ไขปริศนา เงื่อนงำ ที่ตั้ง "ชมพูทวีป" และ "ลังกาทวีป" ตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เอกอิสโร, 8 พฤษภาคม 2016.

  1. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    ผมขออธฺิษฐานดังนี้ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเป็นพยาน ถ้าพระพุทธประวัติเกิดในประเทศไทยแล้วไซร้ ขอจงดลบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของบ้านนายเอกอิสโรเท่านั้น เพื่อคนไทยจะได้ประจักษ์ แต่ถ้าพระพุทธประวัติไม่ได้เกิดกำเนิดในประเทศไทยขอให้ไม่มีอะไร

    อธิษฐานแล้วนะเอก เอกว่าตามเลยแล้วเขียนลงมาเป็นลายลักษณ์อักษร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2016
  2. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    หรือ คุณ qv12 เชื่อว่า "พระเจ้าเทวานัมปิยทัสสี" ที่อินเดีย ซึ่งเกิดหลังการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 3 เสด็จทาง ประตูย้อนกาลเวลา มาสร้าง "พระธาตศรีจอมทอง" และสรา้ง "พระพุทธรูป" ที่เชียงใหม่??? ตามประวัติพระธาตุศรีจอมทอง ที่ว่า...

    หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้วได้ ๒๑๘ ปี พระเจ้าอโศกมหาราช ได้เสด็จไปสู่ดอยจอมทอง และทรงได้สั่งขุดคูหาให้เป็นอุโมงค์ใต้พื้นดอยจอมทอง แล้วให้สร้างสถูปทองคำไว้ภายในคูหาและยังหล่อพระพุทธรูปทั้งเงินและทอง ตั้งไว้รอบสถูปนั้นแล้ว เอาพระบรมธาตุเจ้าที่อยู่ในสถูป ที่พระยาอังครัฏฐะ ให้สร้างไว้บนยอดดอยนั้น เข้าไปไว้ในสถูปที่สร้างใหม่ในคูหาใต้พื้นดอยจอมทองแล้วรับสั่งให้เอาก้อนหินปิดปากถ้ำคูหาเอาไว้ แล้วทรงอธิษฐานว่า “ ต่อไปข้างหน้า ถ้ามีพระเจ้าแผ่นดินและศรัทธาประชาชน มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ขอให้พระบรมธาตุเจ้าเสด็จออกมาปรากฏแก่ผู้ชนให้ได้กราบไหว้สักการบูชา แล้วพระองค์จึงเสด็จกลับเมืองปาตลีบุตร ประเทศอินเดีย (ซึ่งหมายถึงดินแดน India Extra Gangem)

    ...

    ผมรอรับ คำตอบตกลง อยู่ครับ...เพราะเรากำลังต้องการพิสูจน์ความเห็น ที่ไม่อาจหาข้อยุติ ระหว่างกันได้ครับ...ต้องขอพึ่งสักขีพยาน คือแม่พระธรณีครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    ตามนี้เลยเอก

    ผมขออธฺิษฐานดังนี้ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเป็นพยาน ถ้าพระพุทธประวัติเกิดในประเทศไทยแล้วไซร้ ขอจงดลบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของบ้านนายเอกอิสโรเท่านั้น เพื่อคนไทยจะได้ประจักษ์ แต่ถ้าพระพุทธประวัติไม่ได้เกิดกำเนิดในประเทศไทยขอให้ไม่มีอะไร

    อธิษฐานแล้วนะเอก เอกว่าตามเลยแล้วเขียนลงมาเป็นลายลักษณ์อักษร
     
  4. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ตามคำอธิษฐานนี้ครับ...

    "บัดนี้ ข้าทั้งสอง ระหว่างนายธนบดี กับ นาย 12qv ได้มีข้อสงสัยขัดข้องใจ ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ถึงสถานที่ดับขันธ์ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้าองค์พระสมณโคดม จึงขอให้แม่พระธรณีเป็นสักขีพยาน มาตรแม้นว่า เมื่อ 2559 ปีที่ผ่านมา พระพุทธเจ้าองค์พระสมณโคดมได้ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน ณ สถานที่แห่งใด ขอ แม่พระธรณีจงได้ สำแดงอาการให้ลูกได้รู้แจ้ง ด้วยการบันดาลให้ แผ่นดินไหวใหญ่ ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันวิสาขปุรณมี ดุจเดียวกับเมื่อครั้งองค์พระสมณโคดมได้ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน นั้น"

    ถ้า ไม่รับ ก็ บอกว่า "ไม่รับ"...ถึงบ้าน จะเปิดอ่านคำตอบ และอธิษฐาน ก่อนเที่ยงคืนครับ...
     
  5. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    เอามาลงมันทุกหน้าไป ว่าเอกมีแนวคิดว่า

    เชื่อแบบเอกคือ สังเวชนียสถานที่เก่าแก่มาเป็นสองพันกว่าปีสร้างโดยนักบวชนอกรีต พระอลัชชี


    เชื่อแบบเอกคือ โบราณสถานที่ลุมพินีวันที่อินเดีย สร้างโดยนักบวชนอกรีต พระอลัชชี
    เชื่อแบบเอกคือ โบราณสถานที่พุทธคยาที่อินเดีย สร้างโดยนักบวชนอกรีต พระอลัชชี
    เชื่อแบบเอกคือ โบราณสถานที่สารนาถที่อินเดีย สร้างโดยนักบวชนอกรีต พระอลัชชี
    เชื่อแบบเอกคือ โบราณสถานที่กุสินาราที่อินเดีย สร้างโดยนักบวชนอกรีต พระอลัชชี

    <img src="http://palungjit.org/attachments/a.3658270/">
     
  6. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    ก็อธฺิษฐานไปแล้ว ตามข้างล่าง อยากให้อธิษฐานก็อธิษฐาน ก็ต้องพบกันครึ่งทางดิ จะอธิษฐานยังต้องพูดตามมัน ชาติก่อนไม่ใช่พระเจ้าอโศกซะละมั้ง เป็นฮิตเล่อร์ป่าว

    ขออธิษฐานตามข้างล่าง

    ผมขออธฺิษฐานดังนี้ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเป็นพยาน ถ้าพระพุทธประวัติเกิดในประเทศไทยแล้วไซร้ ขอจงดลบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของบ้านนายเอกอิสโรเท่านั้นในวันพรุ่งนี้ เพื่อคนไทยจะได้ประจักษ์ แต่ถ้าพระพุทธประวัติไม่ได้เกิดกำเนิดในประเทศไทยขอให้ไม่มีอะไร

    อธิษฐานแล้วนะเอก เอกว่าตามเลยแล้วเขียนลงมาเป็นลายลักษณ์อักษร มะรืนเอกก็ถ่ายรูปบริเวณบ้านก่อนและหลังมาให้ดู ก็เท่านั้น 555+
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2016
  7. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    ผมก็ไม่รู้ว่าเอกมันไปเอาความมั่นใจอะไรมา ว่าพระเลว อลัชชี เดียรถีร์สร้างโบราณสถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา ปรินิพพานที่อินเดีย ง่ายๆก็คือที่ๆเราไปแสวงบุญนั่นแหละ เอกบอกพระเลวสร้าง ทั้งๆที่เอกก็ไม่เคยไปอินเดียเลย

    มานั่งคิดดู เอกมันก็มั่นใจแบบนี้มาหลายหนแล้วนี่หว่า แล้วก็ไม่มีอะไร เนียนๆหายไปพักแล้วก็มาใหม่ เอาเท่าที่นึกได้นะ

    -รอดูอีกสิบวัน จะมีอะไรให้ตื่นเต้น ผ่านไปเป็นชาติก็ไม่เห็นมีอะไร

    -อีก66วัน เราจะต้องจากลา ก็คือโลกจะแตกนั่นแหละ เอกมานับวันฟูมฟาย พอถึงวัน แป่วววววว เหมือนเดิม

    -เมื่อเดือนหรือสองเดือนก่อนนี่แหละ เอกบอกจะเปิดความลับโลกในวันอะไรจำไม่ได้แล้ว แล้วเอกก็บอกไปขุดอะไรนี่แหละ แล้วก็เงียบไป บอกจะไปใหม่วันพรุ่งนี้มั้ง อันนี้ไม่พูดนานแล้ว

    เอกลองปรึกษาแพทย์บ้างก็ดีนะ
     
  8. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ไม่ได้ประโยชน์ เพราะผมต้องการให้ไหวในจุดเกิดเหตุ...

    ถ้าอย่างนั้น อธิษฐานกลางๆ ระหว่างเรา 2 คน ขออัญเชิญเสด็จพ่อ ร.5 ได้โปรดมาเป็นสักขีพยานด้วย ตามนี้..

    "บัดนี้ ข้าทั้งสอง ระหว่างนายธนบดี กับ นาย 12qv ได้มีข้อสงสัยขัดข้องใจ ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ถึงสถานที่ดับขันธ์ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้าองค์พระสมณโคดม จึงขอให้แม่พระธรณีเป็นสักขีพยาน มาตรแม้นว่า เมื่อ 2559 ปีที่ผ่านมา พระพุทธเจ้าองค์พระสมณโคดมได้ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน ณ สถานที่แห่งใด ขอ แม่พระธรณีจงได้ สำแดงอาการให้ลูกได้รู้แจ้ง โดย

    หาก พระพุทธเจ้าองค์พระสมณโคดมได้ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน ณ เมืองกุเซีย ประเทศอินเดีย แล้วไซร้ ขอให้แม่พระธรณีบันดาลให้ แผ่นดินไหวใหญ่ ที่บ้านของนายธนบดี ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันวิสาขปุรณมี ดุจเดียวกับเมื่อครั้งองค์พระสมณโคดมได้ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน นั้น

    แต่ ถ้าหาก พระพุทธเจ้าองค์พระสมณโคดมได้ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน ณ พระแท่นดงรัง จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทยนี้แล้วไซร้ ขอให้แม่พระธรณีบันดาลให้ แผ่นดินไหวใหญ่ ที่บ้านของนาย 12qv ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันวิสาขปุรณมี ดุจเดียวกับเมื่อครั้งองค์พระสมณโคดมได้ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน นั้น ด้วยเทอญ.

    ...

    ตกลงมั๊ย...ถ่ายคลิป คำอธิษฐานไว้ด้วย..แล้วเอามาลงในกระทู้ไว้ด้วย
    ตอบมาเลยครับ แล้วจะได้อธิษฐานก่อนเที่ยงคืน...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    เออ เอกเป็นฮิตเล่อร์เหรอวะ 555+ โคตรขำเลย นี่อารมณ์ดียามดึกเลย

    เอาตามนี้ อธิษฐานตามนี้ ทำไปเเล้ว

    ขออธิษฐานตามข้างล่าง

    ผมขออธฺิษฐานดังนี้ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเป็นพยาน ถ้าพระพุทธประวัติเกิดในประเทศไทยแล้วไซร้ ขอจงดลบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของบ้านนายเอกอิสโรเท่านั้นในวันพรุ่งนี้ เพื่อคนไทยจะได้ประจักษ์ แต่ถ้าพระพุทธประวัติไม่ได้เกิดกำเนิดในประเทศไทยขอให้ไม่มีอะไร

    อธิษฐานแล้วนะเอก เอกว่าตามเลยแล้วเขียนลงมาเป็นลายลักษณ์อักษร มะรืนเอกก็ถ่ายรูปบริเวณบ้านก่อนและหลังมา
     
  10. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    จบครับ หากไม่กล้าอธิษฐาน ก็ ถือว่า "ไม่กล้า" ครับ...
     
  11. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    คือเอกมันก็รู้แหละว่าแผ่นดินไหวมันไม่ดี ไหวที่อื่นได้แต่ห้ามไหวบ้านกรู ว่างั้น

    ผมอธิษฐานให้ดูเป็นสามรอบแล้ว โคตรปอดเลยเอก เอิ๊กๆๆๆๆ

    ผมขออธฺิษฐานดังนี้ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเป็นพยาน ถ้าพระพุทธประวัติเกิดในประเทศไทยแล้วไซร้ ขอจงดลบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของบ้านนายเอกอิสโรเท่านั้นในวันพรุ่งนี้ เพื่อคนไทยจะได้ประจักษ์ แต่ถ้าพระพุทธประวัติไม่ได้เกิดกำเนิดในประเทศไทยขอให้ไม่มีอะไร
     
  12. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    ปอดๆๆๆๆๆๆแหกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เอกอิสโร


    ผมขออธฺิษฐานดังนี้ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเป็นพยาน ถ้าพระพุทธประวัติเกิดในประเทศไทยแล้วไซร้ ขอจงดลบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของบ้านนายเอกอิสโรเท่านั้นในวันพรุ่งนี้ เพื่อคนไทยจะได้ประจักษ์ แต่ถ้าพระพุทธประวัติไม่ได้เกิดกำเนิดในประเทศไทยขอให้ไม่มีอะไร
     
  13. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    หาสถานที่โดยการใช้มือแปะต้นโพธิ์ เสี่ยงทายขอให้เกิดแผ่นดินไหวแต่ต้องเป็นที่อื่นไม่ใช่บ้านกรู หรือไม่ก็รอให้โผล่มาเองวันโลกแตก

    นี่เรามาถึงจุดนี้ได้ไงฟระ
     
  14. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    เบาะแสน่าคิด...แต่ต้องพิสูจน์ทราบหลาย อย่าง เพียงแต่นำมา โพสต์รวบรวมเป็นข้อมูลไว้..

    1. "พระธาตุดอยเต้า" เมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนา

    เป็นเจดีย์ ประดิษฐาน พระอังคารธาตุแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งกษัตริย์เมืองอาฬวีได้ส่งทูตไปขอมาจากเมืองกุสินารา ภายหลังพุทธปรินิพพาน แล้วนำมาประดิษฐานไว้ในพระธาตุเจดีย์แห่งนี้ เพื่อเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา

    สาระธรรม dhamma: 11/09/12

    2. พระเจดีย์ที่เห็นพระอาจารย์พระครูประกาศพุทธพากย์ และ พระอาจารย์ตุ๊เจ้าขง พร้อมวิศวกรกำลังเดินไปดูนั้น เป็นพระเจดีย์สร้างเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์เสด็จมาประทับที่นี่ เพื่อโปรดท่านอาฬวกะยักษ์ และชาวเมืองอาฬวี โดยเฉพาะพระราชกุมารเมืองอาฬวีพร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คน ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ได้ดวงตาเห็นธรรม ท่านอาฬวกะยักษ์ถือบาตเดินตามหลังพระพุทธองค์เข้าไปบิืณฑบาตในเมือง แตไม่กล้าเข้าไปในเมืองเพราะอายชาวเมืองอาฬวีที่กินพี่น้องเขาเสียเป็นจำนวนมาก จึงถวายบาตแด่พระพุทธองค์ ออกรออยู่นอกเมืองพระพุทธองค์ได้ตรัสสอนให้ชาวเมืองอุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงดูท่านอาฬวกะยักษ์ ในขณะเดียวกันก็ให้่ท่านอาฬวกะยักษ์ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองชาวเมืองให้ปลอดภัย ก็อยู่ด้วยกันมาด้วยความผาสุข บัดนี้ เหตุการณ์นั้นได้ล่วงเลยมาถึง ๒๕๕๕ ปีแล้ว คงไว้แต่อนุสรณ์สถานแห่งนี้ให้เราได้ระลึกถึง

    สมลักษณ์ วันโย
    บันทึกภาพ

    สาระธรรม dhamma: อนุสรณ์สถานระลึกถึงท่านอาฬวกะยักษ์

    ที่น่า คิด คือ เมืองอาฬวี นี้ ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า ได้เคยเสด็จจาริกเดินทางไปจากเมืองสาวัตถี เป็นระยะทาง 30 โยชน์ 480 กิโลเมตร...และในประวัติพระธาตุ ดอยเต้า ว่า เมืองนี้ เคยเดินทางมาขอพระอังคารธาตุ ที่กุสินารา..ก็ต้องมาพิจารณาว่า กุสินารา คือ ที่เมืองกุเซีย ประเทศอินเดีย หรือ เมืองโกสินราย ที่ตั้งพระแท่นดงรัง จังกาญจนบุรี ประเทศไทย

    ทุกเมืองสัมพันธ์กัน สาวัตถี ห่างจากราชคฤห์ 45 โยชน์ 720 กิโลเมตร /ราชคฤห์ อยู่ห่างกุสินารา 25 โยชน์ 400 กิโลเมตร

    กับอีก ข้อมูลหนึ่ง ได้ปรากฏอยู่ใน ประวัติศาสตร์โหราศาสตร์ ดังนี้

    3. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติเมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีอัญชันศักราชที่ ๖๘ ทรงเผยแพร่สัจจธรรมเป็นเวลา ๔๕ พรรษา เสด็จปรินิพพาน ณ กรุงกุสินารา เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีอัญชัญศักราชที่ ๑๔๘
    ในปีเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระเจ้าอชุตราช ซึ่งเป็นราชนัดดา (หลาน) ของพระเจ้าสิงหนวัติ ขึ้นครองราชในอาณาจักรโยนก สิงหนวัตินาคนคร ทรงเป็นพระญาติของพระเจ้าอชาตศัตรู กษัตริย์แคว้นมคธ ราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร โดยพระเจ้าสิงหนวัติผู้ตั้งอาณาจักรโยกนกปู่ของพระเจ้าอชุตราชเป็นน้องชายของพระเจ้าพิมพิสาร ครองราชย์เมื่อเดือนยี่ (ก่อนพุทธปรินิพพาน ๔ เดือน) ทรงเป็นพุทธมามกะ เมื่อได้ทราบข่าวพุทธปรินิพพาน จึงเดินทางไปเมืองกุสินารา เพื่อถวายสักการะพุทธสรีระ ของพระบรมศาสดา ในกาลนั้นเหล่ากษัตริย์ทั้งหลายในโคตมะโคตร จึงปรึกษากันจักกำหนดให้ตั้งศักราชขึ้นใหม่ โดยหมายเอานิมิตแห่งการเสด็จปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันเป็นกษัตริย์แห่งวงศ์โคตมะนั้น ราชวงศ์ทั้งหลายจึ่งมองหมายให้พระเจ้าอชุตราชอันเป็นผู้เชียวชาญคัมภีร์สุวรรณโคมคำส่วนโหราศาสตร์ และพระเจ้าอชาตศัตรูเชี่ยวชาญคัมภีร์สุวรรณโคมคำส่วนปราบไตรภพ วางศิลาฤกษ์ยามคำนวนตั้งศักราชขึ้น ณ เมืองกุสินารา นั้น จึงได้ทำพิธีลบอัญชันศักราชเสีย และใช้ศักราชใหม่เรียกว่า “พุทธศักราช” ประกาศต่อท้าวพระยาสามลราชอันมาประชุมรับแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้ทราบแลให้ทุกแคว้นทุกนครในชมพูทวีปใช้ “พุทธศักราช” เป็นเครื่องหมายนับเวลา นับตั้งแต่ปีอัญชัญศักราชที่ ๑๔๘ เป็นต้นไป การเริ่มต้นแห่ง “พุทธศักราชที่ ๑” จึงมีขึ้นแต่บัดนี้มา
    แสดงว่า อาณาจักรโยนก ที่อยู่ภาคเหนือ ของไทย จะต้องอยู่ใกล้ในระยะทางที่จะเดินทางมาถึง"สถานที่ปรินิพพาน" ที่เมืองกุสินารา ในสมัย 2600 ปี ได้ในเวลาไม่กี่วัน

    4. เมืองอังครัฏฐะนั้นมีเจ้าครองนครนามว่า พระยาอังครัฏฐะ
    ในสมัยเมื่อพระยาอังครัฏฐะครองเมืองอังครัฏฐะอยู่นั้นเป็นสมัยที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว และทรงเสด็จสำราญพระอิริยาบถอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหารกรุงราชคฤห์ ส่วนพระยาอังครัฏฐะนั้น เป็นผู้สนใจคอยสดับข่าวสาส์นความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าพระธรรมและพระสงฆ์อยู่เสมอมา ครั้นอยู่มาวันหนึ่งท้าวเธอได้สดับข่าวจากพวกพ่อค้า ซึ่งมาจากกรุงราชคฤห์ว่า พระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้วในโลก และเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหารกรุงราชคฤห์ ก็มีใจปิติยินดีมากนัก
    ฝ่ายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบความปริวิตกแห่งพระยาอังครัฏฐะในกาลครั้งนั้น พระองค์เข้าสู่พระมหากรุณาบัติออกจากสมาบัติแล้วทรงนุ่งสบงจีวร พระกรทั้งสองประคองบาตร เสด็จสู่ดอยจอมทองพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร โดยทางอากาศเพื่อรับอาหารบิณฑบาตแห่งพระยาอังครัฏฐะในกาลครั้งนั้น ฝ่ายพระยาอังครัฏฐะเมื่อได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นอันมากก็มีปิติยินดียิ่งนัก จึงเข้าไปถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ครั้งนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะยกย่องสรรเสริญและทำนายสถานที่นั้น จึงตรัสแก่พระยาอังครัฏฐะว่า ดูก่อนมหาราช สถานที่นี้ต่อไปข้างหน้าจักเป็นอัครสถานอันประเสริฐ จักเป็นที่ประดิษฐานทักษิณโมลีธาตุจอมหัวเบื้องขวาแห่งเรากับทั้งธาตุกระดูกด้ามมีดเบื้องขวา มีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยมเท่าเมล็ดข้าวสารหัก และธาตุย่อยอีก ๕ องค์ เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดจักมาประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ "เมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้วได้ ๒๑๘ ปี" จักมีพระราชาองค์หนึ่งนามว่า "อโศกมหาราช" จักเป็นธรรมิกราชปราบชมพูทวีปทั้งมวลแล้ว จักเสด็จมาสู่ดอยจอมทองนี้ จักให้สร้างอุโมงค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุไว้ใต้พื้นดอยที่นี้

    ที่ยกมารวมไว้ ล้วนเป็น เบาะแส และสิ่งที่ น่าคิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2016
  15. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    อันนี้ของ original คิดเอง อธิษฐานแล้วสามสี่รอบได้

    ผมขออธฺิษฐานดังนี้ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเป็นพยาน ถ้าพระพุทธประวัติเกิดในประเทศไทยแล้วไซร้ ขอจงดลบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่บริเวณที่เป็นที่ตั้งของบ้านนายเอกอิสโรเท่านั้นในวันพรุ่งนี้ เพื่อคนไทยจะได้ประจักษ์ แต่ถ้าพระพุทธประวัติไม่ได้เกิดกำเนิดในประเทศไทยขอให้ไม่มีอะไร

    อันนี้ของเลียนแบบจากมันสมองของเอก ลองขึ้นไปอ่านบนๆได้ 555+

    บลา บลา บลา บลา ประเทศไทยนี้แล้วไซร้ ขอให้แม่พระธรณีบันดาลให้ แผ่นดินไหวใหญ่ ที่บ้านของนาย 12qv ในวันพรุ่งนี้ บลา บลา บลา บลา
     
  16. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    เชื่อแบบเอกคือ สังเวชนียสถานที่เก่าแก่มาเป็นสองพันกว่าปีสร้างโดยนักบวชนอกรีต พระอลัชชี


    เชื่อแบบเอกคือ โบราณสถานที่ลุมพินีวันที่อินเดีย สร้างโดยนักบวชนอกรีต พระอลัชชี
    เชื่อแบบเอกคือ โบราณสถานที่พุทธคยาที่อินเดีย สร้างโดยนักบวชนอกรีต พระอลัชชี
    เชื่อแบบเอกคือ โบราณสถานที่สารนาถที่อินเดีย สร้างโดยนักบวชนอกรีต พระอลัชชี
    เชื่อแบบเอกคือ โบราณสถานที่กุสินาราที่อินเดีย สร้างโดยนักบวชนอกรีต พระอลัชชี

    <img src="http://palungjit.org/attachments/a.3658270/">
     
  17. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ขอบคุณครับ คุณ หรัส ผม ตามแหล่งข้อมูล เพิ่มเติม จาก

    พัฒนาการทางวัฒนธรรมก่อนสมัยสุโขทัยในจังหวัดพิจิตร

    ได้ข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้

    ๑. แหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์
    มีรายงานการสำรวจพบหลักฐานทางโบราณคดี ที่บริเวณบ้านดงป่าคำ อำเภอเมืองพิจิตร เป็นโครงกระดูกมนุษย์ จำนวน ๓ โครง ขวานหิน ๑ ชิ้น ภาชนะดินเผา และเศษภาชนะดินเผาลายขูดขีด สันนิษฐานว่าเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย กำหนดอายุประมาณ ๒,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว

    ๒. แหล่งโบราณคดียุคประวัติศาสตร์
    ๒.๑ แหล่งโบราณคดีบ้านวังแดง
    มีร่องรอยส่วนฐานของเจดีย์ อิฐที่ใช้ก่อสร้างเป็นอิฐขนาดใหญ่สมัยทวารวดี ขนาด ๑๗ x ๓๐ x ๗ เซนติเมตร มีร่องรอยของแกลบข้าวปะปนในก้อนอิฐ พบ เหรียญเงินรูปพระอาทิตย์และศรีวัตสะ
    ๒.๑ แหล่งโบราณคดีวัดบึงบ่าง
    โบราณวัตถุเก็บรักษาไว้ที่วัดบึงบ่าง มีทั้งโบราณวัตถุในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และโบราณวัตถุในยุคประวัติศาสตร์ สมัยทวารวดี

    ..

    ซึ่งการที่ กำหนดอายุ ความเก่า ไปถึง 3,000 ปี แน่นอน เป็นยุคร่วมสมัย พุทธกาล...ซึ่งจะรับกับ เรื่องเล่า ตำนานที่สืบทอดต่อกันมาว่า "พระพุทธเจ้า"ก็ได้เสด็จเข้ามาบิณฑบาตในบ้านนี้

    ส่วน เรื่องชื่อบ้านโกณฑัญญคาม ที่คู่กับพระยาแกรก เบื้องต้น ได้ความว่า เป็นเรื่อง ราว พ.ศ. 1400 จึงอาจยังไม่ใช่ บ้านท่านอัญญาโกณทัญญะ สมัยพุทธกาล...แต่เป็นที่สังเกต ถึงความแนบแน่น ของคนในท้องถิ่นนี้ ที่มีการใช้ชื่อบาลี และเป็นบุคคลที่เกี่ยวกับ พุทธศาสนา หรือ อาจจะ ตั้งด้วยสืบๆ กันมา ด้วยเหตุว่า "พระอัญญาโกณทัญญะเคยได้เดินทางมาพร้อมพระพุทธเจ้า" ก็ได้

    ในการค้นคว้า ณ ขณะนี้ จากข้อมูล ที่ประมวลมา พอจะตั้งสมมติฐานได้ว่า พื้นที่ตั้งจังหวัดพิจิตร อาจจะเป็นที่ตั้ง "แคว้นมัจฉะ" ซึ่ง เป็น 1 ใน 16 แคว้นสมัยพุทธกาล มัจฉะ หรือ มัจฉา คือ "ปลา" แคว้นนี้ คงอุดมสมบูรณ์ ด้วยปลาหรือสัตว์น้ำ ครับ เหมือนพื้นที่จังหวัดพิจิตร มีทั้งแม่น้ำ ยม และน่าน ขนาบ แถมมีบึงสีไฟ อีกต่างหาก

    อย่างที่เรียนครับ ว่า นี่เป็นแต่เพียงข้อสมมติฐานที่ต้องพิสูจน์ให้ได้แน่ชัด โดยไม่มีข้อโต้แย้ง ดังที่ รวบรวมไว้ใน facebook ของ ชุมนุมฟื้นธรรมฟื้นไทยแห่งยุคหลังกึ่งพุทธกาล

    https://www.facebook.com/groups/234719933272194/permalink/465390493538469/

    ขอบคุณข้อมูล ที่ทำให้ได้เข้า ไป search หาอีกครั้ง และ ได้รู้ว่า เคยมีการพบเหรียญเงินรูปพระอาทิตย์และศรีวัตสะ ที่ พิจิตร ด้วย และเหรียญชนิดนี้ พบ ทั้งในพม่า และไทยครับ

    หมายเหตุ รายละเอียด หรือการกล่าวถึงแคว้นมัจฉะ ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ค่อนข้างมีน้อยครับ..เลยแกะรอยความสัมพันธ์กับแคว้นอื่นๆ ได้ยาก พอสมควรครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2016
  18. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ในความคิดเห็นที่ #94 ที่นำเอาข้อมูล เกี่ยวกับ เมืองอาฬวี ที่ว่า พระพุทธองค์เคยได้เสด็จไปโปรดอาฬวกยักษ์ นั้น ยังต้องสืบค้นหาหลักฐาน เพื่อยืนยัน...อย่างแน่นหนัก ทั้งนี้ เพราะ มีอีกข้อมูลหนึ่ง ที่ กล่าวว่า เป็นที่ตั้งของเมืองอาฬวี เช่นเดียวกัน แต่อยู่ในประเทศไทยนี่เอง คือ อยู่ที่แจ้ห่ม ซึ่งสอบทาน ข้อมูลความลงรอย กับพระไตรปิฎกและอรรถกถา ด้วย

    ซึ่ง ก่อนนี้ ผมตั้งสมมติฐานที่ตั้งสาวัตถี ว่าอยู่ที่ Bago แต่เมื่อสอบเช็ค ด้วยระยะทาง ระหว่าง ราชคฤห์ ที่ตั้งสมมติฐานว่า อยู่ที่ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ นั้น ซึ่ง 2 เมืองนี้ ห่างกัน 45 โยชน์ หรือ 720 กิโลเมตร

    แต่เมื่อ ตั้งสมมติฐานใหม่ว่า สาวัตถี อยู่ที่ Bilin ดูเหมือน ระยะทางจาก Bilin รัฐมอญ ไปถึงเชียงรุ่ง สิบสองปันนา นั้น ไกลเกิน 480 กิโลเมตร เพราะ เท่าที่ Google Map คำนวณระยะจาก Bilin ไปถึง เชียงตุงก็ได้ 920 กิโลเมตรแล้ว ต่อไปถึงเชียงรุ่ง ก็คงประมาณ 1,000 กิโลเมตรเศษ หรือแม้แต่วัดระยะทางตรงๆ ก็ได้ 645 กิโลเมตร เกิน 480 กิโลเมตร

    แต่เมื่อ ทดลองสร้างเส้นทางเดิน จาก Bilin ถึง ลำปาง ได้ระยะทางเดิน 487 กิโลเมตร ไกล้เคียง 480 กิโลเมตร ทว่า หาก ต่อระยะทาง ไปถึง วัดดงนั่งคีรีชัย อำเภวิเชตนคร จังหวัดลำปาง ที่มี เรืองเล่า ของ อาฬวกยักษ์ แล้วระยะทาง 543 กิโลเมตร จะไกลถึง กว่า 480 กิโลเมตร ดังนั้น จึงยังต้องสืบค้น สืบหาหลักฐานที่แน่ชัด หรือแม้แต่สมมติฐานต้นทาง ที่อาจผิดได้คือที่ตั้งของเมือง สาวัตถี ที่วางไว้ที่ Bilin รัฐมอญ ประเทศพม่า

    เพราะฉะนั้น การที่จะสรุปที่ตั้งแคว้นต่างๆ ต้องมีทั้งหลักฐาน และความลงรอย ของระยะทางตามพระไตรปิฎกและอรรถกถา ครับ

    ส่วนตำนาน ที่เกี่ยวกับ อาฬวีที่ ลำปางนี้ มีว่า

    อ้างถึงคำภีร์พุทธจารีต คำภีร์เทวตาสูตร และตำนานพระเจ้าเลียบโลก ( จารย์ด้วยตังอักษร ล้านนา ลงในใบลาน มีอยู่หลายวัด ในภาคเหนือ ตอนบน ) กล่าวไว้ว่า เมื่อสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันตสาวก ได้เสด็จจาริกมาเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอน ในแค้วนล้านนานี้ เสด็จมาถึงเขต เมืองลัวะ และเมืองอาราวี ได้มีสองตายายชาวเมืองลัวะ และฤาษีตนหนึ่งชื่อ สิทธะสี คอยติดตามอุปถาก กาลครั้งนั้นพระพุทธได้พาพระอรหันต์ ขึ้นมาประทับนั่งพักผ่อนพระอิริยาบถ บนเขาแห่งหนึ่งทางทิศเหนือเมืองลัวะ แล้วทรงตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมื่ออดีตชาติ ตถาคต เคยจุติมาเกิดเป็น เต่าคำชาติหนึ่ง และจุติมาเป็น นกกระทาป่า สองชาติเพื่อมาบำเพ็ญบารมีบนเขาแห่งนี้ และทรงทำนายว่า กาลข้างหน้าสถานที่แห่งนี้จะเจริญไปด้วยพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา และทรงรับสั่งต่อไปว่า หากตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ให้นำเอาพระอัฐิธาตุส่วนที่เป็นข้อมือข้างซ้ายมาบรรจุบนเขาแห่งนี้ เพื่อให้มนุษย์และเทวดาได้สักการะบูชา พระอานนท์ได้กราบทูลขอพระเกษาธาตุ พระองค์ก็ทรงอธิษฐานเอาพระเกษาธาตุมอบให้พระอานนท์ จำนวน ๘ เส้น จากนั้นพระอานนท์ พระสารีบุตร พระโสภิตะ พญาอาราวี และพญาลัวะ พร้อมด้วยพระอรหันต์และประชาชนผู้ติดตามมาเฝ้าอุปถาก ได้พากันนำเอาพระเกษาธาตุทั้ง ๘ เส้น บรรจุไว้บนเขาลูกนี้ ( ที่ตั้งวัดดงนั่งคีรีชัย ) ครั้งนั้น สิทธะสีฤาษีได้ขอพรต่อพระพุทธองค์ว่า ขอพระองค์ทรงประทับรอยพระบาทไว้สักแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นพุทธานุสติ เหล่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลายจะได้ กราบไหว้บูชา สักกระ พระพุทธองค์ได้ทรงประทับพระบาทลงบนผ้าขาวผืนหนึ่ง แล้วทรงมอบให้สิทธะสีฤาษี และโอกาสนั้นสิทธะสี ได้ขอตามเสด็จ เพื่อไปอุปถากพระพุทธองค์ ทรงรับสั่งว่า หากท่านฤาษีได้อยู่สักการะบูชารอยพระบาทนี้ ก็เหมือนดั่งได้อุปถาก ตถาคตเหมือนกัน ดันนั้นสิทธะสีฤาษีจึงได้นำเอารอยพระพุทธบาทขึ้นไปประดิษฐานไว้บนยอดเขา ทางทิศตะวันตกของเมืองลัวะ และได้อยู่บำเพ็ญตบะ สักการะบูชารอยพระพุทธบาทจนสำเร็จ ฌานสมาบัติชั้นสูง ณ บนเขาแห่งนี้ ดังนั้นคนทั่วไปจึงเรียกเขาแห่งนี้ว่า ดอยพระบาท จากนั้นพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันต์ผู้ติดตาม ได้ออกจาริกเผยแผ่พระพุทธสาสนา ในที่อื่น ๆ ต่อไป. ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ล่วงไปได้ ๔ พระอานนท์ ผู้เป็นพุทธอุปถาก และเป็นผู้จำพุทธบัญชาของพระพุทธเจ้าได้ จึงขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบางส่วนจากกรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยพระมหากัสสปะ พระโสภิตะและพระอรหันต์อีกหลายรูป ไดอาราธนาพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุไว้ในที่ต่าง ๆ ตามที่พระองค์ได้ทรงรับสั่ง จนมาถึงเขาที่บรรจุพระเกษาธาตุ คณะของพระอรหันต์จึงให้อุบาสกท่านหนึ่ง ไปกราบทูลพญาอาราวีและพญาลัวะให้ทราบความ เจ้าเมืองทั้งสองจึงได้นำศรัทธาประชาชนมาสักการะบูชา ได้อาราธนาเอาพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ใน ผอบแก้วผอบทองคำและผอบเงินตามลำดับ แล้วบรรจุลงในไหใบหนึ่ง ขุดหลุมลึกลงไปใต้ดิน ๘ ศอก กว้าง ๘ ศอก กับ ๑ คืบ นำแผ่นแก้วผลึกลงปูชั้นแรก นำแผ่นเงินลงปูเป็นชั้นที่สอง แล้วนำแก้วแหวนเงินทอง ของมีค่าต่างๆ ที่ชาวเมืองนำมาบูชา บรรจุลงในไหที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีคาเท่ากับ ๑,๘๐๕,๐๐๐ ( ในตำนานไม่ได้ระบุว่าเป็นบาทหรือตำลึง ) เสร็จแล้วก่ออิฐเป็นวงกลม ๒ ชั้นทำเป็นประตู ๔ ทิศถมเสร็จแล้วก่ออิฐสูงขึ้นมาบนดิน ๑๔ ศอก เมื่อทุกอย่างบริบูรณ์พระอรหันต์สาวกได้แสดงพระธรรมเทศนา สั่งสอนให้ชาวเมืองทั้งหลายตั้งอยู่ใน พระธรรมคำสั่งสอน มีหิริ โอตัปปะ เกรงกลัวต่อบาปกรรม มีศีลมีธรรมอยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป จากนั้นคณะของพระอรหันต์พร้อมด้วยผู้ติดตาม ได้จาริกไปนำเอาพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุไว้ในที่สำคัญต่าง ๆตามพุทธบันชา แล้วกลับไปยังวัดป่า เชตวันอารามในชมภูทวีป ประเทศอินเดีย เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปในภายภาคหน้า …

    กับ ตำนานนี้ อำเภอแจัห่ม มีตำนานเล่าว่า มียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า อาฬาวี อาศัยอยู่ที่ดอยอักโขคีรี มีใจหยาบช้า ชอบจับมนุษย์และสัตว์กินเป็นอาหารอยู่เสมอ ต่อมาพระพุทธองค์ได้เสด็จมาโปรด สั่งสอนยักษ์อาฬาวี จนมีดวงจิตสงบพระพุทธองค์พยากรณ์ไว้ว่าต่อไปที่นี่จะกลายเป็นเมืองที่มีชื่อว่า แจ้ห่ม บริเวณเชิงดอยอักโขคีรี มีหนองน้ำใหญ่เล่ากันว่า หนองน้ำนี้เกิดขึ้นเพราะชาวเมืองกินไข่เงือก ทอด จึงเกิดวิกฤติการณ์ร้าย ทำให้เกิดลมพายุพัดบ้านเมืองถล่ม เป็นหนองน้ำใหญ่อยู่หน้าวัดอักโขคีรีชัย มีคนที่รอดมาได้ คือ หญิงหม้ายผู้หนึ่ง ซึ่งไม่ได้กินไข่เงือกทอดนั้น
    ..

    ต้องหาหลักฐานกันต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ฤๅ แคว้นกัมโพชะ ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อ ทวารกะหรือทวาราวดี จะอยู่ที่ลพบุรี

    นำเรื่องเก่า มาประมวลต่อ ...และ เพิ่มเติมข้อมูลใหม่ ที่ได้เพิ่มเติม ครับ

    https://www.facebook.com/thanabodee.tace/posts/379985818785533

    การค้นหาที่ตั้ง ของแคว้น “กัมโพชะ” ซึ่ง เป็น ๑ ใน ๑๖ มหาชนบท ของชมพูทวีป ในแผ่นดินประเทศพม่าและไทย จากการค้นคว้าภาคเอกสาร นั้น ทำให้ผมหลงทางไปหลายทิศ เพราะ ตำนานที่พูดถึง “กัมโพชะ” นั้น มีมากมายหลายที่ ไล่ตั้งแต่ ที่เมืองต่องยี หรือเมืองคัง สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ เมืองกัมโพชะทุ่งยั้ง ที่อุตรดิตถ์ ไล่ลงมาถึง ลพบุรี ก็มีตำนานเรียกเป็นเมืองกัมโพช โน่นครับ ไปถึง เขมร ที่นั่น ก็เรียกกัมพุช หรือ กัมโพชะ อีกเหมือนกัน แล้วที่ไหนหล่ะจะเป็น ที่ตั้ง แคว้นกัมโพชะ ในสมัยพุทธกาล ที่แท้จริง
    ในขณะที่ จาก ข้อมูล ข้อสันนิษฐาน ของนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี ในปัจจุบัน ที่เชื่อว่า พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในแดนภารตะ หรือประเทศอินเดีย ก็ได้มีมติ เกี่ยวกับที่ตั้ง ของ “แคว้นกัมโพชะ” ว่า...
    แคว้นกัมโพชะ เป็นแคว้นเหนือสุด ตั้งอยู่เหนือคันธาระ ในเขตซึ่งเรียกว่าอุตตราปถะดังได้กล่าวแล้ว เทียบกับปัจจุบัน ส่วนมากลงความเห็นว่า ได้แก่พื้นที่ส่วนตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย คือบริเวณราเชารี หรือราชปุระเดิม ยาวผ่านเขตปากีสถานไปจนถึงกาฟิริสตาน อันเป็นเขตด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอาฟฆานิสถาน
    ไม่ปรากฏการแผ่ขยายตัวของพระพุทธศาสนา ไปยังแคว้นกัมโพชะในสมัยพุทธกาล แต่พระพุทธศาสนาก็ได้แผ่มายังแคว้นนี้ในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อหลวงจีนถังซัมจั๋งมาสืบศาสนาในอินเดีย ท่านได้กล่าวว่า ที่เมืองราชปุระมีวัดอยู่รวมด้วย กัน ๑๐ วัด แต่มีพระสงฆ์ประจำอยู่เป็นจำนวนน้อย
    ตรงที่ “เขา” ว่า พระพุทธศาสนาไม่เคยแผ่ขยายไปยังแคว้นกัมโพชะในสมัยพุทธกาล คงเป็นเพราะ เขาหาหลักฐานไม่พบ หรือไม่ก็คงเห็นว่า มันอยู่ไกลมาก จึงลงความเห็นกันไปเช่นนั้น
    แต่ ผม “ไม่เชื่อตามที่เขาว่าหรอก” ผมเชื่อว่า พระพุทธศาสนา ได้แพร่หลายเข้ามาถึงแคว้นกัมโพชะแน่ เหตุผลหนึ่ง ก็เพราะผมไม่ได้เชื่อตามที่เขาว่า “กัมโพชะจะอยู่ไกลไปถึงประเทศอาฟกานิสถาน” ยิ่งเมื่อผม ได้พยายาม จะวางตำแหน่งที่ตั้งแคว้นต่างๆ ทั้ง ๑๖ แค้วน ของชมพูทวีป ลงในแผนที่ พม่าตอนใต้ ภาคกลางและภาคอีสานของไทย ดังแผนที่สันนิษฐาน นี้ จะเห็นว่า แว่นแคว้นต่างๆ อยู่เกาะกุมกัน ซึ่งไม่มีเหตุผล ว่า แคว้นที่อยู่ท่ามกลางแคว้นใหญ่ๆ ที่พระพุทธศาสนา และพระธรรมคำสอน ของพระพุทธองค์ แพร่หลายไปทั่วนั้น จะปฏิเสธ คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะแม้แต่แคว้นโกศล ที่อยู่ไกลไปในเขตประเทศพม่า ยังมีความเจริญงอกงามในทางพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
    ดังที่ได้พูดไว้ในโพสต์ผ่านๆ มา ว่า มีแคว้น ๓-๔ แคว้น ที่ยังไม่สามารถกำหนดตำแหน่ง พอกัดที่ตั้งได้ แต่ได้ วางตำแหน่งลงในพื้นที่ว่างระหว่างแคว้น อื่นๆ ที่พอจะคะเนได้ว่า เป็นแคว้นอะไรบ้าง โดย ในเวลานี้ แคว้นหมายเลข ๔ คาดหมายว่าจะเป็นที่ตั้งของแคว้น สุรเสนะ ดังนั้น “แคว้นกัมโพชะ ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อ ทวารกะ” จึงควรจะอยู่ ในตำแหน่ง แคว้น หมายเลข ๑ ๒ หรือ ๓
    ผม จึงพยายาม ที่จะค้นหาข้อมูลภาคเอกสาร เพื่อหาข้อมูลสนับสนุน ว่าจะ มีพื้นที่ใด ที่จะมีข้อมูลเกี่ยวพัน กับ “แคว้นกัมโพชะ” บ้างหรือไม่?
    ซึ่ง ผมก็ได้พบข้อมูล ที่น่าสนใจ และอาจนำมาสนับสนุน ข้อสมมติฐานว่า ที่ตั้งของแคว้นกัมโพชะ อยู่ในตำแหน่ง หมายเลข ๑ ซึ่งครอบคลุมที่ตั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และลพบุรีบางส่วน ลองพิจารณาจากข้อมูล ที่ผม สืบค้นมาได้ดังนี้
    นามทวาราวดี
    นามของกรุงศรีอยุธยา (กรุงเก่า-หนองโสน) นั้น สืบเนื่องมาจากนามของกรุงทวาราวดีโบราณ สมัย พ.ศ. 1050–1181
    คนไทยโบราณใช้คำนี้ในภาษาไทยว่า ทวาราวดี มีสระ อา เราเห็นได้ชัดจากการบันทึกของคนจีนที่เป็นพ่อค้า เรียกนามนี้ว่า ตว้อ เหอ หลอ คือคำ ทะวา หะ หรา ส่วนพระภิกษุจีนรู้ภาษาสันสกฤตดี ได้บันทึกว่า โต โล โป ติ คือ ทวา ระ ปะ ติ นามทั้งสองนี้มีบันทึกอยู่ในภาษาจีนมากมาย
    ตำนานไทยไม่ค่อยมีที่เรียกนามนครนี้ว่า ทวาราวดี แต่เรียกว่า เมืองราม รัมมนคร รัมมประเทศ และบางตำนานเรียก อโยฌชปุระ คนจีนที่บันทึกไว้ตามชื่อนี้ บันทึกว่า ฟู เย ชิ เหยา ฟู ตรงกับ ปุระ , เยชิเหยา คือ โย ฌิ หยา.
    ดินแดนของอาณาจักรทวาราวดี จากหลักฐานจดหมายเหตุของพระสมณะเฮี้ยงจัง(ถังซัมจั๋ง)ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ บันทึกไว้ว่า ถัดไปทางทิศตะวันออกของอินเดียทางมณฑลอัสสัม มีภูเขาใหญ่สีดำเทียมเมฆ ถัดภูเขาไปมีอาณาจักรชื่อสิกหลีสักตอล้อ คือ ศรีเกษตรหรือ พม่า ถัดจากอาณาจักรนี้ออกไป มีอาณาจักรชื่อ “ตุยล้อกัวตี่” ซึ่งเซเดส์ สันนิษฐานว่า ตรงกับคำว่า ทวาราวดี ต่อมาภายหลังได้พบหลักฐาน อันเป็นจารึกของกัมพูชา หลักหนึ่งออกชื่อ เมืองทวารกะเดย จึงทำให้มั่นใจว่า อาณาจักรทวาราวดีเป็นมหาอาณาจักร ตั้งอยู่ระหว่างประเทศพม่ากับประเทศเขมร
    และจาก “ตำนานพระสิขีพุทธปฏิมา” ดังปรากฏใน “ชินกาลมาลีปกรณ์” ซึ่งท่านรัตนปัญญาเถระ ชาวเมืองเชียงใหม่ ได้แต่งไว้เป็นภาษาบาลี เมื่อระหว่าง พ.ศ. ๒๐๖๐-๒๐๗๑ หรือเมื่อเกือบ ๕๐๐ ปีที่แล้ว ตอนหนึ่งว่า
    .....ในปีกุนนั้น กษัตริย์อโยชฌปุระ ( หมายถึง พระนครศรีอยุธยา ตรงในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ครองกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๐๓๔-๒๐๗๒ ) ยกพลนิกายมานครเขลางค์ จริงอยู่ กษัตริย์อโยชฌปุระนั้น เสด็จมานครเขลางค์ เมื่อวันอังคาร เดือนอ้าย แล้วยึดเอาพระพุทธปฏิมา ชื่อ "สิขี" ไปจากวัดกู่ขาว ขอเล่าเรื่องการอุบัติของพระพุทธปฏิมา ชื่อ "สิขี" ซึ่งสถิตอยู่ในวัดกู่ขาวต่อไป
    .....ได้ยินว่า ยังมี "หินดำ" ก้อนหนึ่ง ทางด้านฝั่งตะวันตกแม่น้ำ ไม่ไกลจาก "อโยชฌปุระ" ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคของเรา เมื่อดำรงพระชนม์อยู่ แวดล้อมด้วยพระขีณาสพทั้งหลาย เสด็จมาทางอากาศแล้วลงมายังที่นั้น ประทับนั่งบน "ก้อนหินดำ" นั้น ตรัส "ทารุกขันธูปมสูตร" แก่พระภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่นั้นมา หินดำก้อนนั้น เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายกราบไหว้บูชาเป็นนิตย์ตลอดมา เพราะฉะนั้น หินดำก้อนนั้นจึงมีชื่อปรากฏว่า อาทรสิลา และหินดำก้อนนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวรัมมนะประเทศ ( หมายถึงเมืองรามัญ ) ทั้งหลายเรียกด้วยภาษาของตนว่า สิลาธิมิ แปลว่าพระหิน เพราะเล็งเอาเหตุที่ศิลานั้นมีผู้นับถือบูชา ต่อจากนั้นมา มีพระราชาธิราชองค์หนึ่ง ในรัมมนะประเทศ เป็นใหญ่แก่เจ้าประเทศราชทั้งหลาย ทรงดำริอย่างนี้ว่าหินก้อนนี้ แม้เพียงมีฐานะเป็นเครื่องใช้สอย แต่ก็ยังเป็นไปเพื่อบุญใหญ่หลวงแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะทำหินก้อนนั้นให้เป็นพระพุทธปฏิมา และพระพุทธปฏิมาองค์นี้ จะได้เป็นไปเพื่อบุญใหญ่หลวงยิ่งๆ ขึ้นไปแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจนกว่าศาสนาจะอันตรธาน ครั้งทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่งให้ประชุมช่างปฏิมากรรมทั้งหลาย แล้วโปรดให้ช่างทำหินก้อนนั้นให้เป็นพระพุทธรูปจำนวน ๕ องค์ ครั้นทำเสร็จแล้ว องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ในมหานคร องค์หนึ่งอยู่ในลวปุระ ( หมายถึง ลพบุรี ) องค์หนึ่งอยู่ในเมืองสุธรรม ( อาจจะหมายถึงเมืองสะเทิม ) อีก ๒ องค์ประดิษฐานอยู่ในรัมมนะประเทศ ทรงสักการบูชาพระพุทธรูป ๒ องค์เสมอมาจนสวรรคต
    ......ในตำนานยังจะได้กล่าวถึงการอัญเชิญ “พระสิขีพุทธปฏิมา” ไปสักการะตามเมืองต่างๆ ซึ่งองค์ที่อัญเชิญมาที่เขลางค์นครนั้น ถูกอัญเชิญไปจากลวปุระ ในสมัย พระนางจามเทวี ราว พ.ศ. ๑๒๐๐
    ......ซึ่งในพระไตรปิฎก และอรรถกถา ได้บันทึกไว้ ในพระสูตร ๒ คือ "ทารุกขันธูปมสูตร" กับ "เผณปิณฑูปมสูตร"
    ......โดยใน "ทารุกขันธูปมสูตร" ซึ่งตรงกับ "ตำนานพระสิขีพุทธปฏิมา" ที่ว่า พระพุทธองค์ประทับบนก้อนหินดำ ตรัส "ทารุกขันธูปมสูตร" แก่พระภิกษุทั้งหลาย
    ......ส่วนใน "เผณปิณฑูปมสูตร" ได้บันทึกไว้ว่า...
    ......สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาใกล้อยุชฌบุรี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคานี้ พึงนำกลุ่มฟองน้ำใหญ่มา บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณากลุ่มฟองน้ำใหญ่นั้น โดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย กลุ่มฟองน้ำนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่าหาสาระมิ ได้เลย สาระในกลุ่มฟองน้ำ พึงมีได้อย่างไร ฯลฯ
    ซึ่ง เชื่อมโยง ยืนยันได้ว่า อยุชฌบุรี ในพระไตรปิฎกและอรรกถา คงจะเป็นที่เดียวกับที่ อโยชฌยปุระ ที่เป็นต้นตำนาน “พระสิขีพุทธปฏิมา” คืออยู่ พื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและลพบุรี และเป็นพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่ตั้งของอาณาจักร หรือแคว้นที่ชื่อ “ทวาราวดี”
    และใน หนังสือ “ชินกาลมาลีปกรณ์” เล่มเดียวกัน ที่บันทึก “ตำนานพระสิขีพุทธปฏิมา” ได้กล่าวถึง ช่วงสมัยกาลของพระเจ้าอู่ทอง ไว้ ดังนี้
    “…ครั้งหนึ่ง เมืองชัยนาทเกิดทุพภิกภัย พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชฌปุระเสด็จมาจากแคว้นกัมโพช ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้ โดยทำทีว่าเอาข้าวมาขายครั้นยึดได้แล้วทรงตั้งอำมาตย์ของพระองค์ชื่อว่าวัตติเดช ซึ่งครองเมืองสุวรรณภูมิให้มาครองชัยนาท… เมื่อพระเจ้ารามาธิบดีผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพชและอโยชฌปุระสวรรคตแล้ว วัตติเดชอำมาตย์มาจากเมืองสุวรรณภูมิยึดแคว้นกัมโพชได้…”
    ซึ่งในตำนาน เมืองเหนือ “กัมโพช” นี้ ก็หมายถึง ละโว้ หรือ ลพบุรี นี่เอง และจากหลักฐาน อันเป็นจารึกของกัมพูชา หลักหนึ่งออกชื่อ เมืองทวารกะเดย ซึ่ง เป็นชื่อนครหลวงของแคว้นกัมโพชะ ที่ชื่อ ทวารกะ และข้อมูล ทางโบราณคดี ก็เป็นหลักฐานยืนยัน ว่า ดินแดน ลพบุรี-อยุธยา นี้ มีร่องรอยการตั้งชุมชน และอาศัยอยู่ของ ผู้คน ย้อนไป มากกว่า ๔,๕๐๐ ปี ย้อนลงมา ๓,๐๐๐ ปี จนถึง ๒,๖๐๐ ปี ที่ผ่านมา ซึ่งร่วมสมัยพุทธกาล อย่างแน่นอน และที่สำคัญ ได้รับอิทธิพล และรับเอาคำสอนของพระพุทธศาสนา จากการที่พระพุทธองค์เสด็จจาริก มาแสดงพระธรรมเทศนา ด้วยพระองค์เองเสียด้วย
    ผมจึง ขอตั้งสมมติฐาน ว่า “แคว้นกัมโพชะ ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อ ทวารกะ” ในสมัยพุทธกาลนั้น ตั้งอยู่ในพื้นที่ จังหวัดลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา เพื่อนำไปสู่การพิสูจน์ ในชั้นต่อไป
    ....

    ใน ช่วง ครึ่งปี 2559 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาส ไปเยือน เมืองโบราณซับจำปา ที่อำเภอท่าหลวง ลพบุรี มาครับ จึงได้เพิ่มน้ำหนัก ความเชื่อมั่นว่า ที่นี่ จะเป็นศูนย์กลางอำนาจ ของ "แคว้นกัมโพชะ ที่มีเมืองหลวง ชื่อทวารกะ" ครับ

    แคว้น นี้ อยู่ในที่ตั้ง ซึ่งเป็นเหมือน ศูนย์กลางแลกเปลี่ยน ระหว่าง มหาอำนาจใหญ่ฟากตะวันออก คือ มคธ-ราชคฤห์ กับ มหาอำนาจใหญ่ฟากตะวันตก คือ โกศล-สาวัตถี

    ในสมัยพุทธกาล หรือก่อนสมัยพุทธกาล แคว้นมีได้มีอยู่แล้ว คือ อายุมากกว่า 3000 ปี ตามหลักฐาน ทางโบราณวัตถุ ครับ ในพระไตรปิฎก และอรรถกถา มีกล่าวถึง แคว้น "กัมโพชะ" นี้ ไว้ว่า

    อรรถกถาอังกุรเปตวัตถุที่ ๙
    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอังกุรเปรต จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺส อตฺถาย คจฺฉาม.
    ก็ในที่นี้ ไม่มีอังกุรเปรตก็จริง แต่เพราะความประพฤติของอังกุรเปรตนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยเปรต ฉะนั้น ความประพฤติของอังกุรเปรตนั้น ท่านจึงกล่าวว่าอังกุรเปตวัตถุ.
    ในข้อนั้นมีสังเขปกถาดังต่อไปนี้ :-
    ยังมีกษัตริย์ ๑๑ พระองค์ คือพระนางอัญชนเทวี และน้องชาย ๑๐ พระองค์ คือวาสุเทพ พลเทพ จันทเทพ สุริยเทพ อัคคิเทพ วรุณเทพ อัชชุนะ ปัชชุนะ ฆฏบัณฑิต และอังกุระ อาศัยครรภ์ของพระนางเทวคัพภาผู้พระธิดาของพระเจ้ามหากังสะ ในอสิตัญชนนคร ซึ่งพระเจ้ากังสะปกครองในอุตตราปถชนบท เพราะอาศัยเจ้าอุปสาครผู้โอรสของพระเจ้ามหาสาครผู้เป็นใหญ่ในอุตตรมธุรชนบท.
    บรรดากษัตริย์เหล่านั้น กษัตริย์ผู้น้องชายมีวาสุเทพเป็นต้นใช้จักรปลงพระชนมชีพพระราชาทั้งหมด ๖๓,๐๐๐ นคร ทั่วชมพูทวีป นับตั้งต้นแต่อสิตัญชนนครจนถึงกรุงทวารวดีเป็นที่สุด แล้วประทับอยู่ในทวารวดีนคร แบ่งรัฐออกเป็น ๑๐ ส่วน แต่ไม่ได้นึกถึงพระนางอัญชนเทวี ผู้เป็นพระเชษฐภคินี แต่เมื่อระลึกขึ้นได้จึงกล่าวว่า เราจะแบ่งเป็น ๑๑ ส่วน.
    เจ้าอังกุระน้องชายคนสุดท้องของกษัตริย์เหล่านั้นกล่าวว่า ท่านจงแบ่งส่วนของหม่อมฉันให้แก่พระเชษฐภคินีเถิด หม่อมฉันจะทำการค้าขายเลี้ยงชีพ ท่านทั้งหลายจงสละส่วยในชนบทของตนๆ ให้แก่หม่อมฉัน.
    กษัตริย์เหล่านั้นรับพระดำรัสแล้วจึงเอาส่วนของเจ้าอังกุระให้แก่พระเชษฐภคินี. พระราชาทั้ง ๙ พระองค์ประทับอยู่ในกรุงทวารวดี. ส่วนอังกุรประกอบการค้า บำเพ็ญมหาทานเป็นนิตยกาล
    ก็อังกุระนั้นมีทาสผู้หนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คลังมุ่งหวังประโยชน์ ท่านอังกุระชอบใจ ได้ขอกุลธิดาคนหนึ่งมาให้เขา เมื่อตั้งครรภ์บุตรเท่านั้น เขาก็ตายไป เมื่อบุตรคนนั้นเกิดแล้ว ท่านอังกุระได้เอาค่าจ้างที่ได้ให้แก่บิดาของเขาให้แก่เขา ครั้นเมื่อเด็กนั้นเจริญวัยจึงเกิดการวินิจฉัยขึ้นในราชสกุลว่า เขาเป็นทาสหรือไม่. พระนางอัญชนเทวีได้สดับดังนั้นจึงตรัสเปรียบเทียบโดยแม่โคนม แล้วตรัสว่า แม้บุตรของมารดาผู้เป็นไทก็ต้องเป็นไทเท่านั้น ดังนี้แล้วจึงให้พ้นจากความเป็นทาสไป.
    แต่เพราะความอาย เด็กจึงไม่อาจอยู่ในที่นั้นได้ จึงได้ไปยังโรรุวนคร พาธิดาของช่างหูกคนหนึ่งในนครไป เลี้ยงชีพด้วยการทอผ้า.
    สมัยนั้น เขาได้เป็นมหาเศรษฐี ชื่อว่าอสัยหะ ในโรรุวนคร เขาได้ให้มหาทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพกและยาจกทั้งหลาย. ช่างหูกนั้นเกิดปีติและโสมนัสเหยียดแขนขวาออกชี้ให้ดูนิเวศน์ของอสัยหเศรษฐีแก่ชนผู้ไม่รู้จักเรือนของเศรษฐีว่า ขอคนทั้งหลายจงไปในที่นั่นแล้วจะได้สิ่งที่ควรได้.
    กรรมของเขามาแล้วในพระบาลีนั่นแล.
    สมัยต่อมา เขาทำกาละแล้วบังเกิดเป็นภุมเทพยดาที่ต้นไทรต้นหนึ่งในมรุภูมิ มือขวาของเขาได้ให้สิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่าง.
    ก็ในโรรุวนครนั้นนั่นเอง มีบุรุษคนหนึ่งเป็นคนขวนขวายในทานของอสัยหเศรษฐี แต่ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เอื้อเฟื้อต่อการบำเพ็ญบุญ ทำกาละแล้วบังเกิดเป็นเปรต ไม่ไกลแต่ที่อยู่ของเทพบุตรนั้น.
    ก็กรรมที่เขาทำมาแล้วในพระบาลีนั่นแล.
    ฝ่ายอสัยหมหาเศรษฐีทำกาละแล้ว เข้าถึงความเป็นสหายของท้าวสักกเทวราชในภพดาวดึงส์.
    ครั้นสมัยต่อมา เจ้าอังกุระบรรทุกสินค้าด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่มและพราหมณ์คนหนึ่งบรรทุกสินค้าด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม รวมความว่า ชนทั้ง ๒ คนบรรทุกสินค้าด้วยเกวียน ๑,๐๐๐ เล่มเดินไปตามทางมรุกันดาร พากันหลงทาง เที่ยวอยู่ในที่นั้นนั่นเองหลายวันจนหมดหญ้า น้ำและอาหาร. เจ้าอังกุระให้ทูตม้าแสวงหาน้ำดื่มทั้ง ๔ ทิศ.
    ลำดับนั้น เทพผู้มีมืออันให้สิ่งที่ต้องการองค์นั้น เห็นชนเหล่านั้นได้รับความวอดวายอันนั้น จึงคิดถึงอุปการะที่เจ้าอังกุระ ได้กระทำไว้แก่ตนในกาลก่อน จึงคิดว่าเอาเถอะ บัดนี้เราจักพึงเป็นที่พึ่งของเจ้าอังกุระนี้ ดังนี้แล้วจึงได้ชี้ให้ดูต้นไทรอันเป็นที่อยู่ของตน.
    ได้ยินว่า ต้นไทรนั้นสมบูรณ์ด้วยกิ่งและค่าคบ มีใบทึบ มีร่มเงาสนิท มีย่านหลายพันย่าน ว่าโดยความยาวกว้างและสูงประมาณ ๑ โยชน์.
    เจ้าอังกุระเห็นดังนั้นแล้ว เกิดความหรรษาร่าเริง ให้ตั้งข่ายภายใต้ต้นไทรนั้น. เทวดาเหยียดหัตถ์ขวาของตนออก ให้คนทั้งหมดอิ่มหนำด้วยน้ำดื่มเป็นอันดับแรกก่อน ต่อแต่นั้นจึงได้ให้สิ่งที่เขาปรารถนาแก่เขา.
    เมื่อมหาชนนั้นอิ่มหนำตามความต้องการด้วยข้าวและน้ำเป็นต้นนานาชนิดอย่างนี้. ภายหลัง เมื่ออันตรายในหนทางสงบลง พราหมณ์ผู้เป็นพ่อค้านั้นใส่ใจโดยไม่แยบคาย คิดอย่างนี้ว่า เราจากนี้ไปยังแคว้นกัมโพชะแล้ว จักกระทำอะไรเพื่อให้ได้ทรัพย์. แต่เราจะพาเทพนี้แหละไปด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นสู่ยานไปยังนครของเราเอง.
    ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว เมื่อจะบอกความนั้นแก่เจ้าอังกุระ จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
    เราทั้งหลายเที่ยวหาทรัพย์ไปสู่แคว้นกัมโพชะ
    เพื่อประโยชน์ใด เทพบุตรนี้เป็นผู้ให้สิ่งที่เราอยากได้
    นั้น พวกเราจักนำเทพบุตรนี้ไป หรือจักจับเทพบุตรนี้
    ข่มขี่เอา ด้วยการวิงวอนหรืออุ้มใส่ยานนำไปสู่ทวารก
    นครโดยเร็ว.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส อตฺถาย แปลว่า เพราะเหตุแห่งประโยชน์ใด.
    บทว่า กมฺโพชํ ได้แก่ แคว้นกัมโพชะ.

    บทว่า ทฺวารกํ ได้แก่ ทวารวดีนคร.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2016
  20. 12qv

    12qv Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +26
    ลุมพินีวัน (อักษรโรมัน: Lumbini Vana) เป็นพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญแห่งที่ 1 ใน 4 สังเวชนียสถานของชาวพุทธ เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่อำเภอไภรวา แคว้นอูธ ประเทศเนปาล เป็นพุทธสังเวชนียสถาน 4 ตำบลเพียงแห่งเดียวที่อยู่นอกประเทศอินเดีย ลุมพินีวัน เดิมเป็นสวนป่าสาธารณะหรือวโนทยานที่ร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน ในสมัยพุทธกาลลุมพินีวันตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ ในแคว้นสักกะ บนฝั่งแม่น้ำโรหิณี หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชได้โปรดให้สร้างเสาหินขนาดใหญ่มาปักไว้ตรงบริเวณที่ประสูติ เรียกว่า เสาอโศก ที่จารึกข้อความเป็นอักษรพราหมีว่าพระพุทธเจ้าประสูติที่ตรงนี้[1]

    ปัจจุบันลุมพินีวันอยู่ในเขตประเทศเนปาล ติดชายแดนประเทศอินเดียทางเหนือเมืองโคราฆปุระ ห่างจากเมืองติเลาราโกต (หรือ นครกบิลพัสดุ์) ทางทิศตะวันออก 11 กิโลเมตร และห่างจากสิทธารถนคร[2] (หรือ นครเทวทหะ) ทางทิศตะวันตก 11 กิโลเมตร ซึ่งถูกต้องตามตำราพระพุทธศาสนาที่กล่าวว่าลุมพินีวันสถานที่ประสูติ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะ ปัจจุบัน ลุมพินีวันมีเนื้อที่ประมาณ 2,000 ไร่ ทางการเรียกสถานที่นี้ว่า รุมมินเด มีสภาพเป็นชนบท มีผู้อาศัยอยู่ไม่มาก มีสิ่งปลูกสร้างเป็นพุทธสถานเพียงเล็กน้อย แต่มีวัดพุทธอยู่ในบริเวณนี้หลายวัด รวมทั้งวัดไทยลุมพินี ลุมพินีวันได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540[3]
     

แชร์หน้านี้

Loading...