แผ่นดิน พระพุทธเจ้าหลวง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย สร้อยฟ้ามาลา, 20 กันยายน 2008.

  1. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๕.

    เหตุการณ์ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต

    [​IMG]

    พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชทรงตรากตรำในพระราชภารกิจต่างๆ ในรัชสมัยของพระองค์ โดยเฉพาะการนำประเทศให้พ้นจากการเป็นเมืองขึ้นด้วยการทรงยอมเสียสละดินแดนส่วนน้อยแลกเอกราชไว้เป็นหลายครั้ง ทำให้ทรงไม่สบายพระราชหฤทัยไม่ทรงเสวยพระกระยาหาร ได้แต่นั่งครุ่นคิดไปต่างๆ นาๆ แม้ว่าการกระทำของพระองค์นั้นเป็นการชอบด้วยคดีโลกและคดีธรรม แต่ก็ทรงเป็นห่วงว่าผู้อื่นจะไม่คิดแบบพระองค์ท่าน ไม่คิดปกป้องบ้านเมืองให้พ้นจากภัยของนักล่าเมืองขึ้น

    การไม่เสวยพระกระยาหารติดต่อกันคราวนั้นทำให้พระองค์ทรงถูกโรคกระเพาะอาหารเข้าแทรกมีพระอาการไม่น้อยในที่สุดแม้ยาก็ไม่ทรงเสวยด้วยทรงจะให้ถึงสิ้นพระชนม์ด้วยว่าทรงอยู่ในจุดสูงสุดของประเทศยากจะหันไปปรับทุกข์กับผู้ใด

    ทรงระบายความในใจนั้นออกไปเป็นคำกลอนส่งไปยังพระเจ้าน้องยาเธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นการส่วนพระองค์ความในใจนั้นกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้แต่งกลอนถวายเพื่อชี้ให้เห็นว่าการกระทำของพระองค์ในการยอมเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะและยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตนั้นชอบด้วยคดีโลกและคดีธรรมหากทรงสิ้นพระชนม์ลงไปแล้วมหาชนชาวสยามและเหล่าข้าราชบริพารจะได้ผู้ใดเป็นที่พึ่งจะมิเป็นการซ้ำร้ายแก่สยามประเทศไปอีกหรือ

    จึงทรงหันกลับมาเสวยพระกระยาหารใหม่ แต่พระวรกายก็ไม่สมบูรณ์เหมือนก่อนด้วยความเครียดในพระราชหฤทัยที่ต้องรับผิดชอบเรื่องต่อความเป็นความตายของบ้านเมืองเมื่อนักล่าเมืองขึ้น มักจะใช้อำนาจบาดใหญ่อยู่เสมอว่าที่จะดำเนินวิเทโศบายให้นักล่าเมืองขึ้นทั้งหลายได้รามือ ทำให้ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายเป็นอย่างยิ่ง (ในเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ จะบรรยายในลำดับต่อไป)

    ในปลายรัชสมัยนั้นก็ทรงปรากฏอาการของโรคพระวักกะพิการ พระวักกะพิการนี้นับว่าเป็นโรคที่อันตรายแม้ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางการแพทย์มากแล้ว โรคไตวายหรือไตพิการนี้ก็ยังเป็นโรคที่ร้ายแรงอยู่นั่นเอง แม้แพทย์หลวงจะได้ถวายการรักษาแบบแผนโบราณและแพทย์ฝรั่งจะถวายการรักษาแบบตะวันตก พระอาการก็ไม่ดีขึ้นมากนัก จนที่สุดแพทย์ก็ถวายคำแนะนำให้ทรงเสด็จพระพาสยุโรปเป็นครั้งที่สองเพื่อทอดพระเนตรความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ และรักษาพระโรคพระวักกะพิการไปด้วย

    ทรงรับปากนายแพทย์ทั้งหลายที่จะเดินทางไปยังยุโรปเพื่อรักษาพระวรกายทั้งนี้ด้วยทรงเป็นห่วงว่าพระราชภารกิจอีกหลายประการที่ทรงวางรากฐานริเริ่มไว้นั้นยังไม่สำริดผลให้เห็นอย่างเต็มที่ หากมีพระชนมายุยืดยาวออกไปอีกสักหน่อยการทั้งหลายก็จะสำเร็จและมั่นคงมากขึ้น

    ในขณะที่เตรียมพระองค์จะเสด็จประพาสยุโรปนั้นพระอาการพระวักกะพิการก็กำเริบอีกต้องถวายการพยาบาลจนพระอาการดีขึ้นจึงเสด็จไปยุโรป ครั้นเมื่อไปถึงแล้วนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ถวายการตรวจรักษาพบว่าทรงมีพระอาการโลหิตจางอันเนื่องมาจากโรคทางพระวักกะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำว่าขอให้ทรงได้ประทับอยู่ในประเทศแถบยุโรปเป็นเวลานานพอสมควรด้วยเหตุว่าโรคพระวักกะนี้ยังไม่ถึงกับหนักหนาจะรักษาให้หายได้หากให้เวลาการรักษาให้เพียงพอ

    ทรงรับสั่งให้หมอกำหนดเวลารักษา แต่หมอกลับไม่สามารถบอกเวลาที่แน่นอนได้ ในที่สุดก็ทรงตัดสินพระทัยอย่างเด็ดขาดเป็นครั้งสุดท้ายว่า

    ระหว่างพระชนม์ชีพกับเรื่องของประเทศชาติงานด้านพัฒนาต่างๆ ที่รอพระองค์เสด็จกลับไปตัดสินพระทัยและประเมินผลงานนั้นมีมาก บางเรื่องคือความเป็นความตายของประเทศชาติและประชาชนทั้งปวง พระราชภารกิจทั้งหลายที่ทรงทิ้งไว้เบื้องหลังนั้นใหญ่หลวงนัก เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่จะต้องประทับอยู่ในยุโรปเป็นเวลานานเพื่อยังพระชนม์ชีพให้ยืนยาวต่อไปจากการรักษาของนายแพทย์ ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่ว่า ทรงเลือกประเทศชาติมากกว่าพระชนม์ชีพของพระองค์ ทรงจัดหมายกำหนดการเสด็จกลับประเทศไทยอย่างเป็นทางการในเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก

    ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๕๓ ได้ปรากฏดาวหางขนาดใหญ่ขึ้นในท้องฟ้า ผู้คนตระหนกอกสั่นกันมากเชื่อกันไปในข้างไม่ดี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็สนพระทัยต้องประสงค์ที่จะทรงทราบเรื่องราว ได้มีลายพระราชหัตถเลขา กราบทูลไปยังกรมหลวงวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศว่า

    “ในบาฬีจะมีแห่งใดบ้างหรือไม่ที่กล่าวถึงดาวหางแลเรียกดาวหางอย่างไร”


    [​IMG]
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส



    กรมหลวงวชิรญาณวโรรส ถวายพระพรว่า

    “ดาวหางเรียกอย่างไร ในบาฬียังไม่เคยพบ แต่ในภาษาสันสกฤตเรียกธูมเกตุ จึงได้ความว่าสงเคราะห์เข้าในพวกธาตุอันมีแสง แลศัพท์ว่า ธูมเกตุยังไม่เคยพบในบาฬี แต่ในอรรถกถาจะมีบ้างหรืออย่างไรยังไม่แน่ จะรับพระราชทานค้นดูก่อน”

    ครั้นดาวหางไปพ้นแล้วโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความหวาดกลัวต่างๆ ก็หมดไปและจนลืมกันไปที่สุด จนวันหนึ่งเป็นวันที่เริ่มจะมีเหตุ เจ้าคุณพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภบันทึกไว้ว่า


    เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๕๓(ร.ศ.๑๒๙) เป็นครั้งสุดท้ายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขับรถไฟฟ้าออกประพาสในเย็นวันนั้นเสด็จทอดพระเนตรการเลี้ยงไก่พันธุ์ต่างประเทศ และในบริเวณทั่วไปที่พญาไท แต่มิได้เสด็จลงจากรถพระที่นั่งรับสั่งว่า “ท้องไม่ค่อยสบายจะรีบกลับ” แล้วก็ทรงขับรถพระที่นั่งกลับยังพระที่นั่งอัมพรทีเดียว มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น หม่อมเจ้าหญิงนิวาสสวัสดิ์พระธิดาในพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดชวิ่งขึ้นรถพระที่นั่งรองพลาดหกล้มเข้าไปติดขัดอยู่กับลูกล้อรถ แต่ผู้ขับเขาหยุดรถไว้ได้ ไม่ทันจะทับเป็นแค่ถลอกเล็กน้อย และตกพระทัยเป็นลมแน่นิ่ง รับองค์ขึ้นรถมาแก้ไขกันต่อจนฟื้นดี

    วันที่ ๑๗ ตุลาคม ถึงวันที่ ๑๙ ตุลาคม มีงานบำเพ็ญพระราชกุศลประจำปีถวายรัชกาลที่ ๔ ในพระบรมมหาราชวังแต่เนื่องด้วยพระนาภียังไม่เป็นปกติ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จไปแทนพระองค์

    วันที่ ๑๙ ตุลาคม เวลาค่ำมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปเชิญพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช และเจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม) ขึ้นไปเฝ้าบนพระที่นั่งอัมพรสถาน ชั้น ๓ ในที่พระบรรทม สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิตเสด็จมาที่หลัง ตามขึ้นไปเฝ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังตรัสราชการและตรัสเล่นกับผู้ไปเฝ้าเหมือนเวลาทรงพระสำราญ

    [​IMG]
    สมเด็จพระปิตุฉาเจ้าสุขุมาลย์มารศรี พระอัครราชเทวี

    ม.จ.จงจิตรถนอม ดิศกุล ทรงเล่าว่า “ในวันที่ ๑๙ ตุลาคม เป็นวันพุธ ตรัสสั่งให้พระนางเจ้าสุขุมาลย์มารศรี พระราชเทวี ตั้งขนมจีนน้ำยาเป็นเครื่องตอนกลางวัน ส่วนตอนเย็นนั้นให้ทรงจัดเป็นกระทงสังฆทาน กระทงใหญ่และกระทงเล็ก เครื่องคาว ๗ สิ่งมี ฉู่ฉี่ปลาสลิด, แกงเผ็ด, หมูหวาน, ผัด, น้ำพริก, ผัก และปลาดุกย่างทอดเครื่องหวาน ๗ สิ่ง พระกระยาหารอยู่ก้นกระทง มีใบตองปิดเป็น ๓ ชั้น เสวยพระกระยาหารได้ แต่เริ่มพระนาภีไม่สู้ดีจึงเสวยพระโอสถปัด”


    ทรงมีรับสั่งให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ขึ้นเฝ้าเพื่อเป็นแม่กองดูแลพระอาการนั้นทรงรับสั่งว่า

    “ฉันเรียกแม่เล็กมาเป็นเจ้าของไข้”

    [​IMG]
    สมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถ(สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรามราชเทวี)



    พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์) บันทึกว่า

    “วันที่ ๒๐ ตุลาคม เวลา ๓ โมงเช้า คุณพนักงานออกมาบอกว่าสมเด็จพระบรมราชินีนาถมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปตามหมอเบอร์เกอร์ หมอไรเตอร์ และหมอปัวซ์ ให้รีบมาเฝ้าโดยเร็ว สมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จออกมารับสั่งแก่ข้าพเจ้าให้จัดอาหารเลี้ยงหมอและจัดที่ให้หมออยู่ประจำตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

    เมื่อหมอมาเฝ้าตรวจพระอาการกลับลงมา ข้าพเจ้าได้ถามพระอาการ หมอไรเตอร์บอกว่าเป็นเพราะพระบังคนหนักค้างอยู่นาน เมื่อเสวยพระโอสถปัด พระบังคนหนักออกมาจึงอ่อนพระทัย พระกระเพาะอาหารอ่อนไม่มีแรงพอที่จะย่อยพระอาหารใหม่ ควรพักบรรทมนิ่งอย่าเสวยพระอาหารสัก ๒๔ ชั่วโมงก็จะปกติ หมอฉีดมอร์ฟีนถวายหนหนึ่ง

    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ มาฟังพระอาการมากด้วยกันตั้งแต่ ๕ ทุ่ม ได้บรรทมหลับเป็นปกติ พระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ หมอฝรั่ง หมอไทยและมหาดเล็กอยู่ประจำพรักพร้อมกันตลอดเวลา

    วันที่ ๒๑ ตุลาคม ย่ำรุ่งบรรทมตื่นตรัสว่า พระศอแห้ง แล้วเสวยพระสุธารสเย็น คณะแพทย์ไทยถวายพระโอสถแก้พระเสมหะแห้ง รับสั่งว่าอยากจะเสวยไรๆ ให้ชุ่มพระศอ สมเด็จพระบรมราชินีนาถถวายน้ำผลไม้เงาะคั้น๑ พอเสวยได้สักครู่เดียวทรงพระอาเจียนออกมาหมด สมเด็จพระบรมราชินีนาถตกพระทัยเรียกหมอทั้ง ๓ คนขึ้นไปตรวจพระอาการ หมอกราบบังคมทูลว่า ที่เสวยน้ำผลเงาะหรือเสวยอะไรอื่นในเวลานี้ไม่ค่อยจะดีเพราะพระกระเพาะว่างและยังอักเสบเป็นพิษอยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อเสวยพระกระยาหารหรือพระโอสถจึงทำให้ทรงพระอาเจียนออกมาหมด และเสียพระกำลังด้วย สู้อยู่นิ่งๆ ดีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกริ้วหมอว่า อาหารก็ไม่ให้กิน ยาก็ไม่ให้กิน ให้นอนนิ่งๆ อยู่เฉยๆ จะรักษาอย่างไรก็ไม่รักษา มันจะหายได้อย่างไร และตรัสต่อไปว่าเชื่อถือหมอฝรั่งไม่ได้ ประเดี๋ยวพูดกลับไปอย่างโน้นอย่างนี้ไม่แน่นอนเป็นหลักฐานอะไรได้

    เมื่อหมอกลับลงมาแล้ว มีรับสั่งกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่าให้ไปตามใครๆ เขามาพูดจาปรึกษาดูเถิด สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จลงมารับสั่งกับข้าพเจ้าให้มหาดเล็กไปเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์ฯ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์ ในเวลาย่ำรุ่งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จลงมาทรงเล่าพระอาการให้เจ้านายทั้ง ๔ พระองค์ฟัง แล้วเจ้านายซักถามหมอๆ ก็ยืนยันว่าไม่เป็นอะไร บรรทมอยู่นิ่งๆ ดีกว่า เจ้านายพากันเห็นจริงตามหมอไปหมด รวมกันถวายความเห็นว่า ที่หมอรักษาอยู่เวลานี้ถูกต้องแล้ว สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จขึ้นไปกราบบังคมทูลว่า เจ้านาย ๔ พระองค์เสด็จมาแล้วได้ซักถามหมอ และเห็นด้วยตามที่หมอชี้แจง ทรงนิ่งอยู่มิได้รับสั่งอะไรต่อไป

    เวลาที่เลี้ยงเครื่องอาหารเช้าเจ้านายและหมออยู่นั้น มีพระอาเจียนอีกครั้งหนึ่งเป็นน้ำสีเขียวเหมือนข้าวยาคู ประมาณ ๑ จานซุป หมอว่าสีเขียวนั้นเป็นน้ำดี ตั้งแต่นี้ต่อไปก็มีพระอาการซึมบรรทมหลับอยู่เสมอ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จลงมารับสั่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “การเจ็บครั้งนี้จะรักษากันอย่างไร ก็ให้รักษากันเถิด” ตามที่รับสั่งเช่นนี้ข้าพเจ้ารู้สึกใจหาย ให้หวั่นหวาดหนักใจไปเสียจริงๆ

    ตอนเที่ยง เจ้านายและหมอขึ้นเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าก็ตามขึ้นไปด้วย กลับลงมาได้ความว่า มีแต่พระอาการเซื่องซึม บรรทมหลับอยู่ตลอดเวลา มีพระบังคนเบาครั้งหนึ่งประมาณ ๑ ช้อนกาแฟ สีเหลืองอ่อน สังเกตดูกิริยาอาการของหมอและเจ้านายยังไม่สู้ตกใจอะไรมากนัก สมเด็จพระบรมราชินีนาถรับสั่งให้เจ้านายผลัดเปลี่ยนกันประจำฟังพระอาการอยู่เสมอไป

    ตอนบ่าย มีความร้อนในพระองค์ปรอท ๑๐๐ เศษ ๔ แต่เป็นเวลาทรงสร่างเพราะมีพระเสโทตามพระองค์บ้าง มีพระบังคนเบาเป็นครั้งที่ ๒ ประมาณ ๑ ช้อนกาแฟเหมือนคราวก่อน ในเรื่องพระบังคนเบาน้อยเป็นครั้งที่ ๒ นี้ เจ้านายออกจะสงสัย ทรงถามหมอๆ ก็ให้การว่าเป็นเพราะไม่ได้เสวยอะไร เสวยแต่พระสุธารสชั่ว ๒ – ๓ ช้อนเท่านั้นก็ซึมซาบไปตามพระองค์เสียหมด เพราะฉะนั้นพระบังคนเบาจึงน้อยไป ไม่เป็นอะไร เมื่อเสวยพระกระยาหารและพระสุธารสได้มากแล้ว พระบังคนเบาก็คงจะมีเป็นปกติ แต่พระอาการเซื่องซึมบรรทมหลับยังมีอยู่เสมอ

    ตอนเย็น เมื่อเจ้านายและหมอขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าจึงได้ยินรับสั่งกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนครสวรรค์ฯ ว่า “การรักษาเดี๋ยวนี้เป็นอย่างใหม่เสียแล้ว” แล้วก็ไม่ได้ตรัสสั่งอะไรอีก เมื่อเจ้านายและหมอกลับลงมาคราวนี้ พากันรู้สึกว่าพระอาการมาก ไม่ใช่ทางพระธาตุพิการอย่างเดียว เป็นทางพระวักกะ(คิดนี) เครื่องกรองพระบังคนเบาเสียแล้ว มีพระบังคนเบาอีกเป็นครั้งที่ ๓ ประมาณ ๑ ช้อนกาแฟ ตอนนี้หมอและเจ้านายแน่ใจทีเดียวว่าเป็นวักกะพิการ หมอได้รีบประชุมกันประกอบพระโอสถบำรุงพระบังคนเบาและเร่งให้มีพระบังคนเบา โดยเร็วและที่สุดใช้เครื่องสวนพระบังคนเบา แต่ไม่ได้ผล เพราะไมมีพระบังคนเบาเลย

    ตอนค่ำ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปด้วยเช่นเคย เห็นพระพักตร์แต่ห่างๆ เข้าไปใกล้พระแท่นไม่ได้เพราะข้างในอยู่เต็มไปหมด ได้ยินเสียหายพระทัยดังและยาวๆ มาก บรรทมหลับอยู่ ถ้าจะถวายพระโอสถพระอาหาร หรือพระสุธารสก็ต้องปลุกพระบรรทม หมอกลับลงมาได้ความว่าการหายพระทัยและพระชีพจรยังดีอยู่ ความร้อนในพระองค์ลดลงแล้ว เห็นจะไม่เป็นไรหมอประชุมกันตั้งพระโอสถแก้พระบังคนเบาน้อยอีกประมาณ ๑ ทุ่มเศษมีพระบังคนเบาเป็นครั้งที่ ๔ ประมาณ ๑ ช้อนเกลือ และเป็นครั้งสุดท้าย

    ค่ำวันนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยมาฟังพระอาการเต็มไปทั้งพระที่นั่ง เจ้านายก็ยังเชื่อกันว่า พระบังคนเบาคงจะมีออกมามากแน่ ตั้งแต่ยามหนึ่งแล้วมีพระบังคนหนัก ๓ ครั้งเป็นสีดำๆ หมอฝรั่ง หมอไทยตรวจดูก็ว่าดีขึ้น คงจะมีพระบังคนปนอยู่ด้วย วันนี้เสวยน้ำซุปไก่เป็นพักๆ พักละ ๓ ช้อนบ้าง ๔ ช้อนบ้าง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ชงน้ำโสมส่งขึ้นไปถวายให้ทรงจิบเพื่อบำรุงพระกำลัง หมอฝรั่ง หมอไทยไม่คัดค้านอะไร คืนนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการกลับดึกกว่าคืนก่อนๆ

    ............................................


    [​IMG]


    ..........................​
    [/COLOR]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  2. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๕.

    [​IMG]


    วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคมเวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอฝรั่ง ๓ คนขึ้นไปเฝ้าตรวจอาการ ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปด้วยตามเคย เมื่อกลับลงมาเห็นกิริยาท่าทางของหมอและเจ้านายไม่สู้ดี ได้ความว่าพระอาการหนักมาก พระบังคนเบาที่คาดว่าจะมีก็ไม่มี พิษของพระบังคนเบาซึมไปตามเส้นพระโลหิตทั่วพระองค์ จึงทำให้เป็นพิษเซื่องซึมบรรทมหลับอยู่เสมอ หมอตั้งพระโอสถถวายเร่งให้มีพระบังคนเบาแรงขึ้นทุกที

    พวกหมอฝรั่งประชุมกันเขียนรายงานพระอาการยื่นต่อเจ้านาย เสนาบดี พระอาการมากเหลือกำลังพอที่จะถวายการรักษาแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานารถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จมาแต่เช้า ได้ทอดพระเนตรรายงานพระอาการที่หมอทำไว้ ทรงปรึกษาหารือเห็นพร้อมกันว่า ควรให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์มาเฝ้าตรวจพระอาการดูด้วย ข้าพเจ้าจึงให้นาย ฉัน หุ้มแพร(ทิตย์ ณ สงขลา) รีบเอารถยนต็ไปรับมาทันที พระองค์เจ้าสายฯ ขึ้นไปตรวจเฝ้าพระอาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวน้ำพระเนตรไหล แต่ไม่ตรัสว่าอะไร พระองค์เจ้าสายฯ กลับลงมายืนยันว่าพระอาการยังไม่เป็นไร เชื่อว่าที่บรรทมหลับเซื่องซึมอยั้นด้วยฤทธิ์พระโอสถต่างๆ พอฤทธิ์พระโอสถหมดแล้วก็คงจะทรงสบายขึ้น เพราะพระชีพจรก็ยังเต้นเป็นปกติ พระองค์เจ้าสายฯ กลับนำพระโอสถมาตั้งถวายแก้ทางพระศอแห้ง ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ตรัสทักว่า “หมอมาแล้วหรือ” ได้เท่านั้นแล้วก็ไม่ได้รับสั่งอะไรอีกต่อไป

    พระอาการตั้งแต่เช้าไปจนเย็นไม่มีพระบังคนหนักและเบาเลยพระหฤทัยอ่อนลงมาก ยังบรรทมหลับเซื่องซึมอยู่เสมอ เวลาย่ำค่ำสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปด้วย และเห็นหายพระทัยดังยาวๆ และหายพระทัยทางพระโอษฐ์พ่นแรงๆ จนเห็นพระมัสสุไหวได้แต่ไกล สังเกตดูพระเนตรไม่จับใครเลย ลืมพระเนตรคว้างอยู่อย่างนั้นเอง แต่พระกรรณยังได้ยิน สมเด็จพระบรมราชินีนาถกราบทูลว่าเสวยน้ำ ยังทรงพยักพระพักตร์รับได้ และกราบทูลว่า พระโอสถแก้พระศอแห้งของพระองค์เจ้าสายฯ ก็ยังรับสั่งว่า “ฮือ” แล้วยกพระหัตถ์ขวาและซ้ายที่สั่นขึ้นเช็ดน้ำพระเนตรคล้ายทรงพระกรรณแสง พระนางเจ้าสุขุมาลย์มารศรี พระราชเทวีซับเช็ดพระเนตรด้วยผ้าซับพระพักตร์ชุบน้ำถวาย หมอฉีดพระโอสถถวายช่วยบำรุงพระหฤทัยให้แรงขึ้น



    ตั้งแต่เวลานี้ต่อไป หมอฝรั่งนั่งประจำคอยจับพระชีพจรตรวจพระอาการผลัดเปลี่ยนกันประจำอยู่ที่พระองค์ การหายพระทัยค่อยเบาลงๆ ทุกที พระอาการกระวนกระวายอย่างหนึ่งอย่างใดไม่มีอีกเลย คงบรรทมหลับอยู่เสมอ เจ้านายจะขึ้นไปเฝ้าอีกครั้ง ก็พอดีหมอรีบทูลลงมาว่า เสด็จสวรรคตเสียแล้วด้วยพระอาการสงบ เมื่อเวลา ๒ ยาม ๔๕ นาที



    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ และ พระเจ้าน้องยาเธอ พร้อมกันเสด็จขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมด้วยความเศร้าโศกอาลัย ทรงกรรณแสง คร่ำครวญสะอึกสะอื้นทั่วกัน ข้าพเจ้าก็อยู่ที่นั้นด้วย กราบถวายบังคมมีความเศร้าโศกอาลัยแสนสาหัส ร่ำร้องไห้มิได้หยุดหย่อนเลย


    ในที่พระบรรทม และตามเฉลียงเต็มไปด้วยฝ่ายในและฝ่ายหน้า ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ระงม เซ็งแซ่และทุ่มทอดกายทั่วไป ประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ถูกลมพายุใหญ่ พัดต้นและกิ่งก้านหักล้มราบไปฉันใด บรรดาฝ่ายในและฝ่ายหน้าทั้งหมด ล้มกลิ้งเป็นลมไปตามกันฉันนั้น ด้วยความเศร้าโศกาอาดูร เป็นอย่างล้นเหลือที่จะรำพันให้สิ้นสุดได้

    [​IMG]
    สมเด็จพระศรีศวรินทิรา พระบรมราชเทวี พระพันสัสสาอัยยิกาเจ้า(สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี)


    ข้าพเจ้าต้องวิ่งลงไปตามหมอ ขึ้นไปแก้ท่านที่ประชวรพระวาโยกันเป็นการใหญ่ และต้องเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมราชินีนาถขึ้นพระเก้าอี้หามกลับไปส่งที่พระตำหนักสวนสี่ฤดู เพราะประชวรพระวาโยและทรงชักกระตุกด้วย เจ้านายพระองค์อื่นและเจ้าจอมมารดาที่เป็นลม ก็มีผู้ช่วยพากันไปส่งตำหนักที่อยู่กันเรื่อยๆไป ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ซึ่งประชวรพระวาโยบรรทมอยู่ที่เก้าอี้ปลายพระแท่นนั้น ก็ต้องใช้เก้าอี้หามเชิญเสด็จไปยังพระตำหนักของพระองค์ท่าน

    [​IMG]
    สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมกระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช



    เวลานั้น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภานุพันธุวงศ์วรเดช ทูลเชิญเสด็จ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ให้เสด็จกลับลงไปชั้นล่าง ประทับห้องแป๊ะเต๋ง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาผู้ใหญ่ องคมนตรี และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ซึ่งทรงกรรณแสงและร้องไห้กันเสียงระงมเซ็งแซ่ทั่วไปทั้งพระที่นั่ง

    [​IMG]
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภานุพันธุวงศ์วรเดช ทรงคุกพระชงฆ์ลงกราบถวายบังคมสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ อัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน สืบสนองพระองค์สมเด็จพระชนกาธิราชต่อไป พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ก็กราบถวายบังคมทั่วกัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเรียกประชุมพร้อมกันในเวลานั้น เพื่อหารือที่จะจัดการสรงน้ำพระบรมศพ และเชิญไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในวันพรุ่งนี้ และออกประกาศข่าวการสวรรคต และอื่นๆ



    ในระหว่างที่ประชุมกันอยู่นี้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิ์ฯ และข้าพเจ้า พร้อมกับ เจ้าหมื่นสรรพเพธภักดี (เพิ่ม ไกรฤกษ์) เจ้าหมื่นเสมอใจราช (อ้น นรพัลลภ) ขึ้นไปกราบถวายบังคม แล้วได้ฉลองพระเดชพระคุณ ช่วยกันเชิญพระองค์เลื่อนขึ้นไปหนุนพระเขนย จัดตกแต่งพระเขนย และผ้าลาดพระที่ ทั้งจัดแต่งพระองค์ให้เรียบร้อย แล้วพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิ์ฯ กับข้าพเจ้าถวายพระภูษา คลุมพระบรรทมคนละข้าง พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี ประทับเป็นประธานอยู่ด้วย ครั้นจัดเรียบร้อยปิดพระวิสูตรแล้วกราบถวายบังคมลากลับลงไปข้างล่าง พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย เพิ่งเสร็จการประชุม และกลับไปเมื่อจวนสว่าง ในคืนนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ประทับแรมอยู่ที่ห้องพระบรรทมขาว พระที่นั่งอัมพรสถาน มีตำรวจหลวงและทหารมหาดเล็กล้อมวงรักษาการ ตามราชประเพณีตลอดคืน

    วันอาทิตย์ ที่ ๒๓ ตุลาคม เวลาเช้า ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมพระบรมศพอีกครั้งหนึ่ง พร้อมด้วยเจ้าหมื่นสรรพเพธภักดี เจ้าหมื่นเสมอใจราช และหลวงศักดิ์นายเวร (ม.ร.ว. ลภ อรุณวงศ์) พร้อมกันเชิญพระบรมศพจากพระแท่นที่พระบรรทม ไปประทับพระแท่นสำหรับสรง แล้วรื้อพระแท่นที่พระบรรทมออก สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี ประทับเป็นประธาน ในการถวายน้ำสรงพระบรมศพเป็นส่วนฝ่ายใน ครั้นแล้วจึงเชิญพระบรมศพขึ้นพระแท่นที่จัดไว้ใหม่สำหรับพระเกียรติยศ เพื่อถวายน้ำสรงพระบรมศพ เป็นพระราชพิธีตอนบ่าย

    ในเวลานี้ข้าพเจ้าได้กราบถวายบังคมที่พระบาทยุคลถวายน้ำหอมสรงพระบาท และซับพระบาทด้วยผ้าเช็ดหน้า ไว้เป็นที่ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นที่สักการบูชา ได้พิศดูพระพักตร์ในเวลานี้เหมือนกำลังบรรทมหลับ พระพักตร์ยิ้มน้อยๆ ดูสง่างามเหลือเกิน กระทำให้ตื้นตันใจ ต้องร้องไห้ด้วยความอาลัยเศร้าทวียิ่งขึ้น มิใคร่จะจากพระบาทยุคลไปได้เลย ได้ทำหน้าที่ไปพลางร้องไห้คร่ำครวญไปพลางจนแล้วเสร็จ กราบถวายบังคมลากลับลงไปข้างล่าง

    ทางราชการได้ประกาศข่าวการเสด็จสวรรคตให้ประชาชนชาวสยามได้ทราบทั่วกัน ดังนี้

    “มีรับสั่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งได้สำเร็จราชการแผ่นดินให้ประกาศทราบทั่วกันว่า สมเด็จพระบรมชนกนาถ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรด้วยพระโรคพระธาตุพิการมาตั้งแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม พระโรคกลายไปในทางพระวักกะพิการ แพทย์ได้ประกอบพระโอสถถวาย พระอาการหาคลายไม่ ถึง ณ วันที่ วันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม เสด็จสู่สวรรคตเวลา ๒ ยามกับ ๔๕ นาที จะได้เชิญพระบรมศพสู่พระโกษฐ์แห่จากพระราชวังดุสิตไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ความเศร้าโศกทั้งหลายแก่ประชาชนทั้งหลายทั่วไปในพระราชอาณาจักร เพราะเหตุว่าพระชนกาธิราชได้ทรงทำนุบำรุงมาทั่วกัน...”

    การเสด็จสวรรคตของพระมหากษัตริย์แต่เดิมมาประชาชนต้องโกนหัวและนุ่งขาวหรือดำไว้ทุกข์ทั่วทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง จะเต็มใจหรือไม่นั้นไม่มีทางเลือกเพราะเป็นกฎหมายที่ทุกคนต้องทำตาม

    พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าได้ตระหนักถึงความเรื่องนี้จึงได้ทรงแก้ไขเสียใหม่โดยโปรดเกล้าให้ไว้ทุกข์ เพียงนุ่งขาวหรือดำเท่านั้นไม่ทรงให้โกนศีรษะไว้ทุกข์ อันแสดงให้เห็นถึงน้ำพระหฤทัยที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์ แม้ในเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่สำหรับพระธรรมิกราชันย์แล้วทรงเห็นว่าเป็นเรื่องทุกข์ของประชาชนเลยทีเดียว

    ข่าวการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชทำให้เกิดเสียงร่ำไห้ดังระงมจากพระบรมมหาราชวังไปจกระทั้งถึงกระท่อมน้อยท่ามกลางความกันดารทุกคนต่างร่ำไห้เหมือนกันว่า

    “โอ้พระดวงประทีปแก้วของปวงชนใยจึงมาด่วนดับลับหายนับแต่นี้ไปจะได้ใครที่ไหนเล่าประดุจดังพระปิยมหาราชผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้ได้”


    ....................................................


    [​IMG]


    ..........................


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  3. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๕.
    [​IMG]


    บรรยากาศในการเคลื่อนพระบรมศพออกจากพระราชวังดุสิตผ่านพระบรมรูปทรงม้าไปตามถนนราชดำเนินไปยังพระบรมมหาราชวังเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย พระบรมศพในพระโกศทองกั้นด้วยฉัตรสีขาวขลิบทองค่อยๆ เคลื่อนออกจากประตูพระที่นั่งพระราชวังดุสิตเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. มีการตัดสายไฟออกเพื่อให้ยอดพระยานุมาศสามารถผ่านไปได้สะดวก ไฟฟ้าที่เคยสว่างอยู่ก็พลันมืดมิด แต่ทางการได้เอาตะเกียงมาติดกับปลายไม้ไผ่ดวงชวาลาให้แสงสว่างแก่ขบวนพระบรมศพ

    ประชาชนที่รู้ข่าวสวรรคตก็พากันนุ่งขาวและนุ่งดำมาปูเสื่อเรียงรายสองข้างทางถนนราชดำเนินเพื่อถวายความจงรักภักดีเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระบรมศพแห่งพระผู้ทรงประทานความเป็นไทยอย่างแท้จริงกับคนไทย


    ใบหน้าของแต่ละคนมีแต่สีความเศร้าสลดที่เป็นหญิงน้ำตาไหลพรากลงสองแก้มที่เป็นชายแม้ใจแข็งก็ยังมีน้ำตาซึมด้วยความเสียใจ ขบวนพระบรมศพนำหน้าด้วยปี่กลองเครื่องสูงเคลื่อนที่ออกจากประตูพระราชวังดุสิตมุ่งหน้าไปตามถนนราชดำเนินผ่านลานพระบรมรูปทรงม้าไปช้าๆ

    ในขณะนั้นก็มีหมอกสีขาวเกิดขึ้น หมอกนี้ไม่ลอยสูงแต่ลอยเลี่ยอยู่กับพื้นดินเป็นควันสีขาวอ้อยอิ่งอยู่ไปมาและลอยขึ้นมาเกือบจะถึงศีรษะของผู้คน ดังนั้นเมื่อขบวนพระบรมศพผ่านมาจึงตัดหมอกนั้นเข้าไปเหมือนกับราชรถพระอินทร์ที่ลอยลงมาจากฟ้า หมอกนั้นมีความหนาวเหน็บจนจับขั้วหัวใจโบราณเรียกหมอกนี้ว่า “หมอกธุมเกศ” จะมีขึ้นเมื่อมีเหตุอันใหญ่หลวงขึ้นในแผ่นดิน ครั้งนี้หมอกธุมเกศลงตั้งแต่หัวค่ำแสดงให้เห็นความวิปริตของดินฟ้าอากาศเหมือนดั่งว่าสมเด็จพระสยามเทวาธิราชจะบันดาลให้เกิดขึ้นเพื่อเป็นการสลดอาลัยในการเสด็จสู่สวรรคัลลัยของพระผู้เป็นมหาราชผู้เลิกทาสในแผ่นดิน

    การเฝ้ารอถวายบังคมพระบรมศพนั้นไม่ต้องลุกขึ้นชะเง้อมองว่าขบวนพระบรมศพมาถึงที่ใดแล้ว ทั้งนี้เพียงใช้หูก็พอจะรู้ว่าขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเองมาเพียงใด ทั้งนี้เพราะเมื่อพระยานุมาศเคลื่อนที่ผ่านมาถึงที่ใดเสียงร่ำไห้ก็ดังขึ้นอย่างเซ็งแซ่ บอกให้รู้ได้ในยามนั้นว่าขบวนพระบรมศพใกล้เข้ามาแล้ว ยิ่งเสียงร่ำไห้ได้ยินชัดขึ้นก็แสดงว่าพระยานุมาศเคลื่อนที่มาใกล้ตัวเองแล้วเสียงร่ำไห้อันเกิดจากส่วนลึกของจิตใจทวยราษฎร์แสดงให้เห็นถึงความสลดอาลัยต่อการจากไปของพระผู้เป็นดวงประทีปแห่งแผ่นดินเคล้ากับเสียงปี่และกลองอันวิเวกวังเวงทำให้เกิดความสลดสังเวชใจอย่างสุดจะบรรยายได้


    หม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุลซึ่งได้ไปหมอบเฝ้าถวายบังคมขบวนพระบรมศพที่ถนนราชดำเนินได้ทรงนิพนธ์ถึงเหตุการณ์ที่ทรงร่วมอยู่ด้วยว่า

    “ข้าพเจ้าเคยได้ยินเสียงปี่เสียงกลองมาแล้วเคยได้เห็นแห่พระศพเจ้านายมาแล้วหลายพระองค์ แต่คราวนี้ตกใจสะดุ้งทั้งตัวเมื่อเห็นพระมหาเศวตฉัตรกั้นมาบนพระบรมโกศสีขาวกับสีทองเป็นสง่าทำให้รู้ได้ทันทีว่าเป็นพระบรมศพแล้วก็ร้องไห้ออกมาไม่ทันรู้ตัวเหลียวไปดูทางอื่นเห็นแต่แสงเทียนที่จุดสักการะอยู่ข้างถนนแวมๆ ไปตลอดในแสงเทียนนั้นมีแต่หน้าเศร้าๆ หรือปิดหน้าอยู่เราหมอบกราบกับพื้นปฐพี พอเงยหน้าก็เห็นทหารที่ยืนถือปืนเอาปลายลงดินก้มหน้าลงบนด้ามปืนอยู่ข้างหน้าเราเป็นระยะทางไปตลอดสองข้างถนนนั้น น้ำตาของเขากำลังหยดแปะๆ ลงบนหลังมือของเขาเอง ทหารผู้อยู่ในยูนิฟอร์มอันแสดงว่ากล้าหาญยังร้องไห้เพราะเสียดายประมุขอันเลิศของเขา

    เสด็จพ่อตรัสเล่าว่าได้โทรเลขไปตามหัวเมืองให้ระวังเหตุการณ์ในตอนเปลี่ยนแผ่นดิน ได้ตอบมาทุกทางว่าภายในเจ็ดวัน แต่วันสวรรคตนั้นไม่มีเหตุการณ์โจรผู้ร้ายเกิดขึ้นเลยสักแห่งเดียวในพระราชอาณาจักร ฉะนั้นจึงเข้าใจว่าแม้แต่โจรยังเสียใจหรือตกใจในการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระปิยมหาราชของเรา”

    [​IMG]
    หม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ ดิศกุล สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
    และหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ถ่ายประมาณสมัยรัชกาลที่ ๕


    หม่อนเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิสกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงมีศักดิ์เป็น พระภคินีในพระบาทสมเด็จพระจุลเจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านหญิงพูนฯเป็นเด็กที่เติบโตในวังจึงมีความใกล้ชิดกับราชสำนักฝ่ายในเป็นอย่างดี และเนื่องจากเป็นพระธิดาที่ใกล้ชิดเสด็จพ่อ จึงเป็นผู้รับทราบสถานการณ์ดีที่สุดคนหนึ่ง ทั้งก่อนและหลังวันสวรรคต เพราะ เสด็จพ่อต้องเข้าวังไปเฝ้าพระอาการทุกวัน พระนิพนธ์ตอนหนึ่งใน “สารคดี” ของท่านหญิงพูนฯ เล่าเรื่อง วันสวรรคตของรัชกาลที่ ๕ ความว่า

    เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ข้าพเจ้าเป็นบิด มีไข้ขึ้นอยู่ที่วังประตูสามยอด กำลังนอนหลับสนิท และสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้อย่างเต็มเสียง ข้าพเจ้าตกใจ เพราะไม่เคยได้ยินเสียงผู้ชายร้องไห้ แล้วก็นึกว่าฝันไป สักครู่ได้ยินเสียงนั้นอีก และคราวนี้จำได้ว่าเป็นพระสุรเสียง ของเสด็จพ่อ ข้าพเจ้าก็ยิ่งตกใจมากขึ้นจึงหันไปปลุกแม่นมของข้าพเจ้าซึ่งนอนอยู่ข้างๆ ถามเขาว่า ‘ได้ยินเสียงอะ ไรไหม’ นมแจ๋วลุกขึ้นนั่งแล้วตอบว่า “ได้ยินค่ะ อย่าตกพระทัยไป เสียงทางท้องพระโรงน่ะ” แล้วเขาก็หันไปดูนาฬิกา ข้าพเจ้ามองตามเขาไปจึงเห็นว่าเวลา ๒ น. เศษ ทันใดนั้นได้ยินเสียงคนขึ้นบันไดมาทางเฉลียงที่เรานอน ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่ง ก็พอดีเห็นเสด็จพ่อทรงยืนอยู่ทางปลายมุ้ง ตรัสว่า “พระเจ้าอยู่หัวสวรรคตเสียแล้วลูก” แล้วก็ทรงพระกันแสงโฮใหญ่ ข้าพเจ้าก็ร้องไห้โฮตามไปด้วย แล้วท่านก็เสด็จกลับไปทางท้องพระโรง ทรงพระดำเนินไปช้าๆ เหมือนคนหมดแรง ข้าพเจ้านั่งตะลึงมองตามไปด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรจะเป็นด้วยเด็กเกินกว่าจะเข้าใจคำว่าสวรรคต หรือจะเป็นเพราะกำลังไม่สบายก็รู้ไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้สึกแต่ว่าสงสารเสด็จพ่อเหลือกำลัง ลงท้ายนมแจ๋วก็บอกให้ข้าพเจ้านอนเสีย เพราะกลัวจะเจ็บมากไป

    รุ่งขึ้นเช้ามืดทุกคนตื่นด้วยนอนไม่หลับ ราว ๗ น. เศษ หม่อมเจิมแม่เลี้ยงข้าพเจ้าวิ่งขึ้นบันไดมาตะโกนเรียกว่า “ท่านหญิงคะ ลงมาช่วยกันหุ้มตราของเด็จพ่อเร็ว หม่อมฉันทำไม่ทันดอกคนเดียว” ข้าพเจ้าลืมเจ็บวิ่งลงบันไดตามไปช่วยเย็บผ้าย่นพันทุกข์หุ้มทั้งเหรียญทั้งตรา ทุกๆ ดวง ในเวลากำลังทำเครื่องเต็มยศใหญ่อยู่นั้น มีพวกข้าราชการไปมาเฝ้าเสด็จพ่ออยู่ตลอดเวลา บางคนมาฟังคำสั่ง บางคนมาฟังว่า สวรรคตจริงๆ หรือ เพราะไม่มีใครทราบข่าวว่าทรงประชวรมากแต่อย่างไร แม้เสด็จพ่อเองก็เพิ่งทรงทราบข่าวว่าทรงประชวรมาก เมื่อวันศุกร์ก่อน เสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว เสด็จพ่อทรงเล่าว่า พระองค์ท่านเสด็จไปตรวจราชการทางใต้เสียวันหนึ่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ บ่ายวันอาทิตย์ จึงเลยไปเฝ้าที่พญาไท ซึ่งเป็นที่เสด็จประพาสและทรงทำนากันอยู่ในเวลานั้นทุกๆ เย็น เมื่อเสด็จไปถึงก็เสด็จขึ้นเสียแล้ว ไม่ทันได้เฝ้า เขาทูลว่าเสด็จขึ้นเร็ว เพราะไม่ทรงสบายพระนาภี เสด็จพ่อจึงเสด็จตามเข้าไปฟังพระอาการที่พระที่นั่งอัมพรสถาน ได้ความว่า พระนาภีเสียและ เสวยยาถ่ายแล้ว ไม่มีพระอาการมากมายอันใด ก็เป็นอันเบาพระทัยและเสด็จกลับวัง รุ่งขึ้นบ่าย เสด็จเวลา พระทรวงแล้วก็เสด็จไปยังพระที่นั่งอัมพรอีก แต่วันนี้มหาดเล็กมาทูลว่า วันนี้เสด็จออกไม่ได้โปรดให้เจ้านายรวมทั้งเด็จพ่อเข้าไปเฝ้าข้างในเมื่อเข้าไปเฝ้าก็ประทับตรัสคุยสนุกสนานดีตามเคย เป็นแต่ทรงเล่าพระอาการว่าพระนาภีเสีย เสวยน้ำมันละหุ่งไม่เดินเห็นจะเป็นด้วย ยาเก่าไป จะต้องเสวยใหม่ วันอังคารก็เข้าไปถึงพระที่นั่งก็ได้ทรงทราบว่าไม่ทรงพระสบาย เพราะยาถ่ายเดินมากไป จนทรงเพลียถึงต้อง บรรทมในพระที่ และมีพระราชดำรัส ให้ตามสมเด็จพระราชินีนาถเสาวภาผ่องศรี ขึ้นมาถวายการพยาบาล เป็นอันเสด็จพ่อก็ไม่ได้ขึ้นไปเฝ้า และเลยเสด็จอยู่ในพระที่นั่งชั้นล่างกับเจ้านายผู้ใหญ่ มีสมเด็จวังบูรพาภิรมย์ และกรมหลวงนเรศวร์ฯ กรมหลวงเทววงศ์ฯ เป็นต้น เพื่อควบคุมหมอและคอยฟังพระอาการ

    คนอื่นๆ ไม่มีใครตกใจ เพราะเป็นเรื่องพระนาภีเสียเท่านั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระโรคประจำพระองค์ แต่เรื่อง พระวักกะ (ไต) พิการ ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องเสด็จไปรักษาพระองค์ในยุโรปครั้งที่ ๒ ตามหมอสั่ง เพราะในสมัยนั้นยังไม่มียาฉีดต่างๆ เช่น สมัยนี้หมอสั่งไว้แต่ว่าให้ระวังอย่าให้ทรงมีไข้ได้เพราะกลัวไปจะซ้ำเติม

    มีคุณย่าของข้าพเจ้าคนเดียวที่ท่านให้คนวิ่งดูอยู่เสมอว่าเด็จพ่อเสด็จกลับจากในวังแล้วหรือยัง จนพวกเราเห็นแปลกมารู้ภายหลังว่า เพราะ ท่านเคยพบคำว่าสวรรคตมาแล้วนั่นเอง ส่วนพวกเราไม่เคยรู้จักซ้ำ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็เสด็จอยู่ในราชสมบัติมาตั้ง ๔๒ ปี จึงเพลินจนไม่มีใครนึกถึงคำว่า สวรรคต

    ถึงเช้าวันศุกร์ สมเด็จพระราชินีนาถเสาวภาผ่องศรี เชิญเสด็จพ่อให้ไปเฝ้าที่หน้าม่าน (ข้างหน้าและข้างในต่อกัน) แล้วตรัสบอกว่า “พระ อาการอื่นๆ ดีขึ้นหมดทุกอย่าง แต่หม่อมฉันไม่ชอบเรื่องลงพระบังคนเบาวานนี้ตลอดวันมีราว ๑ ช้อนโต๊ะ จึงเชิญเสด็จท่านมาทูลจะได้ คิดแก้ไข” เสด็จพ่อตกพระทัยเป็นครั้งแรก รีบทูลว่าจะต้องเรียกประชุมหมอ แล้วก็กลับไปทูลเจ้านายที่ห้องแป๊ะเต๋ง จัดการเรียกหมอที่ ว่าดีในเวลานั้นหมด มาประชุมตกลงกันถวายยาฉีดถวายสวน ทุกอย่างที่จะพึงทำได้ในเวลานั้นแต่ไม่มีผล คงได้พระบังคนเบาราว ๑ ช้อนกาแฟซึ่งน้อยลงไปอีก พอถึงเวลาค่ำ หมอก็พร้อมกันทูลเจ้านายว่า ถ้ามีราชการอันใดที่จะต้องกราบทูล ก็ให้กราบทูลเสียในตอนเช้าพรุ่งนี้เพราะถ้าถึงเย็นจะเข้าโคม่า (ซึม) ที่ประชุม ปรึกษาเห็นพร้อมกันว่า ไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องกราบบังคมทูลรบกวน แล้วสมเด็จวังบูรพาภิรมย์ก็ตรัสสั่งให้เด็จพ่อไปเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเข้ามายังพระราชฐานแต่เช้า

    รุ่งขึ้นวันเสาร์ราว ๗ น. เด็จพ่อเสด็จตรงไปยังวังสราญรมย์ ตรัสเล่าว่าสมเด็จพระบรมฯ ยังไม่บรรทมตื่น ทรงพบหม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ จึงตรัสบอกให้ปลุกพระบรรทมเดี๋ยวนั้น แล้วพากันเสด็จเข้าไปยังพระราชวังสวนดุสิต ถึงตอนบ่ายข่าวประชวรมากก็รู้กันไปทั่วแล้ว และแทบทุกคนก็พากันไปฟังพระอาการทั้งฝ่ายหน้า ฝ่ายใน เวลาราวบ่าย ๔ โมง พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ (ซึ่งทรงเป็นหมอพระองค์ หนึ่ง) ขอเข้าไปดูพระอาการ พอถึงพระองค์ท่านก็ยกพระหัตถ์ขึ้นจับชีพจรขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงหลับพระเนตรอยู่ตรัส ถามว่า “นั่นหมอหรือ” เป็นคำหลังแล้วมิได้ตรัสต่อไปอีกเลย ค่อยๆ ทรงพระบรรทมหลับไปๆ จนหมดพระอัสสาสะเมื่อเวลา ๒๔.๔๕ นาที พระบรมศพมิได้มีซูบซีดผิดปกติกว่าเวลา ทรงพระบรรทมหลับตามปกติแต่ประการใด

    กำหนดสรงน้ำพระบรมศพ ที่พระที่นั่งอัมพรสถานในที่พระบรรทม แล้วเชิญพระบรมศพลงพระโกศลทอง เชิญเสด็จขึ้นพระยานุมาศ เคลื่อนกระบวนจากพระราชวังดุสิตไปสู่พระมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง เวลาค่ำ ๗ น. เศษ

    เสด็จพ่อทรงสั่งราชการพลาง ทรงพระกันแสงพลางอยู่ที่วังตอนเช้าวันอาทิตย์ พวกพี่น้องของข้าพเจ้าเขาก็พากันกลับเข้าวังหมดแทบทุกคน ข้าพเจ้ายังมีไข้เข้าไปช่วยทำงานในวังไม่ได้ พอเด็จพ่อทรงเครื่องเต็มยศใหญ่เข้าไปสวนดุสิตแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปคอยเฝ้าพระบรมศพที่ ริมถนนราชดำเนินแถวโรงเรียนนายร้อยทหารบก พวกราษฏรเอาเสื่อไปปูนั่งกันเป็นแถวตลอดสองข้างทาง จักหาหน้าใครที่มีแม้แต่ยิ้ม ก็ไม่มีสักผู้เดียว ทุกคนแต่ดำน้ำตาไหล อย่างตกอกตกใจด้วยไม่เคยรู้รส อากาศมืดคลุ้ม มีหมอกขาวลงจัดเกือบถึงหัวคนเดินทั่วไป ผู้ใหญ่เขาบอกว่านี่แหละ คือ หมอกธุมเกต ที่ในตำราเขากล่าวถึงว่ามักจะมีในเวลาที่มีเหตุใหญ่ๆ เกิดขึ้นไม่ช้าก็ได้ยินเสียงปี่ในกระบวน เสียงเย็นใสจับใจมาแต่ไกลๆ แล้ได้ยินเสียงกลองรับเป็นจังหวะใกล้เข้ามาๆ ในความมืดเงียบสงัดที่มืดเพราะต้องตัดสายไฟฟ้าบางตอนให้พระบรมโกศผ่านได้ และที่เงียบก็เพราะไม่มีใครพูดจากันว่ากระไร



    จากหนังสือศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๓ / หน้า ๑๐๓-๑๒๓



    [​IMG]
    หม่อมเจ้าหญิงจิตรถนนอม ดิศกุล

    หม่อมเจ้าหญิงจงจิตรถนอม ดิศกุล ทรงเล่าว่า.....

    “ตอนบ่ายเชิญพระบรมศพขึ้นพระแท่นทอง ทรงพระภูษาแดงลอยชาย ทรงสพักแพรสีนวล สไบเฉียง เวลา ๑๖ นาฬิกา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ทรงเครื่องเต็มยศถวายสรงน้ำพระบรมศพ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า และข้าราชการชั้นเสนาบดี หม่อมเจ้าชั้นพานทองเสร็จแล้ว พนักงานภูษามาลา ถวายเครื่องสุกรัม ทรงเครื่องตามขัตติยราประเพณี ทรงภูษาเขียนทอง พื้นขาวโจงหน้าหลัง แลมีทับพระทรวง พระสังวาล พาหุรัด ทองพระกร พระธำมรงค์ ๘ นิ้วพระหัตถ์ ทองข้อพระบาท ทองปิดพระพักตร์ลงยา ห่อใบเมี่ยง ๑๖ ผืน เสร็จแล้วเชิญเสด็จลงพระลองทองเงินประทับบนกาจับหลักทองคำลงยาราชาวดี แล้วคลุมตาด สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ถวายพระชฎามหากฐิน เสร็จแล้วเชิญพระลองจากชั้นบนลงอัฒจันทร์ ผ่านมาหลังห้องประชุมลงอัฒจันทร์ใหญ่ถึงหน้าพระที่นั่ง ตั้งพระเสลี่ยงหิ้วไปขึ้นสามคาน ประกอบประโกศทองใหญ่ มีพระมหาเศวตฉัตรกั้น พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์ และพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธ์ ประคองพระโกศ มีกระบวนแห่ทหารบกประมาณ ๒,๐๐๐ คน แล้วถึงตำรวจมหาดเล็กแต่งยุนิฟอร์มเสื้อครุยอย่างกระบวนพยุหยาตรา กลองชนะแดง ๘๐ ทอง ๒๐ เงิน ๒๐ จ่าปี่จ่ากลอง ๒ สำรับ มีตำรวจถือหวาย ถือหอก ชั้นนายสะพายกระบี่ เครื่องสูงหักทองขวาง บังแซก ๒ สำรับ พระแสงหว่างเครื่อง แต่งเครื่องเสื้อครุยลำพอก แล้วถึงพระที่นั่งสามคาน มีพระกลดบังสุริยา คู่เคียง ๘ คู่ พระยา ทหาร และราชสำนัก มหาดเล็กเชิญเครื่องสูง หลังนาฬิกาวันเปลือยผม อยู่ท้ายเครื่องมีธงสแตนดาร์ดเดิม มีนายทหารกำกับธง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชทรงพระดำเนินตาม แล้วถึงเจ้านายทรงดำเนินเรียง ๔ ตั้งแต่เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หม่อมเจ้า แล้วม้าพระที่นั่ง ๔ ตัว แล้วขุนนางตั้งแต่เจ้าพระยาเป็นต้นไป ทหารเรืออยู่ท้ายกระบวนจำนวน ๖๐๐ แห่ออกผ่านพระที่นั่งสีตลาภิรมย์ มาออกกำแพงที่รื้อเป็นช่องเลียบทางพระที่นั่งอนันตสมาคม ออกพระลานพระบรมรูปทรงม้าทางด้านตะวัน ไปตามถนนราชดำเนินเลี้ยวหน้าพระลานตามทางกระบวนแห่จะได้เห็นราษฎรสองข้างทางมีดอกไม้ ธูปเทียน บูชา แล้ร้องไห้แทบทุกคน แม้แต่ทหารถือปืนอยู่ข้างถนน กระบวนแห่เข้าประตูวิเศษไชยศรี พิมานไชยศรี เข้าพระมหาปราสาท เมื่อพระบรมศพมาถึงแล้วเปลื้องประกับเชิญขึ้นทางมุขเหนือประตูตะวันตก ตั้งบนแว่นฟ้าทองสามชั้น มีฐานพระบุพโพฐานเขียงห้อยเศวตฉัตร ๙ ชั้น สมเด็จพระบรมโอรสผู้ครองแผ่นดินทรงทอดผ้าสดับปกรณ์ ๑๒๐ ผ้าขาว ๒๔๐ แล้วเสด็จขึ้นราว ๕ ทุ่ม ระยะทางเดินกระบวนจากสวนดุสิตถึงพระบรมมหาราชวังราว ๓ ชั่วโมง ทหารปืนใหญ่ยิงสลุดถวายตั้งแต่สรงน้ำพระบรมศพทุกนาที จนตั้งกระโกศเสร็จ มีประโคนและนางร้องไห้พวกเจ้าจอมและพนักงาน” และพระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เสด็จเฝ้าถวายบังคมพระบรมศพทุกวัน เวลาค่ำสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงลำเพ็ญพระราชกุศล มีงานทุกเจ็ดวัน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอและพระเจ้าลูกเธอทรงผลัดเวร ทรงร้อยมาลัย ทรงผลัดกันบำเพ็ญพระกุศลทูลเกล้าฯ ถวาย มีเทศน์และสดัปกรณ์บ้าง เพราะทุกๆ เจ็ดวันเป็นงานของหลวง เครื่องกงเต๊กไม่เคยเห็นครั้งไหนจะมีมากเท่านี้ พวกขุนนามที่เป็นจีนร่วมกันทำถวายฉลองพระเดชพระคุณทุกเจ็ดวันตั้งออกไปจนถึงกระทรวงมหาดไทยอยู่ติดกระทรวงการคลัง

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน เจ้าจอมมารดา เจ้าจอมที่ประทับพระราชวังดุสิต เสด็จกลับเข้ามาประทับในพระบรมมหาราชวังทั้งหมด ที่ตำหนักสมเด็จพระปิตุจฉาร้อยดอกไม้ม่านหน้าพระฉากทุกอาทิตย์ นอกจากนั้น เตรียมปักตาลปัตรงานพระบรมศพ ที่สมเด็จพระพันปี ๓๐ เล่ม สมเด็จพระปิตุจฉา ๓๐พระวิมาดา ๓๐ สมเด็จพระพันวัสสา ๓๐ เล่ม สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระ ยานริศทรงออกแบบอักษรพระนาม จ.ป.ร. แต่เป็นรูปพระบรมโกศ และมีฉัตร ๒ ข้าง ข้าพเจ้าได้เคยปักสะดึงตาลปัตรนี้ ด้วยสังเค็ด ๑๒๐ ธรรมาศพระเทศน์ นาฬิกาเรือนใหญ่ สิ่งอื่นๆ อีกจำไม่ได้ ตั้งแต่งานพระเมรุ วันที่ ๑๖ เดือนมีนาคม ๒๔๕๓ พระเบ็ญจาทองคำทำที่วังกรมหลวงสรรพสารทสูงหลายชั้น ตั้งตรงกลางพระมหาปราสาท พระเบ็ญจาองค์นี้เป็นหลังที่สุดต่อมามิได้ทำอีกเลยเชิญพระบรมศพขึ้นพระเบ็ญจาโดยเกริน

    งานออกพระเมรุทั้ง ๓ วัน โปรดให้ประชาชนเฝ้าถวายสักการบูชาพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เวลาบ่ายและเช้าเลี้ยงพระวัน ที่ ๒ เวลา ๑๔ นาฬิกา เชิญพระบรมศพเสด็จขึ้นสามคาน สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยประคองพระโกศ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ ขึ้นพระยานมาศ ทรงโยงพระบรมศพ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศขึ้นพระยานมาศทรงโปรยข้างตอก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอภิธรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินตามพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายพลเรือน เดินกระบวนไปวัดพระเชตุพน มีพลับพลาเล็กข้างวัด ตอนนี้พระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้พระยาวงษาภรณภูสิตภูษามาลาเชิญ พระบรมโกศขึ้นเกรินประทับบนพระมหาพิไชยราชรถ ท่านได้เคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านกลัวจะขลุกขลักเวลาเสด็จขึ้นเกริน ท่านได้จุดธูปเทียนกราบบังคมทูลพระบรมศพขอเชิญเสด็จโดยง่าย การก็เป็นไปโดยเรียบร้อย เวลาเสด็จขึ้นเกรินนั้นเป็นท่าที่งามนัก เห็นภูษามาลาถวายบังคม ๓ ครั้ง มือดุนพระบรมโกศเสด็จเข้าในราชรถ และเคลื่อนขบวร กรมหลวงนครไชยศรีทรงม้านำขบวนกองทหารม้า ทหาร ราบหลายเหล่า กองพระอิสริยยศ ราชรถเล็ก สมเด็จพระมหาสมณประทับราชรถ ทรงอภิธรรม พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ แล้วถึงพระมหาพิไชยราชรถ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชดำเนิน ตามพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในเฝ้าที่ปะรำข้างพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ทุกๆ พระองค์มีเครื่องทองน้อย ถวายสักการบูชา ข้าราชการฝ่ายในจุดธูปเทียนบูชาเวลาพระบรมศพผ่านถึงพระเมรุเปลี่ยนจากมหาพิไชยราชรถเสด็จสามคาน สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยประคองพระโกศ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกทรงโยง สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงนครราชสีมาทรงโปรย ทรงพระยานมาศทั้ง ๒ พระองค์ สมเด็จเจ้าฟ้าทุกๆ พระองค์ทรงพระภูษาขาว ผ้าทรงเยียระบับขาว ฉลองพระองค์ครุยขาว พระมาลามีขนนก เมื่อเวียน ๓ รอบแล้ว เชิญเสด็จขึ้นบนพระจิตกาธาน เปลี่ยนทรงพระโกศไม้จันทน์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถ วายแล้ว เสด็จขึ้นถวายบังคมพระบรมศพ ถวายพระเพลิง พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน ข้าราชการ ราชทูต ผู้แทนรัฐบาล กงสุลทุกประเทศ ถวายพระเพลิงพระบรมศพ เจ้านายฝ่ายในเมื่อถวายพระเพลิงแล้วเสด็จกลับทางฉนวนเข้าในพระบรมมหาราชวัง ไม่ได้เสด็จถวายพระเพลิงจริงตอนดึกอีกครั้ง

    ตอนเช้า ๗ นาฬิกา เสด็จพระราชดำเนินที่พระเมรุ เสด็จขึ้นถวายบังคมพระบรมอัฐิกระบวนสามหาบ เดินกระบวน ๙ หาบด้วยกัน เจ้าพระยาภาณุวงษ์ เจ้าพระยาเทเวศร์ เจ้าพระยาวิชิตวงษ์วุฒิไกร (ม.ร.ว. คลี่) เจ้าพระยาพระเสด็จ เจ้าพระยาธรรมา (เวลานั้นเป็นพระ อนุรักษ์ฯ) เจ้าพระยาภาสกรวงษ์ เจ้าพระยาอภัยราชา (ม.ร.ว. ลพ) พระยาศรีวรวงษ์ (ม.ร.ว. จิตร) พระยาวิชิตวงษ์วุฒิไกร (ม.ร.ว. สิทธิ) หม่อมนเรทร ฯลฯ รวม ๒๗ คนด้วยกัน ยังไม่ครบข้าพเจ้าจำไม่ได้

    เมื่อเดินครบ ๓ รอบแล้ว พระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นบนพระเมรุ ทรงจุดเครื่องทองน้อย ทรงทอดผ้าไตร ๙ ไตร สมเด็จพระราชาคณะ และ พระราชาค ณะ ๙ รูป ขึ้นสดัปกรณ์ เจ้าพนักงานภูษามาลาเปิดผ้าคลุมพระบรมอัฐิ พระเจ้าอยู่หัวถวายพระสุคนธ์ทรงโปรยเหรียญทอง และเงิน นอกจากนั้นยังมีเข็มกลัดพระบรมนามาภิไธยพระจุลจอมเกล้า มีเพชร ๖ เม็ด เข็ม จ.ป.ร. ลงยาสีน้ำเงินแก่ปนขาวและเหรียญ ลงยา จ.ป.ร. อีกมาก พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน เสด็จขึ้นบนพระเมรุรับพระบรมอัฐิ และพระบรมนามาภิไธยเป็นที่ระลึก แห่เชิญพระ บรมอัฐิเสด็จขึ้นพระที่นั่งราเชนทร์ พระเจ้าอ ยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายพลเรือนตลอดจนข้าราชการเดินตามพระบรมอัฐิเข้าในพระ บรมราชวัง มีงานสมโภชอีก ๓ วัน วันหลังเลี้ยงพระสดัปกรณ์แล้ว เจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระบรมอัฐิขึ้นบนพระที่นั่งจักรีประดิษฐานตั้งบนพระวิมาน เป็นอันเสร็จพิธีพระบรมศพ”




    [​IMG]
    เจ้าศรีพรหมา

    หม่อมศรีพรหมาหรือเจ้าศรีพรหมา หม่อมท่านเป็นธิดาของพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช (เจ้าสุริยะ ณ น่าน) ผู้ครองนครน่าน เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ เป็นภรรยาของหม่อมเจ้าสิทธิพรกฤดากร ในวันที่พระเจ้าอยู่หัว สวรรคตนั้น หม่อมท่ านมีพระชันษา ๒๒ ปี ปฏิบัติหน้าที่อยู่ข้างในวัง ในตำแหน่งนางพระกำนัลของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เมื่อยังดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ

    ข้าพเจ้าประสบอะไรบ้างในคืนวันสวรรคตของสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า รัชกาลที่ ๕ วันปริวิโยคของชาวไทยเรา ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓

    ข้าพเจ้าผู้เขียนนี้ เป็นนางพระกำนัล รับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี มีหน้าที่ตามเสด็จเวลาเสด็จ เยี่ยมเจ้านายฝ่ายใน บางทีก็นอกพระราชฐานบ้าง มีหน้าที่ตั้งเครื่องเสวยตามเวรและเวล

    พวกเรานางพระกำนัลมีหลายคนด้วยกัน จึงจัดเป็นเวรกัน ๒ ผลัด ผลัดหนึ่งมีรุ่นพี่เป็นหัวหน้า ๒ คน และรุ่นน้อง ๓-๔ คน เฝ้าดูแลถวาย ปรนนิบัต ิให้ทรงพระสำราญตลอดมามิได้มีการละเมิดกันเลย ยามร้อนก็ถวายอยู่งานพัด ยามหนาวก็ถวายผ้าคลุมที่อบอุ่น ถือกันว่าหาก ใครถูกทรงเตือนสิ่งที่บกพร่องก็จะต้องขายหน้านิดหน่อย เพราะไม่เคยทรงกริ้วเลย

    ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๕๓ นั้น ผู้เขียนทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร แต่ไม่ทราบพระโรค สมเด็จขึ้นไปเฝ้าเยี่ยมบนพระ ที่นั่ง อัมพ รฯ ผู้เขียนไม่ได้ขึ้นไปเพราะไม่ใช่เวร เป็นเวรเจ้าจอมถนอม เวรของผู้เขียนเป็นเวรกลางคืน ต่อมาผู้เขียนทราบว่าต้องทรง ประชวรหนัก เพราะ สมเด็จไม่ได้เสด็จกลับพระตำหนักเช่นเคยพวกเราก็ได้แต่ซุบซิบกัน สมเด็จมีพระตำหนักอยู่ไม่ไกลพระที่นั่งอัมพร ฯ นัก ชั่วคลองกั้นมีสะพานเชื่อ ม จัดว่าทางฝ่ายพระที่นั่งอัมพรฯ เป็นฝ่ายหน้า ทางพระตำหนักสมเด็จเป็นฝ่ายใน ใครจะข้ามเข้ามาไม่ได้ นอกจากจะได้รับอนุญาต

    วันนั้น บรรยากาศเงียบเหงามากบนพระที่นั่งก็สงัด โดยปกติเวลาใกล้เที่ยวจะมีผู้คนเดินขวักไขว่ เพราะพระเจ้าอยู่หัวบรรทมตื่นแล้วและ จะเสวย พระกระยาหารกลางวัน มีเจ้าจอมเฝ้าตามหน้าที่ ตั้งเครื่อง มารับงานและมีพระเจ้าลูกยาเธอบางพระองค์ร่วมเสวยด้วย ดังนั้นคน จึงจอแจ แต่วันนี้ไม่มีเสียงอะไรเลย แม้แต่เสียงพูดกัน ผู้เขียนได้แต่สันนิษฐานว่าคงทรงประชวรหนัก

    ขอทวนกล่าวถึงฝ่ายผู้เขียนว่า ในระยะนั้นต้องนอนพักในเวลากลางวันเพื่อรับเวรในเวลากลางคืน เฉพาะในวันนี้หลับไม่ลงเพราะใจเป็น ห่วง และ ทุกคนก็นั่งจับเจ่าเหงาหงอยตาจ้องไปทางชั้น ๓ ของพระที่นั่งอัมพรฯ ซึ่งอยู่ตรงข้ามตำหนักสมเด็จ ซึ่งได้รับพระราชทานนาม ว่า “สวนสี่ฤดู” ส่วนพระตำหนักของสมเด็จพระอัยยิกาเจ้านั้นพระราชทานนามว่า “สวนหงษ์” อยู่ห่างออกไปนิดหน่อย

    ระหว่างเวลาพักกลางวัน ในวันนั้นผู้เขียนไม่ได้พักผ่อนหรือ หลับนอนเลยได้แต่ เดินใจลอ ย และมิได้พูดคุยจอแจกับเพื่อนๆเช่นเคยจนพลบค่ำจึงจำเป็นต้องบังคับ ตัวเองให้นอน เพราะอีกไม่ช้าก็จะต้องไปรับเวรในที่สุดก็หลับไปมาตกใจตื่นเพราะ มีตัวอะไรมากัดหัวแม่เท้าจนเลือดไหลพร้อมกันก็ได้ยินเสียงหนูประมาณว่าหลายสิบตัว ยกขบวนกันวิ่งไปวิ่งมาเหนือฝ้าเพดานในอาคารที่ผู้เขียนอยู่ นอกจากจะวิ่ง ไปวิ่งมาตลอดอาคารซึ่งกั้นเป็นห้องๆ ยาวไป และมีราว ๑๒-๑๕ ห้องแล้ว พวกหนูยังส่งเสียงร้องกุกๆๆ ตลอดเวลา ผู้เขียนเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่ากันว่า เมื่อหนูร้องกุกๆ จะมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้น แต่ผู้เขียนไม่เคยได้ยินจึงมีความกลัวเป็นอ ย่างยิ่ง ประกอบด้วยพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงประชวรอยู่ ขณะนั้นเวลาประมาณ ๒๓ น. เห็นจะได้ บรรยากาศเงียบสงัด รู้สึกว่ามีผู้เขียนอยู่คนเดียวในที่นั้น ไม่ทราบว่าคนอื่นไปไหนกัน หมด คงจะไปนั่งที่สะพานเชื่อมคลองกั้นฝ่ายในที่กล่าวแล้วข้างต้น ผู้เขียนจึง ลังเลใจ จะนอนต่อก็กลัวหนูจะมากัดเข้าอีก จะนั่งรอจนถึงเวลารับเวรก็ทนหนวกหูพวกหนูที่วิ่งกราวๆ แ ละส่งเสียงร้องกุกๆไม่ไหว จึงปิดห้องไปยืนที่ประตู มองซ้า ยมองขวาก็ไม่เห็นใครตื่นอยู่เปรียบเหมือนเป็น เมืองหลับ แต่เมื่อมองไปยังพระที่นั่งอัมพรฯ ซึ่งมองเห็นพระบัญชรนั้น ๓ ถนัด ทันใดนั้นผู้เขียนก็เห็นดาวดวง หนึ่งส่งแสงสว่างลอย อยู่ในระดับเดียวกับพระแท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ผู้เขียนคะเนได้ เพราะเคยขึ้นเฝ้าเวลาเสวยเนือ งๆ ดาวนี้มีแสงสว่า งมากยิ่งกว่าดาวใดๆ ที่ผู้เขียนเคยเห็น และมีหางยาวพาดไปทางพระที่นั่งอนันตสมาคม คล้ายแสงไฟฉายใหญ่ๆ จึงทราบว่าเป็นดาวหางเฮลี่มีโจษจันกันในขณะนั้น (Haileys Comet) ผู้เขียนยืนพิงประตูอยู่คนเดียว ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อยู่พัก หนึ่ง จึงได้สติว่าจะต้องไป เปลี่ยนเวร เจ้าจอมถนอมในไม่ช้า ซึ่งเธอได้ตามเสด็จ สมเด็จขึ้นไปเฝ้าพระอาการประชวรอยู่บนพระที่นั่งอัมพรฯ ชั้น ๓

    ผู้เขียนจึงเตรียมตัว และขึ้นไปยังพระที่นั่งอัมพรฯตามทางขึ้นเห็นแต่คนหน้า เศร้า คุณๆ พนักงานประจำพระที่นั่งล้วนหม่นหมองไม่มีใครทักทายใคร พอถึงชั้น ๒ มีคนนั่งตามขั้นบันไดมากถึงกับต้องออกปากขอทางเพื่อที่จะสามารถขึ้น ไปได้

    ชั้น ๓ เงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงคล้ายเสียงกรนมาจากห้องพระบรรทมพระบาทสม เด็จพระเจ้าอยู่หัว มีผู้คนในบริเวณนั้นน้อยและไม่ได้สังเกตุเพราะจะรีบไปเปลี่ยนเวร เมื่อไปถึงเห็นส มเด็จทรงบรรทมกับพื้น อยู่สุดห้อง พระบรรทมพระเจ้าอยู่หัวเนื่องจากผู้เขียนไม่เคยเห็นอาการเจ็บในขนาดหนักซึ่งภาษาสมัยใหม่เรียกว่า เข้าขั้นโคม่า ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียง คล้ายเสีย งกรมจึงนึกว่า ในหลวงทรงสบายขึ้นแล้ว และกำลังบรรทมหลับสนิท จึงดีใจเป็นอันมาก นึกว่าจะนอนให้สบายเสียทีและได้ล้ม ตัวลงนอนที่ปลายพ ระบาทสมเด็จ [คือพระราชินี-ผู้ เขียน] ขณะเมื่อคลานผ่านพระแท่นในหลวง เพื่อไปยังที่สมเด็จทรงพระบรรทมอยู่ ได้ชะเง้อดูภาพที่เห็นคือองค์พ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อวบอ้วน พระพักตร์อิ่ม ทรงพระภูษาแดงผืนเดียว และทรงกรนสม่ำเสมออยู่

    ด้วยอารามดีใจที่ในหลวงทรงสบายขึ้นแล้ว และเห็นสมเด็จบรรทมอยู่และเนื่องด้วยความตึงเครียดได้หย่อนคลายลงประกอบกับความ เหนื่อยอ่อนมาทั้งวัน ดังนั้นเมื่อล้มตัวลงหนุนพระที่สมเด็จจึงหลับปุ๋ยไปทันที

    มารู้ตัวตกใจตื่น เมื่อได้ยินเสียงร้องเซ็งแซ่ ซึ่งในขณะนั้นผู้เขียนเหลือที่จะเดาว่าเป็นเสียงอะไร เหลือบตาไปดูนอกห้องบรรทม เห็นคน จำนวนมากมายกำลังหมอบซบกับพื้นเป็นกองๆ ไม่ทราบว่าใครเป็นใคร ผู้เขียนตั้งหน้าที่จะหาสมเด็จ โดยเอามือค่อยคลำที่พระที่ (ใน ห้องพระบรรทมมืด มาก มีแต่ไฟแดงดวงเดียว) แต่ก็คลำเปล่าไม่พบสมเด็จเมื่อผู้เขียนทราบว่าเสียงเซ็งแซ่ข้างต้นเป็นเสียงร้องไห้ของคน จำนวนมากพร้อมๆ กันจึงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว ผู้เขียนตกใจหายง่วง ลุกไปดูที่พระแท่น จึงเห็นสมเด็จ และเห็นหมอประจำพระองค์ (ชื่อหมอไรเตอร์) กำลังถวายยาฉีดสมเด็จ ขณะนั้นทรงหมดสติ พนักงานได้อัญเชิญลงบนพระเก้าอี้ เพื่อนำกลับพระตำหนัก ผู้เขียนก็หอบของที่ขนขึ้นไป รวมทั้งหีบหมากเสวย และบ้วนพระโอฐ (กระโถน) รีบตามพระเก้าอี้ลงไปจากพระที่นั่ง อัมพรฯ ระหว่างเดินฝ่า ฝูงคนที่หมอบซบกันอยู่ ผู้เขียนยังจำได้สองคน คือ หนึ่ง เจ้าจอมมารดาชุ่มกับพระเจ้าลูกเธอสองพระองค์ (เจ้าจอมมารดาชุ่ม เป็นพี่พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ-นพ ไกรฤกษ์) สอง เ จ้าจอมเอิบคนโปรดมาอยู่ข้างพระแท่นเบื้องขวาของพระบรมศพ (เจ้าจอมเอิบเป็นธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์ฯ แห่งตระกูลบุนนาค) และคลับคล้ายคลับคลาอีกองค์หนึ่ง คือ พระอรรคชายาเธอเสด็จย่าของ พระองค์ชายภานุพันธุ์ยุคลซบกับเจ้าฟ้ามาลินีนพดาราและเจ้าฟ้านิภานภดล นอกจากนั้น ก็ยังมีอีกมากมายไม่ได้ทันจดจำเพราะจะรีบ ตามพระเก้าอี้ให้ทัน แต่ก็ไม่ทันไปทัน เอาเมื่อพระเก้าอี้ถึงสวนสี่ฤดูแล้ว สมเด็จก็ยังไม่ฟื้น หมอต้องเฝ้าพระอาการอยู่ตลอดรุ่ง จนพระทั่งตลอดวันของวันที่ ๒๓ ก็ยังไม่คืนพระสติ

    ต่อมาผู้เขียนได้รับหมายให้ไปเป็นนางร้องไห้ ให้ไปตั้งแต่ ๘ โมงเช้าในวันนั้น โดยแต่งชุดขาวทั้งชุด ท่านผู้สำเร็จราชการของสมเด็จ (คุณท้าวปั้ม) ท่านก็จัดไปตามหมาย เมื่อผู้เขียนออกจากพระตำหนัก จะเข้าไปเป็นนางร้องไห้ในวังหลวง สมเด็จก็ยังไม่คืนพระสติ ภายหลังทราบจากเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เข้าไปเป็นนางร้องไห้ว่า พอรู้สึกพระองค์ก็ทรงพระกรรแสงจนหมดพระสติไปอีกหลายครั้งหลายคราว

    ผู้เขียนได้ไปนั่งร้องไห้อยู่ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท การร้องไห้นั้นแท้ที่จริงเป็นการร้องเพลงอย่างเศร้าที่สุดเกิดมาผู้เขียนก็เพิ่งเคยได้ ยิน ขณะนั้นผู้เขียนอายุในราว ๑๙-๒๐ และรู้สึกว่าเพลงร้องไห้นี้ช่างเศร้าเสียนี่กระไร ทุกคนน้ำตาไหลรินจริงและสะอื้นจริงๆ ยิ่งมีเสียงปี่ที่โหยหวน และเสียงกลองชนะ (เปิงพรวด) เลยยิ่งไปกันใหญ่

    นางร้องไห้มีผลัดกันหลายผลัด แต่ละผลัดแบ่งเป็นยามๆ คือยามรุ่ง ยามเที่ยง ยามค่ำ และสองยาม เมื่อได้เวลาผลัดใครผู้นั้นๆ ก็ไปรวมกันที่พระที่นั่งดุสิตฯ แต่ละผลัดของนางร้องไห้ จะมีทั้งหมด ๑๔ คน แบ่งออกเป็น ๒ พวก คือต้นเสียง ๖ คน นอกนั้นเป็นลูกคู่ พวกต้นเสียงนั้นโดยมากเป็นคนประจำของวงดนตรีของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ส่วนลูกคู่ ๘ คนก็จัดเอาพวกเจ้าจอมที่ยังสาวอยู่ไปเป็นรวมทั้งตั วผู้เขียนด้วย การจะตั้งต้นร้องไห้นั้นต้องคอยฟังเสียงประโคมก่อน แล้วจึงจะร้องบทเพลงพิเศษโดยร้องกันไปรับกันไป จนเสียงประโคมหยุด เป็นอันหมดพิธีของผลัดนั้น แต่หากผลัดใดประจวบกับวันทำบุญใหญ่ทุกๆ ๗ วัน นางร้องไห้จะต้องร้องแทรกระหว่างยามค่ำกับ สองยามอีกวาระหนึ่ง วันทำบุญใหญ่จะมีเจ้านาย ขุนนาง และชาวต่างประเทศมาร่วมเป็นจำนวนมาก นางร้องไห้ต้องฏิบัติหน้าที่ดีเป็นพิ เศษ และต้องทำงานหนักกว่าวันธรรมดาหน่อย ปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไปเป็นเวลาร่วมปีจนถวายพระเพลิง



    ........................................................


    [​IMG]


    ....................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  4. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ขอบคุณครับ ^^
     
  5. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๕.


    บันทึกของหมอสมิธ


    [​IMG]

    หมอสมิธมีบทบาทในราชสำนัก ได้บันทึกไว้ถึงวันสวรรคตของพระพุทธเจ้าหลวง พระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๕) ถูกอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นทรงภูษา (พระภูษาชุบสรงสีแดงซึ้งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ขณะ สรงเป็นประจำทุกวัน) สีแดงคลุมรอบพระนาภีและพระเพลา ห่มพระอุระด้วยผ้าแถบสีครีม พระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่(เจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี ) ทรงนำพระบรมวงศานุวงศ์สรงน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงบนพระบาท ติดตามด้วยข้าราชการระดับสูงของประเทศทุกคนล้วนแต่งกายด้วยเครื่องแบบเต็มยศ เมื่อพระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพเสร็จสิ้นแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีฯ เสด็จพระราชดำเนินเข้าไปใกล้พระบรมศพ ทรงถวายพระสางด้วยพระสางไม้และทรงปักทิ้งเมื่อเสร็จพิธี เนื่องจากไม่มีความจำเป็นจะต้องกลับมาใช้อีก หลังจากนั้น จึงถวายเครื่องทรงพระบรมศพชั้นหนึ่งด้วยพระภูษา ๒ ผืน ผืนหนึ่งทรงในลักษณะปกติ ส่วนอีกผืนทรงกลับจากด้านหลังไปด้านหน้าทรงฉลองพระองค์ใหม่และฉลองพระองค์ยาวปักดิ้นทองคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง ทรงสร้อยสังวาลประดับเพชรคาดหว่างพระอุระ พระเพลาในท่าประทับนั่งพระอุระแนบกับพระนาภี พระฉานุเกยอยู่ที่พระหนุ พระบาทพันธิกาไว้กับเสาไม้ พระกรอบ พระเพลาและผูกไว้ด้วยผ้าลินินและเส้นด้ายศักดิ์สิทธ์(สายสิญจน์) ทรงฉลองพระหัตถ์และพระบาทโยลีตาดทอง(คำว่าโยลีตาดทอง หมายถึง ผ้าตาดชนิดหนึ่งนำมาเย็บเป็นถุงสำหรับสวมพระหัตถ์และพระบาท) และทรงสวมพระมาลาทับด้วยพระไหม และธำมรงค์ทองถูกนำวางไว้ในพระโอษฐ์ ทรงฉลองพระหัตถ์ทองคำ(เรียกว่า พระสุพรรณแผ่นจำหลัก ปริมณฑลของพระพักตร์และพระบาท) และทรงสวมมงกุฎที่พระเศียร(หมายถึงพระชฎามหากฐิน) เป็นขั้นตอนสุดท้าย พระบรมศพอยู่ในชุดเครื่องทรงพระมหากษัตริย์เต็มยศยิ่งกว่าครั้งเมื่อยังมีพระชนม์ชีพอยู่ จากนั้นจึงอัญเชิญพระบรมศพลงประดิษฐานภายในพระโกศ ซึ่งประกอบด้วยพระลองทองเงิน (พระโกศชั้นใน) ความสูงประมาณ ๔๐ นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๐ นิ้ว ซึ่งนับว่ามีขนาดกำลังพอดีกับพระวรกายซึ่งค่อนข้างสันทัดของพระเจ้าอยู่หัว ภายในพระโกศเป็นช่องโล่ง มีฝาครอบสำหรับปิด ที่ฐานเจาะรูไว้เพื่อให้ของเหลวภายในพระวรกายไหลผ่านชั้นเกลือลงสู่ที่ว่างชั้นล่างโดยมีจุกสำหรับ ปิด-เปิดได้ทุกวันจนกว่าพระวรกายจะแห้งสนิทดี พระโกศชั้นนอก(พระโกศทองใหญ่) มีลักษณะเป็นรูป ๘ เหลี่ยม แบ่งตรงกลางออกเป็น ๒ ด้าน มีขนาดกว้างพอที่จะสวมพระลองในได้พอดี พระโกศชั้นนอกทำด้วยไม้หุ้มด้วยทองคำประดับอัญมณี มีชื่อเรียกว่าพระโกศทองใหญ่ ใช้สำหรับทรงพระบรมศพเจ้านาย พระอิสริยยศสูงสุด พระบรมศพประทับนั่งอยู่ในพระลองในซึ่งประดิษฐานอยู่บนพระแท่นกั้นด้วยฉัตร ๙ ชั้น




    (พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร) ลักษณะคล้ายคลึงกับร่มมี ๙ ชั้น ขนาดลดหลั่งกันไปและมีพระเสลียงทองรองรับพระบรมโกศอีกชั้นหนึ่ง


    เมื่อการเตรียมการทุกอย่างพร้อมจึงได้เวลาอัญเชิญพระบรมศพไปประดิษฐานที่พระบรมมหาราชวังเป็นระยะทางประมาณ ๒ไมล์ครึ่ง มีข้าราชสำนักฝ่ายใน ๕๐ - ๖๐ คนเดินทางโดยรถยนต์เดินทางมาถึงตั้งแต่ก่อนเย็นสวมชุดขาวโกนศีรษะร่วมขบวนมาด้วย ขบวนอัญเชิญพระบรมศพเริ่มเคลื่อนออกจากวังดุสิตเมื่อเวลาประมาณ ๓ ทุ่มไปตามถนนราชดำเนิน ผ่านทุ่งพระเมรุเข้าสู่พระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรี สภาพอากาศในคืนนั้นค่อนข้างอบอ้าวและเป็นคืนเดือนมืด ผู้คนทั้งเมืองต่างพากันกราบถวายบังคมพระบรมศพเป็นครั้งสุดท้าย ขบวนได้เคลื่อนไปอย่างช้าๆผ่านแถวของประชาชนที่นั่งคุกเข่าและหมอบกราบอยู่เนืองแน่นตลอดสองข้างทาง นำหน้าขบวนด้วยแถวบรมครูทางดนตรีติดตามด้วยจ่าปี่ จ่ากลอง พร้อมกลองใบเล็กต่อท้ายด้วยกลองโลหะใบใหญ่ ๒ ใบ แต่ละใบใช้ชาย ๒ คน และมีอีกคนหนึ่งเป็นคนตี เสียงตีกลองแผ่วเบาและพักเป็นช่วงๆอย่างสม่ำเสมอ ฟังกระหึ่มดังคล้ายเสียงฟ้าร้องมาจากไกลๆ ติดตามมาด้วยแถวคู่ของทหารรักษาพระองค์ ถือเทียนไว้ในมือแทรกตรงระหว่างกลาง ด้วยแถวเรียวเดี่ยวของผู้ชายในเครื่องแบบแต่งกายสมัยอยุธยา แบกกลองลักษณะยาวมี ๒ หน้า ระบายเป็นสีเงินบ้างทองบ้าง เรียกว่า กลองชนะ(กลองชนะทองและกลองชนะเงิน)ใช้สำหรับพระเจ้าแผ่นดินและพระราชโอรส ทั้งในการตีป่าว ร้องในวาระที่ทรงมีพระประสูติกาล ตลอดจนในพระราชพิธีเฉลิมฉลองตลอดพระชนม์ชีพ เละติดตามมาใช้ในพิธีอัญเชิญพระบรมศพในท้ายที่สุด ถัดจากขบวนกลองก็คือพระโกศ พระบรมศพ ซึ่งอัญเชิญมาบนพระราชยานคานหาม แบกโดยชายฉกรรจ์ ๖๐ คน มีขบวนพระราชวงศ์ฝ่ายชายนำโดย พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ตามติดมาในระยะกระชั้นชิด ใครก็ตามที่ได้มีโอกาสพบเห็นภาพขบวนอัญเชิญพระบรมศพก็ยากที่จะลืมเลือนไปได้โดยง่าย แสงสว่างเพียงจุดเดียวที่เห็นคือแสงริบรี่จากเทียนในมือทหารรักษาพระองค์ เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงกลองอันแผ่วเบาและเสียงปี่ที่ครวญครางอย่างโหยหวน อันนับเป็นการรวบรวมปี่ทั้งหมดที่ใช้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะอะไรเช่นนี้และคงจะไม่มีการบรรเลงปี่ใดที่จะเหมาะสมเช่นในโอกาสนี้อีกแล้ว “หากดวงพระวิญญาณหลุดพ้นสู่ห้วงแห่งสวรรค์แล้วทิ้งร่างอันเปรียบเป็นธุลีไว้ พระศพที่ถูกพันธิการไว้มิใช่สิ่งที่น่าอัปยศ” ถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นผุดขึ้นในห้วงคำนึงยามที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงปี่อันใสบริสุทธิ์ในท่วงทำนองที่พลิ้วไหวล่องลอยอยู่ในรัตติกาล ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนได้เห็นดวงพระวิญญาณของพระองค์เป็นอิสระในท้ายที่สุด ขบวนอัญเชิญพรบรมศพเคลื่อนผ่านประตูพระมหาราชวังเข้ามาเมื่อประมาณ ๔ ทุ่ม และกว่าจะอัญเชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาประสาทเรียบร้อยก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน หลังจากนั้นพระสงฆ์จึงเริ่มสวดมนต์ การสวดจะกระทำติดต่อกันไปทั้งกลางวันและกลางคืนโดยใช้พระสงฆ์ ๔ รูปนั่งประจำอยู่มุมใดมุมหนึ่งขององค์พระที่นั่ง เมื่อสวดครบแต่ละรอบก็จะเปลี่ยนที่นั่งสลับกันจะครบ ๔ มุมและจะหยุดพัก ๓ ครั้ง ในตอนรุ่งอรุณและตอนเที่ยงวัน เละตอนใกล้ค่ำ เสียงสวดมนต์ดังคลอไปกับเสียงประโคมและกลองชนะและเสียงสังข์ บรรดาพระมเหสีและจ้าวจอมยืนเรียงแถวร่วมส่งดวงพระวิญญาณอยู่เบื้องหน้าพระโกศพระบรมศพ เสียงแหลมสูงขึ้นจมูกดังขึ้นหลังเสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์ซึ่งฟังดูคล้ายกับท่วงทำนองของดนตรี หญิงสาวบางคนร่ำไห้จนน้ำตาหลั่งไหลราวกับกระแสน้ำขณะขับขานบทเพลง ใครบางคนที่ได้ยินบทเพลงดังกล่าวได้ช่วยถอดความตอนหนึ่งของเพลงนี้

    “โอ้ พระร่มโพธิ์ทอง พระพุทธเจ้ าข้าเอยพระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย...........................ละข้าพระพุทธบาทยุคลไว้ พระพุทธเจ้าข้าเอย”เพลงจะร้องซ้ำๆกัน ๓ ครั้ง


    บทนางร้องไห้
    (๑) ต้นเสียงร้องพร้อมกัน
    “โอ้พระร่มโพธิ์ทอง พระพุทธเจ้าข้าเอย”
    “พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย”
    ลูกคู่รับ “พระพุทธเจ้าข้าเอย พระทูลกระหม่อมแก้ว”
    “พระพุทธเจ้าข้าเอย”
    (๒) ต้นเสียง
    “โอ้พระร่มโพธิ์ทอง พระเสด็จสู่สวรรค์ชั้นใด”
    “ละข้าพระบาทยุคลไว้ พระพุทธเจ้าข้าเอย”
    “พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย”
    ลูกคู่รับ “พระพุทธเจ้าข้าเอย พระทูลกระหม่อมแก้ว”
    “พระพุทธเจ้าข้าเอย”
    (๓) ต้นเสียง
    “โอ้พระร่มโพธิ์ทอง พระเสด็จสู่สารทิศใด”
    “ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไป พระพุทธเจ้าข้าเอย”
    “พระทูลกระหม่อมแก้ว พระพุทธเจ้าข้าเอย”
    ลูกคู่รับ “พระพุทธเจ้าข้าเอย พระทูลกระหม่อมแก้ว”
    “พระพุทธเจ้าข้าเอย”


    ............................................


    [​IMG]


    ............................​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  6. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๕.


    [​IMG]


    หม่อมเจ้าหญิงจงจิตรถนอม ดิศกุล ทรงเล่าว่า



    “พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เสด็จเฝ้าถวายบังคมพระบรมศพทุกวัน เวลาค่ำสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงบำเพ็ญพระราชกุศล มีงานทุกเจ็ดวัน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอและพระเจ้าลูกเธอทรงผลัดเวรทรงร้อยมาลัย ทรงผลัดกันบำเพ็ญพระกุศลทูลเกล้าฯ ถวาย มีเทศน์และสดับปกรณ์บ้าง เพราะทุกๆ เจ็ดวันเป็นงานของหลวง เครื่องกงเต็กไม่เคยเห็นครั้งไหนจะมีมากเท่านี้ พวกขุนนางที่เป็นจีนร่วมกันทำถวายฉลองพระเดชพระคุณทุกเจ็ดวันตั้งออกไปจนถึงกระทรวงมหาดไทยอยู่ติดกระทรวงการคลัง



    [​IMG]

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน เจ้าจอมมารดา เจ้าจอมที่ประทับพระราชวังดุสิตเสด็จกลับเข้ามาประทับในพระบรมมหาราชวังทั้งหมด ที่ตำหนังสมเด็จพระปิตุฉาเจ้าร้อยดอกไม้ม่านพระฉากทุกอาทิตย์ นอกจากนั้นเตรียมปักตาลปัตรงานพระบรมศพ ที่สมเด็จพระพันปี ๓๐ เล่ม สมเด็จพระปิตุฉาเจ้า ๓๐ พระวิมาดา ๓๐ สมเด็จพระพันวัสสา ๓๐ เล่ม สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศทรงออกแบบอักษรพระนาม จ.ป.ร. แต่เป็นรูปพระบรมโกศ และมีฉัตร ๒ ข้าง ข้าพเจ้าได้เคยปักสะดึงตาลปัตรนี้ด้วย สังเค็ด ๑๒๐ ธรรมาศ พระเทศน์ นาฬิกาเรือนใหญ่ สิ่งอื่นๆ อีกจำไม่ได้ ตั้งแต่งานพระเมรุวันที่ ๑๖ เดือนมีนาคม ๒๔๕๓ พระเบ็ญจาทองคำที่วังกรมหลวงสรรพสารทสูงหลายชั้น ตั้งตรงกลางพระมหาปราสาท พระเบ็ญจาองค์นี้เป็นหลังที่สุดต่อมามิได้ทำอีกเลย เชิญพระบรมศพขึ้นพระเบ็ญจาโดยเกริ่น

    งานออกพระเมรุทั้ง ๓ วัน โปรดให้ประชาชนเฝ้าถวายสักการบูชาพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เวลาบ่ายและเช้าเลี้ยงพระ วันที่ ๓ เวลา ๑๔ นาฬิกา เชิญพระบรมศพเสด็จขึ้นสามคาน สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัย ประคองพระโกศ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ขึ้นพระยานมาศทรงโยงพระบรมศพ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศขึ้นพระยานมาศทรงโปรยข้าวตอก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงอภิธรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินตามพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือน เดินกระบวนไปวัดพระเชตุพน มีพลับพลาเล็กข้างวัด ตอนนี้พระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้พระยาวงษาภรณภูสิตภูษามาลาเชิญพระบรมโกศขึ้นเกริ่นประทับบนพระมหาพิไชยราชรถ ท่านได้เคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ท่านกลัวจะขลุกขลักเวลาเสด็จขึ้นเกริ่น ท่านได้จุดธูปเทียนกราบบังคมทูลพระบรมศพ ขอเชิญเสด็จโดยง่าย การก็เป็นไปโดยเรียบร้อย เวลาเสด็จขึ้นเกริ่นนั้นเป็นท่าที่งามนัก เห็นภูษามาลาถวายบังคม ๓ ครั้ง มือดุนพระบรมโกศเสด็จเข้าไปในราชรถ และเคลื่อนขบวน กรมหลวงนครไชยศรีทรงม้านำขบวน กองทหารม้า ทหารราบหลายเหล่า กองพระอิสริยยศ ราชรถเล็ก สมเด็จพระมหาสมณประทับราชรถทรงอภิธรรม พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ แล้วถึงพระมหาพิไชยราชรถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินตาม พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในเฝ้าที่ปะรำข้างพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ทุกๆ พระองค์มีเครื่องทองน้อยถวายสักการบูชา ข้าราชการฝ่ายในจุดธูปเทียนบูชาเวลาพระบรมศพผ่านถึงพระเมรุ เปลี่ยนจากพระมหาพิไชยราชรถเสด็จสามคาน สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยประคองพระโกศ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกทรงโยง สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมาทรงโปรย ทรงพระยานมาศทั้ง ๒ พระองค์ สมเด็จเจ้าฟ้าทุกๆ พระองค์ทรงพระภูษาขาว ผ้าทรงเยียรบับขาว ฉลองพระองค์ครุยขาว พระมาลามีขนนก เมื่อเวียน ๓ รอบแล้ว เชิญเสด็จขึ้นบนพระจิตกาธาน เปลี่ยนพระโกศไม้จันทน์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายแล้ว เสด็จขึ้นถวายบังคมพระบรมศพ ถวายพระเพลิง พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าฝ่ายใน ข้าราชการ ราชทูต ผู้แทนรัฐบาล กงสุล ทุกประเทศ ถวายพระเพลิงพระบรมศพ เจ้านายฝ่ายในเมื่อถวายพระเพลิงแล้วเสด็จกลับทางฉนวนเข้าในพระบรมมหาราชวัง ไม่ได้เสด็จถวายพระเพลิงจริงตอนดึกอีกครั้ง


    ตอนเช้า ๗ นาฬิกา เสด็จพระราชดำเนินที่พระเมรุเสด็จขึ้นถวายบังคมพระบรมอัฐิ กระบวนสามหาบ เดินกระบวน ๙ หาบด้วยกัน เจ้าพระยาภาณุวงษ์ เจ้าพระยาเทเวศร์ เจ้าพระยาวิชิตวงษ์ วุฒิไกร(ม.ร.ว.คลี่) เจ้าพระยาพระเสด็จ เจ้าพระยาธรรมา(เวลานั้นเป็นพระอนุรักษ์ฯ) เจ้าพระยาภาสกรวงษ์ เจ้าพระยาอภัยราชา(ม.ร.ว.ลพ) พระยาศรีวรวงษ์(ม.ร.ว.จิตร) พระยาวิชิตวงษ์วุฒิไกร(ม.ร.ว.สิทธิ) หม่อมนเรนทร ฯลฯ รวม ๒๗ คนด้วยกัน ยังไม่ครบข้าพเจ้าจำไม่ได้

    เมื่อเดินครบ ๓ รอบแล้ว พระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นบนพระเมรุ ทรงจุดเครื่องทองน้อย ทรงทอดผ้าไตร ๙ ไตร สมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะ ๙ รูป ขึ้นสดับปกรณ์ เจ้าพนักงานภูษามาลาเปิดผ้าคลุมพระบรมอัฐิ พระเจ้าอยู่หัวถวายพระสุคนธ์ ทรงโปรยเหรียญทองและเงิน นอกจากนั้นยังมีเข็มกลัดพระบรมนามาภิไธย พระจุลจอมเกล้ามีเพชร ๖ เม็ด เข็ม จ.ป.ร. ลงยาสีน้ำเงินแก่ปนขาว และเหรียญลงยา จ.ป.ร. อีกมาก พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน เสด็จขึ้นบนพระเมรุรับพระบรมอัฐิและพระนามาภิไธยเป็นที่ระลึก เสร็จแล้วเลี้ยงพระสามหาบแห่เชิญพระบรมอัฐิ เสด็จขึ้นพระที่นั่งราเชนทร พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายพลเรือนข้าราชการเดินตามพระบรมอัฐิเข้าในพระบรมมหาราชวัง เสด็จขึ้นบนพระเบ็ญจา มีงามสมโภชอีก ๓ วัน วันหลังเลี้ยงพระสดับปกรณ์แล้วเจ้าพนักงานภูษามาลาเชิญพระบรมอัฐิขึ้นพระราชยาน ขึ้นบนพระที่นั่งจักรี พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จขึ้นบนพระที่นั่งจักรีชั้น ๓ ประดิษฐานตั้งบนพระวิมาน



    พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์เป็นโคลงมหาวิชชุลีในหนังสือดุสิตสมิตว่า


    ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจ เรานา
    ว่าอาจจะยังชนม์ เลิศได้
    และยามจะบรรลัย ทิ้งซึ่ง
    รอยบาทเหยียบแน่นไว้ แทบพื้นทรายสมัย



    ............................


    [​IMG]


    .......................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  7. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๖.


    พระภรรยาเจ้า ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

    ก่อนจะเข้าความละเอียดในตอนนี้ ขอทำความเข้าใจและอธิบายในลำดับชั้นยศ ของพระภรรยาเจ้า ในชั้นต่างๆ ดังนี้ ซึ่งเป็นข้อความที่คัดลอกมาจากพระวินิจฉัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ


    ลำดับชั้นยศ พระมเหสีเทวี และเจ้าจอม

    ในสมัยกรุงศรีอยุธยายังไม่มีคำว่า พระบรมราชินี ที่ใช้กันก็มรคำ พระอัครมเหสี เป็นสูงกว่าอย่างอื่น ในกฎมณเฑียรบาล ซึ่งตั้งในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๑ มีกล่าวไว้ว่า “พระราชกุมารอันเกิดด้วยพระอัครมเหสี เป็นสมเด็จหน่อพุทธเจ้า ราชกุมารอันเกิดแต่แม่ยั่วเมืองเป็นพระมหาอุปราช” ดังนี้จะเห็นว่าตำแหน่งพระอัครมเหสี เป็นคำที่สูงสุดแล้วในสมัยนั้น รองลงมาก็คือตำแหน่งแม่ยั่วเมือง

    คำว่า "แม่ยั่วเมือง" นั้นเป็นคำที่เรียกใช้ในสมัยโบราณหมายถึง พระสนมเอก แสดงว่าในสมัยนั้นพระสนมเอกเป็นที่สองรองลงมาจากพระอัครมเหสี แต่ในพงศาวดารบางรัชกาลได้แต่งตั้งพระอัครมเหสีไว้ถึงสองพระองค์ เรียกว่า พระอัครมเหสีฝ่ายขวา และพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย ตามปกติธรรมเนียมไทยถือขวาว่าสูงกว่าซ้าย

    ตำแหน่งพระสนมในสมัยกรุงศรีอยุธยา จะมีกี่ชั้นแน่ไม่ทราบแต่ตามกล่าวไว้ในกฎหมายโบราณ ได้กล่าวถึงตำแหน่งพระสนมเอกหรือที่เรียกตามกฎหมายว่านางท้าวพระสนมเอกไว้สี่ตำแหน่ง ถือศักดินาคนละ ๑,๐๐๐ มีชื่อเรียงกันดังนี้

    ๑. ท้าวอินสุเรนทร
    ๒. ท้าวศรีสุดาจันทร์
    ๓. ท้าวอินทรเทวี
    ๔. ท้าวศรีจุลาลักษณ์

    ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการแบ่งชั้นจัดอันดับตามเครื่องยศ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ในประวัติเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ ตอนหนึ่งว่า เครื่องยศนักสนมเมื่อก่อนรัชกาลที่ ๔ จะเป็นอย่างไรฉันไม่รู้แน่ แต่เมื่อรัชกาลที่ ๔ นั้นมี ๕ ชั้นเป็นลำดับกัน ล้าวนเป็นเครื่องใส่หมากกินทั้งสิ้น

    ชั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นชั้นต่ำกว่าเพื่อนเป็นหีบหมากเงินกาไหล่ทองสำหรับพระราชทาน “นางอยู่งาน” แต่โบราณดูเหมือนจะเรียกว่า “นางกำนัล” ซึ่งทรงใช้สอยในพระราชมณเฑียร ได้แต่บางคนที่ทรงพระเมตตาในหมู่นางอยู่งาน แต่การที่ได้พระราชทานหีบหมากกาไหล่ยังไม่นับมาเป็นเจ้าจอม

    ชั้นที่ ๓ เป็นหีบหมากทองคำ สำหรับพระราชทานนางอยู่งานซึ่งทรงเลือกไว้ใช้ใกล้ชิดประจำพระองค์ ใครได้พระราชทานหีบหมากทองคำจึงมีศักดิ์เป็น “เจ้าจอม” เรียกว่าเจ้าจอมนำหน้าชื่อทุกคน ฉันเข้าใจว่าชั้นนี้เรียกว่า “เจ้าจอมอยู่งาน”

    ชั้นที่ ๒ เป็นหีบหมากทองคำลงยาราชาวดี สำหรับพระราชทานเจ้าจอมมารดาหรือเจ้าจอมอยู่งาน ซึ่งทรงพระเมตตายกย่องขึ้นเป็นชั้นสูง ฉันเข้าใจว่าเรียก “พระสนม” แต่ชั้นนี้ขึ้นไป

    ชั้นที่ ๑ เรียกว่า “พระสนมเอก” ได้พระราชทานพานทองเพิ่มหีบหมากลงยาที่กล่าวมาแล้ว เป็นพานหมากมีเครื่องในทองคำกับกระโถนทองคำหนึ่งใบ เป็นเทือกเดียวกับพานทองเครื่องยศที่พระราชทานเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่แต่ขนาดย่อมกว่าพานทองเครื่องยศฝ่ายหน้า

    ชั้นพิเศษ สำหรับพระราชทานพระมเหสีเทวี ซึ่งเรียกในกฎมณเฑียรบาลว่า “พระภรรยาเจ้า” มีทั้งหีบและพานหมากเสวยล้วนทำด้วยทองคำลงยาราชาวดี เครื่องยศนางใน ๕ ชั้น เช่นพรรณนามาดูเหมือนจะตั้งเป็นกำหนดเมื่อรัชกาลที่ ๔




    นามท้าวนาง

    ตามประวัติเจ้าจอมมารดาและเจ้าจอมต่างๆ จะเห็นว่าบางท่านได้รับตำแหน่งหน้าที่มีชื่อต่างๆ กันออกไป เพื่อเป็นประโยชน์ในทางความรู้ จะขอกล่าวถึงชื่อตำแหน่งและหน้าที่ตามปรากฏในทำเนียบเก่า ดังนี้

    ๑. ท้าววรจันทร์ บรมธรรมิกภักดี นารีวรคณานุรักษา มีหน้าที่บังคับบัญชาตัดสินว่าพระราชการในพระบรมมหาราชวังฝ่ายใน

    ๒. ท้าวสมศักดิ์ มีหน้าที่บังคับบัญชาตัดสินว่าราชการในพระบรมมหาราชวังฝ่ายใน

    ๓. ท้าวศรีสัจจา มีหน้าที่บังคับบัญชาตัดสินว่าราชการในพระบรมมหาราชวังฝ่ายใน

    ๔. ท้าวโสภานิเวศน์ มีหน้าที่บังคับบัญชาตัดสินว่าราชการในพระบรมมหาราชวังฝ่ายใน

    ๕. ท้าวอินทรสุริยา สรรพาหารพิจาริณี ที่นักพฤฒิชราฉลองพระโอษฐ์ มีหน้าที่บังคับบัญชาบรดาวิเสทนอกในทั้งปวง

    ๖. ท้าวทรงกันดาล มีหน้าที่บังคับบัญชาราชการพระคลังเงิน, พระคลังทอง ผ้าแพร เครื่องทองขาวทองเหลืองฝ่ายใน



    ตำแหน่งใหม่ในรัชกาลที่ ๕

    ๗. ท้าววรคณานันท์ อัพภันตรปตานี ราชนารีกิจวิจารณ์ มีหน้าที่ตรวจตราสั่งสอนความผิดชอบข้าราชการฝ่ายในทั้งปวง

    ๘. ท้าวภัณฑสารนุรักษ์ มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยราชการพระคลังข้างใน

    ๙. ท้าวราชกิตวรพัฒน์ ศรีสวัสดิ์สาหาร เป็นพนักงานทำเครื่อง

    ๑๐. ท้าวสุภัติการภักดี เป็นพนักงานตรวจเครื่องวิเสทสำหรับราชการต่างๆ ที่พระมหามณเฑียร


    ท้าวนางฝ่ายพระราชวังบวรมีมาแต่รัชกาลที่ ๔


    ๑. ท้าวอนงครักษา มีหน้าที่บังคับบัญชาตัดสินว่าราชการฝ่ายพระราชวังบวร

    ๒. ท้าวสัตยานุรักษ์ มีหน้าที่บังคับบัญชาตัดสินว่าราชการฝ่ายพระราชวังบวร

    ๓. ท้าวพิพัฒโภชา เป็นพนักงานทำเครื่องฝ่ายพระราชวังบวร





    .........................................


    [​IMG]


    .....................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  8. walaphako

    walaphako ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +1,599
    มาให้กำลังใจ ตามอ่านอยู่นะคะ
     
  9. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ขอบคุณเจ้าค่ะ
     
  10. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๖.

    พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชเทวี พระอรรคชายา และพระราชชายา

    ในตอนนี้จะเขียนแค่รายพระนามก่อน แล้วจะค่อยๆ เล่าถึงพระประวัติของแต่ละพระองค์ที่สำคัญๆ และที่น่าสนใจ




    [​IMG] [​IMG]
    ๑. สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ทรงมีพระราชธิดา ดังนี้




    [​IMG]
    ๑.๑ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ โสภางคทัศนิยลักษณ์ อรรควรราชกุมารี ประสูติเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๑ สิ้นพระชนม์ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๓ จากอุปัทวเหตุเรือพระประเทียบล่ม

    ๑.๒ สมเด็จเจ้าฟ้า สิ้นพระชนม์ในพระครรภ์พร้อมพระราชมารดา จากอุปัทวเหตุเรือพระประเทียบล่ม





    [​IMG]

    ....................................................






    [​IMG]
    ๒. สมเด็จพระศรีศวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงมีพระราชโอรส พระราชธิดา ดังนี้


    [​IMG]
    ๒.๑ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายวชิรุณหิศ อดิศวรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรสมมติเทพยวรางกูร บรมมกุฏนเรนทร์สุริยขัตติยสันตติวงศ์ อุกฤษฏ์พงษ์วโรภโตสุชาติ ธัญญลักษณวิลาสวิบูลย์สวัสดิ์ ศิริวัฒนราชกุมาร สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ประสูติวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๑ สิ้นพระชนม์วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ พระชนมายุ ๑๖ ปี ๖ เดือน ๗ วัน


    ๒.๒ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายอิศริยาภรณ์ บรมนริศรสมบัติเทวราช จุฬาลงกรณ์นาถปรมางกูร สมบูรณอุกฤษฐศักดิ์ อุโภตปักษ์วิสุทธิพงศ์ มหามกุฎราชรวิวงศ์วราวัตรลักษณสมบัติ ขัตติยราชกุมาร ประสูติวันที่๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๒๒ สิ้นพระชนม์วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๒๒ พระชนมายุ ๒๑ วัน



    ๒.๓ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงวิจิตรจิรประภา อดุลยาดิเรกรัตน ขัตติยราชกุมารี ประสูติวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๒๔ สิ้นพระชนม์วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๔ พระชนมายุ ๓ เดือน ๒๔ วัน


    [​IMG]

    ๒.๔ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายสมมติวงศวโรทัย ศตสมัยมงคลเขตร บรมนฤเบศร์จักรีวงศ์ จุฬาลงกรณ์นาถนรินทร์ สยามินทรราชวโรรส อุกฤษฐวรยศอุภัยปักษ์ วิสุทธิศักดิ์อรรควิมลรัตน์ ขัตติยราชกุมาร กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ ประสูติวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๕ สิ้นพระชนม์วันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๒ พระชนมายุ ๑๗ ปี ๘ วัน


    [​IMG]
    ๒.๕ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินทร ประสูติวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๒๗ สิ้นพระชนม์วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๑ พระชนมายุ ๕๔ ปี ๙ เดือน ๒๙ วัน



    [​IMG]
    ๒.๖ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงศิราภรโสภณ พิมลรัตนาวดี ประสูติวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๑ สิ้นพระชนม์วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ พระชนมายุ ๙ ปี ๑๐ เดือน ๙ วัน



    [​IMG]

    ๒.๗ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายมหิดลอดุลยเดชนเรศวรมหาราชาธิบดินทร์ จุฬาลงกรณินทรวรางกูรสมบูรณ์เบญจพรสิริสวัสดิ์ขัตติยวโรภโตสุชาติคุณสังกาศเกียรติประกฤษฐลักษณะวิจิตรพิสิฏฐบุรุษย์ ชนุดมรัตนพัฒนศักดิ์อรรควรราชกุมาร กรมหลวงสงขลานครินทร์ ประสูติวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๓๔ สิ้นพระชนม์วันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๒ พระชนมายุ ๓๗ ปี ๘ เดือน ๒๓ วัน



    ๒.๘ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิง ประสูติวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๓๖ สิ้นพระชนม์วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๓๖ พระชนมายุ ๓ วัน



    [​IMG]



    ...................................


    [​IMG]

    .......................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  11. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ยังคงตามอ่านเสมอครับ ^^ ได้ความรู้เพิ่มมากมาย


    .
     
  12. ต้อม (เสาร์)

    ต้อม (เสาร์) สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +18
    ขอบคุณค่ะ ประทับใจ และชื่นชม
     
  13. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๖.



    [​IMG]
    ๓. สมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชโอรส พระราชธิดา ดังนี้



    [​IMG]
    ๓.๑ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงพาหุรัดมณีมัย ประไพพรรณพิจิตร นริศรราชกุมารี ประสูติวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๒๑ สิ้นหระชนม์วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๓๐ ถึงรัชกาลที่ ๖ ทรงสถาปนาพระอัฐิ เป็นาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระเทพนารีรัตน์


    ๓.๒ สมเด็จ เจ้าฟ้าหญิง ตกเสียวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๒




    [​IMG]
    ๓.๓ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวราวดี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๓ ต่อมาทรงเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงพระนามเต็มว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานาถมหาสมมตวงศ์ อดิศัยพงศ์วิมลรัตน์วรขัตติราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณีจักรีบรมนาถ จุฬาลงกรณราชวรางกูร บรมมกุฏนเรนทร์สูรสันตติวงศวิสิฐ สุสาธิตบุรพาธิการ อดุลยกฤษฎาภินิหาร อดิเรกบุญฤทธิ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมาลย์ทิพยเทพาวตาร ไพศาลเกียรติคุณ อดุลยวิเศษสรรพเทเวศรานุรักษ์ บุริมศักดิสมญาเทพวาราวดี ศรีมหาบุรุษสุทธสมบัติ เสนางคนิกรรัตนอัศวโกศล ประพนธปรีชา มัทวสมาจาร บริบูรณคุณสารสยามาทินคร วรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร บรมชนกาดิศรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษฏาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัยพุทธาธิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์ อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณา สีตลหฤทัย อโนมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓ เสด็จสวรรคตวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘




    [​IMG]

    ๓.๔ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายตรีเพ็ชรรุตม์ธำรง ประสูติวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๒๔ สิ้นพระชนม์วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๒๙





    [​IMG]

    ๓.๕ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายจักรพงษภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ประสูติเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๒๕ สิ้นพระชนม์วันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๓



    ๓.๖ สมเด็จเจ้าฟ้า ตกเสียวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๒๖




    [​IMG]

    ๓.๗ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายศิริราชกกุธภัณฑ์สรรพวิสุทธิ์มหุดิมงคล อเนกนภดลดารารัตน์ สมันตบริพัตรวโรกาส อดิศรราชจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยวโรรส วิสุทธิสมมตวโรภโตปักษ์ อุกฤษฐศักดิ์ อัครวรราชกุมาร ประสูติวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๒๘ สิ้นพระชนม์วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๓๐



    ๓.๘ สมเด็จเจ้าฟ้า ตกเสีย วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๒๙




    ๓.๙ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิง ประสูติวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๓๐ สิ้นพระชนม์วันประสูติ



    [​IMG]
    ๓.๑๐ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ประสูติวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๓๒ สิ้นพระชนม์วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๗



    ๓.๑๑ สมเด็จเจ้าฟ้า ตกเสียวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๓



    ๓.๑๒ สมเด็จเจ้าฟ้า ตกเสียวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๓๓




    [​IMG]
    ๓.๑๓ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายจุฑาธุชธราดิลก สยามาธิปกปรมินทรจุฬาลงกรณราชวโรรส อดิศัยยศอุภัยชาติพิสุทธิ์ ไทวปายนุตมศักดิ์อดุลยลักษณวิลาส มหามกุฎราชพงศานุพัทธ วิวัฒนผลพรพิสิษฐ มหิศรราชกุมาร กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ประสูติวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๕ สิ้นพระชนม์วันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๖



    [​IMG]
    ๓.๑๔ สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ ธเนศรมหาราชาธิราชจุฬาลงกรณ์นาถวโรรส อุดมยศอุกฤษฐศักดิ์ อุภัยปักษนาวิล อสัมภินชาติพิสุทธิ์ มหามงกุฎราชพงศบริพัตรบรมขัตติยมหารัชฎาภิษิยจนพรรโษทัย มงคลสมัยสมากร สถาวรรัจฉริยคุณ อดุลยราชกุมารกรมขุนศุโขทัยธรรมราชา ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๓๖ ต่อมาเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงพระนามเต็มว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก มหันตเดชนดิลกรามาธิบดี เทพยปรียามหาราชรวิวงศ์ อสัมภินพงศพีระกษัตรบุรุษรัตนราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถจุฬาลงกรณราชวรางกูร มหมกุฏวงศวีรสูรชิษฐ ราชธรรมทศพิธ อุต์กฤษฎานิบุณย์อดุลยฤษฎาภินิหาร บูรพาธิการสุสาธิต ธันยลักษณ์วิจิตรเสาวภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคมานท สนธิมตสมันตสมาคม บรมราชสมภาร ทิพยเทพวตารไพศาลเกียรติคุณ อดุลยศักดิเดช สรรพเทเวศปริยานุรักษ์ มงคลลคนเนมาหวัยสุโขทัยธรรมราชา อภิเนาวศิลปศึกษาเดชาวุธ วิชัยยุทธศาสตร์โกศล วิมลนรรยพินิต สุจริตสมาจาร ภัทรภิชญาณประดิภานสุนทร ประวรศาสโนปสุดมภก มูลมุขมาตยวรนายกมหาเสนานี สราชนาวีพยูหโยธโพยมจร บรมเชษฏโสทรสมมต เอกราชยยศสธิคมบรมราชสมบัติ นพปฏลเศวตฉัตราดิฉัตร ศรีรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิศิกต์ สรรพทศทิศวิชิตเดโชไชย สกลมไหศวรยมหาสยามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาธิไตรรัตนวิศิษฎศักดิ์อัครนเรศวราธิบดี เมตตากรุณาศีตลหฤทัย อโนปไมยบุณยการ สกลไพศาลมหารัษฎราธิบดินทร์ ปรมินทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๘ เสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๔



    [​IMG]




    ...................................





    [​IMG]




    .......................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  14. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๖.




    [​IMG]
    ๔. สมเด็จพระปิตุฉาเจ้า สุขุมาลย์มารศรี พระอัครราชเทวี ทรงมีพระราชโอรส พระราชธิดา ดังนี้



    [​IMG]
    ๔.๑ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิง<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>สุทธาทิพยรัตน์ สุขุมขุติยกัลยาวดี กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ ประสูติวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๒๐ สิ้นประชนม์วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๕


    [​IMG]
    ๔.๒ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประสูติวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๔ สิ้นพระชนม์วันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๗ ที่ตำหนักประเสบัน เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย พระพรรษา ๖๓ พรรษา


    ๔.๓ สมเด็จเจ้าฟ้า ตกเสีย
    ๔.๔ สมเด็จเจ้าฟ้า ตกเสีย



    [​IMG]




    ...................................



    [​IMG]


    .......................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  15. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๖.

    [​IMG]
    ๕. พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินินาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา(พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์) ทรงมีพระราชโอรส พระราชธิดา ดังนี้



    [​IMG]
    ๕.๑ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายยุคลทิฆัมพร จุฬาลงกรณ์ราชรวิวงศ์ อุภัยพงศ์พิสุทธิ์ วรุตโมภโตสุชาต บรมนฤนาถราชกุมาร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ประสูติวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๔๒๕ เมื่อแรกประสูติดำรงพระยศ พระองค์เจ้า สิ้นพระชนม์วันที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๕




    [​IMG]
    ๕.๒ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงนภาจรจำรัสศรี ประสูติวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๗ เมื่อแรกประสูติดำรงพระยศ พระองค์เจ้า สิ้นพระชนม์วันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๓๒ พระชันษา ๖ ปี



    [​IMG]
    ๕.๓ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงมาลินีนพดารา สิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา ประสูติวันที่ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๒๘ สิ้นพระชนม์วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๗ พระชันษา ๔๐ พรรษา



    [​IMG]
    ๕.๔ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงนิภานภดล วิมลประภาวดีกรมขุนอู่ทองเขตขัติยนารี ประสูติวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๒๙ เมื่อแรกประสูติดำรงพระยศ พระองค์เจ้า สิ้นประชนม์เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๓ ที่เมืองบังดง ประเทศอินโดนีเซีย



    [​IMG]




    ..................................


    [​IMG]


    ...........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  16. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๖.




    [​IMG]
    ๖. พระอรรคชายาเธอ พระองเจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ ทรงมีพระราชธิดา คือ



    [​IMG]
    ๖.๑ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร วโรฬารลักษณสมบัติ รัตนกุมารี กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์ ประสูติ วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๖ หรือที่ชาววังออกพระนามว่า สมเด็จหญิงใหญ่ พระองค์ทรงประชวรด้วยโรคไข้กาฬโรคและสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันที่พระตำหนักวรนาฎเกษมสานต์ ในพระราชวังบางปะอิน เมื่อเวลา ๘ โมง ๒๑ นาที วันอังคารที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๗ ทรงมีพระชนมายุ ๓๑ พรรษา ๑๐ เดือน กับ ๖ วัน



    [​IMG]




    ...................................





    [​IMG]




    .......................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  17. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๖.



    [​IMG]
    ๗. พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าอุบลรัตนนารีนาค กรมขุนอัครวรราชกัญญา มีพระราชธิดา คือ



    [​IMG]
    ๗.๑ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงเยาว์มาลย์นฤมล สรรพสกนธ์กัลยาณี กรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี ประสูติวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๑๖ แรกประสูติดำรงพระยศ พระองค์เจ้า สิ้นพระชนม์วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๒



    [​IMG]




    ...................................



    [​IMG]



    .......................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  18. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๖.





    [​IMG]
    ๘. พระราชชายา เจ้าดารารัศมี มีพระราชธิดา ดังนี้





    [​IMG]
    ๘.๑ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิมลนาคนพีสี หรือ เสด็จเจ้าน้อย ประสูติวันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๒ สิ้นพระชนม์วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๓๕



    [​IMG]




    ...................................




    [​IMG]


    .......................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  19. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๖.

    ก็จบพระประวัติโดยย่อของพระมเหสี เทวี ทุกพระองค์ ต่อไปสร้อยฟ้ามาลาจะเขียนถึงพระประวัติที่พอจะหาได้ของทุกพระองค์ รวมถึงพระประวัติของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ที่ประสูติกับพระมเหสี เทวี พระองค์นั้นๆ โดยจะเรียงลำดับตาม พระชันษา.....


    สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี


    [​IMG]

    องค์ที่สี่สิบเก้า นามสวัสดิ์ ประวัติเฮย
    หนึ่งสุนันทารัตน แน่งน้อย
    อีกองค์หนึ่งจันทรทัต กุมาเรศ
    สุขุมาลย์มีสร้อย อีกอ้าง มารศรี

    พระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ ๕



    [​IMG]

    สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระนามเดิม พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์ ประสูติในพระบรมมหาราชวัง ณ วันเสาร์ เดือน ๑๒ แรม ๑๒ ค่ำ ปีวอก เวลา ๕ โมงเช้า ๔๐ นาที ตรงกับวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๐๓ ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา เป็นพระมารดา

    อนึ่ง, สมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา พระมารดาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชเทวีพระองค์นี้นั้น มีพระนามเดิมว่า เจ้าจอมมาดาเปี่ยม ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตาในรัชกาลที่ ๖ สมเด็จพระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานพระนามพระองค์เจ้าหญิงพระองค์นี้ว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์ ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์คาถาพระราชทานนามพระราชธิดา และพระราชทานพรดังต่อไปนี้

    “สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าแผ่นดินขอตั้งแต่งนามบุตรหญิงที่เกิดแต่เปี่ยมในวัน เสาร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีวอก โทศก นั้นว่า
    พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ วรรคศรี อาทิอักษร วรรคบริวารและเดชเป็นอันตอักษร จงเจริญด้วยอายุ สุข พละ ปฏิภาณ โภคสมบัติบริบูรณ์สรรพทั้งปวงทุกประการเทอญ

    ตั้งนามไว้ ณ วันอาทิตย์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน อ้าย ปีวอก โทศก เป็นวันที่ ๓๕๐๔ ในรัชกาลปัจจุบันนี้ อายุบิดานับได้ ๒๐๕๑๓ วันมาแล้ว

    คาถาพระราชทานพระนาม

    สุนนฺทากุมารี รตนาติ เอวนฺนามา อยํ สุตา
    อโรคา สุขินี โหตุ นิทุกฺขา สรฺปทฺทวา
    อทฺธา มหทฺธนา สา จ มหาโภควตี สทา
    ยสสถสินี อเวกลฺลา ปริวารวตีตถา
    พุทฺโธ ธมฺโม จ สํโฆ จ อโถ อารกฺขเทวตา
    นิจฺจํ นํ อภิรกฺขโน อนฺตรายวิมุตฺติยา


    คำแปลคาถา

    พระองค์เจ้าหญิงองค์นี้ ทรงนามว่า สุนันทากุมารีรัตน์ อย่างนี้ดังนี้ จงอย่ามีโรค จงมีความสุข ปราศจากความทุกข์และวุ่นวายเถิด พระองค์เจ้าหญิงนั้นจงมั่งคั่งด้วยทรัพย์มาก มีโภคมาก มียศและบริวารไม่แปรผัน ขอพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กับอารักขเทวดา จงช่วยอภิบาลรักษา พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์นั้นให้พ้นจากอันตรายเป็นนิตย์ ขอความสัมฤทธิ์จงมีแก่พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์เทอญ”



    พระนาม “สุนันทา” เป็นมงคลนาม ด้วยเป็นนามของพระมเหสีองค์หนึ่งใน ๔ องค์ของพระอินทร์ในเทวภูมิ



    การศึกษาในปฐมวัย


    [​IMG]


    ในเรื่องการศึกษาของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์นั้นเข้าใจว่า ทรงศึกษาเช่นเดียวกับเจ้านายพระองค์อื่นๆ ในสมัยนั้นคือ พอรู้ความก็ต้องเริ่มทรงศึกษาอักขรสมัย ด้วยเหตุว่าตามราชประเพณีมีมาแต่โบราณ การอบรมศึกษาของเจ้านายซึ่งเป็นพระราชโอรสและพระราชธิดาทรงกวดขันยิ่งนัก ในสมัยสมเด็จพระนางเจ้าเมื่อทรงพระเยาว์นั้นเข้าใจว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์คงจะทรงศึกษาเล่าเรียนในสำนักเจ้านายพระองค์หญิงซึ่งเป็นผู้ใหญ่พระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นพระอาจารย์ ด้วยเวลานั้นยังไม่ตั้งโรงเรียนชั้นประถมศึกษาสำหรับเจ้านาย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพตรัสไว้ว่า “เมื่อรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้หม่อมเจ้าและราชิกุล ที่เข้ามารับราชการฝ่ายในเล่าเรียนอักขรสมัยจนถึงชั้นสูง ท่านเหล่านี้มาได้เป็นอาจารย์เมื่อรัชกาลที่ ๔ มีบ้าง” และได้ตรัสต่อไปว่า “เจ้านายที่ยังทรงพระเยาว์ทรงศึกษาเบื้องต้นไปจนได้รับความรู้ขั้นอ่านเขียน หรือถ้าจะเรียกอย่างปัจจุบันนี้ก็คือ จนสำเร็จชั้นประถมศึกษาก่อนพระชันษาได้ ๑๐ ปี ต่อนั้นถึงเวลาเรียนขั้นมัธยมคือเรียนภาษาไทยชั้นสูงขึ้นไป และเริ่มเรียนภาษามคธ เรียนในสำนักอาจารย์เดิมบ้าง ไปเรียนต่ออาลักษณ์หรือราชบัณฑิตเป็นอาจารย์บ้าง จนพระชันษาถึงกำหนดโสกันต์ คือพระราชกุมารเมื่อพระชันษาได้ ๑๓ ปี พระราชกุมารีเมื่อพระชันษาได้ ๑๑ ปี ตั้งแต่นี้ไปการศึกษาจึงได้แยกกัน...ฝ่ายพระราชกุมารีเมื่อทรงพระเจริญขึ้นย่อมคงประทับอยู่ในพระราชวังตลอดไป ทั้งเป็นสตรีภาพไม่มีกิจซึ่งทรงศึกษาวิชาชาย การที่ทรงศึกษาต่อจากขั้นปฐมขึ้นไปก็มีศีลธรรมและพระศาสนา เป็นต้น นอกจากนั้นก็อยู่ในวิชาวรรณคดี กับหัตถกรรมกระบวนช่างเป็นพื้น บางพระองค์จึงทรงศึกษาต่อขึ้นไปถึงวิชาอื่นอันจะพึงเรียนได้ด้วยการอ่านตำรับตำราคือ วิชาเลข วิชาโหราศาสตร์ และโบราณคดี เป็นต้น ตามพระอัธยาศัย ถึงกระนั้น บรรดาพระราชกุมารีย่อมได้ทรงศึกษามากทุกพระองค์ จึงได้มีเจ้านายพระองค์หญิงสามารถเป็นองค์อาจารย์สั่งสอนเจ้านาย ซึ่งทรงพระเยาว์สืบต่อกันมาไม่ขาดทุกรัชกาล”

    เรื่องการศึกษาขงองสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ก็ทรงดำเนินตามแบบฉบับดังปรากฏตามพระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดังกล่าวมานั้นทุกประการ ครั้นเมื่อเป็นพระบรมราชเทวีแล้วก็คงจะทรงศึกษาความรู้จากพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเพิ่มเติมอีก





    ................................




    [​IMG]


    ........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • HIP2.jpg
      HIP2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.2 KB
      เปิดดู:
      35,786
    • LS-005.JPG
      LS-005.JPG
      ขนาดไฟล์:
      15.4 KB
      เปิดดู:
      36,439
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  20. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    ขอบคุณครับ ^^


    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...