ใครตอบไม่ได้คนนั้นไม่มีวันที่จะบรรลุธรรมได้ สติคืออะไร?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 6 สิงหาคม 2013.

  1. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เหรอๆๆๆๆ55555+++++ผมเลิกเที่ยวมาสิบกว่าปีแล้วอิอิ
     
  2. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    เอ๋-เอ๊..มันนานมาแล้ว..นานมากแล้ว..
    และก็ไม่ใช่ซ่องบอกกี่ครั้งแล้ว..ให้เกียรติ์สถาณที่เขาหน่อยดิ โอ่โถงกว่า โอ่โถงกว่าตั้งเยอะ..เขาเรียกสถาณบริการชายขี้เมื่อย..พูดไม่รู้ฟังเรียกผิดๆเรื่อย..พูดจริงแล้วผิด เหลืออกุศลกรรมบถ9ตรงไหน มิได้เป็นผู้แสดงธรรม แค่สนทนาธรรมจริงทั้ง2ด้านก็เท่านั้น..
    ..ว่าแต่ โกมีนัม เลือกเบอร์ไรอ่ะ..(k)
     
  3. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    พระผู้มีพระภาค
    ได้ตรัสพระคาถาตอบอุปกาชีวกว่าดังนี้
    เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวง
    อันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวง
    ละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะ
    ความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึง
    อ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเรา
    ก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มี ในโลกกับ
    ทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก
    เราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียว
    เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลส
    ได้แล้
     
  4. Shree Rajneesh buddha

    Shree Rajneesh buddha Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +99
    จริงๆๆ ข้าพเจ้าพูดเรื่องที่ง่ายนะ .....แต่ท่านเองต่างหากที่ทำให้มันซับซ้อนขึ้น ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ เพราะ มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสารในตอนนี้ ถ้าท่านพบข้าพเจ้าจริงๆๆ ข้าพเจ้าอาจจะไม่หล่นคำพูดสักคำเลยก็ได้ และ อาจจะชวนท่านชงกาแฟ ดำร้อนใส่กระติกไปนั่ง จิบ ชิล ชิลในสวนสาธารณะ ดู นกเป็ดน้ำร่วมกัน นี้แหละ ศาสนาล่ะ จะเอาอะไรกันมากว่านี้กันอีกล่ะ อันที่จริงข้าพเจ้าชอบอยุ่ตามชายทะเล ป่าเขา มากกว่าสวนสาธารณะนะ ......รู้อะไรไหมถ้าท่านสามารถที่จะผ่อนคลายโดยการมองดูเมฆ ผ่อนคลายโดยการมองดูหยาดฝนและสัมผัสได้ถึงความดีงานของมัน ท่านก็อาจแลเห็นถึงสัจจะอันปราศจากเงื่อนไข ซึ่งดำรงอยู่อย่างง่ายๆ ในสรรพสิ่ง อย่างที่มันเป็น อย่างเรียบง่าย เมื่อท่านสามารถมองดูสรรพสิ่งโดยไม่ต้องกล่าวว่า "สิ่งนี้สอดคล้องกับฉันหรือต่อต้านฉัน" "ฉันเข้ากับสิ่งนี้ได้" หรือ "ฉันไม่สามารถไปกับสิ่งนี้ได้" เมื่อนั้นท่านก็ได้เข้าถึงสภาวะการดำรงอยู่ของกระจกเงาแห่งจักรวาล เข้าถึงปัญญาญานอันเรืองรองของมัน อาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลของสัมผัสรับรู้ ซึ่งคลี่คลายแผ่ปกออก เต็มไปด้วยโสตสัมผัส จักษุสัมผัสและรสสัมผัสอันปราศจากขอบเขต เต็มไปด้วยความรู้สึกรับรู้อันปราศจากขอบเขต เป็นอาณาจักรของสัมผัสรับรู้ซึ่งไร้ขอบเขต ไร้ขอบเขตจนกระทั่งว่าตัวการสัมผัสรับรู้นั้นก็ คือปฐมภาวะอันสุดคาดคิด มีสัมผัสรับรู้มากมายที่เกินจินตนาการ มีกระแสเสียงมากมาย มีกระแสเสียงซึ่งท่านไม่เคยได้ยินมาก่อนมีภาพและสีสันซึ่งท่านไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน มีความรู้สึกซึ่งท่านอาจจะไม่เคยประสบมาแต่ก่อน เป็นอาณาจักรแห่งสัมผัสรับรู้อันไร้ที่สิ้นสุด เป็นทั้งหมดของตัวการรับรู้ เป็นกระบวนการสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องระหว่างจิตสำนึก ประสาทสัมผัสและขอบข่ายของสัมผัสหรือตัวสิ่งที่ถูกรับรู้ สัมผัสรับรู้ถูกถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่ดีงามโดยพื้นฐาน มันเป็นของประทานจากธรรมชาติ เป็นศักยภาพตามธรรมชาติซึ่งมนุษย์มีอยู่ในตัว มันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งปัญญาญาน อันที่จริง ถ้าท่านไม่อาจมองเห็นภาพใดๆ ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ไม่อาจลิ้มรสอาหารใดๆ ท่านก็ไม่มีทางที่จะสื่อสารกับโลกแห่งปรากฎการณ์นี้ได้เลย ทว่าอาศัยความกว้างใหญ่ไพศาลของสัมผัสรับรู้ ท่านจึงอาจสื่อสารกับโลกได้อย่างลึกซึ้ง


    อันที่จริงข้าพเจ้าพูดเรื่องความคิด กลไกของมันและ การออกจากความคิดมันมีแค่นั้นเอง และ เน้นที่การมีใจปกตินี้แหละคือที่สิ้นสุดของทุกข์ ใจปกติซึ่ง เป็นธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ที่นั้นเสมอ แต่มันถูกบดบังด้วยความคิด เมื่อใดที่เกิดช่องว่างขึ้นในกลีบเมฆของความคิด มันจะฉายแสงออกมา เข้าไป หาและรับรู้อย่างตรงๆๆ ฉับพลันนั้นเถิด และด้วยการเปิดนี้เองที่ปัญญาญาณ จะปรากฏ ออกมา


    คนเป็นอันมาก เข้าใจความจริงว่าด้วยทุกข์ได้ แต่ไม่ก้าวไปสู่การกำหนดรู้เหตุแห่งทุกข์ ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น นี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจ แน่นอนว่าข้าพเจ้าชอบชงกาแฟ ดำร้อนใส่กระติกไปนั่ง จิบ ชิล ชิลในสวนสาธารณะ ดู นกเป็ดน้ำอันที่จริงจะใครหรืออะไรที่ผ่านมาข้าพเจ้าก็เฝ้าดู และหนึ่งในนั้นก็คือตัวเอง

    และข้าพเจ้าก็พบคำตอบ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะความว้าวุ่น เพราะเราอยากจะหนี เราต้อง การหนีจากความเจ็บปวด ยิ่งกว่าจะถือมันเป็นแหล่งของแรงบันดาลใจ เรารู้สึกว่า แค่ความทุกข์ก็นับว่าเลวร้ายพออยู่แล้ว จะสืบสาวกันต่อไป ทำไม? นี่คือประเด็น จะยกเว้นก็แค่คนบางคนเท่านั้น เช่นคนอย่างพระสมณะโคดม ที่ที่ประสบทุกข์อย่างแสนสาหัส จนตระหนักได้ว่าตนไม่ อาจหลีกหนีมันไปได้ เขาจึ่งเริ่มดิ้นรน เพื่อที่จะทำความเข้าใจ


    แต่คนส่วนมากไม่สนใจเขาจะไปอีกทาวง นั้นคือ มักหมกมุ่นอยู่กับการพยายามกำจัดความกลัดกลุ้มของตน หมกมุ่นอยู่กับการพยายาม หลบลี้หนีตัวเอง ไปหาวัตถุที่ตนครอบครองอยู่ ความคิดที่สวยงามในที่นี้ ก็รวมคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วย ไม่ต้องกลัวไป ฉันมีพระสมณะโคดม ฉันรู้ปัญหา รู้ทางแล้วพระสมณะโคดมให้คำตอบมาแล้ว มีทางพ้นออกไปด้วย สบายใจได้หายหวง นี่คือการหนีตัวเอง หนีจากการเรียนรู้ที่จะมองเข้าไปในทุกข์ อันชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึง

    แต่หากท่านประสงค์จะได้ รับแรงบันดาลใจที่แรงกล้า ดุจเดียวกับพระสมณะโคดมแล้ว ท่านจะต้อง เปิดใจให้กว้างและใฝ่แสวงหา ท่านจะต้องใฝ่สำรวจไปทุกสิ่ง แม้ว่ามันจะน่าเกลียด เจ็บปวด หรือบีบคั้นเพียงใดก็ตาม...โดยต้องไม่หลอกตัวเองว่าท่านรู้คำตอบแล้ว ท่านไม่รู้หรอก นี้คือประเด็นที่ข้าพเจ้าค่อนข้างเน้น จริงที่พูดไปยาวๆๆ มันก็มีอยู่ไม่กี่ประเด็นหรอก

    ท่านเคยสังเกตความทุกข์ ของท่านไหม? การทำความเข้าใจทุกข์ ก็คือการทำความเข้าใจความกระเจิดกระเจิงของจิตใจ นี่คือประเด็นสำคัญยิ่งน่าเสียตายที่ตนส่วนใหญ่ไม่เคยเฝ้ามองดู ความกระเจิดกระเจิงของจิตใจ เราถูกผลักไสไปที่นั่นที่ด้วยพลังมหาศาล ไม่ว่าจะกิน จะ นอน จะทำงาน จะเล่นหรือจะทำอะไรก็แล้วแต่ ชีวิตดูจะเต็มไปด้วย ความทุกข์ ความคับแค้นใจและความเจ็บปวด ถ้าเรากำลังสนุกสนาน เพลิดเพลิน เราก็กลัวจะสูญเสียมันไป เราจะดิ้นรนไขว่คว้าหาความเพลิดเพลินมาก ยิ่งขึ้น ๆ พยายามทับถมมันเข้าไป ถ้าเราต้องทุกข์ด้วยความคับ แค้นใจอยู่ตลอดเวลา กิจทุกประการดูจะบรรจุเอาความเจ็บปวดหรือความ คับแค้นใจไว้หมด ไม่ว่างเว้น
    นี่แหละ อริยสัจน์ข้อหนึ่ง การ ทำความเข้าใจและเผชิญหน้ากับความทุกข์นี้แหละเป็นก้าวแรก ท่านต้องเริ่มจากการเมื่อได้กำหนดรู้ชัดในความคับแค้นใจของท่านแล้วลองสืบสาวหา เหตุผลหาแหล่งที่มาของความคับแค้นใจนั้นสิ

    ท่านจะพบว่าตัวท่านเองนั้นแหละ ที่เป็นต้นเหตุ เพราะมีท่าน จึงมีการดิ้นรนหล่อเลี้ยง อุ้มชูตัวเอง นี่คือ กระบวนการ ที่ว่า อัตตาของเราเกิดขึ้นและปฏิบัติงานอย่างไร นี้เป็นอริยสัจข้อที่สอง ได้แก่ ความจริงว่าด้วยเหตุแห่งทุกข์ ที่ท่านต้องค้นให้พบด้วยตัวท่านเอง ทุกข์ นั้น เกิดขึ้นเพราะจิตใจต้องหมุนเวียนไปมาอย่างไม่มีจุดเริ่ม หรือจุดจบ กระบวนความคิดแล่นไปเรื่อย ๆ ทั้งความคิดเกี่ยวกับอดีต ความคิดเกี่ยวกับอนาคต และความคิดเกี่ยวกับปัจจุบันนี้ ก่อให้เกิดความ กลัดกลุ้ม ความคิดทั้งหลายล้วนได้รับแรงกระตุ้นจากความคับแค้นใจ ความทุกข์ ความรู้สึกวน เวียน ไม่รู้จบ ว่าชีวิตเรายังไม่สมบูรณ์ ยังพร่องอยู่ บางสิ่งบางอย่างไม่ เข้าที่ ยังไม่พอ เราจึงพยายามถมช่องว่างนั้น พยายามจัดให้เข้าที่เข้าทาง แสวงหาความพึงพอใจหรือความมั่นคงที่แปลกพิเศษ การต่อสู้ดิ้นรนและ การยึดครองเหล่านี้ ล้วนน่ากลัดกลุ้ม ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ท้ายที่สุด เราจะเริ่มกลัดกลุ้มกับการที่เป็นเพียง " ตัวฉัน " อยู่เท่านี้ นี่แหละ สังสารวัฏ นี่แหละวงจรปฏิจจสมุปบาท


    ทีนี้ เมื่อเข้าใจตรงนี้ปัญหาที่ตามมาก็คือ หลายคนเข้าใจผิดไปแล้วว่า ในเมื่ออัตตาเป็นตัวของความทุกข์ดังนี้แล้ว เป้า หมายของศาสนธรรมจึงต้องอยู่ที่การเอาชนะและทำลายอัตตาเสีย พวกเขา จะดิ้นรนหาทางกำจัดมือไม้ของอัตตา ซึ่งมีรูปแบบมากมาย เช่น การสละชีวิตทางโลกไปอย่ป่าเขา การทรมาณตัวเอง การฝึกสมาธิโดยหลังว่าจะบรรลุภาวะที่สูงสุด การดิ้นรนต่อสู้เพื่อขจัดความทะยานอยาก แต่นั้นก็ยังเป็นเพียง การต่อสู้ดิ้นรนอีกรูปแบบหนึ่งของอัตตา เราจึงวนไปเวียนมา พยายามหาทางปรับปรุงตนเองด้วยการต่อสู้ นี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้าพบ แล ะจงรู้ไว้เถอะว่า อาการทะยานอยากที่จะปรับปรุงตัวเองนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่งในตัวของมันเอง ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ ท่านก็ยังไม่เข้าใจสาระสำคัญที่พระสมณะโคดม พยายามจะบอก ท่านต้องหยุด แบ่งแยกความคิดดีเลว ที่ต่อสู้กัน เพียงแค่ปล่อยให้ตัวเราเอง ได้สักว่าเห็นธรรมชาติของความคิดทั้งหลาย โดยต้องไม่มีกรอบความคิดล่วงหน้าเกี่ยวกับความจริง มโนทัศน์ทั้งมวลต้องดับสิ้น และตรงนั้นสัทธรรมจะเผยตัวตัวออกมา เพียงเมื่อปราศจากการต่อสู้ดิ้นรน นี่คือ นิพพาน นิพพานนั้นเริ่มจากการดับการยึดติดทางความคิด(เชิงแบ่งแยกที่ตัดสัจจะภาวะเป็นส่วนๆๆ) ซึ่งเป็นเพียงการต่อสู้ดิ้นรน เป็นเกมของอัตตาเท่านั้น นี่คือ อริยสัจข้อสาม หรือความจริงว่า การเลิกไขว่คว้า สิ่งที่เราต้องการ ทิ้งความพยายามที่จะปกป้องและสร้างตัวตนให้แก่ตัวเราเองเสีย แล้ว สภาพที่ตื่นขึ้นจะปรากฏเอง

    ที่นี้เราจะมีแบบแผนบาง ประการช่วยนำเราสู่ " การปล่อยวาง " แบบแผนที่ว่านี้ คือ อริยสัจข้อ สี่ หรือ มรรค แต่อะไรคือมรรคล่ะ คำถามนี้ก็ถูกถามใน สมัยพุทธกาล เช่นกัน นักปราชญ์ผู้หนึ่งถาม พระสมณะโคดม ว่า " ดังที่ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า พุทธศาสนาเป็นหลักนำไปสู่การตรัสรู้ ดังนี้ ในการไปสุ่จุดหมายนั้นจะดำเนินไปตามมรรคคือหนทางใด" พระสมณะโคดม ตอบว่า "ง่ายมาก เธอก็แค่เดินบ้าง กินอาหารบ้าง อาบน้ำบ้าง นั่งลงบ้าง ... " นักปราชญ์กล่าวว่า"มรรคของท่านช่างไร้สาระ ท่านโคตมะ ในเมื่อทุกคนต่างก็เดินบ้าง กินบ้าง ชำระล้างร่างกายบ้าง นั่งลงบ้าง ประพฤติอยู่โดยสามัญแล้วแต่ก็ไม่มีใครหลุดพ้น "พระสมณะโคดม ตอบว่า "โอ้....ท่านผู้เจริญ สิ่งนั้นย่อมมีความแตกต่างอยู่ ด้วยยามเราเดิน เราย่อมมีสติอยู่โดยสัจภาวะว่าเราเดินอยู่ เมื่อยามเราฉันอาหาร เราย่อมมีสติรู้โดยสัจภาวะว่าเราฉันอาหารอยู่ เป็นไปดังนี้ ก็แหละยามเมื่อบุคคลอื่น เดิน กิน ชำระกาย นั่งลง บุคคลเหล่านั้นหาได้มีสติสำนึกรู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ไม่ " ท่านเห็นประเด็นไหม ในกรณีเช่นนี้ การกำหนดรู้ว่าตนทำอะไร พูดอะไรคิดอะไร นี่แหละคือแก่นของอริยมรรคมีองค์ 8 ท่านไม่จำเป็นต้องจำได้หรอกว่าอริยมรรคทั้ง8องค์มีอะไรบ้าง ท่านแค่ ต้องกำหนดรู้ว่าตนทำอะไร? นี่คือการเริ่มต้นขัดขืนต่อ การรุกรานจากสภาพแวดล้อม และ เริ่มแก้ไขข้อผิดพลาด ซึ่งเกิดจากความหลงลืมก่อให้เกิดขึ้น เมื่อจุดดวงไฟแห่งสติขึ้น ก็เท่ากับเป็นการจุดความมีศีลธรรมขึ้นด้วย นี่คือศีลที่แท้จริง ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ว่าศีลห้าเป็นไง ศีลแปดเป็นไง ท่านไม่จำเป็นต้องถือสักข้อก็ได้ เพราะตอนนี้ท่านคือศีล เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้ว ตรงนี้ความคิดและอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดก็ย่อมกระจ่างชัด แล้ว ดังนั้นท่านย่อมเกิดความเคารพต่อผู้อื่นขึ้นมาด้วย เงาแห่งมายาซึ่งคุกคามท่านอยู่ก็ถูกขจัดออกไป จากสิ่งเหล่านี้เอง ที่พลังจิตวิญญาณจะเข้มข้นยิ่งขึ้นและสูงส่งขึ้นไปทุกที ๆ ถ้าท่านมีสติอยู่ในความเป็นไปทุกอิริยาบถ มีสติอยู่ในคำพูดทุกคำพูด และมีสติอยู่ในความคิดทุกความคิดท่านจะสามารถทำให้ปัญญาญาณแผ่ขยายงอกงามได้ มันมาของมนเองเพียงแค่เฝ้าดูและตระหนักรู้ แล้วความสิ่งต่างอย่างลึกซึ้งจะมาเอง

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในค่ำคืนที่สงัด ท่านจวงจื่อกำลังข้ามสะพานมาพร้อมกับเล่าจื่อ อาจารย์ของท่าน ท่านเล่าจื่อได้กล่าวแก่จวงจื่อว่า "ขอเธอจงหยุดอยู่ที่นี แล้วเฝ้ามองจากสะพานลงไปจนมองไปเรื่อยๆจนกระทั้งสายน้ำนี้ที่เธอเห็นนั้นหยุดไหล และ สะพานเริ่มไหลหลากแทนสายน้ำนั้น เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อนั้นเเหละเราจะได้พบกันอีก" วันแล้ววันเล่าท่านจวงจื่อก็ได้เฝ้ารออยู่บนสะพาน กล่าวกันว่าท่านถึงกับปลูกกระท่อมบนสะพานแล้วค้างอยู่ที่นั่นทีเดียว หลายเดือนผ่านไป ท่านได้แต่นั่งบนสะพาน และแล้ววันหนึ่งสิ่งนี้ก็อุบัติขึ้นสายน้ำหยุดนิ่ง พร้อมกันนั้นสะพานก็เริ่มไหลหลาก และ แล้วท่านเล่าจื่อก็ปรากฏตัวขึ้น

    เรื่องเล่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่ค่อนข้างดี ซึ่งท่านจะไม่อาจจะเข้าใจมันได้โดย ใช้เพียงความคิด เพราะ มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้สะพานจะไหลหลายไปได้อย่างไร? แล้วสายน้ำเล่ามันจะหยุดนิ่งได้อย่างไร? นี่คือเรื่องที่เห็นๆกันอยู่ อย่างไรก็ตามเพื่อที่ว่าท่านจะได้เข้าใจในเรื่องนี้ ท่านต้องทิ้งการยึดติดในภาพลักษณืเกี่ยวกับความจริงของสะพานไป สะพานจะไหลหลายไปได้อย่างไร? แล้วสายน้ำเล่ามันจะหยุดนิ่งได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้คือภาพทางความคิดที่ตายตัวคือภาพลักษณ์ว่า สะพานนั้นเป็นสิ่งที่หยุดนิ่งและน้ำนั้นแหละไหล แต่ ที่ใดมีรูปลักษณะที่นั่นมีมายา ถ้าสามารถเห็นแจ้งว่าธรรมชาติของรูปลักษณะทั้งปวงไร้รูปได้ ก็ย่อมเห็นตถาคตได้ หากเราตัดทำลายมายาทางความคิดเหล่านี้ด้วยคมดาบแห่งปัญญาญาณ หากความคิดดับสนิทไม่เหลือ เมื่อนั้นสิ่งใดก็ตามล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เพราะจริง ๆ แล้ว ภาพตายตัวของสรรพสิ่งที่เรามีนั้นเป็นเพียงความยึดมั่นของความคิดของเราเอง ว่าสายน้ำนั้นหลั่งไหล และ สะพานสถิตอยู่กับที่ เรื่องดังกล่าวเป็นผลเทียบเคียง เป็นเพียงปัจจัยที่เชื่อมโยงกันเท่านั้น สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์กันทั้งสิ้น ที่สายน้ำหลั่งไหล เพราะ ท่านเองมิใช่หรือ ที่ไปเข้าใจไปว่าสะพานนั้นสถิตนิ่งอยู่กับที่ ลึกลงไปนั้น สะพานก็ไหลหลากอยู่เช่นเดียวกัน อันที่จริงแล้ว ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดหรอกที่หยุดนิ่ง วิทยาศาสตร์บอกเราว่า ในสะพานที่ท่านเห็นนั้นมีอะตอมรวมไปถึงอิเล็กตรอนกำลังโลดแล่นอยู่ไปมาเป็นองค์ประกอบ ภายในสะพานนั้นมีความเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดยั้ง สติจะช่วยให้ท่านเห็นสิ่งต่างๆได้คมชัดขึ้นเมื่อมโนทัศนทั้งปวงดับลง นี่คือสัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจอย่างแท้จริงจนถึงที่สุด นั้นแหละ คือ สัมมาทิฏฐิ ซึ่งต้องอาศัยจิตที่เป็นอิสระและคมชัด ดังนั้น จึ่งมีมรรคอค์อื่นๆๆเกื้อหนุนด้วย และ สัมมาทิฏฐิอันอาจตรึงไว้ได้ด้วยพลังอำนาจแห่งสมาธิจิตและปัญญาญาณ นั่นแหละคือการตรัสรู้ เป็นการรู้แจ้งเห็นจริง ซึ่งสภาวะธรรมทั้งหลาย

    การภาวนาที่แท้จริง คือหนทางก้าวออกจาก อัตตา การยึดตัวเองเป็นศุนย์กลางในลักษณะตัวตนที่แข็งทื่อ ฉะนั้นท่านจะต้องไม่ใส่ใจกับการบรรลุ สภาพจิตแบบนี้ตื่นกับอนาคตจนเกินไปนั้น และ เป็นอันตรายยิ่งมันนำมาซึ่งความตึงเกินไป แก่นของมรรคอยู่ที่ การปล่อยวาง ถ้าท่านทำได้ ความรู้สึกที่ว่างและปลอดโปร่งจะมาเอง อันเป็นการปรากฏของธรรมชาติแห่งพุทธะ หรือ ภูมิปัญญาขั้นพื้นฐาน ซึ่งแผ้วทางผ่านพ้นความสับสนทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ การภาวนานั้นจึ่งเน้นรากฐานที่สถานการณ์ในปัจจุบันขณะ คือ สภาพจิตใจในปัจจุบัน สมาธิภาวนาใดที่มุ่งอยู่เหนืออัตตา จะจับต้องอยู่ที่ปัจจุบันขณะ มันจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตที่เปิดกว้างยิ่ง หากท่านกำหนดรู้ภาวะปัจจุบันของท่านและ สภาพรอบ ๆ ตัวได้อย่างหมดจด ท่านก็จะไม่พลาดสิ่งใด เช่น การ กำหนดรู้ ย่างก้าวของท่าน ( จงกรม ) กำหนดรู้การยืน แล้วกำหนดรู้ว่าเท้าขวากำลังยกขึ้น กำลังย่าง กำลังสัมผัส กำลังก้าวลงไป ครั้นแล้วก็มาที่เท้าซ้าย ยก ย่าง สัมผัส ก้าว การกำหนดรู้ลมหายใจ ( อานาปานสติ ) รู้ลมหายใจเข้าที่ผ่านปลายจมูก ลมหายใจออก ที่แหวก บรรยากาศออกไปอย่าง เที่ยงตรงที่คมชัด เป็นลำดับขั้น และเรียบง่ายในตัวเอง การกระทำใดเป็นไปอย่างเรียบง่ายมันจะมีความเที่ยงตรงของมัน เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งอันที่จริงแล้ว กลวิธีเหล่านี้ก็เพื่อ ให้เราเริ่มตระหนักได้ว่าทุก สิ่งทุกอย่างที่เรากระทำอยู่ในชีวิตประจำวัน ล้วนงดงาม และ มีความหมาย


    ทุกวันนี้มีการปฏิบัติสมาธิมากมายที่ทำให้คนส่วนใหญ่หลงทาง การบำเพ็ญสมาธิภาวนามิใช่การพยายาม เข้าสู่ภาวะจิตตกสู่ภวังค์หรือถูกอะไรบางอย่างเข้าสิง นี่คือเรื่องไร้สาระ การบำเพ็ญสมาธิในแบบนี้ ไอ้แบบที่กำหนดรวมจิตไปที่จุดใดจุดหนึ่ง เป็นพิเศษ เ พื่อให้บังคับควบคุมจิตใจได้มากขึ้น มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบูรณภาพในสถานการณ์ชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่งเลย ดูสิ ดูให้เห็น มันยังมีพื้นฐานอยู่ที่การแบ่ง นี่ กับ นั่น ผู้เพ่งและสิ่งถูกเพ่ง ยิ่งกว่าจะไป พ้นทัศนะชีวิตแบบทวิภาค
    ด้วยเหตุนี้ การเพ่งจึงมักเป็นการเสริมกำลังให้อัตตา แม้จะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้นก็ตาม ในระยะยาวการปฏิบัติเช่นนี้อาจเป็นผลเสีย เพราะ การที่ต้อง อาศัยกำลังความตั้งใจอย่างมากมายของผู้ปฏิบัตินี่เอง อาจทำให้เรากักขัง ตัวเองในแง่ที่ทำให้เคร่งขรึมตามตัวและทื่อทึบ การปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้นำ เราสู่การเปิดหรือพละกำลังหรืออารมณ์ขัน มันหนักเกินไปและทำให้เรา ติดรูปแบบได้ง่ายเพราะการคาดหวังดังนี้นี่เอง ที่ทำให้เราพลาดจากความเที่ยงตรงและการเปิด ทั้งภูมิปัญญาในปัจจุบัน เรากลับต้องมนตร์มืดบอดและถูกเป้าหมายอันอุดมของเราท่วมทับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คุณก็ยังเหมือนเดิมไม่หนีจากความรู้ของพระพุทธองค์แต่ก็ยังหัวรั้นจะยอมรับพระองค์เป็นครูสักหน่อยก็จะดียังพอจะทำให้คำพูดจากที่ไม่ค่อยจะถูกนักมีพิดบ้างถูกบ้างตามที่จำและเข้าใจมาจะได้ดูดีมีค่าสักหน่อย ดูท่าคุณจะยังมีผมเป็นฝันร้ายอยู่เลยนะ ท่านเป็นคนบอกเองนะครับว่าท่านยังไม่หลุดพนแล้วทำไมถึงกล้าเอาคำสอนที่ไม่ถูกนักมาบอกว่าเป็นทางหลุดพ้นแปลกจัง ท่านเพียงเป็นผู้อ่านมากฟังมากเท่านั้นแต่ที่ท่านแสดงมามันขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธองค์อยู่มาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  6. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    น้องนิวของป๋มยัง ไร้สาระ เหมือนเดิมไม่เข้าใจที่น้าพจ. พูดล่ะสิหนู NEW ไม่รู้ว่าน้าพจ.คือใคร ? ปรามาสไประวังจะเข้าตัวนะจ๊ะ.......เคยอ่านขลุ่ยไม้ไผ่ิ ภวังคภาวะ ในท่ามกลางอารยธรรมผุกร่อน ชัยชนะ ในอ้อมกอดหิมาลัย งานเขียนของ น้าพจ.หรือเปล่าละเอ็งนะ หนูNEW

    จะหาว่าอโศกไม่เตือนNEWไม่ได้นะ
    สงสัยจะไม่เคยอ่านธรรมบรรยายดี หมกหมุ่นอยู่ แต่การอวดอุตริสไปวันๆๆ สิเอ็ง
    ถ้าเคยอ่านบ้างจะรู้ว่า น้าพจไม่ได้พูดอะไรแปลกประหลาด ที่ต่างประเทศ คนสอนธรรมเขาก็บรรยายทำนองนี้ทั้งนั้น หัดอ่านหนังสือดีๆๆ อย่างงานของท่านตรุงปะ ท่านติช นัทท์ ฮัทท์ บ้างนะเอ็ง เป็นกบที่ออกจากกะลาบ้าง
    .........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  7. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อ้าวคับแคบจัง ผมไม่สนหรอกจะเป็นใครกันถ้าผู้นั้นสนทนาธรรมแล้วไม่ยอมรับว่าพระองค์เป็นศาสดา ท่านผู้นั้นผมก็ไม่สนใจ
     
  8. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    ผมว่านิวว่าของนิวเอาเองนะ น้าแกพูดอย่างนิวว่าอย่าง เหอๆๆ แต่เอาเถอะ อโศกลองภูมินิวอโศกรู้ว่านิวอ่านแล้วจับประเด็นอะไรไม่ค่อยได้5555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2013
  9. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ประเด็นหรอผมไม่เห็นมีอะไรก็แค่มีสติอยู่กับปัจจุบันรับรู้แล้วก็ปล่อย นั้นล่ะที่เขานึกว่าจะทำให้เป็นพระอรหันต์ล่ะ พระอรหันต์ท่านบรรลุพระนิพพานสูงสุดแล้สซึ่งต่อไปไม่ต้องใช้สติแลวเป็นกริยาจิตล้วนๆ
     
  10. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    ปัญญาอ่อนกริยาจิตล้วนๆ ขำกลิ้งเพราะไม่ต้องใช้สติแล้ว

    ที่ว่ากริยาจิต เขาหมายถึงถอนกรรมได้แล้ว คือละเจตนา อรหันต์ไม่มีเจตนาอีกทั้งดีชั่ว เมื่อละเจตนากระทำอะไรก็ไม่เป็นกรรม จัดเป็นกิริยาล้วนๆๆ อ่านพระอภิธรรมบ้างนะนิว

    โอ้ตำราไหน? สัทธรรมปฏิรูปชัดๆๆ นั้นแค่นี้นิวยังไม่รู้เลย ดันใช้ศัพท์อภิธรรมกิริยาจิต
     
  11. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    จะต่างอะไร สติเขาใช้ตอนปฎิบัติเสร็จแล้วยังใช้เหรอ ฮากลิ้ง
     
  12. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    โอ้แถอีก ผิดก็ว่าผิดที่อโศกพูดกับนิวพูดนะมันต่างกันราวฟ้ากะดิน

    ที่นิวพูด นี่จะสื่ออะไร อโศกงงว่ะ ขยายดิ สติเขาใช้ตลอดเวลา ถ้าเราลืมเราขาดก็ไม่ต้องโทษตัวเองให้รู้ว่าลืม นี่หลักพื้นฐาน
     
  13. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อ้าวใครๆก็ลืมกันได้แปลกตรงไหน
     
  14. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    คุณจะสื่ออะไรครับ....
     
  15. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คุณเข้าใจว่าไง ล่ะ
     
  16. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    ว่าคุณแถ แก้เก้อไปงั้น รุทัน
     
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    สงสัยจะหลงปะเด็นแล้ว ฮึว่ากันไป
     
  18. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    เห็นๆๆกันอยู่......ไม่ต้องเขินหรอก พระสูตรได้ยัง
     
  19. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ว่ามามีอะไรสงสัยอะไรว่ามา
     
  20. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    พระสูตรอะไร ก็เห็นมั้ยบรรลุกันเต็มเลยไม่เห็นต้องบวช ที่ท่านยกมาแต่งใหม่ ในสยามรัฐมีมั้ยล่ะก็ไม่มี ก็แสดงว่าบรรลุไม่ต้องบวชครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...