เวลาเป็นเพียงสิ่งสมมุติ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ล้วนมีอยู่พร้อมกันแล้ว ที่นี่-เดี๋ยวนี้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 3 ตุลาคม 2008.

  1. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    คุณ mamboo ปฏิบัติมาแบบไหนครับ เล่าให้ฟังเป็นวิทยาทานหน่อยได้หรือเปล่า
     
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    2. คนแบบนี้ อาจจะหาไม่ได้ง่ายที่อื่น แต่ถ้าเป็นเวปพลังจิตแห่งนี้
    เท่าที่ผมรู้จักนะครับ มีเยอะมากครับ เยอะแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่น่าจะหลักร้อยขึ้นนะ
    เผลอๆอาจจะเป็นพัน เป็นหมื่นด้วยซ้ำไป

    เพียงแต่คุณยังไม่รู้จักพวกเรา และพวกเขาเท่านั้นเองครับ
    วนเวียนอยู่ในเวปนี้นานๆ ก็จะจับทางได้เองแหละครับ ว่าใครมาสไตน์ไหนบ้าง

    สรุปว่ามีอีกเยอะครับ ทรงภูมิปัญญา ทรงศีล ทรงธรรมมากกว่าผมหลายเท่านัก

    คนนี้ก็ใช่ด้วยนะเนี่ย...

    ;aa20
     
  3. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ไม่ขนาดนั้นหรอกครับพี่ :)

    เราทุกคนล้วนมาจากหนึ่งเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกันอีก
     
  4. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    จะให้เล่าแบบไหนดีคะ???

    คือว่า สำหรับคนที่ยังลังเลอยู่ว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดเนี่ย...มันเป็นเรื่องจริงหรอ คนที่ยังลังเลว่า วิญญาณ ชาตินี้ชาติหน้า มีจริงหรอ???

    ถ้าคุณเป็นคนที่ยังลังเลนะ ก็มี 2 อย่าง ที่จะทำให้คุณเชื่อได้ มันทำง่ายมากๆๆๆ

    การถอดจิตมันทำได้ยากนะ... ต้องใช้เวลาและความอดทน เป็นปี อย่างต่ำสุดก็ 1 ปี ซึ่งเราคิดว่า คนที่เค้าลังเลและอยากจะพิสูจน์ เค้าคงไม่ต้องการวิธีนี้อ่ะ แต่ว่า มีทางลัด และพิสูจน์ได้เร็วกว่านี้ ^^

    มี 2 อย่างที่ต้องทำนะ...

    อย่างแรก 1. ทำอันนี้ก่อน ไปหัดเดินเล่นในฝันนะคะ... มันมีหลายวิธีนะ แต่วิธีของเราอ่ะ เราจะบอกตัวเราเองเสมอว่า นี่อาจจะไม่ใช่ความจริง นี่อาจจะเป็นความฝันก็ได้ ก็บอกตัวเองแบบนี้ประมาณ 3 วันอ่ะ แล้วพอวันที่ 4 นอนหลับ ก็ไปฝันแล้วก็ดันรู้ตัวว่า ตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน O_O! แต่อย่าปล่อยให้เวลาดีๆแบบนี้หายไปนะคะ รีบศึกษาความฝันเลย ว่าฝันคืออะไร เป็นยังไง

    อย่างเช่นนะ พอเรารู้ตัวในฝันแล้ว สมมติว่ามีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง เราเลือกที่จะเอามือไปจับโต๊ะ หรือจะเอามือผ่านโต๊ะ หรือจะเสกให้โต๊ะหาย เราทำอะไรก็ได้ กับฝันเรา แล้วก็พยายามสังเกตุวัตถุต่างๆในฝัน แล้วก็ดูสิ่ว่า มันคืออะไร มันไม่ใช่ของจริง

    ถ้าคุณสามารถรู้ตัวในฝันแบบนี้ได้สัก 2-3 ครั้งติดๆกันนะ รับรองว่า.... คุณจะรู้ด้วยว่า ไอ้ภาวะที่เรากำลังจะฝัน มันเป็นยังไง ร่างกายเราตอนหลับ เป็นอย่างไร... มันเป็นอะไรที่แบบว่า ไม่มีใครสังเกตุอ่ะ เพราะมันเร็วมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เรายัง งง เลยว่าเราทำได้ไง O_O!

    เสร็จแล้ว ฝันมันคือ โลกมายา เล่นกับฝันมากๆแล้ว ก็ลองมาฝึกกรรมฐานนั่งสมาธิดู แล้วก็จะได้รู้ว่า วิญญาณกับร่างกายอ่ะ มันแยกออกจากกันจริงๆ วิญญาณมันมีจริงๆนะคะ แล้วที่พระพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก ก็เป็นจริงทั้งหมดด้วย บางเรื่องอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่เป็นจริงทั้งหมดค่ ^^

    และลำดับที่ 2.

    สิ่งที่สองที่จะสนับสนุนเรื่องพวกนี้มากขึ้นก็คือ ให้ไปอ่านทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ แล้วคุณจะรู้ว่า "เวลาและระยะทาง ไม่มีอยู่จริง" พิสูจน์ได้แบบวิทยาศาสตร์ แล้วไปศึกษาเรื่องคุณสมบัติของแสงนะคะ แล้วจะรู้ว่า วิทยาศาสตร์ ทิ้งความน่าพิศวงของธรรมชาติไว้อย่างไรบ้าง แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่ ไอน์สไตน์จะไปพบเห็นอะไร

    วิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์ เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ 100% เลยว่า... เรื่อง จิตวิญญาณ มีอยู่จริงค่ะ

    เราศึกษาเรื่องพวกนี้มาก จนเรารู้ว่า

    จิตวิญญาณ ไม่ใช่พลังงาน
    จิตวิญญาณ ไม่ใช่แม่เหล็ก
    จิตวิญญาณ ไม่ใช่คลื่นความถี่

    จะบอกความลับให้นะคะ จิตวิญญาณ ก็คือ จิตวิญญาณ

    รู้จักโครงการ CERN ไหมคะ??? เค้ากำลังค้นหา อนุภาคมูลฐานที่เล็กที่สุดที่เป็นองค์ประกอบของทุกสรรพสิ่ง

    เราจะบอกให้นะคะ เรารู้ว่า อนุภาคมูลฐานนั้นคืออะไร...

    ยิ่งพวกนักวิทยาศาสตร์ยิ่งค้นหากันต่อไป ค้นหาสิ่งที่เล็กที่สุดต่อๆไป พวกเค้าจะต้อง งงงวย และ พิศวง ที่ได้รู้คำตอบว่า "สิ่งที่เล็กที่สุด มันคือ ความว่างเปล่า" ค่ะ ^^

    การค้นหาของ CERN จะทำให้เกิดวิวัฒนาการทีก้าวกระโดด เมื่อพวกเค้าได้รู้คำตอบนี้ ที่หลายๆคนรู้กันมานานแล้ว นานเท่าไหร่นั้น ที่แน่ๆ ไม่ต่ำว่า 2500 ปีแน่ๆ เพราะพระพุทธเจ้าก็รู้ก่อนแล้ว

    ทั้งหมดที่พวกเราเห็นอ่ะ มันประกอบมาจาก ความว่างเปล่าค่ะ จิตวิญญาณของพวกเรา สร้างสรรค์มันขึ้นมา กลายเป็น quark, atom, e, p, n, molecul มันประกอบมาจาก "ความว่างเปล่า" ค่ะ O_O!

    ทุกอย่าง มันว่างเปล่า จิตวิญญาณคือตัวรับรู้ พวกเราสร้างมันขึ้นมาทั้งหมด

    เวลาเป็นสิ่งสมมติ มันไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มันมีแต่ ปัจจุบันค่ะ

    พวกเราชอบสงสัยว่า เอกภพถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าพวกเราใช้เส้นทางแห่งกาลเวลาตามที่เรายึดถือ เราก็จะหาคำตอบไม่พบ

    แต่เมื่อเราได้รู้ ได้มองเห็นว่า "เวลา ไม่มีอยู่จริง มันเป็นสิ่งสมมติ" ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน แล้วเราก็จะรู้ว่า

    เอกภพและจักรวาล กำลังก่อกำเนิดขึ้น ทุกๆขณะในปัจจุบัน นี่แหละค่ะ คำตอบที่นักดาราศาสตร์ทั้งหลายกำลังค้นหา... แต่พวกเค้าโดนอะไรบังตาหรือก็ไม่รู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2008
  5. เจ้าหญิงแพร

    เจ้าหญิงแพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +390
    เวลาเป็นแค่คำปลอบ เวลาเป็นแค่คำหลอก ที่หลอกให้ฉันรักเธอเรื่อยไป

    เอิ๊กส์
     
  6. บุคคลทั่วไป 1 คน

    บุคคลทั่วไป 1 คน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +7
    ถามอะไรหน่อยสิ ทำไมมันต้องเป็น C ยกกำลัง 2 ด้วยครับ ทำไมไม่เป็นยกกำลัง 2.1 หรือ 3
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คุณไอน์สไตล์ เขา รู้ มั้งคะ
     
  8. บุคคลทั่วไป 1 คน

    บุคคลทั่วไป 1 คน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +7
    อิอิ K Kwan แล้วไอน์สไตน์รู้ได้ยังไงว่าแสงมีความเร็วเท่าไหร่หรือครับ? :)

    ถามหน่อยสิ หากแสงมันมีความเร็วมากกว่าหรือน้อยกว่าความเร็วแสงที่เรารู้ในปัจจุบันสัก 0.001 กม/วินาที สมการนี้ก็ผิดไปเลยเหรอ อะไรมันจะบอบบางขนาดนั้น :)
     
  9. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    สนใจด้วยคนค่า ติดตามอ่านอยู่นะคะ
     
  10. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณเจ้าของกระทู้นะครับ ที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา
    เวลาเป็นจุดอ้างอิง

    ในความเป็นจริง อดีต ปัจจุบัน อนาคต ต่างเดินไปพร้อมๆกันหมด
    เราทั้งหลายต่างสัมผัสกับการไร้เวลาอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว

    ยามที่เราใช้เวลาทางจิต (เวลาทางจิตใช้เพื่อเป็นจุดอ้างอิงเพื่อให้เข้าใจครับ)
    ดูเหมือนว่า ทุกอย่างผ่านไปแป๊ปเดียว ทั้งๆที่ผ่านไปนานมากแล้วตามจุดอ้างอิงของเวลา
    เหมือนเราวิ่งน๊อครอบ เหตุการณ์นี้วิ่ง 1 รอบ แต่เราวิ่งไปแล้วหลายรอบ ถ้าลากเส้นขนานกันไป เหตุการณ์ที่วิ่งช้ากว่า จึงดูเสมือนว่าหยุดนิ่ง
    หรือบางครั้งดูว่า ทุกอย่างผ่านไปช้ามากๆ ทั้งๆที่ผ่านไปแป๊ปเดียว ก็เหมือนกับเราวิ่งช้ากว่า

    ในความฝัน ที่ไม่มีช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา
    ทุกอย่างอยู่พร้อมกันหมด
    ถ้ามองจากท้องฟ้า ดวงอาทิตย์อยู่ตำแหน่งเดียวกับพระจันทร์
    ผู้คนที่จากไปแล้ว ผู้คนที่จะพบเจอในอนาคต ผู้คนในปัจจุบัน พบเจอกันได้พร้อมกันหมด
    การสร้างสรรค์ต่างๆ เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว และก็กำลังเริ่มต้นสร้าง
    ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันหมด

    ในยามตื่นที่ไม่ใช่ยามฝัน ทุกอย่างก็เกิดพร้อมกันหมดเช่นกัน แต่เราเลือกรับรู้ในรูปแบบ ช่องทางเดิมที่คุ้นเคย ที่สอดคล้องกับอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของเรา

    เหตุการณ์ในฝัน ในทุกๆคืน จะมีตอนนึงในฝัน ที่จะเป็นเหตุการณ์ล่วงหน้าที่จะเกิดในอนาคตที่เป็นความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นได้มาก นั่นเป็นธรรมชาติของจิตวิญญาณอยู่แล้ว เพราะตัวตนที่คิดว่าเป็นเรา อยู่ระหว่างกลาง อยู่ในแนวโน้มของความเป็นไปได้ในหลากหลายทางเลือก หากเราเหนี่ยวนำข้อมูลเหล่านั้นเข้ามา คือ เรายอมรับประสบการณ์นั้นให้เกิดขึ้นมา

    ผมว่าถ้าเรามาช่วยกันแชร์ประสบการณ์ว่า เราสัมผัสความไม่มีเวลากันได้อย่างไร
    แท้จริงแล้ว เวลามีจริงหรือไม่

    เพราะการสัมผัสกับการไร้กาลเวลานั้น แต่ละคนจะสัมผัสจากจุดยืนที่ไม่เหมือนกัน จะแตกต่างกันตามความเชื่อที่มีอยู่ แต่สุดท้ายเมื่อสัมผัสว่าเวลาไม่มีจริง ก็ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน จะทำให้คลายความสงสัยเรื่องการไม่มีอยู่ของเวลา

    ตัวอย่างจากประสบการณ์ของผม

    เมื่อระลึกย้อนไปในเหตุการณ์ของเมื่อวานนี้ ว่าทำอะไรอยู่บ้าง ตั้งแต่ตื่นนอน จนถึงนอน
    การเฝ้ามองนั้น เราเฝ้ามองจากตัวตนที่คิดว่าเป็นเราในปัจจุบัน มองตัวตนในอดีต เช่นเดียวกับตัวตนในอนาคต ก็เฝ้ามองตัวตนในอดีตเช่นกัน

    ตัวตนในปัจจุบัน คือ ตัวตนที่รับรู้ถึงความเป็นไปของอดีต และอนาคต

    ตัวตนในอดีตก็มีอยู่ในปัจจุบัน

    ตัวตนในอนาคตก็มีอยู่ในปัจจุบัน

    ทุกตัวตนอยู่พร้อมกันหมดในปัจจุบัน

    เวลาเกิดขึ้นเมื่อความคิดกำลังเคลื่อนไหลผ่านไป

    ในระหว่างที่นั่งพิมพ์อยู่ เราทำในปัจจุบัน เช่นเดียวกับตัวตนในอดีต และตัวตนในอนาคต ก็อยู่พร้อมกันหมด และกำลังพิมพ์ไปพร้อมๆกันหมด เป็นการส่งต่อข้อมูลจากอนาคตมาให้ตัวตนในอดีต ในจุดอ้างอิงของปัจจุบัน ทุกอย่างดูเหมือนต่อเนื่องกันไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีการส่งถ่าย โดยการกระพริบเกิดดับกันตลอดเวลา
    ทุกตัวตนจึงเป็นอนุภาคและคลื่นพร้อมๆกัน

    เมื่อเอาจุดอ้างอิงคำว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคตออกไป จะเหลืออะไร
     
  11. ไม้บรรทัด

    ไม้บรรทัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +293
    ;aa21
    โลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาวทั้งหลาย ตั้งอยู่บนความว่าง
    ซึ่งระหว่างโลก และดวงดาวต่างๆ มีไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอน ไฮโดรเจน ฮีเลียม และโมเลกุลอื่นๆ ฯลฯ ซึ่งก็ตั้งอยู่บนความว่าง เช่นกัน

    ในโมเลกุล ก็ประกอบจาก อะตอม ที่ตั้งอยู่บนความว่าง เช่นกัน
    และในอะตอม ก็ประกอบด้วย อนุภาคต่างๆ อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน ควากซ์ ฯลฯ ที่ล้วนตั้งอยู่บนความว่าง เช่นกัน

    ความว่างเหล่านี้ คุณคิดว่า..มีคุณสมบัติเหมือนกัน หรือไม่??? เชื่อมต่อกัน หรือไม่???เป็นผืนแผ่นเดียวกัน ทั่วจักรวาล???

    แล้วจะต่างอะไรกัน ในทุกๆสรรพสิ่ง ที่ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีผลต่อกันและกัน อย่างอเนกอนันต์
    นั่นก็เข้าหลักปฏิทสมุปบาท ที่หมายถึง "เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึง ดวงดาว"

    ดังนั้น ทุกสรรพสิ่งในมหาสากลจักรวาลอนันต์ ต้องอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลกันและกัน ต่อทุกสรรพสิ่ง(คน สัตว์ สิ่งของ หิน ดิน ทรายฯลฯ) อันหมายถึง "ความคิด จิต เมตตาธรรม จึง ค้ำจุนโลก จักรวาล"


    ;welcome2;aa22;aa19;aa20
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2008
  12. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    วิธีการที่ใช้วัดความเร็วของเวลา

    เอากระจกไปตั้งไว้ห่างๆ แล้วก็มีเฟืองที่ฟันเฟืองมีระยะห่างคงที่ เอาแหล่งกำเนิดแสงตั้งไว้เล็งให้แสงสะท้อนที่กระจกแล้วกลับมาที่ผู้สังเกต การณ์ตรงแหล่งกำเนิดแสง เอาเฟืองที่ว่าพร้อมมอเตอร์ไปขวางระหว่างกระจกกับแหล่งกำเนิดแสง แล้วก็เริ่มเดินมอเตอร์ เพื่มความเร็วของการหมุนของเฟืองไปเรื่อยๆจนสามารถสังเกตเห็นแสงที่สะท้อน กลับมาได้ จากนั้นนำเอาข้อมูลระยะห่างของฟันเฟือง ความเร็วในการหมุน และระยะห่างของกระจกมาคำนวณหาความเร็วแสงครับ

    The first successful measurement of c was made by Olaus Roemer in 1676. He noticed that the time between the eclipses of the moons of Jupiter was less as the distance away from Earth is decreasing than when it is increasing. He correctly surmised that this is due to the varying length of time it takes for light to travel from Jupiter to Earth as the distance changes. He obtained a value equivalent to 214,000 km/s which was very approximate because planetary distances were not accurately known at that time.

    In 1728 James Bradley made another estimate by observing stellar aberration, being the apparent displacement of stars due to the motion of the Earth around the Sun. He observed a star in Draco and found that its apparent position changed during the year. All stellar positions are affected equally in this way. This distinguishes the effect from parallax which affects nearby stars more noticeably. A useful analogy to help understand aberration is to imagine the effect of motion on the angle at which rain falls. If you stand still in the rain when there is no wind it comes down vertically on your head. If you run through the rain it appears to come at you from an angle and hit you on the front. Bradley measured this angle for starlight. Knowing the speed of the Earth around the Sun he found a value for the speed of light of 301,000 km/s.

    The first measurement of c on Earth was by Armand Fizeau in 1849. He used a beam of light reflected from a mirror 8 km away. The beam passed through the gaps between teeth of a rapidly rotating wheel. The speed of the wheel was increased until the returning light passed through the next gap and could be seen. Then c was calculated to be 315,000 km/s. Leon Foucault improved on this a year later by using rotating mirrors and got the much more accurate answer of 298,000 km/s. His technique was good enough to confirm that light travels slower in water than in air.

    http://math.ucr.edu/home/baez/physics/Relativity/SpeedOfLight/measure_c.html <!--MsgFile=3-->

    หามาจาก http://www.atriumtech.com/cgi-bin/h....com/cafe/wahkor/topic/X3357527/X3357527.html

    วิธีการวัดความเร็วแสงครั้งแรก >>> http://www.madochata.th.gs/web-m/axy/¤Å×è¹ 1.html
     
  13. bazcifer

    bazcifer Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +30
    เดินเล่นในฝันน่าสนใจดีครับ

    แล้วต้องเตรียมตัวยังไงให้รู้สึกตัวว่าฝันครับ
     
  14. KING GOD

    KING GOD Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +69
    เป็นกระทู้ที่มีสาระที่สุเนเวปนี้ทีเดียว
     
  15. KING GOD

    KING GOD Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +69
    เป็นกระทู้ที่มีสาระที่สุดในเวปนี้เลยครับ ขอชมเชยด้วยจิตคารวะ
     
  16. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    สำหรับผมเชื่อว่าปัจจุบันคือจุดที่สำคัญที่สุด เพราะเวลาเดินอยู่ที่เดียวกันหมด นี่แหละคือกุญแจสำคัญของการแก้ไขและสร้างอดีตปัจจุบันอนาคต
     
  17. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +470
    คุณmamboo ครับ ที่คนเราเห็นนรกสวรรค์ไม่เหมือนกันก็เพราะว่าที่เหล่านั้นมันไม่จริง มันเป็นเพียงการหลงนิมิตเท่านั้น
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อันนี้ก็ไม่รู้ เหมือนกันค่ะ

    เพราะคนเราจะ รู้ ได้ เท่าที่ รู้

    นอกเหนือจาก รู้ จะเป็น คิด

    พอไม่รู้ แล้ว อยากรู้ โดยไม่รู้ตัว

    ก็จะดันทุรังไปใช้ คิด สนองตัณหาในตน

    มันก็จะมีผิดมั่ง ถูกมั่ง เพราะคิดเอาเอง คาดเดาเอาเอง เกิน รู้ ตามฐานะของตน

    เมื่อถึงจุดที่ รู้ สุดยอดแล้วตามที่ตัวเองพอใจแล้ว ก็วางคิดได้

    คุณไอน์สไตน์ ก็คง รู้ตัว มั้ง ว่ายัง รู้ ไม่สุด

    เพราะยังเห็นอยู่ว่ายังค้นหาคำตอบ จนวาระสุดท้ายของชีวิตของท่าน

    ถามมา แล้วไอน์สไตน์รู้ได้ยังไงว่าแสงมีความเร็วเท่าไหร่หรือครับ? :)

    ตอบไป ความเร็วแสง เป็นค่าคงที่ เป็นความจริง ของธรรมชาติอย่างหนึ่ง

    แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนค้นพบ ความจริงเรื่องนี้

    คุณไอน์สไตน์ เขาเอาความจริงมาใช้งานต่ออีกที

    ก็ยังไม่รู้ จริงง่ะ โปรดใช้วิจารณญาณ นะเจ้าคะ

    ถามหน่อยสิ หากแสงมันมีความเร็วมากกว่าหรือน้อยกว่าความเร็วแสงที่เรารู้ในปัจจุบันสัก 0.001 กม/วินาที สมการนี้ก็ผิดไปเลยเหรอ อะไรมันจะบอบบางขนาดนั้น :)

    ตอบ ถ้าผลการทดลองมันไม่ตรงตามทฤษฎี ก็ไม่มีคนใช้แล้วอะค่ะ
    แต่ว่ามันดันใช้ได้ ในสภาวะหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ถูกทั้งหมด เพราะมีอีกหลายสภาวะ
    ที่ทฤษฎีสัมพันธภาพใช้ไม่ได้ แล้วคุณไอน์สไตน์ก็รู้ เขาก็เลยยังค้นหาคำตอบ
    ต่อไปอีก ทุกวันนี้นักวิทย์ เค้าก็ยังหาตอบกันต่อไป หาทฤษฎีมาอธิบาย
    ปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ของความจริง
     
  19. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    เนื้อหา by cells&tossapornk
    ท่วงทำนอง by tossapornk


    ฟังบทเพลง ชื่อ อิสรภาพจากเวลา กันครับ

    เวลาเวียน เปลี่ยนผัน ทุกวันผ่าน
    อดีตกาล ปัจจุบัน แล้วฝันหา
    อนาคต จดจ้องดู อยู่เรื่อยมา
    แล้วเวลา มาเกี่ยวเข้า เราอย่างไร

    ตัวเรานั้น กับขันธ์ห้า มาบังเกิด
    ก่อกำเนิด เกิดอบรม บ่มนิสัย
    มีสัญญา เวทนา สังขาร์ใจ
    รูปมีไว้ ให้ตัวรู้ ได้คู่กัน

    กาลเวลา มาสัมพันธ์ กับขันธ์ห้า
    ดูเวลา ยามหมุนเวียน หรือเปลี่ยนผัน
    ขันธ์ทั้งห้า ก็พาเวียน เปลี่ยนพร้อมกัน
    ไม่เคยหัน เหพราก จากเวลา

    มองใจเรา เข้าไป ในอดีต
    เราต่างขีด เขียนเหตุการณ์ ประสานหา
    ทั้งสร้าง เป็นเหตุการณ์ ที่ผ่านมา
    จนนำพา ความจำรู้ สู่ใจเรา

    หากมองใจ เข้าไปหา อนาคต
    วาดสวยสด จรดฝัน ดั่งจันทร์เจ้า
    เหมือนถูกตรึง ขึงโซ่ตรวน คอยกวนเรา
    หรือรวนเร้า เข้าแทรกแอบ อันแยบยล

    กาลเวลา มีจริงฤา ใช่หรือไม่
    หรือเพียงให้ คำกล่าวไป ไร้เหตุผล
    ไร้เวลา พาจริงใจ ใช่ลวงตน
    ต่างสับสน ชนเวลา มาพอควร

    จุดอ้างอิง กาลเวลา นัดหมายแน่
    ความจริงแท้ ไร้เวลา น่าผันผวน
    ที่เรายึด เราถือมา พารัญจวน
    ที่แท้ทวน เวลาไซ้ร ไม่มีจริง

    มองดูเรา เข้าทะลุ ปัจจุบัน
    ไม่อาจฝัน วันก่อนเก่า เหมือนเตาผิง
    หรือฝันว่า อนาคต กำหนดพิง
    เพราะความจริง มันชี้ชัด ปัจจุบัน

    หากเข้าใจ ในสัมพันธ์ ของขันธ์ห้า
    กับเวลา ว่าชัดเจน ไม่เบนหัน
    ตัวตนจอง ของเรา เข้าผูกพัน
    ไม่เคยเว้น จากกัน ขันธ์เวลา

    จะเห็นตัวตน ทั้งหมด ทุกภพชาติ
    อดีตวาด ปัจจุบัน อนาคตหา
    ตัวอดีต ตัวปัจจะ ตัวอนา
    ต่างก็พา กันเดินกล่อม กันพร้อมเพรียง

    หากเห็นได้ เข้าใจแจ่ม แจ้งแดงแจ๋
    เวลาแค่ เดินคู่ขันธ์ อันเงียบเสียง
    ไร้ซึ่งสรรพ พะสัตว์สรรพ พะสำเนียง
    เราเป็นพียง ผู้คอยดู ผู้รู้ตาม

    ถึงตอนนี้ ใจเริ่มมี อิสระ
    ไม่เปะปะ ซะส่ายหา ผู้ล่าถาม
    ปล่อยผู้รู้ เฝ้าดูไป ทุกโมงยาม
    เห็นขันธ์นาม ตามเวลา พาโล่งใจ

    สติเกิด บรรเจิดแจ้ง อย่างแข็งขัน
    ใจกระจ่าง สว่างพลัน กว่าวันไหน
    แม้ยามฝัน ยังรู้เห็น ว่าเป็นอะไร
    คือที่หมาย ที่แท้ยิ่ง จริงไหมเอย
     
  20. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    มันทำได้หลายแบบค่ะ แล้วแต่ว่า ใครจะถนัดและชอบแบบไหน

    แต่สำหรับเรา เราหัดถามตัวเองค่ะ...

    เรามาคิดก่อนว่า... ทำไมนะ เวลาเราฝัน เราถึงได้ไม่รู้ตัวว่า เรากำลังอยู่ในความฝัน เราชอบคิดว่ามันเป็นจริง... เพราะอะไร???

    เราก็หาคำตอบว่า... อ้อ...ก็เพราะว่า.. ตลอดเวลา เราไม่เคยเอะใจเลยว่า ที่กำลังเป็นอยู่นี้ คือความจริง หรือความฝัน จิตใต้สำนึกเราสั่งการตลอดว่า นี่คือความจริง

    แล้วเราก็เริ่มแบบว่า ไม่เชื่อว่านี่คือความจริง ว่างๆ นั่งมองอะไรเล่นๆ เราก็มักจะคิดว่า นี่ความจริงหรือความฝันวะ... แน่ล่ะ ... ยังไม่ทันจะได้ใช้สติไตร่ตรองเลยว่านี่ความจริงหรือความฝัน จิตใต้สำนึกมันก็บอกมาซะแล้วว่า นี่คือความจริง ไม่เชื่อพวกคุณลองถามตัวเองดูเลยสิ่ว่า ขณะที่อ่านข้อความของดิฉันนี้ พวกคุณคิดว่า พวกคุณอยู่ในความฝันหรือความจริง...

    เทคนิคก็คือ อย่าให้จิตใต้สำนึกเอาชนะสติสัมปชัญญะของเราค่ะ อย่าเพิ่งไปเชื่อว่านี่คือความจริง... เพราะนี่อาจจะเป็นความฝันก็ได้ ใครจะไปรู้ ก็ขนาดตอนอยู่ในฝัน เรายังคิดว่ามันเป็นจริงเลย แล้วตอนนี้ จะรู้ได้ไงว่า ฝันหรือจริง

    ก็ลองหัดใช้สติไตร่ตรองแบบนี้สัก 2-3 วันก็ได้ผลแล้วค่ะ... ครั้งแรกที่เราทำได้อ่ะ เราหัดมองนู่นมองนี่ แล้วก็ถามตัวเองว่า นี่ความฝันหรือเปล่าวะ... เราจะยังไม่เชื่อว่า นีคือความจริง หัดสังเกตุนู่นสังเกตุนี่ แล้วก็ถามแบบนี้ อยู่ประมาณ 2-3 วันค่ะ... แล้วคืนหนึ่ง...

    คืนหนึ่ง ในฝัน เรากำลังเดินผ่านหน้าวัดแถวๆบ้าน... สักพัก ก็เกิดถามตัวเองขึ้นมาว่า... "นี่ความจริงหรือความฝันเนี่ย" แล้วเราก็มองไปรอบๆๆๆๆตัว ก็ปรากฎว่า เห็นเสาไฟสีส้มขึ้นกลางถนน เราใช้สติคิดว่า "เฮ้ย O_O! เสาไฟที่ไหนขึ้นกลางถนนเนี่ย...??? " แล้วเราก็คิดได้ว่า นี่มันฝันนี่หว่าๆๆๆ ^^ แล้วเรื่องสนุก ก็ตามมาเยอะแยะเลยค่ะ^^

    ฝึกรู้ตัวในฝันแบบนี้นะคะ จะได้แต่เรื่องสนุกๆ แต่ถ้าอยากได้เรื่องแปลกๆด้วยล่ะก็ หัดทำสมาธิก่อนนะคะ นอนสมาธิก็ได้ แล้วจะรู้ว่า...

    ไอ้ตอนฝัน ตอนโดนยาสลบ ตอนทำสมาธิ มันต่างกันจริงๆค่ะ O_O! มันจิตออกจากร่างเหมือนกันก็จริง แต่นิมิตหรือสิ่งที่เห็น ต่างกัน ต่างภาวะ ต่างอารมณ์ ต่างความรู้สึก

    เรื่องแบบนี้ ต้องลองค่ะ ^^

    กว่าพระพุทธเจ้าท่านจะตรัสรู้ ท่านก็ลองมาหลายทาง ลองแล้วลองอีก

    เราก็ลองบ้าง ไม่ผิดหรอกค่ะ ถ้าใจมันอยากลอง ^^ เอิ้กๆๆๆ ^^;aa19
     

แชร์หน้านี้

Loading...