57. ...ท่องแดนอิสาน ไหว้พระธาตุประจำวันเกิด...

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย สร้อยฟ้ามาลา, 25 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    พวกเราไหว้พระธาตุขามแก่นเสร็จเป็นเวลาประมาณ บ่ายสามโมงครึ่งเศษ จึงได้ออกเดินทางมุ่งสู่จังหวัดกาฬสินธุ์เพื่อไปยังจังหวัดสกลนคร ดูจีพีเอสร่วมสามร้อยกว่ากิโลเมตร แต่ตอนนี้หิวแล้ว จึงปรึกษากันว่าถ้าออกถนนใหญ่(สาย๒๐๙ หรือ ๑๒) เจอปั๊มน้ำมันใหญ่ๆ ก็แวะหาอะไรกินก่อน แต่ปรากฏว่าตลอดทางจนถึงเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ ไม่เจอปั๊มน้ำมันใหญ่ๆ เลย มองไปเห็นแต่เสาไฟฟ้าเรียงรายอยู่ข้างถนนสุดลูกหูลูกตา พอถึงแยกไปทางอำเภอยางตลาด เจอเพิงร้านมุงจาก ขายก๋วยเตี๋ยว ไก่ย่างอยู่ข้างทางต้องจอดแวะ ด้วยไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะไกลขนาดไหนถึงจะมีร้านอาหารอีก ลงจากรถได้มีอาการมือสั่น ยืนโงนเงน เพราะเมาระยะทางกับหิวข้าว บ่ายสี่โมงเพิ่งจะได้กินข้าวเที่ยง สั่งก๋วยเตี๋ยวกันคนละชามกับไก่ย่าง ๑ ตัว กินก๋วยเตี๋ยวหมดแต่ไก่ย่างกินไม่หมดให้ห่อขึ้นรถเก็บไว้กินคืนนี้ต่อ ก็นั่งพักจนเกือบห้าโมงเย็นพวกเราก็มุ่งหน้าสู่อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ก่อนถึงตัวเมืองจะมีถนนบายพาส จีพีเอสดันตั้งให้ผ่าตัวเมืองไปเลย ก็ไม่รู้ว่าเป็นบายพาสไม่งั้นก็เลี้ยวเข้าไปแล้ว ขับผ่าตัวเมือง รู้สึกวุ่นวายแปลกๆ จากสังเกตดู เขาจะขับรถกันช้ามาก อยู่ขวาสุดนึกจะเลี้ยวเข้าซอยด้านซ้ายก็เลี้ยวดื้อๆ ซะงั้น หรืออยู่ซ้ายสุดนึกจะเลี้ยวขวาสี่แยกก็เลี้ยวซะงั้น สี่แยกไฟแดงก็มีเยอะ ไฟเขียวแล้วยังไม่ค่อยจะเร่งออกกันเลยแปลกใจว่าคงกลัวจะมีพวกฝ่าไฟแดงหรือว่าเขาขับช้าๆ กันอย่างนี้ก็ไม่รู้ ก็เลยต้องขับช้าไปตามเขา กว่าจะพ้นตัวเมืองได้เริ่มโพล้เพล้แล้ว และทางข้างหน้าคือภูพาน ก็ไม่เคยมานะ รู้แต่ว่าเป็นทางขึ้นภูเขา ไม่อยากขึ้นเขาตอนมืดๆ เพราะไม่ใช่คนพื้นที่ แต่ยังไงๆ ก็ไม่พ้นหล่ะ คาดว่าไปถึงภูพานมืดแน่นอน พอหลุดจากตัวเมืองบางช่วงมีการทำถนนเพื่อขยายถนน เป็นถนนเกือบเป็นแนวตรงยาวๆ ลักษณะเป็นขึ้นเนินลงเนินสลับกันไป ตอนนี้เห็นรถตู้รับ – ส่งนักเรียนอยู่ข้างหน้า ขับเร็วเสียด้วย มองหน้าปัดตอนนี้ขับอยู่ที่ ๑๐๐ แต่ตามรถตู้ไม่ทัน แล้วรถตู้นักเรียนก็ขับไม่ตรงทาง เดี๋ยวกินเลนซ้ายทีขวาที บางครั้งก็เลยเข้าไปยังเลนสวน รถที่ขับสวนมาต้องหลบ เดี๋ยวก็ขับลงไหล่ทางจนเกือบจะลงข้างทางดูๆ แล้ว ท่าจะเมา เสียวแทนนักเรียนกลัวจะเป็นอันตราย ขับตามรถตู้คันนี้ร่วมๆ ๒๐ กิโลเมตร รถตู้ถึงได้เลี้ยวขวาเข้าแยกไปอีกทาง พวกเรามาถึงแถวๆ อำเภอสมเด็จ ตำบลผาเสวย ก็จอดเคลียของท้ายรถแป๊ปนึง

    [​IMG]

    มองนาฬิกาตอนนี้หกโมงเย็นแล้วจ้า มองจีพีเอสบอกจุดหมายปลายทางคือ อำเภอธาตุพนมอีกราวๆ สองร้อยกิโลเมตร แล้วอีกไม่ไกลเท่าไหร่ จะมองเห็นทางคดเป็นงูเลยนั่นคือภูพาน มืดจนได้ เป็นไรไปปายหนักกว่านี้ก็ขึ้นมาแล้ว(คิดปลอบใจตัวเอง) โค้งซ้ายโค้งขวาไต่ระดับขึ้นเขาสูงไปเรื่อยๆ ภาพข้างถนนเข้าสู่ความมืดสนิทมองไม่เห็นแล้วว่าเป็นข้างเขาหรือข้างเหว แล้วก็มาเจอรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งนำอยู่ข้างหน้าเป็นป้ายทะเบียนกรุงเทพฯ ขับค่อนข้างเร็ว ขับตามดูๆ สักระยะเห็นว่าน่าจะชำนาญทาง ได้ทีหล่ะ ขับตามหลังซะเลย เกาะติดไม่ปล่อย เหมือนเขาพยายามขับเร็วขึ้น แต่เราก็ขับตามไปไม่ได้ตามติด จะรีบไปไหนเนี่ยะ สักพักก็หมดช่วงระยะทางคดโค้งช่วงแรกจะเป็นทางตรงราบๆ ระยะไม่ไกล ก็จ๊ะเอ๋กับด่านตรวจอีกแล้ว เห็นตำรวจเรียกถามทุกคัน พอมาถึงคิวของเราก็เปิดกระจก ตำรวจก็เปิดฉากถามว่า “ อยู่บ้านใด๋” อ้าว งง เลย ตอบไม่ถูกอ้ำๆ อึ้งๆ ดันถามเป็นสำเนียงท้องถิ่น ก็เลยตอบไปว่าจะไปนครพนม ไปไหว้พระธาตุ ตำรวจก็อึ้งเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างเริ่มอึ่งไปสักครู่ ตำรวจก็ถามอีกที่ว่า มาจากไหน ก็เลยตอบไปว่า มาจากกรุงเทพฯ จากนั้นก็ กวักให้ไป ต่างฝ่ายต่างจากกันไปอย่าง งงๆ เมื่อหลุดจากด่านหันไปอีกที อ้าว รถคันที่ตามมาอยู่เห็นไปหลังไวๆ ไปโน่นแล้ว เหยียบตามต่อ กว่าจะตามทันขึ้นลงเนินเขาไปหลายลูกเลย จากนั้นอีกประมาณ ๕๐ กิโลเมตรก็จะถึงโค้งปิ้งงู เป็นทางคดโค้งสุดท้ายก่อนลงภูพาน ข้อควรระวังในการแซงระหว่างขึ้นเนินและลงเนินสูงๆ ที่เป็นทางตรง เพราะว่าตอนที่ขึ้นเนินนั้นตรงจุดสูงสุดของเนินจะบังรถที่สวนมาอีกฝั่ง และระหว่างลงเนินจะมีช่วงแอ่งเนินที่สามารถบังรถสิบล้อที่กำลังวิ่งขึ้นเนินมาทั้งคันได้มิดไม่ให้มองเห็นได้ เวลาแซงให้ระวังให้ดี....
    พอลงจากภูพานมาได้ก็จะเข้าสู่ตัวเมืองสกลนคร สร้อยฟ้าฯ ไม่เข้าตัวเมือง ขับรถออกบายพาสสู่เส้น ๒๒๓ ผ่านอำเภอโศกศรีสุพรรณมุ่งสู่รอยต่อจังหวัดนครพนม ระยะทางช่วงนี้ประมาณ ๘๐ กิโลเมตรก็ถึงอำเภอธาตุพนมซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับวันนี้ เส้นทาง ๒๒๓ จะเป็นเส้นวิ่งสวนทางกันมีไหล่ทางเล็กน้อย ตรงไหนที่เป็นสี่แยกใหญ่หรือชุมชนก็จะกลายเป็นข้างละสองเลนมีเกาะกลางคั่น และช่วงนี้ทำความเร็วได้ค่อนข้างมาก มืดแล้วไม่ค่อยมีรถ มีแต่รถหกล้อ สิบล้อบ้าง นานๆ จะมีรถเก๋งรถกระบะบ้าง ตอนนี้ก็เข้าสู่อำเภอนาแกแล้ว ไม่ถึงยี่สิบกว่ากิโลก็ถึงอำเภอธาตุพนม พอผ่านช่วงอำเภอนาแก ก็จะกลายเป็นเลนวิ่งสวนทางกันอีก ขับไปได้สักพักก็ไปเจอรถกระบะเชฟโรเลตสีขาว ทะเบียนนครพนม ขับช้าอยู่ข้างหน้า สร้อยฟ้าฯ เหยียบมาร้อยกว่าๆ ก็แซง แล้วก็ขับเข้าเลนของเรา ก็ดูนะไม่ได้ปาดหน้าด้วย เว้นระยะเยอะก่อนจะเข้า ขับมาได้ไม่ถึง ๕ กิโลเมตร เจอกับแยกไฟแดงใหญ่ ก็จอดติดไฟแดงอยู่เลนขวา รถกระบะก็ขับตามมาทันจอดเทียบอยู่เลนซ้าย พอไฟเขียว สร้อยฟ้าฯ ก็เหยียบออกตัวแรง แต่ข้างหน้าประมาณ ๕๐๐ เมตร มีรถเก๋งขับช้าอยู่ แล้วรถกระบะก็ขับเร่งแข่งขึ้นมาทางซ้าย แต่ก็ยังแซงสร้อยฟ้าฯ ไม่ได้ ซึ่งตอนนี้สร้อยฟ้าฯ ต้องผ่อนคันเร่งเพราะจะถึงท้ายรถเก๋งคันหน้าแล้ว รถกระบะเซฟโรเลตสีขาวคันนี้ก็เร่งแซงแล้วปาดหน้าสร้อยฟ้าฯ เข้าท้ายรถเก๋งที่อยู่ข้างหน้าเลย สร้อยฟ้าฯ ต้องเบรคและหักออกซ้าย พอหักออกก็จะหมดเลนพอดี กระบะคันนั้นก็เร่งแซงรถเก๋งขึ้นไป สร้อยฟ้าฯ ก็แซงตาม แล้วรถกระบะก็ขับช้าเกะกะอยู่ข้างหน้าเหมือนเดิม จะแซงก็แซงไม่ได้กั๊กถนนอยู่อย่างนั้น ดูนิสัยการขับรถแย่ๆ ของคนเรานะ สักพักรถกระบะก็ขับเลี้ยวขวาเข้าแยกถนนแถวๆ บ้านสีชมพูไปอีกทาง แล้วพวกเราก็มาถึงอำเภอพระธาตุพนมเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งกว่าๆ ขับรถเข้าที่พักซึ่งหาจากอินเตอร์เน็ทชื่อว่า ตาฮักยายรีสอร์ท อยู่ใกล้ๆ คนละฝั่งฟากถนนกับองค์พระธาตุพนม ค่าพักคืนละ ๔๐๐ บาท เหมา ๒ คืน ๓ ห้อง ลักษณะเป็นบ้านพักหลังนึงแบ่งเป็น ๒ ห้อง มี WIFI บริการด้วยนะ มองจากหน้าห้องพักจะมองเห็นยอดพระธาตุสีเหลืองอร่าม คืนนี้อากาศเย็นค่อนข้างหนาว สิ้นระยะการเดินทางในวันแรก ๗๖๘.๒๕ กิโลเมตร รวมเวลาเดินทางสิบห้าชั่วโมงกว่า(ก็แวะหลายที่).....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3788_1a.jpg
      IMG_3788_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      400.3 KB
      เปิดดู:
      701
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  2. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]

    วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตื่นมาหกโมงกว่าๆ อากาศดีมากลมเย็น วันนี้ตั้งแผนไว้ว่าจะไหว้พระธาตุ ๕ พระธาตุซึ่งกะคร่าวๆ ไว้ว่าน่าจะใช้เวลาถึงตอนเย็น และพระธาตุแห่งแรกที่จะไปไหว้ก็คือ พระธาตุพนม พวกเราไปถึงวัดพระธาตุพนมประมาณเจ็ดโมงครึ่ง ซึ่งวันที่ ๑๘ ที่จะถึงนี้จะมีงานไหว้พระธาตุพนมซึ่งร้านค้าต่างๆ เริ่มมาจัดร้านกันเต็มวัดไปหมด เดินดูร้านไปจนถึงลานหน้าพระธาตุก็มองพระธาตุไปยังไม่รู้สึกอะไร แต่ก้าวแรกที่เดินมาถึงกำแพงแก้วพระธาตุพนม ความรู้สึกไม่เหมือนกับที่เคยไปไหว้พระธาตุที่อื่นเลย อยู่ดีๆ ก็ตื้นตันขึ้นมาแล้วจะร้องไห้ให้ได้ สะกดตัวเองอยู่สักพักก็เริ่มหาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3795_1a.jpg
      IMG_3795_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      485.8 KB
      เปิดดู:
      688
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  3. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]

    วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
    เป็นวัดพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนชยางกูร บ้านธาตุพนม ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีลักษณะเป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจตุรัสก่อด้วยอิฐ กว้างด้านละ ๑๒.๓๓ เมตร สูง ๕๓.๖ เมตร มีกำแพงล้อมองค์พระธาตุ ๔ ชั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่บนภูกำพร้า (เนินดินสูงจากพื้นธรรมดาประมาณ ๓ เมตร) ภายในบริเวณมีบึงขนาดใหญ่เรียกว่าบึงธาตุพนม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ถึง แรม ๑ ค่ำ เดือน ๓ ของทุกปีจะมีงานประจำปีเพื่อเป็นการนมัสการพระธาตุพนม





    ...........................................................

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.2541549/[/MUSIC]
    ...........................................................​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  4. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556


    ตามคติความเชื่อของชาวล้านนา พระธาตุพนมเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีวอก
    อีกทั้งยังเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ด้วยเชื่อกันว่าผู้ที่ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์มีบุญบารมีและผู้คนให้ความเคารพนับถือ

    คาถาบูชาดวงประจำวันเกิด : อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ (สวดวันละ ๖ จบ)
    ชื่อคาถา : พระนารายณ์แปลงรูป
    นิยมใช้ : ทางเมตตามหานิยม
    ประจำอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)

    ของบูชาพระธาตุ
    ข้าวตอก น้ำอบ ข้าวเหนียวปิ้ง ดอกไม้สีแดง ธูป ๖ ดอก เทียน ๒ เล่ม

    คำนมัสการพระธาตุพนม
    (ตั้งนะโม ๓ จบ)
    ปุริมายะ ทักขิณายะ ปัจฉิมายะ อุตตะรายะ เหฏฐิมายะ อุปริมายะ ทิสายะ
    กะปะณะคิริสสะมิง ปัพพะเต มหากัสสะเปนะ ฐาปิตัง พุทธะอุรังคะธาตุง สิระสา นะมามิ

    คำไหว้ยอด
    เสตะฉัตตัง สุวัณณะระชะตัง ระตะนัง ปะณีตัง พุทธะอุรังคะเจติยัง อะหัง วันทามิ สัพพะทา

    คำนมัสการพระธาตุ (นมัสการทิศทั้ง ๖)
    ทิศตะวันออก ปุริมายะ ทิสายะ กะปะณะคิริสะมิง ปัพพะเต มหากัสสะเปนะ ฐาปิตัง พุทธะอุรังคะธาตุง สิระสา นะมามิ
    ทิศเหนือ ตตะรายะ กะปะณะคิริสะมิง ปัพพะเต มหากัสสะเปนะ ฐาปิตัง พุทธะอุรังคะธาตุง สิระสา นะมามิ
    ทิศตะวันตก ปัจฉิมายะ กะปะณะคิริสะมิง ปัพพะเต มหากัสสะเปนะ ฐาปิตัง พุทธะอุรังคะธาตุง สิระสา นะมามิ
    ทิศใต้ ทักขิณายะ ทิสายะ กะปะณะคิริสะมิง ปัพพะเต มหากัสสะเปนะ ฐาปิตัง พุทธะอุรังคะธาตุง สิระสา นะมามิ
    ทิศเบื้องบน อุปะริมายะ กะปะณะคิริสะมิง ปัพพะเต มหากัสสะเปนะ ฐาปิตัง พุทธะอุรังคะธาตุง สิระสา นะมามิ
    ทิศเบื้องล่าง เหฏะฐิมายะ กะปะณะคิริสะมิง ปัพพะเต มหากัสสะเปนะ ฐาปิตัง พุทธะอุรังคะธาตุง สิระสา นะมามิ

    ต่อไปนี้เป็นบทความในเว็ปไซด์ของวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ขอยกมาทั้งบทความให้อ่านกัน น่าสนใจดีนะ...ลองอ่านดู



    [​IMG]


    พระธาตุพนมบรมเจดีย์ ศรีบรมธาตุแห่งอีสานทิศ
    โดย รณธรรม ธาราพันธุ์

    อันพระเจดีย์ใหญ่ - น้อยซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของเหล่าเทพดาและมนุษย์ทั้งหลายในสยามนั้นมีจำนวนมากมายหลายแห่งนัก ทั้งที่มาแห่งการสถาปนาก็แปลกต่างกัน ซึ่งโดยมากแล้วย่อมเกี่ยวโยงไปถึงพระมหากษัตริย์และสิ่งลึกลับที่ทรงอำนาจเหนือสามัญชน

    พระธาตุพนม เป็นอุทเทสิกเจดีย์สถานอีกแห่งหนึ่งที่ผูกศรัทธาของพี่น้องชาวอีสานกับทั้งประชาชนทั่วประเทศผู้ถือพระพุทธศาสนาไว้ในหัวใจได้แน่นเหนียวนัก ค่าที่เป็นปฐมแห่งบรมเจดีย์ในสุวรรณภูมิ

    ในหนังสือเรียนระบุว่า พระปฐมเจดีย์ เป็นหลักชัยแห่งแรกในประเทศที่ถูกสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงการ "เข็นล้อธรรม" ประกาศพระศาสนาที่แรกในแหลมทองนี้โดยอาศัยเหตุจากพระโสณะเถระและพระอุตตระเถระเป็นต้นเค้าศรัทธา นั่นเรื่องของปริยัติ

    หากในทางปฏิบัติ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าโคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย ได้กล่าวหนักแน่นเมื่อครั้งไปสักการะพระธาตุพนมว่า พระธาตุพนมนี้เป็นเจดีย์ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทยหรือแคว้นสุวรรณภูมิเรานี่แหละ ยังเมตตาเล่าอีกว่าที่ท่านได้บวชแต่น้อยจนใหญ่และปฏิบัติจน "ข้ามทะเลทุกข์" ได้นี่ก็เพราะ...
    “เอาผ้าขาววาหนึ่ง กับเงินบาทหนึ่งมาทานตอนสร้างพระธาตุพนม แล้วอธิษฐานขอให้พ้นทุกข์”
    โอ้! อานิสงส์หลายแท้
    ครูบาอาจารย์จึงสอนนักว่า อย่าประมาทกับความดีที่ทำว่าเพียงน้อยนิดและอย่าประมาทกับความชั่วว่าเล็กน้อยไม่น่าจะให้ผล
    น้อย ๆ หลายหนเข้าก็เยอะ

    พระธาตุพนม ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.๘ โดยพระมหากัสสปะเถรพร้อมทั้งพระอรหันต์ล้วนอีก ๕๐๐รูป อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนกระดูกหัวอกหรือพระอุรังคธาตุมาจากชมพูทวีป(ประเทศอินเดีย) เพื่อประดิษฐานไว้ยังมงคลปเทสอันปัจจุบันคือพระธาตุพนม

    เนื่องจากพระมหากัสสปะเถรเป็นพระอรหันตเจ้าที่พระบรมศาสดาทรงยกย่องเป็นยิ่งในทุกด้านทุกทาง กระทั่งพระองค์ทรงแลกผ้าสังฆาฏิกับพระมหากัสสปะและตรัสเรียกเสมอว่า
    “กัสสปะผู้เป็นบุตรของเรา”
    ครั้งพระศาสดาเสด็จสู่มหาปรินิพพาน พระสาวกทั้งหลายและกษัตริย์ทุกเมืองไม่อาจจุดไฟถวายพระเพลิงแก่พระบรมศพได้ กระทั่งพระมหากัสสปะธุดงค์ออกจากป่ามาถึง ครั้นก้มลงกราบพระสรีระที่ปลายพระบาทก็ปรากฏอัศจรรย์ พระบาททั้งสองได้ยื่นออกจากผ้ากัมพลที่ห่อพระบรมศพไว้ถึง ๕๐๐ ชั้นทะลุผ่านพระหีบทองทึบให้พระมหากัสสปะได้กราบซบลง จากนั้นเตโชธาตุก็ลุกโพลงแผดเผาพุทธสรีระอยู่ ๗ วันจนหมดสิ้นคงเหลือแต่พระอัฐิธาตุ ๗ ชิ้นที่ไฟไม่อาจทำลายได้คือ พระอุณหิส(กระดูกกระหม่อม) ๑ พระเขี้ยวแก้ว(ฟันส่วนเขี้ยว) ทั้ง ๔ พระรากขวัญ(กระดูกไหปลาร้า) ทั้ง ๒

    นอกนั้นแตกย่อยลงอย่างใหญ่สุดมีสัณฐานเท่าเมล็ดถั่วแตก อย่างกลางเท่าเมล็ดข้าวสาร อย่างเล็กเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด รวมกันตวงได้ ๑๖ ทะนาน จากนั้นโทณพราหมณ์ผู้ได้รับการตั้งให้เป็นคนแจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุได้ทำการ แฮป เอาพระทาฒธาตุหรือพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาซี่บนไว้เป็นสมบัติตัวโดยซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะ
    ปรากฏว่าพระอินทร์ส่องทิพยเนตรมาดูเห็นความไม่ซื่อของโทณพราหมณ์ก็คิดว่า ตาพราหมณ์นี้ไม่บังควรได้ของดีวิเศษเป็นเลิศประเสริฐในโลกเช่นนี้ไป ด้วยไม่อาจทำสักการวิธีอันสมควรแก่พระบรมธาตุได้ จึงตัดสินใจลงจากดาวดึงส์เทวโลกมา ขมาย คือแฮปต่ออีกทีหนึ่งไปประดิษฐานไว้ยังพระจุฬามณีเจดีย์สถานในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ส่วนพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาซี่ล่างถูกอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่เมืองกลิงคราฐและปัจจุบันไปอยู่ลังกาทวีป (เมืองแคนดี้ในประเทศศรีลังกา) พระเขี้ยวแก้วเบื้องซ้ายซี่บนประดิษฐานที่เมืองคันธารราฐ (แถบตะวันออกกลางแถวเมืองบามิยัน) พระเขี้ยวแก้วเบื้องซ้ายซี่ล่างประดิษฐานอยู่ ณ นาคพิภพ

    พระรากขวัญเบื้องขวาองค์อัมรินทราธิราชและหมู่เทพดามาอัญเชิญไปไว้ยังพระเกศแก้วจุฬามณีคู่กับพระเขี้ยวแก้วในเทวโลก พระรากขวัญเบื้องซ้ายกับพระอุณหิสท้าวฆฏิการพรหมมาอัญเชิญไปประดิษฐานยังพระมหาทุสเจดีย์ในพรหมโลก

    ย้อนกล่าวถึงพระมหากัสสปะเถรผู้เป็นพุทธบุตร เมื่อกราบคารวะพระบรมศพแล้วก็เกิดปาฏิหาริย์คือพระอุรังคธาตุได้เสด็จออกจากพระหีบทองมาสู่ฝ่ามือขวาก่อนเตโชธาตุจะลุกเปลว

    ท่านจึงดำเนินการตามพุทธดำรัสก่อนปรินิพพานคือให้นำพระอุรังคธาตุไปประดิษฐานไว้ ณ ดอยกปณคีรี เมืองศรีโคตบูรณ์

    ดังนั้น พระมหากัสสปะผู้รัตตัญญูจึงชักชวนพระอรหันต์อีก ๕๐๐ รูปกระทำอิทธิฤทธิ์โดยเหาะจากชมพูทวีปมายังเมืองศรีโคตบูรณ์ ครั้งนั้นประดาเจ้าเมืองที่ได้สดับข่าวเกี่ยวกับพุทธปรินิพพานแม้จะเศร้าโศกโทมนัส ก็มีใจเบิกบานนักที่พระพุทธเจ้าสั่งความไว้ว่า ให้นำพระบรมธาตุมาประดิษฐานยังแว่นแคว้นของตน
    เจ้าเมืองใหญ่คือ พญาสุวรรณภิงคาร ได้ประกาศข่าวบุญให้เจ้าเมืองอีก ๔ บุรี มาร่วมบุณย์ ประกอบด้วย พญาจุลณีพรหมทัต พญาอินทปัฐนคร พญาคำแดง และพญานันทเสน

    เมื่อพญาทั้งห้ามาพร้อมพรักประกอบด้วยไพร่พลและข้าวของก็ทำการก่ออุโมงค์บรรจุพระอุรังคธาตุกับทั้งแก้วแหวนเงินทองสิ่งของมีค่าเครื่องแห่งพุทธบูชาเข้าไว้ในนั้น รายละเอียดการสร้างคงต้องของดไว้ไม่กล่าวถึงด้วยจะยืดยาวเกินไป
    ครั้นอุโมงค์ประดิษฐานพระธาตุแล้วเสร็จ พระมหากัสสปะเถรและพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป จึงได้กล่าวลาพญาทั้งห้า กระทำประทักษิณรอบอุโมงค์ถ้วน ๓ รอบก็พากันเสด็จกลับกรุงราชคฤห์โดยทางอากาศ เพื่อเตรียมกระทำปฐมสังคายนาต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3803_1a.jpg
      IMG_3803_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      463.9 KB
      เปิดดู:
      1,348
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  5. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]


    เนื่องจากพระธาตุพนมถูกสร้างขึ้นแต่ปี พ.ศ.๘ จึงเป็นธรรมดาที่จะเสื่อมโทรมลงตามกฎธรรมดาโลก และได้มีคณะพุทธบริษัทเข้าปฏิสังขรณ์อุโมงค์พระธาตุหลายคราว หากการบูรณะที่เป็นครั้งใหญ่อย่างแข็งแรงสวยงามมั่นคงนั้น คงนับได้ ๓ วาระด้วยกัน คือ...

    วาระที่ ๑ ปี พ.ศ.๕๐๐ พญาสุมิตตธรรมวงศา ได้กราบอาราธนาพระอรหันต์ ๕ รูปร่วมกันปฏิสังขรณ์โดยก่อเพิ่มจากอุโมงค์เป็นรูปเตาให้สูงขึ้นกว่าเดิม แต่ในบันทึกมิได้บอกว่าก่อขึ้นไปสูงเท่าใด ทราบเพียงว่าต่อเติมจากอุโมงค์เป็นพลาญชั้นที่ ๑ และชั้นที่ ๒ ซึ่งปัจจุบันวัดดูได้ความสูงประมาณ ๑๔ เมตร
    บูรณะคราวนี้พญาสุมิตตธรรมวงศาได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุออกมาประดิษฐานไว้บนพานทองคำ ท่านอมรฤาษีและท่านโยธิกฤาษี ไปเอาเจดีย์ศิลาซึ่งเดิมอยู่บนยอดเขาภูเพ็ก (ต.นาหัวบ่อ อ.พรรณานิคม จ.สกลนครปัจจุบัน) มาตั้งไว้บนชั้นสองขององค์พระธาตุและพญาสุมิตตธรรมวงศาก็ได้อัญเชิญพระบรมธาตุบรรจุไว้ในเจดีย์ศิลานั้น เหล่าเสนามหาอำมาตย์ก็นำพระพุทธรูปทองคำและเงิน กับพระอรหันตธาตุพร้อมอัญมณีมีค่านานัปการบรรจุไว้ตามมุมแห่งเจดีย์นั้น
    จะว่าตำนานไม่เป็นความจริงเสมอไปก็มิได้ เพราะเมื่อทำการพิสูจน์ที่ยอดเขาภูเพ็กในเขตจังหวัดสกลนคร ก็พบกับแท่งศิลาเนื้อเดียวกัน ชนิดเดียวกัน สีเดียวกันนี่เองอยู่ ณ จุดอันเป็นที่ตั้งเจดีย์ศิลาเดิมดังที่เล่าไว้ในตำนานไม่ผิดเพี้ยน เป็นแต่แท่งศิลานี้ใหญ่กว่าเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ในบันทึกผ่านไปแล้วร่วมสองพันกว่าปี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3807_1a.jpg
      IMG_3807_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      603.7 KB
      เปิดดู:
      935
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  6. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]

    วาระที่ ๒ ปี พ.ศ.๒๒๓๓ – ๒๒๓๕ องค์พระธาตุได้รับการบูรณะหนใหญ่อีกด้วยบารมีของ ท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก แห่งวัดโพนสะเม็ก เมืองเวียงจันทน์ โดยท่านได้ต่อยอดก่ออิฐเพิ่มเติมจากชั้นสองขององค์ธาตุขึ้นไปอีกรวมสูง ๔๗ เมตร เชื่อกันว่าท่านเจ้าราชครูได้พบกับพระอุรังคธาตุและประกอบพิธีบรรจุพระอุรังคธาตุอีกวาระ
    เนื่องจากเราได้พบแผ่นทองคำ ๓ แผ่นจารึกอักษรลาวโบราณและอักษรขอมเล่าถึงเหตุการณ์ที่บูรณะทั้งวันเดือนปีพร้อมสรรพ และยังค้นพบพระพุทธรูปทองคำ-เงิน กับอัญมณีต่างๆ ซึ่งสร้างในสมัยเวียงจันทน์และหลวงพระบางเป็นจำนวนมากอยู่รอบๆ เจดีย์ศิลา และท่านราชครูยังได้สร้างผอูบสำริดหลังใหญ่ขึ้นเพื่อบรรจุพระอุรังคธาตุ
    อันเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กนี้นับว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการอย่างเอกอุเหลือพรรณนา ความเป็นอัจฉริยะบุคคลในพระศาสนาฉายแววมาตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยเดิมทีท่านเป็นสามเณรอยู่ในปกครองของท่านพระครูลึมบอง อยู่ที่เมืองพาน ครั้นอายุได้ ๑๔ ปี ท่านได้เข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านพระครูยอดแก้ว สังฆนายกแห่งเมืองเวียงจันทน์ ตรงกับปี พ.ศ.๒๑๘๖ เมื่อท่านมาอยู่ด้วยพระครูยอดแก้ว ท่านก็ใส่ใจใฝ่ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม จำความในพระไตรปิฎกได้อย่างแตกฉานรวดเร็ว เหตุนี้เกียรติคุณในท่านจึงเป็นที่เล่าลือกว้างขวางไปทั่วนครเวียงจันทน์ ข่าวนี้ทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าเวียงจันทน์ พระองค์ทรงโปรดสามเณรน้อยรูปนี้มากจึงพระราชทานยศศักดิ์อภิเษกเป็น ราชาจัว (จัวเป็นภาษาพื้นเมืองใช้เรียกสามเณร) และปวารณาพระองค์เป็นอุปัฏฐากอุปถัมภ์บำรุงอย่างดี
    ต่อมาราวปี พ.ศ.๒๑๙๒ ราชาจัวอายุครบบวช พระเจ้าเวียงจันทน์และท่านพระครูยอดแก้วจึงทำการอุปสมบทให้อย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร โดยทำสีมาสมมุติคือ อุทกุกเขปสีมา (โบสถ์น้ำ) ณ ท่าน้ำเมืองเวียงจันทน์ และใช้พระสงฆ์ในการญัตติจตุตถกรรมถึง ๕๐๐ รูป
    เมื่อพิธีอุปสมบทเสร็จสิ้นลง ชะรอยจะเป็นด้วยบุญญาภินิหารแห่งท่านเข้าดลบันดาลให้มหาชนประจักษ์ชัดถึงบารมีพระนวกะรูปนี้กระมัง จึงเกิดเหตุไม่คาดคิดคือแพขนาดใหญ่ซึ่งสมมุติเป็นโบสถ์นั้นได้แตกล่มจมลง ทั้งพระและโยมถูกเทลงแม่น้ำหมดสิ้น อุบัติเหตุคราวนั้นแม้ไม่มีใครถึงชีวิตแต่ก็ตกน้ำเปียกปอนตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเป็นโกลาหล สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อพระบวชใหม่ซึ่งตกน้ำไปพร้อมกันก้าวขึ้นฝั่งมา ทั้งเนื้อตัวและไตรจีวรของท่านนั้น ไม่เปียกน้ำเลย !!
    เหตุการณ์นี้เพิ่มความอัศจรรย์ใจแก่พระภิกษุและประชาชนทั้งหลายยิ่งนัก โดยเฉพาะพระเจ้าเวียงจันทน์เมื่อประจักษ์ชัดในบุญฤทธิ์ของพระหนุ่มรูปนี้ จึงพระราชทานสมณศักดิ์ให้ท่านเป็นพระครู ประชาชนจึงพากันเรียกท่านว่า พระครูโพนสะเม็ก
    ท่านรับธุระพระศาสนาสอนทั้งหนังสือปริยัติธรรมและสอนการเจริญภาวนากัมมัฏฐานให้แก่พระภิกษุสามเณร เชื้อพระวงศ์และสามัญชนทั่วไป กล่าวกันว่าเมตตาธิคุณในท่านพระครูโพนสะเม็กนั้นมากมายนัก ไม่แบ่งชั้นวรรณะแต่อย่างใด

    ลุปี พ.ศ.๒๒๓๓ ท่านพระครูมีชนมายุได้ ๔๑ ปี ท่านได้ทูลลาพระเจ้าเวียงจันทน์ลงมาบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนมพร้อมด้วยศิษยานุศิษย์ถึง ๓,๐๐๐ คน ท่านไปถึงที่ใดผู้คนก็ขอเข้าร่วมขบวนทั้งสิ้น... มากเข้าโดยลำดับ
    เมื่อถึงองค์พระธาตุท่านจึงเริ่มการปฏิสังขรณ์โดยทำการหล่อเหล็กศักดิ์สิทธิ์ขึ้นชนิดหนึ่งทำเป็นยอดเจดีย์และฉาบทาตัวผอูบ เหล็กนี้เรียกกันว่า เหล็กเปียก ถือกันว่าเป็น เหล็กไหลจำพวกหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มาก ทรงอานุภาพคงกระพันกันเขี้ยวงา ขับภูตผีปีศาจ ป้องกันไฟและกันฟ้าผ่า เป็นมหาอุดยิงไม่ออก เตือนภัยและกันภัยสารพัด
    งานที่ท่านดำเนินการนั้นแบ่งออกเป็น ๓ ช่วงคือ ทำแต่ต้นหีบขึ้นไปถึงกลีบบัวคว่ำบัวหงายเป็นอิฐถือปูนนี่ช่วงที่หนึ่ง จากนั้นต่อขึ้นไปเป็นรูปโกศหล่อด้วยโลหะเนื้ออ่อนที่ทราบกันดีว่าเป็น เหล็กเปียก นี่คือช่วงที่สอง
    จากเหล็กเปียกขึ้นไปถึงฉัตรหล่อด้วยทองแดงสวมต่อขึ้นไปอีก ตอนปลายสุดทำเป็นปมมีรูไว้สำหรับปักฉัตรนี่เป็นช่วงที่สาม ตัวฉัตรที่ท่านพระครูทำนั้นเป็นทองคำฝังพลอยและนิลหัวแหวนโดยรอบทุกชั้นนับได้เบ็ดเสร็จประมาณ ๓๐๐ เม็ดเศษ แกนคันฉัตรเป็นเหล็ก ก้านคันฉัตรทุกก้านเป็นเงินบริสุทธิ์ฝังพลอยทุกก้านเช่นเดียวกัน

    ในปัจจุบันนี้ (พ.ศ.๒๕๔๗) ยอดฉัตรก็ดี ยอดพระเจดีย์ก็ดี ผอูบสำริดก็ดี ทางวัดพระธาตุพนมได้นำมาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ด้านล่างภายหลังจากองค์พระธาตุล้มในปี พ.ศ.๒๕๑๘ คนที่ไปวัดพระธาตุพนมสามารถไปสักการะบูชาและชมของจริงได้อย่างเต็มตาแบบไม่มีอะไรปิดกั้น (เว้นลูกกรงกันโจร)

    ท่านพระครูโพนสะเม็กซ่อมพระธาตุตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๒๓๓ จนถึงปี พ.ศ.๒๒๓๕ รวม ๓ ปีจึงเสร็จสมบูรณ์ รวมความสูงจากพื้นดินถึงฉัตรได้ ๔๗ เมตร

    ล่วงถึงปี พ.ศ.๒๒๕๖ ท่านพระครูมีชนมายุได้ ๘๓ ปี ได้มีการผลัดแผ่นดินสถาปนาให้เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ขึ้นเป็นเจ้าครองเมืองและพระราชทานสมณศักดิ์ให้ท่านพระครูโพนสะเม็กเป็น เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก ตำแหน่ง สังฆนายกแขวงนครจำปาศักดิ์

    ว่ากันว่า ยิ่งชราภาพพระบารมีในท่านก็ยิ่งหอมฟุ้งไปทั่ว ด้วยอำนาจศีลาจริยาวัตรที่งดงาม ด้วยเมตตาที่ท่านมีให้ทุกคนไม่เลือกหน้า ทำให้ท่านเป็นที่เคารพรักของผู้คนยิ่งนัก พูดถึงขนาดว่าท่านมีความดีเป็นที่สุดจนกระทั่งถ่ายหนักออกมาก็ยังหอม ยังมีคนต้องการนำไปบูชา จึงมีอีกสมญานามที่ประชาชนเรียกโดยเคารพคือ “ท่านพระครูขี้หอม”

    ถึงปี พ.ศ.๒๒๖๓ เจ้าราชครูมีชนมายุได้ ๙๐ ปี ท่านก็อาพาธด้วยโรคชรา ด้วยท่านรู้กาลภายหน้าเป็นอย่างดีจึงสั่งความแก่เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรว่า เมื่อประชุมศพท่านแล้วเสร็จให้นำอัฐิมาไว้ยังบริเวณพระธาตุพนม

    ล่วงถึงวันพุธ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๗ ท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กก็ถึงแก่มรณะกาล คณะศิษย์ได้ประชุมเพลิงแล้วนำอัฐิธาตุของท่านมาบรรจุในเจดีย์น้อยด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระธาตุพนม ผู้คนพากันเรียกเจดีย์น้อยองค์นี้ว่า “ธาตุท่านโพนสะเม็ก” หรือ “ธาตุพระครูขี้หอม” แต่บางคนก็เรียกว่า “ธาตุพระอรหันต์ภายสร้อย” แต่จะอย่างใดก็เป็นท่านนั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  7. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]


    วาระที่ ๓ บูรณะในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นรัฐบาล ตรงกับปี พ.ศ.๒๔๘๓ โดยสร้างครอบแบบสวมทับพระธาตุองค์เดิมตั้งแต่ชั้นที่ ๓ ขึ้นไป และต่อยอดใหม่ให้สูงขึ้นไปอีกถึง ๑๐ เมตร รวมความสูงถึงยอดฉัตรเป็น ๕๗ เมตร แม้แต่คุณหลวงวิจิตรวาทการผู้เป็นคนรับผิดชอบการก่อสร้าง ยังบอกว่าหวั่นเกรงองค์พระธาตุจะพังด้วยฐานเดิมเก่ามากแต่มิได้บูรณะ หากเติมยอดต่อยอดกันเพียงอย่างเดียว แล้วก็พังจริง ๆ
    ของเขาอยู่มาตั้งเป็นพันๆ ปี ถล่มหลังต่อเติมได้ไม่นานเพราะทำอย่างไม่รอบคอบ ไม่อยากต่อว่าจอมพล ป. เพราะท่านคงมีเจตนาดี หากท่านทำอะไรแปลกๆ กับศาสนาหลายอย่า คราวย้ายเทวรูปในโบสถ์พราหมณ์ไปก็ทีหนึ่งละ อ้างว่าน้ำท่วมเกรงพราหมณ์จะรักษาไม่ไหว แหม ! ว่าจะไม่พูดถึงแล้วเชียว ไม่พูดก็ไม่พูด เอาเป็นว่าซ่อมใหญ่ ๓ วาระ แต่วาระ ๓ ไม่อยากพูดถึงจึงขอคุยถึงวาระพิเศษแล้วกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3823_1a.jpg
      IMG_3823_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      612.8 KB
      เปิดดู:
      650
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  8. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    จะคุยเรื่องนี้ต้องพาท่านผู้อ่านย้อนยุคกลับไปอีกที โน่นครับสมัยปี พ.ศ.๒๔๔๔ โน่นในปีนี้นะ องค์พระธาตุพนมเก่าชราคร่ำคร่ามากที่สุด เหตุเพราะไม่มีใครเข้ามาบูรณะเลยตลอดระยะเวลา ๒๐๙ ปี หลังจากท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กทำนวกรรมครั้งใหญ่ไปตอนนั้น เพราะอะไรน่ะหรือ ?
    กลัวตายน่ะสิ !!

    เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนปี พ.ศ.๒๔๔๔ พระธาตุพนมทรุดโทรมไม่เจริญตาเจริญใจเลย ถึงขนาดมีต้นโพธิ์ ต้นไทรโตเท่าแขนผู้ชายตัวใหญ่ๆ ขึ้นเกาะรกเรื้อตามองค์พระธาตุเต็มไปหมด เศษอิฐเศษปูนแตกกะเทาะหล่นเกลื่อนกลาดรอบพระเจดีย์เป็นที่น่าสลดใจ
    แม้วิหารใหญ่ซึ่งเจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ได้ปฏิสังขรณ์ไว้อย่างสวยงามอลังการ เล่ากันว่าหากใครเข้าไปในวิหารหลวงนั้น ตัวย่อมเหลืองอร่ามดังทองทาด้วยภายในปิดทองล่องชาดแต่งแต้มล้วนแล้วด้วยทองคำ เรียกมหาวิหารนี้ว่า หอพระแก้ว
    แต่ปีนี้เล่า หอพระแก้วยังไม่พ้นพังทลายลงด้วยกาลเวลาเป็นกองอิฐกองปูน ไม่มีสิ่งใดเหลือพอประกาศความงามในอดีตให้ระลึกได้
    ลานพระบรมธาตุเองก็รกเรื้อไปด้วยหญ้าคา หญ้าแพรก และเศษใบไม้เกลื่อนกลาด กระทั่งจะหาที่ลงนั่งเพื่อกระทำสักการะก็ไม่มี
    นับแต่สถาปนาองค์พระธาตุพนมมา ในยุคนี้นับว่าเข้าสู่ภาวะเสื่อมโทรมถึงขีดสุด และมิใช่ว่าเป็นเพราะชาวบ้านร้านถิ่นละแวกนั้นไร้ศรัทธาในองค์ธาตุ ใช่ว่าเขาทั้งหลายจะไม่เคยคิดบูรณะให้งดงาม แต่....
    ใครก็ตามที่หาญกล้าเป็นผู้นำ ลงมือดายหญ้า เก็บกวาดใบไม้ หรือปัดกวาดเศษอิฐ เศษปูน ไม่ต้องทันนานย่อมประสบเหตุชวนสยองอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ บ้างก็เลือดออกปากออกหู บ้างก็เป็นลมชักตาตั้ง บ้างป่วยไข้เอาหนักหนารักษาอย่างไรก็ไม่หายได้เลย จนกระทั่ง...
    ต้องนำกุ้งพล่าปลายำ เครื่องเซ่นสรวงบัดพลีและดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาขมาโทษ อาการวิปริตที่เกิดขึ้นแก่คนเหล่านั้นก็จะหายไปเป็นอัศจรรย์และนี่มิใช่คำขู่
    เพราะที่ตายไปจริงๆ ก็มีมาก ทำให้พระธาตุพนมขณะนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับใครๆ เชื่อกันว่า อารักษ์ ของพระบรมธาตุนี้เฮี้ยนนัก

    ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๔๔ มีพระธุดงค์เที่ยววิเวกผ่านมายังพระธาตุพนมแล้วแวะเข้ามาแขวนกลดอยู่ในป่าบริเวณตระพังโบราณ(สระน้ำ)ใกล้องค์ธาตุ เมื่อชาวบ้านรู้ข่าวก็พากันเข้ามากราบนมัสการด้วยความปีติยินดี

    ครั้นสนทนากันแล้วจึงได้ทราบว่ารูปหนึ่งคือ ท่านพระครูสีทา ชยเสโน วัดบูรพา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ในหมู่พระกัมมัฏฐานภาคอีสาน อีกรูปหนึ่งคือ พระปัญญาพิศาลเถร หรือ ท่านเจ้าคุณหนู ฐิตปัญโญ วัดปทุมวนาราม พญาไท กรุงเทพ ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระราชสังวรญาณ(พุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    ต่อมาท่านทั้งสองและคณะได้เมตตาพักจำพรรษายังสถานที่นั้นเพื่อโปรดชาวบ้านให้มีที่พึ่งหายขลาดกลัวกับพระธาตุ ชาวบ้านจึงพากันร้องขอให้ท่านทั้งสองเป็นองค์บูรณะพระธาตุพนม

    ท่านอาจารย์ทั้งสองได้พิจารณาแล้วเห็นว่าบุญญาบารมีและวาสนาในท่านมีไม่พอกับองค์ธาตุ จึงแนะนำให้ทายกทายิกาชาวธาตุพนมลงไปเมืองอุบลราชธานี เพื่อนิมนต์พระมหาเถระรูปหนึ่งมาปฏิสังขรณ์ด้วยเชื่อมั่นในบุญบารมีของท่าน ท่านมีสมณศักดิ์ว่า พระครูอุดรพิทักษ์คณะเดช ภายหลังท่านได้เลื่อนเป็นพระครูวิโรจน์รัตโนบล(บุญรอด นันตโร)


    [​IMG]
    พระครูวิโรจน์รัตโนบล(บุญรอด นันตโร)

    หากชาวอุบลฯ นิยมเรียกท่านโดยศรัทธาอย่างแรงกล้าว่า ท่านพระครูดีโลดบ้าง ญาท่านดีโลดบ้าง หรือ หลวงปู่ดีโลดบ้าง

    ญาท่านดีโลด มีคุณธรรมที่ควรแก่ภิกษุและความเป็นครูโดยแท้ ด้วยท่านเป็นผู้มีขันติธรรมความอดทน มีวิริยะความเพียร มีใจสุขุมคัมภีรภาพ เยือกเย็น อ่อนโยน มีเมตตากรุณาแก่บุคคลทุกประเภท รู้หลักการพูดจาปฏิสันถารแก่ชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรท่านก็ว่าดีทั้งนั้นไม่มีขัดคอ

    ที่สำคัญ ท่านเก่งงานนวกรรมคือการก่อสร้างมาก งานเผาอิฐ ก่ออิฐ ฉาบปูน กระทั่งถึงรายละเอียดที่ต้องเขียนภาพและลวดลายจำหลักต่างๆ ท่านก็ปรีชาสามารถนัก ทำให้ท่านเหมาะสมแก่การบูรณะองค์พระธาตุพนมเป็นที่สุด

    ดังนั้น คณะศรัทธาชาวนครพนมจึงเดินทางลงมายังวัดทุ่งศรีเมือง ในตัวจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อกราบอาราธนาท่านพระครูวิโรจน์ฯ เมื่อท่านทราบความก็มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด หากรับคำด้วยความยินดียิ่งและกำหนดวันเดินทางไปวัดพระธาตุพนมทันที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  9. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]


    ท่านมาถึงพระธาตุพนมในเดือนอ้าย ข้างขึ้น แรกเริ่มท่านได้ประชุมผู้ใหญ่และชาวบ้านว่าจะให้ท่านทำอย่างใด เขาว่าให้พาปูลานพระธาตุเอาหญ้ารกออกพอให้มีที่นั่งกราบไหว้บูชาเท่านั้นก็พอ ท่านจึงตอบว่า “ ถ้าไม่ให้เราทำแต่ดินไปจนถึงยอดพระธาตุและแต่ยอดลงมาถึงดินแล้วเราจะไม่ทำ”

    ด้วยความขลาดกลัวชาวบ้านจึงพากันคัดค้านไม่ให้ท่านทำ กล่าวหาว่าท่านเป็นพระแต่ไม่อยู่ในธรรมวินัย จะรื้อเจดีย์ตัดศรีมหาโพธิ์ลอกหนังพระเจ้า บาปหนัก บ้างก็ว่า ถ้าปล่อยให้ท่านทำอย่างนั้นภูมิอารักษ์ที่ดูแลองค์ธาตุอยู่ย่อมบันดาลให้วิบัติฉิบหายตายกันเป็นเบือดั่งที่เคยประสบ

    ญาท่านดีโลดและคณะศิษย์จึงเมตตาชี้แจงแก่ชาวบ้านให้เห็นตามเป็นจริง แต่ก็ไม่เป็นที่ตกลงกันได้ ท่านจึงว่า เมื่อไม่ยอมให้ทำการซ่อมแซมโดยวิธีดังกล่าวก็จะกลับอุบลล่ะนะ ชาวบ้านตอบว่า จะกลับก็ตามใจ แล้วพากันเลิกประชุมแยกย้ายกันกลับบ้านไป

    และเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น...!

    ขณะชาวบ้านแยกย้ายกันเพื่อกลับเรือนตนนั้น หลายคนยังไม่ทันได้ถึงบ้าน ก็เกิดผีเข้าเจ้าสิงประกาศศักดาเดชว่าเป็นเจ้าเฮือนผู้ทรงมเหศักดิ์สถิตอยู่ ณ องค์พระธาตุพนม พากันบ่นด่าคาดโทษพวกชาวบ้านให้วุ่นวายอลหม่าน ชี้หน้าด่ากราดต่อชาวบ้านที่ขัดขวางท่านพระครูมิให้ซ่อมแต่งองค์พระธาตุ และประกาศก้องในท่ามกลางว่า...

    “อ้ายอีคนใดมันบังอาจขัดขวางเจ้ากูมิให้ซ่อมแซมพระธาตุได้ กูจะหักคอมันเสีย ท่านอยากทำก็ปล่อยให้ทำเป็นไร สูจะไปขัดขืนท่านทำไม แต่กูเองก็ยังกลัวท่าน”

    ชาวบ้านพากันตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนั้นก็พากันหวาดกลัวต่อความตายที่กำลังกวักมือเรียกอยู่ตรงหน้า ชักชวนกันโกยอ้าวกลับมาวัดทั้งที่ยังไม่ถึงบ้านตน เมื่อพบท่านพระครูวิโรจน์ฯ ก็พากันกราบไหว้ร้องไห้วิงวอนขอขมาลาโทษเป็นการใหญ่ นิมนต์ไว้มิให้กลับอุบลฯ ประสงค์จะทำอย่างใดก็ทำเถิด

    ฝ่ายท่านพระครูวิโรจน์ฯ เห็นการณ์เป็นเช่นนี้ก็ดำริอยู่ในใจว่า “ความมุ่งหวังของเราจะสำเร็จเป็นมั่นคงคราวนี้แล้ว เพราะแม้ผีสางเทวดาก็ช่วยเรา” หากกิริยาภายนอกท่านแสร้งทำทีจะกลับอุบลฯในวันรุ่งขึ้นให้ได้ ชาวบ้านก็วิงวอนไม่หยุดปากมอบธุระแก่ท่านทุกสิ่งจนเป็นที่พอใจแก่ท่านพระครูแล้ว ท่านก็รับนิมนต์อยู่ต่อไป

    นี่คือบุญฤทธิ์ที่น่าอัศจรรย์ใจในองค์ท่านพระครูวิโรจน์ฯ สมดังที่ท่านพระครูสีทาและท่านพระอาจารย์หนูได้กล่าวรับรองว่า ท่านพระครูดีโลดเท่านั้นที่จะปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมได้ เพราะแม้เทพยดาที่ทรงมหิทธานุภาพก็ยังคร้ามเกรงต่อบารมีของท่าน

    งานได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในเดือนอ้าย ขึ้น ๑๔ ค่ำ เมื่อแรกไม่มีใครกล้ามาช่วยด้วยกลัวอันตรายจากสิ่งลึกลับ แม้พระ-เณรในวัดเองยังปิดหน้าต่างประตูกุฏิหลบลี้หนีหน้าไม่กล้ามองดู

    ต่อนานเข้าถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ คนจึงหลั่งไหลมาดังมดดังปลวกจนจะไม่มีที่พัก สรรพอาหารทั้งสดทั้งแห้ง และเงินทองก็หลั่งไหลมาไม่ขาดสายมากมายผิดปกติ แม้เจ้าเมืองสกลนครและหนองคายก็ให้ช้างมาใช้ในงานจนแล้วเสร็จ

    ข้างเศษอิฐเศษปูนที่กะเทาะเรี่ยจากองค์ธาตุ ท่านพระครูมิให้ทิ้งเกะกะ ท่านให้เก็บแม้เศษเล็กเศษน้อยแล้วทำเจดีย์เล็กบรรจุไว้ต่างหากที่ลานพระธาตุด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เรียกกันว่า ธาตุหุ่น ต่อนั้นจึงทำการฉลองขึ้นในวันพุธ เดือน ๓ ขึ้น ๑๓ ค่ำ

    การซ่อมพระธาตุพนมในปกครองท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบลควรจบลงแล้วแต่เพียงนี้ ทว่าเหตุต่อไปดังจะเล่านับว่าเป็นอุทธาหรณ์ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักกับคนไม่รู้บาปรู้บุญ

    เมื่อญาท่านดีโลดบูรณะพระธาตุแล้วเสร็จยังมีเงินเหลืออีกประมาณ ๑๐๐ ชั่งเศษๆ เทียบปัจจุบันก็เป็นล้าน เงินดังกล่าวท่านและคณะได้นำไปมอบให้พระยาพนมครานุรักษ์ เจ้าเมืองนครพนมเก็บรักษา ต่อมาเจ้าเมืองไม่รู้ความควรไม่ควรนำเงินไปออกดอกให้กู้ยืมหมุนไปหมุนมา ครั้นทางวัดต้องการปัจจัยมาใช้ ก็ได้เงินไม่ครบจำนวน

    ไม่นานนักก็เข้าสู่ฤดูฝน และในวันหนึ่งของเดือนหกได้เกิดฟ้าผ่าลงมาอย่างแรงที่ต้นมะพร้าวในจวนท่านเจ้าเมือง ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว ไฟลามไปถึงตัวเรือนโดยไม่สามารถดับได้ทันแล้วลุกลามไปยังหอนั่งว่าราชการกระทั่งไหม้ไปจนทุกอาคารในบริเวณ อีกทั้งยังเกิดฟ้าผ่าลงไปที่โรงช้าง โรงม้า จนวอดวายหมดไม่อาจทำอะไรได้ คงแต่ห่อวัตถุเงินทองของมีค่าต่าง ๆ นานาเท่าที่จะหยิบฉวยได้ออกจากบ้านไปไว้กลางทุ่ง

    และเป็นที่น่าขนหัวลุก เมื่อบังเกิดไฟฟ้าสีเขียววิ่งเป็นสายออกจากกองไฟใหญ่ตามไปเผาวัตถุสิ่งของที่ก่ายกองกันไว้กลางทุ่ง จะกี่กอง กี่กลุ่ม ไฟฟ้าก็ตามไปเผาหมดสิ้นไม่มีชิ้นดี หากบ้านเรือนในละแวกใกล้เคียงจะถูกไฟทำอันตรายแม้สักน้อยก็หาไม่

    นอกจากนี้ในวันเดียวกันได้เกิดอาเพศมีเรือสำเภา ๒ ลำ ซึ่งพ่อค้าบนเรือได้มาขอยืมเงินท่านเจ้าเมืองไปทำทุนและเงินนั้นก็คือเงินวัด ขณะแล่นอยู่ในแม่น้ำโขงได้เกิดลมพายุใหญ่อย่างกะทันหันพัดตีเรือล่มจมลงเสียทั้งสองลำ

    เหตุการณ์นี้สร้างความอัศจรรย์แก่ประชาชนยิ่งนัก ทำให้เพิ่มความเคารพยำเกรงในองค์พระธาตุพนมมากขึ้นไปอีก ทุกวันนี้คนเฒ่าคนแก่ยังเล่าเรื่องนี้สืบต่อกันมาและสอนลูกสอนหลานว่าอย่าประมาทในองค์พระธาตุพนมและสมบัติขององค์ธาตุเป็นอันขาด มิฉะนั้นย่อมถึงแก่ความวิบัติได้ในวันข้างหน้า เรื่องนี้เกิดในราวปี พ.ศ.๒๔๕๐
    เกี่ยวกับสมบัติในองค์พระธาตุยังมีอีกเช่นครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.๒๔๔๕ พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ ได้สั่งให้คนนำกลองมโหระทึกของพระธาตุพนมขึ้นไปไว้ยังตัวเมืองนครพนม เวลานั้นคนงานได้มาทำการหามย้ายกลองจากในวัดพระธาตุเคลื่อนออกไปทางถนนอิฐเพื่อออกประตูน้ำหน้าวัดซึ่งเป็นประตูที่หนึ่ง

    บัดนั้นเอง ได้เกิดอาเพศวิปริตต่อหน้าพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ คือมีเสียงดังตึงตังโครมครามขึ้นในกลองมโหระทึกแล้วมีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่เท่าคนมีขนสีดำรุงรังทั้งร่าง หน้าตาน่าสะพรึงกลัววิ่งออกมาจากกลองได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปีศาจนั้นเผ่นตะโพงลงไปในบึงทางใต้วิ่งไปบนน้ำแตกกระจายเป็นระลอกเสียงดังสนั่นดุจควายใหญ่วิ่งลุยน้ำไปกระนั้น พระยาสุนทรกิจจารักษ์และบริวารตกใจสุดขีดยืนตะลึงพรึงเพริดไม่รู้สติไปครู่ใหญ่

    ครั้นได้สติก็ทิ้งกลองมโหระทึกพากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทางแหกปากร้องเอะอะว่า ผีหลอก... ผีหลอก... ต้องนำมโหระทึกลูกนั้นกลับมาไว้ในวัดพระธาตุพนมอย่างเก่า ต่อมาคนเหล่านั้นพากันล้มป่วยลงมีอาการหนัก ต้องให้ญาติพี่น้องนำดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้บูชาขอขมาองค์พระธาตุและเทวดาอารักษ์ที่รักษาวัดจึงได้หายเป็นปกติ

    นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครล่วงเกินได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3817_1a.jpg
      IMG_3817_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      571.5 KB
      เปิดดู:
      620
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  10. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]

    สมัยผ่านมาถึงกึ่งพุทธกาล ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๐ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีระกา ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตีสอง มีฝนตกหนักมากในตัวอำเภอธาตุพนม ตกหนักอยู่ราวครึ่งชั่วโมงก็ค่อยซาลงแล้วเป็นตกพรำ ๆ น่าแปลกว่าขณะฝนตกหนักนั่นเกิดฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวกระทั่งแผ่นดินสะเทือนอยู่หลายหน

    ตอนนั้นนายไกฮวด ชาวบ้านในตลาดธาตุพนมออกมารองน้ำฝนใส่ภาชนะที่หน้าบ้าน ได้เห็นแสงประหลาดขนาดใหญ่เท่าลำตาลมีสีสันต่าง ๆ กันพุ่งแข่งกันมาจากทางทิศเหนือ พอแสงนั้นมาถึงซุ้มประตูวัดพระธาตุก็พากันลอดซุ้มเข้าไปตรงไปที่องค์พระธาตุพนมแล้วหายเข้าไปทีละดวง ๆ

    ขณะนั้นนายไกฮวดยังได้เรียกภรรยาออกมาดูด้วย ก็พากันสงสัยว่าคืออะไรและมาแต่ไหน ทีแรกว่าจะวิ่งไปดูที่ริมโขงเพราะโล่งดีก็กลัวฟ้าคะนอง ได้แต่แอบมองดูเงียบ ๆ พอรุ่งก็เล่าให้ใครต่อใครฟังแต่ไม่มีใครสนใจเท่าใดนัก

    ต่อมาอีกสองวันเรื่องได้ทราบถึงหูพระเทพรัตนโมลี(แก้ว อุทุมมาลา) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ท่านได้ให้สามเณรทรัพย์ซึ่งนั่งสมาธิเก่งมากพิจารณาดูเหตุการณ์ในวัด จิตของเณรน้อยหยั่งเข้าไปถึงลานพระธาตุก็พบกับงูใหญ่ ๗ ตัว มีเกล็ดขาว หงอนแดงและหางแดง ขนดเรียงกันเป็นแถว

    ขณะที่เณรน้อยกำลังงงด้วยไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน งูใหญ่ทั้ง ๗ ก็กลายเพศเป็นชายหนุ่ม ๗ คนทรงชุดขาวนั่งเรียงกันเป็นแถวอยู่ลานพระธาตุชั้นใน สามเณรยิ่งสนเท่ห์ใจหนักเข้า กำลังสับสนอยู่นั่นเองมาณพผู้ดูลักษณะแล้วว่าคงเป็นหัวหน้าก็ถามขึ้นมาว่า

    “พ่อเณรมีธุระอะไรอย่ากลัว จงบอกมา”

    พ่อเณรของชายหนุ่มลึกลับไม่ได้ตอบอะไรแต่กำหนดจิตหันกลับกุฏิทันที ทันทีนั้นชายผู้เป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นว่า “พ่อเณรจะกลับแล้วหรือ ขอไปด้วย จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ” พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณร เณรน้อยเล่าภายหลังว่าหมดสติวูบไปทันที


    ขณะนั้น ร่างจริงของสามเณรที่ขัดสมาธิภาวนาอยู่เบื้องหน้าท่านเจ้าคุณแก้วและแขกของท่านอีก ๔ คนก็ลืมตาขึ้น แล้วยกมือไหว้ท่านเจ้าคุณแก้วพลางว่า

    “สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ”

    อากัปกิริยาดังกล่าว ท่านเจ้าคุณแก้วย่อมทราบแก่ใจดีว่าสามเณรที่ท่านเลี้ยงมากับมือไม่ทำเช่นนี้แน่ อีกทั้งการพูดการจาก็มิใช่ลักษณะสามเณรทรัพย์คนเก่า ท่านจึงซักไซร้ไต่ถาม เณรน้อยได้ตอบอย่างฉะฉานใช้ศัพท์และถ้อยคำอย่างผู้อาวุโสในโลกมานาน ยังความอัศจรรย์แก่ท่านเจ้าคุณและผู้อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งนัก ได้ความว่า...

    ท่านทั้ง ๗ เป็นพญานาคราช แต่เดิมอาศัยอยู่ในสระอโนดาตบริเวณเทือกเขาหิมาลัย หากองค์อัมรินทราธิราชได้มีบัญชาให้มารักษาองค์พระธาตุพนมแทนเทวดาพวกเก่า เพราะพวกหมู่นั้นชอบแต่กินสินบนเครื่องเซ่นสรวงบูชา แม้ใครไม่ให้หรือหลงลืมก็ลงโทษเขาต่าง ๆ นานา เป็นที่เสื่อมเสียแก่พระบรมธาตุ

    ท่านทั้ง ๗ จึงมาตามเทวบัญชาและขับไล่เทวดาพวกเก่าทั้งหมดหนีไปแล้ว ต่อนี้ไปจะรักษาพระธาตุพนมไปจนกว่าจะสิ้นศาสนาของพระสมณโคดมถ้วน ๕,๐๐๐ ปี ท่านทั้งเจ็ดมีนามอันเป็นมงคลตามโพชฌงค์อริยทรัพย์อันประเสริฐดังนี้ พญาสัทโธนาคราชเจ้า มีรัศมีกายสีน้ำเงิน พญาสีลวุฒินาโค มีรัศมีกายสีเขียวนิล พญาหิริวุฒินาโค มีรัศมีกายสีเขียวอ่อน พญาโอตตัปปวุฒินาโค มีรัศมีกายสีเหลือง พญาพาหุสัจจวุฒินาโค มีรัศมีกายสีชมพู พญาจาคะวุฒินาโค มีรัศมีกายสีแสด และ พญาปัญญาเตชะวุฒินาโค มีรัศมีกายสีขาว โดยนาคทั้งเจ็ดนั้นมีพญาสัทโธนาคราชเจ้าผู้เปี่ยมด้วยบุญบารมีและฤทธานุภาพยิ่งกว่าใครในกลุ่มเป็นหัวหน้า

    ท่านทั้ง ๗ ไม่ประสงค์เครื่องเซ่นแต่อย่างใด หากต้องการติดต่อหรือต้องการบูชาท่านจริง ๆ ให้ใช้แต่น้ำสะอาดถ้วยเดียว หรือถ้าประสงค์ความช่วยเหลือให้ตั้งน้ำ ๑ ขันลอยดอกมะลิ จุดธูปขึ้น ๗ ดอก ท่านก็จะไปสงเคราะห์ให้ ไม่ว่าอยู่ที่ใดในโลกก็ไปได้ทั้งนั้น

    จากคำบอกเล่าของท่านนับว่าเป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องสำหรับเราผู้คลุกคลีอยู่กับกามโลก คงไม่อาจรู้เห็นได้อย่างท่านผู้ประพฤติธรรม ทราบจากครูบาอาจารย์ทุกองค์เลยว่า เมื่อออกธุดงค์แล้วเป็นต้องได้พบเจอ นาค เสมอไป หลวงปู่ชอบ ฐานสโม บอกว่าที่ไหนมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่นั่นก็มีนาค นาคชอบน้ำมากดังนั้นถ้านาคมาฝนจะตกเป็นสัญลักษณ์ทีเดียว

    จากนั้นพญานาคทั้ง ๗ ได้ประทับสามเณรถี่ขึ้น ช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยากอย่างน่าอัศจรรย์ เช่น สูบนิ่วออกจากท้องคนป่วยด้วยปากเปล่า กลับไปเอ๊กซเรย์ก้อนนิ่วก็หายไปจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเพราะตอนสูบแล้วบ้วนออกมาก็มีก้อนนิ่วในปากพร้อมเลือดจริง ทุกวันนี้ทางวัดยังเก็บโหลใส่ก้อนนิ่วไว้เป็นอนุสรณ์นับสิบโหลรักษาหายได้จริงตามบันทึกวัดนับพัน ๆ ราย

    เป็นที่น่าเสียดายว่าพญานาคทั้งเจ็ดปฏิญาณว่าจะประทับร่างของผู้มีศีล ๘ ขึ้นไปเท่านั้น และคน ๆ นั้นต้องฝึกกัมมัฏฐานจนได้ขั้นอุปจารสมาธิด้วย เงื่อนไขสุดท้ายคือจะประทับได้ต้องมีท่านเจ้าคุณแก้วอยู่เป็นประธานทุกครั้งไป

    ซึ่งทุกวันนี้ก็หมดสิทธิ์เพราะท่านเจ้าคุณแก้วมรณภาพไปตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๒ โน้นแล้ว เรื่องการประทับทรงจึงเป็นอันเลิกรามาแต่นั้น

    มรดกที่พญานาคทั้ง ๗ องค์ให้ไว้คือบรรดาพระเครื่องที่สร้างขึ้นด้วยเนื้อว่านและผงพุทธคุณก่อนปี พ.ศ.๒๕๑๘ และสร้างจากผงอิฐพระธาตุพนมหลังจากพระธาตุล้ม ท่านกราบเรียนเจ้าคุณแก้วไว้ว่า หากจะทำพระเครื่องหรือน้ำมนต์ให้ศักดิ์สิทธิ์ขอเพียงนำสิ่งของนั้น ๆ ไปตั้งไว้ภายในกำแพงแก้วชั้นในสุดติดกับองค์พระธาตุแล้วทิ้งไว้ ๑ คืน พอรุ่งอรุณเป็นอันว่าสิ่งของเหล่านั้นมีอานุภาพเต็มสมบูรณ์ อย่าได้สงสัยเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3819_1a.jpg
      IMG_3819_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      515.8 KB
      เปิดดู:
      872
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  11. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]


    พระธาตุพนมได้ล้มลงในวันจันทร์ที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ เวลา ๑๙.๓๘ น. ก่อนพระธาตุล้ม ๗ วัน ปรากฏเสียงร่ำไห้โหยหวนดังอยู่ทุกคืนไปทั่ว สร้างความหวาดสยองแก่คนในวัดพระธาตุพนมและชาวบ้านใกล้เคียงเป็นนักหนา สังหรณ์แต่ว่าจะเกิดเหตุอาเพศหากไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ต่อพระธาตุล้มแล้วจึงได้ทราบ

    มีเรื่องมหัศจรรย์โดยแท้เมื่อพระธาตุพนมล้ม จักขอยกมาเป็นบางเรื่องที่สำคัญเท่านั้นคือ

    ๑. เมื่อพระธาตุชั้นที่หนึ่งพังทลายลง พระธาตุชั้นที่สองก็เอียงลงมาลักษณะคว่ำลงสู่พื้นดิน ด้วยลักษณาการนี้ถาดสำริดที่รองรับเจดีย์ศิลาและบุษบกทองคำต้องตกลงมาสู่พื้นในลักษณะคว่ำและวัตถุสิ่งของในถาดอันเป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อยต้องกระจัดกระจายไปทั่ว แต่เมื่อตกถึงพื้นกลับอยู่ในลักษณะเก่าคือหงายรองรับเจดีย์ศิลาและบุษบกทองคำอยู่เช่นเดิมไม่มีวัตถุใดกระเด็นออกมา เหมือนกับมีคนจับยกลงมาวางไว้มากกว่าจะตกลงมาเองเป็นที่น่าอัศจรรย์

    ๒. ขณะตรวจผอบได้พบว่ามีพระอุรังคธาตุอยู่จริงย่อมเป็นที่โล่งอก จะได้รู้เห็นกันชัด ๆ ไปเลยว่ามีพระบรมธาตุบรรจุอยู่ในพระเจดีย์จริงมิใช่เรื่องแต่ง และในแก้วผลึกที่ใสยิ่งกว่าใสนั้น มีกระดูกลักษณะที่ยังไม่ได้เผา ๘ ชิ้นตรงกับที่ตำราระบุไว้จริงว่า พระมหากัสสปะเถรเจ้าตั้งจิตอธิษฐานแล้วพระอุรังคธาตุก็เสด็จออกจากพระบรมศพมาสู่ฝ่ามือขวาของพระมหากัสสปะก่อนที่ไฟทิพย์จะลุกโชนขึ้นเผาพระพุทธสรีระ และเมื่อทำการเปิดฝาทองคำที่ปิดแก้วผลึกนั้นออกดูปรากฏกลิ่นหอมเย็นคล้ายน้ำมันจันทน์โชยไปไกลเป็นระยะถึง ๑๐ เมตรเศษทั่วบริเวณ บางคนถึงกับว่าเทพยดามาโปรยดอกไม้ทิพย์บูชาพระอุรังคธาตุ

    ๓. ฉัตรทองคำยอดพระบรมธาตุได้ปาฏิหาริย์ไปพิงอยู่ที่ฝาผนังกำแพงหอพระแก้วโดยมีรอยขูดขีดเสียหายเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความสูงที่อยู่บนสุดด้วยระยะ ๕๗ เมตรและทองคำเป็นโลหะที่นิ่มมากแรงกระแทกขนาดนั้นกลับไม่เสียหายอย่างที่วิตกแต่แรก ที่สำคัญมิได้ล้มแต่ไปพิง

    ๔. รูปหล่อโลหะสี่องค์ขนาดเท่าคนจริงของพระมหาเถระองค์สำคัญผู้มีอุปการคุณต่อพระธาตุพนมและมหาชนทั่วไป ซึ่งรูปหล่อทั้งหมดนี้ประดิษฐานอยู่อย่างใกล้ชิดองค์พระธาตุพนมตลอดทิศทั้งสี่ เมื่อพระธาตุล้มรูปจำลองเหล่านี้กลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ขอย้ำว่าแม้แต่น้อย ดูรูปการณ์ดุจดังพระธาตุล้มแล้วจึงนำรูปเหมือนทั้งสี่ไปตั้งภายหลังน่าอัศจรรย์นัก รูปหล่อทั้งสี่องค์ประกอบด้วย ท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม) ท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นันตโร) ท่านพระครูศีลาภิรัต (หมี อินทวังโส) และ ท่านพระเทพรัตนโมลี (แก้ว อุทุมมาลา)

    พระธาตุพนมองค์ใหม่ถูกสร้างขึ้นในวันศุกร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๙ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง วันนี้เป็นปีงูใหญ่ได้ลงเสาเข็มพระธาตุองค์ใหม่ โดยการสร้างครั้งนี้เป็นแบบสร้างครอบของเก่าลงไปเลยทีเดียว เพราะตอนพระธาตุล้มเป็นส่วนต่อชั้นที่สองซึ่งมาเติมสมัยพญาสุมิตตธรรมวงศาขึ้นไปที่ล้มลง ในส่วนของอุโมงค์และฐานเดิมยังคงอยู่

    พระธาตุพนมองค์ใหม่สร้างเสร็จในปี พ.ศ.๒๕๒๑ ประกอบพิธียกฉัตรเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒ โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นองค์ประธานพิธี

    ประกอบพิธีบรรจุพระอุรังคธาตุเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3828_1a.jpg
      IMG_3828_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      543.2 KB
      เปิดดู:
      1,887
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  12. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]


    สถานที่สำคัญภายในวัด

    ๑. องค์พระธาตุพนม อันเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระอุรังคธาตุ( กระดูกส่วนหัวอก ) ของพระพุทธเจ้า เป็นพระธาตุเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองมีอายุเก่าแก่มากกว่าสองพันห้าร้อยปี สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธา วิริยะ อุตสาหะและสติปัญญาของบรรพชนในสมัยแคว้นศรีโคตบูรเจริญรุ่งเรือง

    ๒. พระอุโบสถ สร้างมาแต่สมัยโบราณโดยพระยาจันทสุริยวงศ์( กิ่ง ) เจ้าเมืองมุกดาหาร เมื่อ พ.ศ.๒๓๔๙ ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกขององค์พระธาตุพนมคู่กันกับหอพระแก้วได้รื้อบูรณะใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ขยายยื่นออกมาทางด้านหน้า ๗ เมตร ด้านหลังเป็นมุขภายในซุ้มเรือนแก้วสำหรับประดิษฐานพระประธานยื่นออกมากว้าง ๑ เมตร ศิลปกรรมของพระอุโบสถเป็นแบบล้านนา

    ๓. วิหารหอพระแก้ว สร้างขึ้นครั้งแรกระหว่าง พ.ศ.๒๐๘๒ - ๒๑๐๒ สมัยพระเจ้าโพธิสาราชกษัตริย์ในราชวงศ์ล้านช้างองค์ที่ ๔๐ แห่งเมืองหลวงพระบาง ทรงสร้างเอาไว้โดยก่ออิฐถือปูนเดิมเป็นวิหารใหญ่เรียกว่า "วิหารหลวง" มีการบูรณะปฏิสังขรณ์หลายครั้ง จนถึงปี พ.ศ.๒๕๑๘ ถูกพระธาตุพนมล้มทับพังยิบเยินเหลือแต่ฐานสูงประมาณ ๑ เมตรเศษ ทำให้หอพระแก้วได้รับความเสียหายมาก ตัวหอพระแก้วยังไม่ได้สร้างขึ้นใหม่มีแต่องค์พระมารวิชัยศาสดาซึ่งเป็นพระประธานในหอพระแก้วประดิษฐานเด่นเป็นสง่าหน้าองค์พระธาตุพนม

    ๔. วิหารคตรอบองค์พระธาตุพนม พระธรรมราชานุวัตร( แก้ว กนฺโตภาโส )ได้สร้างขึ้นเมื่อครั้งเป็นพระมหาแก้ว พ.ศ. ๒๔๘๑ วิหารนี้มีทั้งหมด ๑๐๗ ห้อง ยาวห้องละ ๓ เมตร และประตูอีก ๓ ห้อง รวม ๑๑๐ ห้อง ซุ้มประตูทิศตะวันออก ด้านหน้าวัด ๓ ซุ้ม เฉพาะประตูใหญ่ตัวกลางได้สร้างขึ้นใหม่เจาะประตูอีก ๒ ข้าง วิหารคตด้านทิศตะวันตกด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ก่อประตูใช้เวลาสร้าง ๑๑ ปีจึงแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑

    ๕. หอบูชาข้าวพระ
    รูปลักษณะคล้ายปราสาทผึ้งสมัยโบราณทรงมณฑปศิลปะแบบอีสาน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ภายในลานพระธาตุ ในกำแพงแก้วชั้นที่ ๓ หอบูชาข้าวพระนี้ใช้เป็นที่ถวายข้าวบูชาพระธาตุเป็นประเพณีของชาวบ้าน สร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พ.ศ.๒๑๐๑ - ๒๑๑๔ มีอยู่ ๒ หลัง คือ ด้านทิศตะวันออกและด้านทิศตะวันตก เฉพาะด้านทิศตะวันตกได้จำลองแแบออกไปประดิษฐานที่กำแพงแก้วชั้นนอกด้านทิศเหนือ ส่วนด้านทิศตะวันออกได้ถูกพระธาตุพนมล้มทับพังยับเยินเมื่อครั้งพระธาตุพนมล้มใน พ.ศ.๒๕๑๘

    ๖. วิหารพุทธไสยาสน์
    อยู่นอกวิหารคตด้านทิศเหนือนอกเขตพุทธาวาสใกล้สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์และพระพุทธบาทจำลอง กล่าวกันว่าก่อนที่จะนำพระอุรังคธาตุเข้ามาประดิษฐานในอูบมุงภูกำพร้านั้น บริเวณนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุมาก่อน

    ๗. เสาหลักศิลาเสมา
    เป็นแบบทวารวดีกว้างประมาณ ๑๕ นิ้ว สูง ๓ เมตรเศษ ปักเป็นเขตพระบรมธาตุ ตรงมุมกำแพงแก้วชั้นนอกทั้ง ๔ ด้านพร้อมรูปสัตว์ประหลากอัจมุขี

    ๘. สระน้ำมูรธาภิเษก
    เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์โบราณเรียกว่า "บ่อน้ำพระอินทร์" มีบ่อน้ำจืดใสสะอาดอยู่ในป่าตาลใกล้หอพระพุทธไสยาสน์ ปัจจุบันทำเป็นเขื่อนไว้โดยรอบ ถือว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ๑ ในจำนวน ๑๘ แห่ง ที่เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์นำมาใช้ในพิธีบรมราชาภิเษกให้พระมหากษัตริย์สรงที่เรียกว่า "สรงมูรธาภิเษก"
    นอกจากสระน้ำแห่งนี้แล้วยังมีสระพังทอง เป็นสระน้ำโบราณขนาดใหญ่อยู่ตอนหลังอีกแห่งหนึ่ง โบราณวัตถุอื่น ๆ นอกจากนี้ก็มีรูปปั้นเทพารักษ์อยู่ปลายถนนกุศลรัษฏากร หน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ประตูโขงปลายสะพานวัด พระเจดีย์พระธาตุพนมจำลองและศิลาจารึก เช่น ศิลาจารึกเจ้าพระยานคร บันทึกเหตุการณ์ที่พระยานครหลวงพิชิตราชธานีศรีโคตบูรหลวงมาบูรณะวัดพระธาตุพนมเมื่อ พ.ศ.๒๑๕๗ เก็บรักษาไว้ที่เชิงปราสาทหอบูชาข้าวพระด้านหน้าพระธาตุพนมจึงถูกพระธาตุพนมพังทับด้วย นอกจากนั้นก็มีจารึกอิฐเปาเรื่องการสร้างพระอุโบสถและจารึกของท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบลและศูนย์ศิลปวัฒนธรรมรัตนโมลีศรีโคตบูรซึ่งเก็บของมหัคฆภัณฑ์อันมีค่าไว้มากมาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3872_1a.jpg
      IMG_3872_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      460.7 KB
      เปิดดู:
      719
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  13. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3802_1a.jpg
      IMG_3802_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      717.4 KB
      เปิดดู:
      663
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  14. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  15. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3837_1a.jpg
      IMG_3837_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      466.6 KB
      เปิดดู:
      652
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  16. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3817_2a.jpg
      IMG_3817_2a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      456.1 KB
      เปิดดู:
      602
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  17. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3839_1a.JPG
      IMG_3839_1a.JPG
      ขนาดไฟล์:
      594.2 KB
      เปิดดู:
      617
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  18. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    อย่างงี้ดูขลังดีครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    รูปนี้ถ่ายอยู่สามครั้งกว่าพระอาทิตย์จะตรงปากจ่ะ...
     
  20. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,951
    ค่าพลัง:
    +43,556
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3840_1a.jpg
      IMG_3840_1a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      472.7 KB
      เปิดดู:
      601
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...