้ว เลยลองโทรไปถามเพื่อนรุ่นน้องให้แน่ใจว่าใช่ครูบาอาจารย์เธอส่งพลังมาไหม เธอบอกว่าใช่ อาจารย์เธอส่งพลังมาตรวจดิฉันโดยผ่านการจ้องที่หน้าเธอ

    +++ ทุกอย่าง ใช่ครับ แต่ถ้าหากคุณ "อยู่" ในความรู้สึกทั้งตัวที่ 15-25% ในอิริยาบทปกติแบบใดก็ได้ อาการ รับรู้ จะเด่นชัดและรวดเร็วกว่านี้มาก และจะเริ่มพัฒนาเข้าสู่สถานะที่ สติ ละเอียดกว่านี้ รวมทั้งความ ว่องไวทางจิต ก็จะวิวัฒนาการไปในอีกระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน

    +++ ในเวลา "นั่งสมาธิ" พยายามให้ "อยู่" ในระหว่าง 80-100% เพื่อทำการ "แยก" จนกว่าจะ "เห็น" สภาวะธรรม ชัดเจน
    +++ ในเวลาปกติ "ทุกอิริยาบท" พยายามให้ "อยู่" ในระหว่าง 15-25% จนเป็นนิสัย รวมทั้ง "ตามรอยบาทพระพุทธองค์" ด้วย
    +++ ในเวลา "นอน" พยายามให้ "อยู่" ที่ประมาณ 50% หากจะหลับก็ปล่อยหลับไป หากไม่หลับก็ปล่อยอยู่อย่างนั้น ไม่เดือดร้อนอะไร

    +++ ไม่นานก็จะพัฒนาผ่านขั้นตอนนี้ ไปสู่ขั้นตอนที่ละเอียดกว่านี้ได้ นะครับ
     
  13. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ตรงนี้เอง ผมก็ไม่เคยทำเลยครับ ตั้งแต่นี้ไปผมคงต้องเริ่ม ว่าแต่ท่านอนนี่กำจัดไหมครับ เพราะปรกติผมเองจะนอนตะแคงน่ะครับ
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ไม่จำกัด "รูปแบบ" ครับ เอาเฉพาะ "เนื้อหา" ดีกว่า
     
  15. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    # 154
    +++ ส่วนในระหว่างการฝึก "ตามรอยพระพุทธบาท" ให้ "อยู่" ในราว ๆ 15-25% ประกอบไปด้วยนะครับ

    #156
    +++ ในเวลา "นั่งสมาธิ" พยายามให้ "อยู่" ในระหว่าง 80-100% เพื่อทำการ "แยก" จนกว่าจะ "เห็น" สภาวะธรรม ชัดเจน
    +++ ในเวลาปกติ "ทุกอิริยาบท" พยายามให้ "อยู่" ในระหว่าง 15-25% จนเป็นนิสัย รวมทั้ง "ตามรอยบาทพระพุทธองค์" ด้วย
    +++ ในเวลา "นอน" พยายามให้ "อยู่" ที่ประมาณ 50% หากจะหลับก็ปล่อยหลับไป หากไม่หลับก็ปล่อยอยู่อย่างนั้น ไม่เดือดร้อนอะไร

    พอดีเพิ่งมาสะดุดที่โพสท์ #154, #156 เห็นคุณธรรม-ชาติ เน้นถึงสองครั้งเกี่ยวกับการฝึก "ตามรอยพระพุทธบาท" ตรงนี้เน้นเรื่องการเดินจงกรมใช่ไหมคะ? คือแบบว่าเมื่อคืนวันศุกร์ดิฉันฝึกตามแบบโพสท์ที่ #3 กระทู้ “ตามรอยพระพุทธบาท” น่ะค่ะ ก่อนจะฝึกก็ปริ้นมาอ่านซ้อมทำเล่นๆให้เข้าใจทีละขั้นตอนจนจำคล่อง พอเริ่มฝึกจริงๆครั้งแรกก็เกิดสภาวะนี้ขึ้นน่ะค่ะ

    ก่อนหน้านั้นจะฝึก เข้า ออก เร่ง ตรึง แช่ ผ่อน ในอิริยาบทธรรมดา แต่ในความธรรมดาจะสังเกตุดูการเกิดดับ เกิดดับ ตัวอย่างเช่น อยู่ๆก็เกิดอารมณ์ไม่ดี พอเรารู้ว่าอารมณ์ไม่ดีแล้วตามดูที่รู้ อารมณ์ไม่ดีก็ดับไป อยู่ๆก็ปวดไหล่จี๊ดเหมือนมีเข็มปักคาไว้ พอเรารู้แล้วเราดูที่รู้ อาการปวดก็หายไป ถ้ามีใครพยายามวุ่นวายกับเรามากๆจนรู้สึกไม่พอใจ พอรู้ว่าไม่พอใจปั๊บ อาการไม่พอใจก็หายไป คือมันจะ เกิด ดับ เกิด ดับ ของมันเองโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับมันน่ะค่ะ ( แบบว่า เกิดปุ๊บ รู้ปั๊บ หายวับทันที :cool:) บางครั้งจะรู้สึกแยกได้ชัดเจนว่า ตัวรู้ กับ ตัวดู มันคนละตัวกัน แต่บางครั้งก็ผสมผสานกันไป เพราะคงฝึกยังไม่ถึงระดับละเอียดมากน่ะค่ะ บางครั้งดูไม่ทัน แค่รู้ อาการนั้นก็หายแล้วน่ะค่ะ สภาวะเกิดดับนี้จะแตกต่างกับเมื่อก่อนมากค่ะ เมื่อก่อนพอเรารู้ว่าปวด ยิ่งปวดหนักเข้าไปอีก ตอนนี้พอเรารู้ว่าปวด อาการปวดมันก็หายแล้ว
     
  16. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    แม้น่าเสียดายนะครับที่คุณจิตวิญญาณไม่สะดวกแบบผม ที่ได้มีโอกาสอันดีได้รับคำแนะนำจากคุณธรรมชาติโดยตรง ขนาดอ่านเอายังไปได้ขนาดนี้ ถ้าได้มีโอกาสแบบผมนี่สงสัย ทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    พอดีเพิ่งมาสะดุดที่โพสท์ #154, #156 เห็นคุณธรรม-ชาติ เน้นถึงสองครั้งเกี่ยวกับการฝึก "ตามรอยพระพุทธบาท" ตรงนี้เน้นเรื่องการเดินจงกรมใช่ไหมคะ?

    +++ ใช่ครับ การเดินจงกรม เป็นพื้นฐานของ ทุกอิริยาบท เป็นพื้นฐานของการ ไม่จำกัดกาลเวลา และดำรงค์ชีวิตอยู่แบบธรรมชาติ เป็นพื้นฐานของการไม่จำกัด รูปแบบ ทุกอย่างชี้ไปที่ เนื้อหา ของการปฏิบัติเท่านั้น

    คือแบบว่าเมื่อคืนวันศุกร์ดิฉันฝึกตามแบบโพสท์ที่ #3 กระทู้ “ตามรอยพระพุทธบาท” น่ะค่ะ ก่อนจะฝึกก็ปริ้นมาอ่านซ้อมทำเล่นๆให้เข้าใจทีละขั้นตอนจนจำคล่อง พอเริ่มฝึกจริงๆครั้งแรกก็เกิดสภาวะนี้ขึ้นน่ะค่ะ

    ก่อนหน้านั้นจะฝึก เข้า ออก เร่ง ตรึง แช่ ผ่อน ในอิริยาบทธรรมดา แต่ในความธรรมดาจะสังเกตุดูการเกิดดับ เกิดดับ ตัวอย่างเช่น อยู่ๆก็เกิดอารมณ์ไม่ดี พอเรารู้ว่าอารมณ์ไม่ดีแล้วตามดูที่รู้ อารมณ์ไม่ดีก็ดับไป อยู่ๆก็ปวดไหล่จี๊ดเหมือนมีเข็มปักคาไว้ พอเรารู้แล้วเราดูที่รู้ อาการปวดก็หายไป ถ้ามีใครพยายามวุ่นวายกับเรามากๆจนรู้สึกไม่พอใจ พอรู้ว่าไม่พอใจปั๊บ อาการไม่พอใจก็หายไป คือมันจะ เกิด ดับ เกิด ดับ ของมันเองโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับมันน่ะค่ะ (แบบว่า เกิดปุ๊บ รู้ปั๊บ หายวับทันที)

    +++ ถูกต้องครับ อาการ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" นั้น ของจริงจะต้องไม่มีการแทรกแซงด้วย ความคิด ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดทั้งสิ้น ทุกอย่างจะต้องเกิดจาก "รู้ จนกลายเป็น เห็น" ซึ่งภาษาบาลีท่านเรียกว่า ญาณทัศนะ นั่นเอง เมื่อ สติ สามารถตั้งฐานจนเป็นสมาธิด้วยตัวของ สติ เองได้แล้ว อาการของ "ไตรลักษณ์" จึงเป็น อัตโนมัติ ได้ด้วยตัวของมันเอง ปราศจากการแทรกแซงใด ๆ ทางจิต

    บางครั้งจะรู้สึกแยกได้ชัดเจนว่า ตัวรู้ กับ ตัวดู มันคนละตัวกัน

    +++ ถูกต้องแล้วครับ ตัวดู คือ "ผู้รู้" ที่ยัง "ถูกรู้" ได้ด้วย "สภาวะรู้" และตัวดูคือ "วิญญาณในขันธ์ 5 อายตนะ 6"

    แต่บางครั้งก็ผสมผสานกันไป เพราะคงฝึกยังไม่ถึงระดับละเอียดมากน่ะค่ะ บางครั้งดูไม่ทัน แค่รู้ อาการนั้นก็หายแล้วน่ะค่ะ สภาวะเกิดดับนี้จะแตกต่างกับเมื่อก่อนมากค่ะ

    เมื่อก่อนพอเรารู้ว่าปวด ยิ่งปวดหนักเข้าไปอีก

    +++ เหตุเกิดเพราะ "ตัวดู" เลยทำให้ "ยิ่งดูยิ่งปวด"

    ตอนนี้พอเรารู้ว่าปวด อาการปวดมันก็หายแล้ว

    +++ เหตุเกิดเพราะ "ตัวดูถูกรู้" เลยทำให้ "ตัวดูจางคลาย เลยหายปวด"
    +++ ธรรมชาติของความแตกต่างระหว่าง จิตและสติ ย่อมเป็นเช่นนี้แหละครับ
     
  18. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    คุณwatjojoj ..แม้น่าเสียดายนะครับที่คุณจิตวิญญาณไม่สะดวกแบบผม ที่ได้มีโอกาสอันดีได้รับคำแนะนำจากคุณธรรมชาติโดยตรง

    ..อนุโมทนา สาธุ ด้วยนะคะ นับเป็นบุญวาสนาของคุณอย่างยิ่งเลย หวังว่าโอกาสหน้าคงมีวาสนาได้เจอท่านเหมือนกันค่ะ ช่วงที่ฝึกใหม่ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งดิฉันนั่งอยู่หน้าบ้านแล้วระลึกถึงคุณธรรม-ชาติ(ด้วยความเคารพและสำนึกในบุญคุณที่ท่านเสมือนเป็นครูบาอาจารย์สอนเรา) ช่วงที่ระลึกถึงท่านพร้อมกับมองดูธรรมชาติของท้องฟ้าและต้นไม้เล็กใหญ่รอบๆบริเวณ ปรากฏว่าเกิดอาการวื๊บขึ้นแล้วรู้สึกว่าเราอยู่อีกมิติหนึ่งในท่ามกลางของธรรมชาติที่เหมือนมีชีวิต มีความรู้สึก แต่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งตัวตนน่ะค่ะ เป็นได้สักไม่กี่วินาทีก็วื๊บกลับมาเป็นปกติ ต้นไม้ธรรมชาติที่เห็นปกติจะแตกต่างกับต้นไม้ธรรมชาติในมิติที่เราได้สัมผัสน่ะค่ะ

    ขนาดอ่านเอายังไปได้ขนาดนี้ ถ้าได้มีโอกาสแบบผมนี่สงสัย ทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

    .. ตรงนี้คงให้เกียรติท่านสุภาพบุรุษนำหน้าก่อนนะคะ ยังไงก็อย่าปล่อยทิ้งกันให้งมโข่งในมหาสมุทรอยู่คนเดียวนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2013
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    มองดูธรรมชาติของท้องฟ้าและต้นไม้เล็กใหญ่รอบๆบริเวณ ปรากฏว่าเกิดอาการวื๊บขึ้นแล้วรู้สึกว่าเราอยู่อีกมิติหนึ่งในท่ามกลางของธรรมชาติที่เหมือนมีชีวิต มีความรู้สึก แต่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งตัวตนน่ะค่ะ เป็นได้สักไม่กี่วินาทีก็วื๊บกลับมาเป็นปกติ ต้นไม้ธรรมชาติที่เห็นปกติจะแตกต่างกับต้นไม้ธรรมชาติในมิติที่เราได้สัมผัสน่ะค่ะ

    +++ ใสกว่า โล่งกว่า โปร่งกว่า เบากว่า สีสรรทุกชนิดสดกว่า ต้นไม้ตามธรรมชาติ แทบจะระบุเพศได้ สรรพสิ่งรื่นรมณ์มากกว่า ความชัดเจนในสรรพสิ่งมากกว่า มีความสุขมากกว่า มีความสวยงามมากกว่า ในขณะนั้นมันเป็น ภูมิ ที่เรียกว่า สวรรค์บนดิน ที่ฝรั่งเรียกมันว่า paradise หรือชาวบ้านชนบทเรียกมันว่า ลับแล หรือ ภูมิเทวา ก็ได้ และมันเป็นภูมิที่ พระธุดงค์ บางองค์ที่ ธุดงค์หาย ไปอยู่ที่นั่น และบางทีจึงกลับออกมาสอนลูกศิษย์เมื่อถึงเวลาอันสมควร เมื่อการฝึกของคุณถึงจุดหนึ่งแล้ว เรื่องของการเปลี่ยนภพแปลงภูมิ รวมทั้งรอยต่อของมันที่คุณได้ประสพการณ์มาชั่ววูปนี้ จะเป็นที่สิ้นสงสัยสำหรับคุณได้อย่างแน่นอน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ มหาสติที่ครองฐานได้เท่านั้น นะครับ
     
  20. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ ใสกว่า โล่งกว่า โปร่งกว่า เบากว่า สีสรรทุกชนิดสดกว่า ต้นไม้ตามธรรมชาติ แทบจะระบุเพศได้ สรรพสิ่งรื่นรมณ์มากกว่า ความชัดเจนในสรรพสิ่งมากกว่า มีความสุขมากกว่า มีความสวยงามมากกว่า ในขณะนั้นมันเป็น ภูมิ ที่เรียกว่า สวรรค์บนดิน ที่ฝรั่งเรียกมันว่า paradise หรือชาวบ้านชนบทเรียกมันว่า ลับแล หรือ ภูมิเทวา ก็ได้ และมันเป็นภูมิที่ พระธุดงค์ บางองค์ที่ ธุดงค์หาย ไปอยู่ที่นั่น และบางทีจึงกลับออกมาสอนลูกศิษย์เมื่อถึงเวลาอันสมควร เมื่อการฝึกของคุณถึงจุดหนึ่งแล้ว เรื่องของการเปลี่ยนภพแปลงภูมิ รวมทั้งรอยต่อของมันที่คุณได้ประสพการณ์มาชั่ววูปนี้ จะเป็นที่สิ้นสงสัยสำหรับคุณได้อย่างแน่นอน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ มหาสติที่ครองฐานได้เท่านั้น นะครับ

    ขอบพระคุณมากค่ะ คุณธรรม-ชาติต้องเคยไปเมืองลับแลบ่อยแน่เลย เพราะอธิบายได้ตรงเปะเลยน่ะค่ะ ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกค่ะที่ตั้งแต่ครั้งนั้นมา พอดิฉันมองดูต้นไม้ปกติทีไรแล้วมีความรู้สึกว่ามันแห้งแล้งยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกน่ะค่ะ

    พูดถึงภพภูมิ อยากจะเล่าให้ฟังต่อนิดหน่อยน่ะค่ะ คือเมื่อหลายเดือนก่อนที่จะเข้ามาโพสท์ในกระทู้นี้ ดิฉันเคยคิดน่ะค่ะว่าอยากย้ายไปอยู่ที่อื่น ที่ไหนก็ได้ที่เป็นอะไรที่เป็นธรรมชาติ อยู่ห่างไกลผู้คนใจบาป พอตกกลางคืนนอนหลับก็ฝันเลยค่ะ ฝันว่าได้อยู่ที่แห่งหนึ่ง เป็นที่สูงมาก สามารถมองลงไปเห็นวิวภูเขาที่สวยสดงดงาม มองเห็นแม่น้ำกว้างใหญ่ที่สวยงามตะกาลตามากค่ะ ดูไปดูมาก็คล้ายๆท้องทะเล มองดูรอบๆบริเวณจะมีอะไรสวยงามคล้ายๆทะเลหมอกน่ะค่ะ ที่ๆดิฉันยืนอยู่จะเป็นที่ราบแต่สูงชันมาก มีแสงสีสว่างสดใสส่องจากด้านบนลงมาเป็นทางยาว เป็นอะไรที่ดูแล้วรู้สึกมีความสุขมากน่ะค่ะ แต่สังเกตบริเวณนั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย ในฝันก็คิดนะคะว่า ที่นี่แหล่ะใช่เลย แถวนี้มันที่ไหน อยากซื้อปลูกบ้านพักสักหลัง พอตื่นขึ้นมาก็ยังจำภาพและความรู้สึกในฝันได้น่ะค่ะ ทุกวันนี้แค่นั่งหลับตานึกถึงสถานที่ในฝันนั้นแล้วสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆยาวๆ ก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆเลยน่ะค่ะ ... ตรงนี้ก็เป็นอีกภพภูมิหนึ่งใช่หรือเปล่าคะ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...