เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

"ประวัติศาสตร์ของจักรวาล"

คุณ Mead ให้พี่นักเขียนรับบทหนักสุดๆคือ-ให้"ย่อประวัติศาสตร์ของจักรวาล" เกรงว่าหากย่อมาจะทำให้เสียใจความอย่างใหญ่หลวง นั่งกำหนดจิตอยู่นานท่านอาจารย์ก็ไม่ได้ส่งผ่านข้อมูลมาให้ download เพื่อเพิ่มเติมแต่อย่างใด จึงมั่นใจว่าคำตอบทั้งหมดมีอยู่แล้วในหนังสือ จึงได้คัดลอกบทที่หนึ่งจากหนังสือ ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณมาให้อ่านกัน ตามปกติแล้วหากเป็นหนังสืออ่านเล่น แล้วใครเปิดโปงบทสุดท้ายให้ล่วงหน้า-อาจโป้งกันเพราะทำให้เสียจินตนาการ

แต่ในที่นี่ท่านอาจารย์ตั้งคำถามในบทแรกท้ิงไว้ และท่านก็ให้คำตอบในบทสุดท้าย ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึงวิวัฒนาการและความเป็นไปตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จักว่า จิตวิญญาณมีความเป็นมาอย่างไร มาสู่ภาวะที่เป็นร่างกายเนื้อหนังพร้อมด้วยอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ความเป็นไปได้ และความสามารถทางกายทางจิตอย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ เราหลงลืมธรรมชาติความเป็นจริง หรือสูญเสียอะไรไปจากภาวะต้นกำเนิด ด้วยเหตุใด

ท่านได้รื้อฟื้นความทรงจำ และธรรมชาติความเป็นไปได้ของจิตวิญญาณให้เราตระหนักว่า แม้ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณของเราจะมีความเป็นมายาวนานกว่าอายุของจักรวาล และเราก็รู้สึกว่า เราได้สูญเสีียพลังอำนาจหรือความสามารถมากมายของจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเราไป

แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เราไม่ได้สูญเสียสิ่งใดไปเลย เราได้รับมรดกทางจิตวิญญาณมามากมาย เรายังคงเป็นจิตวิญญาณอยู่อย่างพร้อมมูล เราเพียงแต่ปรับสภาวะไปให้เหมาะสมกับภาวะของโลกทางกายภาพที่เรามาถือกำเนิด โดยเป็นร่างกายเนื้อหนังพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่รู้เห็นผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า อันเป็นปัจจัยในการรู้เห็นที่เหมาะสมกับภาวะของโลกมนุษย์ที่เราเลือกมาถือกำเนิด

จวบจนปัจจุบันนี้ที่เรานึกคิดหรือเชื่อว่า เราได้ถืิอกำเนิดเป็นตัวตนมายาวนานช่ัวกัปชัวกัลป์ จิตวิญญาณของเราโหยหาสิ่งใด ที่ทำให้เรามีความรู้สึกในส่วนลึกอยู่เสมอๆว่า มีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปจากชีวิตของเรา หรือรู้สึกว่า จิตวิญญาณอันเป็นแก่นแท้แห่งตัวตนของเรา มีภาวะที่ถดถอยหรือด้อยลงด้วยเหตุใด ทำไมเราจึงรู้สึกเสมือนคิดถึงบ้านเก่าที่เราจากมา

ท่านอาจารย์ได้อธิบายรายละเอียดมากมายให้เรามองเห็นและตระหนักได้ว่า เรายังคงมีความเป็นจิตวิญญาณที่เสมอเหมือนกับต้นกำเนิดของเราอย่างพร้อมมูล อะไรคือมรดกทางจิตวิญญาณที่เราได้รับมอบมา เราจะใช้มรดกเหล่านั้นให้เป้นประโยชน์สุขได้อย่างไร ที่จะทำให้เราจะหลุดพ้นจากความรู้สึกโหยหาหรือเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป

พี่นักเขียนจึงคิดว่าควรคัดลอกเอาคำตอบจากบทสุดท้ายมาให้ไว้ด้วย เพราะสาระระหว่างบทแรก-กับ-บทสุดท้าย คือหัวใจสำคัญที่เราทุกคนต้องศึกษา ซึ่งจะทำให้เราเป็นอิสระจากความรู้สึกโหยหาหรือขาดแหว่งไป....ไม่โป้งกันนะที่บอกตอนจบ....เพราะจินตนาการที่ต้องใช้ในการศึกษาคำตอบเหล่านี้ระหว่าง บทที่หนึ่งกับบทสุดท้ายยังมีอีกมากมายเหลือจะคณานับ...

บทที่ ๑
บทนำสู่ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ

เธอทั้งหลายศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดหรือที่มาของเชื้อสายของเธอได้จากประวัติศาสตร์ซึ่งเกี่ยวพันกับบรรพบุรุษของเธอ ซึ่งครอบคลุมเหตุการณ์ตั้งแต่การถือกำเนิด-การดำเนินชีวิตและการตายของพวกเขา เธอเรียนรู้ประวัติศาสตร์ทางกายภาพของร่างกายเนื้อหนังของบรรพบุรุษ และมรดกทางกายภาพทั้งหลายรวมถึงพันธุกรรมที่ตกทอดมาสู่เธอ มันทำให้เธอรู้ถึงแนวโน้มและความเป็นไปได้เกี่ยวกับตนเองไม่มากก็น้อย แต่ก็ไม่มีประวัติศาสตร์ใดๆบันทึกเกี่ยวกับต้นกำเนิดหรือที่มาของแก่นแท้อันเป็นจิตวิญญาณของเธอ ไม่ว่าเธอจะต้องการรู้เห็นมันเพียงใดก็ตาม ดังนั้นฉันจึงเล็งเห็นความสำคัญที่จะต้องมาถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ให้กับเธอ

จิตวิญญาณของเธอผู้อ่านแต่ละคนมีมาก่อนการถือกำเนิดของจักรวาล(ตามกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลาของเธอ) แต่จิตวิญญาณเหล่านั้นยังไม่ได้ปรากฏเป็นรูปธรรม สิ่งที่เธอพอจะประมาณได้ และฉันขอย้ำว่าเป็นเพียง

 

ก่อนกำเนิดจักรวาล-สรรพสิ่งทั้งหลายประกอบด้วย“ความเป็นไปได้ในการสร้างสรรค์อันเป็นอนันต์” เพียงเสี้ยวหนึ่งของความนึกคิด-ความฝัน-จินตนาการและอารมณ์ ก็สามารถสร้างโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างชัดเจน-เข้มข้น-รุนแรงราวกับการเรียกร้องอิสรภาพ แต่มันหมายถึงอิสรภาพ “จาก”อะไร? อิสรภาพในการ“ทำ”อะไร? อิิสรภาพในการ“เป็น”อะไร?

ปล คุณน้อง don't_worry โหวดเข้ามาว่า อ่านสีแดงนานๆแล้วปวดตา พี่นักเขียนเลยลองใช้สีใกล้เคียงกับตัวหนังสือต้นฉบับ สีนี้คือน้ำตาล-แดง ช่องที่สอง-นับลงมาจากสีดำ เป็นไงเอ่ย โหวดกันอีกที<!-- / message --><!-- sig -->
........................................................................

สีแดงเลือดหมู มองแล้วไม่แป๊ดตาดีครับ

 

ตอนท้าย-ของบทสุดท้าย - บทที่ 12 เมฆฝัน

จักรวาลปกครองตนเองด้วยกฎเกณฑ์และคุณค่าที่แตกไปจากกฎเกณฑ์และคุณค่าของมนุษย์
กฎของจักรวาลเป็นกฎเกณฑ์แห่งการเกื้อกูลและความสมบูรณ์พูนสุขภายใน​

เธอทั้งหลายอาจต้องใช้เวลา เพื่อทำให้ความเชื่อเก่าๆของเธอคลายอิทธิพลลง และในที่สุดก็จะล่วงหล่นเน่าเปื่อยไป การล่วงหล่นเน่าเปื่อยของความเชื่อจะก่อให้เกิดพลังและความงดงามอันน่าประทับใจยิ่ง ในปัจจุบันนี้แนวโน้มธรรมชาติภายในของจิตวิญญาณทั้งหลายในมิติของเธอ ใฝ่ฝันถึงการเปลี่ยนแปลงอันสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์ที่คมชัด จิตวิญญาณของเธอทั้งหลายปรารถนาที่จะมีประสบการณ์ด้วยร่างกายเนื้อหนัง-อีกครั้งหนึ่ง ด้วยร่างกายและจิตอันสง่างาม จิตวิญญาณของเธอปรารถนาที่จะสัมผัสกับการเคลื่อนไหวอันเป็นธรรมชาติและเป็นสิทธิที่แท้จริงของจิตวิญญาณ
ฉันหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้เธอได้สัมผัสกับความเคลื่อนไหวภายในของความรู้สึกนึกคิดและลมหายใจอันสร้างสรรค์ไม่มากก็น้อย เพื่อที่เธอทั้งหลายจะได้เติมเต็มพลัง-รู้ถึงปัญญาใหม่และความตั้งใจใหม่ ด้วยความตื่นเต้นและความแข็งแกร่งทางกายและจิตวิญญาณ ไม่ว่าวิทยาศสวตร์จะตัดสินว่าจิตวิญญาณมีความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เธอสถิตย์อยู่ในภาวะอันสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ธรรมชาติ
คือ
ความเหนือธรรมชาติ-อยู่เสมอ
อย่างแน่นอนที่สุด ​

ในบทที่สองฉันได้กล่าวว่า ก่อนกำเนิดจักรวาลสรรพสิงทั้งปวงประกอบด้วย

 

อิสระแห่งความปรารถนา

แล้วท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้วิธีการไว้เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งว่า เราจะเป็นได้-ทำได้-มีได้-สมความปรารถนาทุกประการได้อย่างไร ในหนังสือชื่อ "อิสระแห่งความปรารถนา"

ไปอ่านบทที่หนึ่งกันก่อนได้
http://www.novaanalai.com/novaanalai/BK5Cover.html

 

จักรวาลปรากฏขึ้นในลักษณะเดียวกัน
คือจากความรู้สึกนึกคิดอันเป็นนามธรรมแปลงสภาวะเป็นสสารที่เป็นรูปธรรม​

จักรวาลปกครองตนเองด้วยกฎเกณฑ์และคุณค่าที่แตกไปจากกฎเกณฑ์และคุณค่าของมนุษย์
กฎของจักรวาลเป็นกฎเกณฑ์แห่งการเกื้อกูลและความสมบูรณ์พูนสุขภายใน​

นั่นสิครับเรื่องนี้คงอธิบายแบบย่อสั้นๆไม่ง่ายเลย อ่านจากหนังสือจะครบถ้วนได้รายละเอียดที่สุดครับ..

ถ้าจะเรียบเรียงตามจินตนาการแบบตรงๆมิติเดียวก็หมายถึง ในความว่างของสนามพลังงานสากลนั้นมีเหตุปัจจัยในการก่อให้เกิดหรือการอุบัติขึ้นของคลื่นความนึกคิดและจินตนาการขึ้นมาก่อน..(จักรวาลคิดรู้ได้เองเหมือนในยามที่เราฝัน)

จากความนึกคิดนั้นก็พลันอุบัติเกิดสรรพสิ่งที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา..ก่อเกิดเป็นจักรวาลที่ขยายตัวออกมาอย่างลงตัว มีระเบียบกฎเกณฑ์ ละเอียดอ่อน และเต็มไปด้วยความรัก (คล้ายการ Big Bangแต่นักวิทย์ก็ไม่รู้เบื้องหลังที่มาทั้งหมด) และทุกอณูของจักรวาลคือสภาวะธรรมของต้นกำเนิด เข้าใจแบบนี้ครับ ย่อๆ..ขอบคุณคุณนักเขียนมากครับ:-

 

คงต้องไปหาอ่านรายละเอียดจากหนังสือ
และศึกษาวิธีทำอย่างไร อ่านแล้วไม่ให้ง่วง
ตามที่พี่นักเขียนแนะนำมา

ขอบคุณครับ

 

โดนอุ้มโม้ด...

 

สัญญลักษณ์ สีน้ำตาลแดง หรือ สีแดง ผมว่าได้ทั้งสองสีครับ ผมว่าอ่านได้หมด..แต่ชอบแดงครับชัดเจนดีกว่า..

 

เมื่อคืนก่อนหลังจากกำหนดจิตถามตนเองก่อนหลับว่า ต่อไปนี้ผมควรทำอะไร ปรากฏว่า
ผมก็ฝันประหลาดและแจ่มชัดมาก ทั้งยังเจ็บปวดและเหนื่อยได้ด้วย แต่รู้สึกว่ามันมี<O</O
ความคิดความรู้สึกที่อัดแน่นจากจิตใต้สำนึกมีความเป็นตัวเองอย่างมาก (ตื่นมาก็ตีห้า) <O</O
<O</O
พอจำได้ว่าเป็นอยู่ในท่ามกลางกลุ่มเพื่อนที่ผมรัก แต่ผมอ่อนแอ จึงถูกเพื่อนมองข้าม วัน<O</O
หนึ่ง ผมเห็นพระสงฆ์มากมายทำตัวไม่เหมาะสม หลงฤทธิ์กันไปหมด ผมจึงโมโห<O</O
พระสงฆ์ที่งมงายเหล่านั้น ทั้งยังรู้สึกน้อยใจเพื่อนๆ ที่ไม่เห็นเรามีค่าด้วย ความรู้สึกที่<O</O
ประดังเข้ามาทำให้ผมต้องการแสดงให้พวกเขาเห็นอิทธิฤทธิ์ แรกๆ ผมไม่แน่ใจว่าผม<O</O
สามารถทำได้ แต่ผมเห็น

 

มีเรื่อง"คนกับกลไกสมอง"
[มาเติมพื้นที่ในสมองครับ]​

1. คนดิบ คนเหล่านี้จะนิสัยคล้ายสัตว์ประจำโลก สั่นสะเทือนแต่"ก้านสมองส่วนหลัง" นิสัยก้าวร้าว อันธพาล ทำผิดแล้วไม่ยอมรับ หาทางออกข้างๆคูๆ ก้านสมองสามารถยาวขึ้นได้

​

2. คนเถื่อน ก้านสมองสั้นลง "ใช้สมองซีกซ้ายมากขึ้น แต่ยังใช้ก้านสมองอยู่บ้าง" นิสัยกัขฬะ ขวางโลก

​

3. คนครึ่งคน ดับก้านสมองได้แล้ว "ใช้สมองซีกซ้ายคิดแบบจิตมนุษย์มากขึ้น" แต่ยังคิดไม่ค่อยเป็น มีจำนวนมาก (พอจะเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ได้)

​

4. คนเต็มคน ใช้สมองซีกซ้ายนำขวา 100% สมองหลักแหลม มีสติปัญญาในระดับสูง แตกฉานในความรู้ มนุษย์ด้วยกันยกย่อง แต่เข้าถึงที่สุดของปัญญาหยาบๆเท่านั้น ยังไม่สามารถเปิดตาที่สามได้ เป็นผู้รู้จริง มีเหตุผล และเป็นผู้นำ

​

5. คนเหนือคน "เปิดตาที่สามได้" ใช้สมองซีกขวานำซ้าย ไม่คิดหา"ตัวตน" เข้าถึงนามธรรมเข้าถึงการใช้สมองระบบใหม่ เรียนรู้สิ่งใดๆได้รวดเร็ว ตัดสินใจถูกต้อง เรียกว่า รู้จริง เห็นจริง

​

6. คนเหนือโลก เมื่อใช้สมองซีกขวาเต็มที่แล้ว สมองส่วนกลางสั่นสะเทือน ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งระบบ สามารถใช้พลังอำนาจของจิต ด้วยการใช้สมองส่วนกลางทำ Telepathy กับจักรวาลในแนวดิ่งได้ คิดให้ได้รู้ขณะที่จิตเป็นบวก สมองซีกขวาไร้ขอบเขต หลุดพ้นไปจากกรอบของเวลา เรียกว่า รู้แจ้ง เห็นแจ้ง

​

++ได้มาจากแลคเชอร์ตอนไปฟังบรรยายของอ.ปริญญา ครับ++:boo:
เป็นเรื่องที่หนังสือต่างประเทศหลายเล่มพูดถึงกันมาก​

 

ขอ Vote ให้สีน้ำตาลแดงด้วยคนค่ะ...อ่านสบายตาดีค่ะ(good) (good)

 

"ฉันปราศจากร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งห้า ดังนั้น การถ่ายทอดความรู้ของฉันเป็นไปโดยตรงด้วยจิตวิญญาณ มันเป็นการถ่ายทอดที่ปราศจากการบิดเบือนโดยสิ้นเชิง"

ครั้งแรกที่ได้อ่านหนังสือ "ธรรมชาติชองชาติภพ" เจอประโยคนี้ของอาจารย์อนาลัยเข้า ชวนให้เกิดอาการอยากอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งได้เข้าใจที่มาที่ไปของข้อมูลจากนักเขียนโดยตรง..พอกลับไปอ่านเนื้อหาก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นไปอีกครับ ใครที่เพิ่งอ่านใหม่ ค่อยๆอ่านไปครับอาจมีอาการง่วงบ้างเป็นธรรมดา..

-จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติ ในอดีต-อนาคตชาติ
-จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์
-จิตวิญญาณ(เสมือน)ร่วมร่างแต่ต่างมิติ ในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตชาติ


ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจกับเรื่อง 3 เรื่องนี้อยู่พักใหญ่ รู้แต่ว่ามีการแบ่งภาคย่อยๆออกมา
แต่เป็นเรื่องที่ควรรู้มากทีเดียวครับ ว่าตัวเรามีความสัมพันธุ์กับจิตวิญญาณรวมอย่างไร?
ตอนนี้พอเข้าใจแล้ว..หลังจากอ่านทวนอยู่หลายๆรอบ..
ถ้าได้ทำความเข้าใจเนื้อหาส่วนนี้ให้ดีๆ จะเห็นภาพจิตวิญญาณรวมได้ชัดมากเลยครับ

ชาติภพไม่ใช่การเกิดจากจิตวิญญาณหน่วยเดิมที่ไปถือกำเนิดเป็นร่างกายตัวตนทั้งหมดทีละร่าง ทีละชาติภพ อย่างที่เธอเข้าใจ (p.55-หนังสือเครือขวัญข้าว)

ความเข้าใจที่ถูกต้องในธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณ ระยะทาง ช่องว่าง กาลเวลา และชาติภพ จะช่วยให้เธอรู้จักบริหารชาติภพ (p.54-หนังสือเครือขวัญข้าว)

 

สมมุติฐาน มันก็ไม่ต่างจากการเดาเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ว่ามันจะมีหลักฐานอะไรที่พอน่าเชื่อถือได้มายืนยันเท่านั้นเอง หรือว่า บิ๊กแบง
ส่วนอุณภูมิของจักรวาลมีเท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ อ่านข่าวเมื่อปีก่อนว่านักวิทยาศาสตร์วัดอุณหภูมิของสสารมืดได้ 10000 องศาเซลเซียส ที่อุณหภูมิเท่านี้ เค้านับว่าค่อนข้างอุ่นเมื่อเทียบกับจักรวาล

เป็นแค่สมาชิกเก่าคับ แต่ไม่แก่ หุหุ
ปกติอ่านอะไรแล้วก็ชอบจับเอาอะไรมาโยงเชื่อมกัน คิดจินตนาการอะไรไปคนเดียว ไม่มีอะไรมากดอก

หนังสือเรื่องนั้นชื่อ คู่แท้ต่างภพ-เราจะข้ามบ่วงเวลาเพื่อมาเจอกัน The Real Soul Mate คับ
จริงๆ ก็อ่านหนังสือหลายแนวนะ แต่แนวลึกลับๆ จิตวิญญาณ จะชอบอ่านเยอะหน่อย หนังสืออีกเล่มที่ชอบก็คือ "conversation with God" ได้ยินมาว่ามีเล่มสองแล้ว ไม่รู้ว่าจะเอามาแปลไทยด้วยหรือเปล่า



หนังสือธรรมชาติของชาติภพเคยซื้อมาอ่านนานแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นมีอ่านแล้วงงๆ บางช่วงบางตอน สงสัยต้องไปทำความเข้าใจใหม่

เมื่อวานจะลองเดินหาหนังสือของโนวา อนาลัยที่ออกมาเพิ่ม หาไม่เจอแฮะ สงสัยต้องไปหาหลายๆ ร้านซะแล้ว

 

เหมือนวิชาที่เคยเรียนรู้มานานแล้ว
จากนั้นก็ทอดทิ้งจนลืม อยากรู้ก็ต้องกลับมาทบทวน
ทำความเข้าใจใหม่ อาจจะต้องช้าหน่อยตอนต้น
จากนั้นก็จะเข้าร่องรอยวิชาเดิม ทีนี้เร็วเป็นจรวดไปเลยครับ

การอ่านหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย น่าจะคล้ายๆทำนองนี้นะผมว่า

 

อูย...เดี๋ยวต้องรีบไปซื้ออีก 6 เล่มที่เหลือ
เกรงว่าจะไม่ทันการ เพราะสมาชิกเว็บพลังจิต ไวมาก
เผลอๆ อาจต้องรอพิมพ์ครั้งที่สอง หนังสือดีๆแบบนี้ มีเก็บไว้ก่อน
อุ่นใจดีครับ ยิ่งได้สนทนาสดกับพี่นักเขียน ยิ่งเพิ่มอรรถรส ยิ่งขึ้น
4 เล่มที่ซื้อมาก่อน อ่านไปนิดหน่อย ตอนนี้อยู่บนหัวเตียง
รอให้จิตวิญญาณภายในอ่านก่อน จะได้เข้าใจง่าย ครับ
หรือไม่คุณ mead ช่วยสรุปย่อก่อนก็ได้นะครับ
ทำแทนจิตวิญญาณภายในของผม หน่อยจะได้มั๊ยเนี่ย
เพราะตัวตนทางกายภาพ เริ่มไม่ค่อยขยัน ซะแหล่ว 555+

 

สงสัยหนังสือคงหมดแผงแล้ว..คุณซิปหาไม่เจอ
ว่าแต่พี่เม้าเล่นอ่านด้วยจิตแบบนี้สงสัยจะซึมซาบเข้าไปในจิตก่อนผมแน่เลย เอิ๊ก!
อธิบายเรื่อง"ชาติภพ"เล่าด้วยภาพนี้แล้วกันครับ พิจารณาแล้วGetเลย..เหมือนมาก​

เห็นภาพนี้แล้วคิดไงบ้างครับ?​

บทที่ 6​

เธอเปรียบเสมือนต้นไม้ซึ่งเธอรู้จักเพียงใบไม้ของมันทีละใบ หรือรู้จักตัวตนของเธอที่ละตัวตน แม้ใบไม้นั้นจะรู้ว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของต้นไม้ทั้งหมด และรู้ว่ามันมีชีวิตอยู่ได้เพราะความสัมพันธ์ของมันกับใบไม้ทั้งต้น เธอแบ่งแยกตัวตนออกมาอย่างโดดเดี่ยวเสมือนใบไม้ซึ่งไร้การสนับสนุนจากต้นไม้และรากใบอื่นๆ เธอคิดว่าเธอสามารถเจริญเติบโตได้โดยลำพัง ใบไม้ทุกใบบนต้นไม้หนึ่งต้นเปรียบเสมือนจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ของเธอ แต่ละบุคคลมีชีวิตไปคนละทิศทางเหมือนใบไม้ที่หันเหไปต่างทิศทางเพื่อรับแสงแดด เมื่อใบไม้หนึ่งใบร่วงโรยไป ใบใหม่ก็งอกขึ้มาแทนที่ ใบไม้ที่งอกใหม่ เปรียบเหมือนอนาคตชาติของวิญญาณต่างมิติทั้งหลาย มีการถ่ายทอดแลกเปลื่ยนเกิดขึ้นตลอดวันเวลา ใบไม้แต่ละใบรู้เห็นประวัติศาสตร์ของต้นไม้ทั้งต้น ใบไม้ใหม่เกิดจากอดีตของใบไม้เก่า ใบไม้แต่ละใบพบายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุดในการรับแสงแดด ซึ่งช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโต เซลล์แต่ละเซลล์ของต้นติดต่อกับสภาวะแวดล้อมของมันผ่านทางใบ ใบไม้แต่ละใบสามารถงอกรากและขึ้นเป็นต้นใหม่ได้ต่างท้องที่ ต่างเวลา ต่างมิติตามที่มันเลือก ตัวตนทั้งหมดของเธอจึงเปรียบเสมือนต้นไม้ทั้งต้นที่ประกอบด้วยใบ หรือตัวตนในแต่ละชาติภพทั้งหมดรวมกัน ตัวตนรวมทั้งหมดเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ​

 

อธิบายเรื่องกาลเวลาตามความเข้าใจนะครับ
ลองจินตนาการว่าโลกนี้ไม่มีเวลาเป็นเส้นตรง จาก A ไปสู่ B...C...D...
แต่เวลาทั้งอดีต-อนาคตกำลังพุ่งมาหาเราในปัจจุบัน คือเวลามีค่าเป็นหนึ่งเดียว

จากหนังสือ ธรรมชาติของชาติภพ
ภพชาติทั้งหมดจึงไม่มีอดีตและอนาคต มีแต่ปัจจุบันซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันหมด การถ่ายทอดข้อมูลทั้งสามสายซึ่งเป็นที่มาแห่งตัวตนของเรา ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ ไม่มีก่อน ไม่มีหลัง ไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ ข้อมูลความรู้ปรากฎอยู่พร้อมกันหมดทั้งอดีต- ปัจจุบัน-อนาคต มีการถ่ายทอดและเปลี่ยนแปลงระหว่างภพชาติตลอดวันเวลา ไม่ใช่ระบบต้นเหตุ-ผลตามกาลเวลาแบบเส้นตรง แต่เป็นระบบเครือข่ายที่ไม่สิ้นสุด และส่งผลกระทบถึงกันหมดในปัจจุบัน

เธอเข้าใจว่าการแก้ไขอตีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและการสร้างสรรค์อนาคตซึ่งยังไม่ได้เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากเธอเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของกาลเวลาและชาติภพเธอจะรู้ว่า เธอจะสามารถแก้ไขอดีต และสร้างสรรค์อนาคตได้จากปัจจุบัน

 

อมตะแห่งจิตวิญญาณ ภาคต้น

จุดประสานมิติ
แม้ว่าโลกของพวกเขา มิติของพวกเขา
จะอยู่ซ้อนกันกับโลกของเธอ มิติของเธอ

ในที่นี้ฉันต้องขอย้ำว่า เป็นสภาวะโดยทั่วไป
แต่ในบางกรณีพวกเธอ หรือ พวกเขาบางคน
ก็อาจเผชิญกับ จุดตัด ซึ่งทำให้ การรู้เห็นต่างมิติเป็นไปได้

จุดตัด เหล่านี้เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายไม่อาจรู้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
คือ จุดตัดของ มิติ ต่าง มิติ
แต่มันก็เป็นจุดตัดที่เธออาจจะเรียกได้ว่า เป็น
โลกแห่งความเป็นจริงที่ซ้อนกันอยู่ 2 โลก 2 มิติ

จุดตัดดังกล่าว เป็นจุดที่เต็มไปด้วย
พลังงาน และ ความเป็นไปได้ อันมหาศาล

ซึ่งฉันเรียกว่า " จุดประสานมิติ "
อันเป็นจุดที่โลกแห่งความเป็นจริง 2 โลก หรือ มากกว่านั้นมาบรรจบกัน

 

อมตะแห่งจิตวิญญาณ ภาคต้น

" จุดประสานมิติสัมบูรณ์ "
มีอยู่ทั้งหมด 4 จุดด้วยกัน
ซึ่งตัดผ่านโลกแห่ง ความเป็นจริง ทุกโลก ตามเส้นทางแห่งกาลเวลา
จุดประสานมิติ เป็นต้นกำเนิดโบราณดั้งเดิม ของพลังงานอันน่าอัศจรรย์
และเป็นต้นกำเนิดของ จุดประสานมิติหลัก และ
จุดประสานมิติรอง อีกมากมายเหลือคณานับ

จุดประสานมิติสัมบูรณ์
ทำหน้าที่เป็นช่องทางที่ พลังงานหลั่งไหลไปสู่ ระบบโลก แห่งความเป็นจริงทุกโลก
และเป็นช่องทาง ล่องหน
ที่เชื่อมต่อโลกแห่งความเป็นจริงโลกหนึ่ง ไปสู่ อีกโลกหนึ่ง

 

อมตะแห่งจิตวิญญาณ ภาคต้น

จุดประสานมิติสัมบูรณ์
ทำหน้าที่ เป็น จุดแปลง หรือ สับเปลี่ยนสัญญาณ
ซึ่งเอื้ออำนวยให้พลังงานที่สร้างสรรค์
หลั่งไหลไปสู่ โลก หรือ มิติ หนึ่งๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

พื้นที่ที่เธอทั้งหลายแลเห็นเป็นพื้นที่ว่างเปล่าในโลกของเธอ
เต็มไปด้วยจุดประสานมิติหลัก และจุดประสานมิติรองมากมาย