เห็นเจ้าแม่กวนอิมทั้งในสมาธิ และในฝัน2ครั้ง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ปมณฑ์, 2 มีนาคม 2008.

  1. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ปางที่ 73
    娑(suō) 婆(pó) 訶(hē).
    โซ. ฮา
    ซอ ผ่อ ฮอ
    ภาคนิรมาณกาย ปรากฎเป็นพระตาลีบุตรโพธิสัตว์ (ถือถาดใส่ผลไม้สดเพื่อโปรดสัตว์ ให้ทานแก่สรรพสัตว์)
    ความหมาย
    ประโยคนี้ต่อเนื่องกับพระคาถาบทก่อน หมายถึงการปฏิบัติให้ถือเอาสัมมาจิต และความมีสัจเป็นหลัก
    อรรถาธิบาย
    คนเราที่จำต้องรับความทุกข์ยากหวั่นกลัวนั้นมีรากฐาน ที่มาจากความคิดอันไม่สะอาดบริสุทธิ์ จึงได้เกิดความไม่สงบ เพราะพื้นฐานการปฏิบัติธรรมสำเร็จด้วยความคิดสำนึก แต่ชาวโลกเข้าไม่ถึงสภาวะดั้งเดิม นำพาชีวิตไปสู่ทางที่ผิดๆเป็นที่น่าเวทนา

    ปางที่ 74
    摩(mó) 婆(pó) 利(lì)、勝(shèng) 羯(jié) 囉(luo) 夜(yè),
    โม.โบ.ลี.ศัง.กะ.รา.ยะ
    มอ พอ ลี เซง กิต ลา เย
    ภาคนิรมาณกาย ปรากฎเป็นพระสมาธิฌานโพธิสัตว์ (นั่งขัดสมาธิ ถือโคมไฟรัตนะ ส่องแสงไปทั่วโลกธาตุ)
    ความหมาย
    คำว่า มอพอลีเซง หมายถึง ผู้กล้า
    คำว่า กิตลาเย หมายถึง สภาวะเดิม
    มอพอลีเซงกิตลาเย จึงหมายถึง คุณธรรมจะสำเร็จได้ ด้วยอาศัยสภาวะแห่งเมตตาธรรม หากจิตตั้งอยู่ในอกุศลย่อมเป็นการยากที่จะสำเร็จพระอ นุตตรธรรม
    อรรถาธิบาย
    พญามารเป็นผู้กล่าวถึง พระมหากรุณาของพระโพธิสัตว์ ปรากฎเป็นพันกร พันเนตร พระเมตตาแผ่ไปทั่ว โลกธาตุ สรรพสัตว์ทั้งหลายจำต้องอาศัยการพึ่งพิง ในการนำธรรมของพระพุทธเจ้า ดำรงตนอย่าให้หวั่นไหว ในจิต กายก็ไม่สะเทือนเมื่อประสบกับภาวะทั้งทางดีและร้าย

    ปางที่ 75
    娑(suō) 婆(pó) 訶(hē).
    โซ. ฮา
    ซอ ผ่อ ฮอ
    ภาคนิรมาณกาย ปรากฎเป็นพระมหากัสสปะเถระ หัตถ์ซ้ายถือลูกประคำ หัตถ์เบื้องขวาถือไม้เท้าจาริก ไปแนะนำสรรพสัตว์ให้ปฏิบัติธรรม
    ความหมาย
    คำว่า ซอผ่อฮอ หมายถึง การรวมเอาพระคาถาทั้งหมดแห่งมหากรุณาธารณีสูตรมาไว้ใ นประโยคนี้
    อรรถาธิบาย
    ความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์ เพื่อโปรดเหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวงให้ได้รับหิตานุหิตปร ะโยชน์ มีพระสัมมาสัมโพธิเป็นหลักชัย

    ปางที่ 76
    南(nán) 無(wú) 喝(hē) 囉(luo) 怛(dá) 那(nà)、哆(duō) 囉(luo) 夜(yè) 耶(yé).
    น.โม.ระตะนะ.ตรา.ยา.ยะ
    นำ มอ ห่อ ลา ตัน นอ ตอ ลา เย เย
    ภาคนิรมาณกาย ปรากฎเป็นพระอากาศครรภ์โพธิสัตว์ (หัตถ์ถือดอกไม้ ประทับบนอาสน์ศิลา) เป็นอุบายให้สัตว์โลกหนักแน่นมั่นคงในศรัทธาและมีควา มวิริยะกล้าหาญในธรรม
    ความหมาย
    ความประสงค์หลักที่พระโพธิสัตว์ได้ย้ำถึงมนตราบทนี้ ก็เพื่อให้แจ้งว่าการปฎิบัติมีทางที่ไปได้โดยเร็ว ฉะนั้นอย่าปล่อยให้เสียโอกาส หมั่นตั้งใจปฎิบัติให้สำเร็จ
    อรรถาธิบาย
    พระโพธิสัตว์ มุ่งเน้นย้ำถึงผู้ที่สวดท่องมนต์ตราบทนี้ ต้องพยายามควบคุมกายใจไม่ให้ลื่นไหลไปตามอารมณ์ที่มา กระทบ โน้มนำเอาฌานสมาธิเพ่งการเกิดการดับ พิจารณาถึงบุคคลที่ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ แต่กลับไม่ยอมเพ่งตถตาธรรม ยึดแต่รูปแบบว่าต้องกินเจ และระลึกถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้น
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    <!-- / attachments --><!-- sig -->__________________
    [​IMG] 活到老 學到老
    Live and Learn
    ตราบใดชีวิตยังดำรง ตราบนั้นยังคงมุ่งศึกษา
    [​IMG]

    <!-- / sig -->
     
  2. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ปางที่ 77
    南(nán) 無(wú) 阿(ā) 唎(li) 耶(yé).
    นะ.มา.อา.รยา
    นำ มอ ออ ลี เย
    ภาคนิรมาณกาย ปรากฏเป็นพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ นั่งขัดสมาธิบนพญาช้างแก้ว
    ความหมาย
    คำว่า นำมอออลีเย หมายถึง การสาธยายมนต์สรรเสริญพระอริยะ
    อรรถาธิบาย
    นัยแห่งพระธารณีนี้ เป็นการย้ำเตือนให้เร่งรีบสวดท่องธารณี มีความตื่นตัวในการปฎิบัติธรรมโดยเร็ว แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดแล้วเริ่มต้นใหม่ในสิ่งที่ถูกต้อ งดีงาม ขณะเดียวกันก็เสาะแสวงหาพระธรรมด้วยความขะมักเขม้น หมั่นระลึกถึงพระธรรมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในอากั ปกิริยาใด ที่สุดก็สามารถบรรลุถึงความไม่มีตัวตนได้

    ปางที่ 78
    婆(pó) 嚧(lú) 吉(jí) 帝(dì),
    อ. วา.โล.กิ.เต.
    ผ่อ ลู กิต ตี
    ภาคนิรมาณกาย ปรากฎเป็นมัญชุศรีโพธิสัตว์ ประทับอยู่บนกาญจนสิงหาสน์ หัตถ์ชี้ขึ้นฟ้า (เพื่อโน้มนำให้สรรพสัตว์เข้าถึงธรรม)
    ความหมาย
    คำว่า ผ่อลูกิตตี หมายถึง สัทธรรมไม่มีความสิ้นสุด บรรดาผู้ปฏิบัติธรรมย่อมมีความบริสุทธิ์เป็นเครื่องอ ยู่นำทางสู่แดนสุขาวดี
    อรรถาธิบาย
    พระโพธิสัตว์ย้ำถึงความลึกซึ้งของมหามนตร์ มีการเกิดย่อมต้องมีการตาย มีความชนะก็ต้องมีความพ่ายแพ้ แต่ชาวโลกผู้ตกอยู่ภายใต้อวิชชากลับยินดีต่อการเกิด เกลียดชัง ความตาย ท้ายที่สุดก็ต้องตายอยู่นั่นเอง ฉะนั้น หากต้องการรอดพ้นจากความตาย จะต้องค้นหาความเป็นในความตายให้ได้เสียก่อน

    ปางที่ 79
    爍(shuò) 皤(pó) 囉(luo) 夜(yè),
    โซว์.รา.ยะ
    ชอ พัน ลา เย
    ภาคนิรมาณกาย ดอกบัวพันกลีบ (เพื่อเป็นอุบายให้เหล่าสัตว์โลกละประสาทตาและรูปภาย นอกอันเป็นความหลงผิด ย้อนกลับค้นหาสภาวะดั้งเดิมของตนเอง)
    ความหมาย
    คำว่า ซอพันลาเย หมายถึง ผู้ปฏิบัติต้องการสำเร็จเป็นธรรมกายอันบริสุทธิ์ จะต้องละล้างประสาทตา มองเห็นธรรมวิสัยอันเป็นอนุตตระ (ดวงตาเห็นธรรม)
    อรรถาธิบาย
    การปฏิบัติธรรมจำเป็นต้องปิดทวารทั้ง 6 ปิดประสาทรับรู้ทั้งหมด เพื่อไม่ต้องรับผลแห่งกรรมอันเป็นการขัดขวางการเข้าถ ึงกระแสแห่งธรรม ฉะนั้น หากต้องการเข้าถึงธรรม ต้องการเดินทางสู่สุขาวดีภูมิต้องละประสาทตาให้หมดไป จากการรับรู้สัมผัส

    ปางที่ 80
    娑(suō) 婆(pó) 訶(hē).
    โซ. ฮา.
    ซอ ผ่อ ฮอ
    ภาคนิรมาณกาย พระโพธิสัตว์ ได้วิพากษ์ถึงพิษภัยแห่งเสียงที่มากระทบหูทอดแขนลงเบ ื้องล่าง (แสดงให้เหล่าสัตว์ละประสาทสัมผัสทางหู และเสียงอันไม่พึงปรารถนา) ให้รับฟังแต่เสียงทิพย์แห่งความสูญของสภาวะแห่งตน
    ความหมาย
    ซอผ่อฮอ เป็นพระคาถา ต่อเนื่องจากประโยคก่อน หมายถึงว่า แม้จะละประสาทสัมผัสทางตาแล้ว หูก็เป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่ง จำเป็นต้องละไปเช่นกัน จึงจะสำเร็จในอนุตตระ
    อรรถาธิบาย
    หากประสาทสัมผัสทางหูไม่บริสุทธิ์ ก็ยากที่จะได้รับกระแสแห่งธรรม และบรรลุถึงองศ์มรรค ต้องบังคับประสาทหูให้สะอาด จิตต้องมั่นคงไม่หวั่นไหวไปตามสภาวะสัมผัสที่มากระทบ หลักแห่งการปฏิบัติ จึงต้องบังคับการดู การฟังย้อนกลับไปสภาวะธรรมชาติ ถึงแม้ว่าธาตุ 4 ขันธ์ 5 จะไม่ได้ชำระให้สะอาด ก็จะสะอาดไปเอง ไม่สูญก็ย่อมสูญเองโดยอัตโนมัติ มีความสมบูรณ์ในความสูญอย่างแท้จริง
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    <!-- / attachments --><!-- sig -->__________________
    [​IMG] 活到老 學到老
    Live and Learn
    ตราบใดชีวิตยังดำรง ตราบนั้นยังคงมุ่งศึกษา
    [​IMG]

    <!-- / sig -->
     
  3. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ปางที่ 81
    唵(ǎn),悉(xī) 殿(diàn) 都(dōu),
    โอม. สิท.ธริน.ตุ
    งัน สิต ติน ตู
    ภาคนิรมาณกาย พระโพธิสัตว์ ชูนิ้วมือทั้งหมด (เพื่อให้สรรพสัตว์เห็นความปลอมแปลงในการดมกลิ่นของป ระสาทสัมผัสทางจมูก)
    ความหมาย
    คำว่า งัน หมายถึง การนำให้เกิด เป็นปฐมบทแห่งธารณี
    คำว่า สิตตินตู หมายถึง ความสำเร็จของธาตุแห่งตน เป็นศูนย์รวมแห่งการปฏิบัติธรรม
    อรรถาธิบาย
    ธารณีประโยคนี้ เมื่อรวมกับ ๒ ประโยคก่อน หมายถึง การปฏิบัติจะต้องมีจิตที่สงบ บังคับการหายใจให้สม่ำเสมอ จากหยาบไปถึงละเอียด กระทั่งไม่รู้สึกว่ามีการหายใจอยู่

    ปางที่ 82
    漫(màn) 多(duō) 囉(luo),
    มัน.ตา.รา
    มัน ตอ ลา
    ภาคนิรมาณกาย พระโพธิสัตว์ บรรยาย เรื่องลิ้นที่ไปลื้มรส แสดงอาการชูหัตถ์ทั้งแปด เพื่อเป็นอุบายให้ละลิ้นในการลิ้มรส
    ความหมาย
    คำว่า มันตอลา เป็นธรรมมณฑลที่หมายถึง ผู้ปฏิบัติต้องปล่อยละประสาทสัมผัสแห่งลิ้น เพื่อเข้าสู่ความบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของสภ าวะ รู้ถึงการปลอมแปลงหลอกหลวงของรสสัมผัส แล้วเข้าถึงสภาวะของตนว่ามีความเป็นสูญ

    ปางที่ 83
    跋(bá) 陀(tuó) 耶(yé),
    ปา.ตา.เย.
    ปัด ถ่อ เย
    ภาคนิรมาณกาย พระโพธิสัตว์ปางถือบาตร บรรยายถึงความโลภในการสัมผัส สอนให้สรรพสัตว์ละกายสัมผัส
    ความหมาย
    คำว่า ปัดถ่อเย หมายถึง ความต้องใจ และอีกนัยหนึ่งหมายถึงร่างกายเป็นมูลเหตุแห่งความทุก ข์
    อรรถาธิบาย
    เป็นความกรุณาของพระโพธิสัตว์ ที่ชี้ให้เห็นโทษของความหลง ร่างกายของเรานี้เป้นเพียงภาพลวงเกิดจาก ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มาผสมกันจึงไม่ควรยึดติดเมื่อปล่อยวางร่างของเราได้แ ล้ว ก็จะสามารถเข้าถึงธรรมได้

    ปางที่ 84
    娑(suō) 婆(pó) 訶(hē).
    โซ. ฮา
    ซอ ผ่อ ฮอ
    ภาคนิรมาณกาย พระโพธิสัตว์ ถือธวัชยาว (บรรยายแยกแยะธรรมลักษณะต่าง ๆ ให้รู้ว่าจิตสัมผัส (สัมผัสทางใจ) และธรรมภายนอกเป็นสิ่งแปลกปลอมหลอกหลวง)
    ความหมาย
    คำว่า ซอผ่อฮอ หมายถึง จบแล้วโดยบริบูรณ์
    อรรถาธิบาย
    เป็นพระคาถาที่สอนให้เรารู้ว่า ต้องกำหนดจิต อยู่กับธรรมตลอดเวลา ผู้ปฏิบัติต้องทำ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจให้สะอาดตลอดเวลา ถึงจะสามารถข้ามห้วงแห่งโอฆะนี้ได้โดยรอดปลอดภัย
    พระพุทธองศ์ ตรัสว่า จงเว้นจากการทำบาป เร่งบำเพ็ญสรรพกุศล ชำระจิตให้สะอาดหมดจด นี่คือพระธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ธรรมเหล่าใดจะสำเร็จได้ด้วยอาศัยใจเป็นประธาน

    จบโดยบริบูรณ์แล้วน่ะค่ะ
    ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ

    ขอขอบคุณข้อมูลหนังสือ 108 เทพแห่งสรวงสวรรค์ ฉบับ กวนอิมโพธิสัตต์ ของ คุณสมยศ เศรษฐสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการผลิต
    <!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
    <!-- / attachments --><!-- sig -->__________________
    [​IMG] 活到老 學到老
    Live and Learn
    ตราบใดชีวิตยังดำรง ตราบนั้นยังคงมุ่งศึกษา
    [​IMG]

    <!-- / sig -->
     
  4. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เรื่องราว พระธรรมกายแห่งองค์กวนอิม 84ปาง ได้จบโดยบริบูรณ์ ขอขอบพระคุณ ผู้มีนามแฝงว่า คุณไท้เฉวียน ที่มาลงบทความนี้ไว้ในเวปไซด์หนึ่ง ดิฉันขอให้บุญบารมีทั้งหลายนี้ จงแผ่ไปถึง คุณสมยศ ผู้ผลิตหนังสือ และ คุณไท้ฉวียน ผู้มาพิมพ์ลงในเวปไซด์ เพื่อให้ผู้ ที่มี ความศรัทธา ต่อ เจ้าแม่กวนอิม ได้อ่านกันค่ะ

    และ ขอเชิญชวน ทุกท่าน ถ้ามีเวลาว่าง เข้า ไปดู หนังเรื่อง กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม ที่ช่อง Thai PBS ( ITV เก่า ) ประมาณบ่าย 3 ในวันศุกร์ น่ะค่ะ ปกติไม่เคยเปิดช่องนี้ค่ะ อยู่ๆไปเปิดเห็น เมื่อวันศุกร์ ที่ผ่านมาค่ะ ลองเข้าไปดูน่ะค่ะ

    ดิฉัน เชื่อว่า มีหลายๆท่าน ที่มีความศรัทธา ในองค์ พระแม่กวนอิม และบารมีของท่าน ก็ทำให้หลายๆท่าน ได้ประจักษ์ มาบ้างแล้ว และ ทุกๆท่าน ก็คงจะมีความศรัทธา ต่อองค์ พระรัตนตรัย ควบคู่กันไปอย่างแน่นอนดิฉัน ขออนุโมทนา ต่อความศรัทธา ในการทำความดี และเป็นผู้ที่มีจิต ต้องการเผยแผ่ สิ่งดี ๆ ต่อเพื่อนมนุษย์ ขอขอบคุณทุกกระทู้ ที่ เข้า มาอ่าน และ แบ่งปัน ความรู้สึกดีๆ ซี่งกันและกัน ขอขอบพระคุณ คุณโอม ที่เข้า มาลง บทสวดมนต์ ขององค์พระแม่กวนอิม ในทุกๆ หน้า เช่นกันน่ะค่ะ อนุโมทนา อีกครั้งค่ะ
     
  5. ณ.พุทธภูมิ

    ณ.พุทธภูมิ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    อายันตุ โภนโต อิธะ ทานะ สีละ เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจาธิฏฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะ โว คัณหะถะอาวุธานีติ.
    ดูก่อนพระบารมีทั้งหลาย ขอเชิญพระบารมีคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐานะ เมตตา และอุเบกขา จงมาที่นี่โดยเร็วพลัน แล้วพากันถือเอาอาวุธ เพื่อยุทธ์กับพญามาร (กิเลส) เถิด.
    อนุโมทนาครับ.
    บริจาคเงินช่วยวัดพระบาทน้ำพุ
    โทร.1900-222-200 6บาท/นาที

    <!-- / message -->
    <!-- / message -->
     
  6. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ขอขอบคุณ และ อนุโมทนา กับ คุณ เพชรฉลูกัน น่ะค่ะ ที่ได้ส่งเหรียญ พระแม่กวนอิม และ บทสวดมนต์ของท่าน ไปให้ และส่ง ถึงในวันพฤห้สบดี เช่นกัน รู้สึก จะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาตลอด เลยค่ะ ในช่วงนี้

    มีความรู้สึกว่า กำลังมีอะไร เข้ามาอีกค่ะ วันก่อนยังคุย กับ คนที่มีโชค งวดที่ ออก 26 และ งวดก่อน ยังบอกเขา ว่า เลข จะออก เบิ้ล และ ออก จริงๆ ขออนุญาติ บอกนิดน่ะค่ะ อย่างมงาย ค่ะ แค่มาเล่าสู่กันฟังค่ะ และ เมื่อวัน 26 ที่ ผ่านมา ก็เป็น วันเกิด ท่าน สมาชิกท่าน นั้น ก็โทรมาบอกว่า เขาได้ทานเจ ให้ เจ้าแม่กวนอิม ยังไงก็ขออนุโมทนา อีกครั้ง น่ะค่ะ และ ในวันเช้า วันที่ 27 ดิฉัน ก็ได้ทราบ ข่าว จากคุณมหาเทพ แจ้งข่าว เรื่อง ไถ่ชีวิต วัว กระบือ และ หลังจากนั้น ก็ได้รับ องค์พระแม่กวนอิม จากคุณเพชรฉลูกัน ซี่งส่ง EMS มาจาก เชียงใหม่ และ สมาชิก ท่านนี้ ก็โทรมาบอกเรื่อง ทานเจ ให้ พระแม่ วันนั้น ดิฉัน จึงได้คุย กับท่านนั้น ว่า วันนี้ แปลกมาก ทไม่ ถึงมีแต่ คนที่มีโทรศัพท์ ลงด้วย 66 หลายท่าน มาก ซึ่ง ดิฉัน เคยบอกสมาชิก ท่านนั้น ว่า อยากจะซื้อ 266 และ อย่าลืม ซื้อ 766 ด้วย น่า แปลก ว่า เบอร์ โทรศัพท์ ของ หลายท่าน ที่ คุยด้วย กลับ เป็นเลข ตัวนั้น และ สมาชิก ท่าน นั้น เขาก็บอกว่า เขาได้ ซื้อ ไปแล้ว ด้วย ค่ะ

    เล่าสู่กันฟังน่ะค่ะ แต่อย่างมงาย น่ะค่ะ แต่ตัว ดิฉันเองน่ะ มีลางสังหรณ์ บาง อย่าง ค่ะ ว่า จะมีโชค เข้า ขอไม่บอกน่ะค่ะ ว่า อะไร รู้ แต่ว่า ถ้า มีอะไร ที่ เป็น แบบนี้ มักจะมีโชค เสมอค่ะ แต่ ถ้า เมื่อไหร่ ที่ เห็น เป็น เลข เหมือนครั้งก่อน จะเข้ามาบอกแล้วกันน่ะค่ะ ยังไง ใคร มีโชค ก็อย่าลืม ไปทำบุญ ด้วยน่ะค่ะ ขอขอบคุณ และ อนุโมทนา กับ ทุกๆท่าน ที่ เข้ามาอ่าน เรื่องราว และ ขออนุโมทนา กับ ทุกๆท่าน ที่ มีจิตศรัทธา ต่อเจ้าแม่กวนอิม วันนี้ หนัง เรื่อง กำเนิด เจ้าแม่กวนอิม ทางช่อง Thai pbs ก็จบ ลง เช่นกัน ใครที่ มาแสดง เป็นองค์ ท่าน จะเห็นได้ว่า ความเมตตา จะแสดง ออกทาง ดวงตา และ ใบหน้า จริงๆ แม้ แต่ดูในหนัง ยังเกิดอาการ ปิติ และเป็นสุข จริงๆ เลยค่ะ ขออนุโมทนา ค่ะ
     
  7. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    **สูตรนำไปสู่ความสำเร็จ**........จากเจ้าแม่กวนอิม


    1.ทำงานอยู่เสมอ
    2.อย่าเอาเรื่องกับสิ่งเล็กน้อย
    3.อย่าเป็นทุกข์ล่วงหน้า
    4.ต้อนรับสิ่งที่หนีไม่พ้นด้วยความสงบ
    5.อย่ายอมเป็นทาสของอดีต
    6.หัดวิเคราะห์ทุกข์
    7.ค้นหาสาเหตุของทุกข์ แล้วกำจัดต้นเหตุ
    8.ทำจิตให้สะอาด ไม่ตกเป็นทาสของมายาธรรม
    9.ตระหนักแน่ว่า สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุปัจจัย.......
    10.ความมีเหตุผล
    11.การเล็งเห็นคุณและโทษของสิ่งที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง
    12.พยายามมองบุคคลและเหตุการณ์ต่างๆในแง่ดีตามสมควร
    13.การทำสมาธิ
    14.การทำวิปัสสนา


    ***กฎแห่งกรรม***

    +++ต้องการรู้กรรมที่กระทำไว้ในอดีตชาติ ก็ให้ดูผลกรรมที่ได้รับในชาตินี้ ต้องการรู้ผลกรรมที่จะรับในชาติหน้า ก็ให้ดูการกระทำในชาตินี้!!!+++......


    ***พระธรรมคำสอนของพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม***.......


    1)รูปนามนั้น คือ ธรรมชาติ ดับใจที่ไปกระทบกับรูปนาม แล้วเกิดราคะ โทษะ โมหะ มันดับที่ใจ ถ้าดับรูป ดับนามของตนเอง ก็กลายเป็น อรูปพรหม ที่อยู่ระหว่าง พรหมชั้นที่ 8 กับชั้นที่ 9 ซึ่งอาภัพอย่างยิ่ง เนื่องเพราะพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดไม่ได้.....

    2)พิจารณาร่างกาย ร่างกายนี้ เมื่อตายก็ต้องฝังเข้าฮวงซุ้ย ต้องเผาเข้าเมรุ ร่างกาย เป็นบ่อเกิดแห่งราคะ โทษะ และโมหะ ไม่มีร่างกายไม่มีราคะ โทษะ โมหะ พิจารณาเพียงชั่วครู่ ก็มีความโปร่งเบา และสงบสงัดอย่างน่าอัศจรรย์

    3)เรา คือ เทพเจ้า ผู้ได้ยินเสียงคร่ำครวญของชาวโลก จึงมีฉายานามว่า"กวนอิม" ชื่อจริงของเรา คือ พระอวโลติเกศวร ท่านจะเรียกเราว่า กวนอิมก็ได้ ฐานะที่แท้จริง คือ พระโพธิสัตว์เจ้า ผู้หวังพระสัมมาสัมโพธิญาณภายหน้า รัศมีกายของเราที่ท่านเห็น(บางคน) นั่นคือ รัศมีกายของพระบรมโพธิสัตว์เจ้า......

    4)ในรูปของหญิง แต่งองค์คล้ายหญิงชาวจีนในราชสำนัก ที่มีเครื่องประดับ แต่สีขาวผ่องใสนั้น ก้ดูคล้ายชี ผู้เป็นอุบาสิกากระนั้น.....อันรูปกายนี้ และการแต่งองค์แบบนี้ จะเป็นแบบที่ประทับตราตรึงใจแก่ชาวโลกตลอดกาลนานในอนาคต และใกล้เคียงกับวัฒนธรรมของชาวจีน สำหรับผู้มีบารมีเบื้องต้น จะเกิดศรัทธาในรูปกาย แล้วพร้อมนำไปสู่การปฏิบัติความดี มีศีล-สมาธิ-ปัญญา เป็นหลักสำคัญของการปฏิบัติธรรม

    5)เราสมัยเมื่อเป็น"พระนางเมี่ยวซัน"ในสมัยนั้น(พระพุทธเจ้ากัสสป) เราได้บำเพ็ญเมตตาบารมี เราจุติเพื่อดับร้อนผ่อนเย็นแก่ชาวโลก ผู้บำเพ็ญบารมีเนื่องด้วยเรา จะเกิดศรัทธาในพุทธศาสนา ถวายพระบารมีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รูปกายเดียวที่เกิดเป็นหญิง คือ พระนางเมี่ยวซัน เท่านั้น พระโพธิสัตว์ปกติเป็นชายนอกจากจะอธิษฐานเกิดเป็นเพศหญิงจึงจะเป็นได้


    6)โดยปกติคนทั่วไปย่อมมีความรักและปรารถนาแต่ความรื่นรมย์ แต่การครองเรือน มิใช่ความสุขที่ถาวร เป็นสิ่งชั่วคราว เปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง มีความทุกข์เข้ามาเยือน แปรเปลี่ยนตลอดเวลา จางหายไปได้ง่าย เหมือนหมอกในยามเช้า.....

    7)ข้าแต่พระบิดาผู้บังเกิดเกล้า พระผู้เรืองอำนาจฤทธิไกร ขอได้โปรดฟังลูกสักนิด นานมาแล้ว พระบิดา ได้พระเกียรติยศสูงส่ง โดยยาตราทัพย่ำยีประเทศแล้วประเทศเล่า ทุกแห่งที่ทรงเสด็จเหยียบพระบาท บ้านเมืองก็ลุกเป็นไฟ ถูกไหม้เป็นจุล โลหิตของผู้ที่ถูกประหารนองพสุธา บรรดาพระราชาเหล่านั้น ผู้แพ้ต้องตกตาย ลูกขาดพ่อ เสียงร่ำร้องทุกข์เวทนาครวญคราง ไม่มีผู้ใดเป็นผู้ชนะหรอก เมื่อเสด็จพ่อถึงวัยชรา ไม่กล้าแข็ง ทั้งร่างกายและปัญญา หากเราต้องพ่ายแพ้ อาจถูกข้าศึกย่ำยีได้ในที่สุด



    8)"เสด็จพ่อเพคะ สงครามวิถีทางแห่งอำนาจเกียรติยศ เป็นบ่อเกิดแห่งความเคียดแค้นชิงชัง สะสมวันรอชดใช้ มีแต่ความพยาบาท อันเป็นไฟคุกรุ่นในอกของผู้แพ้ ความสงบสุขศานติที่แท้จริงไม่มี ขอได้โปรดให้ลูกได้เดินตามวิถีทางของลูก สู่ความสงบเป็นนิรันดร์กาล สู่โลกแห่งพระนิพพาน ที่เป็นอมตะ ไม่มีตายเถิด แม้โลกจะแตกสลาย ลูกก็ไม่ขอเปลี่ยนใจโดยเด็ดขาด"

    9)พระนิพพานที่เราแสวงหา บำเพ็ญเพียรพระเมตตาการุณย์ อันเป็นบารมีที่มุ่งหวังนั้น จะเป็นพลังอำนาจ ช่วยพระบิดาจอมจักรพรรดิ หลุดพ้นบ่วงกรรมแห่งโทสะ โมหะ และทิฏฐิที่มืดได้

    10)เมื่อเราถูกลงโทษกักขังในวนอุทยานอันกว้างใหญ่ผู้เดียว ยังชีพด้วยผลไม้ที่ตกหล่น รำพึงถึงพุทธบารมี พระเมตตาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณอันยิ่งใหญ่ เพ่งภาวนาพระนามของสมเด็จพระทศพลบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบทนำ ต่อจากนั้น ก็ภาวนาเมตตาบารมี จนเป็นฌานสมาบัติ และส่งกระแสจิตแห่งเมตตา ครอบคลุมวนอุทยาน และขยายไปทั่งโลกานุโลก ด้วยอำนาจแห่งเมตตาบารมี บรรดาสรรพสัตว์ผู้บริสุทธิ์ไร้มารยา เกิดมีแต่ความจงรักภักดีต่อเรา ช่วยหาผลหมากรากไม้ ทั้งที่เป็นอาหารและโอสถมาถวายเรา สัตว์ที่เคยขัดข้องเป็นศัตรูกัน กลับมาเป็นมิตรกัน มีแต่ความอบอุ่นสามัคคี.....

    11)ไม่ว่าเราจะเสด็จ ณ ที่ใด นก หนู กา ไก่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย น้อยใหญ่ ต่างห้อมล้อมเรา แม้จะไม่รู้ภาษาของกันและกัน แต่ก็เข้าใจกันได้อย่างประหลาด ยามเราเสด็จสำราญพระอิริยาบถ ก็ได้ยินแต่เสียงร้องของหมู่สัตว์ แต่เมื่อเราบำเพ็ญเพียร เดินจงกรม หรือนั่งสมาธิ บรรดาสัตว์ทั้งหลาย แม้จักจั่นเรไร ก็หยุดกรีดเสียง ด้วยเกรงว่าจะทำลายความสงบวิเวก เมื่อเราปฏิบัติกรรมฐานเสร็จในแต่ละครั้ง เราก็แผ่เมตตาไปทุกทิศานุทิศ ครานั้น เราก็ได้ยินเสียงเซ็งแซ่โอดครวญ โหยหวนของมวลมนุษย์ ที่ได่รับทุกขเวทนา บางครั้งพระชลเนตรของเราเอ่อคลอหน่วย ด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา พลางรำพึงว่า....."ดูรา....เวไนยสัตว์ทั้งมวล เราได้ยินแล้ว ขออำนาจตะบะบารมี ที่เราเพียรมา จงเป็นพลวปัจจัยให้เธอทั้งมวลคลายทุกข์ลงบ้าง เราปรารถนาให้เธอทั้งหลาย ประสบแต่ความสุข แต่ก็ช่วยได้ไม่มากนัก เพราะกรรมที่ไม่ดี ที่พวกเธอได้กระทำมาในอดีต กลับมาสนองพวกเธอเอง งดกรรมชั่วเสียเถิด บำเพ็ญแต่กุศล ไม่เบียดเบียนกัน เป็นต้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด สรรพสัตว์ทั้งหลาย".......แม้แต่เป็นเพียงเรารำพึงอยู่ในใจ แต่ก็ดังก้องทั่วปฐพี บรรดาทวยเทพทั้งหลาย ต่างแซ่ซ้อง สรรเสริญเรา อยากจะปรากฏกายให้เราเห็น และปลอบใจเรา ก็ทำไม่ได้ เพราะอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญเพียร แต่ทุกองค์ ก็ช่วยเหลือเราอย่างลับๆ เพื่อให้เราก้าวหน้าวัฒนาในเมตตาบารมี บรรลุถึงปรมัตถบารมีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า"......<!--test-->
     
  8. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    กำเนิดพระโพธิสัตว์กวนอิม

    <CENTER>ตอนที่ 1....ถวายสุราศาลาเย็น ไข่มุกเด่นสู่ครรภ์ในฝัน
    </CENTER>[​IMG] ในปลายราชวงศ์โจว รัฐต่าง ๆ ในแผ่นดินจงหยวน (จีน) ต่างปราบปรามซึ่งกันและกัน ทหารและศัตราวุธโลมลันพันตูกันไม่หยุดหย่อน เกิดการทุกข์เข็ญไปทุกหย่อมหญ้า แผ่นดินนองไปด้วยเลือด จนหาผืนดินบริสุทธิ์ไม่ได้ ประชาชนต่างนอนตาไม่หลับ ในยุคสมัยนั้นมีรัฐ ๆ หนึ่งทางทิศตะวันตกของจงหยวนมีชื่อว่าซิ่นหลินประเทศ กลับมีความสงบร่มเย็นฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ประเทศชาติมีความสงบ ประชาชนก็อยู่เย็นเป็นสุข
    ซิ่นหลินประเทศเป็นรัฐอิสระที่ใหญ่ทางทิศตะวันตก นับเป็นรัฐผู้นำในแถบนั้น ทั้งนี้เพราะสภาพภูมิประเทศมีภูเขาซวีหนีซัน อันเป็นขันเขาสูงตระหง่านจดฟ้ากินอาณาเขตกว้างและยาวหลายพันลี้ กั้นระหว่างแผ่นดินจงหยวนกับซิ่นหลินประเทศ ทำให้การไปมาระหว่างสองแผ่นดินไม่สะดวก จึงทำให้ขาดการติดต่อซึ่งกันและกัน
    คนจีนถึงแม้จะรู้กิตติศัพท์ของซิ่นหลินประเทศซึ่งตั้งอยู่บนพื้นราบสูงทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาซวีหนีซันอันเป็นพรมแดนธรรมชาติ และขณะนั้นการคมนาคมไม่สะดวก ความน่ากลัวของขุนเขาประกอบกับลมฟ้าอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ บนยอดเขาจะมีหิมะปกคลุมตลอดปี แม้จะอยู่ในฤดูร้อนจัดก็ตาม หิมะที่สะสมอยู่ก็ไม่ละลายจนหมด จึงไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะเดินทางไปยังดินแดนตะวันตกแห่งนี้
    ซิ่นหลินประเทศจึงถูกโดดเดี่ยวเหมือนปิดล้อมตนเอง ซิ่นหลินประเทศประวัติศาสตร์อันยาวนานมีอารยธรรมที่เจริญรุดหน้าก่อนใคร ๆ มีพื้นที่ของประเทศประมาณสามหมื่นหกพันลี้ ประชากรหลายแสนคน จึงนับเป็นรัฐที่มั่นคงแข็งแกร่ง จึงไม่มีรัฐเล็ก ๆ รัฐไหนที่ไม่สวามิภักดิ์
    ในขณะนั้น พระราชาผู้ปกครองแผ่นดินมีพระนามว่า เพอเจีย ฉายาว่า เมี่ยวจ้วน นับเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ปกครองประชากรหลายแสนคน ทุกคนต่างมีงานทำ อยู่ด้วยความปกติสุข ครองบัลลังก์มาสิบกว่าปี ปกครองแผ่นดินจนมีความอุดมสมบูรณ์ราชาเมี่ยวจ้วนจึงมั่งคั่ง มีพระมเหสีชื่อว่า เป่าเต๋อ เป็นกุลสตรีที่มีคุณธรรม ดังนั้น ราชาเมี่ยวจ้วนจึงยกย่องและรักใคร่ สภาพของครอบครัวมีความกลมเกลียวสมานฉันท์กันดี หากแต่ว่าใต้หล้ามิอาจมีใครที่สวยสดงดงามและสมบูรณ์เพียบพร้อมทุกอย่าง ชีวิตย่อมมีขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง แม้ว่าราชาเมี่ยวจ้วนจะมีความมั่งคั่งแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่เงินทองและความแข็งแกร่งซื้อหามาไม่ได้ก็คือ พระองค์มีพระธิดา 2 พระองค์ แต่ไม่มีโอรสสักพระองค์เดียว พระองค์เองก็มีพระชันษาสูงกว่าหกสิบพรรษาแล้ว ราชบัลลังก์ไม่มีรัชทายาท ได้แต่เฝ้ารอและเรื่อง ๆ นี้เองที่ทำให้พระองค์กลัดกลุ้มไม่สบายพระราชหฤทัย
    บางครั้งพระองค์ถึงกับถอนหายใจยาว มีคำกล่าวว่า เงินทองมิอาจซื้อบุตร สะใภ้ มีอำนาจก็ใช้ไม่ได้ ถึงแม้พระองค์จะทุกข์กังวลแต่ก็เปล่าประโยชน์ ความหวังและการรอคอยด้วยความร้อนรนนี้ วันเวลาได้ผ่านพ้นไปจากฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วหลายปี จวบจนถึงฤดูร้อนปีหนึ่ง อันเป็นปีที่ครองราชย์มาได้ 17 ปี ในราชอุทยานมีสระบัวขาว กำลังมีดอกบัวบานรับลมในฤดูร้อน ละอองกลิ่นเกสรหอมหวนลอยอบอวล
    พระนางเป่าเต๋อมีความรู้สึกว่า พระราชาเมี่ยวจ้วนมีพระทัยไม่เบิกบานมาหลายวันแล้ว จึงได้จัดโต๊ะเลี้ยงในศาลาเย็นกลางสระบัว เพื่อเชิญพระราชาให้เสด็จมาดื่มน้ำจัณฑ์ให้คลายกลุ้ม ขณะที่ทั้งสองพระองค์นั่งประทับเรียบร้อยแล้ว นางกำนัลทั้งหลายก็ถวายภัตตาหารและน้ำจันฑ์ ถึงแม้พระราชาเมี่ยวจ้วนจะกลุ้มพระทัยเรื่องโอรสก็ตาม แต่เห็นความหวังดีของพระนางเป่าเต๋อ จึงทรงแย้มสรวล และทอดพระเนตรชมดอกบัวขาวนับหมื่นดอกที่กำลังบานสะพรั่งในสระ ซึ่งตัดกับใบเขียวขจีของใบขับความสวยสะอาดของดอกให้น่ารักยิ่งขึ้น
    ท่ามกลางสภาวะเช่นนั้น ราชาเมี่ยวจ้วนรู้สึกอยู่ในสรวงสวรรค์ทรงมีความเกษมสำราญ ความกลัดกลุ้มถูกลมเย็นพัดกระจายไป ความหอมของดอกบัวช่วยขจัดจนสะอาด ทั้งพระราชาและมเหสีต่างดื่มอย่างเกษมสำราญ มีการพูดคุยแย้มสรวล มเหสีเห็นพระราชาเบิกบานพระราชหฤทัย พระนางก็มีความยินดีถึงกับทรงรินน้ำจันฑ์ถวายตนเอง หลังจากนั้นก็ให้เหล่านางรำออกมารำถวายเป็นที่ครื้นเครง ดนตรีดังเสนาะ ทัศนียภาพก็งามแปลกตา มิช้ามินานดวงจันทร์ก็คล้อยต่ำลงทางตะวันตกเสียแล้ว
    พระราชาเมี่ยวจ้วนทรงเสวยน้ำจันฑ์ไปมากจนครองสติไม่อยู่แล้ว จึงสั่งให้งานเลี้ยงเลิกลา มือข้างหนึ่งก็จูงมเหสีอีกข้างก็จูงนางกำนัล เสด็จกลับตำหนักแล้วเข้าสู่นิทรารมณ์ พอตื่นบรรทม ตะวันแดงโล่ส่องอยู่หน้าบัญชร พระนางเป่าเต๋อนั้นทรงตื่นบรรทมก่อนหน้านั้นแล้ว ภายหลังการสรงพระวรกายเสร็จก็ทรงเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายราชาเมี่ยวจ้วนเพ่อรอการตื่นบรรทม
    เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนตื่นบรรทมและสรงน้ำเรียบร้อยแล้ว มเหสีทรงถวายภัตตาหารพลางทรงเล่าว่า หม่อมฉันทรงสุบินแปลกประหลาดเมื่อคืนนี้ มิทราบว่าดีร้ายประการใด ในฝันนั้นได้ไปในสถานที่แห่งหนึ่งดูเหมือนจะเป็นชายทะเล ปรากฎมีดอกบัวสีทองดอกหนึ่ง ครั้งแรกที่โผล่พ้นน้ำ มีขนาดใหญ่เท่าดอกบัวธรรมดา โดยไม่คาดฝันดอกบัวทองนั้นก็โผล่สูงขึ้น ยิ่งนานก็ยิ่งใหญ่ขึ้น รัศมีทองก็ยิ่งเปล่งประกายระยิบระยับแสบเนตรจนต้องหลับเนตรลง พอเปิดเนตรขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ดอกบัวทองไม่ทราบไปอยู่ ณ ที่ใด แต่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลนั้นกลับกลายเป็นภูเขาลูกหนึ่ง บนภูเขาที่เห็นรำไรลิบลับดูเหมือนมีอาคารสูงหลายชั้น มีต้นเพชรนิลจินดาล้อมรอบ มีนกกระเรียนขาวมังกรฟ้าและทัศนีภาพอันแปลกประหลาดอีกมากมาย มันอยู่ไกลมาก เดี๋ยวเห็นเดี๋ยวไม่เห็น ตรงกลางที่เป็นภูเขา
    บนยอดเขามีพระเจดีย์สูงเจ็ดชั้น เหนือยอดพระเจดีย์มีไข่มุกที่สว่างไสวมีประกายรุ้งหลากสีสวยงามมาก มีความสง่างามยิ่ง หม่อมฉันเฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น ไข่มุกก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ชั่วพริบตาเดียวก็กลับกลายเป็นดวงตะวัน แล้วค่อย ๆ เข้ามาใกล้ชายฝั่ง ไม่นานนักดวงตะวันก็ลอยอยู่เหนือเศียรหม่อมฉันแล้วก็มีเสียงกึกก้องขึ้น ดวงตะวันดวงนั้นก็เคลื่อนผลุบลงในครรภ์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันตระหนกตกใจ มือเท้าอ่อนไปหมด อยากจะวิ่งหนี แต่เหมือนมีรากยึดเกาะเท้าทั้งสองไว้ หม่อมฉันดิ้นสุดชีวิต ในที่สุดสะดุ้งตื่นขึ้นมา จึงรู้ว่ายังบรรทมอยู่บนเตียง ทะเลอยู่ที่ไหน ภูเขาอยู่ที่ไหน และภาพแปลกประหลาดต่าง ๆ กลับกลายเป็นความฝัน ไม่ทราบว่าความฝันที่เล่ามา นี่จะร้ายดีเป็นประการใด
    เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนได้ฟังมเหสีเล่าจบก็รู้สึกดีใจอย่างเงียบ ๆ กล่าวปลอบขวัญกับมเหสีเป่าเต๋อว่า ที่มเหสีได้พบเห็นในฝันนั้นเป็นแดนนิพพานในพุทธประเทศที่แท้จริง โดยปุถุชนทั่วไปจะพบเห็นได้ยาก ย่อมเป็นมหามงคลยิ่ง ยิ่งเป็นไข่มุกที่สว่างด้วยแล้ว นับเป็นสารีริกธาตุแห่งพุทธะที่แปรเปลี่ยนเป็นตะวัน ซึ่งนับว่าเป็นสภาวะแห่งธาตุหยาง ที่เข้าสู่ครรภ์แล้ว มเหสีน่าจะประสูติกาล และจะได้พระโอรสอย่างแน่แท้ อย่างนี้ก็น่าเฉลิมฉลองให้ยิ่งใหญ่
    เมื่อพระนางเป่าเต๋อได้ฟังแล้วก็มีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้ได้แพร่ไปทั่วราชวังทั้งวังหลวงวังหน้า ต่างก็เต็มไปด้วยความหวัง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระมเหสีก็มีอาการแห่งประสูติกาล เวลาผ่านไปได้สามเดือน พระครรภ์เริ่มผายออกจนเด่นชัด นับตั้งแต่มีพระประสูติกาลมา พระวารกายกลับแข็งแรง มีอยู่ประการเดียวคือพวกอาหารเนื้อปลาหรือเนื้อสัตว์ทั้งหลายเพียงน้อยนิดก็ไม่อาจเข้าพระโอษฐ์ได้เลย ซึ่งโดยปกติแล้วอาหารคาวเป็นอาหารทรงโปรดของมเหสี แต่ตอนนี้พอได้แลเห็นเท่านั้นก็รังเกียจ ถ้าฝืนรับประทานเพียงเล็กน้อยก็จะอาเจียนจนน้ำดีขม ๆ ออกมา
    สิ่งเหล่านี้มักพบภายในหญิงมีครรภ์ ทั่ว ๆ ไป คนอื่นก็ไม่มีใครสงสัยอะไร หารู้ไม่ว่าภายในพระครรภ์มีของมหัศจรรย์อยู่ เวลาผ่านพ้นไปไม่ช้าก็ลุถึงฤดูหนาว เวลาแห่งประสูติกาลใกล้เข้ามาทุกขณะ ราชาเมี่ยวจ้วนในพระทัยหวังแต่พระโอรส มีแต่ความปีติยินดี ในวังก็ได้วุ่นวายตระเตรียมพิธีเฉลิมฉลอง ทั้งวังหลวงและวังหน้าต่างก็พลอยยุ่งไปหมด ย่างเข้าปีที่ 18 แห่งการครองราชย์ วันที่ 19 เดือนยี่
    ขณะที่ราชาเมี่ยวจ้วนกำลังเพลิดเพลินอยู่ในอุทยานในต้นฤดูใบไม้ผลิที่กำลังมาถึง ในขณะที่ความคิดกำลังฟุ้งซ่านอยู่นั้นก็มีนางกำนัลวิ่งมาอย่างจรวดเพื่อมารายงานว่า พระมเหสีมีประสูติกาลแล้วเมื่อเวลาตีสาม เป็นพระราชธิดา ขอเชิญพระองค์ให้ตั้งพระนามด้วย ราชาเมี่ยวจ้วนพอได้ยินว่าเป็นธิดา ความปีติยินดีก็ลดหายไปครึ่งหนึ่งแต่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ได้แต่โทษตนเองว่าชาติก่อนไม่ได้บำเพ็ญธรรม จึงเป็นอย่างนี้ ราชาเมี่ยวจ้วนทรงถามนางกำนัลว่าพระมเหสีทรงสบายดีหรือหลังประสูติกาล นางกำนัลทูลว่า ข้าแต่พระราชา ขณะที่พระมเหสีจะมีพระประสูติกาลนั้น ในอุทยานมีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ต่าง ๆ มากมายมาชุมนุมกันและแย่งกันขับร้องประหนึ่งดนตรีสวรรค์ ภายในพระตำหนักก็มีกลิ่นหอมอบอวลเป็นระลอก ๆ ชั่วเวลาไม่นานนักมเหสีก็ให้กำเนิดพระธิดาสาม
    ขณะนี้ทั้งมเหสีและพระธิดามีพระพลานามัยสมบูรณ์ดีเพคะ พระมเหสีมีสติสมบูรณ์ พระธิดาก็ร้องเสียงใส ราชาเมี่ยวจ้วนฟังความแล้ว พลางคิดว่ามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาชุมนุม ภายในตำหนักมีกลิ่นหอม แล้วทรงระลึกถึงความฝันของพระนางเป่าเต๋อตอนที่จะตั้งครรภ์ อันเป็นเรื่องราวความเป็นมาของลูกน้อย คงเป็นฐานกำเนิดที่ดีก็ได้ จึงได้เลือกคำว่า เมี่ยวส้าน (กุศลอัศจรรย์) เป็นพระนามของธิดาองค์สาม เพราะธิดาองค์โตมีนามว่า เมี่ยวอิน องค์รอง เมี่ยวหยวน คือใช้ฉายาของตนมาเป็นคำแรกของพระธิดาจากนั้นก็ทรงใช้พู่กันเขียนเป็นอักษรสีทองแล้วประทานแก่นางกำนัลไป นั่นคือ
    กุศลอันอัศจรรย์ลูกกำเนิดมามีรากปัญญา
     
  9. อรวี จุฑากรณ์

    อรวี จุฑากรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +189
    ขออนุโมทนาบุญ ที่คุณปมณฑ์ได้นิมิตรเห็นเจ้าแม่กวนอิมน้อยคนนักที่จะมีนิมิตรเห็นพระแม่ ขอให้สุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87
    ขอร่วมอนุโมทนาด้วยคนเจ้าค่ะ เราเองก็นับถือเจ้าแม่กวนอิมเช่นกัน รวมทั้งบรรดาศิษย์ของพระองค์ท่านทุกองค์ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกิมทง กิมท้อ พระพี่นาจา พญาเหงเจี่ย พญามังการ ท่านเซินฉายเย่ ฯลฯ ตอนแรกเราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่หรอกน่ะค่ะ ว่ามีพระองค์แม่มาคุ้มครองเราด้วย เวลาเราปฎิบัติไปวัดบวชชีพรามณ์ เราจะนั่งสมาธิได้นานมากๆๆ ไม่เคยต่ำกว่า สอง ชั่วโมงเลย ไม่รู้สึกปวดเมื่อยเลย (เพราะองค์แม่มาช่วยคุ้มครองเรา เราเห็นท่านในสมาธิ ท่านใส่ชุดสีขาวเช่นกัน แล้วท่านจะลอยอยู่บนศรีษะเรา บนท่านก็จะมีพระพุทธเจ้าอีกที หนึง ท่านมาในปางขัดสมาธิ รอบๆกายท่านจะมีแสงขาวนวลๆ เป็นรัศมีกว้างมาก) แต่ถ้าไม่ไช้เวลาปฏิบัติ ท่านจะมาในมโนจิตมาในภาคขี่พญามังการสวมชุดสีเขียว เราเคยประสบเหตุการณ์ขับคันมาแล้ว หลายครั้งทุกครั้งเกือบจะไม่รอด ถ้าพระองค์แม่กวนอิมท่านไม่ได้เมตตา เหตุการณ์ครั้งแรกเราได้ยินเสียงผู้หญิงมาเตือนเราว่าจะเกิดเรื่องให้รีบหนี ให้หยิบอันนั่นอันนี่ไปด้วย เสียงท่านไพเราะ มาก เสียงเย็นๆๆ พอเรารีบไปพวกสายลับมาค้นห้องเลยห่างกันแค่ หนึ่งหรือสองนาทีเอง เกือนไม่ทัน(ก่อนหน้านั้นไปมีเรื่องกับตำรวจท่องเที่ยวอยุธยา เค้าคงส่งเพื่อนๆมาเอาคืนมั้งไอ้เราเป็นประเภท ถ้าถูกนะไม่ยอมคนซะด้วยเลยเป็นเรื่อง) ต่อๆๆมามักจะเรื่องอุบัติเหตุ เวลาจะโดนรถชน เรารู้สึกได้เลยว่ามีคนดึงเราไว้ ไม่ให้ไป ไม่งั้นตายไปนานแล้ว ที่พิมพ์มาให้อ่านก็เพื่ออยากเผยแพร่พระบารมีของพระองค์ท่าน ขอพระบารมีของพระโพธิสัตว์กวนอิมจงสูงส่งยิ่งๆขึ้นไป ด้วยเทอญ นำมอทีปะหมี่เฮง นำมอนีทอฮุก
     
  11. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87
    สถานที่แนะนำในการไปสักการะเจ้าแม่กวนอิม ปกติเรามักจะไปที่โชคชัยสี่ค่ะจะมีตำหนักของเจ้าแม่กวนอิมอยู่ ซอยที่เท่าไหร่จำไม่ได้อ่ะค่ะ สวยงามใหญ่โตมากๆเลย แต่เพื่อนบางคนของดิฉันบอกว่าไม่ชอบที่นี่นิดเดียวเอง ตรงที่ทางคณะผู้ดูแลตำหนักค่อนข้างจะธุรกิจมากเกินไป อ้าวแล้วแต่ใครจะคิดนะค่ะ ไม่ว่ากัน เรื่องของไหว้ดิฉันเองก็ถือว่าทำบุญ แต่ท่านไม่ได้จำหน่ายแค่ของไหว้ จำหน่ายโปรแกรมทัวร์ด้วย จึงเป็นที่มาว่าทำไมเพื่อนดิฉันถึงบอกว่าเป็นธุรกิจ ส่วนดิฉันไม่สนใจ ถือว่าไปกราบพระองค์ท่าน เราน้อมจิตไป ใครทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ของถวายของจัดนำไปตามกำลังไม่ให้เราลำบากก็ถือว่าโอเค (ไปถึงที่ตำหนักมีทุกอย่างพร้อมไม่ได้เตรียมของไหว้มาที่นั่นมีจัดจำหน่ายเจ้าค่ะ )ถ้าคุณปมณท สงสัยเรื่องของไหว้ ลองสอบถามทางแม่ชีในนั้นได้น่ะค่ะ เป็นแม่ชีบวชแบบจีน
     
  12. toottoo

    toottoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    720
    ค่าพลัง:
    +3,255
    อนุโมทนาด้วยครับ
    นำ โม ตา ปี กวน ซี อิม พู่ สัก
    นำ โม ตา ปี กวน ซี อิม พู่ สัก
    นำ โม ตา ปี กวน ซี อิม พู่ สัก
     
  13. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    <CENTER>ตอนที่ 2 หาว่าผู้เฒ่าพูดปดว่าพระเมตตา ธิดาน้อยหยุดกันแสงฟังโฉลก
    </CENTER>[​IMG] เมื่อพระราชาเมี่ยวจ้วนได้ข่าวมเหสีได้ประสูติพระธิดา ในจิตใจรู้สึกไม่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อได้รู้ว่า ขณะประสูตินั้นมีความพิสดารมากมาย คิดถึงตอนที่พระนางเป่าเต๋อจะทรงตั้งพระครรภ์นั้นมีพระสุบินที่มงคล คิดว่าอย่างไรเสียลูกน้อยนี้คงมีบุญญาธิการบ้าง จิตใจค่อยปลอบประโลมขึ้นมาบ้าง จึงได้พระราชทานพระนามว่า เมี่ยวส้าน
    เมื่อประชาชนทราบข่าวว่าพระราชามีพระราชธิดาเพิ่มอีกพระองค์หนึ่ง ทุกคนต่างดีใจโลดเต้นจนเกิดการเฉลิมฉลองกันยิ่งใหญ่ พระราชาเมี่ยวจ้วนก็ทรงพระราชทานจัดเลี้ยงแก่เหล่าขุนนางในพระราชวังเป็นเวลา 3 วัน กลางนครหลวงของซิ่นหลินประเทศจึงครึกครื้นรื่นเริง ทุกแห่งหนประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสี มีการเล่นมหรสพสมโภชเฉลิมฉลอง บรรยากาศแห่งความปีติยินดีพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า เสียงแห่งความปีติยินดีครึกโครม เป็นบรรยากาศแห่งความสนุกสนานโดยปกติประชาชนก็อยู่ดีกินดีอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมีงานมหามงคลอีกย่อมเพิ่มความสนุกสนานเป็นที่ยิ่ง
    ในงานเฉลิมฉลองวันที่สาม พระราชาเมี่ยวจ้วนได้มีพระบัญชาให้นางกำนัลนำพระธิดาเมี่ยวส้านออกมาให้เหล่าขุนนางได้ชมพระบารมี โดยไม่คาดคิด เมื่อพระธิดามาถึงหน้าบัลลังก์ ได้ประสบกับกลิ่นสุราเมรัยและของคาวเท่านั้นก็ปล่อยเสียงร้องจ้าขึ้นมา คิดอยากจะให้หยุดร้องจึงป้อนนมให้แต่ก็ได้ผล ทำให้พระนมมือไม้สั่นไปหมด เหล่าขุนนางจึงวางจอกเหล้าลง ราชาเมี่ยว จ้วนทรงไม่พอพระทัย ในขณะนั้นมีมหาดเล็กเข้ามาถวายบังคมว่า ที่หน้าประตูวัง มีชายผอมชราผู้หนึ่งบอกว่าเขามีของกำนัลจะถวายพระธิดา ขอเข้าเฝ้าพระราชาเมี่ยวจ้วน
    ราชาเมี่ยวจ้วนทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้า ก็ได้พบนักพรตผู้อาวุโสผู้หนึ่ง ลักษณะเหมือนสามัญชน ราชาเมี่ยวจ้วนจึงตรัสถามว่า ท่านผู้เฒ่ามีนามว่าอะไร เป็นคนถิ่นไหน วันนี้มาที่นี่ประสงค์อันใดรีบบอกมาโดยตรง ผู้เฒ่าเอ่ยว่าข้าแต่พระราชาผู้เจริญทรงถามข้าพระพุทธเจ้าขอถวายรายงานสาเหตุแห่งการมาของข้าพเจ้าเสียก่อน เพื่อให้พระองค์ทรงทราบข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบข่าวว่า ราชาแห่งข้าพระพุทธเจ้าได้มีพระราชธิดาเพิ่มอีกหนึ่งพระองค์แล้วมีการเลี้ยงฉลองใหญ่ ดังนั้นจึงรีบมาเป็นกรณีพิเศษเพื่อแสดงความยินดีเป็นประการแรก ประการที่สอง ต้องการบอกถึงความเป็นมาของพระราชธิดาควรจะทรงทราบไว้ว่า พระราชธิดาองค์นี้คือพระเมตตาลงมาประสูติ เพื่อฉุดช่วยชาวโลกที่มีเคราะห์ ขอพระองค์อย่าได้ทรงดูแคลนพระธิดาองค์นี้ พระองค์จะนำพาเหล่ามนุษย์ให้สำเร็จเป็นพุทธะ
    ราชาเมี่ยวจ้วนได้ฟังดังนั้นก็ทรงหัวเราะลั่นว่า คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าผู้มีอายุมากผู้นี้จะพูดจาตลบตะแลง พระผู้เมตตากลับไม่เสวยสุขที่แดนสุขาวดีกลับจะตกอยู่ในแดนโลกีย์และฆาตเคราะห์ มากำเนิดในที่แห่งนี้ มาเป็นสามัญชนธรรมดา จะมีเหตุผลเป็นเช่นนี้หรือยังจะมาพูดว่า เหล่ามนุษย์เป็นพุทธะอะไรอีก ที่แท้เจ้าก็ตาเฒ่าที่หลอกลวง เจ้าคิดว่าจะโกหกสำเร็จหรือ ผู้เฒ่าตอบว่าพระราชาไม่ทรงรู้อะไร ในพุทธเขตขันธสีมา ส่วนใหญ่มีความคิดที่จะหลุดพ้นจากโลก และก็ไม่มีผู้คิดจะติดอยู่ในโลกนี้ตั้งแต่แรก เป็นเพราะพระผู้เมตตาเห็นว่าชาวโลกมีเคราะห์กรรมหนัก ความทุกข์ยากที่จะมลายไป ดังนี้จึงได้ตั้งมหาปณิธานที่จะฟังเสียงทุกข์แล้วทรงฉุดช่วย ตอนนี้ก็จุติสู่โลกแล้ว หาใช่เหตุบังเอิญไม่ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นใครหรือ กล้าดีอย่างไรที่จะเท็จทูลต่อพระราชา เรื่องนี้เป็นความจริงพระเจ้าค่ะ
    ราชาเมี่ยวจ้วนตรัสว่า ถ้าคำพูดของตาเฒ่าเป็นความจริงที่พระผู้เมตตาจะมีปณิธานเข้าสู่โลกเพื่อฉุดช่วยเคราะห์กรรม ก็น่าที่จะมีกายเป็นชาย ไม่สมควรเกิดมาเป็นหญิง ซึ่งผิดจากเรื่องปกติวิสัย ข้าก็ยังมีจุดที่ไม่เชื่ออยู่ ผู้เฒ่าฟังแล้วก็ทูลว่า เจริญพร ! เจริญพร! เหตุสัมพันธ์อันนี้จะทูลให้พระราชาเข้าใจได้อย่างไรเมื่อไม่ทรงเชื่อก็ตามพระทัย คอยดูต่อไปก็จะรู้ได้เองสักวันหนึ่ง ตอนนี้ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่สมควรจะโต้แย้ง
    ขณะที่ตอบโต้กันอยู่นั้นพระธิดาที่อุ้มอยู่ในอ้อมอกนั้นก็ร้องไห้ใหญ่ เมื่อราชาเมี่ยว จ้วนฟังเสียงร้องไห้ของพระธิดา ในพระทัยเต้นกระตุกจึงถามตาเฒ่าว่าถ้าพูดเช่นนั้น ท่านผู้เฒ่าที่รู้ความเป็นมาของเหตุแห่งอดีตชาตินับว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ขณะนี้ลูกน้อยของข้าร้องไห้โฮใหญ่ ที่แท้เพราะสาเหตุอันใด ท่านรู้หรือไม่รู้
    ตาเฒ่าหัวเราะฮาฮ่าแล้วว่า รู้ซิ ! รู้ซิ ! ทั้งหมดมีเหตุและผล ไม่มีอะไรที่ไม่รู้ พระธิดากันแสงเรียกว่ามีมหาเมตตา เพราะว่าพระธิดาเห็นพระราชาจัดงานเลี้ยงฉลองวันประสูติยิ่งใหญ่ ไม่รู้ว่าได้ฆ่าชีวิตวัว แพะ หมู ไก่ ไปเท่าไร พวกหอย กุ้ง ปู ปลา นับไม่ถ้วน ทำลายชีวิตมากมาย เพียงเพื่ออร่อยปากท้องของพวกเรา เป็นการเพิ่มบาปกรรมให้แก่ตนเองนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงทนไม่ได้ จึงได้กันแสงเป็นการใหญ่ หลักแห่งเมตตาธรรม มิใช่กำหนดไว้เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายล้วนครอบคลุมถึงหมด แม้แต่ต้นหญ้าใบไม้ก็ให้ความเมตตาเสมอเหมือนกัน
    ราชาเมี่ยวจ้วนตรัสถามว่า ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ท่านผู้เฒ่าจะมีวิธีอะไรที่จะทำให้ลูกน้อยไม่ร้องไห้ ตาเฒ่าตอบว่า มี มี มี ให้ข้าพระพุทธเจ้าได้กล่าวโศลกหนึ่ง เมื่อพระธิดาได้ฟังแล้วก็จะไม่กันแสง ว่าแล้วเขาก็เดินไปที่ข้างพระธิดาเมี่ยวส้าน เอามือลูบที่กลางกระหม่อม แล้วกล่าวเป็นโศลกว่า
    อย่ากันแสง อย่ากันแสง กันแสงทำให้สติลืมเลือน ปิดกั้นความฉลาด อย่าได้ลืมปณิธานแห่งมหาเมตตา จิตนางผู้เข้าสู่โลกต้องรู้ว่ามีมหาเคราะห์ถึงสามพัน ล้วนต้องการให้ท่านไปช่วย กุศลสามพันรอคอยท่านไปทำ อย่ากันแสง จงฟังเสียงอริยะ
    พูดแล้วก็แปลก พอผู้เฒ่าพูดเช่นนั้น พระธิดาเมี่ยวส้านทำ เหมือนเข้าใจอย่างนั้น เงี่ยกรรณฟัง เบิกเนตรดูผู้เฒ่านั้น ซึ่งก็ได้จัดการตามความคิดของเขา จึงหยุดกันแสงทันที ดวงเนตรน้อย ๆ ทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่ผู้เฒ่า ทำให้ราชาเมี่ยวจ้วนกับเหล่าขุนนางทั้งตำหนักตื่นตระหนกต่างมองหน้ากัน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแปลกประหลาด
    ในขณะนั้นผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า ตอนนี้พระธิดาเงียบแล้ว ตาเฒ่าก็ไม่อาจอยู่นานได้ ขอลาแล้ว พูดจบก็หันมาคำนับราชาเมี่ยวจ้วนหนึ่งครั้งประสานแขนขาด้วยกัน ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง ภายใต้ดวงตานับร้อยคู่ในตำหนักนั้น เห็นเขาเดินตัวเบาเหมือนเหาะ ท่าทางไม่เหมือนผู้เฒ่าเลย ขณะนั้นราชาเมี่ยวจ้วนรู้แล้วว่าเขาเป็นอริยบุคคลชั้นสูง ขาดการต้อนรับขับสู้น่าเสียดายยิ่ง เมื่อได้สติก็รีบรับสั่งให้มหาดเล็กรีบติดตามไปเชื้อเชิญท่านผู้เฒ่ากลับบมา เรียนให้เขาทราบว่าราชายังมีเรื่องอื่นที่จะปรึกษา ต้องเชิญเขากลับมาให้ได้ แต่ต้องใช้วาจาสุภาพอย่าได้ทำลายน้ำใจเขาเป็นอันขาด
    เมื่อมหาดเล็กติดตามมาถึงหน้าประตูราชวัง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้เฒ่า ทั้งหมดจึงได้ขึ้นม้าแยกย้ายกันออกตามหาแม้จะติดตามไปถึงถนนกี่สายก็ไม่มีร่องรอยของผู้เฒ่า เที่ยวถามประชาชน พวกเขาต่างอยู่ท่ามกลางความสนุกสนาน ยุ่งอยู่กับงานเลี้ยงที่รับประทานกันเพลิน ไม่มีใครสนใจว่ามีผู้เฒ่าหรือไม่ ในที่สุดก็สอบถามไม่ได้ความอะไร เหล่ามหาดเล็กหมดปัญญาที่จะคิดติดตาม จึงพากันกลับราชวังเพื่อถวายรายงานต่อพระราชา
    ราชาเมี่ยวจ้วนได้ตรัสกับเหล่าขุนนางว่า เห็นการเดินเหินของผู้เฒ่าก็กระจ่างชัด แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก็ให้มหาดเล็กติดตามไป ทำไมจึงหาไม่พบ หรือว่าผู้เฒ่ามีปีกบินอย่างนั้นหรือ เหล่าขุนนางต่างประหวั่นพรั่นพรึง เสนาบดีผู้ใหญ่จึงกราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าวันนี้เหล่าประชาราษฎร์กำลังเฉลิมฉลองกันอยู่ถนนทั่วทุกสายเนืองแน่นกว่าปกติ ท่านผู้เฒ่าก็เดินเหินราวกับบเหาะเมื่อเขาออกนอกประตูราชวังไปแล้วปะปนอยู่กับฝูงชน ก็ย่อมจะค้นหาไม่พบในทันที ถ้าหากให้เหล่ามหาดเล็กแบ่งสายกันค้นหาไปตามบ้านเรือนทุกหลัง ก็ต้องได้พบผู้เฒ่าแน่นอน พูดยังไม่ทันขาดเสียง เสนาบดีฝ่ายซ้าย คอนาโล ก็ชิงพูดขึ้นว่า ไม่ได้ ! ไม่ได้! วันนี้ประชาชนกำลังเฉลิมฉลองกันอย่างปีติยินดี ถ้าหากเที่ยวเปิดประตูค้นหาแต่ละเรือน ก็จะเป็นการขัดขวางความสุขของพวกเขาหรอกหรือ เป็นการจราจลต่อการฉลอง ตามความเห็นของข้าพระพุทธเจ้า ผู้เฒ่านั้นคงไม่ค่อยจะว่าง เพียงฟังการวิจารณ์ของเขาครั้งเดียวกับกิริยาการไปมา ก็พอจะรู้อย่างคร่าว ๆ ว่าเขาไม่ยอมอยู่รอ ถึงแม้จะค้นหาก็ไร้ประโยชน์ สู้ปล่อยเขาไปเถิด
    ข้าพระพุทธเจ้าเห็นผู้เฒ่าผู้นี้ ส่วนมากมักจะเป็นการอวตารของพระพุทธเจ้า ว่าเขามีข้อบ่งชี้อะไรหรือที่ว่าผู้เฒ่าเป็นพระพุทธะราชาเมี่ยวจ้วนทรงถาม ที่แท้เสนาบดีเฒ่าคอนาโลผู้นั้นมีความศรัทธาต่อพระพุทธธรรมอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็สามารถนำพระพุทธธรรมมาอธิบายได้ แต่ก็มีบางส่วนน่าเชื่อบ้างถ้าเป็นไปตามคำพูดของท่านเสนาบดี หากเป็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็นับว่าโชคดียิ่ง แต่ก็พลาดโอกาสอันดีเช่นนี้ไป ไม่ได้รับคำชี้แนะอะไรเลยสักนิด น่าเสียดายยิ่ง นี่คิดดูแล้วก็ต้องโทษว่าตนเองมีบุญบารมีน้อย ตอนนี้ก็ไม่ต้องพูดแล้ว
    เสนาบดีคอนาโลก็ถวายคำปลอบขวัญแก่ราชาเมี่ยว จ้วนสักครู่ จากนั้นทั้งราชาและขุนนางก็ดื่มต่ออีกครู่หนึ่ง จึงค่อยเลิกลากันไป พระพุทธเจ้าอวตารมานั้นได้แพร่สะพัดไปสู่ประชาราษฎร์ ทุกคนถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าตอกเล็กซอยใหญ่ก็ต้องเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเสริม อันที่จริงซิ่นหลินประเทศได้ถูกพระพุทธศาสนาครอบงำมานานแล้ว ชนส่วนใหญ่ต่างศรัทธาในพระพุทธเจ้า มีส่วนน้อยที่ไม่ค่อยจะศรัทธานัก แต่ในสมองของพวกเขาก็มีภาพลักษณ์ของพระพุทธเจ้าคั่งค้างอยู่
    ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ทีไรต่างก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แถมยังเพิ่มการคาดเดาและเพิ่มภาคผนวกไว้มากมาย ทำให้ทั่วทั้งธานีโจษจันกันทั่วราวกับฝนตก รู้กันไปทั้งประเทศ เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้านั่งเมืองซิ่นหลินประเทศ นั่นคือ
    มวลชนศรัทธาว้าวุ้น พุทธเจ้ายังคงเฉยเมย
     
  14. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    <CENTER>ตอนที่ 3....คิดยกราชบัลลังก์ เห็นมดต่อสู้กันเกิดจิตเมตตา
    </CENTER>[​IMG] นับตั้งแต่คำพูดของเสนาบดีคอนาโลเป็นต้นมา ผู้เฒ่าที่ค้นหาไม่พบ ทุกคนต่างก็ยอมรับว่าเป็นพุทธอวตารมา ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไป ทำให้ประชาราษฎร์ชาวเมืองซิ่นหลิน ไม่มีใครสักคนที่ไม่เชื่อถือ มิเพียงเท่านั้นยังได้เพิ่มเติมปรับปรุงแต่งอื่น ๆ ลงไปอีก ทำให้จิตใจของคนที่เดินผ่านเมืองซิ่นหลินต่างหันเหมาสู่พุทธศาสนา สิ่งนี้เองที่ทำให้พุทธศาสนาในดินแดนตะวันตกได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น โดยที่จริงแล้วนับตั้งแต่พระศากยมุนีพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาเป็นต้นมา ก็ตั้งพระทัยจะช่วยสรรพสัตว์ ทุกคนต่างก็มองว่าแผ่นดินทางทิศตะวันตกคือพุทธประเทศ ซิ่นหลินประเทศค่อนข้างจะใกล้กับชมภูทวีป จึงได้รับอิทธิพลทางศาสนามาบ้างแล้ว ยิ่งได้มีเรื่องราวครึกโครมเช่นนี้อีกรอบหนึ่ง ยิ่งเกิดผลประโยชน์เป็นที่ยอมรับกันมากขึ้น
    กล่าวถึงพระธิดาเมี่ยวส้าน ได้รับการเลี้ยงอบรมจากพระนาง เป่าเต๋อ ก็ค่อยเจริญวัยขึ้น ชั่วเวลาไม่นานนัก พระธิดาก็มีพระชันษา 4 ปี มีความฉลาดน่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้เลิศล้ำกว่าพระพี่นางทั้งสองไปอีกช่วงหนึ่ง พระนิสัยก็แตกต่างไปกับผู้อื่น หากเป็นเด็กสามัญทั่วไปก็จะพอใจกับเสื้อผ้าที่มีสีสันต่าง ๆ อยากรับประทานแต่ของรสอร่อย แต่กับพระธิดาน้อยองค์นี้กลับไม่สนพระทัยเสื่อผ้าแพรพรรณชั้นดี หรืออาหารประเภทเนื้อสัตว์และของทะเล กลับพอพระทัยแต่ผ้าเนื้อหยาบ และที่น่าแปลกยิ่งก็คือทรงเสวยแต่อาหารเจ ไม่เสวยอาหารสัตว์ มิใช่เพราะพระองค์ไม่ยอมเสวย แต่เพราะเสวยไม่ได้ ของคาวเหล่านั้นพอเข้าโอษฐ์ก็จะอาเจียนออกมาทันที ไม่สามารถที่จะผ่านศอลงไปได้เลย
    ทั้งพระนางเป่าเต๋อและราชาเมี่ยวจ้วนได้ประสบกับสภาพเช่นนี้ แม้จะรู้สึกแปลกประหลาดแต่ก็ไม่อาจทำประการใดได้ และก็ไม่ยอมที่จะเห็นพระธิดาอาเจียนเช่นนั้นอีก เพราะเป็นการทำลายสุขภาพจึงได้แต่ตระเตรียมอาหารเจที่สะอาดให้พระธิดาเสวยจึงค่อยพอพระ ทัย เมื่อพระชันษาได้ 6 ปีก็เข้าเรียนหนังสือ เพราะมีพระปัญญาเฉียบแหลมเพียงสอนครั้งเดียวก็เข้าใจ เมื่อได้ผ่านสายพระเนตรแล้วก็ไม่ลืม ทรงฉลาดล้ำหน้าพระพี่นางทั้งสองมากมายนัก ดังนั้น ราชาเมี่ยวจ้วนและพระนางเป่าเต๋อจึงรักใคร่เอ็นดูยิ่ง ทะนุถนอมดุจดั่งไข่ในหิน เป็นที่ปลอบพระราชหฤทัยราชาได้ดี แม้จะเป็นพระธิดาแต่ก็ไม่ต่างไปจากโอรสเลย ราชาเมี่ยวจ้วนได้ดำรัสกับพระนางเป่าเต๋อเสมอ ๆ ว่า รอให้พระธิดาเมี่ยวส้านเจริญ พระชันษาเป็นผู้ใหญ่แล้วค่อยสรรหาผู้ที่มีความสามารถทั้งบุ๊นและฝ่ายบู๊มาเป็นพระสวามี ให้มีลักษณะที่คู่ควรกับลูกหญิง
    เมื่อถึงตอนนั้นแม้จะไม่มีพระโอรส บัลลังก์แห่งซิ่นหลินประเทศก็ยอมยกให้เขา ก็ยังนับว่าไม่ขาดสายโลหิตแห่งเชื้อพระวงศ์เพอเจีย พระนางเป่าเต๋อ ก็ทรงเห็นพระทัยด้วยกับพระราชดำริเช่นนี้ จึงทรงสนับสนุนด้วยดี ทั้งสองกษัตริย์ใจคอค่อยสงบลง ความต้องการพระโอรสก็ค่อย ๆ จางคลายไป ในพระทัยก็คอยมองหาคนที่มีความสามารถ ความเรื่องนี้ทำไมจึงทราบไปถึงกรรณของพระธิดาเมี่ยวอิน เมี่ยวหยวนได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ทั้งสองพระองค์ต่างถอนหายใจว่า ทำไมเราจึงมีบุญวาสนาน้อย อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พระธิดาเมี่ยวอินเมี่ยวหยวนกำลังชมดอกท้อในอุทยาน ทั้งสองเดินมาถึงข้างคูหาเทวดาโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็พลันแลเห็นพระธิดาเมี่ยวส้านประทับยอง ๆ อยู่ที่พื้น โดยมีนางกำนัลยืนอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ เมื่อพระธิดาเมี่ยวอินเมี่ยวหยวนเห็นพระธิดาเมี่ยวส้านอยู่ในสภาพเช่นนั้น ทำให้รู้สึกประหลาดใจ จึงค่อย ๆ ย่างก้าวเข้าไปดู อ้อ ! ที่แท้ก็มดกัดกัน
    ในขณะนั้นพระธิดาเมี่ยวส้านก็เหลือบเห็นเสด็จพี่ทั้งสอง จึงทรงร้องเรียก "ท่านพี่ทั้งสอง รีบมาช่วยหม่อมฉันกวาดเอามดที่กัดกันตายเหล่านี้ไปขุดหลุมฝังด้วย " พระธิดาเมี่ยวอินเมี่ยวหยวนต่างส่องพระพักตร์กัน แล้วก็ทรงพระสรวลแล้วว่า " น้องขา น้องกวาดเองก็แล้วกัน พวกเรากลัวว่ามือจะสกปรก และก็ทนช่วยเหลือไม่ไหวกับสิ่งที่เธอเล่นอยู่กับดินโคลน " กล่าวจบก็จุงมือกันแล้วผละจากไป พระธิดาเมี่ยวหยวนทรงถามพระธิดาเมี่ยวอินว่า " เสด็จพี่ท่านก็เห็นว่าน้องสามโปรดปรานที่จะขุดดินโคลน และยุ่งกับสัตว์ต่าง ๆ แต่ทำไมเสด็จพ่อเสด็จแม่กลับเห็นเธอดั่งสมบัติล้ำค่า ทั้งยังดำรัสว่าจะหาพระสวามีที่มีความสามารถทั้งบุ๊นทั้งบู๊ เลยทำให้เสด็จแม่ไม่ยอมมีพระประสูติกาลอีก พระสวามียังมีโอกาสได้สืบราชบัลลังก์ น้องเธอก็จะได้เป็นราชินีด้วยเนี่ยะ ในโลกนี้เคยได้ยินได้ฟังว่าพระธิดาขุดดินโคลนบ้างไหม เธอว่า น่าหัวเราะหรือไม่ "
    พระธิดาเมี่ยวอินดำรัสว่า " กิริยาของน้องสาม ข้าว่าดูจะต่ำต้อยไปสักหน่อย หากแต่เสด็จพ่อเสด็จแม่เอนเอียงพระทัยรักใคร่เธอ นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ จะโกรธก็คือเธอกับข้านั้นวาสนาน้อย ที่ไม่มีโอกาสดีขนาดนั้น ทั้งนี้เพราะชะตาได้ลิขิตเอาไว้แล้ว " พระธิดาทั้งสองโทษฟ้าดินลำเอียง ขอหยุดไม่กล่าวต่อ กล่าวฝ่ายพระธิดาเมี่ยวส้าน พระองค์ทรงทำอะไรอยู่ที่นั่นนะ ถ้าหากไม่เล่าให้กระจ่างแจ้งก็คงไม่ได้ ที่แท้วันนั้นพระธิดาเมี่ยวส้านกระวนกระวายประทับไม่อยู่กับที่ในตำหนักจึงให้นางกำนัลหนึ่งติดตามไปเที่ยวในอุทยาน โดยไม่ตั้งใจก็เสด็จพระราชดำเนินมาถึงข้าง ๆ คูหาเทวดา ฉับพลันก็แลเห็นที่พื้นดินมีมดเหลืองอยู่ฝูงหนึ่ง มดดำอีกฝูงหนึ่ง กำลังต่อสู้กันเป็นกลุ่ม
    ในขณะที่ยากต่อการแก้ไขนั้นมดทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัดกันตายเป็นจำนวนมาก พระธิดาเมี่ยวส้านทอดพระเนตรแล้วไม่อาจทนได้ ได้แต่ครุ่นคิดว่า เจ้ามดตัวน้อยเหล่านี้ วงจรชีวิตก็สั้นอยู่แล้ว น่าจะผ่านชีวิตอย่างสงบสุข แล้วทำไมจึงต้องมีเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันมาต่อสู้ทำร้ายกัน ลำพังแต่การรักษาตัวให้รอดก็ไม่ง่ายแล้ว แล้วทำไมยังจะต่อสู้กันทำให้ตัดรอนชีวิตสั้นลงอีก ดูซิ ซากศพที่บาดเจ็บล้มตายอะไรมากอย่างนั้น น่าเวทนายิ่งนัก ! สู้ให้ข้าช่วยแก้ไขแยกพวกเขาให้ออกจากกันจะดีกว่า ว่าแล้วก็ทรุดพระวรกายลงประทับยอง ๆ อยากจะเอาพระหัตถ์เข้าไปปัด มันก็กัดกันแน่น จึงไม่กล้าลงมือ จะทำอย่างไรดีนะ
    ขณะนี้ทั้งมดเหลืองและดำกำลังอยู่ในสภาวะสงคราม ต่อสู้กันเป็นกลุ่ม ๆ มดตัวก็เล็ก ๆ จะแยกพวกเขาได้อย่างไรกัน ถ้าจะจับแต่ละคู่มาแยกไม่รู้จะต้องใช้เวลานานถึงเมื่อไรจึงจะจบสิ้น วิสัยพวกมดนี่ ถ้าไม่กัดกันก็แล้วไป แต่ถ้าลองได้กัดกันแล้ว จะกัดกันจนตายจึงจะยอมหยุด ถ้าศัตรูถูกกัดอยู่ ก็จะกัดจนตนเองหมดแรง มิฉะนั้นจะไม่ยอมผ่อนปรน ดังนั้น แต่ละครั้งภายหลังการต่อสู้กัน จะเห็นว่าตัวที่กัดต่อสู้ก็จะตายตามกันไปด้วย หากมีใครไปจับมันแยกได้จริง ๆ มดทั้งคู่ย่อมได้รับการบาดเจ็บแน่นอน หากสมมติว่าไม่บาดเจ็บ เมื่อปล่อยลงพื้นพวกมันก็วิ่งเข้าหาศัตรูและกัดกันจนตายอีก
    ถ้าเช่นนั้นคู่หนึ่งยังแยกกันไม่เสร็จ อีกคู่หนึ่งก็กัดกันอีก เวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ ไม่มีวันที่จะแยกพวกมันได้สำเร็จ พระธิดาเมี่ยวส้านทรงคิดมาถึงตอนนี้ พระธิดาจะหยุดก็ไม่ได้ พระธิดาเป็นเด็กที่ฉลาดปราดเปรื่อง พระองค์ทรงคิดอย่างรอบคอบ ก็ทรงคิดได้วิธีหนึ่งพระองค์ทรงคิดว่า พวกมดต่อสู้กันคงจะเพื่ออาหาร ถ้าหากทั้งสองฝ่ายมีอาหารเพียงพอพวกมันต่างก็ไปขนอาหารกลับรังแน่นอน การต่อสู้ก็สามารถคลี่คลายได้ เมื่อทรงคิดได้ดังนั้นแล้วพระองค์จึงมีรับสั่งให้นางกำนัลไปเอาขนมหวานมา ขณะเดียวกันก็ค้นหารังของมันด้วย เอาขนมหวานมาขยี้ให้กระจายอยู่แถว ๆ ปากรังโดยรอบ จริงดังคาด เมื่อมดที่ออกมาจากรังได้พบกับอาหารเช้า ก็ไม่ไปที่แนวรบอีก ต่างก็รีบขนอาหารเข้ารัง มดทางแนวรบก็ค่อย ๆ ผละออกจากกัน พระองค์ทรงเอาไม้กวาดเล็ก ๆ ค่อย ๆ กวาดลงที่มดต่อสู้กันอยู่ ทำให้แนวรบสลายกันออกไป ต่างก็วิ่งกันเพ่นพ่าน
    ขณะนั้นมดที่อยู่แนวหลังก็ถ่ายทอดคำสั่งมายังแนวหน้า พวกมันก็เชื่อฟังกันดี ต่างก็รีบกลับไปขนอาหาร การต่อสู้ครั้งร้ายแรงจึงยุติลง แต่ในแนวรบมีมดตายกันหลายร้อยตัว พระธิดาเมี่ยวส้านทอดพระเนตรเห็นสภาพแขนขาหักแล้วรู้สึกสังเวชใจยิ่ง ทรงคิดในใจว่าแม้มดจะเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ก็เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกัน แต่ทำไมแค่ต่อสู้กันครั้งหนึ่ง ก็ทำให้สูญเสียวิญญาณมากมายอะไรเช่นนั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ก่อกรรมเวรอะไรในชาติที่แล้ว จึงต้องมาตายลงในสภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้ ในขณะนี้ถ้ายังอยู่ที่แนวรบคงไม่เหมาะเสียแล้ว ถ้าหากอาหารถูกมดพวกอื่นขาเอาไปก็จะกลายเป็นแย่บวกแย่
    ดังนั้นมันจึงเลิกลากันไปหมด พระองค์หยุดคิด แล้วก็ลงมือขุดหลุมเล็ก ๆ แล้วกวาดรวบรวมพวกซากศพมดไปฝัง ก็บังเอิญพระธิดาเมี่ยวอินเมี่ยวหยวนเสด็จมาพอดี จึงทรงเรียกพวกเขามาช่วยเหลือไม่คิดว่าพวกเขาจะไม่สนพระทัยแล้วจากไป พระองค์ก็ไม่ร้องเรียกอีกได้แต่นำซากมดเทลงไปในหลุมแล้วทำการกลบให้เรียบร้อย เป็นอันเสร็จพิธีงานกุศล เสร็จแล้วก็กลับตำหนักพร้อมนางกำนัล จึงค่อยรู้สึกพอพระทัย
    กล่าวฝ่ายพระธิดาเมี่ยวอินเมี่ยวหยวน เป็นเพราะเสด็จพ่อเสด็จแม่ลำเอียงรักเมี่ยวส้าน ทั้งยังได้ยินว่าจะหาพระสวามีที่เก่งให้และให้สืบราชบัลลังก์อีกด้วย ในหัวอกหญิงแล้วมักจะคับแคบ จึงไม่ยินดีกลับทำให้เกิดอิจฉา ดังนั้นเมื่อเห็นการกระทำของเมี่ยวส้านจึงรู้สึกดูแคลน เมื่อเห็นว่าลงไปขุดดินฝังมด จึงได้หัวเราะเยาะเย้ย แล้วรีบกลับตำหนักก่อน นำความไปกราบทุลพระนางเป่าเต๋อพระธิดาทั้งสองหวังว่าเสด็จแม่จะได้ลดการรักใคร่ลงสักหน่อย เพื่อจะได้หันมาสนใจตัวเอง
    แต่ทว่าเมื่อพระนางเป่าเต๋อได้ยินเรื่องจากพระธิดาทั้งสอง แล้วก็ทรงแย้มสรวลแล้วยังดำรัสว่าการกระทำของพระธิดาเมี่ยวส้านครั้งนี้ช่างเข้าใจถึงพระเจ้าที่เมตตาให้กำเนิดชีวิตเสียจริง พระธิดาเมี่ยวอินเมี่ยวหยวนไม่คิดว่าพระนางเป่าเต๋อจะดำรัสแบบนี้ออกมา ในพระทัยจึงเจ็บแค้นนัก แม้กระทั่งน้ำพระเนตรหลั่งออกมา ในขณะนั้นพระธิดาเมี่ยวส้านได้เสร็จสิ้นงานกุศลเรียบร้อยแล้ว ก็กลับตำหนักพร้อมนางกำนัล เข้าเฝ้าพระมารดา แลเห็นเสด็จพี่ทั้งสองอยู่ในสภาวะที่โกรธ คงเพราะถูกเสด็จแม่ทรงสั่งสอน ก็ไม่กล้าจะถามอะไร พระนางเป่าเต๋อเห็นพระธิดาสามก็ดำรัสถามว่าไปเที่ยวเล่นที่ไหนมา พระธิดาเมี่ยวส้านจึงทรงเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด พระนางเป่าเต๋อจึงทรงสรวลว่า เจ้าก็ใจดีเหลือล้นเกินไปแล้ว มีกะใจไปทำเรื่องพรรค์นี้ด้วยไม่กลัวว่ามือเปรอะเปื้อน ถ้าถูกมดที่มีพิษกัดเข้าเกิดแผลพุพองขึ้นก็สมใจเจ้าหรอก วันหลังอย่าได้เล่นแบบนี้อีก พระธิดาเมี่ยวส้านได้ฟังโอวาทพระมารดาแล้วก็ตอบรับ อีกทางหนึ่งก็ได้อธิบายหลักธรรมออกมา นั่นคือ
    เห็นเธอมีปัญญาเลิศ คำน้อยแต่โปร่งในเซน
     
  15. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    <CENTER>ตอนที่ 4....ช่วยเหลือจักจั่นจนบาดเจ็บ ใครรักษาแผนเป็นหายมีรางวัล
    </CENTER>[​IMG] เมื่อพระธิดาเมี่ยวส้านได้ฟังโอวาทพระมารดาแล้ว รอคอยจนกว่าพระมารดาจะหยุดดำรัสแล้วจึงกราบทูลว่า พระมารดาไม่ทรงทราบอะไร มดแม้จะเป็นแมลงเล็ก ๆ แต่ก็เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกัน ลูกหญิงทอดพระเนตรเห็นพวกเขาต่อสู้กัน บาดเจ็บล้มตายกันมาก ๆ น่าสมเพชเวทนายิ่งนัก ไม่อาจทนพระทัยอยู่ได้ ดังนั้นจึงหาวิธีแก้ไขพวกเขา จะได้ไม่ต้องฆ่ากันตายอีก พวกมดเหล่านั้นดูเหมือนมีจิตวิญญาณ ไม่มีแม้แต่ตัวเดียวที่กัดหม่อมฉัน ขณะที่กราบทูลมาถึงตอนนี้ ก็ให้บังเอิญราชาเมี่ยวจ้วนเสด็จเข้ามาในตำหนัก จึงทรงถามว่า พวกเรากำลังสนทนาอะไรกัน มเหสีเป่าเต๋อจึงไม่อาจที่จะไม่ทรงเล่าเรื่องอีกครั้งหนึ่ง ราชาเมี่ยวจ้วนทรงฟังแล้วก็สรวลว่า เด็กคนนี้ฉลาดปราดเปรื่องนัก อะไรก็ดีไปหมด เกิดมาก็มีนิสัยแปลกพิลึก ไม่เหมือนนิสัยของเด็กทั่วไป กิริยายังกับพระนางพุทธะ ทำให้ตนไม่ค่อยสบายใจ ยังต้องพึ่งมเหสีให้เอาพระทัยอีกหน่อย คอยสั่งสอนแนะนำ จนได้แก้ไขนิสัยเหล่านั้นบ้าง จะได้ทำให้คนเขารักใคร่หน่อย พระนางเป่าเต๋อก็ทรงรับคำ
    พระดำรัสของราชาเมี่ยวจ้วนทั้งหมดนี้พระธิดาเมี่ยวส้านได้ฟังก็ไม่สนพระทัย แต่พระธิดาเมี่ยวอินเมี่ยวหยวนทรงฟังแล้วรู้สึกพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ความเจ็บแค้นเมื่อครู่นี้ค่อยคลายลงบ้าง พระพักตร์เริ่มผ่องใส แล้วค่อย ๆ เผยพระพักตร์ที่แย้มสรวลออกมา ทั้งสองต่างก็รู้ดีว่าพระธิดาเมี่ยวส้านมีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ เมื่อเสด็จพ่อมีพระดำรัสเช่นนี้ก็ปล่อยให้น้องเธอสำแดงไป สักวันหนึ่งคงหมดความปีติยินดี โบราณกล่าวไว้แล้ว สันดอนขุดง่ายสันดานขุดยาก นับตั้งแต่เล็กจนโตไม่มีทางแก้ไขได้ พระธิดาเมี่ยวส้านเมื่อประสูติมาแล้วก็มีพุทธจิตเมตตาอยู่แล้ว แม้จะมีพลังจากภายนอกมากน้อยประการใด จะคิดแก้ไขแม้เพียงเล็กน้อยก็ยากนัก พระนางเป่าเต๋อแม้จะใช้วาจาอ่อนโยนชักจูงตักเตือนพระธิดา พระธิดาก็ยังคงดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ ไม่สะทกสะท้านแต่ประการใด วันหนึ่งฤดูร้อน ตะวันใกล้จะพลบค่ำ ภายในตำหนักอบอ้าว พระธิดาจึงเสด็จออกไปเดินเล่น
    เมื่อดำเนินมาถึงใต้ร่มหลิว มีลมเย็นพัดมาทำให้รู้สึกเย็นสบาย จึงประทับลงบนก้อนหินเพื่อรับลมเย็น ลมก็ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน บรรยากาศชวนฝันอย่างผิดปกติ ขณะนั้นมีจักจั่นตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ดีดปีกทำเสียงกรี๊ด ๆ ไม่หยุดเหมือนดนตรีธรรมชาติขับกล่อมให้สบายอารมณ์ พระธิดาเมี่ยวส้านประทับองค์เดียวท่ามกลางสภาวะอันเงียบสงบ ก็ได้แต่ครุ่นคิดและรำพึงว่ามนุษย์ในโลกนี้หนอเหน็ดเหนื่อยตรากตรำเพื่อแก่งแย่งลาภยศชื่อเสียง ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานา ได้รับความทุกข์ยากและเภทภัยจนกระทั่งตัวตายก็ยังไม่เข้าใจ น่าสมเพชเวทนายิ่ง คิดค้นหาวิธีทำอย่างไรที่จะทำให้มนุษย์โลกนี้เข้าใจถ่องแท้ จะได้หมดกิเลสและเคราะห์กรรม
    ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงครุ่นคิดหาหนทาง ยิ่งคิดก็ยิ่งลึก รวมจิตประทับนิ่งเงียบเหมือนกำลังทำสมาธิ ขณะที่จิตกำลังอยู่ในภวังค์ เสียงขับกล่อมที่เพลิดเพลินของจักจั่นฉับพลับกลายเป็นเสียงร้อนรน เหมือนกับกำลังเผชิญกับศัตรู ทำให้พระธิดาเมี่ยวส้านตกพระทัยจนต้องระงับการครุ่นคิด ทอดพระเนตรไปตามหาที่มาของเสียง ก็ทอดพระเนตรเห็นจักจั่นตัวดำที่อยู่บนกิ่งไม้กำลังร้องเสียมขรม ข้าง ๆ มีตั๊กแตนตำข้าวตัวหนึ่ง กำลังเอาขาข้างหน้าทั้งสองจับจักจั่นอยู่ในง่ามขาชูคอที่เล็กยาวขึ้นมา กำลังจะกัดกินเจ้าจักจั่นอยู่ พระธิดาเมี่ยวส้านเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นคิดในใจว่าเจ้าจักจั่นตัวนั้นกำลังขอความช่วยเหลือจากฉันอยู่
    ถ้าหากฉันยังนิ่งดูดาย ชีวิตของมันก็จบลงภายใต้ฟันของตั๊กแตนดีที่กิ่งหลิวนั้นไม่สูงนัก ถ้ายืนบนก้อนหินก็คงเอื้อมไปถึง พระธิดาจึงรีบกระโดดขึ้นไปบนกองหิน แล้วยืนบนหินขณะกำลังจะยื่นพระหัตถ์ไปจับตั๊กแตน เจ้าตั๊กแตนพอเห็นคนมา จึงรีบปล่อยจักจั่น แล้วยกง่ามขาขึ้น ส่วนเจ้าจักจั่นได้โอกาสร้องกรี๊ดขึ้นแล้วก็กระพือปีกบินหนีไป พระธิดานิ่งดูอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่พระหัตถ์ขวาจะเอื้อมไปจับตั๊กแตนนั้น พอเห็นจักจั่นบินหนีไปแล้วก็ไม่คิดจะไปจับตั๊กแตนอีก ขณะที่จะหดพระหัตถ์กลับมา ทันใดนั้น แค่ชั่วพริบตาเดียว ง่ามขาที่แหลมคมของตั๊กแตนก็จิกลงบนหลังพระหัตถ์ของพระธิดาโดยไม่ปรานีปราศรัย เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมา บาดแผลที่ได้รับครั้งนี้ เจ็บปวดแวบเข้าไปถึงพระทัยทำให้พระธิดาตกพระทัยกลัวจนพระเนตรพร่ามัว พระชานุทั้งสองอ่อนแรงจนยืนไม่อยู่ จึงตกลงมาจากก้อนหิน มุมขวาของพระนลาฎก็ไปกระแทกเข้ากับก้อนหิน ทำให้เกิดบาดแผลขึ้น พระบาทซ้ายก็ไปเกี่ยวเอากับรากไม้เข้าทำให้ข้อเท้าหลุด โลหิตที่พระเศียรไหลพราก
    พระธิดาเมี่ยวส้านทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว จึงสลบไสลไปในที่สุด เมื่อพระวรกายตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดพระองค์ก็บรรทมอยู่บนที่บรรทมในตำหนักเสียแล้ว ราชาเมี่ยวจ้วนและมเหสีเป่าเต๋อทรงเฝ้าอยู่ข้าง ๆ ทุก ๆ คนชุลมุนวุ่นวาย เมื่อเห็นพระธิดาฟื้นขึ้นมาก็ดำรัสว่า ดีแล้ว ๆ ตอนนี้ฟื้นขึ้นมาแล้วพระธิดาทรงหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น รู้สึกเจ็บปวดมาก บาดแผลบนศรีษะได้ทำแผลเรียบร้อยแล้ว ข้อพระบาทยังไม่ได้ขยับเข้าที่ ความเจ็บปวดจากบาดแผลทั้งสองแห่งยากที่จะทนอยู่ได้ จึงร้องครางหงิง ๆ ออกมา ขณะที่พระธิดาสลบไสลอยู่ใต้ต้นหลิวนั้น พระนางเป่าเต๋อประทับอยู่ในตำหนัก ไม่เห็นวี่แววพระธิดาเมี่ยวส้านนานโขอยู่ พระทัยรู้สึกร้อนกระวนกระวาย จึงให้เหล่ากำนัลออกไปตามหาก็พบพระธิดาสลบอยู่ใต้ต้นหลิว มีโลหิตอาบพระเศียรอยู่ จึงพุ่งทะยานเข้ามาในตำหนัก แล้วกราบทูลมเหสีเป่าเต๋อ เหล่านางกำนัลจึงรีบออกไปช่วยกันหามพระธิดาเข้ามาในตำหนักเพื่อเยียวยาทำบาดแผล แล้วก็รอคอยจนกว่าพระธิดาฟื้นคืนสติกลับมา
    ราชาเมี่ยวจ้วนทรงถามพระธิดาน้อยว่า ลูกรัก! เจ้าทำไมจึงหกล้มขนาดนี้ ตอนนี้รู้สึกว่าเจ็บตรงไหนบ้าง รีบ ๆ บอกให้เสด็จพ่อรู้ พระธิดาเมี่ยวส้านทรงรู้ถึงความเข้มงวดของราชาเมี่ยวจ้วนดี เมื่อทรงเล่าให้รู้แล้ว ก็ต้องทรงพระพิโรธและแค้นเคืองเป็นแน่แท้ แต่เพราะพระธิดามีพระนิสัยสัตย์ซื่อจึงไม่ยอมที่จะเท็ดทูลแม้แต่นิด จึงสู้ทนที่จะเล่าถึงความเป็นมาที่ทรงช่วยเหลือเจ้าจักจั่นจนได้บาดเจ็บให้ฟังอย่างละเอียดลออ เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนทรงฟังแล้วได้แต่ส่ายพระเศียรไปมาแล้วดำรัสว่า ลูกรัก มิใช่เสด็จพ่อพูดกับเจ้าเสมอ ๆ ว่า อย่าได้ธุระกับเรื่องไร้สาระ เจ้าก็ไม่ยอมเชื่อฟัง วันนี้ก็พลัดตกลงมาจนได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ เป็นเพราะต้องการช่วยเหลือจักจั่นตัวหนึ่ง มิใช่รนหาทุกข์มาใส่ตัวหรอกหรือ โบราณพูดไว้ว่า "ลำบากเสียหน่อยจึงจะรู้ดี" วันนี้ลูกก็ได้รับทุกข์อย่างแสนาหัสแล้ว ต้องจดจำไว้ให้ดี ๆ อย่าได้ทำอะไรตามอำเภอใจ
    เมื่อพระธิดาได้ฟังพระดำรัสแล้ว ก็ทรงขานรับคำสองคำแล้วก็ครวญครางต่อไป ขณะนั้นมเหสีเป่าเต๋อเห็นความเจ็บปวดของพระธิดาน้อยอย่างนั้น พระทัยพลอยเจ็บช้ำยิ่งนัก ก็ทรงดำรัสถามลูกว่า ลูกรัก ! ตอนนี้ลูกรู้สึกอย่างไรบ้าง พระธิดาอดกลั้นต่อความเจ็บปวดแล้วทรงตอบว่า เสด็จแม่ ! ทั่วทั้งตัวก็เจ็บปวดไปหมด ที่ศรีษะและขาข้างซ้ายปวดมากที่สุด ขาข้างซ้ายดูเหมือนข้อเท้าจะแพลงเพคะ เสด็จแม่จึงเอาพระหัตถ์ไปคลำดูที่ข้อเท้าข้างซ้ายรู้สึกว่ากระดูกจะเคลื่อน พระนางถึงกับกระโดดขึ้นมาแล้วดำรัสอย่างร้อนพระทัยว่า ทำไงดี ๆ ราชาเมี่ยวจ้วนจึงมีพระราชโองการให้นำแพทย์หลวงรีบเข้าวัง เพื่อช่วยรักษาให้พระธิดาทั้งยังรินพระโอสถให้พระธิดาเสวยด้วย
    เหตุการณ์วุ่นวายกันสักพักใหญ่ ๆ ความเจ็บปวดจึงค่อย ๆ ทุเลาลง ในที่สุดก็บรรทมหลับไป ทุกคนต่างโล่งอก การบรรทมครั้งนี้ของพระธิดานานยาวนับเดือน โดยไม่สามารถลุกออกจากพระที่ได้ ราวกับว่าได้เกิดการเจ็บหนัก สำหรับบุคคลข้างเคียงจะรู้สึกเคียดแค้น และจะโทษเจ้าจักจั่นกับตั๊กแตนที่ทำให้พระธิดาต้องได้รับบาดเจ็บมากมายเช่นนี้ แต่พระธิดากลับไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ไม่มีความรู้สึกเสียใจอะไรแม้แต่น้อย กลับตรงข้าม เมื่อพระวรกายได้รับความเจ็บปวดบ้าง ในพระทัยกลับรู้สึกปลอบประโลมเป็นอย่างมาก การจับเจ่าอยู่กับที่บรรทม กลับไม่รู้สึกว่า เจ็บปวดอะไรมากนัก
    หนึ่งเดือนต่อมา จึงค่อย ๆ ลุกขึ้นได้ การย่างก้าวคงเหมือนเดิม ข้อเท้าที่บาดเจ็บก็หายดีแล้ว รอยแผลที่หลังพระหัตถ์ก็หายหมดแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ศรีษะที่แผลยังหายไม่สนิท ทุกคนก็ไม่ต้องเที่ยวหายาดีมาช่วยทาแล้ว เวลาผ่านไปอีกหลายวันทุกอย่างก็หายเป็นปกติ บริเวณที่มุมหน้าผากที่เกิดรอยแผลขนาดเท่าเม็ดลำไยก็เหมือนกับหยกสวยที่มีรอยตำหนิ ช่างไม่สวยเอาเสียเลย ทำให้พระนางเป่าเต๋อรู้สึกไม่สบายพระทัยต่อรอยแผลนี้ จึงกราบทูลกับราชาเมี่ยวจ้วนว่า ใบหน้าหมดจดงดงามของพระธิดามีรอยแผลเช่นนี้ ทำให้หมดความสวยงามไป หม่อมฉันว่าในประเทศคงไม่ขาดแคลนหมอมือดีหรอกนะ
    พระองค์ก็เป็นถึงจอมกษัตริย์ หากมีพระราชโองการให้แสวงหาผู้ที่มีฝีมือดีมารักษารอยแผลของพระธิดา คงไม่เป็นเรื่องยากหรอกกระมังคะ ทำไมฝ่าบาทจึงไม่ลอง ๆ ดูหรือเพคะ ราชาเมี่ยวจ้วนฟังแล้วก็พยักหน้ารับ พองันรุ่งขึ้น ก็มีพระราชโองการให้ประกาศหาผู้ที่สามารถรักษาพระธิดาสามให้หาย จะมีรางวัลสองพันชั่ง แล้วแต่งตั้งเป็นแพทย์หลวงอีกตำแหน่งหนึ่ง เมื่อประกาศสำนักพระราชวังออกมา ผู้ที่มีฝีมือต่างก็หวังเงินรางวัล จึงแย่งกันเข้ามารักษา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันรักษา หมดยาไปกว่า 10 ขนาน ก็ยังไร้ประสิทธิผล ในพระทัยราชาเมี่ยวจ้วนไม่สู้พอพระทัยนัก ประเทศออกใหญ่อย่างนี้ ล่วนมีแต่หมอสามัญ จะหาหมอที่มีความสามารถสักคนก็ไม่มี แผลเป็นของพระธิดาก็ไม่มีทางรักษาหายได้เหมือนหยกงามมีตำหนิ น่าเสียดายยิ่ง ขณะที่ทรงกังวลอยู่ก็ให้บังเอิญมีหมอแปลกประหลาดคนหนึ่งนั่นคือ
    อย่ากังวลที่มีตำหนิ รอคอยผู้มีบุญสัมพันธ์
     
  16. nunyy

    nunyy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2008
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +18
    ขอบคุณมากที่ให้ความรู้ค่ะ เราก็นับถือพระแม่เหมือนกัน พยายามที่จะหันมาทานเจหรือมังสวิรัติ แต่ว่าก็ทำไปได้สักพักแล้วก็หยุด ใจจริงแล้วอยากจะทานตลอดชีวิต แต่ก็ทำไม่สำเร็จสักที

    มีวิธีไหนที่จะช่วยให้เรามีจิตใจมั่นคงในเรื่องนี้บ้างคะ แล้วมีคนบอกว่า หากทานแล้วใจเราทุกข์ก็อย่าทำเลย อันนี้เราคิดว่ามันทุกข์เพราะตัณหาความอยากของเราเองรึเปล่าคะ ช่วยไขข้อข้องใจให้ทีนะคะ
     
  17. Nongmaika

    Nongmaika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +394
    ขออนุโมทนากับคุณปมณฑ์ และทุกท่านที่ศรัทธาพระแม่ ดิฉันเป็นคนหนึ่งนับถือพระแม่อย่างมาก เลิกทานเนื้อเกือบ20ปีแล้ว สมัยก่อนจะกินมังสวิรัสทุกวันพระ แต่เดี๋ยวนี้ด้วยภาระทางโลก( มีครอบครัวแล้ว) ก็กินช่วงเทศกาลกินเจ ...เคยฝันถึงพระแม่ "ในฝันคือตัวเองกำลังเดินขึ้นเขาที่ไหนสักแห่ง พอเดินไปสักระยะ ได้เห็นพระแม่ปางนั่งสมาธิองค์ใหญ่มาก และก็ได้ยินเสียงเพลงสวด.. ในฝันรู้สึกปิติอย่างยิ่ง"....โอม มะณี ปะหมี่ ฮุง....สาธุ สาธุ
     
  18. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    <CENTER>ตอนที่ 5....แพทย์สามัญไร้โอสถดี ผู้วิเศษกล่าวถึงบัวหิมะ
    </CENTER>[​IMG] กล่าวฝ่ายราชาเมี่ยวจ้วนไม่ได้โอสถดีที่จะรักษารอยแผลเป็นบนหน้าผากของพระธิดาเมี่ยวส้าน รู้สึกไม่สำราญพระทัย พระองค์จึงตั้งพระทัยว่าจะเนรเทศเหล่าแพทย์ทั้งหมดออกนอกประเทศไปไม่ยอมให้อยู่ในซิ่นหลินประเทศ เพื่อไม่ให้ราษฎรทั้งหมดถูกพวกแพทย์เหล่านี้หลอกลวงอีก พระองค์จึงทรงเรียกเสนาบดีคอนาโลมมาปรึกษา พระองค์คิดอยากปฏิบัติการโดยเร็ว แต่เพราะเสนาบดีคอนาโลทัดทานเอาไว้ จึงมีกำหนดชะลอไว้ 7 วัน ถ้าหากภายใน 7 วันยังไม่มีใครสามารถรักษาแผลของพระธิดาให้ทรงหายได้ ก็จะสั่งดำเนินการให้เนรเทศเหล่าแพทย์ให้ออกไป เมื่อประกาศนี้แพร่สะพัดออกไป ทำให้ผู้ที่มีอาชีพทำมาหากินเกี่ยวกับการรักษา ต่างประหวั่นพรั่นพรึงจนหน้าซีดเผือด ต่างร้องด้วยความทุกข์ระทม ได้แต่หวังว่าฟ้าจะเมตตาปกป้อง ส่งผู้วิเศษลงมารักษาพระธิดา เพื่อผู้รักษาโรคทั้งหลายจะได้ไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดพราก แต่ความหวังเช่นนี้จะสำเร็จได้อย่างไร
    วันหนึ่งผ่านไป อีกวันหนึ่งก็ยังผ่านไป ก็ยังไม่มีข่าวดีอะไร เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวันเหมือนก้อนหินจมหายในทะเลใหญ่ พวกแพทย์ก็ใจคอยิ่งร้อนรนราวกับว่าพระอาทิตย์เพิ่มขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงวันที่เจ็ด ใกล้ถึงกำหนดแล้ว ชั่วเวลาสั้น ๆ อย่างนี้จะมีความหวังอะไรจากที่ไหนอีก แต่ทว่าฟ้าไม่เคยตัดหนทางคนเลย ในชั่วขณะจะถึงเวลากำหนด ขณะที่ราชาเมี่ยวจ้วนกำลังรับสั่งให้เสนาบดีคอนาโลเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาการเนรเทศเหล่าแพทยให้ออกไปอยู่นั้น ทันใดนั้นที่นอกประตูมหาราชวังก็มีบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งกำลังขอเข้าเฝ้าพระราชา เขาว่าเขามีความสามารถจะรักษาโรคของพระธิดาได้ กำลังขอให้พระราชามีราชโองการรับสั่งเข้าเฝ้า กล่าวฝ่ายราชาเมี่ยวจ้วนกำลังกลุ้มพระทัยในเรื่องนี้อยู่พอดี
    เมื่อได้ข่าวว่ามีคนสามารถจะรักษาให้หายได้ ก็ทรงพอพระทัย รีบมีรับสั่งให้บัณฑิตหนุ่มเข้าเฝ้าได้ มหาดเล็กออกไปไม่นานนัก ก็นำบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในตำหนัก ราชาเมี่ยวจ้วนทอดพระเนตรดูเขา ชายหนุ่มมีลักษณะสง่างาม ภูมิฐาน กิริยาสง่าผ่าเผย เป็นบัณฑิตหนุ่มที่งดงามดี เมื่อบัณฑิตหนุ่มถวายคำนับเสร็จแล้ว ทรงอนุญาตให้นั่งบนที่นั่งแพรไหม แล้วมีดำรัสถามว่า ตัวเจ้ามีนามกรว่ากระไร บ่านอยู่ที่ไหน ขอให้บอกมาอย่างละเอียดโดยตรง ชายหนุ่มน้อมกายลงแล้วทูลตอบว่า กระหม่อมเรียกว่า โหลวน่าฝู่ลวี่ อาศัยอยู่ทางทิศใต้ของภูเขาตัวเป่าซัน ตลอดชีวิตศึกษาแต่ยาสมุนไพรช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ชาวบ้านมาตลอด
    ตอนนี้ได้ข่าวว่าพระธิดามีแผลบนหน้าผาก ผ่านการรักษามาแล้วไร้ผล พระราชาของเกล้ากระหม่อมทรงกริ้ว อยากจะขับไล่พวกแพทย์ให้ออกนอกประเทศไป เกล้ากระหม่อมคิดว่าถึงแม้พวกแพทย์ชั้นสามัญเหล่านี้จะไม่มีความสามารถ แต่แท้ที่จริงแล้ว โรคของพระธิดาต่างหากที่แพทย์สามัญไม่อาจจะรักษาให้หายขาดได้ หากเนรเทศพวกเขาจนหมด จะไม่เป็นการรุนแรงไปหรือ ดังนั้น เกล้ากระหม่อมจึงรีบมากราบทูล เป็นเพราะหนทางไกลจึงมาสาย ขอจงโปรดอภัยโทษพระเจ้าค่ะ เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนฟังความแล้ว ก็ยิ้มอย่างเจื่อน ๆ ว่า บัณฑิตใจกล้ามาก ข้าว่าเจ้าจะถวายโอสถอะไรให้ข้าเสียอีก ที่แท้ก็จะมาแก้ตัวให้เหล่าแพทย์พวกนั้น อย่างนี้ก็ลงโทษที่กล่าวเท็จ โหลวน่าฝู่ลวี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วทูลว่า โอสถวิเศษนะมีอยู่
    หากแต่พระราชาจะลงโทษเกล้ากระหม่อม เกล้ากระหม่อมก็จะไม่บอก ราชาเมี่ยวจ้วนตรัสถามว่า ถ้าเช่นนั้น ขอให้เจ้าพูดมา ถ้าหากรักษาพระธิดาหายได้ก็ไม่มีโทษแถมยังมีพระคุณอีกด้วย ถ้าหากไม่มีประสิทธิผล ก็เท่ากับหลอกลวงโทษจะเพิ่มเป็นสองเท่า จะไม่ยอมอภัยเด็ดขาด ถ้าหากมีโอสถวิเศษรีบ ๆ เอามา โหลวน่าฝู่ลวี่หัวเราะว่า พระราชาแห่งเกล้ากระหม่อมเป็นผู้มีบุญญาธิการ แต่ไม่รู้สูงต่ำ นี่เป็นเรื่องแบบไหน เพียงแค่พูดนั้นง่าย พระองค์คิดว่าโรคของพระธิดายาสามัญจะสามารถรักษาให้หายได้กระนั้นหรือ ราชาเมี่ยวจ้วนฟังเขาพูดจาสำบัดสำนวนนัก รู้สึกไม่พอพระทัย จึงเปล่งพระสุรเสียงดังว่า ไม่ใช่ยาสามัญจะรักษาหายได้อย่างนั้นหรือ คงต้องเอายาเทวดางั้นหรือ
    ถ้าเช่นนั้น หากไม่พบยาเทวดา พระธิดาคงรักษาไม่หาย ดูเจ้าหนุ่มน้อย เจ้าจะมียาเทวดาหรือ โหลวน่าฝู่ลวี่พยักหน้าทูลว่า เมื่อพระราชาเกล้ากระหม่อมทรงพระปรีชา ดำรัสถึงสิ่งนี้แต่ก็มีในโลกมนุษย์จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่ว่ามีบารมีเทพพุทธเพียงใด เกล่ากระหม่อมมีแต่ไม่มี รู้คือรู้จัก ราชาเมี่ยวจ้วนจึงตรัสถามว่า แสงคือสิ่งที่รู้จัก จะมีประโยชน์อะไร เมื่อแสวงหามาไม่ได้ ในที่สุดก็เปลืองใจเปล่า ๆ จะมีประโยชน์อันใดเล่า โหลวน่าลวี่ทูลว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความศรัทธาและจริงใจ กายเนื้อนี้ยังสามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้แล้วสิ่งที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ ทำไมจะค้นหาไม่พบ
    ขณะนั้นเสนาบดีคอนาโลก้มตัวลงกราบทูลราชาว่า กระหม่อมเห็นว่า บุคคลนี้มีความพิสดารอยู่บ้าง คำพูดของเขาดูเหมือนจะเชื่อถือได้ รอให้เขาอธิบายให้กระจ่างเสียก่อน ค่อยจัดการกับเขาหรืออาจมีประสิทธิผลก็ได้ ราชาเมี่ยวจ้วนพยักหน้ารับแล้วมีดำรัสต่อโหลวน่าฝู่ลวี่ว่า เจ้าบัณฑิต อย่าได้สำนวนพูดจาไร้สาระถ้าหากมีโอสถวิเศษ โอสถอยู่ที่ไหน จะไปแสวงหาได้อย่างไร รีบ ๆ บอกมาให้รู้จะได้ให้คนไปค้นหา ถ้าหากสามารถรักษาธิดาสามหายได้ ข้าจะบำเหน็จรางวัลใหญ่ ๆ ให้แน่นอน เป็นการตอบแทนพระคุณ เจ้าอย่าได้สำบัดสำนวนเลย โลวน่าฝู่ลวี่จึงทูลอย่างเป็นงานเป็นการว่า เกล้ากระหม่อมมิกล้ากล่าวเล่นกับพระราชา เมื่อครู่นี้เพราะว่าพระราชายังมีจิตใจเชื่อถือไม่แน่วแน่
    ดังนั้นจึงไม่ยอมพูด ตอนนี้พระราชาไม่เคลือบแคลงสงสัยแล้ว เกล้ากระหม่อมก็จะทูลให้กระจ่างชัด สิ่งที่เกล้ากระหม่อมพูดถึงไม่ใช่อื่นใดเลย นอกเสียจากดอกบัว ราชาเมี่ยวจ้วนทรงพระสรวลดัง ๆ ว่า สิ่งนี้วิเศษอย่างไร เวลานี้สระบัวที่อุทยานหลวง บัวเขียวล้ำค่ามีมากมาย เอาสักดอกจะยากเย็นอะไร ของแค่นี้ทำวิเศษวิโสไปได้ โหลวฝู่ลวี่โบกมือไปมาทั้งสองข้างร้องว่า มิใช่พระเจ้าค่ะ บัวเขียวนั้นจะว่าล้ำค่ามิได้ เป็นเพียงบัวดีแต่ก็ใช้ไม่ได้ สิ่งที่เกล้ากระหม่อมทูล มิใช่ดอกบัวที่ปลูกในสระ แต่เกิดบนภูเขา รากจะไม่ถูกดินโคลน ดอกไม่เปื้อนฝุ่นละออง บานท่ามกลางหิมะ เมื่อมีเสียงจะหลบซ่อน หากได้ดอกนี้มาเพียงหนึ่งกลีบ แผลเป็นของพระธิดาจะหายทันที
    เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนฟังความว่า ที่ไหนเลยจะทรงเชื่อ ทรงสั่นเศียรว่า นี่ก็แน่ชัดว่าเจ้ากุเรื่องขึ้นมาหลอกคน ในโลกนี้จะมีดอกบัวชนิดนี้ที่ไหน โหลวน่าฝู่ลวี่ทูลตอบว่า มีแน่นอนแต่มีน้อย ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันมีเพียงสามดอก ดอกหนึ่งถูกสมเด็จพระชนนีเจ้าย้ายขึ้นไปบนตำหนักสวรรค์ปลูกอยู่ในสระทิพย์ อีกดอกหนึ่งถูกพระอมิตภะพุทธเจ้านำไปที่แดนสุขาวดี ตะวันตกเพื่อใช้เป็นปทุมอาสน์ ยังเหลืออีกเพียงดอกเดียวที่อยู่ในแดนมนุษย์ เพื่อรอคอยผู้มีบุญสัมพันธ์ ราชาเมี่ยวจ้วนดำรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ดอกบัวนี้ปุถุชนไม่อาจเก็บได้ พูดมาค่อนวันเปล่าประโยชน์เมื่อยปากเปล่า ๆ ดอกที่เหลืออยู่ในโลกมนุษย์นั้น อยู่ที่ไหน ทำอย่างไรจึงจะเอาได้ ขอให้เจ้าพูดมา โหลวน่าฝู่ลวี่ทูลว่า จะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้มีภูเขาซวีหนีซัน ตรงกลางมียอดเขาสูงเรียกว่ายอดเขาบัวหิมะ ที่นั่นคือดอกที่เหลืออยู่ในโลกนี้ บัวหิมะจะเกิดอยู่หลุมหิมะที่เป็นน้ำแข็ง ถ้าอยู่ที่ตีนเขา บางครั้งจะมองเห็น มีหิมะล้อมรอบ มีกลิ่นขจรไปไกลซึ่งแสดงว่าเป็นของวิเศษล้ำค่า
    หากต้องการของสิ่งนี้ผู้ที่ไม่มีบุญสัมพันธ์แม้จะเหน็ดเหนื่อยสักปานใดก็ไม่มีทางเอาได้ หากเป็นผู้มีบัญสัมพันธ์แล้วเพียงศรัทธาชั่วขณะจิต ไม่ต้องลำบากอะไร ช้าเร็วก็จะสมหวัง ราชาเมี่ยวจ้วนทรงคิดอย่างรอบคอบแล้วสั่นเศียรว่า ไม่ได้ ไม่ได้ เจ้าถึงแม้จะรู้สถานที่ของดอกบัวและรู้คุณประโยชน์อเนกอนันต์ หากแต่เจ้าก็ไม่สามารถอธิฐานด้วยความศรัทธาเพื่อไปนำดอกบัวนั้นมาได้ จึงได้มาที่นี่มาเล่นลิ้นเพื่ออะไร นี่ก็ชัดแจ้งว่าเป็นการพูดจามดเท็จ แล้วก็มาพูดจาออกหน้ารับแทนพวกแพทย์อีก มาทำหลอกล่ออยู่หน้าพระพักตร์ ข้าจะไม่พูดมากกับเจ้าแล้ว สั่งให้ควบคุมตัวเจ้าไว้ก่อน รอให้ข้าส่งคนไปที่เขาซวีหนีซัน เพื่อสืบหาให้แน่ชัด
    ถ้าหากมีรายงานว่าของสิ่งนี้มีจริงตอนนั้นค่อยต้อนรับเจ้าดุจแขกอันทรงเกียรติ ถ้าหากไม่มีสิ่งของนี้ก็อย่าได้ว่าข้านี้ใช้อำนาจดังขุนเขา ไม่ปล่อยให้ชีวิตเจ้ารอดหรอก โหลวน่าฝู่ลวี่รับคำว่าได้พ่ะยะค่ะ แล้วทูลต่อไปว่า ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเองเนรเทศเหล่าแพทย์ออกนอกประเทศก็ขอพักเอาไว้ก่อนชั่วคราวรอคอยให้กระจ่างก่อนค่อยเจรจากันใหม่ ราชาเมี่ยวจ้วนก็ทรงตอบรับ จากนั้นก็มีรับสั่งให้กักบริเวณโหลวน่าฝู่ลวี่ ดูแลอย่างดี ด้านหนึ่งก็ปรึกษากับเสนาบดีคอนาโลเกี่ยวกับหาคนไปเก็บดอกบัว คอนาโลทูลว่า นี่ก็เป็นบัญชาที่ยาก จากที่นี่ไปถึงภูเขาซวีหนีซันนั้นไกลมาก พื้นที่เป็นทะเลทรายสูงชันมีป่าทึบ มีอันตรายสารพัด หากมิใช่ชายชาตรีที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวยอดคนแล้วจะไปได้อย่างไรกัน เป็นประการแรก อีกประการหนึ่งคือ คน ๆ นี้ต้องใจคอหนักแน่นมิฉะนั้นก็อาจถูกคนหลบซ่อนระหว่างทางสร้างเรื่องรายงานเท็จ
    ดังนั้น จึงขอพระองค์ได้โปรดคิดทบทวน ราชาเมี่ยวจ้วนก้มพระพักตร์คิดสักครู่ก็ยังหาคนไม่ได้ จึงกล่าวว่า เรื่องนี้ไว้พรุ่งนี้เช้านัดประชุมขุนนางบุ๊นบู๊เพื่อปรึกษาหารือกัน แล้วค่อยดำเนินการดำรัสจบก็เสด็จเข้าในตำหนัก คอนาโลก็ทูลลากลับจวนไป วันรุ่งขึ้น เหล่าขุนนางนับร้อยเข้าประชุมพร้อมเพรียงกัน หลังจากถวายบังคมแล้ว ก็แบ่งกันยืนเป็นแถวเป็นแนว ราชาเมี่ยวจ้วนทรงเล่าเรื่องดังกล่าวให้ขุนนางฟัง แล้วทรงถามว่าใครกล้าไปบ้าง ขณะนั้นก็มีขุนพลเจี่ยเย่ยอมไป บุคคลคนนี้นับว่าเป็นผู้ที่มีความเฉลี่ยวฉลาดและกล้าหาญชาญชัยพร้อม เหมาะที่จะรับหน้าที่อันนี้ ราชาเมี่ยวจ้วนรู้สึกพอพระทัย จึงประทานสุราสามจอกเป็นการเลี้ยงส่ง ภายหลังขุนพลเจี่ยเย่กลับถึงจวนแล้วก็รีบคัดเลือกพล 50 นาย ตระเตรียมเสบียงน้ำดื่มและกระโจมที่พักแต่ละอย่างเอาขึ้นบรรทุกบนหลังอูฐ เมื่อเตรียมการเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางทันที มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก เพื่อสืบหาของล้ำค่าที่ภูเขาซวีหนีซัน กองคาราวานหมู่นี้ เดินท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่ แม้จะเป็นหนทางที่ลำบาก ทุรกันดารยิ่ง นั่นคือ
    มีใจอยากรักษาแผลเป็น สืบหาบัวหิมะขาว
     
  19. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    <CENTER>ตอนที่ 6....เสาะหาบัวบานบนเขาซวีหนีซัน มเหสีเป่าเต๋อทรงประชวร
    </CENTER>[​IMG] เมื่อขุนพลเจี่ยเย่ตระเตรียมทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ก็นำพล 50 นาย เดินทางโดยอาศัยอูฐเป็นยานพาหนะ ตรงสู่เขาซวีหนีซัน ตลอดทางถ้าไม่ใช่ทะเลทรายก็จะเป็นป่ารักทึบ เดินทางด้วยความยากลำบาก เดินทางในช่วงกลางวัน ตกกลางคืนก็สร้างกระโจมค้างแรม ในระยะทางเกือบ 10 ลี้ ไม่พบผู้คนและสัตว์เลี้ยง แม้แต่หญ้าและน้ำก็พบเห็นได้ยาก ดีที่ว่าอูฐมีความอดทนต่อการหิวกระหาย มิฉะนั้นคงลำบากมากทีเดียว รอนแรมมาเช่นนี้ประมาณกึ่งเดือนกว่า จึงสามารถแลเห็นยอดเขาหิมะของภูเขาซวีหนีซัน ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมแต่ละยอดล้วนมีหิมะ ที่จริงแล้วภูเขาซวีหนีซันมียอดเขาสูงเสียดฟ้า ข้างบนมีอุณหภูมิที่หนาวจัด แม้แต่ในฤดูร้อนก็ยังหนาวกว่าอากาศในฤดูหนาวถึงสองเท่า
    ดังนั้นเมื่อหิมะตกในฤดูหนาว สะสมขึ้นแล้วก็ไม่มีโอกาสได้ละลายเลย ดังนั้นบนยอดเขาจึงกลายเป็นหิมะขาวโพลน มองจากที่ไกล ๆ ก็เหมือนมีหัวคนแก่ที่ขาวโพลนมากมาย ต่างก็ตั้งเรียงรายกัน กลายเป็นทัศนียภาพที่แปลกตา เมื่อกองคาราวานมาใกล้ภูเขาซวีหนีซันแล้วทุกคนต่างพากันดีใจ การเดินทางใกล้จะถึงแล้ว ชั่วเวลาผ่านไปไม่ถึงวันกองคาราวานก็มาถึงภูเขาซวีหนีซันทางด้านทิศเหนือภายในรัศมี 10 ลี้ ไม่มีหมู่บ้านและยอดเขาจำนวนสี่ห้าสิบยอดนี้ไม่รู้ว่ายอดไหนบ้าง เป็นยอดเขาบัวหิมะ แม้จะเชื่อถือก็ไม่รู้จะไปถามที่ไหน ฟ้าก็ใกล้พลบค่ำแล้ว ยากต่อการเดินทาง ขุนพลเจี่ยเย่จึงนำกองคาราวานหาทำเลที่สงบแล้วตั้งกระโจมนอน รอวันรุ่งขึ้นค่อยคิดหาวิธีค้นหา
    เมื่อแต่ละคนอิ่มท้องกันแล้วก็เข้ากระโจมนอน เจี่ยเย่มีเรื่องครุ่นคิดจึงนอนไม่หลับ พลิกกลับไปกลับมา รู้สึกไม่สบาย จึงเอาผ้าสักหลาดหนาคลุมตัวและนำกระบี่ยาวติดตัวเดินออกมานอกกระโจม เพื่อเที่ยวชมทัศนียภาพกลางคืนของภูเขาซวีหนีซัน เขาเดินคนเดียวเดินเข้าไปในป่าทึบรู้สึกว่าเมื่อเดือนมืดลงลมก็พัดแรงขึ้น ความหนาวเหน็บเสียดแทงเข้าไปในกระดูก ทอดสายตามองไกลออกไป ก็เห็นแนวดำทะมึนของแนวป่า ที่ไหวโอนเอนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ขมุกขมัว ทางกลับกัน หิมะที่ทับถมกันอยู่บนยอดเขาเมื่อถูกแสงจันทร์ส่องก็จะสะท้อนระยิบระยับขาวสว่างยิ่งยัก เจี่ยเย่ค่อย ๆ ดูแต่ละยอด ๆ มีความเพลิดเพลินดูไปดูมาก็เห็นยอด ๆ หนึ่ง รู้สึกว่าแสงสีจะผิดไปจากยอดอื่น ใจก็เต้นระทึกขึ้นมา ในใจอดคิดไม่ได้ว่า นี่คงเป็นยอดเขาบัวหิมะกระมัง แสงสีก็แปลกกว่ายอดอื่น คงเป็นยอดที่พวกเราจะมาเก็บดอกบัวกระมัง เขาคิดได้ดังนั้นแล้ว จึงตั้งสติดูให้แน่ใจ ก็พบเห็นดอกบัวขาวดอกหนึ่งมีขนาดเท่าบาตร ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหิมะ มีรัศมีเปล่งออกมาจากกลีบของดอกบัว ความปีติยินดีครั้งนี้มิใช่ธรรมดา เพียงอึดใจเดียวก็พุ่งทะยานกลับมาถึงกระโจมที่พักเรียกผู้ติดตามให้ตื่น พาทุกคนออกจากกระโจมเพื่อไปชมดู พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นปุถุชนตาเนื้อ จะไปเห็นอะไรกับความล้ำค่าของสิ่งนี้
    ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นแล้วก็ดีใจจนโลดเต้นไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัวก็ส่งเสียงร้องออกมา เพียงเพราะเสียงร้องนี้ทีเดียว ก็ทำให้ดอกบัวตกใจ จึงค่อย ๆ ซ่อนจมลงในหิมะ เจี่ยเย่พึ่งจะรู้ว่าเสียงทำให้ดอกบัวซ่อนตัว จึงให้พวกเขากลับเข้ากระโจมนอน เตรียมตัวว่าจะคอยดูให้ละเอียดในวันรุ่งขึ้น ปรากฎว่าดอกบัวไม่ยอมโผล่ออกมาอีก รอไปอีก 4 - 5 วันก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เจี่ยเย่แม้จะรู้ก็ไร้ประโยชน์ ดีที่ว่าคราวนี้ได้รับราชโองการให้มาสืบหาว่ามีหรือไม่มี ตอนนี้รู้ว่ามีก็พอ และทุกคนต่างก็ได้เห็นกันแล้วก็สามารถเดินทางกลับได้ จึงได้เดินทางกลับทางเดิมที่มา ก็ได้รับข่าวอื่นที่ทำให้เจี่ยเย่รู้สึกตกใจกลัว นั่นคือ พระมเหสีแห่งราชาเมี่ยวจ้วน พระนางเป่าเต๋อมารดาแห่งแผ่นดินได้สวรรคตเสียแล้ว เมื่อเดือนก่อน
    ในขณะนั้นประเทศตกอยู่ในความเศร้าสลด เจี่ยเย่จึงคิดคำนวณดู วันที่พระนางเป่าเต๋อสิ้นพระชนม์ ก็พอดีกับตนเองได้พบบัวหิมะที่ภูเขาซวีหนีซัน ในใจรู้สึกประหลาด ทำไมจึงช่างบังเอิญเช่นนี้ ที่นี่คงมีเหตุสัมพันธ์แน่นอน มิใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อเขาจัดการกับผู้ติดตามเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงเข้าวังไปถวายรายงานตัว เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทุรกันดารอันตรายต่าง ๆ และการได้พบเห็นดอกบัวขาวกลางหิมะให้ฟังอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ ราชาเที่ยวจ้วนซึ่งอยู่ในระหว่างเศร้าโศรก พระทัยกลัดกลุ้ม ไม่ทรงเกษมสำราญ
    ยิ่งตอนนี้ได้เรื่องราวเกี่ยวกับบัวหิมะแล้วยิ่งเพิ่มความตระหนกพระทัยกับการสำนึกผิด แต่ก็ได้ฝืนพระทัยปลอบขัวญถึงความเหนื่อยยากของเจี่ยเย่พอสมควรแล้วกลับเข้าตำหนักใน ว่าการตามเหตุผลแล้ว การมีอยู่ของบัวหิมะน่าจะเป็นเรื่องปีติยินดี พระองค์ควรจะพอพระทัยแต่ทำไมกลับตระหนกพระทัยและการรู้สึกสำนึกผิดล่ะ พระองค์ตระหนกพระทัยเรื่องอะไรหรือ สิ่งที่พระองค์ตระหนกพระทัยคือในโลกนี้มีดอกบัวชั้นเลิศกระนั้นหรือ ที่รู้สึกสำนึกผิดนั้นคือพระองค์ไม่น่าจะเลินเล่อชั่วขณะหนึ่ง ที่ไม่เชื่อในความหวังดีของโหลวน่าฝู่ลวี่แต่กลับนำเขาไปคุมขังให้ได้รับความทุกข์ยาก
    จนในที่สุดเขาก็ได้หลบหนีไปหากไม่เช่นนั้นแล้ว พระองค์คงได้บัวหิมะนั้นแล้วเรื่องอื่น ๆ ก็คงไม่ลำบาก ในการพึ่งพาเขาช่วยชี้แนะเพื่อการติดสินพระทัย ยิ่งในขณะนี้แล้วทุกอย่างก็หมดหวังแล้ว ไฉนเลยจะไม่ให้พระองค์ตระหนกพระทัยและรู้สึกสำนึกผิดเล่า ในตอนหลังโหลวน่าฝู่ลวี่ไม่เพียงแต่ถูกกักบริเวณเท่านั้น เขากลับได้รับการกระทำอย่างเลวร้าย แล้วเรื่องการรายงานของเจี่ยเย่ละ ทำไมจึงต้องคุมขังและการหลบหนีล่ะ คงต้องมีสาเหตุอื่นอีกเป็นแน่แท้จะค่อย ๆ เล่าให้ฟังดังนี้
    ภายหลังเมื่อขุนพลเจี่ยเย่ได้นำกองกำลัง 50 นายออกเดินทางไปแล้ว บัณฑิตหนุ่มโหลวน่าฝู่ลวี่ก็ถูกกักบริเวณไว้ในอุทยาน การเป็นอยู่มีอิสระสะดวกสบาย การบริการทุกระดับก็ดีเยี่ยม เพียงแต่ไม่ยอมให้เขาออกนอกอุทยานเท่านั้น เวลาผ่านพ้นไปไม่กี่เพลา พระมเหสีเป่าเต๋อก็ทรงประชวรในระยะเริ่มแรกก็ให้รู้สึกไม่สู้มีสติ แต่ละวันก็ได้แต่บรรทม แต่พอปลุกให้ตื่นก็มีสติเป็นปกติ ไม่รู้สึกว่ามีอาการประชวรแต่อย่างไร เพียงแต่ไม่อยากจะพูดคุยกับใครได้แต่บรรทมอย่างเดียว เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนดำรัสถามพระนาง พระนางก็ทรงตอบว่าไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่ประการใด ทำให้ราชาเมี่ยว จ้วนรู้สึกแปลกประหลาด เพื่อเป็นการระมัดระวัง จึงให้แพทย์หลวงเข้ามาตรวจอาการ แต่ละคนก็ได้แต่ส่ายหัวแล้วกล่าวเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า ชีพจรทั้งหกไม่มีเลย ไม่ทราบว่าทรงประชวรด้วยโรคอะไร ไม่รู้จะถวายพระโอสถอย่างไรดี
    เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนได้ฟังแล้ว ทำไมจะไม่ร้อนรนพระทัยเล่า ไม่ว่าจะหาแพทย์มาอีกสักกี่คน ทุกคนก็หมดปัญญา ดังนั้นราชาเมี่ยวจ้วนจึงเรียกประชุมเสนาบดีเพื่อปรึกษาถึงเรื่องนี้ เสนาบดีคอนาโลกราบบังคมทูลว่า เมื่อครั้งที่แล้วบัณฑิตโหลวน่าฝู่ลวี่ได้พูดว่าเขาได้ศึกษาวิชาแพทย์และค้นคว้ายาสมุนไพรมา กระหม่อมเห็นว่าเขามีความชำนาญอยู่บ้าง ดูเหมือนจะมีความสามารถพิเศษ ขณะนี้ก็ถูกกักบริเวณอยู่ในอุทยานหลวง ทำไมไม่ลองเรียกเขามาสอบถาม บางทีอาจจะสามารถรักษาโรคนี้ได้ ราชาเมี่ยวจ้วนก็ทรงเห็นด้วยจึงมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปตามตัวโหลวน่าฝู่ลวี่ให้ไปตรวจพระนางเป่าเต๋อ
    เวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยาม เมื่อโหลวน่าฝู่ลวี่ตรวจเสร็จออกมาข้างนอก ราชาเมี่ยวจ้วนก็รับสั่งถามอย่างร้อนรนว่าเป็นอย่างไร เจ้าสามารถรักษาโรคนี้ได้ไหม โหลวน่าฝู่ลวี่สั่นหัวแล้วทูลว่าไม่ไหวแล้ว ๆ ชีพจรทั้งหกหมดแล้ว วิญญาณได้แยกจากสังขารแล้ว กระหม่อมเมื่อเริ่มจับชีพจรดูก็ไม่พบชีพจรทั้งหกเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ รู้สึกแปลกใจมาก ภายหลังจึงได้ตรวจละเอียดอีกครั้ง ก็ยังพบว่ามีชีพจรอย่างแผ่วเบาเส้นหนึ่ง ประเดี๋ยวมีประเดี๋ยวขาด ดังนั้นจึงยังไม่สวรรคตทันที แต่ว่าสติไม่มีอยู่แล้ว อย่างน้อยก็มีพระชนมชีพอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน นี่เป็นเพราะกรรมเก่ายังไม่หมด จึงต้องได้รับการเจ็บป่วยบนที่บรรทมอีกระยะหนึ่งจึงจะสิ้นลม
    เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนได้ฟังเช่นนั้นดวงหทัยราวกับถูกน้ำร้อนลวก สายพระชลอาบแก้มทั้งสองข้างพลางดำรัสว่า เจ้าอย่าได้พูดแต่เรื่องไร้สาระเช่นนี้อีกเลย ข้าเพียงถามเจ้าว่า โรคนี้ที่จริงเกิดจากอะไร ตอนนี้มีวิธีรักษาอย่างไร รีบ ๆ บอกมา จะได้ช่วยพระชนมชีพมเหสีไว้ โหลนน่าฝู่ลวี่สั่นหัวแล้วถอนใจทูลว่าไม่ได้แล้วพระเจ้าค่ะ ถ้าจะรักษาโรคนี้ นอกจากพระโอสถของพระพุทธเจ้าหรือไม่ก็ ยอดโอสถของศาสดาเล่ากุง หรือไม่ก็ไปเกิดใหม่ หากจะอาศัยยาสามัญในโลกนี้ก็หามีประสิทธิผลไม่ ขอพระองค์อย่าได้ตั้งความหวังเลย ควรรีบ ๆ ตระเตรียมงานพิธีได้แล้ว พูดถึงสาเหตุของโรคนี้มิใช่เป็นเรื่องภายใน 2 วัน 3 วัน เรื่องนี้ยาว กระหม่อมทูลให้ฟัง ชีวิตมนุษย์ในโลกนี้
    เมื่อเติบโตจนเข้าใจความได้แล้ว ก็จะมีอารมณ์ทั้งเจ็ดอันได้แก่ ความดีใจ ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความรัก ความเลวร้าย และความอยาก รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสและธรรมารมณ์คือ โจรร้ายทั้งหกหลอกล่ออยู่ภายนอก ทำให้พรหมจรรย์ไอธาตุและสติที่หล่อหลอมรวมกันอยู่ ถูกโจรทั้งหกหลอกล่อทำลายให้สับสนจนไม่สามารถครองสติอยู่ได้ ดังนั้นชีวิตมนุษย์อันสั้นดุจฝันสลายที่ยืนยาวก็ไม่เกินร้อยปี เมื่อพรหมจรรย์ไอธาตุแตกสลายแล้วก็จะหลับไหลยาวนาน ยิ่งพระแม่เจ้าแห่งแผ่นดินสูงศักดิ์ เมื่อดูจากภายนอก ย่อมดีกว่าผู้อื่นในทุก ๆ ประการ แต่ทว่าเจ้าอารมณ์ทั้งเจ็ดและหกโจรที่โจมตี ก็จะร้ายแรงกว่าคนธรรมดา การแตกสลายของพรหมจรรย์ไอธาตุและสติก็จะเร็วกว่าเป็นธรรมดา ยามปกติสุขก็มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อเอมโอษฐ์ จึงได้สร้างบาปกรรมเอาไว้มาก
    ดังนั้นจึงยังต้องทนทุกข์อีกหลายวันบนที่บรรทมรอคอยจนกว่าหมดกรรมจึงจะสิ้นลม หากจะถามว่าชื่อโรคอะไรก็เรียกว่าโรคเจ็ดอารมณ์หกกามรมณ์ ไม่มียาจะรักษาได้ เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนได้ฟังทั้งหมดของโหลวฝู่ลวี่แล้ว ทรงพระพิโรธ ยิ่งตรัสว่า เมื่อเจ้ารักษาโรคนี้ไม่ได้ก็แล้วไป ทำไมจึงได้สร้างเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการสร้างความอัปยศอดสู่ต่อพระแม่เจ้าแห่งแผ่นดิน จะใช้ได้หรือ มหาดเล็กเอาอ้ายโจรปากกล้านี้ไปประหาร ดูว่าเขาจะกล้าตอแหลอีกไหม มหาดเล็กกรูเข้ามาทั้งซ้ายขวา ช่วยกันจับมือมัดเท้าจนแน่นหนา แล้วหามออกไปยังนอกตำหนัก ทั้งมีดดาบ มีพร้าวาววับแสบตา ลมอสูรฉวัดเฉวียนอยู่บนคมดาบ รอคอยที่ลงดาบ ขณะนี้ชีวิตของโหลวน่าฝู่ลวี่แขวนอยู่บนเส้นผม ที่หน้าบัลลังก์มีบุคคลที่กำลังร้องขอชีวิตของเขาอยู่ นั้นคือ
    ปิยวาจาเคราะห์มา อันหมายอยู่บนแท่นประหาร
     
  20. ปมณฑ์

    ปมณฑ์ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ต้องขอบอกตรงๆน่ะค่ะ ว่า ตัวเองก็ไม่ได้ปฏิบัติเคร่งสักเท่าไหร่นัก ปฏิบัติ แบบสบายๆ ตามความคิดของตนเอง เอาจิตเป็นตัวกำหนด อย่างเดียว อย่างเช่น บางครั้ง ทานมังสวิรัติ ก็จริง แต่ถ้าไม่สะดวก ก็ใช้วิธีการเขี่ยเนื้อสัตว์ออกไป ดิฉัน ปฏิบัติ ทุกอย่างอยู่ในสายกลาง ก็ไม่ทราบว่า ผิดถูกหรือไม่น่ะค่ะ แต่พยายามใช้จิตที่ดี เป็นตัวกำหนดการกระทำของตนเอง จริงๆ ทุกครั้งที่ทำ ก็ไม่เคยเกิดทุกข์ วันพระไหน ที่เราไม่สะดวก ก็บอกว่า ท่านขา วันนี้ลูกไม่สะดวกน่ะเจ้าขา ด้วยภาวะหน้าที่ของมนุษย์ ทำให้เราไม่สามารถ ทานมังสวิรัติได้บ้าง หรือ ได้ไม่เต็มที่ บ้าง แค่ เราคิดดี และ ปฏิบัติดี ก็เป็นสุขแล้วค่ะ

    ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...