เมาธรรม....หรือ ไม่เมา

ดังนั้น การชนะโลก

1.ผู้หญิง ต้องมีสามี มีครอบครัว มีลูก

2.ผู้ชายต้องมีเมีย มีครอบครัว มีลูกให้ได้

อย่าเป็นพวก แพ้โลก อย่างพวก กระเทย พวกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายไหน นั่นเพราะ พวกนี้ ไม่สู้โลก ไม่อยากลงมาเกิดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ไม่อยากเป็นทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย

หรือพวกทอม ดี้..เกย์ ทั้งหลาย พวก..จิตวิปริต สับสนในตนเอง...พวกนี้ก็จะไม่มีวันเข้าใจความจริง ไม่มีวันเข้าถึงความจริงของตนเอง นั่นเพราะ เกิดมาด้วย มิจฉาทิฐิ ไม่ยอมรับในการเกิด ไม่อยากเกิด..พวกกลัวทุกข์...กลัวเพศ...กลัวการมีลูก กลัวการมีเมีย กลัวการมีผัว กลัวการมีครอบครัว..กลัวกาม.พวกอกตัญญูโลก
..
นั่นเพราะ มันเกิดมาในโลก พบศาสนา พบความสุขของโลก เสพสุขของโลก เสพกามของโลก...ได้เกิดมาก็เพราะ กามของพ่อแม่...ไม่ไช่เรื่องสกปรก หรือผิดปกติใดใด

สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกาม มีกามเป็นแดนเกิด มีกามเป็นของของตน มีกามเป็นผู้ให้ผล มีกามเป็นเครื่องจำแนก มีกามเป็นเผ่าพันธุ์

กามภพ...คือ ภพภูมิ ที่ถูกหล่อเลี่ยงด้วยกาม...ไม่ว่าทุกภพ ไม่เว้นแม้ เมืองนิพพาน

เมืองนิพพาน มีกาม คือ ความอยากหนีทุกข์ของโลก ความอยากหนีความจริงของโลก ความอยากหนีความจริงของตนเอง เป็นสิ่งหล่อเลี้ยง
เมืองนิพพาน มี สุข เป็นตัวหล่อเลี้ยง นิพพานัง ประมัง สุขขัง

..
กามภพ...กามภพ
..
นิพพาน จริงๆ ต้องไม่มี กามเป็นตัวหล่อเลี้ยง...คือ ไม่มีอุปทานใจ ไม่มีเจโตวิมุติหล่อเลี้ยง ไม่มีความอยากไม่อยากหล่อเลี้ยง...มีแค่ กายและใจ ที่ เข้าใจตนเอง เข้าใจคนอื่น เข้าใจโลก เท่านั้น...มรรค 8....นั่นเอง พ้นสมมุติของโลก แต่ก็ยังอยู่กับสมมุติ โดยไม่เปลี้ยนกับสมมุติ ไม่ทุกข์กับสมมุติ อีกต่อไป

นิพพาน ที่โลก แต่จะสุข ...แบบ ดี จริง สมควรจริง ตามโลก
..
มีแต่สิ่งที่สมควรทำ ทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม...ตามความเป็นมนุษย์..ในโลกมนุษย์

..
เท่านั้นเอง<!-- google_ad_section_end -->

 

ทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่เที่ยง อยู่แล้วจ้า

ความจริง คือ ความไม่จริง ความไม่จริงอยู่ในความจริง ความจริงอยู่ในความไม่จริง

สมมุติทั้งหลาย อยู่บนความไม่มีอะไร ก่อนจะมีสมมุติ ก็คือการไม่มีสมมุติ

อัตตาทั้งหลาย ตั้งอยู่บนอนัตตา หรือ อยู่ในความเป็นอนัตตา

ความจริง คือ มีเราเกิดมา มีรูปนาม กายใจ นี่คือความจริง เท่าที่มันตั้งอยู่..มันเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่

ตายเมื่อไหร่ ความจริง ของ รูปกับนาม ก็ ไม่เป็นความจริงของกันและกันอีกเลย

จริงเท่าที่มัน มารวมกัน เกิดขึ้น ในโลกนี้เท่านั้นเอง..จริง ของ กายใจ ของใคร ของมัน

ถ้าเกิดมาอยู่ร่วมกัน ก็เป็นความจริงร่วมกัน ยุคเดียวกัน..ใครตายก่อน ก็ หมดความจริงก่อน<!-- google_ad_section_end -->

 

วันเสาร์เย็น เข้ากรุงเทพ...ถึงเช้าวันอาทิตย์ เอารูปไปเข้ากรอบ ที่ท่าพระจันทร์ ร้าน อาร์มเฟรม 02 6236045...เขาทำออกมาได้สวยงามมากเลยครับ ฝีมือสุดยอด ..ทำด้วยใจ ทำด้วยความสุข

เสร็จ บ่ายโมง วันจันทร์ แล้ว นั่งเรือข้ามฟาก ไปที่โรงพยาบาลศิริราช ถวายความจงรักภักดี และ ถวายรูปภาพแห่งความสมปรารถนา แก่พระราชินี และพระเจ้าแผ่นดิน..

เสร็จแล้ว นำอีกรูป ไปถวายเจ้าฟ้าชาย อีก 1 รูป เพื่อแสดงความจงรักภักดี เช่นกัน

พอเย็นนั่งรถกลับ มาถึง สกลนคร เมื่อเช้านี้เองครับ....มีความสุขดีที่ได้ทำ ตามที่ใจตนเอง ปรารถนา

ขอบคุณทุกท่าน ที่ได้ ร่วม สมทบทุน ในการ เดินทาง และ ทำกรอบรูป ถวาย ในครั้งนี้ได้ สำเร็จ

ขอให้ ทุกท่าน จง มีความสุข ที่ได้ร่วม ถวายความจงรักภักดี ร่วมกันนะครับ<!-- google_ad_section_end -->

 

คิดจะชนะ ก็ถือว่า แพ้แต่เริ่มต้น
คนทุกคน อยากเกิดมา เพื่อแพ้ไหม
คนทุกคน อยากชนะ ทุกสิ่งไป
นั่นเพราะใจ เป็นผู้แพ้ ดูไม่ดี

แต่ทุกคน ก็อยากให้ คนอื่นแพ้
เพื่อตนแน่ ผู้ไม่แพ้ แน่จริงหรือ
เห็นคนเก่ง เก่งสุดยอด ยอดฝีมือ
ทำไมหรือ เก่งแล้วต้อง ตัวคนเดียว

ก็เพราะเก่ง ยกเก่งกว่า เหนือคนอื่น
ก็เหมือนฝืน ใจคนอื่น กดเขาหรือ
ท่านอยู่สูง ตัวคนเดียว ยอดฝีมือ
ทำไมหรือ ไม่มีเพื่อน สงสารจัง

 

มีสัมมาทิฐิแล้ว ..เมื่อใด..มิจฉาทิฐิ ความหลงผิดทั้งหลาย ก็ห่างไกล จากท่านเอง

แล้วที่เห็น ที่รู้ ที่ดู ที่สัมผัส ก็เป็นความจริง โดยมีแต่ความจริง ของตนเองเท่านั้นเป็นหลัก เป็นที่ยึด เป็นฐาน เป็นผู้ คัดเลือก และ กลั่นกรอง ด้วยปัญญาแห่ง สัมมาทิฐิในตน

นอกนั้น ก็เป็นเพียง สิ่ง ที่รับรู้ สิ่งที่ไม่มีในตน ภาพลวงตา ...

ของจริง ความจริง เป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่มีวันตาย และ ไม่มี สิ่งใดมาแทนที่ความจริงได้<!-- google_ad_section_end -->

สุดยอดวิชชา

1.วิชชาที่ยอดแย่ ก็คือ วิชชาที่ทำให้ มิตรกลายเป็นศรัตรู วิชชานี้ไม่ควรเรียนเอามากๆ เลยกำหนด ให้เป็น อวิชชา....คือ ไม่ไช่วิชชา วิชชาที่ไม่สมควรรู้ ไม่สมควรเรียน

2.สุดยอดวิชชา ก็คือ วิชชาที่ทำให้ ศรัตรู กลับกลาย มาเป็นมิตร...นี่ถือ เป็นวิชชาที่สุดยอดที่สุดในโลก และ จักรวาล...เพราะเป็นวิชชาที่นำมา ซึ่ง ความเป็นมิตร กัลยาณมิตร และ ความสุขในการอยู่ร่วมกัน แต่ยังมีสุดยอดวิชชากว่านี้อีก คือ

3.วิชชาว่าด้วยการรักษามิตร ให้คงอยู่ตลอดไป นี่สุดยอดกว่าวิชชา ที่ 2

เพราะ การสร้างอะไร ให้ดี ตั้งแต่เริ่มต้นนั้น มันสามารถทำได้ ..

แต่การที่เราจะรักษา ความดีนั้น มิตรภาพนั้น กัลยาณมิตรนั้น ให้คงอยู่อย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ตะหาก คือ สุดยอดวิชชา โดยแท้จริง เป็นวิชชา ว่าด้วยการพิสูจน์ ตนเอง ..ว่าจะรักษาความดี ดุจเกลือรักษาความเค็ม ได้หรือไม่

อิอิ<!-- google_ad_section_end -->

 

มันก็เหมือน ปัจจุบันนี้

มีหลายคน อยากสำเร็จอรหันต์...แต่ รูปนาม กายกับความคิด ยังดีไม่พอที่จะรองรับ ความบริสุทธิ์ ของ ความเป็นพระอรหันต์ แล้วพวกท่าน จะสำเร็จได้ยังไง ถ้าหากยังพากัน อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยู่เช่นนี้

มีหลายคนอยากเข้านิพพาน ..แต่รูปนาม กายกับความคิด..สมมุติต่างๆ ยังพากัน ออกจากมันไม่ได้ ออกจากธรรมไม่ได้...นิพพานัง ปรมัง วะทันติพุทธา....ถ้ายังไม่เข้าถึงความหลุดพ้น แล้ว จะพบ นิพพาน กันได้ อย่างไร<!-- google_ad_section_end -->

จงจำเอาไว้ว่า

การให้ของ การให้ทานกับผู้อื่น ทุกท่านก็ รู้อยู่แล้วว่า ของที่ท่านให้ ผู้อื่นนั้น ต้องเหมาะสมและมีประโยชน์กับผู้รับฉันใด

นี่ก็เหมือนกัน...ความเมตตา มันก็ เหมาะสมกับผู้ที่รู้จักคุณค่าของความเมตตา เท่านั้น..

มีสิ่งหนึ่งอยากจะเล่า
...
มนุษย์ ผู้ที่คิดว่าตนเองเป็นปัญญาชน ได้เปลี่ยนโลก ไปถึงไหนแล้ว ดังนี้
...
เห็นรถยนต์ เห็น ทองคำ เห็นเงิน เห็นแร่ดีบุก เห็น ต้นไม้ที่ถูกเอามาเป็นแผ่นไม้ เห็น แร่ธาตุต่างๆ ที่ มนุษย์ที่ คิดว่าตนเอง เป็นปัญญาชนมั้ย...
..
ของพวกนี้ มันอยู่รวมกับธาตุ ทั้งหลาย รวมเป็นโลก....แต่ ทุกวันนี้ มันอยู่ผิดที่ผิดทาง...เหล็ก ออกมาอยู่บนพื้นดิน ...ธาตุต่างๆ มันออกมา จาก การที่เคยรวมอยู่กับโลก
..
ดังนั้น ถ้าคิดจะหลอม เหล็ก แร่ธาตุ ต่างๆ ที่มนุษย์เป็นผู้แยก พวกมันออกมา...มันจะต้องใช้ไฟร้อนแรง แค่ไหน มาหลอม โลหะพวกนี้....ก็มีแค่ เตาหลอมเดียว ก็คือ ใจกลางโลก ที่เป็นลาวา นั่นเอง
..

ดังนั้น ถ้าแผ่นดินแยก แล้ว ถูกสูบเข้า เบ้าหลอมอีกครั้ง มันก็เป็นเพราะ ฝีมือ มนุษย์โลกนี่แหล่ะ
..
โลกมีชีวิต ภูเขาไฟ พ่น ไอน้ำ อากาศ อุณภูมิ ...แร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ ออกมาให้กับ สรรพสัตว์และพืชพรรณ ต่างๆ
..
คิดเอาแล้วกัน ว่า...มันต้องมีสักวัน แน่นอน...โลกมีชีวิต นะครับ จะบอกให้

 

มันก็ต้อง หาเงินให้เป็น เหมือนดั่งที่ชาวโลกทั้งหลายเขาทำกันสิครับ

จะได้ รู้ ค่าของเงิน วิธีการหาเงิน วิธีการใช้เงิน ความสำคัญของเงิน

แล้วต่อมาก็เรียนรู้ ...ค่าที่ไม่มีในเงิน ไม่ต้องหาเงิน ไม่ต้องใข้เงิน และไม่เห็นว่าเงิน มีความสำคัญ..ให้ได้ก่อนสิครับ

เคยได้ยินมั้ย ประโยคที่ว่า......อยากทำลาย อนัตตา ก็สร้างอัตตาบนความอนัตตา ขึ้นมาก่อน ค่อย ทำลายทั้งอัตตาและอนัตตา ในคราวเดียวกันเลย

อิอิ พอมาประยุกต์ใช้ ก็ ..แบบว่า...สร้างสมมุติ ขึ้นมาก่อนจากความวิมุติ เพื่อทำลายสมมุติและวิมุติ พร้อมกัน

หรือ สร้างบ้านบนพื้นดิน ว่างเปล่าขึ้นมาก่อน ค่อย จุดไฟเผา ทั้ง บ้านและความว่างเปล่า พร้อมๆ กัน นั่นเอง

อิอิ...ขำ แต่ จริง<!-- google_ad_section_end -->

 

ไม่เคยฟังธรรมที่ไหนได้อย่างจิต เหมือนฟังธรรมจากท่านผู้นี้เลย ขอสาธุ ดังๆๆ

 

อันชีวิต เรานี้ หลังการเมา
มันไม่เศร้า ไม่ทุกข์ สุขจริงหนอ
เห็นชีวิต ของจริง ทุกสิ่งพอ
ทุกสิ่งหนอ ที่คิด ไม่ติดใจ

ให้มันเกิด และผัน ผ่านไปนั้น
มันไม่นำ พาใจ ให้ติดหนอ
ทุกๆ สิ่ง ผันผ่านไป ไม่รีรอ
ทุกคิดหนอ ไม่ยึด ติดในใจ

ความคิดเรา เกิดดับ เป็นเช่นนี้
ไม่มีดี มีเลว กับใครเขา
ทุกๆ สิ่ง ที่เกิดขึ้น ไม่มีเรา
สละแล้ว ทุกข์เศร้า เคล้าในใจ

มีชีวิต เหลืออยู่ ก็แค่นั้น
ทุกสิ่งสรรค์ สร้างไป ให้ดีหนอ
กับชีวิต ของเรา ที่เหลือพอ
นี่แหละหนอ จัดสรรค์ไป ให้ดีจริง

 

ขอแสดงความยินดี กับคุณ ใจดีๆ ด้วยนะครับ

ที่คุณ เข้าถึงสภาวะ หลุดพ้น จาก สมมุติทั้งหลาย ได้ แล้ว...ดีใจกับคุณด้วยจริงๆครับ

ไม่นึกว่า ผู้หญิงจะมาถึง สภาวะนี้ได้...นี่แหล่ะ แม้สมมุติ หญิงชายก็ไม่มี..ไม่เอาอะไร

คุณก็เลย มาถึงสภาวะนี้ได้ครับ...ยินดีต้อนรับ สมาชิก ของ ...มนุษย์ผู้ประเสริฐ ตัวจริง อีกคน

อิอิ

 

ขอบคุณสำหรับความเข้าใจค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งอย่าง

 

เช่นกัน เช่นกัน

ขอบคุณสำหรับความเข้าใจครับ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งอย่าง

 

ไม่เมาเหล้า แต่เรา ยังเมารัก
สุดจะหัก ห้ามจิต คิดไฉน
ถึงเมาเหล้า เช้าสาย ก็หายไป
แต่เมาใจ นี้ประจำ ทุกค่ำคืน

..
เอิ๊กๆๆๆ ม่ายมาว ตูม่ายมาว...

 

เมื่อตะกี้ ได้คุยโทรศัพท์ ผ่านร่าง ชายคนหนึ่ง คุยกับจิตของ พระอาจารย์องค์ตื้อ

ก็เลย ถือวิสาสะ ในนามของอนุพุทธะ

ขอเปลี่ยนคำเรียกหา ท่าน ว่า องค์ตื้อ..เปลี่ยนเป็น องค์สว่างไสว...แทนน่ะครับ

ท่านจะได้หายตื้อ ..กลายเป็น องค์ไม่ตื้อ เป็นองค์สว่างไสวด้วยปัญญา ต่อไปครับ

อิอิ

 

มีอะไรมาคุยกันต่อนะครับ

เรื่องนิทานเวตาลน่ะ อ่านรวดเดียวจบเลยครับ...มันจะได้รักษาสภาวะอารมณ์ สัมมาทิฐิได้ เต็มที่ครับ

 

ว่าทำไม มันแปลกๆ อ่านแล้ว ติดคิดมากมาย เลยต้องวางไปก่อนครับ
ดีนะที่คุยกะพี่สาว ไม่งั้นก็ยังอ่านแบบผิดๆอยู่

 

อ่านคำถามเวตาลจบ ..อ่านคำตอบเลย ไม่ต้องคิดเอง

แต่ถ้าสงสัยในคำตอบ ที่ไม่กว้าง มาสอบถามผมได้ครับ จะอธิบายให้กว้างๆ ยิ่งขึ้น เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครับ

 

ที่คิดไว้ตอนแรก ก็ถูกแล้ว แต่ไปดันทุรัง อยาก จนเกินไปหน่อย
แบบว่า ตั้งใจ จะอ่าน จะเอา จะค้น จะหา ให้ได้ครับ
หนังสือมันเลยหนักกว่าความเป็นจริง

 

มันเป็นอารมณ์ ความคิด ที่ตีกันเอง ของ มิจฉาทิฐิ กับสัมมาทิฐิ นั่นเอง

มันก็เหมือน จิตดี กับจิตไม่ดี มันขัดแย้งทะเลาะกัน นั่นแหล่ะครับ

สงสัยอะไร ถามผมได้นะครับ

แต่ต้อง เข้าใจ ในเหตุผล และ ความจริง ของ คำตอบ ให้ได้...เพราะมันคือคำตอบ ที่ถูก ที่สุดแล้วครับ

 

เมื่อกี้ได้ใช้ไป หลายครั้งล่ะ
รำพึงไปหลายรอบเลย
มันเร็วกว่าเดิมนิดนึง
แต่ก็ยังไปไม่ถึงต้น ครับ