เรื่องเด่น เครื่องโบอิ้ง 777-200ERรสายการบินมาเลเเชียแอร์ไลน์สพร้อมผู้โดยสารกับลูกเรือ 239 คน

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ขุนเวช, 8 มีนาคม 2014.

  1. Anti-God

    Anti-God เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +377

    รูปดูไม่ได้ มันเป็นภาพพิ้นสีดำ เหมือนไฟล์ภาพเสีย
     
  2. จำปาแมน

    จำปาแมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    854
    ค่าพลัง:
    +2,166
    รอฟังข่าวครับ........................

    ขอบคุณครับ
     
  3. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    ไฟล์ไม่ได้เสียหรอกครับ แต่ใช้มือปิดหน้ากล้องหรือถ่ายในที่ไม่มีแสงเลย ก็จะได้ภาพแบบนี้ เพื่อที่จะเปรียบเทียบกับภาพพื้นสีดำ ที่บอกว่าถ่ายจาก Diego Gracia โดยเอ็นจิเนียของ IBM ที่ไปกับเครื่อง MH370 จากที่อ่านบอกว่าเค้าถ่ายโดยการใช้คำสั่งเสียง สั่งให้ iPhone5 ขณะที่ถูกกักขังในห้องมืด แล้วใช้คำสั่งเสียงให้โทรศัพท์ส่งภาพนี้ออกมา เลยทำให้คนภายนอกรู้ว่าเหตุการณ์โยงใยยังไง

    ถ้าภาพนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับMH 370 เลยแต่มีคนที่อยู่ที่ Diego Gracia สร้างเรื่องหลอกลวงขึ้นมาก็สามารถทำได้ คือเอากล้องไปถ่ายพร้อมเปิด GPS แล้วเอาภาพมาตแต่งเรื่องให้สมจริง

    .
     
  4. serm

    serm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +331
    Fake แน่นอนครับ GPS ระบุตำแหน่งอยู่ในอาคารซะด้วย บอกตง ใช้ GPS มาเยอะแล้ว อยู่ในอาคาร มันสัญญาณ เข้าไม่ถึงน่ะครับ ส่งออกมาได้ไง ระบุว่าอยู่ในโกดังซะด้วย
     
  5. Kriangkrai29

    Kriangkrai29 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +150
    แล้วยังไงต่อครับ ผมรออ่านอยู่ :)
     
  6. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    [​IMG]

    Black Box ในไฟล์ท MH 370 มี 2 ตัว คือ FDR กับ CVR ซึ่ง FDR สามารถบันทึกได้นาน 25 ชั่วโมง เกี่ยวกับข้อมูลต่างๆหลายพันพารามิเตอร์ ส่วน CVR จะเก็บข้อมูลที่บันทึกไว้เพียง 2 ชั่วโมงสุดท้าย เท่านั้น

    .
     
  7. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681

    เพียงแค่จะบอกว่า ใครที่มีมือถือสมาร์ทโฟนพร้อมฟังชั่น GPS ก้อสามารถแต่งเรื่องลักษณะนี้ได้ ผมเห็นว่าข้อมูลยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า เที่ยวบิน MH370 ถูกจี้แล้วไปลงจอดที่ เกาะ Diego Gracia ของอังกฤษ เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งฐานทัพของอเมริกา จากการคาดการณ์ของเหล่าผู้รู้ ครับ

    .
     
  8. neoReloaded

    neoReloaded เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +675
    ***อยากทราบครับภาพที่ถ่ายออกมา สามารถดัดแปลงสถานที่ถ่ายได้หรือเปล่า***

    ถ้าไม่ได้ ประเด็นคือ คนนอกจะเข้าไปที่ฐานทัพอเมริกาได้ง่ายๆ หรือครับ!!! หรือถ้าเป็นคนภายในแกล้งทำ ผมว่าต้องมีการลงโทษแน่ๆ เพราะมีหลักฐานเครื่องชัดเจน แต่ผมคิดว่า คงไม่มีคนในกองทัพโรคจิตแต่งเรื่องพร้อมส่งภาพออกมาแบบนี้มั้งครับ

    แค่ตั้งข้อสังเกตน่ะครับ
     
  9. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    เปลี่ยนง่ายมากครับ ดูต้นฉบับที่บอกตำแหน่ง Diego Gracia (ซ้ายมือ) เทียบกับ ไฟล์ที่ผม Copy แล้วเปลี่ยนตำแหน่ง GPS เป็น Port Blair แทน ( ขวามือ )

    [​IMG]

    [​IMG]

    * ต่างกันแค่ ระดับน้ำทะเล

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    ผมลองเปรียบเทียบไฟล์ที่บอกว่ามาจาก Diego Gracia (ซ้ายมือ ) กับ ไฟล์ที่ผมถ่ายเป็นต้นฉบับ ไม่เคยผ่านการทำอะไรเลย ( ขวามือ )


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ดูแล้วสรุปว่า ผ่านการแก้ไขข้อมูล metadata มาก่อนแล้ว เวลามีการขัดแย้ง ผ่านการใช้ XMP Toolkit และ Photoshop

    [​IMG]

    Comparison of metadata editors - Wikipedia, the free encyclopedia

    แล้วจะเชื่อถืออะไรง่ายๆ ได้อย่างไรครับ คนที่ทำเพื่อความสนุกหรือตั้งใจหลอกลวง มีเยอะมากในโลกใบนี้ แต่คนที่รู้ทันจริงๆจะมีสักกี่คน

    .
     
  11. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    สมาร์ทโฟน เดี๋ยวนี้ได้เปรียบกว่า เครื่อง GPS ครับ การหาตำแหน่ง/ที่ตั้งของสมาร์ทโฟน จะใช้เครือข่ายเซลลูลาร์, Wi-Fi, Bluetooth และ GPS ร่วมกันเพื่อกำหนดตำแหน่ง/ที่ตั้งของคุณได้แม่นยำขึ้น และหากคุณไม่ได้อยู่ในเส้นทางการมองที่ชัดเจนของดาวเทียม GPS สมาร์ทโฟนของคุณก็สามารถกำหนดที่ตั้งของคุณได้โดยใช้ฐานข้อมูลเก็บแหล่งความหนาแน่นแบบ Wi-Fi5 และที่ตั้งของเสาสูงส่งสัญญาณ หรือ iBeacons ครับ และที่เห็นๆ ผมอยู่เมืองไทยแต่สามารถเข้าไปเปลี่ยนข้อมูล GPS ในรูป ให้เป็นที่ใดๆในโลกใบนี้ก็ได้

    .
     
  12. Kriangkrai29

    Kriangkrai29 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +150
    แล้วคุณ hiflyer คิดว่าเครื่องบินมันไปไหนแล้วครับ ผมอยากรู้มากๆ ถ้ามีมโนมยิทธิจะไม่ง้อใครเลยครับ
     
  13. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    ผมไม่ทราบครับ แต่ผมเชื่อว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

    จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ที่มีอยู่จนถึงวันนี้ เครื่องน่าจะตกในย่านที่กำลังค้นหากัน แต่ไม่ง่ายเพราะมหาสมุทรกว้างใหญ่มาก มีอุปสรรคและข้อจำกัดมากมาย จากการวิเคราะห์และคำนวณพิสัยการบินจากปริมาณน้ำมัน เมื่อวานได้ร่นพื้นที่ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 1000 กม.

    [​IMG]

    แบตเตอรรี่ของกล่องดำ น่าจะยังขยายเวลาออกไปได้อีก 5-10 วันจากสเปคบอกว่า 30 วัน คราบใดที่ใจยังสู้ ไม่ท้อถอย วันพรุ่งนี้อาจพบกับความสำเร็จได้

    .
     
  14. Kghee

    Kghee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +26
    ไขปริศนา..บทสุดท้าย MH370 และหักเหลี่ยมโหด สองโคตรไอ้เหี้ยม (31 รูป)
    24 มี.ค.57 ไขปริศนา..บทสุดท้าย MH370 และหักเหลี่ยมโหด สองโคตรไอ้เหี้ยม

    ในที่สุดก็เป็นไปตามที่คาดคำนวณจุดสูญหายไปของเที่ยวบิน MH370 พร้อมลูกเรือและผู้โดยสารอีก 239 คน ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.57 ที่ผ่านมา เมื่อมี 3 ประเทศเริ่มออกมายืนยันจุดเคร...ื่องจมลงไปใต้ทะเล คือ อินเดีย จีน และมาเลย์ ว่าเครื่องบินน่าจะตกในทะเล เพราะดาวเทียม บ. I...nmarsat ของอังกฤษ ตรวจวัด Doppler effect ของสัญญาณดาวเทียม ซึ่งบ่งชี้ว่าเครื่องบินลำนี้ได้ “ บินในวิถีโค้งจากเหนือลงใต้ “ เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ชั่วโมง แม้ระบบสื่อสารของเครื่องบินจะถูกปิด แต่สัญญาณ ping จากเครื่องบินยังถูกส่งจากเครื่องบินให้ดาวเทียมตรวจจับได้ นับตั้งแต่มันสูญหายไปจากจอเรดาร์เมื่อกลางดึกของวันที่ 8 มีนาคม

    และยังมีการค้นพบชิ้นส่วนต้องสงสัยขนาดใหญ่ อยู่บริเวณทิศใต้ ของมหาสมุทรอินเดีย อยู่ทางฝั่งตะวันตก ของเมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย ห่างไปราว 2,400 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลมาก และมหาสมุทรก็ลึกเกินจินตนาการ มีสภาพคลื่นลมแรง และอากาศหนาวเย็น

    สอดคล้องกับที่ เสธ เคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ ว่าการสูญหายของเครื่องบินนี้ ต้องถูกทำให้จมลงจุดบริเวณนี้เพื่ออำพราง ส่วนคนอื่นจะมีสมมุติฐานอย่างไร ก็แล้วแต่ความเชื่อ แต่การข่าวเชิงลึกระหว่างประเทศที่ได้รับมา ประมวลสรุปโดยย่อๆ คือ

    เริ่มต้นจากลุงแซม ขนวัตถุนิวเคลียร์และอาวุธชีวภาพใส่คอนเทนเนอร์ขนาดไม่ใหญ่มาก ด้วยเรือที่ติดธงสัญชาติตัวเอง มาที่เกาะเล็กๆ ชื่อสาธารณรัฐเชสเซลเลส ที่อยู่ทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย จากนั้นขนต่อมาที่มาเลย์ และใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขึ้นเครื่องบินลำนี้ จะนำไปลงที่ปักกิ่ง ของจีน (ไม่แน่ชัดว่าองค์กรใดสั่งของนี้) และประจวบกับมีการขนชิพคอมพิวเตอร์วงจรไฮเทค โดยผู้โดยสารไต้หวันกลุ่มหนึ่ง ไปลงเครื่องที่ปักกิ่ง ของจีน เช่นกัน ซึ่งชิพนี่สามารถทำให้ขีปนาวุธตรวจไม่พบด้วยเรด้าห์ เพื่อไปขายและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีน

    เมื่อจีนและรัสเซียรู้ระแคะระคาย จึงวางแผนจะบังคับเครื่องบินเที่ยวนี้ ไปลงที่สนามบินไหหลำ ของจีน เพื่อตรวจดูว่ามันคือสินค้าอะไรกันแน่ที่ในตู้คอนเทนเนอร์ แต่ก่อนเครื่องบินจะขึ้นมีความผิดปกติคือไม่รู้หน่วยใด มีการสังหารหน่วยซีลลุงแซมนอกราชการ ที่มีความเชี่ยวชาญการรบสูง และออกมาทำงานลับ จำนวน 2 คน ที่มาเลย์ เพื่อคุ้มครองสินค้ามีมูลค่าสูง ให้กับบริษัทลุงแซม ลักษณะคล้ายๆ ฆ่าตัดตอน หรือฆ่าปิดปาก

    ก่อนเครื่องบินจะเทคออฟขึ้นจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์ มาเลย์ ช่วงเวลา 12.41 น. (การข่าวก็พบความผิดปกติอีก คือ มีผู้โดยสารราว 4-5 คนเช็คอิน แต่ดันไม่ขึ้นเครื่องลำนี้ไปด้วย !!) เมื่อเครื่องขึ้นแล้วได้มุ่งหน้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงไปทางทะเลจีนไต้ เข้าใกล้เรดาห์พาณิชย์ของเวียดนาม จากนั้นได้มีเครื่องบินชนิดรบกวนสัญญาณ Primary เรด้าห์ (เรดาห์พื้นฐานชนิดที่เห็นทั่วไปที่สนามบินใช้ จะมีระบบอยู่ที่พื้นดิน โดยมีเสาอากาศที่หมุนได้ เพื่อส่งพลังงานวิทยุออกไปเป็นห้วงสั้นๆ เมื่อกระทบกับ เครื่องบิน ก็จะส่งสัญญาณนั้นกลับมายังเสาอากาศของเรดาร์ ประมวลผลแล้วจึงแสดงออกมาทางจอภาพ) เช่น AWAC บินจากจุดระยะทำการที่ใดสักแห่ง ประกบเครื่องบินนี้ทำให้สัญญาณ Primary เรด้าห์ตรวจไม่พบ

    แล้วก็มีเครื่องบินล่องหนจากเรดาห์ได้ เสตลล์ รูปร่างคล้ายจานบินสีดำ บินประกบอีก 1-2 ลำ เพื่อควบคุมทิศทางเครื่องบินตามต้องการ จุดนี้เป็นได้ 2 กรณี คือ กรณีแรก การควบคุมรีโมทเครื่องบินจากภายนอกซึ่งทำได้อยู่แล้ว เพราะเป็นระบบของบริษัทผลิตเครื่องบินที่ทำระบบนี้ไว้ แต่ต้องทำโดยระดับรัฐบาลเท่านั้น กรณีสอง ภายในเครื่องบิน ทีมหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่แฝงตัวมา อาจร่วมกับลูกเรือ หรือนักบิน ทำการเข้าไปในห้องนักบิน ทำการปิดระบบ transponder ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Secondary เรด้าห์ที่ใช้เป็นสากล

    (คล้ายระบบ SMS เป็นอีกระบบ หนึ่งมีส่วนประกอบอยู่สามส่วน ที่เพิ่มเติมจากแบบแรก คือ Decoder = มีหน้าที่ควบคุม interrogator และ แปลข้อมูลที่ส่งมาจาก transponder, Interrogator = เป็นอุปกรณ์ติดตั้งกับเสาอากาศของเรดาร์ทำหน้าที่ส่งสัญณาณ และรับสัญาณที่ส่งมาจาก transponder, และ transponder = เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน)

    สำหรับส่งตำแหน่งเครื่องบินพาณิชย์ ให้หอควบคุมการบินทราบตำแหน่งละติจูด และลองติจูด โดยผู้ควบคุมเครื่องบินกล่าวเป็นคำสุดท้ายว่า “ออลไรด์ กู๊ดไนท์” แล้วจึงปิดระบบ transponder นี้ระยะห่างเวลา 10-14 นาที จนในเวลา 01.21 น. ทำให้สัญญาณตำแหน่งเครื่องบินหายวับไปจากจอ Secondary เรด้าห์ภาคพื้นดินทันที ก่อความโกลาหลขึ้นในเวลาต่อมา จากนั้นผู้จี้ควบคุมเครื่องบิน ก็หันทิศทางเครื่องบินกลับด้าน ย้อนมาทางเดิมมุ่งหน้าทิศตะวันตกเฉียงไต้ เพื่อไม่ให้ผ่านประเทศไทย เพราะอาจจะโดนโจมตีด้วยเครื่องบินขับไล่ได้ แล้วเตรียมพร้อมสำหรับทีมตัวเอง โดยใส่อุปกรณ์หน้ากากอ๊อกซีเจนรับการเปลี่ยนแปลงความดันเฉียบพลัน (อุปกรณ์ป้องกันเหมือนนักบินเจ๊ตขับไล่เหนือเสียง)

    และคนพวกนี้ต้องมีประสบการณ์ และถูกฝึกมาให้ทนต่อแรงกด และ G (แรงโน้มถ่วง) มหาศาล ทำการปรับเพดานบินจาก 25,000-30,000 ฟุต พุ่งโด่งขึ้นสูงลิ่วเกินกำหนดไปที่ 45,000 ฟุต และทิ้งตัวลดเพดานบินลงต่ำอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้หน้ากากอ๊อกซิเจนจะตกลงมาอัตโนมัติ ผู้โดยสารจะรีบคว้ามาครอบปากและจมูก แต่เขาก็ตัดอ๊อกซิเจนในห้องผู้โดยสารทั้งหมดอีก เหลือไว้เฉพาะพวกบังคับเครื่องบิน จนเพดานบินลดต่ำเหลือ 5,000 ฟุต ส่งผลให้ผู้โดยสาร และลูกเรืออื่นน๊อคไปทันที (เด็ก 2 คนอาจตายทันทีช่วงนี้) จากการเปลี่ยนแปลงความดัน โดยไม่มีใครสามารถต่อต้านการบังคับใดๆ ได้เลย เป็นเวลานานหลายชั่วโมง

    ส่วนเครื่องบิน เสตลล์ และ AWAC ก็ทำหน้าที่นำทางเครื่องลำนี้ที่ตกอยู่ในสภาพเหมือนคนตาบอด เครื่องบินทั้ง 3 ชนิด ได้บินผ่านมาทางใกล้ชายแดนทางตอนไต้ของไทย ผ่านน่านฟ้ามาเลย์ จุดนี้เรดาห์ชนิด Primary เรด้าห์ของชายชุดฟ้าของไทย และของทหารมาเลย์ จับสัญญาณเครื่องบินพาณิชย์นี้ได้ แต่จับตำแหน่งเสตลล์ และ AWAC ล่องหนเรดาห์ไม่ได้ ในตำแหน่งใกล้เคียง และเวลาใกล้เคียงกัน อีกทั้งมีชาวบ้าน ชาวประมงทั้งไทย และมาเลย์ จำนวนมากจากหลายจุด ได้ยินเสียงบูมกระแทกอากาศดังสนั่น พร้อมเห็นเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ และเสตลล์สีดำ ด้วยตาเปล่า บินประกบเครื่องบินลำนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว

    แต่มาเลย์ไม่ยอมแถลงทันที เพราะว่าอับอายที่ต้องเปิดเผยว่า ประเทศตนเองมีช่องว่างในระบบการป้องกันภัยความมั่นคงทางอากาศ เมื่อเครื่องบินๆ ต่ำผ่านช่องแคบมะละกาไปได้ เครื่องบินทั้ง 3 ชนิด ก็ปรับเส้นทางใหม่อีกครั้ง โดยเชิดหัวขึ้นความสูงปกติ มุ่งหน้าขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือสู่ตอนเหนือของมหาสมุทรอินเดีย ค่าความเร็วแบบบินอัตโนมัติ (autopilot) คือประมาณ 350 น็อต อยู่ที่ระดับ cruising คือ เกิน 30,000 ฟุต ตามเส้นทางการบินพาณิชย์ปกติ คาดเดาว่าเพื่ออำพรางเครื่องบินให้แฝงตัว เข้าไปในหมู่เครื่องบินพาณิชย์จำนวนมาก ที่กำลังบินไปเส้นทางเดียวกัน เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต และยังเกี่ยวเนื่องกับสนามแม่เหล็กโลกด้วย เพราะโลกมีการหมุนรอบตัวเอง แต่สัญญาณ ping ก็ยังคงถูกดาวเทียมจับได้ทุก 1 ชั่วโมง

    แล้วก็บินคงระยะห่างจากฝั่งสม่ำเสมอ เพื่อให้พ้นรัศมี Primary เรด้าห์ ของประเทศอินเดีย และศรีลังกา โดยมีเครื่องบิน 2 ชนิดบินประกบอารักขาและนำทางตลอดเวลา ต่อมาเครื่องบินปรับทิศทางลดต่ำเฉียงลงไปทางไต้อีกครั้งตรงเรื่อยๆ แต่ก่อนเข้าถึงหมู่เกาะมัลดีพ ได้ปรับเพดานบินลงต่ำลงมากอีกครั้ง เพื่อหลบ Primary เรด้าห์ ผ่านไปที่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนไต้ของหมู่เกาะมัลดีพ จนชาวบ้านจำนวนมากเห็นตัวเครื่องบินในระยะต่ำมาก เวลา 06.15 น. เช้าอีกวัน ขนาดเห็นประตูเครื่องบินชัดเจน และมองแถบสีของเครื่องบินชัดเจนทีเดียว เมื่อผ่านมัลดีพแล้วก็ตรงลงไต้ไปอีก สัญญาณ ping ก็ยังคงถูกดาวเทียมจับได้จุดนี้อีก โดยมีเรือพิฆาตของลุงแซมอารักขา บินต่ออีกสักพักก็ถึงเกาะดิเอโก้ กราเซีย ฐานทัพลับในมหาสมุทรอินเดียของลุงแซม ในเช้าวันที่ 9 มี.ค.57

    เครื่องบินลำนี้ลงจอดที่สนามบินของกองทัพลุงแซม ที่มีรันเวย์ขนาดรองรับได้อย่างสบาย เมื่อเครื่องบินจอดสนิท กระบวนการขนถ่ายคอนเทนเนอร์ลงจากเครื่องบิน และค้นเอาชิพวงจรไฮเทคจากตัวผู้โดยสารไต้หวัน ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามแผนที่วางไว้ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่บริษัทผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน ที่เขาต้องติดอุปกรณ์ติดตามเครื่องยนต์เขาทุกเครื่อง จับสัญญาณได้ว่าเครื่องยนต์เขายังทำงานอยู่ด้วยระยะเวลา 6-7 ชั่วโมงจากจุดสูญหายครั้งแรก

    ส่วนนักบินของลุงแซมคนนั้น ก็ขึ้นเครื่องบินที่รอรับและช่วยเหลือกลับขึ้นเครื่องไป ปล่อยทิ้งให้เครื่องบิน MH370 พร้อมผู้โดยสารทั้งหมด จมลงในทะเลลึก ทิศไต้ของมหาสมุทรอินเดีย มีระยะห่างจากเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลีย ราว 2,400 กิโลเมตร ดำดิ่งจมลงก้นทะเลที่ลึกสุดขั้วเกินจินตนาการประมาณ 3,500 เมตร ขนาดที่ผิวดวงจันทร์เราอาจรู้รายละเอียด มากกว่าแผนที่ก้นทะเลในบริเวณนั้นเสียอีก คลื่นก็ขนาดใหญ่มหาศาล สภาพอากาศแปรปรวนและเลวร้าย ญาติของผู้โดยสาร ลูกเรือ และนักบิน วันนี้คงต้องทำใจ

    รอเพียงว่าจะกู้เอาซากเครื่องบินลำนี้ขึ้นมาได้อย่างไร เพราะมันยากแสนยาก ต้องใช้หุ่นยนต์จากเรือดำน้ำ เช่น ยานอัตโนมัติใต้น้ำ "บลูฟิน" ติดตั้งอุปกรณ์โซนาร์ ที่สามารถทำงานได้นานกว่า 24 ชั่วโมง เมื่อแล่นด้วยความเร็วต่ำ และได้ที่ความลึกถึงเกือบ 15,000 ฟุต แถมต้องใช้งบประมาณสนับสนุนเติมเชื้อเพลิง น้ำ อาหาร เวลา และคนอีกมหาศาลจริงๆ..ใครจะจ่าย !!

    แต่การข่าวที่เผยแพร่ออกมา จะไม่มีทางที่จะบอกความจริงนี้ต่อสาธารณะไปได้ เพราะมันยากที่จะทำใจยอมรับในความโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกันเอง ดังนั้นการออกข่าวต่อไปนี้จะมีเพียงเครื่องบินลำนี้ บินตรงจากช่องแคบมะละกา ลงไปทางตะวันตกเฉียงไต้ จนไปตกที่จุดนี้เท่านั้น ( แต่การออกรายงานแบบนี้ มันก็เสี่ยงต่อการถูกด่ามาก เพราะจะขัดแย้งกับสัญญาณ ping ที่ตรวจวัด Doppler effect ของสัญญาณดาวเทียม ) และ ก็จะมีอะไรแปลกๆ ตามมา คือ รายชื่อจำนวนผู้โดยสารก็จะไม่ครบ 239 คน บางคนจะหายตัวไปก่อนขึ้นเครื่อง และความลับต่างๆ มันจะมืดมิดปกปิดอยู่ให้เป็นตำนานเล่าขานตลอดไป

    ขนาดข่าวของนิตยสารลุงแซมฉบับหนึ่ง ที่น่าจับคนเขียนข่าวเอาหัวโขกผนังบ้าน คือ ออกข่าวว่าพบร่องรอยการจอดเครื่องบินลำนี้บนดวงจันทร์ไปโน่น..แม่เจ้า ยังดีนะที่ไม่ออกข่าวว่าพบปีกเครื่องบินที่ดาวอังคาร และหางเครื่องบินที่ดาวพฤหัส...นี่แหละฝีมือการออกข่าวบิดเบือนของหน่วยข่าวกรองลุงแซมล่ะดูเพิ่มเติม
     
  15. kiatp123

    kiatp123 โมฆะแมน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,493
    ค่าพลัง:
    +19,616
    CNN รายงานข่าวโดยอ้างอิงจากสื่อจีน (ซินหัว) ว่า เรือตรวจการณ์ของจีนตรวจพบสัญญาณ Pulse signal ความถี่ 37.5 กิโลเฮิรตซ์/วินาที ในพื้นที่ค้นหาทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย

    เพิ่มเติมค่ะ .... ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการค้นพบนี้สำคัญมาก เพราะมันเป็นคลื่นความถี่ที่ตรงกับคลื่นความถี่ของกล่องดำ แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันนะคะว่าเป็นคลื่นความถี่ที่มาจาก MH370 หรือเปล่า

    เพิ่มเติม #2 Jim Clancy นักข่าว CNN ที่ตอนนี้อยู่กัวลาลัมเปอร์บอกว่า ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากมาเลเซีย ส่วนทางออสเตรเลียขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันรายงานข่าวของซินหัวได้ค่ะ
     
  16. kiatp123

    kiatp123 โมฆะแมน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,493
    ค่าพลัง:
    +19,616
    การค้นหาเครื่องบิน MH370: ความเห็นของนักสมุทรศาสตร์กับสัญญาณที่เรือตรวจพบ

    เรือของจีนที่ทำการค้นหาเครื่องบินของมาเลเซีย แอร์ไลน์ในมหาสมุทรอินเดียทางตอนใต้ ได้จับสัญญาณสั่นสะเทือนบางอย่างได้

    ดร.ไซมอน บอกซอล นักสมุทรศาสตร์ ได้บอกกับสำนักข่าวบีบีซีว่า มีอุปกรณ์อย่างอื่นที่ใช้คลื่นความถี่ 37.5 กิโลเฮิร์ตซ์นี้อยู่เหมือนกัน
    แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าสัญญาณที่ส่งออกมานั้น ออกมาจากเครื่องบันทึกข้อมูลการบินของ MH370 จริง
    การค้นหาคราวนี้จะกลายเป็นว่า "จากที่ไม่มีทางเป็นไปได้ มาถึงตอนนี้เริ่มเป็นไปได้แล้ว"

    "ถ้านี่เป็นสัญญาณจากกล่องดำ ก็ลดพื้นที่การค้นหาจากหลายหมื่นไมล์ลงมาเหลือไม่กี่สิบไมล์ได้เลย"
     
  17. kiatp123

    kiatp123 โมฆะแมน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,493
    ค่าพลัง:
    +19,616
    ขออนุญาตลงเรื่องสัญญานที่เรือจีนจับได้นะคะ

    แม้ตรวจพบสัญญาณจากกล่องดำจากเรือของจีน ทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย แต่ออสเตรเลียก็ยังไม่ยืนยันว่าเป็นของเครื่องบินโดยสารเอ็มเอช370 สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ที่สูญหายไป
    วันอาทิตย์ 6 เมษายน 2557 เวลา 02:20 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเพิร์ธประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่6เม.ย.ว่าหน่วยประสานงานร่วมซึ่งมีออสเตรเลียเป็นผู้นำในปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินโดยสารแบบโบอิ้ง777-200ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส เที่ยวบินเอ็มเอช370พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม239คนจากเส้นทางบินกรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย มุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่งประเทศจีน เมื่อวันที่ 8มี.ค.ที่ผ่านมาระบุว่าสัญญาณอีเลคทรอนิกส์เป็นจังหวะที่ตรวจพบโดยเรือของจีนในเขตน่านน้ำมหาสมุทรอินเดียตอนใต้นั้นสอดคล้องกับสัญญาณที่ใช้ในกล่องดำหรือ เครื่องบันทึกข้อมูลการบินที่กำลังค้นหากันซึ่งจะเป็นตัวไขปริศนาของเครื่องบินหายหรือเกิดอุบัติเหตุ

    อย่างไรก็ตามพล.อ.อ.อังกัสฮุสตัน แห่งกองทัพอากาศออสเตรเลียกล่าวว่า หน่วยประสานงานร่วมฯยังไม่อาจยืนยันได้ว่าสัญญาณนั้นเกี่ยวข้องกับเครื่องบินโดยสารของมาเลเซียแอร์ไลน์ส เที่ยวบินเอ็มเอช370หรือไม่

    ด้านสำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่าเรือไฮซุน01ซึ่งติดตั้งเครื่องตรวจจับสัญญาณกล่องดำสามารถตรวจจับสัญญาณได้ที่ความถี่37.5กิโลเฮิร์ตซ์ความถี่เดียวกันกับที่ใช้ปล่อยออกมาจากเครื่องบันทึกข้อมูลการบินนอกจากนั้นเรือจีนยังพบวัตถุต้องสงสัยลอยอยู่บนผิวน้ำอยู่ห่างออกไป 90กม.แต่ทางออสเตรเลียก็ยังไม่ยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับเครื่องบินที่สูญหายไป
     
  18. kiatp123

    kiatp123 โมฆะแมน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,493
    ค่าพลัง:
    +19,616
    [​IMG]
     
  19. kiatp123

    kiatp123 โมฆะแมน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,493
    ค่าพลัง:
    +19,616
    @dailynews_world: แผนที่แสดงขอบเขตการค้นหาเบาะแส #MH370 ประจำวันที่ 6 เม.ย. โดยสนง.ป้องกันภัยทางทะเลออสเตรเลีย #AMSA http://t.co/Dsqc6dpjxs

    [​IMG]
     
  20. serm

    serm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +331
    มันมีปม มาให้สงสัยอีกแล้วครับ เจอสัญญาณ สองจุด ห่างกัน 600 km
    ปกติสองกล่อง อยู่บนเครื่องบิน ใกล้ๆ กัน แต่ทำไม อยู่ใต้น้ำสัญญาณ ห่างกันได้ขนาดนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...