เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณโมกลา กรณีLucid dreaming ตื่นในฝัน

    ความที่คนเราตื่นในฝันเป็นกรณีที่ฝรั่งเค้าศึกษากันมานานพอสมควรแล้ว
    เพราะมีการรู้ว่าตนตื่นในฝันแบบสองชนิดคือแบบเต็มตัวและแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น

    กรณีครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเป็นเพราะเข้าไปเห็นความฝันของตนเองและรู้สึกแปลกใจว่าสิ่งนี้ไม่น่ามีในโลกหรือคนๆนี้ตายไปนานแล้วเราทำไมจึงพบเจอเหมือนคนปกติได้และอืื่นๆ

    ความรู้สึกตัวในช่วงเวลานั้นจะเหมือนว่าเตือนตนเองได้ว่านี่เรากำลังฝันไป
    ชั่วแวบเดียวก็จะกลายเป็นเข้าสู่ความฝันปรุงแต่งต่อเพราะขาดเจตจำนงค์ในการตื่นในฝันอย่างแท้จริง

    ส่วนการตื่นในฝันแบบบเต็มตัวนั้น...
    มีทั้งรู้สึกตื่นแบบเต็มตัวในฝันนั้นเลยจริงๆครับบางครั้งก็สามารถเป็นไทอิสรและให้เป็นไปตามใจปรารถนา
    แต่บางครั้งเหมือนดั่งว่าเราถูกความฝันให้เลื่อนล้อยคล้อยตามบังคับไม่ได้( ตื่นในฝันชนิดที่บังคับได้และบังคับไม่ได้)เพียงแต่รู้สึกเข้าไปในความฝัน

    ที่เป็นจินตนาการได้ทุกๆที่และจะประสพความจริงชนิดหนึ่งคือ
    ตกลงแล้วความฝันที่เราประสพอยู่ตรงหน้ากับโลกที่มีกายเนื้อมันแตกต่างกันอย่างไร
    ในโลกเราจะรู้ไปถึงกายหยาบ น้ำหนักแต่กายฝันนั้น
    เราจะรู้สึกปราศจากแรงดึงดูด เหมือนเราเป็นเงาชนิดหนึ่งที่ล่องลอยไปตามจินตนาการที่เราบังคับมันได้ทุกสิ่ง

    เพียงแต่ว่าการตื่นในฝันทั้งชนิดครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นมีช่วงเวลาที่สั้นคล้อยมากเพราะเจตจำนงค์ในการเข้าไปตื่นนั้นปราศจากกำลังของสมาธิจึงแตกต่างจากการถอดกายละเอียดออกไปครับ

    กายละเอียดที่ออกไปโดยมากแล้วมักจะออกเอง มันไปมันเองตามความเคยชินในสัญญาเก่าๆแต่เราระลึกไม่ได้แต่จิตมันจดจำได้และมันก็ไปผุดสร้างรูปละเอียดภายนอกเอง

    ส่วนการพยายามที่จะออกโดยมากมักจะทำไม่ได้เพราะเหมือนไปตั้งต้นกันใหม่จึงยากเอาการอยู่

    ถ้าเราจับหลับในเวลานอน ตามรู้ลมหายใจออกและเข้าสั้นยาว ดำรงค์สติอยู่ตรงหน้าไม่หวั่นไหวเมื่อกายเบาสบายลมหายใจละเอียดความสลึมสลือ ความทื่อๆแข็งๆมีอำนาจมากขึ้นก็ให้เพียรในการตามรู้ลม ถ้าลมหายให้ตามรู้ความสงบเงียบที่ละเอียดตามไปเรื่อยๆ
    ถ้าเผลอตกภวังค์เข้าไปเป็นฌาน
    ตรงฌานหลับนี้หล่ะในอัปนาฌานมันจะไปผุดขึ้นในอีกมิติภพหนึ่งตามกำลังที่เราสะสมไม่ใช่เสมือนจริงแต่คือภพภูมิแห่งความจริง

    ท่องไปในโลกแห่งวิญญาณและภพภูมิตามใจปรารถนา สิ่งสำคัญที่มักพลาดกันคือ
    เมื่อประสพพบสิ่งใดก็ตื่นเต้นหวั่นไหว อยากรู้ อยากเห็น ส่งจิตไหลไปตามอารมณ์นั้นๆมากจนเกินไป จึงทำให้เผลอหลงลืมสติที่ฐานแห่งความรู้สึกตัวเอง จิตที่ซัดส่ายไปอารมณ์ใหม่ กำลังสมาธิก็จะหดกระชับลง

    ความสว่างของรูปที่เราเห็น สื่อที่เราเจอก็จะเหมือนจางลงไปเป็นลำดับและก็ถูกการกระเพื่อมของวงจิตหยาบภายนอกส่งมาถึงวงจิตละเอียดภายใน มิติภพหยาบจึงเข้ามาแทนเป็นอามณ์ เราจึงกลับมายังมิติโลกอีก

    ดังนั้นให้ปล่อยกายและใจสบายๆเวลาออกไปพบเห็น ทำตัวสบายๆเหมือนปกติและรักษาอามณ์ตนเองรู้ไปถึงอิริยาบทที่เรากำลังทำอยู่ด้วยสติ กำลังก็จะไม่หดหายเพราะเรารักษากำลังเอาไว้อยู่ด้วยสติในอิริยาบท ถ้าดูลมก็คอยระลึกถึงลม ถ้าลมไม่ปรากฏในกายละเอียด
    ให้ตามรู้ในอิริยาบท ถ้าอิริยาบทเบาสบายมองไม่เห็น
    ให้กำหนดสติอยู่ตรงหน้าตามรู้ไปเรื่อยๆ

    ในมิติภพภูมิ ขอเปรียบเปรยว่าเหมือนเราโยนหินลงไปในน้ำแรงกระเพื่อมของน้ำก็เป็นวงๆกระจายออกไป เมื่อเราไปหยุดเอาอามณ์ของขอบวงน้ำที่ละเอียดภายนอกและเข้าไปตื่นรู้ยึดเอาอารมณ์นั้น

    ภวังค์ที่เป็นองค์รักษาภพจะทำหน้าที่หยุดในภพนั้นๆแต่เพราะกิเลส กรรม วิบากในภพโลกยังไม่หมดสิ้น ถ้าเราไปหวั่นไหว ส่งจิตซัดส่าย
    ตื่นเต้น จิตที่เป็นขอบวงหยาบของโลก อามณ์เดิมจะสั่นกระเพื่อมเข้ามาในอีกมิติภพ เรียกร้องให้ไปยึดอารมณ์เดิมอย่างปฎิเสธไม่ได้ครับ
    อนุโมทนา
    อ้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2009
  2. dechpon

    dechpon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณมากเลยครับคุณอ้อง สำหรับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างสูง ตัวผมก็ศรัทธาตามแนวพระอาจารย์ปราโมทย์ เหมือนกัน เคยเจริญสติมาช่วงนึง แต่รู้สึกว่าจิดมันฟุ้งซ่านมันมีเรื่องให้คิดตลอด ตอนนี้ผมเลยเปลี่ยนมาเป็นพุทโธก่อน ในชีวิตประจำวันเช่น ถ้านึกขึ้นได้ก็จะหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ เพื่อให้จิตไม่ฟุ้งเกินไป แล้วก็คงจะสวดมนต์เช้าค่ำด้วยครับ คุณอ้องมีอะไรแนะำอีกไหมครับ แนะนำได้เลยนะครับ
    ขอบคุณมากนะครับ
     
  3. โมกลา

    โมกลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +24
    ขอบคุณค่ะ เป็นอย่างที่คุณอ้องอธิบายเลยค่ะ พอรู้ตัวว่า นี่มันเป็นความฝัน ก็จะตื่นเต้น ใจกระเพื่อม แล้วก็ตื่น คงต้องฝึกอีกนานให้ใจนิ่งสงบ เพื่อเฝ้าดูอย่างเดียว

    โมกลาค่ะ
     
  4. tummai

    tummai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2006
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +132
    เรียนพี่อ้อง

    การถอดจิต หนูทราบดีค่ะว่ามันทำให้พ้นทุกข์ไม่ได้
    แต่สิ่งนี้ก็ดึงหนูเข้าสู่การปฏิบัติธรรมค่ะ
    เพราะหนูเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆจึงอยากพิสูจน์
    สิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมเล่าต่อๆกันมา

    เลยพยายามศึกษามาตั้งแต่ 10 ขวบ โดยสนใจเองไม่มีใครสอนเลย
    ทำแบบงูๆ ปลาๆ เรื่อยมา และได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่สอนการถอดจิต
    ซึ่งเป็นแนวสมเด็จโตค่ะ
    ฝึกไม่ทุกวัน แต่ก็บ่อยค่ะ โดยทำความรู้สึกไว้ที่หว่างคิ้ว
    ตอนนั่งสมาธิอยู่ถอดไม่ได้ค่ะ อาจเพราะว่าจริงจังมากไป
    แต่พอหลับแล้วไม่ทราบว่ากายทิพย์ออกมายืนมองร่างที่นอนได้อย่างไร
    หรือว่าฝันก็ไม่ทราบค่ะ แต่เหมือนจริงมาก
    เดินไปที่หน้าต่างเห็นวิญญาณช้างลอยอยู่ข้างนอกบอกว่าอยากจะคุยด้วย
    ด้วยความตกใจจึงรีบกลับมาที่เตียง แล้วสะดุ้งตื่น
    ปรากฏว่าวันนั้นทั้งวัน กายหยาบมันสั่นๆ ผิดปกติทั้งวันเลย
    ใจก็สั่น พูดยังเสียงสั่นเลยค่ะ

    อีกครั้งก็เกิดตอนนอนค่ะรู้สึกว่าตัวเล็กนิดเดียวเข้าไปอยู่ในร่างกายของตัวเอง
    เดินไปเห็นหัวใจของตัวเองเต้นอยู่ ก็ตกใจนึกว่าตายแล้วซะอีก

    ทำได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้นค่ะ หลังจากนั้นก็ทำไม่ได้อีกเลย
    หนูก็เลยมีข้อสงสัยจะเรียนถามค่ะ
    การถอดจิตสามารถทำได้ทุกคนหรือเปล่าคะ
    แล้วมีเคล็ดลับหรือเทคนิคอะไรมั๊ยคะ ที่จะทำให้การถอดจิตเป็นเรื่องง่าย
     
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ง่ายสำหรับคนไม่อยากถอด ยากสำหรับคนที่อยากรู้
    สมาธิความสำคัญอยู่ที่ถ้าตั้งใจมันจะกดดันและถ้ามันเหลื่อมหรือเข้าไปรู้ว่ามันเหลื่อมหรือกำลังจะออกมันจะตื่นเต้น
    การจดจ่อเพ่งจ้องเราต้องเพ่งในอารมณ์กรรมฐานหรืออารมณ์ที่กำหนด
    แต่พอมีอารมณ์ที่อยากจะรู้ก็จะลืมสิ่งที่กำหนดเอามาเป็นอารมณ์ลืมอารมณ์กรรมฐานหมด
    สมาธิถ้าจิตซัดส่ายไปที่ฐานอื่น จิตก็ไม่รวม กำลังก็ไม่ปรากฏ

    การที่จะเจริญก้าวหน้าไม่ว่าสิ่งใด ต้องตัดอยากทิ้งลง ให้พบกำลังปรากฏเสียก่อน
    ให้พบคำว่าจิตรวม พบคำว่าสงบเงียบลึกเข้าไป พบคำว่ากายสลายหายไป พบคำว่าลมละเอียด พบคำว่าเด่นดวง

    คนที่พยายามตั้งใจจะถอดโดยมาแล้วพอพบคำว่าเริ่มมีกำลังก็จะพยายามที่จะดันตัวเองออกไปจากกาย เพราะอยากถอดกายให้ได้จนลืมกำลังและการกำหนดรูปละเอียดเพื่อให้จิตอาศัยในช่องโพลงของวิญญาณ ขันธ์นอก(กายละเอียด)

    พอดันๆไปมันจะเห็นการเหลื่อมของกายเหมือนแขน ขา มันพยายามที่จะดันไปภายนอกแต่ถูกแรงดึงชนิดหนึ่งคือสายใยแห่งตัณหาที่ผูกติดกายหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ เรียกว่าโดนกระชากกลับร่าง

    การที่เราไปศึกษาการถอดจิต คนบางคนเค้าถนัดในการทำเช่นนั้นแต่ไม่ใช่หมายถึงเราจะทำอย่างเค้าได้
    สิ่งที่พี่แนะนำเช่นอโลกกสินญ์พุ่งออกไปจากกระหม่อม
    การกำหนดให้มีรูปเราอีกคนอยู่ข้างหน้าในท่านั่ง
    หรือการกำหนดให้รูปนอนเราซ้อนเหลื่อมลอยอยู่ในท่านอน

    สิ่งเหล่านี้เป็นความถนัดของแต่ละคน
    แต่บางคนเค้าจะออกก็ออกเอง ยิ่งไม่อยากออกมันก็จะออก
    ยิ่งไม่อยากรู้มันก็จะพาไปรู้ การสร้างแรงกดดันตนเองว่าต้องทำ อยากทำ อยากเจอ มันจึงทำให้การเจริญกรรมฐานยากยิ่งขึ้น

    การฝึกมโนยิทธิก็มีการชักนำ หน่วงนำ อาศัยบุคคลอื่นเข้ามาชักจูง ตรงนี้ก็คงต้องฝึกกับลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำดู บางที่จะมีกระดาษปิดหน้า มีไม้เท้าเคาะ มีแสงมาส่องในขณะเราหลับ มีคำพูดหน่วงชักนำจิตก็มี

    พี่อ้องว่า...
    เพชรดีกว่าพลอย พระธรรมดีกว่าของสาธารณะ พี่อ้องก็เสียเวลาเรื่องเหล่านี้มาเยอะจึงเข้ามาเปิดกระทู้เพื่อเตือนเพื่อนๆน้องๆ อย่าเสียเวลาเหมือนพี่เลย
    การติดดี ติดสุข ติดนิมิต มันจะยิ่งทำให้หลงเข้าไปอีก การติดความละเอียดของจิต ปีติ สุข แสงสว่าง นิมิตนี้หล่ะ จะหลงทำให้เนิ่นช้า

    บางครั้งแล้วเราทำสมาธิที่บริสุทธิ์ไม่ตั้งความอยาก ทำแบบสบายๆ ไม่กดดัน
    ไม่สร้างความต้องการพบ การเห็น การรู้ ถึงเวลามันจะให้เห็น ให้รู้ ให้พบ
    เรานี่อีก... ที่จะเลี่ยงมันไม่ได้ มันไปเอง เห็นเอง รู้เอง ถ้ามีสติ มีปัญญา เราจะหลุดจากมันมา แต่ถ้าไม่มีสติ ไม่มีปัญญาพอ เราจะติดมันไปอีกหลายอสงขัยแสนมหากัลป์

    เดินหน้าเข้าหาพระธรรมแท้บริสุทธิ์และสมาธิแท้บริสุทธิ์ อภิญญาปรากฏเองวาสนาบารมี ตอนนี้อย่าไปคิดมันนะครับ
    เคล็ดลับถ้าถามว่ามีไม๊
    มีชนิดง่ายๆ...
    ตัดอยากทิ้งเสีย มันจะตัดสายใยขาดสะบั้นในสัญญาที่จะทำให้ไม่เข้าถึง
    ทำใจให้โล่งเบาสบายๆ รักษาจิตแจ่มใสภายในด้วยสติ
    ไม่หวั่นไหวในทุกสิ่ง นิ่งสงบสยบทุกสรรพสิ่ง

    ถึงเวลามันจะปรากฏเองครับ...
    พบคำว่าดิ่งหรือวูบเข้าไปเป็นลำดับ
     
  6. ลุงชาลี

    ลุงชาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,958
    ค่าพลัง:
    +4,763
    าธุ สาธุ ขอโมทนา
    อิทัง ปุญญพลัง อิมินา ปุญญะกัมเมนะ

    ด้วยเดชะบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วด้วยดี
    ตั้งแต่ปฐมชาติ อดีตชาติ ปัจจุบันวันนี้
    ข้าพเจ้าขอตั้งจิตกุศลนี้เป็น มหาธรรมทาน
    เพื่ออบรมหนทางความดับ
    ไม่มีเหลือเชื้อแห่งอาวสะกิเลสตน แด่ผู้ใฝ่ในธรรม
    และผู้เคารพเลื่อมใสองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    <O:p</O:p
    ขอส่งผลบุญกุศล อันเกิดจากการนี้
    อุทิศให้ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์สืบๆ ต่อกันมา
    พ่อเกิดแม่เกิด ผู้มีคุณผู้สูงชาติ
    ผู้สงเคราะห์โลกพิทักษ์ธรรม ตลอดจน
    เจ้าบุญนายคุณ เจ้าบ่าวนายใช้ เจ้ากรรมนายเวร
    เจ้าเกณฑ์ชะตา เจ้าการบัญชี ทั้งหลายในทุกภพทุกชาติ
    ที่ข้าพเจ้าได้เคยสบประมาทล่วงเกิน และมีสัมพันธ์เกี่ยวข้อง
    ขอจงได้รับขมากรรม อโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญให้แก่ข้าพเจ้า
    และกรรมอันใดที่ท่านทั้งหลาย ได้ทำไว้กับข้าพเจ้าทุกภพทุกชาตินั้น
    ข้าพเจ้าขอปวารณาให้เป็นอโหสิกรรมเช่นกัน
    พร้อมนี้ขอให้ท่านทั้งหลายพึงปราศจากทุกข์และมีสุข
    เกิดปัญญาญาณยิ่งๆ ขึ้นไป เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้รับ
    ณ กาลบัดเดี่ยวนี้ด้วยเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ นะ โม พุท ธา ยะ
    นิพพานัง ปะระมัง สุขขัง
     
  7. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    กฎของไตรลักษณ์

    กฎของไตรลักษณ์

    กฎของไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่อยู่ภายนอกของกายเรา อันได้แก่การเกิด ดับ ต่าง ๆ ของหมู่มวลสัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้น และความไม่เที่ยงของสิ่งที่อยู่ภายในกาย ใจ ของเรานั่นเอง


    สำหรับกฎของไตรลักษณ์ น่ะครับ เป็นธรรมหลักธรรมหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ให้มวลมนุษย์ได้พิจารณาว่า อ๋อ "มันเป็นไปเช่นนั้นเอง" คือท่านทรงชี้ให้เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป "จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะยึดเอาในสิ่งที่ไม่แน่ไม่นอน อันเป็นการจะเกิดความเป็น ตัวกู ของกู"


    แม้แต่อารมณ์ของเรานั้น ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไม่แต่ต่างอะไรกับสิ่งภายนอก


    กฎของไตรลักษณ์ มีการชี้ให้เห็นว่า อ๋อ "มันเป็นไปเช่นนั้นเอง"


    แต่ถึงกระนั้นแล้ว การรู้กฏของไตรลักษณ์ นั้น ที่เห็นการเกิดดับอะไรต่างๆนั้น ก็ไม่ใช่ที่สุดของที่สุด ซักเท่าไหร่ "เพราะผู้ที่เข้าไปรู้อารมณ์ต่างๆ นั้น ก็มีสิทธิ์ที่จะไปยึดครองอารมณ์นั้นได้อยู่"

    แต่ .........

    "สิ่งที่เป็นที่สุดของไตรลักษณ์นั้นคือ การไม่ยึดเอาสิ่งนั้นมาเป็นของเรา"


    ผมจึงอยากฝากทุกคนไปพิจารณาครับ


    จงจำเอาไว้ว่า

    สิ่งนั้นมีค่า "เมื่อยึด"
    สิ่งนั้นไม่มีค่า "เมื่อไม่ยึด"

    ***********
    อนุโมทนาครับ

    ตั้มครับ
     
  8. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ตอบคุณ tummai(ผมขอช่วยอาน่ะ)

    คุณครับ การที่เราจะเชื่อว่าพระพุทธศาสนามีจริงมั้ย ไม่ได้อยู่ที่ อิทธิฤทธิ์ การถอดกาย หรือความศักดิ์สิทธิต่าง ๆน่ะครับ

    ถ้าคุณจะเอา อิทธิ์ฤทธิ์มาวัดกับพระพุทธศาสนาว่ามีจริงหรือไม่ คุณเอาอิทธิ์ฤทธิ์มาวัดกับกรรมดีกว่าครับ

    เพราะ อิทธิฤทธิ์ แพ้ บุญธิฤทธิ์
    บุญธิฤทธิ์ แพ้ กรรม



    เห็นมั้ยครับ "เรามีอยากเป็นนายแล้วน่ะ... นาย(ความอยาก) สั่งให้ทำอะไรไปก็ทำตามหมด"



    เราเป็นทุกข์เพราะอยากน่ะครับ

    แต่ที่ผมบอกคุณ......ไม่ใช่ว่า "เอ๊ะ ธรรมมะทำอะไรก็ผิดไปหมดเลยเหรอ"
    ทุกสิ่งที่ทำไป ไม่ผิดหรอกครับ "แต่จงใช้ปัญญาประกอบด้วยน่ะครับ ^^"

    เราลองเอาความเพียรในสิ่งนั้น "มาเพียรละกิเลสจะดีกว่ามั้ย ^^"

    เอาไปพิจาราณาน่ะครับ

    เมื่อยึดสิ่งนั้น จะเป็นทาสสิ่งนั้น
    เมื่ละสิ่งนั้น จะเป็นนายสิ่งนั้น

    แต่การละไม่ใช่การไม่เอาสิ่งนั้น ไม่เอาสิ่งใดน่ะครับ แต่ "ในสิ่งที่มีอยู่ ไม่พึงยึดถือเป็นตัวกูของกู"

    เราลองใช้ปัญญาพิจารณาซักนิดนึงน่ะครับ จะเป็นวิปัสสนาญาน เป็นปัญญาที่บริสุทธิ์ มิใช่อิทธิฤทธิ์น่ะครับ

    ต้องมีสัมมาทิฎฐิน่ะครับ คือความเห็นชอบ

    ผมเอาใจสู้ครับ ทำต่อไป เพื่อละน่ะ ^^

    อนุโมทนาครับ

    ตั้มครับ ^.^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2009
  9. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    รักไม่ได้ทำให้ทุกข์ ยึดรักจึงทุกข์


    กระผมขอตอบน่ะครับว่า

    เราต้องใช้ปัญญาพิจารณาน่ะครับ ว่า เหตุแห่งทุกข์คือ อะไร ดูเหตุให้แจ้งน่ะครับ

    เหมือนจะดูไปดับ " ต้องไปดูที่ไฟ อย่าไปดูที่น้ำน่ะ "

    ที่คุณทุกข์เพราะ คุณยึดรัก รักไม่ได้ทำให้ทุกน่ะครับ

    เหมือนกับการที่เรารักคุณแม่ของเรา รักอย่างเป็นมิตร ถ้ารักเป็นจะไม่ทุกข์


    พิจารณาไปอีกน่ะครับว่า

    เป็นทาสสิ่งนั้น เมื่อยึดสิ่งนั้น
    เป็นนายสิ่งนั้น เมื่อละสิ่งนั้น


    ท่านมีรักเป็นนาย

    นาย(ความรัก) สั่งให้ทำในสิ่งใด ท่านก็ทำตามทุกอย่าง ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น อยู่ร่ำไป

    พอตนยึดรักเป็นนาย เมื่อขาดนาย(ความรัก) ก็ไม่มีที่พึ่งพา ต้องหานาย(ความรัก) อยู่เรื่อย ไป

    เหมือนกับนิทานเรื่อง กบเลือกนาย

    จงรักให้เป็น รักอย่างเป็นมิตร


    ถ้าเรารักเขาจริง ที่แบบยอมทำทุกอย่างให้เขา

    "เมื่อเขาสั่งให้ท่านรักเขา ท่านก็รักเขา ท่านก็ทำให้เขาได้ แต่....ทำไม เมื่อเขาสั่งให้ท่าน เลิกรักเขา ท่านจึงทำไม่ได้"

    ไหนว่ารักจนทำทุกอย่างเพื่อเขา รักจริง แน่หรือ

    จงพิจารณาเอาน่ะครับ สู้ ๆ ^^


    อันว่า " เป็นเนื้อคู่กันแล้ว คงไม่แคล้วกันหรอก "


    ******************************
    อนุโมทนาครับ

    ตั้มครับ
     
  10. dechpon

    dechpon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบคุณมากครับคุณตั้ม สำหรับคำแนะนำที่ดีๆครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  11. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    กฏแห่งไตรลักษณ์

    กฏไตรลักษณ์ คืออะไร
    อนิจจตา
    ทุกขตา
    อนัตตตา

    1 อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง คือ ภาวะที่สังขารทั้งปวงไม่อยู่คงที่ เป็นเรื่องแปรปวน มีการแปรเปลี่ยนสภาพอยู่ตลอดเวลา
    สามารถกำหนดรู้ได้ด้วยลักษณะดังนี้

    1.มีการเกิดขึ้นแล้วดับไป
    2.มีการแปรเปลี่ยนสภาพในระหว่างเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา
    3.เป็นสิ่งคราวตั้งอยู่ได้ชั่วขณะ
    4.เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเที่ยงแท้

    อนิจจลักษณะ ได้ในสังขาร 2 ประเภท คือ
    1.อุปาทินนกสังขาร (สังขารที่มีใจครอง)
    2.อนุปาทินนกสังขาร (สังขารไม่มีใจครอง)


    2 ทุกขตา ความเป็นทุกข์ คือ ภาวะที่สังบารทั้งปวงทนได้ยาก ไม่สามารถดำรงตนอยู่อย่างเดิมได้
    กำหนดรู้ได้ด้วยลักษณะดังนี้

    1.สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร ที่มีอยู่ด้วยกันทุกคนไม่มียกเว้น ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย
    2.ปกิณณกทุกข์ ทุกข์ที่จรมาครั้งคราว ได้แก่ ความเศร้าโศก ความพร่ำเพ้อรำพัน ความไม่สบายกาย
    ความเสียใจ ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบ ความพลัดพลากจากสิ่งที่ชอบ ความผิดหวังไม่ได้ดังต้องการ
    3.นิพัทธทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์ ทุกข์ประจำ ได้แก่ ความหนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
    4.พยาธิทุกข์ ทุกข์เพราะความเจ็บไข้ หรือทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกายไม่ทำหน้าที่ปกติ
    5.สันตาปทุกข์ ทุกข์ร้อน ได้แก่ ความร้อนรุ่ม กระวนกระวาย เพราะถูกไฟกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ เผาลนใจจนให้เร่าร้อน
    6.วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม ได้แก่ ความเดือดร้อนใจที่เป็นทุกข์ในปัจจุบันทันตา เช่น ได้รับโทษตามอาญาบ้านเมือง
    ประสบกับความยากลำบากในการดำเนินชีวิต หรือทุกข์ขั้นที่เลยตาเห็น เช่น ตายแล้วไปเกิดในทุคติ
    7.สหคตทุกข์ ทุกข์ไปด้วยกัน หรือทุกข์กำกับ ได้แก่ ทุกข์ที่เป็นผลจากความพรั่งพร้อมด้วยโภคสมบัติ เช่น ได้รับ ยศ สุข
    สรรเสริญ แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นที่ชื่นชอบ แต่ก็ไม่วายที่จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นด้วย เพราะกลัวว่าจะหมดสูญหายไป
    8.อาหารปริเยฎฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน ได้แก่ ทุกข์เนื่องด้วยการทำมาหากินเลี้ยงชีวิต
    9.วิวาทมูลทุกข์ ทุกข์มีวิวาทเป็นมูล ได้แก่ ทุกข์ที่เกิดจากการทะเลาะกัน การต่อสู้คดีความกัน เป็นเหตุให้หวาดหวั่นใจกลัวแพ้
    10.ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอด ได้แก่ ทุกข์ที่เกิดจากการยึดมั่นถือในขันธ์ 5 กลัวไม่สวย ไม่หล่อ ไม่งาม เลยเกิดทุกข์


    3 อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน คือ ภาวะที่สังขาร และวิสังขาร เป็นของมิใช่ตัวตน กำหนดรู้ได้ด้วยลักษณะ ดังนี้

    1.ไม่อยู่อำนาจ ได้แก่ ไม่อยู่ในบัญชาของใคร ไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา ใครบังคับไม่ได้
    2.แย้งต่ออัตตา ได้แก่ เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นตัวตน
    3.หาเจ้าของมิได้ ได้แก่ ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง สงวนรักษามิให้เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้
    4.เป็นสภาพว่างเปล่า ได้แก่ หาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้ เพราะเมื่อพิจารณาแยกออกเป็นส่วนๆ สภาวะที่แท้จริงก็ไม่มี
    5.เป็นสภาวธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ได้แก่ เป็นเพียงสภาวธรรมอย่างหนึ่ง ที่เมื่อเกิดขึ้นก็เพราะเหตุ ดับก็เพราะความดับสิ้นแห่งเหตุ

    *****การพิจารณาสังขารให้เป็นอนัตตา ถ้าขาดการพิจารณาโดยแยบคายแล้วอาจกลายเป็นนัตถิกทิฏฐิ คือ มีความเห็นปฎิเสธไป
    ทุกอย่างได้ เช่น เห็นว่าผลของบาปบุญคุณโทษไม่มี คุณของบิดามารดาไม่มี เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องพิจารณาสังขารโดยใช้หลักของ
    สัจจะเข้ามาเป็นหลักประกอบการพิจารณา ได้แก่

    1.สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ ความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน เป็นต้น ย่อมเป็นความจริง
    ตามสมมติอันพึงจะคัดค้านมิได้
    2.ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ คือ ความจริงโดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นการ
    พิจารณาถึงสภาพที่แท้จริงของสังขาร ( พระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตฺโต พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ 2538 150/301 )
    3.อนัตตลักษณะ มิใช่มีเฉพาะแต่ในสังขารอย่างเดียว แม้แต่วิสังขาร ได้แก่ สภาวะที่ไม่ใช่สังขาร เป็นสภาวะที่ปราศจากการปรุงแต่ง
    คือ พระนิพพาน ก็จัดอยู่ในอนัตตลักษณะนี้ด้วย คาถาที่ 3 นี้ ท่านจึงใช้คำว่า "ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา"

    อนึ่ง การที่บุคคลจะพิจารณาเห็นสังขาร จนเห็นเป็นไตรลักษณ์นั้นเป็นของยาก เพราะมีสิ่งปกปิดไว้ไม่ให้เห็นคือ สันตติ
    ความสืบต่อแห่งนามรูป ปกปิดอนิจจตา, อิริยาบถ ความผลัดเปลี่ยนกิริยาทางกาย ปกปิดทุกขตา, ฆนสัญญา ความสำคัญว่าเป็นกลุ่ม
    เป็นก้อน ปกปิดอนัตตา

    แต่หากใช้ปัญญาพิจารณาอย่างที่ถ้วนโดยวิธี คือ วิปัสสนาภาวนา พิจารณาสังขารจนเห็นความเกิดและความดับ จนถอน
    สันตติลงได้ เห็นความถูกบีบคั้น ทนอยู่ไม่ได้ ด้วยเพิกถอนอิริยาบถออกเสีย พิจารณาจนเห็นเป็นธาตุที่กระจายออกจากความเป็นกลุ่ม
    ก้อน จนถอนฆนสัญญาเสียได้ เมื่อพิจารณาเห็นโดยกฏไตรลักษณ์เช่นนี้ จิตของผู้นั้นย่อมปล่อยวางได้ เพราะเกิความเบื่อหน่ายในทุกข์
    ที่เกิดจากสังขาร ความหน่ายอย่างนี้ถึงจะเรียกว่า นิพพิทา ย่อมเป็นแนวทางหรืปฏิปทาข้อปฏิบัติที่ทำให้บรรลุถึง วิสุทธิ ความบริสุทธิ์
    จากกิเลสต่อไป<!-- google_ad_section_end -->
    ( สืบเนื่องจากกระทู้หนึ่งในเวปพลังจิต อ่านแล้วรู้สึกว่ามันตรง เลยเอามาลงไว้ให้อ่านกันค่ะ )

    พิจารณาทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ค่ะ ไม่ต้องยึดติด ไม่ต้องไปแบกไว้
    ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้แต่สังขารร่างกาย สักวันก็จะเน่าเปื่อยผุพัง
    ต้องถามตัวเองด้วยว่า รักเพราะอะไร รักเพราะปรารถนาในสิ่งดีต่อผู้อื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
    หรือรักเพราะต้องการให้เขามาเป็นของเรา
    ถ้าตอบว่ารักเพราะเหตุผลแรก นั่นคือความรักอันบริสุทธิ์ และจะทำให้จิตใจสว่าง และมีความสุข มีความเต็มอยู่ภายในใจ มีความเมตตา ซึ่งเป็นหนึ่งในพรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    ขอให้เจริญในธรรมค่ะ
    ขออนุโมทนา
     
  12. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะพี่อ้อง

    ขอบคุณและอนุโมทนาด้วยค่ะ
    คำแนะนำและคำเตือนของพี่อ้อง หนูจะจำไว้เตือนตนเองเสมอค่ะ
    สาธุ
    ขอให้พี่อ้องเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นนะคะ

     
  13. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    อนุโมทนาครับอากุ้ง ^.^

    ผมกับอาเป็นผู้รักในธรรมเช่นกัน อนุโมทนากับการเผยแผ่ธรรมมะของอาด้วยใจจริงครับผม


    ^^

    ตั้มครับ
     
  14. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    อาอ้องครับ กระผมเหนื่อยเหลือเกินครับ ผมเข้าไปดูกระทู้ อื่นๆ บางคนว่าพระพุทธทาสท่านไม่ดีอย่างนี้ บางคนว่าดีอย่างนี้ ผมเองศรัทธาพระพุทธเจ้า พระพุทธทาสด้วยก็ดีครับอา

    แต่พอเจอเรื่องอย่างนี้แล้ว หดหู่ไปเลยครับ

    กลายเป็นการแบ่งพรรคแบ่งพวกไปแล้ว
     
  15. จักรราศี

    จักรราศี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,086
    เรื่องการถอดจิต จะถอดออกหรือไม่ออกจริงยังไงนั่นอีกเรื่อง
    หรือถอดไปโลกทิพย์ จริงไหม ไม่มีใครทราบ ไม่มีใครเป็นพยาน
    ยังไงก็ไม่ชัดเจนเท่ากับการถอดจิตแล้วพิสูจน์ในโลกมนุษย์

    เช่นคุณถอดไปที่บ้านเพื่อน แล้วมองดูนาฬิกาเลย สมมติว่าเป็น 12.30 น.
    ที่บ้านเพื่อน คุณเห็นเพื่อนคุณเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์อยู่ แล้วคุณกลับมาเข้าร่างตนเองเสร็จ
    คุณโทรกลับไปถามเพื่อนคุณเลย ว่าตอน 12.30น. นี้ ทำอะไรอยู่ เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์อยู่ จริงไหม

    ....ถ้าจริง โอเค นี่มันต้องพิสูจน์กันอย่างนี้เลย
    ไม่ใช่ไปโลกทิพย์แล้วก็รู้อยู่คนเดียว แต่คนที่ทำได้น่ะมี มากด้วย ไม่เถียง
    แต่การพิสูจน์แบบชัดเจนไปเลยต้องทำแบบนี้ ชัดเป๊ะๆ มีพยานบุคคล ในโลกมนุษย์ด้วย
     
  16. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    โทษทีครับพอดีพึ่งกลับจากเชียงใหม่เลยไม่ได้ตอบมาหลายวันครับ
    สิ่งที่คุณจักรราศรีพูดมาถูกต้องครับ
    เป็นเรื่องเฉพาะตนมีเพียงพระธรรมอันบริสุทธิ์เท่านั้นที่ไม่ต้องพิสูจน์
    พิจารณาด้วยปัญญาย่อมทราบดีอยู่
    การเล่นปาหี่ การแสดงกล การอวดอ้างฤทธิ์ย่อมมีเจตนาไม่บริสุทธิ์อยู่คือ
    แสวงหา ลาภ สักการะ ศรัทธาด้วยความไม่ซื่อตรง มีแต่ทำลายปัญญาแห่งตนครับ
    อนุโมทนาครัับ...
    อ้อง
     
  17. Tewadhol

    Tewadhol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +694
    กระทู้นี้เจ้าของกระทู้เขาตั้งขึ้นมา ถ้าอ่านด้วยความมีสติและไตร่ตรองด้วยปัญญา
    จะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาตั้งตนเป็นผู้วิเศษเพื่อหวังหาลาภสักการะแต่อย่างใด
    เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงแนวทางวิธีการปฏิบัติ การแก้ปัญหาต่างๆ เท่าที่ตัวเขามีประ-
    สบการณ์ความรู้ความสามารถ ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ที่เขาเคารพเลื่อมใส
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ปัจเจกบุคคล แต่ในเมื่อเขาไม่ได้สร้างความเดือด
    ร้อนให้ใคร ไม่ได้หลอกลวงเอาลาภผลจากใคร สมควรหรือที่เขาจะได้รับการปรามาส
    ถากถาง จากคนที่คิดว่าตัวเองมีความรู้ มีสติปัญญา มีความเจริญทางธรรม

    <O:p</O:p
    การที่คนเราจะฝึกจิตจนได้ฌานหรือญานนั้น จิตของผู้นั้นจะต้องพร่องจากกิเลส คือ
    โลภ โกรธ หลง แล้วในระดับหนึ่งถึงจะเกิดฌานหรือญานได้ เพราะหากยังไม่พร่อง
    จิตของเขาจะไม่ได้ความสงบ สว่าง จะได้ก็แต่แค่ความเงียบสงบทางกาย เป็นบางครั้ง
    บางคราวเท่านั้น ในขณะปฏิบัติ

    <O:p</O:p
    ในเมื่อจิตของผู้ที่ได้ฌานหรือได้ญาณเป็นอย่างนี้แล้ว เขาเหล่านั้นจะไม่ให้ความสำคัญ
    อะไรในเรื่องของโลกธรรมแปด เพราะมันจะทำให้จิตใจของเขาเศร้าหมองเสียเปล่าๆ
    เพราะฉะนั้นการที่จะพิสูจน์ให้ใครรู้ จึงเป็นเรื่องไร้สาระหาประโยชน์มิได้ เพราะตัว
    อย่างในสมัยพุทธกาลก็มีมาแล้ว ให้ผู้มีปัญญาได้ศึกษา

    <O:p</O:p
    เรื่องแบบนี้จึงเป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ถ้าเห็นว่าดีว่าถูกตามแนวทางพระพุทธศาสนา
    ก็อาจจะเก็บเกี่ยวเอาไปเป็นแนวทางให้กับตัวเองได้บ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าเห็นว่ามัน
    ไม่ดีไม่ถูกทาง ก็ไม่เห็นจะยากอะไร แค่คลิกปิดมันซะ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2009
  18. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    เรียนถามอาครับ

    คือผม แวะเวียนไปดูกระทู้อื่นๆ ในเว็บมา

    แล้วไปสะดุดตรงที่ เขาบอกว่า ผู้จะไปนิพพานนั้น เมื่อทำสมาธิจนเกิดฌานแล้ว ให้น้อมจิตไปเนรมิต ร่างใหม่ ในนิพพานอนาคต

    และก็มาสะดุดที่ มีคนบอกว่า พระพุทธทาส ท่าน อกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า หาว่าพระพุทธทาส ท่านไม่เคารพพระพุทธเจ้า

    แล้วผมก็เห็นพวกเขา อ้างอิงมาจากหนังสือของท่านพระพุทธทาส ครับอา


    ผมก็เลย งง น่ะครับอา ในเมื่อนิพานคือความหลุดพ้น ไม้ต้องการอะไร แล้วเราจะน้อมจิตไปเนรมิตกายใหม่ทำไม
     
  19. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบตั๊ม

    ขอให้ตั๊มยึดเอาคำสอนของท่านในสิ่งที่ท่านกล่าวถึงพระธรรมที่บริสุทธิ์นะครับเพราะครูบาอาจารย์พระอริยเจ้าทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่เคยไปสอบถามธรรมท่านและการที่ยกกล่าวอ้างอิง
    สิ่งที่ท่านกล่าวเป็นเชิงเปรียบเทียบ รวมทั้งอุปมาอุปมัย รวมทั้งบางสิ่งท่านก็เชื่อว่าไม่ถูกต้องนัก
    ความที่ท่านกล่าวเปรียบเทียบออกไปไม่ตรงกับตำราจึงทำให้คนที่ศึกษาตำราแต่ยังไม่เข้าถึงสภาวะก็มาแสดงการยกเอาการอ้างอิง การเปรียบเทียบ การอุปมา มาโจมตีท่านเช่นกัน

    เรื่องบางสิ่งเราพิสูจน์ไ้ด้ยากถ้าท่านยังอยู่ก็คงจะตอบได้อย่างบริสุทธิ์เหมือนที่ครูอาจารย์พระอริยเจ้าทั้งหลายเคยไปสอบถามท่านเช่นกัน
    สิ่งที่ท่านตอบคือ"ท่านเชื่อว่าผมเป็นคนเช่นนั้นหรือ"

    คนเราไม่ควรที่จะหาเรื่อง หาไฟเข้าหาตน หาอบายเข้าหา
    ความจริงแล้วการแสดงความเห็นว่าสิ่งที่ท่านกล่าวออกมาถูกหรือผิดน่าจะเป็น
    การกล่าวอ้างในเหตุและผลมากกว่าจะโจมตีท่านเป็นความเห็นผิดหรือพยายามยัดเยียดให้ท่านตกอบายให้ได้

    สิ่งที่น่ากลัวเพราะภัยปากตน...
    ตั๊มยังต้องเจอคนพวกนี้อีกเยอะเพราะเป็นหลักการณ์จะมีอยู่ไม่กี่คนแม้พี่ก็เคยถกเถียงกับเค้ามาแล้วเช่นกัน
    ทิฎฐิ ความทนงตน การไม่เข้าถึงสภาวะ ก็มีแต่ผ่นน้ำลายสาดซัดเข้าหาเพื่อให้คนอื่นเชื่อว่าตนถูกต้องที่สุดก็เพียงนั้น

    แม้หลวงปู่เทสก์ท่านก็พูดว่า" หยิบเอาตำราโยนทิ้งไปเสียก่อนเถอะ
    ทำจิตให้เข้าถึงเอกัคคตารมณ์เมื่อนั้นสิ่งที่เอามาพูดจะเข้าใจเองตามความจริงด้วยใจที่เที่ยงธรรม ดีกว่ามาพ่นน้ำลายเปลืองโดยใช่เหตุเสียเปล่า"
     
  20. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ค่อยยังชั่วครับ


    ผมเนี่ยน่ะครับ ศรัทธาพระพุทธทาสท่านมาก เพราะธรรมที่ท่านสอนสั้น ๆ แต่จี้จุดผมน่ะครับอา

    " จนผมสัมผัสได้ถึงความไม่มีตัวตนของตัวเองได้โดยแท้จริงครับ "

    ก็เพราะคำสอนสั้นๆ ของท่านนี่แหละครับ


    ขอบพระคุณอามากครับ

    ที่ท่านบอกว่า "ท่านเชื่อว่าผมเป็นคนเช่นนั้นหรือ" ก็เพราะว่า คำว่า "คน" ก็ถูกสมมุติขึ้นมาเช่นกัน ผมว่าเรามนุษย์ทั้งหลาย ก็ไม่แตกต่างอะไร กับ มด ปลวกน่ะครับอา



    อนุโมทนาครับ


    ตั้มครับ ^.^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...