เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ฮะ ห้า ป่าวหรอกครับอา ไม่ได้รีบไปไหนซะหน่อย ผมก็แวบมาแวบไปอย่างนี้แหละ ฮะ หุ ๆ ^.^
     
  2. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    แต่จิตนี้ก็ยอมรับเองของมันน่ะครับอา

    "ว่าไม่มีตัวไหนเลยที่ใช่ตัวเรา"

    แต่ก่อนที่ผมคิดว่าผมดูจิต แต่เดี๋ยวนี้ จิตดูจิต
    ถ้าถามว่าใครคิด จิตคิด
    ถ้าถามว่าใครรู้ว่าคิด จิตรู้ว่าคิด มิใช่เรารู้อะครับอา

    และผมก้อไม่ได้ตอบแก้ตัวด้วย อะฮะ


    หุ ๆ ^.^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2010
  3. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    อาครับ ผมลืมสวัสดีปีใหม่

    งั้นผมขอสวัสดีปีใหม่น่ะครับอา ^.^

    แม้จะปีใหม่หรือปีเก่า มันก็เหมือนเดิมนั้นแหละน๊า.....
    แต่เราๆ เอง ทำตามกันมา เชื่อตามกันมา........

    ขออภัยด้วยน่ะครับอาที่มาป่วนกระทู้ของอา ^^


    ป่าวป่วนนะครับ ^^
    ..

    .......เฮ้อ แบกมันไว้ตั้งนาน หนักจังน๊า....
     
  4. ลูกท่าน

    ลูกท่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,649
    "เหตุที่เริ่มจากตรงนี้เพื่อทำให้กำลังกิเลสมันอ่อนเปลี้ย
    เหมือนงดให้อาหาร งดให้น้ำ
    จนกิเลสมันอดอาหารตายไปเลย
    ( ฟังดูใจร้ายครับ)"


    ขออนุญาตโค้ตคำกล่าวที่ประทับใจ
    ของเพื่อน ๆ สมาชิกเวปพลังจิตท่านหนึ่ง
    มาวางไว้อีกรอบครับ.........

    ตรงนี้แหละครับ ง่ายๆ แต่ได้ผลชะงัดจริงๆ
    ในการฆ่ากิเลส อนุโมทนาบุญด้วยนครับ
     
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    พึงควรระวังนิมิต

    พระพุทธเจ้าทรงสอนพระวักกลิว่า “โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ” ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นถือว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นถือว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นเราเห็นธรรม ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นพระสงฆ์ ผู้ใดเห็นธรรมเห็นพระสงฆ์ ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นเรา

    ความหมายเหล่านี้ล้วนมีอยู่ทั้งสิ้นคือจิตรู้ถึงขั้นใดก็จะปรากฏนิมิต อาการของจิตปรากฏเหมือนดั่งเราพบเจอพระอริยสงฆ์ พระพุทธองค์ปรากฏ
    เหมือนดั่งเข้าไปท่ามกลางหมู่แห่งพระอริยเจ้า

    สูญในที่นี้แม้สูญไปจากกิเลสแต่ภพชาติและรูปนามก็สูญไป
    นิพพานไม่มีเข้าๆออกๆเพราะไม่ใช่สถานที่ไม่ใช่มิติภพไม่มีรูปไม่มีนามปรากฏ สันติ บรมสุข เยื่อใยในโลกหมดสิ้นไป ไม่กลับมา ไม่หวนคืน

    คราวนี้อย่างครูอาจารย์บางองค์ท่านพบหรือคุยกับพระอริยเจ้าที่สิ้นไปหรือพระพุทธองค์นั้นถ้าไม่ศึกษากันดีๆก็จะทำให้เกิดปรามาสตามๆมาได้เพราะถ้าสอบถามครูจริงๆที่ท่านเล่าแล้ว

    ข้อมูลในลำดับที่ตามมาคือเป็นอาการของจิตรู้สร้างนิมิตภาพปรากฏของตนเองทั้งสิ้น สิ่งที่ไม่กลับมาล้วนไม่กลับมาเหมือนดั่งไฟที่หายไปในอากาศ เหมือนดั่งลอยเท้านกบนอากาศ

    รูปนามสลายหายสิ้นทั้งอินทรีย์ไม่ปรากฏ ดังนั้นสิ่งที่คิดว่ามีก็คือนิมิตแห่งตนทั้งสิ้น

    ว่าโดยปรมัตถ์สภาวะธรรม...

    เมื่อ จิตมีอำนาจยึดถือธาตุทั้ง ๔ แล้ว จิตที่มีอำนาจบังคับธาตุนั้นๆ จะมีอาการต่างๆ โดยการตั้งธาตุ หนุนธาตุ จึงมีอุปาทานยึดถือ สรุปได้ว่าอิทธิฤทธิ์ยังตกอยู่ในห้วงทุกข์ ผู้ใดยึดถือไว้ย่อมเกิดทุกข์ทั้งปัจจุบันและอนาคต

    หากผู้ใดรู้แจ้งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
    แล้วปล่อยวางเสีย อิทธิฤทธิ์นั้นย่อมสลายไป

    อิทธิฤทธิ์มีการสืบต่อด้วยตัณหาอุปาทาน จะเป็นห้วงกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ย่อมมีอิทธิฤทธิ์ไปแทรกอยู่ด้วย

    อิทธิฤทธิ์จะเกิดได้ด้วยมีอุปาทานไปยึดถือ

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเตือนพระโมคคัลลานะเมื่อบรรลุธรรมใหม่ๆ ว่า “ดูกรโมคคัลลานะ เธอจะเข้าไปยังหมู่บ้าน เธออย่าชูงวงนะ”(ชู งวง หมายถึง การแสดงอิทธิฤทธิ์)

    พระโมคคัลลานะได้ระงับอิทธิฤทธิ์ ตั้งแต่นั้นมาเพราะไม่ใช่หนทางพระนิพพาน เพราะสิ่งทั้งหลายไม่ว่ารูปและนามเป็นอนิจจังทั้งสิ้น (คือขันธ์ห้า) หรือกล่าวว่า

    อิทธิฤทธิ์เป็นการสร้างรูปสร้างนามนั่นเอง...

    ฉะนี้ แล อิทธิฤทธิ์เกิดขึ้นได้เมื่อมีอุปาทานไปยึดถือ

    เมื่อผู้ใดรู้แจ้งว่ารูปและนามเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
    จึงปล่อยวางรูปและนามตามธรรมชาติด้วยไตรลักษณญาณ
    เพราะอิทธิฤทธิ์เป็นโทษแห่งพระนิพพานโดยแท้

    อิทธิฤทธิ์ เนื่องด้วยรูปก็มี หรือด้วยนามก็มี ซึ่งไม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธะแต่อย่างใดเลย เพราะพุทธะหมายถึง ความรู้แจ้งเห็นจริงในสภาวะธรรมทั้งหลายโดยสิ้นเชิง...(ข้อนี้น้องบางคนในบางกระทู้ก็ติดจนกลายเป็นนิมิตตนมาหลอกตน)

    อิทธิฤทธิ์ เป็นนามธรรมโดยเฉพาะแล้วเป็นเหตุให้เนรมิตรูปต่างๆ นานา แล้วแต่กิเลสตัณหาจะบัญชา

    หนทางคลายอิทธิฤทธิ์มีวิธีเดียวคือ การพิจารณาสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เพราะสิ่งใดไม่เที่ยงย่อมเป็นทุกข์

    เมื่อปล่อยวางสิ่งที่ไม่เที่ยงเสีย ทุกข์ก็หมดไป จิตก็จะกลับเป็นอนัตตา ซึ่งแปลว่า ไม่ยึดถือในสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์

    ปรมัตถธรรม หมายถึง ความจริงมีอยู่อย่างนี้

    ดังนั้นพี่อ้องจึงขอให้น้องๆพี่ๆจึงพึงอย่าประมาทในนิมิตเพราะอิทธิฤทธิ์เป็นเพียงสภาวะของอนัตตาที่เข้าไปสร้างขึ้นเอง ถ้าเท่าทันและพิจารณาลงไปก็จะหยุดเสียได้ด้วยปัญญาครับ

    อนุโมทนา...
    อ้อง
     
  6. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    นิมิตมีสภาพเป็นอนัตตานะกุ้งย่อมสลายหายไปเป็นธรรมดาของอาการจิตรู้
    ฤทธิ์อำนาจก็เป็นรูปนามที่ใจไปสร้างขึ้นไม่พ้นทุกข์
    คนที่เห็นอะไรในนิมิตมีเยอะเขียนอะไรได้สาระเต็มไปหมด

    แต่มองที่ผ่านมาจนปัจจุบันก็ยังไม่พ้นจะต้องวนเวียนในวัฎฎะหมุนไป
    ถ้าพิจารณาว่าไม่เที่ยงแม้นิมิตก็จะปรากฏปัญญาเห็นสภาวะธรรมตามจริง

    พุทธะคือตื่น รู้ เบิกบาน นะกุ้ง
    อื่นๆไม่ใช่หรอก

    พี่อ้องก็ลองไปอ่านๆของน้องๆคนอื่นมาหลายคน ติดกันหมดคือมุ่งไปเพื่อสืบเสาะ
    จิตส่งออกเข้าไปรู้อาการของจิตสร้างรูปนามแห่งใจตนโดยไม่ได้เฉลียวใจหันกลับมามองที่กายและจิตอันเป็นเหตุแห่งทุกข์เพื่อดับมันที่กายและจิตจนสิ้นไป

    อนุโมทนานะกุ้ง
     
  7. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    อนุโมทนาค่ะพี่อ้อง

    กลับไปอ่านหนังสือพี่อ้องอีกรอบและอีกหลายๆรอบ
    จริงๆพี่อ้องได้สอดแทรกสิ่งเหล่านี้ไว้เตือนใจอยู่เสมอมา

    เปรียบเสมือนปลาที่เพิ่งได้น้ำใหม่
    คือหลงดีใจว่าเป็นของดีค่ะ

    แต่จริงๆก็ยังอยู่ในตู้ ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย

    พี่อ้องได้กรุณาเตือนสติหนูเสมอมา
    เวลาที่จิตรู้สึกสับสน วุ่นวาย หนูก็จะเข้ามาอ่านกระทู้พี่อ้อง หรืออ่านหนังสือพี่อ้อง และก็จะได้คำตอบที่ต้องการเสมอ

    รู้สึกว่าได้คำตอบที่พี่อ้องเตือนว่าให้เจริญสติในชีวิตประจำวัน ตามรู้กับความรู้สึกนึกคิด สามารถเข้าใจอารมณ์ต่างๆ และสามารถวางมันลงได้

    ไปเปิดหนังสือของครูบาอาจารย์หลายๆท่านโดยเฉพาะของหลวงปู่มั่น
    ให้กำหนดรู้อยู่กับคำภาวนาพุท-โธ

    ตอนนี้เริ่มจะทำความเข้าใจไปทีละน้อยแล้วค่ะพี่อ้อง หนูจะไม่ยึดเอานิมิตเหล่านั้นมาเป็นอุปสรรค ขัดขวาง เส้นทางเส้นนี้อีก

    หนูได้อ่านหนังสือของพี่อ้องแล้วรู้สึกซาบซึ้งกับคำสัญญาของพี่อ้องที่ให้ไว้ต่อหน้าพระพุทธรูปว่าจะนำพาญาติทางโลกและทางธรรมรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปสู่เส้นทางที่พ้นทุกข์ให้ได้ ไม่ว่าจะลำบากสักเพียงไร

    รู้สึกขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ หนูเองถ้าหากไม่ได้พี่อ้องคอยสอน แนะนำ และเตือนสติอยู่ตลอดเวลา หนูก็ไม่ทราบว่าจะไปโผล่ตรงไหน
    กว่าจะไปถึงจุดหมาย ก็คงหกล้ม อ้อมไป อ้อมมา เสียเวลาไปนาน
    จะตั้งใจค่ะ สัญญา
    ขอให้พี่อ้องเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ สาธุ
    และขอให้พี่อ้องได้ทำตามความตั้งใจ ได้สำเร็จครบถ้วนทุกประการ โดยไม่มีอุปสรรคใดๆมาขัดขวางได้ ขออนุโมทนากับพี่อ้องทุกประการค่ะ

     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    น้องถามเรื่องการยกให้แก่จิตวิญญานและฌานหลับ

    ในมิติละเอียดเราใช้คำว่ายกให้ อุทิศให้ ให้กันด้วยใจ ให้ในสิ่งสมมุติแต่มีกำลังของกุศล
    เป็นตัวแปลค่าในสิ่งนั้นๆด้วยอำนาจของกุศล คนทำบุญใช้คำว่าอุทิศ ยกให้ด้วยการกรวดน้ำแทนใจ
    คนทำสมาธิใช้อำนาจทางใจโน้มเข้าไปในสิ่งที่ยกให้ อุทิศให้ก็สำเร็จผลไม่ต้องกรวดน้ำครับ

    คนทำสมาธิในท่านอนมีโอกาสตกภวังค์ถี่ได้ แต่ตรงที่ดึงๆกลับมาปรากฏคำว่าสติที่ดิ่งลงภวังค์และรู้สึกตัว
    เพื่อกลับมาอยู่ในจุด ตำแหน่งที่กำหนดต่อไปอย่างไม่คาดเคลื่อน เพื่อไม่ให้จิตซัดส่าย เพื่อความตั้งมั่นของจิต
    จึงต้องฝึกอบรมให้จิตมีความมั่นคงในจุด ตำแหน่งที่วางงานเอาไว้

    ฌานหลับนั้น ช่วงแรกๆเมื่อเราปล่อยกายและจิตแบบสบายๆให้ลอยละล่องไปและเฝ้าดู
    สำเหนียกรู้ตามลม ดำรงสติเฉพาะหน้าไม่หวั่นไหว

    บางคนกว่าจะหลับก็นานกันหน่อยเพราะไม่เคยชิน หรือไม่หลับก็เพราะทิ้งอารมณ์เพราะเบื่อ

    แต่ถ้าเราฝึกไปในช่วงแรกแบบไม่เบื่อหน่าย ไม่ทิ้งอารมณ์ตามรู้จนมันหลับเช่นที่คุณdonตามดูอยู่จนหลับไปนั้น

    ฌานหลับนั้นถ้าสุขปรากฏและตามรู้จนหลับจิตจะต้องถึงปฐมฌานจึงหลับไปได้ ไม่ใช่หลับเพราะทิ้งอารมณ์ แต่หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้
    ทั้งๆที่เฝ้าดูอยู่ คนที่หลับไปพร้อมกับการเฝ้าดูจึงหารู้ไม่ว่า

    ปฐมฌานนั้นๆถ้าหลับไปและสิ้นอายุขัยคือการฝึกตายก่อนตาย
    สิ้นไปกลายเป็นพรหมอย่างง่ายๆในท่านอน

    เมื่อเเรกเริ่มอาจจะหลับยากแต่ต่อมาจะเริ่มหลับง่ายเป็นลำดับ พอนึกโน้มเข้าหาอารมณ์ในท่านอนดูอยู่
    จะยิ่งหลับเร็ว นั้นก็คือจิตเข้าปฐมฌานได้อย่างรวดเร็ว

    ต่อมาแม้เวลายืน เดิน นอน นั่ง พอนึกโน้มในอารมณ์เพียงช่วงไม่กี่ขณะจิตก็จะทรงฌานอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

    สมาธิ ฌานไม่ใช่สิ่งยากเย็นเห็นไม๊
    โดนอ้องหลอก...ให้นอนดูตอนหลับก็เข้าฌานหลับแบบไม่รู้ตัว
    ยิ่งทำยิ่งหลับลึก ยิ่งฝันดี ยิ่งมีนิมิตดี หลับเร็ว เข้าฌานเร็ว
    เวลาตายจะปลอดภัยถ้าปล่อยวางจิตเช่นนี้

    เพราะฝึกตายอยู่ทุกๆคืนนะครับ

    อนึ่ง...เหตุที่หลับในปฐมฌานเพราะกายเกิดปัสสัทธิสงบระงับลง กายมันเบาสบาย
    สุขต้องก่อเกิดแต่ตอนสุขปรากฏ กำลังสติน้อยในท่านอนจึงเผลอตกภวังค์ทั้งสามเข้าฌานหลับ
    อันเป็นจิตแห่งพรหมสะสมเชื้ออำนาจแห่งความละเอียด

    ในความละเอียด มิติ ห้วงเวลา มีการเกิดดับช้า นานแสนนาน
    แต่เพราะกายหยาบมีอำนาจครองอยู่ จิตยังไม่พ้นอำนาจมหาภูต๔จึงต้องตื่นมากับโลก
    หยาบอีกต่อไป แต่ยามสิ้นไป จะรู้ว่า เวลาเสวย ปิติ สุข อันความละเอียดนั้นๆ กาลเวลาช่างยาวนานอย่างเหลือเชื่อทีเดียว

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2010
  9. วันชัย13

    วันชัย13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +176
    .............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2010
  10. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    กายหลับแต่จิตตื่นคือสมาธิ ฌานหลับตกภวังค์วูบ

    ตรงสมาธิกายหลับแต่จิตตื่นนี่หมายถึง
    กายมันกรน มันหลับไปจริงๆ เห็นกายมันหลับไปจริงๆ เป็นก้อนเนื้อชนิดหนึ่งที่ไม่ไหวติง
    และตกอยู่ในสภาพธาตุที่ผ่อนกำลังปรับสภาวะธาตุมันเอง

    คำว่าจิตตื่นคือจิตที่อาศัยอยู่ภายในถ้ำคูหาของอายตนะวิญญาณมันตื่น

    มันไม่ได้ตกภวังค์กลายเป็นฌานหลับไป

    มันตื่นรู้หมดตามปกติ แต่เห็นร่างกายไม่ใช่เราชนิดหนึ่ง
    ที่นอนแบบทิ้งทวน (แม้ในท่านั่งสมาธิก็จะเห็นเช่นกัน)
    มีอาการของการกรนบ้าง หรือมีอาการของความเบาสบายของธาตุที่ปรับสมดุลย์

    สมาธิในท่านอนจึงอยู่ได้ยาวกว่าท่านั่งเพราะสุขปรากฏถี่ยิบแต่ท่านั่งจะปรากฏความชาความแข็งความหนืด
    ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุลมจะแปรปรวนเมื่อถึงขีดอำนาจของกาย

    แต่คนที่ทำท่านอนสมาธิหาได้น้อย
    แต่ดีอย่างที่ว่าในขณะทำสมาธิตามรู้กรรมฐานที่เฝ้าดูในท่านอน
    แล้วถ้าเผลอตกภวังค์ ตรงนี้ไม่ได้เรียกว่า กายหลับแต่จิตตื่น

    แต่เรียกว่าฌานหลับเพราะมีภวังค์เป็นเครื่องสังเกตคือวูบดิ่งหายเข้าไปกลายเป็นหลับแบบไม่มีสติทันที
    แต่ถ้าเผลอตัวและระลึกได้คุณทั้ง๕จะปรากฏอย่างเด่นชัดคือฌานที่เรียกว่าปฐมฌาน

    ปฐมฌานคนทำฌานหลับในท่านอนแม้ท่านั่งก็ปรากฏ
    แต่ถ้าจิตไม่ถึงปฐมฌานมันจะไม่หลับเพราะกายไม่เกิดสุขปรากฏ (คำว่ากายหลับคือกายมันเกิดความสงบระงับไป)

    โดยมากคนทำฌานหลับ
    ที่พี่อ้องสอนมักจะบ่นๆกันว่านอนไม่หลับทื่อๆเพราะจดจ่ออยู่อย่างนั้น ทั้งทำไม่ได้และก็จะทิ้งอารมณ์ที่เฝ้าดู

    แต่คนที่ฝึกสม่ำเสมอฝืนอารมณ์ในช่วงแรกและปลดปล่อยตัวตนให้ยิ่งสบายที่สุด ให้เบาที่สุด ปล่อยวางทุกๆสิ่ง
    ดูจนมันหลับคาที่ดูนั่นหล่ะและหลับไปวันนั้นก็คือการเข้าถึงปฐมฌานแบบง่ายที่สุดมีอำนาจของความละเอียดในมิติภพ
    สิ้นอายุขัยไม่ถึงกับเป็นพรหมลูกฟักเพราะกำลังไม่แรงพอผิดกับคนที่ทำท่านั่งแล้ววูบดิ่งหายเข้าไปเหมือนหลับสนิทแบบไม่รู้ตัว

    ตรงนั้นเค้าได้กำลังมากจนจิตยึดอารมณ์ในมิติภพแห่งความละเอียดถ้าสิ้นอายุขัยและทำจิตเช่นนั้นโน้มเข้าหาอารมณ์นั้นด้วยชำนาญในการนึกอารมณ์
    สิ้นอายุขัยย่อมเสวยอายุขัยเทียบเท่าอสัญญีพรหมดับจิตแต่เหลือ เยื่อใยบางๆ ไม่ขาด ไม่ถึงนิโรธจึงยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลจึงต้องกลับมา
    เมื่อการยึดอารมณ์นั้นๆหมดกำลังลง

    กายหลับแต่จิตตื่นจึงเป็นเรื่องของสมาธิล้วนๆที่มีสติรักษาตัวอย่างมั่นคง
    ส่วนฌานนั้นถ้าตกภวังค์และรู้สึกตัวก็มีสติรักษาเช่นกัน
    ล้วนเข้าถึงเอกัคตาจิตเหมือนกัน

    อัปนาสมาธิ อัปนาฌานเป็นเรื่องความละเอียดของจิตที่เข้าขั้นเหนือโลก ได้กำลังมาพิจารณาสัจธรรม
    อายตนะ ขันธ์ ธาตุ

    แต่ว่าโดยอัปนาฌานนั้นมักจะเข้าไปในอีกโลกๆหนึ่งเป็นโลกส่วนตัวของตนเองที่พี่อ้องเรียกว่าการตื่นในฝัน
    แต่แตกต่างLucid dreaming (ตื่นในฝันของฝรั่ง)เพราะเป็นการเข้าไปในมิติภพส่วนตนที่เหนือล้ำจินตนาการ
    เป็นอาการของจิตรู้ เป็นนิมิตที่เหมือนฝันที่เหมือนตื่นในฝัน มีระยะเวลายาวนาน มีเจตจำนงค์ในการเข้าและตื่นแบบเต็มตัว

    แต่การตื่นในฝันนั้นไม่มีเจตจำนงค์ในการเข้าไปแต่เป็นอาการของจิตที่รู้สึกตัวว่ากำลังคิดแต่มันเด่นชัดจนฝรั่งเรียกว่าLucid dreamingและ
    ไม่ใช่อัปนาฌาน(ความฝันก็คือความคิดชนิดหนึ่ง)

    ฌานและสมาธิมีคุณอุปการะทั้งสิ้นถ้าเรียนรู้กับมันและไม่ไปติดมันจะได้กำลังพิจารณาสรรพสิ่งจนท้ายสุด
    จะเห็นคำว่าอาการของจิตรู้ธรรมในธรรมเมื่อไม่ยึดคำว่าไม่เที่ยงปล่อยวางกับคำว่าไม่เที่ยงทุกข์ก็สลายหายไปอุปทานก็หมดไปกับรูปนาม

    นิมิต สมาธิ ฌาน สติ ล้วนตกอยู่ภายใต้สรรพสิ่งที่ต้องสลาย ตั้งอยู่ไม่ได้ มีความไม่เที่ยงสลายหายไปทั้งสิ้นถ้าจิตฉลาดรู้ทันก็เลือกในสิ่งดีมาใช้และ พิจารณาพระไตรลักษณ์ลงไปในทุกๆสิ่ง
    ย่อมปรากฏพุทธะคือผู้รู้ ตื่น เบิกบาน ในสภาวะธรรมตามความจริง
    อนุโมทนาครับวันนี้อ้องว่าเล่นของยากนะ

    ถ้าผิดพลาดขออภัยเป็นความเห็นส่วนตนนะครับ
    อ้อง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2010
  11. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    สงสัยผีจะมาหลอกน้องวันชัยจริงๆ ข้อความหายหมดเลยฮิๆ
     
  12. วันชัย13

    วันชัย13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +176
    เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วครับลุงอ้อง
    น่าจะเป็นวิญญาณสัมพเวสีน่ะครับ
    มาขอส่วนบุญดีๆก็ไม่มา ต้องมาสะกดจิตกันด้วย(ผีพวกนี้)
    บางทีก็อยากเล่นอะไรแรงๆให้เขาเข็ดครับ
    แต่ก็กลัวเขาจะทุกข์ทรมานน่ะครับลุง
    ก็เลยแผ่ส่วนบุญให้เอาน่ะครับ

    บทนี้เขาเอาไว้ป้องกันภัยที่จะมาแบบไม่รู้ตัวใช่ไหมครับลุง
    ฆเฏสิ ฆเฏสิ กึ กรณา ฆเฏสิ อหัง ปิ ตัง ชนามิ ชนามิ.

    เคยแปลบาลีมาครับ
    บทนี้ ท่านหมายถึงว่า "ท่านจะทำอะไรเรา เรารู้นะ เรารู้นะ"

    เป็นคาถาที่นักปราชญ์คนหนึ่งเคยให้ไว้กับพระราชา
    มีอยู่คราวหนึ่ง พระราชา จะโดนปลงพระชนม์ชีพ โดยช่างตัดผม
    ช่างตัดผมได้ถูกขุนนางว่าจ้างมาครับ ให้มาปลงพระชนม์พระราชา(ในสมัยพุทธกาล)
    พระราชา ไม่รู้ในเรื่องที่จะถูกลอบปลงพระชนม์ พระองค์เกิดนึกบทคาถานั้นขึ้นมา
    ก็เลยท่องคาถานั้นออกมา ช่างตัดผมได้ยินก็ตกใจว่า
    หัวเราขาดเป็นแน่แท้ พระราชาทรงทราบได้อย่างไร ว่าเราจะมาปลงพระชนม์พระองค์
    ก็เลยคุกเข่าก้มกราบพระราชา ขออภัยโทษ พระราชาจึงยกโทษให้ และประหารเหล่าขุนนางทิ้งทั้งหมด
    นี่คือที่มาของคาถาบทนี้ครับ

    จำได้ลางๆครับกิกิ:cool:
     
  13. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ทำไมพระคาถาชินบัญชรและพระคาถาอื่นๆจึงมีความศักดิ์สิทธิ์

    ทำไมพระคาถาชินบัญชรและพระคาถาอื่นๆจึงศักดิ์สิทธิ์? (อ่านยาวนิดหน่อยแต่จะเข้าใจอย่างแท้จริงครับ)

    คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งถามเจ้าประคุณสมเด็จว่าเหตุใดพระสมเด็จวัดระฆังจึงศักดิ์สิทธิ์
    เจ้าประคุณสมเด็จถวายพระพรตอบว่าเหตุที่สมเด็จวัดระฆังมีความศักดิ์สิทธิ์เพราะปลุกเสกด้วยพระคาถาชินบัญชร
    (ท่านใช้จิตที่ประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ สติ คุณธรรม ปลุกเสกวัตถุรูปให้มีพลังงานของจิตท่านที่สัมปยุตต์กับคุณธรรมในด้านต่างๆ
    ใครจึงมาทำเหมือนเช่นว่าดั่งท่านไม่มี)

    ในส่วนตัวของอ้องเองที่เชื่อว่าพระคาถาศักดิ์สิทธิ์นั้น
    ก็เพราะเคยพบเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมาก่อนในสมัยวัยรุ่น

    อันระหว่างมนต์ขาวและมนต์ดำมีลักษณะคล้ายคลึงกันคือมีกำลังของสติและสมาธิ
    เพียงแต่แตกต่างในเรื่องของศีลและคุณธรรม ความสว่างและด้านมืด

    อ้องเองเคยบวชเรียนมาก่อนในงานมงคลต่างๆ
    ก็จะใช้บทพาหุงเพื่อใช้เป็นการสร้างมงคลในการชนะทุกสรรพสิ่ง
    ตามความหมายอันมีบารมีแห่งพุทธองค์ที่ทรงใช้กำราบมารต่างๆ

    พระคาถาล้วนแล้วแต่เพื่อ…
    คุ้มครองป้องกันสรรพภัย สรรพโรค สรรพทุกข์ และยังให้เกิดความมงคลแก่ชีวิต
    ซึ่งจริงๆแล้วความศักดิ์สิทธิ์มาจากตัวผู้ใช้ล้วนๆ

    เปรียบเสมือนวิชชามัยฤทธิ์เป็นอิทธิฤทธิ์ชนิดหนึ่งคือการใช้จิตจดจ่อโน้มเข้าถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆ์คุณ

    เมื่อจดจ่อกับบทสวดย่อมปรากฏเป็นพุทธานุสติ ธรรมมานุสติ สังฆานุสติปรากฏ
    และย่อมปรากฏศีล สติ สมาธิ แลคุณธรรมปรากฏอันเจริญสติพิจารณาได้ในขณะนั้นๆ

    ความศักดิ์สิทธิ์ในความหมายของอ้องคือปรากฏจากคุณธรรมของผู้สวด
    ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ล่องลอยมาจากฟากฟ้าหรือมาจากตัวหนังสือแต่มาจากใจเราเองล้วนๆ
    ที่สัมปยุตต์กับคุณธรรมต่างๆที่โน้มเข้าหาพระรัตนตรัย

    ศีล สมาธิ กำลังของสติอันมีคุณแห่งอิทธิบาท๔เกื้อหนุนและคุณธรรมแห่งโพธิปักขิยธรรม37ประการปรากฏ
    จิตที่สัมปยุตต์กับอารมณ์ใดย่อมก่อเกิดเป็นพลังจิตชนิดนั้นๆ

    ถ้าคนทุกๆคนสวดมนต์เพื่อชนะศัตรูเช่นบทพาหุงและมารบพุ่งสู้กันคงไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ
    มีแต่ตายไปคนละข้างเป็นแน่...

    สิ่งสำคัญในพระพุทธศาสนาจึงสอนตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
    ทุกๆสิ่งอยู่ที่วิบากอันเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล

    ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วหนีไม่พ้นสัจธรรม
    ใช่ว่าถ้าสวดมนต์แล้วจะแคล้วคลาดจากภัยอันตายเสียได้ทุกคนไป

    ดังนั้นเวลาอ้องสวดมนต์อันใดอ้องจะต้องเข้าใจความหมายในบทสวดเสมอเพื่อเข้าใจว่าเราสวดมนต์
    เพื่อจะเอาความศักดิ์สิทธิ์อันเป็นกิเลสมาย้อมใจหรืออ้องจะสวดมนต์เพื่อสติ
    เพื่อโน้มเข้าถึงพระปัญญา พระเมตตา พระบริสุทธิ์คุณอย่างแท้จริง

    เวลาที่อ้องสวดพาหุงอ้องจะรับรู้ถึงความสะอาดในการต่อสู้ต่อภัยอันตรายต่างๆแห่งพระพุทธองค์ที่ทรงได้ชัยชนะต่อสิ่งที่ปองร้าย
    พระพุทธองค์ใช้ความดีชนะต่อความมุ่งร้ายด้วยสันติอันคือความสงบ
    สิ่งนี้ก็จะย้อนเข้ามาระลึกถึงใจตนเองในการต่อสู้อุปสรรคต่างๆเป็นการโน้มเข้าหาพระพุทธองค์ท่าน

    เหมือนดั่งจิตเราเข้ากระแสแห่งความอบอุ่น การให้อภัยต่อศัตรู
    การไม่แข็งกระด้างและเหมือนดั่งจิตเราได้ยื่นขยายขอบเขตออกไปเป็นมหัคจิตอันส่งกระแสตอบกลับไปคือเราจะชนะศัตรูที่สำคัญคือใจเราเอง
    ด้วยการไม่ยึดอุปทานในสิ่งต่างๆที่มาทิ่มแทงใจเรา

    แม้พระคาถาชินบัญชรก็เช่นกันเพราะเป็นพระคาถาที่เข้าถึงมรรคและอริยสัจ
    อันประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติทั้งสิ้น

    ถ้าถามอ้องว่าเพื่อความศักดิ์สิทธิ์อ้องคงบอกได้ว่า…
    ความศักดิ์สิทธิ์ปรากฏเองอันเป็นเหตุธรรมชาติของจิตที่มีคุณธรรมประกอบไปด้วยศีล สมาธิ สติ คุณธรรม ที่ฝึกอบรมพัฒนาตนเองที่กายและจิตล้วนๆ


    เราสวดพระคาถาชินบัญชรเพื่อระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ได้ตรัสรู้อริยสัจสี่
    แล้วเสวยวิมุตติสุขจากความตรัสรู้นั้น

    เราจึงโน้มเข้าถึงท่านเพื่อเป็นสรณะที่พึ่งและอัญเชิญท่านเพื่อเป็นสติประจำจุด ตำแหน่งของกายอันมี
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มาสถิตอยู่ที่ศีรษะ ที่ดวงตา และหน้าอก

    และระลึกถึงคุณแห่งพระอริยเจ้าอันเป็นเครื่องแสดงถึงการตรัสรู้และการไม่กลับมาแห่งพระอริยสาวกทั้งปวง
    มีพระสาลีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอนุรุทธเถระเป็นต้น ให้มาสถิต ณ ส่วนและอวัยวะต่าง ๆ

    และอัญเชิญพระสูตรทั้งปวง มีรัตนสูตรเป็นต้น มาสถิตอยู่ที่ส่วนต่าง ๆ และกางกั้นอยู่เบื้องบนอากาศ
    และเป็นกำแพงอันล้อมรอบเพื่อเป็นเครื่องยืนยันในการครอบคลุมหลอมกลมกลืนเข้าหาอย่างหมดจด

    ในท้ายที่สุดก็เพื่อกำกับใจตนเองให้มั่นคงต่อพระรัตนตรัย

    โดยขอให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะแก่อุปัทวะทั้งปวง
    ด้วยอานุภาพของพระธรรมขอให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะแก่หมู่อริศัตรูทั้งปวง
    ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ขอให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะแก่อันตรายทั้งปวง

    ข้าพเจ้าผู้อันสวดพระคาถาดังว่านี้แล้วขอให้อานุภาพแห่งพระสัทธรรมคุ้มครองรักษาแล้ว
    จะประพฤติตนอยู่ในขอบเขตพระบัญชรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดไปเทอญ

    อันว่าธรรมขาวหรือที่เรียกว่าเศวตเวทย์
    ไม่ใช่ไสยเวทย์ซึ่งเป็นธรรมดำหรือคุณไสย

    ถ้าความสว่างมีอำนาจมากย่อมชนะต่อศัตรูที่มีกำลังน้อยในด้านมืดกลับกัน
    ถ้าคนที่ใช้ไสยเวทย์มีกำลังมากกว่า มีสติ สมาธิที่มั่นคงมากกว่า

    ถึงแม้เราจะมีคุณธรรมแต่ถ้าไร้กำลังของสติ สมาธิ น้ำน้อยก็ต้องย่อมแพ้ไฟอยู่ดี

    จิตวิญญาณชั้นต่ำยังเล่นงานคนมีศีล มีสมาธิได้อยู่เสมอในช่วงจังหวะเวลาที่คนมีศีล มีคุณธรรม มีกำลังน้อย

    อันการสาธยายมนต์โดยมีศูนย์รวมอยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญา และจิตที่ไกลจากกิเลสอาสวะโดยลำดับแล้ว
    เมื่อกำลังของสมาธิเข้าสู่จิตตั้งมั่นและเกิดความสงบระงับจากโลกธรรม
    จิตก็ย่อมรวมกำลังเข้าสู่เอกัคตารมณ์ได้เสมอ

    เมื่อยกพิจารณา ขันธ์ อายตนะ สัจธรรมแลปวงธาตุก็ย่อมเห็นความจริงของรูปนามที่ตกอยู่ภายใต้พระไตรลักษณ์ทั้งสิ้น
    อิทธิฤทธิ์เป็นภัยต่อนิพพานเพราะเป็นยอดแห่งอุปทาน คำว่าชินบัญชรแปลว่าหน้าต่างของพระพุทธเจ้า ตามบทกลอนที่ว่า

    “อันดวงตาคือหน้าต่างของดวงจิต เมื่อใจคิดงามงดตาสดใส
    คิดชั่วช้าตาก็บอกออกความนัย รักษาใจให้เลิศไว้เถิดเอย”

    นั่นคือดวงตาที่เห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้น เห็นตถาคต
    ดังนั้นบทพระคาถาชินบัญชรที่แม้จะมีเนื้อความยืดยาวแต่รวมความก็คือการให้มีความศรัทธา ความเพียร มีสติ มีสมาธิ และมีปัญญารู้แจ้ง
    ซึ่งพระธรรมอันประเสริฐที่พระตถาคตเจ้าได้แสดงแล้ว คือมีดวงตาเห็นธรรมนั่นเอง

    การที่จะมีดวงตาเห็นธรรมว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
    ซึ่งเรียกว่าเห็นพระไตรลักษณ์แล้วจะทำให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งหลาย
    ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตได้นั้นก็โดยอาศัยการปฏิบัติอบรมจิตในเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญา

    ด้วยเหตุนี้พระคาถาชินบัญชรก็คือบทพระคาถาที่แสดงเป้าหมายที่สุดแห่งคำสอนของพระตถาคตเจ้า คือความหลุดพ้นจากทุกข์สิ้นเชิง
    ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตโดยการฝึกฝนอบรมจิตด้วยศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง

    ท้ายสุดหวังว่าบทความดังกล่าวมานี้เป็นการแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลนั้นมาจากตัวท่านเอง ท่านเป็นที่พึ่งแห่งตนเองทั้งสิ้น
    วิบากจึงคือความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล
    อย่าสวดมนต์เพื่อกิเลสเพื่อฤทธิ์ เพราะไม่ใช่จุดมุ่งหมายแห่งพุทธะอันแปลว่าผู้ตื่น รู้ เบิกบานในธรรมแห่งความจริง
    อนุโมทนาในกุศลครับ
    อ้อง…
     
  14. วันชัย13

    วันชัย13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +176
    ยิ่งอ่านก็ยิ่งเพิ่มปัญญาครับ

    ข้อความของลุงอ้องดีทุกข้อความจริงๆ

    ข้อความของบัณฑิตยิ่งอ่า่นยิ่งดี

    สาธุครับลุง
     
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    การมีสรณะที่พึ่งอันประเสริฐจะช่วยเราในช่วงวิกฤตเสมอ

    อาจารย์พร รัตนสุบรรณ อยู่ที่เขาค้อ เคยแสดงธรรมเอาไว้ว่า...
    ทุกสิ่งหนีไม่พ้นวิบากที่มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
    เป็นสัจธรรมดีเลวหนีไม่พ้น

    คนที่มีจิตสำนึกพอเราไปกระตุ้น แม้คำพูด แม้ความร่มเย็นจริงใจ
    คนธรรมดานี่หล่ะก็สามารถ เกิดจิตสำนึกใหม่ได้ กลับตัวใหม่ได้
    ในสิ่งที่พลาดพลั้งลงไป คนบางคนจึงสอนง่าย บางคนสอนยาก

    เป็นลักษณะนิสัยสันดานของแต่ละบุคคล

    คราวนี้จิตที่เสวยกรรมเพราะสะสมเชื้อวิบากอกุศลมามาก
    เช่นกันถ้าเค้าสะสมกุศลมาด้วยการโน้มเข้าถึง หรือมีสิ่งที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
    เช่นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง

    ยามที่มีภัยแม้คนที่ชั่วมากๆแต่ก็มีวิบากดีสะสม หรือคนดีมากๆแต่ก็มีวิบากชั่วสะสมเอาไว้
    คนที่ตกทุกข์อย่างสาหัส คนที่กำลังเผชิญเคราะห์กรรมขนาดหนัก
    คนที่กำลังเจอภัยเฉพาะหน้าสิ่วหน้าขวาน

    มักจะอุทาน"คุณพระช่วยลูกด้วย"อื่นๆ

    คนที่มักโน้มจิตเข้ากระแสแห่งพุทธะ
    ก้มกราบก็โน้มเข้าถึง พระเมตตา พระปัญญา พระบริสุทธิ์
    สิ่งเหล่านี้เป็นกาย วาจา ใจ ที่ประกอบไปด้วยเจตนาคือกรรม ที่ได้สร้างเอาไว้เป็นเชื้อวิบากในฝ่ายกุศลทั้งสิ้น

    ยามเมื่อเค้าเหล่านั้นเกิดจิตสำนึก หรือเราปลุกจิตใต้สำนึกเค้าให้ตื่นด้วยกระแสแห่งพรหมวิหาร
    เข้าไปแก้ไขจิตที่ยึดอารมณ์ที่เป็นฝ่ายอกุศล ถ้าเค้าไม่ทุกข์อย่างสาหัสจนไม่ยอมรับความจริงเฉพาะหน้า
    สัตว์ที่ตกอบายไม่ลึกมากนัก เปรต อสูรกายที่รับวิบากที่ไม่รุนแรงมากนัก

    เราก็สามารถใช้กำลังของพรหมวิหารธรรม
    เปิดทางสว่างกระตุ้นเพื่อปลุกิตใต้สำนึกเค้าให้ระลึกถึง
    กุศลที่เค้าเคยสร้างมาได้ครับ

    อ้องเรียกว่า...
    นำสิ่งที่เป็นจิตชนิดหนึ่งไปปลุกจิตที่เค้ามีจิตชนิดนี้
    เหมือนคุณบุญรักษ์ ชอบทานหมูติดมันเค็มๆ อ้องก็ชอบ แล้วก็เขียนออกมา
    สื่อเข้าถึง ส่งโน้มเข้าไป จิตที่สะสมเชื้อ อุปทานสัญญา สมมุติ ถ้ามีอยู่และถูกกระตุ้นก็จะตื่นขึ้นมาได้

    แต่บางตนอาจจะต้องใช้เวลาเช่นในมิติภูต จิตวิญญาณที่ปฏิสนธิวิญญาณในภพใหม่นั้น
    บางตนมีสภาพที่หลับลึกเหมือนดั่งนอนฝันร้ายไม่ยอมตื่นก็มี

    ในโลกของวิญญาณแม้หนังสือโลกทิพย์ของ
    อาจารย์พร รัตน์สุบรรณก็มีกล่าวถึง
    ซึ้งปวงเทพที่มาคอยช่วยคนที่เข้ามาในมิติภพภูมิแต่ละที่ๆยังมีความเข้าใจ
    ในสิ่งใหม่ สถานที่ใหม่ ร่างกายใหม่ กายสัมผัสใหม่ อายุขัยที่ยาวนานก็มี
    คือมีทั้งตื่นในมิติที่ละเอียดแต่ไม่เข้าใจก็มี
    เพราะสวรรค์นั้นเป็นการผุดขึ้น โตเลย ผิดกับมนุษย์ที่ค่อยเป็นค่อยไป

    แม้เปรต แสูรกาย นรกภูมิก็เช่นกัน ผุดขึ้นมาเหมือนกัน
    สร้างรูปสมมุติที่ใจมีเชื้อของกรรมปรากฏเป็นวิบากทั้งสิ้น

    ในมิติภพบางที่ช่วงแรกจึงยังคงมีการช่วยเหลือเยียวยาอาการ
    สำหรับวิญญาณที่ตายชนิดเฉียบพลัน
    เพราะ่หนึ่งขณะรูปมันเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าผ่า7ครั้ง จิตเกิดดับเร็วมหาวินาศ
    คตินิมิตมันทำให้จิตไปยึดอารมณ์ใหม่และสันตติส่งต่ออย่างไม่มีสิ่งดกีดกั้นนั้น
    มันเร็วแม้แต่กายมนุษย์ที่สร้างภพทุกขณะจิตในจุดของชรา
    ที่เป็นภพสมบูรณ์นั้นก็บ่งบอกถึงมรณะ
    ตลอดขณะเวลาแต่ เรามองกันไม่เห็น
    ถ้ามองเห็นคือมหาสติ ถ้าเห็นบ่อยๆนี้ซิพ้นแน่เพราะไม่เอาขันธ์ที่เป็นทุกข์

    ชรา มรณะ วับก็ปรากฏทันที อวิชชา...
    ถ้าเรามีวิชชา ปัญญา วิมุตติ อวิชชาไม่ปรากฏแน่
    สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
    สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์
    ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่เราล้วนสลายหายไปเป็นอนัตตา
     
  16. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    คำคมเล็กๆแต่มีสาระในแก่นธรรม

    "He who is truly clean within,cannot remain unclean without"
    "ผู้ที่บริสุทธิ์จากภายในจริงๆ ย่อมไม่มีทางสกปรกจากภายนอกได้"

    "สิ่งที่ทำให้ท้อแท้ใจ หงุดหงิดใจดั่งหมดเรี่ยวแรงนั้น
    หาใช่ปัญหาที่ตั้งตระหง่านในความสงสัยไม่
    หากเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดเล็กๆเม็ดหนึ่ง
    ภายในรองเท้าของคุณเอง"(ความสงสัย)

    "ว่ากันในความจริงแท้นั้น ภายในความสมบูรณ์มีความบกพร่อง
    ส่วนสิ่งที่ดูบกพร่อง ในความจริงแท้มันก็สมบูรณ์ดีอยู่"(อุปทานแห่งโลกธรรม)

    "สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้นั้นคือข้าพเจ้าไม่รู้อะไรเลย"(โสเครติส)

    "ความสำเร็จที่ถูกส่งมาทดลองใจคือความผิดหวังแบบมีสติ"

    "บุคคลที่รู้จักอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ ไม่หวั่นไหว ไม่เกาะกุมต่อสภาวะทั้งหลาย
    อันบุคคลที่อบรมตนมาดีแล้ว ย่อมเห็นว่าปัญญานั้นทำลายความมืดบอดออกไปจากใจ"

    "ใครจะรู้คำสอนใดๆเท่าใจเราที่รู้จริง ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายสำหรับเราผู้อบรม
    ผิดถูก คลาดเคลื่อนใครรู้...ทำให้แจ้งประจักษ์ถ้าไม่ใช่ก็หาครูอาจารย์อื่นๆต่อไป ใยต้องหม่นหมอง"

    "บุคคลที่คิดว่าตนคือคนฉลาดนั่นคือคนกำลังโง่
    บุคคลที่คิดว่าตนคือคนโง่นั่นคือเริ่มฉลาด"

    "เราสำรวจตนเองได้ด้วยคุณธรรมที่งอกงามในโพธิปักขิยธรรม37ประการ
    เราอบรมสิ่งใดที่ผ่านมาไม่ได้เอาเพื่อความเก่งแต่รู้ว่าความเจริญที่ปรากฏนั้นกำลังเข้าไปรู้ในความจริง"

    "ธรรมะเป็นของกลางเป็นของสาธาณะแม้จิตก็เป็นของกลางของสาธารณะ
    มีแต่หยิบยืมมาใช้เป็นสัญญาเป็นสมมุติเมื่อรู้ความจริงก็วางอารมณ์นั้นเสีย ทุกข์จะมาจากไหน"

    "Be strong enough to face the word each day"
    "จง...เข้มแข็งที่จะต่อสู้กับความเป็นจริง"
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    :) เข้ามาเยี่ยมพยานธรรม


    * * * * *

    ขอแอบฝากเหมือนกัน

    อย่าพึ่งสิ้นหวังในความเป็นมนุษย์กันนะครับ

    อย่าลืมครับ ศีล5 และ ความกตัญญู เท่านั้น จะทำให้คุณรอดวิกฤติใดๆ ได้
     
  18. preaw3000

    preaw3000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +138
    พี่ชายนี่มาโม้มากมาย คนหลงมาอ่านเพียบ อย่าลืมมีสติตอนอ่านนะครับ พี่ชายเค้าวางข้อความให้เคลิ้มตามมากมาย ^^
     
  19. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตาเปียวจอมแสบ...
    นี่คือผลพลอยได้ของอ้องชนิดหนึ่งคืออาจารย์บอกว่า
    เพราะผลแห่งการช่างซักจะมีศิษย์ช่างถามช่างพูดเถียงมันไม่ทัน
    นี่เพิ่มไอเจ้าเป้มาอีกหน่อจะบ้าตายมันถามทั้งวันมือหงิกเลย55กรรมของตาอ้อง
     
  20. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ช่วงนี้ตาเนื้อมันชอบหาเรื่องเจอผี

    เมื่อปีก่อนพี่หมูที่มาซื้อบ้านหลังที่หนึ่งนั้น
    พาเพื่อนมาเที่ยวเป็นสามีภรรยาที่น่ารักแต่พอตอนกลางคืนอ้อง
    กลับมีความรู้สึกว่าไปเห็นว่ามีวิญญาณมาเยือนถึงสองหน่อ
    ติดตามสามีที่น่ารักคู่นี้มาจนอ้องก็ต้องเอ่ยปากบอกพี่หมูว่า...

    อ้องว่ามีเด็กสองคนชายหญิงตามเค้ามานะครับแต่มาในลักษณะที่น่ารัก
    เอ็นดู ไม่ได้มาในลักษณะที่ให้ร้ายแต่อย่างไร
    บอกแฟนพี่หมูเค้าบอกว่าจริง...
    เพราะเคยมีอาจารย์เค้าทักเช่นนี้และภรรยาเค้าก็จะฝันเห็นอยู่เสมอว่ามีเด็กสองคนชายหญิงจริงๆ...

    ผ่านไปต้นปีใหม่สามีภรรยาคู่นี้ก็มาเที่ยวเขาค้ออีกครั้ง
    ขณะที่อ้องเดินเล่นนอกบ้านในช่วงสองทุ่มกว่า
    สิ่งที่แปลกใจคือเห็นเด็กผู้ชายน่ารักอายุประมาณ5ขวบนั่งอยู่กลางบ้าน

    เหมือนเด็กๆทั่วไปที่สนุกสนานแต่เหมือนดั่งเค้าคอยเฝ้าตลอดเวลากับ
    สามีภรรยาที่น่ารัก เวลานั้นอ้องคิดแต่ว่าเอ๊...

    พี่หมูมีเจ้าแก้มเจ้ากาญสองหน่อ ทำไมจึงเพิ่มเด็กชายอีกหน่อมาจากไหนหว่า
    ตอนนั้นถ้ารู้ว่ากำลังเจอผีทางตาเนื้อหล่ะก็

    อ้องคงวิ่งหนีป่าราบเป็นแน่ เพราะไม่รู้แต่สงสัย
    วันรุ่งขึ้นจึงไปถามว่าเด็กผู้ชายอีกคนอยู่ไหน
    พี่หมูบอกว่า...
    ไม่มีครับคุณอ้อง
    อ้องได้แต่กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก...

    สิ้นปีที่แล้วไปทำบุญให้นองสาวที่บ้านกรุงเทพ ก็เห็นหลังใครหว่าแวบๆเดินเข้าไปในห้องดูหนังสือก็เลยตามไปสิ่งที่เห็นคือ
    ห้องโล่งเปล่าหามีใครมาเดินเข้าไปไม่

    กลางคืนเลยสำรวจหน่อยจึงรู้ว่าสถานที่ตำแหน่งน
    ี้เคยเป็นที่่ฝังศพคนเก่าแก่ที่นี่ถึง5คนและยังผูกพันกับที่นี้ไม่ไปผุดไปเกิด
    ไม่รู้จะรออะไรและติดอะไรกันนักหนา น้องสาวมันจึงเห็นเอาไปสองรอบ

    มีบ้านหลังหนึ่งเจ้าของเค้าค่อนข้างจะคับแคบคืนหนึ่งพอทำสมาธิมีนิมิตไปเห็นว่า
    เจ้าที่เจ้าทางหนีออกไปหมดไม่คุ้มครองดูแลอีกต่อไป มีแต่วิญญาณจรที่มีลักษณะเดียวกับเจ้าของเข้ามาอาศัยแทน

    บ้านจึงอึดอัด คับแคบ แม้เจ้าของบ้านก็หน้าตาหม่นหมอง มีแต่เรื่องไม่สบายใจ
    จิตมันเรียกจิต วิญญาณมันเรียกวิญญาณ สื่อมันกระจายไปหาเพื่อน รัศมีแห่งความอับเฉา อึดอัดมันเรียกร้องวิญญาณและยังกระจายออกไปยัง
    รอบกายเค้าแม้เค้าจะหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่ภายในกับแผ่ความอึดอัด มัวหมองอย่างน่าเห็นใจ

    ส่วนตำแหน่งบ้านของอ้องนับวันยิ่งเพิ่ม แหะๆ
    บ้านก็ร่มเย็น อบอุ่น ถ้าใจเราร่มเย็น อบอุ่น จิตเราก็เรียกเอาวิญญาณที่เป็น
    เทพอารักษ์ที่ร่มเย็น อบอุ่น เหมือนดั่งต้นไม้ชนิดเดียวกัน
    อาศัยร่มเงากันและกัน สื่อเข้าถึง เรียกร้องเข้าหา

    ก็ไม่ค่อยว่างมาเล่าอะไรในช่วงนี้มากนักเพราะเป็นช่วงฝึกอบรมสภาวะเพิ่มขึ้น
    เพื่อถวายแด่ครูเป็นการบูชาท่าน

    ความสว่างไสว ความตื่น การรู้สึก บอกไปก็เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก มันรู้ว่า
    เราพึ่งตนเองได้ คำสอนของครูไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนแน่นอน
    อย่าลืมนอนดูฌานหลับแล้วนอนหลับไป ยิ่งฝึกจะยิ่งหลับเร็ว
    แต่วันใดที่จิตตกภวังค์และรักษาสติได้ ใหรักษาที่ตั้งเอาไว้ในภวังค์
    จิตมันจะรวมกำลังและหดเข้าไปอย่างละเอียดมากขึ้น

    กายมันเบา จิตมันเบา กายมันอ่อนโยน จิตมันอ่อนโยน กายมันสงบ จิตมันสงบ
    กายมันหลับแต่จิตมันตื่น วันนั้นเราจะเข้าใจเรื่องวิญญาณอย่างถ่องแท้เองครับ

    อนุโมทนาครับ
    อ้อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...