เวลาเป็นเพียงสิ่งสมมุติ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ล้วนมีอยู่พร้อมกันแล้ว ที่นี่-เดี๋ยวนี้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 3 ตุลาคม 2008.

  1. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ไปเที่ยวมาสนุกแล้วซิครับ คุณ mambo
    ที่เห็นเป็นเรื่องจริง แต่ที่เห็นไม่จริง ทุกอย่างมันมีข้อมูลซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ ภาพที่เห็นจะเป็นสัญลักษณ์ที่สัมพันธ์กับความเชื่อของแต่ละบุคคล เช่น ในฝันถ้าเห็นหนังสือ เราก็จะเห็นเหมือนกัน หรือต่างกันก็ได้ อยู่ที่สัญลักษณ์ที่ผูกเอาไว้กับความเชื่อ ที่สื่อสารให้เราเข้าใจได้
    แต่ข้อมูลที่ซ่อนอยู่ ก็คือ พูดถึงเนื้อหาในหนังสือที่เหมือนกัน

    เทคนิคของคุณ mambo เป็นเทคนิคที่น่าสนใจมากๆครับ บางครั้งความเชื่อที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้นั่นแหละ เป็นตัวกั้นขวางทุกๆอย่าง ต้องสังเกตุและถามตนเองบ่อยๆ ไม่งั้นจิตมันก็จะยึดถือสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชิน

    เช่น ถามว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ววันจันทร์ ใส่เสื้อผ้าสีอะไร ทานอะไร และทำอะไรมั่ง มีอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกอย่างไร

    ที่จำไม่ได้ เพราะเราคิดว่าเราจำไม่ได้
    ความเชื่อที่ว่าเราจำไม่ได้ นั่นแหละ เป็นตัวขัดขวางไม่ให้เราจำได้ เพราะมีการตีตราให้กับความจำตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว ;aa21
     
  2. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    เนื้อหา by cells&tossapornk
    ท่วงทำนอง by tossapornk


    ฟังบทเพลง ชื่อ อิสรภาพจากเวลา กันครับ

    เวลาเวียน เปลี่ยนผัน ทุกวันผ่าน
    อดีตกาล ปัจจุบัน แล้วฝันหา
    อนาคต จดจ้องดู อยู่เรื่อยมา
    แล้วเวลา มาเกี่ยวเข้า เราอย่างไร

    ตัวเรานั้น กับขันธ์ห้า มาบังเกิด
    ก่อกำเนิด เกิดอบรม บ่มนิสัย
    มีสัญญา เวทนา สังขาร์ใจ
    รูปมีไว้ ให้ตัวรู้ ได้คู่กัน

    กาลเวลา มาสัมพันธ์ กับขันธ์ห้า
    ดูเวลา ยามหมุนเวียน หรือเปลี่ยนผัน
    ขันธ์ทั้งห้า ก็พาเวียน เปลี่ยนพร้อมกัน
    ไม่เคยหัน เหพราก จากเวลา

    มองใจเรา เข้าไป ในอดีต
    เราต่างขีด เขียนเหตุการณ์ ประสานหา
    ทั้งสร้างเขต เป็นเหตุการณ์ ที่ผ่านมา
    จนนำพา ความจำรู้ สู่ใจเรา

    หากมองใจ เข้าไปหา อนาคต
    วาดสวยสด จรดฝัน ดั่งจันทร์เจ้า
    เหมือนถูกตรึง ขึงโซ่ตรวน คอยกวนเรา
    หรือรวนเร้า เข้าแทรกแอบ อันแยบยล

    กาลเวลา มีจริงฤา ใช่หรือไม่
    หรือเพียงให้ คำกล่าวไป ไร้เหตุผล
    ไร้เวลา พาจริงใจ ใช่ลวงตน
    ต่างสับสน ชนเวลา มาพอควร

    จุดอ้างอิง กาลเวลา นัดหมายแน่
    ความจริงแท้ ไร้เวลา น่าผันผวน
    ที่เรายึด เราถือมา พารัญจวน
    ที่แท้ทวน เวลาไซ้ร ไม่มีจริง

    มองดูเรา เข้าทะลุ ปัจจุบัน
    ไม่อาจฝัน วันก่อนเก่า เหมือนเตาผิง
    หรือฝันว่า อนาคต กำหนดพิง
    เพราะความจริง มันชี้ชัด ปัจจุบัน

    หากเข้าใจ ในสัมพันธ์ ของขันธ์ห้า
    กับเวลา ว่าชัดเจน ไม่เบนหัน
    ตัวตนจอง ของเรา เข้าผูกพัน
    ไม่เคยเว้น จากกัน ขันธ์เวลา

    จะเห็นตัวตน ทั้งหมด ทุกภพชาติ
    อดีตวาด ปัจจุบัน อนาคตหา
    ตัวอดีต ตัวปัจจะ ตัวอนา
    ต่างก็พา กันเดินล้อม กันพร้อมเพรียง

    หากเห็นได้ เข้าใจแจ่ม แจ้งแดงแจ๋
    เวลาแค่ เดินคู่ขันธ์ อันเงียบเสียง
    ไร้ซึ่งสรรพ พะสัตว์สรรพ พะสำเนียง
    เราเป็นพียง ผู้คอยดู ผู้รู้ตาม

    ถึงตอนนี้ ใจเริ่มมี อิสระ
    ไม่เปะปะ ซะส่ายหา ผู้ล่าถาม
    ปล่อยผู้รู้ เฝ้าดูไป ทุกโมงยาม
    เห็นขันธ์นาม ตามเวลา พาโล่งใจ

    สติเกิด บรรเจิดแจ้ง อย่างแข็งขัน
    ใจกระจ่าง สว่างพลัน กว่าวันไหน
    แม้ยามฝัน ยังรู้เห็น ว่าเป็นอะไร
    คือที่หมาย ที่แท้ยิ่ง จริงไหมเอย
    <!-- / message -->
     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ผมก็เป็นบ่อยๆครับ เวลาฝันมักจะคิดว่าเป็นความจริง
    ทั้งๆที่ถามตัวเองในฝันแล้วนะว่านี่มันความจริงหรือความฝันกันแน่
    และก็พิสูจน์แล้วในฝันนะ ด้วยกันตบหัวตัวเองบ้าง ทำอะไรอย่างอื่นบ้าง
    แต่ก็รู้สึกว่าจะยังเชื่อว่าเป็นความจริงอยู่เลย

    จนบางครั้งรู้สึกกลัวขึ้นมาว่า โอ้โห ถ้าซักวันหนึ่ง เราหลงมิติขึ้นมาแบบนี้จริงๆหละก็
    เราจะแยกแยะออกไหมเนี่ย ว่าอันไหนจริงอันไหนฝัน นึกๆไปก็นึกถึงคนที่สติไม่สมประกอบเข้า
    และรวมถึงพวกวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลาย ที่ตายไปโดยไม่รู้สึกตัวหนะนะครับ
    พวกเขาคงรู้สึกว่า สิ่งที่พวกเขาพบ เห็น เป็น และอยู่นี่มันเป็นความจริงสำหรับพวกเขาอย่างที่สุดแล้วเหมือนกัน
    ก็จึงได้หลงอยู่อย่างนั้น นั่นเอง

    อย่าว่าแต่พวกเขาเลยนะ พวกเราที่มีสติดีๆกันอยู่นี้ ยังหลงกันจนไม่ลืมหูลืมตาเลยว่า
    ร่างกายเนื้อนี้ นี่แหละที่เป็นตัวเรา จนใครมาบอกว่ามันเป็นแค่มายาภาพ ก็ยากที่จะเชื่อได้ ว่าไหม๊ครับ

    มีอีกเรื่องหนึ่งที่สะกิดใจผมเรื่องเวลา ก็คือเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้เดินทางไปต่างประเทศมา
    ซึ่งเวลาของเขาจะเร็วกว่าของเราอยู่พอสมควร จนต้องปรับเวลาใหม่
    พอกลับมาถึงบ้านแล้ว ก็ต้องมาปรับเวลากลับคืนมาใหม่อีก
    เพื่อนที่ไปด้วยกันยังพูดอยู่เลยนะว่า "นี่เราเพิ่งกลับมาจากอนาคตนะเนี่ย"
    เพราะว่าเราต้องปรับเวลาให้ย้อนกลับมาเท่าของบ้านเราใหม่ยังไงหละครับ

    สรุปว่า มันก็สมมุติกันขึ้นมาเพื่อให้ยึดเป็นแนวทางกันเท่านั้นเองกระมัง
     
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อ้าว...เจออีกแล้วข้อความอันเกี่ยวเนื่องด้วย "กาลเวลา"

    จาก กระทู้ "อธิบาย ปรัชญาปารมิตาสูตร โดยคุณสุวิจักร พงศ์พานภักดี วัดเทพพุทธาราม อ.เมือง จ.ชลบุรี"
    http://palungjit.org/showthread.php?t=153470 โพสต์ที่ 6

    ...............................................................................................

    ....ขออธิบายคำกล่าวที่ว่า เหตุปัจจัยมีที่ตั้งจากจิต หรืออีกประการหนึ่ง จะกล่าวว่า
     
  5. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    เวลาคือสิ่งสมมติ แต่ สมมติเพื่ออะไร เพื่อกำหนดขอบเขต

    ระยะ หรือ บังคับ เพื่อให้ทุกอย่างอยู่ในเวลาที่กำหนด


    แล้ว กลางวันกลางคือนคืออะไร 10 โมง คืออะไร


    อะไร คือ อนาคต อดีด ปัจจุบัน


    หรือ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน





    แล้ว สิ่งที่ผ่านมาหายไปไหน สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตคืออะไรกัน
     
  6. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    เรายังต้องอยู่บนโลกแห่งสมมุติ เราก็ยังต้องใช้เวลาในการดำเนินชีวิตของเราต่อไป ไม่เช่นนั้นเราจะอยู่บนโลกแห่งสมมุติไม่ได้ ขอแค่รู้และมีสติ(ความไม่ประมาท)กำกับอยู่ก็อยู่ได้อย่างสบายๆแล้วครับ
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เอ่อ...พอดีได้ไปเจอเรื่องเกี่ยวกับกาลเวลา
    ที่พระอาจารย์รัตนท่านเทศน์ไว้พอดี ก็เลยขอคัดลอกลงมารวมกันไว้
    ในกระทู้นี้ด้วยนะครับ เผื่อท่านที่สนใจ จะได้มีข้อมูลหลายๆแง่ หลายๆมุม

    ที่มา : http://santati2007.googlepages.com/time-santati

    .........................................................................................

    สันตติ 2007[​IMG]


    [​IMG]
    [​IMG]


    เส้นแรงแม่เหล็ก - กาลเวลา - สันตติ
    ที่มา: หนังสือ "พลังจิต ประสาน พลังพีรามิด แก้วิกฤตสุขภาพ" เรียบเรียงโดย คุณเกียรติศักดิ์ แสงสุวรรณ



    <!-- /editable --><!-- /wrapper --><!-- /header -->"สรรพสัตว์สิ่งจะถูกแรงดึงจากจุดศูนย์กลางเข้าไป และเมื่อหมดแรงดึงก็จะเด้งออกมาแล้วถูกดูดเข้าไปอีก วนไปวนมาเป็นรอบๆ เท่ากับเวลาของโลก 1 วินาที"
    "สังขารทั้งปวงต้องมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดาเพราะตกอยู่ในอำนาจของแรงดึงดังกล่าว ดังนั้น เราควรทำกิจการหลุดพ้นของจิตให้ถึงพร้อมอยู่ตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท ถึงจะไม่ตกไปสู่อำนาจแรงดึงอีกต่อไป"
    จากหนังสือ "เราจะทำดวงตาให้เห็นธรรมได้อย่างไร"

    กำเนิดของดาราจักร-หลุมดำ-เส้นแรงแม่เหล็ก

    เส้นแรงแม่เหล็กมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เปลี่ยนรูป และดับไปเป็นวัฏจักร กล่าวคือ เมื่อดาราจักร (กาแล็คซี่ - galaxy) ใดหมดพลังงานความร้อนแสงสว่างในตัวเองลงแล้ว สภาพของพลังงานที่ดับลงไปจะมีสภาพเป็นแรงดึงดูดที่อัดตัวกันแน่นที่เรียกว่า หลุมดำ (black hole) (หรือที่ในกลุ่มศิษย์พระอาจารย์เรียกว่า "อาทิตย์ดวงแม่" อันเป็นศูนย์กลางของดาราจักร - ผู้เรียบเรียง) แรงที่อัดตัวกันแน่นนี้เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง แรงอัดจะกลายเป็นแรงระเบิดขยายตัวออกมา ผลที่ได้จากการระเบิดจะได้พลังงานที่อัดกันแน่นเป็นเส้นพุ่งฟุ้งกระจายออกมา พลังงานที่อัดกันแน่นเป็นเส้นนี้ก็คือ "เส้นแรงแมเหล็ก" นั่นเอง

    เมื่อกระจายตัวออกมาแล้วพวกที่พุ่งออกมาก่อนก็จะลอยเคลื่อนอยู่ในอวกาศ ส่วนพวกที่พุ่งออกมาทีหลังที่อยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางการระเบิด เมื่อเคลื่อนมาได้ระยะหนึ่ง จะถูกแรงจากศูนย์กลางที่เกิดการระเบิดดึงกลับม้วนตัวเข้าไป เส้นแรงแม่เหล็กพวกหลังนี้ขณะม้วนตัวเข้าสู่ศูนย์กลางจะเกิดการชนกันเอง หรือชนกับอนุภาคมวลสารในอวกาศจนทำให้เกิดพลังงานขึ้น เป็นแสงสว่าง เป็นความร้อน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่างๆ และยังได้อนุภาคพื้นฐานต่างๆ ออกมาอีกมากมาย เช่น โปรตอน อิเล็กตรอน นิวตรอน เป็นต้น รวมทั้งได้อนุภาคหนัก เบา ได้อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าตรงข้ามกัน อนุภาคหนักเบาและอนุภาคที่มีประจุตรงข้ามกันเหล่านี้จะเข้ามาจับตัวกัน อนุภาคเบาจะวิ่งวนเป็นบริวารของอนุภาคหนัก กลายเป็นอะตอมของธาตุต่างๆ เกิดมวลสาร จนเกิดเป็นระบบดาวขึ้นมามากมาย ระบบดาวเหล่านี้ก็จะวิ่งโคจรรอบจุดศูนย์กลางของแรงดึงดูด เกิดเป็นดาราจักรขึ้นมาในที่สุด

    ส่วนเส้นแรงแม่เหล็กที่พุ่งออกมากลุ่มแรกๆที่เคลื่อนอยู่ในอวกาศ จะถูกดาราจักรกลุ่มอื่นดึงไปใช้งาน เพื่อเป็นเส้นแรงที่ใช้เชื่อมต่อกับดาราจักรต่างๆต่อไป แล้วเมื่อใดดาราจักรใช้พลังงานหมด ก็จะยุบตัวลงไปกลายสภาพเป็นแรงดึงดูด ดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นพลังงานหรือสสารก็ตาม กลายเป็นหลุมดำขึ้นมาอีก เมื่อหลุมดำเข้ามารวมตัวกันแล้วอัดแน่นจนถึงที่สุด ก็จะระเบิดปลดปล่อยพลังงานที่อัดเป็นเส้นกระจายตัวออกมาอีก พลังงานที่เป็นเส้นก็จะรวมกันเป็นอนุภาคพื้นฐาน เกิดเป็นธาตุต่างๆ จนกลายเป็นระบบดาวฤกษ์และดาราจักรขึ้นอีก วนไปวนมาไม่มีที่สิ้นสุด

    ขั้วโลกเหนือ-ขั้วโลกใต้

    ระบบดาวต่างๆที่เกิดการหมุนวนเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนได้ ก็เพราะเส้นแรงแม่เหล็กไหลเวียนเชื่อมดาวแต่ละดวงเข้าด้วยกันอยู่ เหมือนกับเส้นเชือกที่ร้อยลูกบอลให้เชื่อมต่อกัน ก่อเกิดเป็นเส้นทางเดินของเส้นแรงแม่เหล็กระหว่างดวงดาวต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อนมาก เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเต็มไปหมด และภายในดาวแต่ละดวงก็จะมีการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็ก โดยที่ระดับพื้นผิวของดาว เส้นแรงแม่เหล็กจะเคลื่อนตัวจากขั้วใต้ขึ้นไปสู่ขั้วเหนือ แล้วเคลื่อนเข้าสู่แกนกลางของดวงดาวที่ขั้วเหนือ แล้วเคลื่อนทะลุแกนกลางไปออกที่ขั้วใต้ หมุนเวียนกันไปอย่างนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีการไหลเวียนในเส้นทางอื่นอีกที่ซ้อนทับกันไป
    [​IMG]
    สำหรับดาวโลกของเรา จุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับจุดศูนย์กลางดาราจักรทางช้างเผือกจะอยู่ที่บริเวณขั้วโลกเหนือ ดังนั้นที่ขั้วโลกเหนือนี้ นอกจากจะมีเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนเข้าสู่แกนโลกแล้ว ยังมีเส้นแรงส่วนหนึ่งไหลเวียนขึ้นไปสู่อวกาศ เดินทางไปยังศูนย์กลางดาราจักร และในขณะเดียวกันก็จะมีเส้นแรงแม่เหล็กที่เดินทางสวนมาจากศูนย์กลางดาราจักร เคลื่อนมาสู่โลก เข้ามาที่ขั้วโลกเหนือ แล้วทะลุแกนโลกไปยังขั้วโลกใต้ แล้วก็เคลื่อนที่ออกมาจากขั้วใต้ เดินทางตามพื้นผิวขึ้นไปขั้วเหนืออีก วนเวียนไปอยู่ตลอด ลักษณะเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับดวงดาวทุกดวงในดาราจักรทางช้างเผือก ขั้วบนสุดของดาวทุกดวงจะหันชี้ไปยังจุดศูนย์กลางดาราจักร เกิดเป็นขั้วเหนือของดาวขึ้นมา อีกด้านที่เป็นด้านตรงข้ามก็เป็นขั้วใต้ การเกิดขั้วเหนือ-ขั้วใต้ของดาวก็เกิดขึ้นด้วยกลไกเช่นนี้

    ฉะนั้นในโลกของเรา การที่เข็มทิศชี้ไปยังทิศเหนือก็เพราะถูกจุดศูนย์กลางดาราจักรที่มีกำลังดึงดูดมาก ดึงเส้นแรงแม่เหล็กตามผิวโลกให้เคลื่อนไปยังขั้วเหนือตลอดเวลา เส้นแรงแม่เหล็กจึงเหนี่ยวนำให้เข็มทิศชี้ไปยังขั้วเหนือตลอดเวลาด้วย เข็มทิศจึงชี้ ไปยังขั้วเหนือด้วยกลไกการไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กในลักษณะนี้

    ส่วนจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ จะอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ตรงบริเวณที่เรียกกันว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ปรากฏการณ์ประหลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ เกิดขึ้นจากการผันผวนของสนามแม่เหล็ก ซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นบางช่วงบางเวลาเท่านั้น เมื่อโลก ดวงอาทิตย์ และศูนย์กลางดาราจักร ได้โคจรมาทำมุมที่พอเหมาะต่อกัน

    เส้นแรงแม่เหล็ก-กาลเวลา-สันตติ

    การไหลเวียนของเส้นแรงแม่เหล็กระหว่างศูนย์กลางดวงดาวกับศูนย์กลางดาราจักรนอกจากจะทำให้เกิดแรงเชื่อมต่อกันแล้ว ในขณะเดียวกัน แรงเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางดวงดาวกับศูนย์กลางดาราจักร ที่แรงเข้าสู่ศูนย์กลางกับแรงหนีศูนย์กลาง ทำมุมตรงกันข้ามกันนั้น จะก่อให้เกิดเป็น แรงสืบต่อ ของสิ่งที่เรียกว่า กาลเวลา ขึ้น โดยลักษณะของแรงที่เกิดขึ้น มีลักษณะเป็นแรงดึงที่เคลื่อนเข้าเคลื่อนออกศูนย์กลาง เกิดขึ้นสลับกันไปมา การที่ศูนย์กลางใดจะเกิดแรงดึงขึ้นมาได้นั้นสภาพพลังงานที่ศูนย์กลางในขณะนั้นจะต้องอยู่ในสภาพพลังงาน ที่เรียกว่า ธาตุศูนย์ หรือ สุญญตา โดยที่ศูนย์กลางที่เป็นสิ่งถูกดึง สภาพพลังงานที่ศูนย์กลางในขณะนั้นจะอยู่ในสภาพพลังงาน ที่เรียกว่า ความเป็นหนึ่ง หรือ เอกัคคตา ดังนั้นที่ศูนย์กลางโลกและของดาราจักร ก็จะมีการเปลี่ยนสภาพพลังงานจาก ธาตุศูนย์ ไปเป็น ความเป็นหนึ่ง จาก ความเป็นหนึ่ง ไปเป็นธาตุศูนย์ เปลี่ยนถ่ายสภาพพลังงานไปมาอย่างต่อเนื่อง จังหวะที่ศูนย์กลางดาราจักร เริ่มเกิดแรงดึง จนกระทั่งหมดแรงดึง และจังหวะที่ศูนย์กลางโลก เกิดแรงดึง จนกระทั่งหมดแรงดึง จะมีช่วงหรือระยะของจังหวะที่มีค่าคงที่ค่าหนึ่งเสมอ ค่าของช่วงจังหวะนี้คือ 1 วินาที
    แรงดึงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางดาราจักรกับศูนย์กลางโลกเท่านั้น แต่เกิดกับทุกดาวบริวาร และในโลกของเราก็ไม่ได้เกิดเฉพาะกับศูนย์กลางโลกเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับทุกอะตอมของสสารภายในโลก โดยที่นิวเคลียสของแต่ละอะตอมจะเกิดการเปลี่ยนสภาพพลังงาน จากธาตุศูนย์เป็นความเป็นหนึ่ง จากความเป็นหนึ่งเป็นธาตุศูนย์ สลับกับศูนยกลางดาราจักรอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะๆ เช่นเดียวกัน

    เส้นแรงมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างศูนย์กลางดาราจักร กับศูนย์กลางของดวงดาว และทุกศูนย์กลางของแต่ละอะตอม ที่เคลื่อนไหว ไป-มา เข้า-ออก เป็นจังหวะๆตลอดเช่นนี้ จะทำให้เกิดสนามแรงดึงขนาดใหญ่ขึ้น และด้วยสนามแรงขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทุกสิ่งไว้จึงทำให้เกิดมิติของสนามแรงที่เป็น แรงสืบต่อ ที่ขับเคลื่อนมิติของกาลเวลาให้เกิดขึ้น และมิติของเวลา ก็จะไปครอบคลุม มิติของสสาร วัตถุ รวมถึงครอบคลุม มิติของพลังงาน คือ ความเป็นคลื่น ความเป็นอนุภาค ความถี่ ความยาวคลื่น ตลอดจนครอบคลุมมิติของจิต คือ สัญญา เวทนา สังขาร วิญญาณ จนกระทั่งจิตตกอยู่ในอิทธิพลของมิติพลังงาน มิติของสสาร และมิติกาลเวลา มิติทั้งหมดที่ประกอบเข้าด้วยกันนี้จึงเกิดเป็นการสืบต่อของเหตุการณ์ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ของสสาร ของพลังงาน และของจิต ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เป็นเหตุ เป็นผล ของการกระทำในสิ่งต่างๆ ทั้งการกระทำ ทางกาย วาจา และใจ การศึกษาเรื่องแรงสืบต่อของกาลเวลาโดยทางสมาธิจิตนี้ เมื่อจิตบุคคลใดสามารถอยู่เหนือกาลเวลา หรือหลุดออกจากแรงสืบต่อของกาลเวลาได้ ถึงที่สุดของการศึกษาแล้วก็จะรู้และเข้าใจในเรื่อง กฎแห่งกรรม

    ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากมีแรงสืบต่อที่เกิดขึ้นระหว่างจุดสองจุดที่อยู่ห่างไกลกันดังที่ได้อธิบายมาแล้ว แรงสืบต่อยังเกิดได้กับเฉพาะจุดเฉพาะส่วนซึ่งเกิดเป็นแรงสืบต่อที่มีระยะสั้นเข้ามาเรื่อยๆ เช่นเฉพาะที่หัวใจเอง ก็ยังเกิดแรงสืบต่อระหว่างศูนย์กลางใจกับเซลล์ที่ประกอบเป็นหัวใจ เป็นแรงดึงเข้าผลักออก ระหว่างศูนย์กลางหัวใจกับเซลล์ที่อยู่รอบๆที่ประกอบเป็นหัวใจ ซึ่งปรากฏออกมาเป็นการเต้นของหัวใจ แรงดึงเข้าผลักออกของหัวใจนี้นอกจากเกิดขึ้นจากกลไกของธาตุศูนย์กับความเป็นหนึ่งแล้ว ยังมีพลังลมปราณเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้การเต้นของหัวใจเกิดสืบต่อต่อไปได้ การเกิดแรงสืบต่อเฉพาะจุดเฉพาะอวัยวะนี้ก็ไม่เกิดขึ้นที่หัวใจที่เดียวเท่านั้น ที่อวัยวะอื่น เซลล์อื่นก็เกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งถึงที่สุดแล้วในอะตอมของเซลล์ในร่างกายและในสสารทุกชนิดก็มีแรงสืบต่อที่เป็นสนามแรงขนาดเล็ก เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เราจึงพบว่ามีสนามแรงขนาดเล็กจำนวนมหาศาล ที่รวมกันอยู่ในสนามแรงที่มีขนาดใหญ่กว่า สนามแรงขนาดเล็กจะได้รับพลังที่ส่งผ่านมาจากสนามแรงที่มีขนาดใหญ่กว่าเป็นชั้นๆ เป็นทอดๆ เชื่อมโยงกันเป็นเส้นเป็นสายเป็นใยของเส้นแรงที่ถักทอเชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน

    ถ้าคนเรามีสุขภาพดีจังหวะการเต้นของหัวใจและชีพจรจะเท่ากับหรือใกล้เคียง 60 ครั้งในระยะเวลาหนึ่งนาที ซึ่งเป็นจังหวะของธรรมชาติ จังหวะของกาลเวลา ที่ศูนย์กลางดาราจักรกับศูนย์กลางโลกเกิดแรงสันตติระหว่างกัน นั่นคือเมื่อมนุษย์มีจังหวะของชีวิตสอดคล้องกับจังหวะของธรรมชาติ ร่างกายก็จะแข็งแรงมีสุขภาพดี แต่ถ้าการเต้นของหัวใจและชีพจรเร็วหรือช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาทีมาก และการเต้นนั้นไม่สม่ำเสมอ ผิดปกติ ไม่หนักแน่นมีพลัง ก็จะเป็นสิ่งบอกถึงสุขภาพร่างกายที่กำลังเจ็บป่วยเสื่อมถอย

    ในศาสนาพุทธมีคำที่ใช้อธิบายความเป็นไปของสรรพสิ่งต่างๆ อยู่สี่คำคือ
    1. อุปจย-ความเกิดขึ้นหรือก่อตัวขึ้น
    2. สันตติ-ความสืบต่อ
    3. ชรตา-ความเสื่อมหรือทรุดโทรม
    4. อนิจจตา-ความแตกสลายหรือแตกดับ
    ความเป็นไปของสรรพสิ่งที่เป็นสัจจธรรมความจริง มีสี่ขั้นตอน คือ มีความเกิดขึ้น (อุปจย) จากนั้นก็ตั้งอยู่และสืบต่อความมีอยู่ (สันตติ) จนกระทั่งเกิดความเสื่อม (ชรตา) และสุดท้ายถึงความแตกสลายไป (อนิจจตา) ซึ่งเราต้องประสบกันทุกคนและทุกขั้นตอนสำหรับคำว่า สันตติ ที่หมายถึง ความสืบต่อนี้ เป็นคำที่มีความสำคัญและใช้ได้กว้างขวางเพราะครอบคลุมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังดำรงอยู่ การที่สิ่งใดๆดำรงอยู่ มีอยู่ และเป็นอยู่ ก็เพราะสิ่งนั้นยังมีการสืบต่อไปของการมีอยูู่เป็นอยู่ของสิ่งนั้นๆ และการที่สิ่งนั้นยังมีการสืบต่ออยูู่ ก็เพราะยังมีแรงหรือพลังงานที่มากเพียงพอแก่การเกิดแรงสืบต่อเพื่อให้สิ่งนั้นดำรงคงอยูู่ต่อไป ดังนั้นแรงสืบต่อที่ได้กล่าวถึง เช่น แรงสืบต่อของศูนย์กลางระหว่างดาราจักรกับดวงดาวบริวาร ซึ่งทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงระหว่างกัน และทำให้เกิดแรงสืบต่อของเวลา เราก็สามารถเรียกแรงเหล่านี้ว่าเป็น แรงสันตติ ของแรงโน้มถ่วง และของกาลเวลาได้

    แล้วกลไกที่อยู่เบื้องหลังการเสื่อมสลายของสิ่งต่างๆเป็นอย่างไร ทำไมคนเราจากเกิดมาเป็นเด็ก โตขึ้นแล้วแก่ตัวลง ผิวหนังจากเต่งตึงก็กลับหย่อนยาน เซลล์ในร่างกายเกิดความเสื่อมถอย อีกทั้งสสารวัตถุต่างๆ เกิดการเน่าเปื่อยผุพังไป โดยที่วัตถุบางชิ้นตั้งอยู่เฉยๆ ไม่มีใครหรืออะไรไปทำอะไรกับมัน มันก็เกิดการเสื่อมสภาพไปได้ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังอันสำคัญของการเสื่อมสลายของสิ่งต่างๆ นี้ก็คือ เส้นแรงแม่เหล็ก กลไกของการเสื่อมสลายเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่เส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนไหวทะลุผ่านสิ่งต่างๆ แต่ในบางกรณีก็เกิดขึ้นจากเส้นแรงแม่เหล็กรวมตัวกันอยู่นิ่งๆ ภายในอะตอมทุกอะตอมก็มีศูนย์กลางคือ นิวเคลียส นิวเคลียสของอะตอมทั้งหลายย่อมจะถูกเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนที่เข้ามาชน กระทบ รบกวน อยู่ตลอดเวลา การที่นิวเคลียสถูกเส้นแรงแม่เหล็กเคลื่อนเข้ามากระทบนี้จะทำให้นิวเคลียสเกิดการสั่นสะเทือน ทำให้อะตอมต่างๆเคลื่อนไหวเพื่อแตกตัวแยกตัวเป็นอิสระออกจากกัน เกิดการแปรเปลี่ยนลักษณะโครงสร้างของสารประกอบและอะตอมไป จนสลายตัว แยกออกจากกันในที่สุด สสารวัตถุไม่ว่าจะอยู่ที่ดาวดวงไหน กลไกการเสื่อมสลายก็ล้วนเกิดขึ้นเหมือนกันกับที่เกิดบนโลกของเรา แรงสันตติ ที่เป็นแรงสืบต่อความตั้งอยู่ มีอยู่ ของสิ่งต่างๆ มองอีกด้านหนึ่งก็เป็นแรงที่ทำให้สิ่งทั้งหลายสืบต่อไปสู่ความแตกดับ เมื่อตั้งอยู่ก็ด้วยแรงสืบต่อ เมื่อเสื่อมสลายก็ด้วยแรงสืบต่อเช่นกัน ทุกขณะเวลาที่สืบต่อความมีอยู่ ก็คือเวลาสู่ความแตกดับ ความมีอยู่กับความเสื่อมสลายอยู่คู่กันตลอดเวลา ยิ่งเกิดการสืบต่อมากเท่าใด ความเสื่อมโทรมก็เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายต้องถึงความแปรปรวนแตกสลายไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2009
  8. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    ขออนุโมทนา และขอบคุณเจ้าของกระทู้ (คุณ Chayutt) และคุณMamboo รวมทั้งท่านอื่นๆด้วยครับสำหรับความรู้ และข้อมูลดีๆแบบนี้ ;38
     
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เนื้อหาส่วนนี้ก็ขอลบทิ้งด้วยเช่นกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2012
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    นี่ก็ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2012
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออนุญาตดันขึ้นมาหน่อยนะครับ
    เพราะเรื่องกาลเวลาตอนนี้กำลังเป็นประเด็น hot อยู่

    ......................................
     
  12. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    พระพุทธเจ้าตรัสกับท่านอานนท์ว่า บุคคลใดเจริญอิทธิบาท 4 ย่อมสามารถมีชีวิตยืนนานได้ 1 กัลป์

    ลองวิเคราะห์ดู การมีชีวิตยืนยาวกว่าอายุขัยปกติของมนุษย์ ย่อมเกิดจากการรู้ซึ้งถึง ความหมายของเวลา และทำให้ เวลา หมดอิทธิพลลง แล้วอิทธิบาท 4 เหตุใดจึงมีผลต่อเวลา

    ผู้รู้ช่วยขยายที:'(
     
  13. โอ๊ตศ์

    โอ๊ตศ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    333
    ค่าพลัง:
    +1,107
    น่าสนใจ...

    โดยเฉพาะ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ... รวมอยู่พร้อมกันหมด

    อดีตชาติ ดำเนินคู่กันไป

    แล้วการรับผลแห่งกรรม ที่ทำจากอดีตหล่ะ

    อ่านก็ก็ยัง งงอยู่

    เช่น การที่เราเคยฆ่าใคร แล้วรับผลโดนคนๆ นั้นฆ่ากลับ
    มันดำรงอยู่พร้อมกัน แล้วการที่เราจะไม่ต้องรับผลของอดีตนั้นหล่ะ

    ทำยังไง???
     
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ประเด็นเรื่อง อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ที่เกิดขึ้นพร้อมกันหมด
    สำหรับโลก 3 มิตินี้ ยากต่อการทำความเข้าใจนะครับ
    บางครั้งยิ่งหาคำตอบมันกลับยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อย

    มันมีสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจก่อนครับว่า..
    "อะไรคือ ปัจจุบัน?" และ"อะไรคือ ความจริง?"
    ถ้าเราค้นหาความหมายของสองคำตอบนี้ได้...ทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้นครับ

    ในโลกแห่งมายาการนี้
    แทบเป็นไม่ได้เลยที่เราจะรับรู้ความเป็นจริงอีกมากมายที่ดำรงอยู่นอกเหนือไปจากสิ่งที่เรามองเห็น
    แต่ในทางปฎิบัติแล้ว ถ้าเรารู้จักกระบวนการสร้างสรรค์ใหม่ในทุกๆขณะจิต
    การกำเนิดใหม่ของความรัก การสังเกตดูจิต หรือการก้าวพ้นออกมากรอบความเชื่อ ฯ
    มันจะรู้เห็นได้ง่ายขึ้นจากมุมมองชิวิตที่อยู่สูงขึ้นไปตามลำดับชั้นทางจิตวิญญาณนะครับ
    และถ้าหากเราจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างนึงขึ้น เกี่ยวกับ อดีต-อนาคต ล่ะก็
    เราต้องมีการเปิดรับและยอมรับมันเพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันด้วย

    สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับเราก็คือ
    วิธีการที่จะออกจากตรงนี้-ที่มีความหนาแน่นจำเพาะ (มิติที่ 3)
    ไปรับรู้ถึงสิ่งที่แตกต่างระหว่างชีวิตนี้กับชีวิตอื่นๆ และพลังงานที่โอบล้อมอื่นๆ
    หากเรายังแช่อยู่ในปัญหาที่เกิดขึ้นรอบๆตัว เราก็จะหมดอิสระภาพและติดอยู่กับกาลเวลา
    เชื่อว่าทุกคนมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้กันอยู่แล้ว...ทำความเข้าใจกันดูนะครับ

    รอคุณชยุตมาขยายความว่ามีความเชื่อมโยงกับอิทธิบาท 4 อย่างไรครับ ?
    อาจเกี่ยวกับความมีคุณธรรมเป็นที่ตั้งก็ได้ครับ...:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2011
  15. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ระหว่าง รอคุณชยุตมาตอบ
    ขอเดามั่วๆซั่วๆไปก่อนนะครับคุณ mead :)

    จากที่มีความรู้ เรื่องศาสนา เพียงหางอึ่ง
    เลยไปค้นคว้า ถึงความหมายของ อิทธิบาท 4 ที่พระพุทธองค์ได้กล่าวไว้

    อิทธิบาท 4
    คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

    ฉันทะ คือ ความรัก ความพอใจ
    วิริยะ คือ ความเพียร ตั้งใจ
    จิตตะ คือ การใส่ใจ การจดจ่อ
    วิมังสา คือ การไตร่ตรอง ตรวจสอบ ว่า เรามีฉันทะ มีวิริยะ มีจิตตะ หรือไม่ และอะไร เป็นอุปสรรค ไม่ให้เกิดฉันทะ วิริยะ จิตตะ และอะไรเป็นสิ่งสนับสนุน ให้เกิดฉันทะ เกิดวิริยะ และเกิดจิตตะ

    อิทธิบาท 4 คือ กระบวนการ ที่นำมาใช้ได้ ทั้งทางธรรม และทางโลก

    หากนำมาใช้ เพื่อให้กายเนื้อ ดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน ซึ่งอาจจะถึงชั่วกัลป์ หรือหลายๆกัลป์ หรือตลอดไปนั้น

    การจะทำให้กายเนื้อ ที่เป็นยานพาหนะภายนอกสุดของจิตรู้ อยู่นอกเหนืออิทธิพลของกาลเวลา

    ก็ต้องทำจิตให้หลุดจากกาลเวลาซะก่อน

    ต้องรู้จัก กับปัจจุบันขณะ ที่แท้จริงก่อน อย่างที่คุณ mead ว่าไว้

    ปัจจุบันขณะ คือ พื้นที่ ที่รู้สึกตัวอย่างเต็มที่ ไม่ถูกเหนี่ยวรั้งจากอัตตา เป็นความเย็น โปร่งโล่ง เบาสบาย ความคิดที่เกาะเกี่ยวกับเวลา ไม่เกิดขึ้น

    เป็นพื้นที่ ที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน

    ดังนั้น หากจิตจดจ่อ อยู่ในปัจจุบันขณะ เราก็จะมีชีวิตที่เป็นอิสระ หลุดจากการครอบงำของเวลา

    ลมหายใจจะแผ่วเบา เบาบาง จนเหมือนไม่ได้หายใจ เป็นการชะลอให้เซลล์เสื่อมช้าลงอย่างมาก (ซึ่งทางการแพทย์ ก็คือ การดูแล บำรุงรักษาสภาพไฟฟ้าของเซลล์แต่ละเซลล์ให้อยู่ในสภาพสมดุล ทางธิเบต และเต๋า ก็คือ การแปลงพลังงานทางเพศ พลังงานจากความไม่รู้ ให้กลายเป็นพลังงานชีวิต รักษาสภาวะพลังงานให้อยู่คงที่)

    หากอยู่ในปัจจุบันขณะได้อย่างสมบูรณ์ เราจะไม่ได้หายใจ การเกิดดับจะไม่เกิดขึ้น คือ อยู่นอกเหนือวงจรของการเกิดดับ

    ความเห็นส่วนตัว คิดว่า ผู้ที่อยู่ในปัจจุบันขณะได้อย่างสมบูรณ์ กายเนื้อที่เห็นนี้ จะเหมือนเป็นพลังงานที่ไม่ได้เกาะกันอย่างหนาแน่น สามารถสลาย และประกอบกันขึ้นมาใหม่ก็ได้ เพราะดำรงอยู่ในสภาวะของพลังงานล้วนๆ เผลอๆคนปกติที่ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 อาจจะไม่สามารถสัมผัสได้เลยก็เป็นได้

    วงจรของอิทธิบาท 4 ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอมตะ

    รักและพอใจ ในปัจจุบัน
    มีความเพียรที่จะดำรงอยู่ในปัจจุบัน
    มีความจดจ่อ มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
    และตรวจสอบดูว่า จิตไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดที่ไม่ใช่ปัจจุบัน ที่มีความเสื่อมสลายอยู่เป็นนิจ เช่น อัตตาตัวตน
    เจริญสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดสาย ให้เห็นอัตตา เข้าใจอัตตา ปล่อยวางอัตตา

    ดังนั้นผู้ที่จะดำรงอยู่ได้ช่วยกัลป์นั้น ในความเห็นส่วนตัว ถ้าไม่เข้าใจถึงปัจจุบัน ไม่เห็นอัตตา ไม่เข้าใจอัตตา ไม่ปล่อยวางอัตตา และไม่รักษาระดับพลังงานให้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์คงที่ จะไม่สามารถทำได้
     
  16. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    มีเคล็ดของการเป็นอมตะ ที่ท่านศรีติโลปะมอบให้แก่ท่านนาโรปะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา
    ลองพิจารณาดูกันครับ

    มหามุทราอุปเทศ

    อ้างอิงจาก มหามุทราอุปเทศ | Facebook

    ขอคารวะต่อสหัชปัญญา

    มหามุทรานั้นไม่อาจไขแสดงได้
    ทว่าสำหรับเจ้าผู้อุทิศตนแล้วต่อคุรุ เจ้าผู้ซึ่งทรงไว้ซึ่งพรตจรรยา
    และได้แบกรับซึ่งทุกข์ทรมาน นาโรปะผู้ทรงปัญญา
    จงจดจำคำสอนนี้ไว้ในใจ ศิษย์ผู้มีชะตากรรมอันเป็นกุศล


    ขอจงสดับ

    มองดูที่สภาวธรรมของโลก
    ความไม่เที่ยงแท้นั้นคล้ายดังภาพมายาหรือความฝัน
    แม้แต่ภาพมายาหรือความฝันนั้นก็ไม่มีอยู่จริง
    ด้วยเหตุนี้ เจ้าจงมุ่งสู่การสละละ
    และปล่อยวางซึ่งสิ่งร้อยรัดทางโลก


    จงปล่อยวางบริวารและญาติมิตร
    อันเป็นเหตุแห่งความปรารถนา และความขุ่นข้อง
    บำเพ็ญสมาธิเพียงลำพังในราวป่า ในวิเวกสถาน ในที่อันสงัด
    ดำรงตนอยู่ในอสมาธิภาวะ
    หากเจ้าเข้าถึงการไม่บรรลุถึง เจ้าจะได้ประสบพบมหามุทรา


    สภาวธรรมแห่งวัฏสงสารนั้นไร้แก่นสาร
    ก่อให้เกิดความปรารถนาและความขุ่นข้อง
    สรรพสิ่งที่เราปั้นแต่งล้วนปราศจากความจีรัง
    ด้วยเหตุนี้ จึงควรแสวงหาสัจธรรมอันล้ำค่า
    สภาวธรรมของจิตนั้นไม่อาจเห็นค่าความหมายของอจิตได้
    สภาวธรรมแห่งกรรมย่อมไม่อาจประจักษ์ในอกรรมได้


    หากเจ้าต้องการจะบรรลุถึงอจิตและอกรรม
    เจ้าย่อมตัดขาดรากเหง้าแห่งจิต
    และปล่อยให้ดวงวิญญาณดำรงอยู่อย่างเปล่าเปลือย
    จะปล่อยให้น้ำอันขุ่นข้นแห่งเจตสิกใสกระจ่าง
    ไม่จำเป็นต้องระงับยับยั้งความรู้สึกนึกคิด
    แต่ปล่อยให้มันสงบลงตามกาล
    หากไร้ซึ่งการดึงดูดหรือผลักไส เจ้าจะหลุดพ้นในมหามุทรา


    เมื่อพฤกษาผลิใบและกิ่งก้าน
    หากเจ้าบั่นรากมันเสีย ใบและกิ่งก้านย่อมร่วงโรยลง
    เช่นเดียวกัน หากเจ้าตัดรากถอนโคนของจิต ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายย่อมเสื่อมทรามลง


    ความมืดมนที่ถูกสั่งสมมานานนับกัปกัลป์
    จะถูกขับไล่ไปด้วยดวงประทีปเพียงหนึ่ง
    เช่นเดียวกัน การได้ประจักษ์ถึงจิตอันสว่างไสวในพริบตา
    จะละลายม่านหมอกมลทินแห่งกรรม มนุษย์ผู้ด้อยปัญญาซึ่งอาจเข้าถึงสิ่งนี้


    จงเพ่งการกำหนดรู้ จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจของเจ้า
    โดยอาศัยการเพ่งกสิณ และฝึกฝนฌานวิถี
    จงขัดเกลาจิตใจของเจ้าจนมันสงบ ผ่อนพักตามธรรมชาติ


    หากเจ้าได้รับรู้ที่ว่างอันเวิ้งว้างและความว่าง
    ความคิดอันยึดติดอยู่กับศูนย์กลางและขอบเขตจักมลายไป
    เช่นเดียวกัน หากจิตสามารถรับรู้ถึงตัวจิตได้ ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายจะยุติลง
    เจ้าจะดำรงอยู่ในสภาวะที่ปราศจากความคิดคำนึง และจะรับรู้ได้ถึง "โพธิจิต"


    หมอกไอที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นกลับกลายเป็นเมฆ และหายลับไปในผืนฟ้า
    ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพยับเมฆนั้นหายไปแห่งใดเมื่อมันสลายตัวลง
    เช่นเดียวกัน คลื่นแห่งความคิดคำนึงที่อุบัติขึ้นจากจิต ย่อมสูญมลายไปเมื่อจิตรับรู้ได้ถึงจิต


    ที่ว่างนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง ไม่อาจเปลี่ยนแปร ไม่อาจแต่งแต้มด้วยสีดำหรือสีขาว
    เช่นเดียวกัน จิตอันสว่างไสวนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง
    ไม่อาจแปดเปื้อนด้วยขาวหรือดำ กุศลหรืออกุศล


    แก่นแท้อันบริสุทธิ์และสว่างไสวของดวงอาทิตย์
    ไม่อาจถูกบดบังได้ด้วยความมืดมิด ที่ถูกสั่งสมมานานนับพันกัลป์
    เช่นเดียวกัน ความสว่างไสวอันเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของจิต
    ย่อมไม่สามารถทำให้มัวหมองได้ด้วยวัฏสงสารอันยาวนานไม่สิ้นสุด


    แม้เราจะกล่าวว่าอากาศธาตุนั้นเวิ้งว้างว่างเปล่า และไม่อาจให้คำจำกัดความได้
    เช่นเดียวกัน แม้เราจะกล่าว่าจิตนั้นสว่างไสว แต่การให้นิยามนั้นหาได้พิสูจน์ไม่ว่ามันมีอยู่จริง
    ที่ว่างนั้นสมบูรณ์พร้อมโดยปราศจากตำแหน่งแห่งหน
    เช่นเดียวกันที่จิตแห่งมหามุทรานั้นหาได้ดำรงอยู่แห่งหนใดไม่


    โดยปราศจากการแปรเปลี่ยน ดำรงตนอยู่ในภาวะแรกเริ่ม
    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บ่วงร้อยรัดของเจ้าจะคลายลง แก่นของจิตนั้นคล้ายดังความว่าง
    ด้วยเหตุนี้ จึงหามีสิ่งใดอยู่นอกปริมณฑลของมันไม่
    ปล่อยให้การเคลื่อนไหวของกายเป็นไปอย่างแท้จริง
    ยุติความช่างจำนรรจา ปล่อยให้ถ้อยวาจาของเจ้าเป็นดุจดังเสียงอุโฆษ
    ไร้จิต ทว่าประจักษ์เห็นในศาสนธรรมอันสูงส่ง


    กายนั้นเปรียบดังปล้องไผ่ ที่หามีแก่นในไม่ จิตนั้นเป็นเนื้อแท้แห่งความว่าง
    ไม่มีแง่มุมใดให้ความคิดได้พักอาศัย จงผ่อนคลายจิตของเจ้า
    ไม่กักขังหรือปล่อยให้ร่อนเร่ เมื่อจิตไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย
    นี่เองคือมหามุทรา การบรรลุถึงสิ่งนี้คือการตรัสรู้อันสูงสุด


    ธรรมชาติจิตนั้นสว่างไสว ปราศจากซึ่งธรรมารมณ์ เจ้าจะพบมรรคาของพระพุทธองค์
    เมื่อปราศจากหนทางแห่งสมาธิภาวนา โดยการภาวนาในอภาวนา เจ้าจะบรรลุถึงมหาโพธิ
    นี่คือราชันย์แห่งสัมมาทิฏฐิ – ที่ไปพ้นการยึดติดและครอบครอง
    นี่คือราชันย์แห่งสัมมาสมาธิ – ที่ปราศจากจิตใจอันสับสนฟุ้งซ่าน
    นี่คือราชันย์แห่งสัมมากัมมันตะ – ที่ปราศจากความพยายาม
    เมื่อไร้สิ้นซึ่งความกลัวและความหวัง เจ้าย่อมบรรลุถึงวิโมกษ์


    ธรรมธาตุนั้นปราศจากอนุสัยและสิ่งมัวหมอง
    จงผ่อนพักจิตในสภาวะแรกเริ่ม อันไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสมาธิภาวะและหลังจากนั้น
    เมื่อความรู้สึกนึกคิดได้ทำให้ธรรมแห่งดวงจิตอ่อนล้า
    เราจะได้บรรลุถึงราชันย์แห่งญาณทัสนะ เป็นอิสระจากขอบเขตทั้งมวล


    การไร้ขอบเขตและความลึกซึ้งนั้น เป็นองค์จักรพรรดิแห่งสัมมาสมาธิ
    การตั้งมั่นในตนอย่างไร้แรงพยายามนั้น เป็นองค์จักรพรรดิแห่งกรรม
    การดำรงตนอย่างไร้การมุ่งหวังนั้น เป็นองค์จักรพรรดิแห่งมรรคผล


    ในยามเริ่มต้นนั้นจิตคล้ายดังแม่น้ำคลั่ง
    ในยามกลางคล้ายตัวแม่น้ำคงคาที่ไหลเรื่อย
    ในยามปลายกลับราบเรียบเป็นหนึ่ง
    คล้ายดังการสวมกอดระหว่างมารดากับบุตร


    ผู้เลื่อมใสในตันตระ ในปรัชญาปารมิตา ในพระวินัย พระสูตร และในศาสนมรรคทั้งหลาย
    สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ โดยการเชื่อถือแต่ในตัวคัมภีร์และหลักปรัชญา
    ย่อมไม่อาจหยั่งเห็นถึงมหามุทราอันสว่างไสวได้
    ไร้จิต ไร้ความปรารถนา สงบรำงับ ดำรงอยู่ด้วยตนเอง เปรียบประดุจกระแสน้ำ
    ความสว่างไสวนั้นจะถูกบดบังได้ก็ด้วยการอุบัติขึ้นของตัณหา


    สมยาธิษฐานอันแท้จริงย่อมสิ้นสุดลงหากยึดมั่นในศีล
    หากเจ้าทั้งมิได้ดำรงอยู่ รับรู้ หรือถอยห่างออกจากความจริงอันสูงสุด
    เมื่อนั้น เจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกฝนที่แท้ เป็นดวงประทีปที่ขับไล่ความมืดมน
    หากเจ้าปราศจากความปรารถนา หากเจ้าไม่ดำรงตนอยู่ในความสุดขั้วใด ๆ
    เจ้าจะแลเห็นสภาวธรรมจากคำสอนทั้งมวล


    หากเจ้าแน่วแน่อยู่ในความเพียรนี้ เจ้าจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้
    หากเจ้าตั้งมั่นดังนี้ เจ้าจะแผดเผาม่านหมอกแห่งอกุศลกรรมให้สลายไป
    ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงได้รับฉายาว่าเป็นดัง "ประทีปสว่างไสวแห่งพระคำสอน"


    แม้กระทั่งชนผู้ขลาดเขลา ที่ไม่ได้อุทิศตนให้กับหลักธรรมคำสอนนี้
    ก็อาจได้รับการช่วยเหลือจากเจ้ามิให้จมดิ่งลงไปในสังสารวัฏ
    น่าเศร้ายิ่งที่สรรพสัตว์จะต้องทนทุกข์เวทนาอยู่ในภูมิอันต่ำช้า
    ผู้ที่ต้องการปลดปล่อยตนเองจากความทุกข์ จะต้องแสวงหาซึ่งคุรุผู้ทรงคุณ
    ด้วยแรงอธิษฐาน จิตของผู้นั้นจะได้รับการปลดปล่อย


    หากเจ้าแสวงหากรรมมุทรา เมื่อนั้นปรีชาญาณแห่ง การผสานรวมของปีติและสุญญตาจะอุบัติขึ้น
    การผสานรวมกันระหว่างอุบายและวิชชาจะนำมาซึ่งอานิสงส์
    จงชักนำมันลงมาเพื่อก่อเกิดมณฑล ให้สถิตอยู่ ณ จักรและแผ่ซ่านไปทั่วร่าง


    เมื่อปราศจากความปรารถนามาข้องเกี่ยว การผสานรวมกันของปีติและสุญญตาจะอุบัติขึ้น
    ถึงซึ่งความเป็นผู้มีอายุยืนยาว ปราศจากผมหงอกขาว
    เจ้าจะเต็มเปี่ยมดังดวงจันทร์ ทรงประภารัศมี
    อีกทั้งพละก็หาใดเปรียบมิได้ เจ้าจะบรรลุถึงสิทธิอำนาจโดยพลัน
    และจะโคจรไปสู่ความเป็นมหาสิทธา
    ขอให้คำสอนแห่งมหามุทรานี้ คงอยู่ในใจของสรรพสัตว์ผู้เปี่ยมโชค


    ________________________


    คำสอนปากเปล่าเรื่องมหามุทรา
    ซึ่งท่านศรีติโลปะมอบให้แก่ท่านนาโรปะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา
    แปลจากสันสกฤตสู่ภาษาธิเบตโดย ชอคยีโลโดร มารปะ คัมภีราจารย์
     
  17. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอลองยกข้อความของพี่นักเขียนมาให้อ่านกันนะครับ
    <hr>
    โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ-ของความฝัน​


    คุณ VeggieGuy e-mail มาทวงถามพี่นักเขียนว่า ได้อ่านหนังสือ Conversation With God แล้วหรือยัง มีความเห็นอย่างไรบ้าง และขอให้ post ที่ห้องวิทย์ฯหน่อย

    วันนี้เลยต้องมาสารภาพว่า เพิ่งทำการบ้านอ่านหนังสือไปได้เพียงแค่ครึ่งเล่มเท่านั้นค่ะ เพราะกำลังติดงานวาดภาพสำหรับ artshow เดือนกุมภาพันธ์ที่จะมาถึงนี้จนหัวฟู(อีกแล้ว) คุณ
    คุณ VeggieGuy ก็แสนจะใจดี ไม่ได้ตัดคะแนนการบ้านพี่นักเขียนค่ะ แถมยังปลอบใจอีกว่า บางคนเวลาทานก๋วยเตี๋ยว จะทานเส้นจนหมดก่อน เก็บลูกช้ิน-ของดีไว้ทานทีหลัง

    ช่วงนี้พี่นักเขียนก็คงจะต้องรับประทานแต่เส้นก๋วยเตี๋ยวไปก่อน จนกว่าจะเสร็จ artshow เดือนกุมภาพันธ์ จึงค่อยหันไปรับประทานลูกชิ้น กว่าจะถึงวันนั้นอาจต้องเปลี่ยนชื่อไปเป็น
    NoodleGal ผู้รับมอบการบ้านให้อ่านหนังสือ Conversation With God มาจาก VeggieGuy

    วันนี้เท่าที่พอจะกล่าวถึงหนังสือ Conversation With God ได้และอยากจะเล่าให้พวกเราฟัง ไม่ได้เกี่ยวกับสาระในหนังสือ แต่เกี่ยวกับวิธีการที่นักเขียนคือ Neale D. Walsch ได้ข้อมูลมาเขียนหนังสือ

    วันแรกที่พี่นักเขียนเปิดหนังสือ Conversation with God อ่านไปได้ไม่กี่ประโยค ก็ระลึกถึงความฝันเก่าแก่ 5 ปีขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน ทำให้ขนลุกและเข้าใจถึงความสัมพันธ์บางอย่าง และเมื่ออ่านต่อไปก็ยิ่งขนลุก และยิ่งเข้าใจประสบการณ์ความฝัน ตลอดจนประสบการณ์ที่ตนเองได้ download ข้อมูลความรู้จากท่านอาจารย์อนาลัยมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ตั้งใจว่าจะเล่าให้พวกเราฟังตั้งแต่วันแรกที่อ่านหนังสือ แต่หาบันทึกความฝันที่ว่ายังไม่พบ หามาเรื่อยๆเพราะมีบันทึกทั้งหมดหลายสิบเล่ม เพิ่งจะหาพบเมื่อเช้านี้เอง จังหวะพอดีคุณ VeggieGuy e-mail
    มาทวงถาม เป็นความบังเอิญที่มีความหมาย-อีกครั้ง


    พี่นักเขียนได้จดบันทึกความฝันนี้ไว้เมื่อ February 8, 2003 และได้ sketch ภาพประกอบไว้ด้วย เพราะว่าฝันซับซ้อนจนไม่อาจบันทึกเป็นคำพูดไว้ได้ทั้งหมด วันนี้เลย scan ภาพ sketch มาให้พวกเราดูด้วยค่ะ

    [​IMG]
    ความฝันเก่าแก่นี้เกิดขึ้นในช่วงที่พี่นักเขียนกำลัง download ข้อมูลจากความฝันมาจดบันทึกไว้มากมาย คืนนั้นพี่นักเขียนได้ตั้งจิตก่อนเข้านอนว่า ขอฝันเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริง ของโลกหรือมิติของความฝัน (I asked for a dream that explains to me about the various dimensions of the dream reality.)

    ลองดูภาพ sketch ประกอบไปด้วยนะคะ
    พี่นักเขียนฝัน(อย่างมีสติ) และตระหนักว่าตนเองกำลังนอนหลับอยู่ ณ โลกก่อนเข้านอน ณ จุดล่างสุดซ้ายมือในภาพ ซึ่งขอเรียกว่าโลกยามตื่นมิติที่ 1

    [​IMG]
    จากนั้นเห็นตนเองก้าวล่วงเข้าไปสู่โลกของความฝันมิติ A - เผชิญกับประสบการณ์อีกชุดหนึ่ง
    จากนั้นเห็นตนเองตื่นขึ้นในโลกยามตื่นมิติที่ 2 - เผชิญกับประสบการณ์อีกชุดหนึ่ง


    จากนัน้เห็นตนเองก้าวล่วงเข้าไปสู่โลกของความฝันมิติ B - เผชิญกับประสบการณ์อีกชุดหนึ่ง
    จากนั้นเห็นตนเองตื่นขึ้นในโลกยามตื่นมิติที่ 3 - เผชิญกับประสบการณ์อีกชุดหนึ่ง


    จากนั้นเห็นตนเองก้าวล่วงเข้าไปสู่โลกของความฝันมิติ c - เผชิญกับประสบการณ์อีกชุดหนึ่ง
    จากนั้นทุกมิติที่ตนได้ก้าวล่วงเข้าไป ก็ปรากฎมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมด 6 มิติ
    เหมือนดูหนัง 6 เรื่อง 6 จอพร้อมกันหมด


    เหตุการณ์ในแต่ละจอหรือมิติส่งผลกระทบจออื่นๆมิติอื่นๆอย่างฉับพลัน ไม่มีคำว่าก่อน-หลัง อธิบายตามความรู้สึกในขณะนั้นได้ว่า เมื่อมองเห็น 6 มิติ พร้อมกันหมด ตระหนักได้ว่า ตัวตนในแต่ละมิติ มีตัวตนในมิติอื่นๆเป็นตัวตนในความฝัน และเป็นตัวตนในประวัติศาสตร์ หรือตัวตนในอดีตและอนาคตพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    ไม่ว่าสติสัมปัชัญญะยามตื่นจะย้ายฐานไปจดจ่ออยู่ ณ จุดใด มิติใด ก็จะเห็นตัวตนอื่นๆมิติอื่นๆเป็นตัวตนในความฝัน ตัวตนในประวัติศาสตร์ ตัวตนในอดีตและอนาคตของตัวตนมิตินั้นๆที่จดจ่ออยู่ กล่าวได้ว่าทุกตัวตนในทุกมิติ เป็นอดีตและอนาคตของกันและกัน มีความจำหลายชุดที่ระลึกได้ถึงความหลัง และตระหนักถึงอนาคตข้างหน้า

    ประสบการณ์ความฝันครั้งนี้ เป็นที่มาของข้อมูลความรู้ที่ว่า

    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด
    จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ
    พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้น


    ซึ่งในที่นี้ จิตวิญญาณของพี่นักเขียนได้จดจ่อกับภาวะของการเป็นบุคคลตัวตนในมิติต่างๆ จดจ่อกับมิติใด ก็เป็นบุคคลผู้นั้น ซึ่งอาจเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ในอดีต หรือ ในอนาคต ในชาติภพใดๆพร้อมกันหมด

    ต้องขอย่นย่อนะคะเพราะว่าบันทึกความฝันคืนนี้ยาวกว่า 10 หน้า และส่วนอื่นๆของความฝันไม่เกี่ยวกับประเด็นที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้ (ข้อมูลความรู้ที่ได้จากความฝันครั้งนี้ปรากฎในหนังสือโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ)

    ตัวตนในโลกยามตื่นมิติที่ 3 มองเห็นโลกของความฝันมิติ C (มิติที่พี่นักเขียนตีกรอบสีแดงไว้)
    ซึ่งมี
    ชายชาวตะวันตก มีหนวดมีเคราสีเทาอ่อน มีลักษณะค่อนข้างจะเป็น country guy หรือ cowboy กำลังสัมภาษณ์บุคลิกภาพที่ปราศจากร่างกายตัวตนอยู่ บุคลิกภาพที่ถูกสัมภาษณ์ไม่มีรูปกายที่แน่ชัด เหมือนไม่มีตัวตน-แต่ก็เป็นได้สารพัดตัวตน ไม่มีเสียงพูด-แต่ก็ตอบทุกคำถาม ไม่ว่าชายมีเคราจะถามอะไร บุคลิกภาพที่ไม่มีตัวตนก็ถ่ายทอดคำตอบมาให้มากมาย

    พี่นักเขียนได้ยินการสัมภาษณ์ทั้งหมดชัดเจนเหมือนฟังวิทยุ หรือดู TV มีเสียงกีต้า สลับการสัมภาษณ์เป็นช่วง เพลงที่ได้ยินนั้นไพเราะมาก พี่นักเขียนเฝ้าดูการสัมภาษณ์นั้นแล้วตั้งคำถามขึ้นมาว่า ตนเองกำลังสังเกตการณ์และรู้เห็นความเป็นไปของใครอยู่ และทำไมจึงต้องรู้เห็น เมื่อตั้งคำถามก็ได้คำตอบทันทีว่า เราคือเขา เขาคือเรา ด้วยการก้าวล่วงเข้าไปเป็นชายมีเคราผู้นั้นในบัดดล

    รับรู้อย่างฉับพลันว่า เมื่อพี่นักเขียนอยู่ในโลกยามตื่นมิติที่ 1, 2 หรือ 3 และโลกของความฝันมิติ AหรือB ก็จะได้ยิน ได้รู้เห็นการสัมภาษณ์นี้ได้เสมอ และในขณะเดียวกันชายมีเคราก็รู้เห็นข้อมูลทั้งหมดที่พี่นักเขียนรับจากความฝันมาจดบันทึก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พี่นักเขียนเอาบทสนทนาการสัมภาษณ์มาจดบันทึกความฝัน และในขณะเดียวกันบันทึกความฝันของพี่นักเขียนก็คิือบทสัมภาษณ์ของชายมีเคราและคำตอบที่เขาได้รับ

    เมื่อฝันเช่นนั้น พี่นักเขียนก็รับทราบและยอมรับโดยอัตโนมัติว่า เรามีตัวตนที่เป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ หรือ จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในอดีตหรืออนาคต ที่เป็นชายผิวขาวมีหนวดมีเคราผู้นั้น ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ในขณะนั้นหรือไม่ก็ตาม เขาก็รับรู้ข้อมูลความรู้มากมายจากตัวตนที่ปราศจากร่างที่เขาไปสัมภาษณ์และถ่ายทอดมาสู่เรา ส่วนตัวเราก็รับรู้ข้อมูลความรู้มากมายจากตัวตนที่ปราศจากร่างในมิติอื่นๆและถ่ายทอดไปสู่เขา

    ในขณะที่มีความฝันชุดนี้ 6 มิติ พบว่าบุคลิกภาพที่ปรากฏในมิติต่างๆเหล่านี้มีหลายชาติภาษา
    การสื่อสารเป็นไปหลายภาษาพร้อมกันหมด โดยปราศจากอุปสรรคหรือกำแพงของภาษา ไม่ว่าจะใช้ภาษาใดก็สื่อสารกันได้หมดโดยอัตโนมัติ


    พี่นักเขียนต้องขอออกตัวว่า พี่นักเขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะลบหลู่ วินิจฉัย หรือตีความหมายของพระเจ้าในนัยของคัมภีร์ศาสนาใดๆ แต่กำลังกล่าวถึง God ในนัยของ Walsch ซึ่งหมายถึงบุคลิกภาพที่ปราศจากร่างกายที่เราทั้งหลายสามารถติดต่อสื่อสาร และรับถ่ายทอดข้อมูลความรู้จากท่านได้ตลอดวันเวลา ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่มีคุณสมบัติเดียวกันกับบุคลิกภาพที่พี่นักเขียนเรียกว่า ท่านอาจารย์อนาลัย

    พี่นักเขียนเชื่อว่า Neale D. Walsch ได้รับข้อมูลมาจากต้นกำเนิดเดียวกันกับพี่นักเขียน ไม่ว่าเราจะเรียกชืิ่อบุคลิกภาพที่สื่อสารกับเราว่าอะไรก็ตาม แท้จริงแล้วบุคลิกภาพนั้นๆก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นองค์ความรู้ ที่มีคำตอบสำหรับคำถามทุกคำถามที่เราหาคำตอบไม่ได้จากภายนอก

    เช้านี้พอค้นพบบันทึกความฝัน ก็เลยเข้า internet เพื่อหาภาพถ่ายของ Neale D. Walsch เพราะหนังสือที่ซื้อมาไม่มีรูปของเขา ก็ได้หน้าตาอย่างที่เห้นนี่แหละค่ะ

    [​IMG]

    วันก่อนนี้พี่นักเขียนได้แนะนำการจดบันทึกความฝันอย่างเป็นระบบไว้ให้พวกเราลองนำไปใช้ดู คุณ zip มาช่วยให้ idea เพิ่มเติมถึงการระบายสีซึ่งแสดงออกถึงอารมณ์ที่บรรยายไม่ได้ด้วยคำพูด ทำให้สามารถบันทึกความฝัน หรือบันทึกอารมณ์ได้อีกรูปแบบหนึ่ง เพราะความฝันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ และมีความซับซ้อนหลากมิติ จนภาษาพูดในโลกไม่อาจจะบัญญัติคำศัพท์ได้มากพอที่จะอธิบายความเป็นไปในโลกเหล่านั้นได้

    พี่นักเขียนได้อ่าน Conversation With God เป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อนวัน Christmas เพิ่งได้รับหนังสือที่สั่งซื้อทาง internet จาก mail box หน้าบ้าน เลยหยิบติดมือไปเพราะจะเอารถไปตรวจสภาพที่ Kansas City และกะว่าจะไปอ่านในช่วงเวลาที่ต้องนั่งคอย พออ่านไปได้เพียง 2-3 ประโยคก็ฉุกคิดถึงความฝันและบันทึกพร้อมกับภาพ sketch นี้ได้อย่างคมชัด

    กลับมาบ้านต้องใช้เวลาค้นนานมากกว่าจะพบบันทึกหน้านี้ จำได้แต่ว่าฝันเมื่อยังอยู่บ้านหลังเก่า ประมาณได้ว่าเป็นช่วงระหว่างปี 2001-2003 แต่ก็ไม่ได้รู้วันเดือนปี วันนี้เลยต้องขอแนะนำผู้ที่จดความฝันเพิ่มอีกข้อว่า หากทำสารบัญไว้ในบันทึกหน้าหนึ่ง แล้ว hi-light ความฝันที่พิเศษๆไว้ด้วย พร้อมกับจดไว้บนหน้าปกว่าเล่มนั้นๆมีอะไรพิเศษบ้าง หรือเอาริบบิ้นหรือ book mark ทำเครื่องหมายไว้บ้าง ก็คงจะค้นได้สะดวกขึ้นมากทีเดียว หากค้นไม่พบ อาจทำให้พลาดข้อมูลบางอย่างไปได้อย่างน่าเสียดาย

    ใครยังไม่ได้เริ่มจดบันทึกความฝัน พี่นักเขียนขอเชิญชวนค่ะ
    คุณ Obniti เล่าให้พวกเราฟังว่าคุณพ่อของคุณ Obniti ได้จดบันทึกความฝันไว้มากมาย แต่ไม่ได้นำไปใช้อย่างได้ผล ไม่ทราบว่าคุณ Obnitit ยังเก็บบันทึกของท่านไว้เป็นที่ระลึกหรือเปล่า? หากยังเก็บไว้ และคุณ Obniti ลองจดบ้าง หากเรียนรู้วิธีการนำความฝันไปใช้ให้ได้ประโยชน์ แล้วกลับไปอ่านบันทึกของท่าน อาจพบว่าท่านได้ทิ้งสมบัติล้ำค่าไว้ให้ได้ศึกษามากมายก็เป็นได้นะคะ

    ที่กล่าวเช่นนี้เพราะเผชิญกับเหตุการณ์นี้ด้วยตนเองค่ะ คุณพ่อของพี่นักเขียนได้จดบันทึกไว้มากมาย และเก็บไว้ในห้องสมุดของท่าน ไม่มีใครสนใจจะนำไปอ่านเพราะเป็นเสมือนบันทึกส่วนตัวที่มีแต่ความหลัง แต่เมื่อคุณพ่อเสีย พี่นักเขียนอยากจะเก็บบางสิ่งบางอย่างที่ personal ไว้เป็นที่ระลึก จึงเลือกเก็บบันทึกและหนังสือทุกเล่มที่ท่านรัก ตลอดจน dictionary และ thesaurus ทุกเล่มที่ท่านใช้เป็นประจำทุกวันบนโต๊ะทำงานมาใช้ต่อ

    ปรากฏว่าตั้งแต่ได้อ่านบันทึกของท่าน ทำให้มีความสนใจใฝ่รู้เกี่ยวกับธรรมชาติของจิตวิญญาณ และรู้สึกกระหายที่จะอ่านหนังสือเป็นอันมาก ทั้งที่ไม่ใช่บุคลิกภาพดั้งเดิมของตนเองเลย พี่นักเขียนเป็นคนไม่รักอ่านหนังสือมาแต่เด็กๆ ชอบเล่นชิงช้า ถีบรถจักรยาน พายเรือ และเล่นอะไรก็ได้ที่ได้ตากแดดจนตัวดำปี๋ แต่หลังจากได้อ่านบันทึกและเก็บเอาหนังสือที่คุณพ่อใช้เป็นประจำมาใช้ต่อ พี่นักเขียนกลายเป็นคนรักอ่านเหมือนคุณพ่อ กลายเป็นคนช่างจดเหมือนคุณพ่อ และในทึ่สุดก็กลายนักเขียนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แหละค่ะ ซึ่งเป็นความปรารถนาสุดท้ายของคุณพ่อ ก่อนที่ท่านจะจากไป

    ท่านได้เขียนและแปลหนังสือตำราทางสาขาวิชาการของท่านไว้มากมาย และอยากจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการฝีกสมาธิและจิตวิญญาณอีกเป็นเล่มสุดท้าย แต่แล้วท่านก็ไม่ได้เขียน ผู้ที่สนิทและคุ้นเคยกับงานเขียนของคุณพ่อ บอกกับพี่นักเขียนว่า พี่นักเขียนเขียนหนังสือสำนวนเหมือนคุณพ่อราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ทั้งที่พี่นักเขียนไม่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเหล่านั้นของท่านเลยเพราะไม่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับท่านตั้งแต่เล็กๆ และเป็นหนังสือวิชาการที่พี่นักเขียนไม่ได้อยู่ในสายนั้นเลย

    ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ พี่นักเขียนเชื่อว่าเป็นการถ่ายทอดจิตวิญญาณอีกทางหนึ่ง โดยไม่ต้องถ่ายทอดหรือรับมาเช่นการรับบริจาคอวัยวะ หรือการถ่ายเลือด แต่ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดทางใดก็ตาม การถ่ายทอดจิตวิญญาณก็คือ การถ่ายทอดข้อมูลความรู้ และความทรงจำข้ามชาติภพ ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดเสมอ(rose)
     
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    อันนี้ไม่เรียกว่าเดาแล้วล่ะครับ อธิบายได้เข้าท่าทีเดียว
    ข้อมูลในอดีตมีความหมายลึกๆซ่อนอยู่น่าคิดทีเดียวนะครับ
    การบรรลุธรรมในสมัยนั้นแทบจะต้องเรียนรู้กันจากปากต่อปากเลย
    การเป็นนักคิด-นักบวชในตอนนั้น ระหว่างคุรุกับลูกศิษย์ มีความเช้มงวดมาก
    ต้องติดตามกันทุกฝึก้าวเลย กว่าจะได้ความรู้นั้นมา

    เดี๋ยวนี้ ช่องทางนั้นดูจะเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆแล้ว
    นับเป็นความโชคดีของพวกเรานะครับ
    ที่มีข้อมูลต่างๆหลั่งไหลเข้ามาทุกๆทิศทางแบบนี้
    อาศัยการทำความเข้าใจกรองแก่นสาระ นำมาปรับใช้กันตามจริตของแต่ละคน
    เหมือนมีชุดหลายๆสีหลายรูปแบบแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าให้เลือกใส่ตามใจชอบเลยนะครับ
     
  19. terrato

    terrato สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +5
    อีกแหล่งหนึ่งเกี่ยวกับเวลาในทางพุทธกับการนับเวลาในโพสที่ 5 ครับ จะเห็นถึงความสัมพันธ์ของเวลา ,ความเร็วและการเสื่อมด้วย

    http://palungjit.org/threads/คณิตศาสตร์ในพระพุทธศาสนา.3246/

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2011
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    "ความฝัน" ก็เป็นช่องทางหนึ่งใกล้ๆตัวให้เรียนรู้ครับ
    พี่นักเขียนอธิบายจนเห็นภาพตามไปด้วยเลยนะครับคณซิปฯ


    มีแบบจำลอง HyperCube มาฝากครับ
    อาจพอจะช่วยสร้างความเข้าใจเรื่อง อดีต-อนาคต ที่ปรากฎพร้อมๆกันหมดเป็นปัจจุบันได้ดีขึ้นอีกหน่อย
    ถ้าเราคุ้นเคยกับ กล่อง 4 เหลื่ยมทั่วไป (3D) ลองดูแบบจำลองนี้ (6D)
    จะเห็นว่าของสิ่งที่อยู่ภายในก็คือภายนอก สิ่งที่ใหญ่ก็ซ๋อนอยู่เล็กได้
    หากการเคลื่อนไหวที่ หดตัว-ขยายตัว คือพลังงานที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้
    แต่ละเส้นให้แทนค่าด้วยภพชาติ ในอดีต-อนาคต ดู
    แต่ละเส้นไม่มีก่อน-หลัง เป็นอดีตและอนาคตของกันและกัน
    โดยที่ทุกเส้นเชื่อมโยงต่อกันอยู่อย่างมีระเบียบแบบแผน และสอดคล้องกัน
    มันก็จะเคลื่อนไหวไปพร้อมๆกัน ในขณะเดียวกันได้ครับ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=S_DIQqT455c&feature=related"]YouTube - ‪HyperCube/Tesseract‬‏[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=s27n3QzuE4E&feature=related"]YouTube - ‪4d animation‬‏[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...