Mamaa full center เปิดจักระ เชื่อม กาย ใจ จิต วิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ปราณ, 8 มิถุนายน 2011.

  1. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    ขอเชิญท่านที่ปัญหาสุขภาพ พูดคุยปรึกษา บำบัด และแนะนำ "การบำบัดรักษาตนเองและผู้อื่นด้วยพลังจิตจักรวาล" กับหม่าม๊า ทุกวันเสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น เป็นต้นไปในช่วงเย็นมีนั่งสมาธิเพื่อช่วยในปรับสภาวะของร่า่งกายและ จิต
    ถ้าไม่สะดวกวันเสาร์อาทิตย์ จะไปรับการบำบัด หรือพัฒนาเรื่องจิต และจักระ ม๋าม๊าก็เปิดรับการบำบัดทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ครับ 10.00 - 20.30 น. แต่กรุณาโทรไปนัดก่อนครับได้ที่ เบอร์ หม่าม๊า 085-148-1705 และ 092 5626558 ครับ
    โปรดทราบ โปรดทราบ Mamaa Love Light Full Center ใคร่ขอแจ้งให้ทราบว่า หม่าม้าได้ย้ายสถานที่ไปยังสถานที่แห่งใหม่ หมู่บ้านกฤษฏานคร เลขที่ 53/600 หมู่บ้านกฤษฏานคร ซอยแจ้งวัฒนะ 30 ( อินทนิน ซอย 3 ) ถ แจ้งวัฒนะ (เส้นทางการเดินทาง เพิ่มเติม จากหน้าหมู่ กฤษดานคร เขาไปเจอ ป้อมยาม แล้วก็เจอ 7-11 ทางขวา เป็นร้านกาแฟดอยช้าง เลยไปอีก 2ซอย เลี้ยวขวา เข้า ซ.ราชพฤกษ์ 5 หน้าปาก ซ.จะไม่มีป้ายนะครับให้สังเกตร้านค้าเอา ตรงเข้าไปแล้วเจอสีแยก ตรงต่อไปเข้า ซ.อินทนิล 3 ตรงต่อไป บ้านใหม่จะอยู่ทางซ้ายมือ เลขที่ 53/600 ท่านที่เอารถมา หาที่จอดรถ อย่าไปจอดขวางทางเพื่อนบ้านนะครับ) ไปไม่ถูก โทร โทร 085 1481705 และ 092 5626558 ครับ จึงเรียนมาเพื่อทราบทั่วกันครับ
    เชิญเข้ามาฟัง ธรรมดี ๆ จาก หม่าม๊าได้ที่
    Uploads from Wattanadach Makotpast - YouTube
     
  2. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    ข้อความจากคุณ Ummara Molar
    เรื่องนี้อยากเอาสิ่งที่ได้มาให้เพื่อนๆลองอ่านกันครับ เป็นสิ่งที่อย่าพึ่งเชื่อแต่ให้พิสูจน์เองนะครับ
    ผมสงสัย สงสัยมานานแล้วว่า ทำไมเราให้ใจเรามีความรัก? ทำไมเราต้องส่งความรักให้คนอื่น? ทำไมคนอื่นๆพอได้พลังความรักแล้วช่วยอะไรได้?
    (ความรักในที่นี้ไม่ใช่รักแบบคู่รัก หรือ รักแบบยึดมาเป็นของตนนะครับ เป็นรักแบบ เมตตา หวังดี มีความสุข ลักษณะอย่างนั้น)
    และทำไมมีบางอย่างบอกผมว่าไม่ให้ไปยุ่งการเมือง อย่าให้ใจไปยุ่งการเมือง? ทำไมล่ะ?
    คำตอบจากผู้หนึ่งที่ผมได้รับมาคือ
    มนุษย์มีแหล่งพลังงานอยู่ในร่างกาย แหล่งพลังงานนั้นเป็นพลังงานคลื่นที่สามารถนำไปใช้งานได้ ถ้าความถี่ถูกต้อง
    ความถี่นั้นสามารถ นำไปแปลเป็นพลังงานเพื่อใช้ในการดำเนินงาน การสื่อสาร หรือสิ่งอื่นๆได้ รวมถึงความถี่นั้นๆสามารถทะลุไปอีกมิติได้
    โลก ไม่ได้มีมิติเดียว มีอีกหลายมิติที่ทับซ้อน และความถี่หรือ ความเร็วต่างกันอยู่ อย่างเช่นเราไม่สามารถใช้ตาเนื้อเห็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
    เราไม่สามารถใช้ตาเนื้อ เห็น แรงกระทำระหว่างโมเลกุลต่างๆได้ นี่คือตัวอย่างบางสิ่งที่ยกมา
    สิ่งที่กำเนิดพลังงานความถี่นั้นคือ หัวใจ หัวใจที่เต้นถูกจังหวะ และ เหมาะสมจะเกิดพลังงาน ที่คนเล่าให้ฟังเรียกว่าพลังงาน ควอท (หรือความถี่ควอท)
    เป็นพลังงานสีขาวที่นำไปใช้งานได้ (เรื่องแสงสีเป็นการยกตัวอย่างนะครับ ในระบบอื่นอาจแตกต่างกันรวมถึงชื่อเรียก) เมื่อมนุษย์
    มีความรู้สึกรัก (แบบเมตตา ปราณี) รู้สึกถึงการให้ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หัวใจและร่างกายของมนุษย์จะปล่อยความถี่นี้ออกมาครับ
    ซึ่งบางระบบงานที่อยู่ในมิติบางมิติ สามารถ นำพลังนี้ไปใช้งานควบคุม สร้าง หรือสื่อสารกันได้ (ผมนึกถึงปรากฎการ โฟโตอิเล็กตรอน และ เรื่องการเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาทันทีเลย)
    ส่วนความรู้สึกอื่นๆก็สร้างพลังงานเหมือนกัน ความกลัว สร้างพลังงานสีดำ (ชื่อว่าพลัง ไมน์) ความกล้าพลังงานสีเหลือง (ส่วนสีอื่นๆลืมไปแล้วไม่ได้จดเอาไว้ขอโทษด้วย จำได้แต่สีดำกับเหลือง)
    และนี่ก็เป็นเหตุให้ผู้มาเยือนที่ใช้พลังงานในความถี่ช่วงนี้นั้น ให้เราส่งพลังความรักให้กัน พลังงานที่เหมือนกันจะสอดประสานให้คลื่นความถี่นั้นแรงขึ้นพลังก็จะมากขึ้น จึงสามารถนำไปแก้ไข ซ่อมแซม
    ส่วนต่างๆได้ รวมถึงไปเปลี่ยนการยึดเกาะกันระหว่าง โมเลกุล และ นิวเคลียส ได้ (ควอนตั้ม) ส่วนผู้ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนระบบบางอย่างแล้วจะสามารถใช้ระบบงาน
    บางอย่างได้ ถ้ามนุษย์ผู้นั้นปรับความถี่ของพลังงานตัวเองเพื่อให้ระบบทำงานได้ (ก็คงเหมือนเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบไฟ 220V ไปเสียบไฟ 110V มันก็ใช้ไม่ได้ต้องใช้กับ 220V เท่านั้น หรือมากกว่านี้ก็ไม่ได้มันไฟเกิน)
    พลังงานนี้ใช้งานได้หลายอย่างทั้ง รับรู้ระบบกระแสไฟฟ้าที่สื่อสารในสมอง (รู้ความคิดผู้อื่น) , การสื่อสารทางไกลโดยใช้จิต , การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบางอย่างทางระบบร่างกาย , การเปิดมิติบางมิติให้เดินทางถึงแบบทันที (วาร์ป)
    นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่ยกมาส่วนหนึ่งเท่านั้น ทำให้เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องรู้สึกดีๆตลอดเวลา (ถ้าทำได้) เพราะมันสามารถช่วยผู้อื่น และ ตัวเองได้จริง
    อย่างเช่นหากมีนักเดินทางไกลพลังงานหมดต้องการพักหรือเพิ่มพลังเพื่อเดินทางต่อ โลกเรา ในมิติ นี้นี่แหละ เป็นแหล่งพลังงานที่ดีมากที่ใช้เดินทาง หรือ วาร์ปต่อไป
    แล้วทำไมต้องห้ามยุ่งกับการเมือง ? คำถามนี้ งง ที่สุด คำตอบคือการเมืองทำให้จิตใจเกิดความไม่ชอบ หดหู่ เคียดแค้น ชิงชัง หวามกลัว ซึ่งมันไม่ได้สร้างพลังเลย
    มีแต่พลังงานอีกด้านออกมา ทำให้ระบบงานมีปัญหาด้วย (พึ่งถึงบางอ้อ ก็ตอนนี้เอง)
    แถมคำพูดสุดท้ายที่เขาฝากไว้คือ

    "มนุษย์มีพลังงานที่ดีมากอยู่กับตัว แต่กลับใช้ไม่เป็น"

    ส่วนท้ายนี้ผมคิดเองไม่มีการอ้างอิง
    - ถ้าเกิดมีระบบมิติที่ใช้พลังงานช่วงความถี่ของความรัก แล้ว บางระบบอาจจะมีการใช้พลังงานจากแสงดำ (ความกลัว) หรือช่วงความถี่แห่งความโกรธ ใช่หรือไม่?
    ซึ่งหากเป็นจริงแล้วน่ากลัวกับโลกมากเพราะมันจะเป็นไฟเผาโลกไปหมด
    - ทำไมต้องช่วยโลกให้มีแต่รัก และ ความถี่แห่งรักและเมตตา? (คำตอบที่ผมคิดเองก็คือ ระบบนี้เริ่มสร้างมาในพลังงานรูปแบบความถี่แบบนี้ ซึ่งทำให้อุปนิสัยดี ชอบช่วยเหลือ
    มีความเป็นเด็กตลอดเวลา (นิสัย) ) และหากเป็นมนุษย์เราแล้วหากมีแหล่งพลังงานที่มีพลังงานจำนวนมากให้ใช้งานได้ มนุษย์คงไม่ทิ้งไปแม้ว่าพลังงานนั้นจะอยู่ใต้ทะเลลึกยังเอาขึ้นมาใช้
    ฉันใดก็ฉันนั้น แหล่งพลังงานไม่จำกัดเหล่านี้เป็นพลังงานที่ดีมากๆเลยในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ
    - แล้วทำไมมนุษย์ผู้ที่ลาลับโลกไปแล้ว เป็นผู้ที่มีจิตใจดีที่อยู่อีกภพหนึ่ง ถึง สามารถติดต่อกับ ผู้อยู่ระบบมิติเหล่านี้รวมถึงช่วยเหลือ และ สื่อสารมายังคนที่มีชีวิตอยู่ได้
    (คำตอบที่ผมคิดเองก็คือ) ความถี่จิตใกล้เคียงกัน สามารถช่วยเหลือกัน ร่วมงานกัน และ อยู่ด้วยกันได้ (อันนี้รอพิสูจณ์อีกที)

    สุดท้ายนี้สิ่งใดผิดพลาดขาดเกิน หรือเลื่อนลอย ขออภัยมา ณ.ที่นี้ครับ
    เรื่องนี้อยากเอาสิ่งที่ได้มาให้เพื่อนๆลองอ่านกันครับ เป็นสิ่งที่อย่าพึ่งเชื่อแต่ให้พิสูจน์เองนะครับ
    ผมสงสัย สงสัยมานานแล้วว่า ทำไมเราให้ใจเรามีความรัก? ทำไมเราต้องส่งความรักให้คนอื่น? ทำไมคนอื่นๆพอได้พลังความรักแล้วช่วยอะไรได้?
    (ความรักในที่นี้ไม่ใช่รักแบบคู่รัก หรือ รักแบบยึดมาเป็นของตนนะครับ เป็นรักแบบ เมตตา หวังดี มีความสุข ลักษณะอย่างนั้น)
    และทำไมมีบางอย่างบอกผมว่าไม่ให้ไปยุ่งการเมือง อย่าให้ใจไปยุ่งการเมือง? ทำไมล่ะ?
    คำตอบจากผู้หนึ่งที่ผมได้รับมาคือ
    มนุษย์มีแหล่งพลังงานอยู่ในร่างกาย แหล่งพลังงานนั้นเป็นพลังงานคลื่นที่สามารถนำไปใช้งานได้ ถ้าความถี่ถูกต้อง
    ความถี่นั้นสามารถ นำไปแปลเป็นพลังงานเพื่อใช้ในการดำเนินงาน การสื่อสาร หรือสิ่งอื่นๆได้ รวมถึงความถี่นั้นๆสามารถทะลุไปอีกมิติได้
    โลก ไม่ได้มีมิติเดียว มีอีกหลายมิติที่ทับซ้อน และความถี่หรือ ความเร็วต่างกันอยู่ อย่างเช่นเราไม่สามารถใช้ตาเนื้อเห็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
    เราไม่สามารถใช้ตาเนื้อ เห็น แรงกระทำระหว่างโมเลกุลต่างๆได้ นี่คือตัวอย่างบางสิ่งที่ยกมา
    สิ่งที่กำเนิดพลังงานความถี่นั้นคือ หัวใจ หัวใจที่เต้นถูกจังหวะ และ เหมาะสมจะเกิดพลังงาน ที่คนเล่าให้ฟังเรียกว่าพลังงาน ควอท (หรือความถี่ควอท)
    เป็นพลังงานสีขาวที่นำไปใช้งานได้ (เรื่องแสงสีเป็นการยกตัวอย่างนะครับ ในระบบอื่นอาจแตกต่างกันรวมถึงชื่อเรียก) เมื่อมนุษย์
    มีความรู้สึกรัก (แบบเมตตา ปราณี) รู้สึกถึงการให้ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หัวใจและร่างกายของมนุษย์จะปล่อยความถี่นี้ออกมาครับ
    ซึ่งบางระบบงานที่อยู่ในมิติบางมิติ สามารถ นำพลังนี้ไปใช้งานควบคุม สร้าง หรือสื่อสารกันได้ (ผมนึกถึงปรากฎการ โฟโตอิเล็กตรอน และ เรื่องการเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาทันทีเลย)
    ส่วนความรู้สึกอื่นๆก็สร้างพลังงานเหมือนกัน ความกลัว สร้างพลังงานสีดำ (ชื่อว่าพลัง ไมน์) ความกล้าพลังงานสีเหลือง (ส่วนสีอื่นๆลืมไปแล้วไม่ได้จดเอาไว้ขอโทษด้วย จำได้แต่สีดำกับเหลือง)
    และนี่ก็เป็นเหตุให้ผู้มาเยือนที่ใช้พลังงานในความถี่ช่วงนี้นั้น ให้เราส่งพลังความรักให้กัน พลังงานที่เหมือนกันจะสอดประสานให้คลื่นความถี่นั้นแรงขึ้นพลังก็จะมากขึ้น จึงสามารถนำไปแก้ไข ซ่อมแซม
    ส่วนต่างๆได้ รวมถึงไปเปลี่ยนการยึดเกาะกันระหว่าง โมเลกุล และ นิวเคลียส ได้ (ควอนตั้ม) ส่วนผู้ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนระบบบางอย่างแล้วจะสามารถใช้ระบบงาน
    บางอย่างได้ ถ้ามนุษย์ผู้นั้นปรับความถี่ของพลังงานตัวเองเพื่อให้ระบบทำงานได้ (ก็คงเหมือนเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบไฟ 220V ไปเสียบไฟ 110V มันก็ใช้ไม่ได้ต้องใช้กับ 220V เท่านั้น หรือมากกว่านี้ก็ไม่ได้มันไฟเกิน)
    พลังงานนี้ใช้งานได้หลายอย่างทั้ง รับรู้ระบบกระแสไฟฟ้าที่สื่อสารในสมอง (รู้ความคิดผู้อื่น) , การสื่อสารทางไกลโดยใช้จิต , การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบางอย่างทางระบบร่างกาย , การเปิดมิติบางมิติให้เดินทางถึงแบบทันที (วาร์ป)
    นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่ยกมาส่วนหนึ่งเท่านั้น ทำให้เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องรู้สึกดีๆตลอดเวลา (ถ้าทำได้) เพราะมันสามารถช่วยผู้อื่น และ ตัวเองได้จริง
    อย่างเช่นหากมีนักเดินทางไกลพลังงานหมดต้องการพักหรือเพิ่มพลังเพื่อเดินทางต่อ โลกเรา ในมิติ นี้นี่แหละ เป็นแหล่งพลังงานที่ดีมากที่ใช้เดินทาง หรือ วาร์ปต่อไป
    แล้วทำไมต้องห้ามยุ่งกับการเมือง ? คำถามนี้ งง ที่สุด คำตอบคือการเมืองทำให้จิตใจเกิดความไม่ชอบ หดหู่ เคียดแค้น ชิงชัง หวามกลัว ซึ่งมันไม่ได้สร้างพลังเลย
    มีแต่พลังงานอีกด้านออกมา ทำให้ระบบงานมีปัญหาด้วย (พึ่งถึงบางอ้อ ก็ตอนนี้เอง)
    แถมคำพูดสุดท้ายที่เขาฝากไว้คือ

    "มนุษย์มีพลังงานที่ดีมากอยู่กับตัว แต่กลับใช้ไม่เป็น"

    ส่วนท้ายนี้ผมคิดเองไม่มีการอ้างอิง
    - ถ้าเกิดมีระบบมิติที่ใช้พลังงานช่วงความถี่ของความรัก แล้ว บางระบบอาจจะมีการใช้พลังงานจากแสงดำ (ความกลัว) หรือช่วงความถี่แห่งความโกรธ ใช่หรือไม่?
    ซึ่งหากเป็นจริงแล้วน่ากลัวกับโลกมากเพราะมันจะเป็นไฟเผาโลกไปหมด
    - ทำไมต้องช่วยโลกให้มีแต่รัก และ ความถี่แห่งรักและเมตตา? (คำตอบที่ผมคิดเองก็คือ ระบบนี้เริ่มสร้างมาในพลังงานรูปแบบความถี่แบบนี้ ซึ่งทำให้อุปนิสัยดี ชอบช่วยเหลือ
    มีความเป็นเด็กตลอดเวลา (นิสัย) ) และหากเป็นมนุษย์เราแล้วหากมีแหล่งพลังงานที่มีพลังงานจำนวนมากให้ใช้งานได้ มนุษย์คงไม่ทิ้งไปแม้ว่าพลังงานนั้นจะอยู่ใต้ทะเลลึกยังเอาขึ้นมาใช้
    ฉันใดก็ฉันนั้น แหล่งพลังงานไม่จำกัดเหล่านี้เป็นพลังงานที่ดีมากๆเลยในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ
    - แล้วทำไมมนุษย์ผู้ที่ลาลับโลกไปแล้ว เป็นผู้ที่มีจิตใจดีที่อยู่อีกภพหนึ่ง ถึง สามารถติดต่อกับ ผู้อยู่ระบบมิติเหล่านี้รวมถึงช่วยเหลือ และ สื่อสารมายังคนที่มีชีวิตอยู่ได้
    (คำตอบที่ผมคิดเองก็คือ) ความถี่จิตใกล้เคียงกัน สามารถช่วยเหลือกัน ร่วมงานกัน และ อยู่ด้วยกันได้ (อันนี้รอพิสูจณ์อีกที)

    สุดท้ายนี้สิ่งใดผิดพลาดขาดเกิน หรือเลื่อนลอย ขออภัยมา ณ.ที่นี้ครับ
     
  3. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    พวกคุณทำดีมากเลยนะครับ

    แบบนี้เขาเรียกว่า ทำดี แต่ ถือว่า ทำไม่ถูก นั่นเพราะ สิ่งที่มันจะเกิด มันก็ต้องมีเหตุปัจจัยในการเกิด อาจะเพราะ เป็น กฏแห่งกรรม สำหรับ มนุษย์ผู้ที่มีบาปหนาตราซ้าง แต่พวกคุณ กลับ ไป แปลี่ยนแปลงกรรม นั้น ที่จะเกิดมี ตามธรรมชาติ แทนที่คนชั่วจะได้รับผมกรรม ที่สมควร กลับ ถูก พวกคุณ ทำขัดขวาง ตกลง พวกคุณ ช่างกระทำได้ดีจริงๆ ครับ :mad:
     
  4. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    การก้าวล่วงกฏแห่งกรรม หรือกฏแห่งธรรมชาตินั้น อาจมีผลกระทบครับ

    การช่วยเหลือคนอื่น ช่วยจากที่เขาเป็นคนเลวให้กลายมาเป็นคนดีนั้น ถ้าทำได้ ทำถูกต้อง ก็ถือว่า ทำดีมาก ซึ่งคนที่ทำก็รู้ว่า ต้องเหนื่อยอยู่ไม่น้อย แต่ถือว่านี่คือความเมตตา

    แต่ถ้า เวลาที่คนชั่วมันจะต้องรับผลกรรมของมัน แต่ เข้าไปขัดขวาง เปลี่ยนแแปลง ช่วยเหลือคนชั่ว นั้น ถือว่า ทำไม่ถูกต้อง นะครับ ม่าม่า
     
  5. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    เป็นเหมือนการสนับสนุนให้คนชั่วได้ มีเวลา เพิ่มเวลาในการทำชั่ว ต่อไป

    กลายเป็นเหมือนผู้สนับสนุน หรือ เหมือน ร่วมมือกับคนชั่ว ไปเลยนะครับ

    เช่น พวกที่รับซื้อของโจร ถึงไม่รู้ว่า นั่นเขาปล้นจี้ขโมยมา ก็ยังมีความผิด ร่วม นะครับ
     
  6. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ถ้าเห็นด้วย ก็แปลกละ เห็นมั้ย เวลาเราเอาความจริงมาพูด มันพากันรับได้ ที่ไหนกันล่ะ
     
  7. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    คนบางคนคิดเก่งแล้วก็เชื่อในความคิดของตัวเองถูกต้องที่สุด แล้วก็ยังคิดว่าคนอื่นทำไม่ถูกต้องตามความคิดของตน ก็จงเชื่อในความคิดของตนเองต่อไป แต่คุณไม่ต้องมาคิดแทนคนอื่น จงมีความสุขของความคิดของคุณความเชื่อของคุณต่อไป
     
  8. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    นายแน่มาก :cool: ผมคงเก่งไม่สู้ พวกคุณหรอก หรอกครับ
     
  9. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    มาม่าครับ เปิดจักระ ทำคนให้ฉลาดขึ้น เพิ่มปัญญาให้เขาน่ะ ผมไม่ว่านะ

    แต่ ทำให้เขาหลง ว่าเก่ง ว่าเจ๋ง ละลาบละล้วงกฏแห่งกรรมน่ะ ผมไม่เอานะครับ
     
  10. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    ทุกข์หรือไม่ดูที่จิต
    คำว่า ทุกข์ หมายถึงสภาพที่ไม่ปกติดูแล้วน่าเกลียดไม่ใช่สิ่งที่รัก
    ทุกข์ นั้นมีอยู่2ชนิด คือ ทุกขเวทนา กับ ทุกขสัจจะ
    ทุกขเวทนา เกิดขึ้นเมื่อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปสัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    ธรรมารมณ์ ที่ไม่ดี รู้สึกว่าไม่สบายตา ไม่สบายหู ไม่สบายจมูก ไม่สบายลิ้น ไม่สบายกาย
    ตรงกันข้าม ถ้าได้สัมผัสกับสิ่งที่ดี เกิดความรู้สึกว่า สบายตา สบายหู สบายจมูก สบายลิ้น
    สบายกาย สบายใจ เรียกได้ว่า สุขเวทนา
    ทุกขสัจจะ เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นทางจิตใจ เช่น เกิดความรัก โกรธ เกลียด กลัว และอื่นอีกมากมาย เมื่อได้เวทนาแล้วหลงเพลินพร่ำสรรเสริญ เมาหมก อึดอัด ขัดใจ ให้คำให้ความหมายต่อเวทนานั้นๆไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง ด้วยความโง่เขลา
    การย้ำคิดย้ำทำ ให้ค่าให้ความหมายต่อเวทนา ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง เรียกว่า ยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน) การไม่ไปหลงย้ำคิดย้ำทำ ให้ค่าให้ความหมายต่อเวทนาเรียกว่า "การปล่อยวาง"ไม่มีอุปาทาน
    ดังนั้น การปล่อยวาง จึงไม่ใช่ปล่อยวางหน้าที่การงานแต่เป็นการปล่อยวางอุปาทานคือการย้ำคิดย้ำทำ ให้ค่าให้ความหมายต่อเวทนานี่เอง
    พระพุทธภาษิตว่า ความเพลินในเวทนาทั้งหลายใด นั้นคืออุปาทาน
    เมื่อมีอุปาทานมากเข้าๆทำให้จิตค่อยๆเปลี่ยนจากจิตประภัสสรแต่ก่อนหน้านี้ มาเป็นความพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้างรักบ้าง
    เกลียดบ้าง และอื่นๆ
    เมื่อตื่นเต้น ดีใจ จิตใจ ข้างในก็เหน็ดเหนื่อย กระวนกระวาย ไม่สงบ
    เมื่อหดหู่ เสียใจ จิตใจ ข้างในก็เหน็ดเหนื่อย กระวนกระวาย ไม่สงบพอๆกัน
    อาการที่จิตเหน็ดเหนื่อยกระวนกระวายไม่สงบ เรียกว่าเกิด “ความทุกข์” เป็นความทุกข์ในพุทธศาสนา
    ถ้าดูจากกิริยาภายนอก อาการดีใจหรือเสียใจ จิตจะเหน็ดเหนื่อย กระวนกระวาย ไม่สงบ ซึ่งเรียกว่าทุกข์พอๆกัน
    ขณะตื่นเต้นดีใจ หัวใจจะถูกกระตุ้นให้เหน็ดเหนื่อยกระวนกระวาย ไม่สงบ
    ขณะหม่นหมอง เสียใจ หัวใจจะถูกบีบให้เหน็ดเหนื่อย กระวนกระวาย ไม่สงบ
    และความเป็นทุกข์ทั้งดีใจ หรือ เสียใจ บวกหรือลบ(Positive &Negative)ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่หลัง เพราะหลงเพลิน
    ยึดถือ ให้คำให้ความหมายต่อเวทนาชั่วขณะ แล้วค่อยๆจางหายไป จิตก็เป็นประภัสสรอีก
    ดั่งนั้นวิธีเอาชนะความทุกข์ ก็คือการไม่หลงเพลินย้ำคิดย้ำทำให้ความหมาย ยึดถือต่อเวทนาด้วยสติปัญญา เห็นความเป็น”อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา “ของเวทนาต่างๆเหล่านั้น ด้วยการรู้สึกลงไปทุกครั้งที่จิตปรุงแต่ง เช่นรัก โกรธ กลัวน้อยเนื้อต่ำใจ อิจฉาริษยา วิตกกังวล เป็นต้น
    จะเห็นได้ว่าอาการของจิตที่ปรุงแต่งในสภาพต่างๆนั้น ล้วนแต่เหน็ดเหนื่อย กระวนกระวายไม่สงบ (ทุกข์)ภาวะนั้น
    ค่อยๆจางหายไป(อนิจจัง)มันเป็นปรากฏการณ์ของเหตุปัจจัยชั่วขณะหนึ่งแล้วก็หายไป ไม่มีตัวตนไม่ใช่ตัวคนที่แท้จริงที่ไหน(อนัตตา)เสมอกันไปหมด ในสิ่งปรุงแต่งเหล่านั้น จึงปล่อยวางความยึดถือทั้งภาวะที่เป็น Positive & Negative ต่อไป
    จิตจึงอยู่เหนือการปรุงแต่ง เป็นโลกุตระ (Super mundane) ไปในที่สุด
    ข้อเขียนของ พระวรศักดิ์ วรธัมโม
     
  11. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    ข้อความที่คุณ Phuchid Ta บันทึกเทป และคุณ Warong Bhorn นำมาลงใน FACEBOOK เห็นว่าอาจมีประโยชน์จึงขอนำมาแบ่งปัน ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ทำให้เกิดข้อมูลนี้ ลองเปิดใจรับฟัง

    สภาวะธรรมที่ม้าเมตตาให้กำลังใจผู้ร่วมเดินทางในเส้นทางสายนี้ ท่านหนึ่ง และเพื่อนร่วมเดินทางของเราท่านนี้ กำลังประสบปัญหา
    เราอยากให้กำลังใจบุคคลท่านนี้ จึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา


    .•°¤*(¯`°´¯)*¤°•. การเดินทางกลับบ้าน .•°¤*(¯`°´¯)*¤°•.


    ม้า : เราต้องต่อสู้เข้มแข็งอดทนเพื่อการกลับบ้าน
    เพื่อการไม่อยู่ยังโลกของความเป็น อย่างหนึ่ง
    ให้อดทนให้ต่อสู้ ให้มีความพยายาม แล้วเชื่อมั่นในตนเองว่าเรากลับได้ และสิ่งที่สำคัญเราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ด้วย
    เราอาจจะบอกว่าทางเส้นนี้เดินใครเดินมัน
    แต่ในขณะที่เราเริ่มเดิน แล้วเราก็สามารถชี้ทางให้กับคนอื่น
    แล้วบอกให้กับคนอื่นได้ว่า เราไปเดินทางกลับบ้านกันเถอะ

    ถาม : ที่ม้าพูดว่า เราต้องเป็นอิสระ
    อิสระของม้าคืออะไร
    อิสระเป็นอย่างไร
    อิสระคือทำตามอำเภอใจ ทำไรก็ทำ ซึ่งอิสระ
    เราไม่แคร์ใคร หรือว่าอย่างไรคะ

    ม้า : อิสระจากการยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้ง หรือข้องแวะกับสิ่งที่เป็นยางเหนียว หรือ กิเลสตัณหา หรือภาวะ แรงโน้มถ่วง
    อิสระจากทั้งหมดก็คือ แรงโน้มถ่วงของโลก
    โดยเฉพาะโลกใบเล็กของเรา โลกกว้างศอก ยาววา หนาคืบ
    เราต้องอิสระจากโลกใบเล็ก
    แล้วก็อิสระ จากโลกใบใหญ่ไปเรื่อยๆ
    จนกระทั่งเราพบความเป็นอิสระอย่างแท้จริง
    คือการกลับสู่เส้นทางที่เรามา ก็คือ บ้านเดิมที่เดิมของเรา
    ซึ่งจริงๆแล้วก็คือ เราอาจจะเดินทางได้ทุกวันได้
    โดยการระลึกถึงพลังงานของจิตเรา ปลดปล่อยมันไปได้ทุกวัน
    ปลดปล่อยเข้าสู่ความเป็นอิสระอยู่ทุกวันๆ
    ทำทุกวัน ทำทุกวินาที ทำทุกขณะได้
    แล้วเราจะเข้าสู่ความเป็นอิสระได้เร็วยิ่งขึ้น

    ถาม : แล้วการเป็นหนึ่งเดียวกันของเรากับเค้า
    หรือ กับทุกสรรพสิ่งมันเป็นอย่างไรค่ะ

    ม้า : การเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกสรรพสิ่งก็หมายความว่า
    มันก็เป็นตัวหนึ่งของความเป็นอิสระ
    ที่จะไม่มีความเป็นตัวตน หรือ เราไม่เลือก
    เราจะอิสระที่จะเป็นอะไรก็ได้ ในทุกสรรพสิ่งนั้น
    เพราะความอิสระไม่มีเลือก ถ้าเลือกอยู่ยังไม่มีอิสระ
    คุณยังเลือกตัวคุณกับไม่เข้ากับสิ่งใดเลย สิ่งนั้น สิ่งโน้น สิ่งนี้
    นั้นคือว่าคุณยังไม่เป็นอิสระ
    คุณยังเลือกอยู่ คุณยังแบ่งตัวเลือก คุณยังแบ่งความเป็นตัวตน
    และคุณก็ใส่ความเป็นตัวตนไปเลือกปฏิบัติอยู่

    ถาม : กลับบ้านของม้านี่คือกลับไปหาอะไรคะ

    ม้า : กลับไปสู่กำเนิดเดิมของเราคือ พลังงานบริสุทธ์
    ซึ่งอาจจะอยู่ในมิติใดมิติหนึ่ง
    อาจเป็นทางช้างเผือกหรือดาวใดดาวหนึ่ง ที่เป็นอิสระ
    อาจจะเป็นข้อมูลในจิตของเรา
    เราทำได้แค่ไหน แต่เราไม่สนใจว่าเราทำได้แค่ไหน
    ขอให้เราทำได้ทุกขณะยิ่งดี ทำได้ทุกวันทุกขณะทุกโอกาส
    ทุกลมหายใจทุกความรู้สึกของเรา
    ให้เป็นอุปนิสัยเหมือนกับที่เราอยู่ในโลกนี้ก็เพราะอุปนิสัย
    อุปนิสัยทำให้เรายึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้ง
    ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราดี ทำให้เราพอใจ ทำให้เราเสพกับโลกโลก
    นี่แหละอุปนิสัยในการอยู่ แล้วกลายเป็นอนุสัยกรรมอย่างต่อเนื่อง
    เวลาเราจะกลับบ้าน เราก็ไม่รู้ทางกลับ
    เพราะเราไม่ได้ชินกับอุปนิสัยในการกลับบ้าน
    ระลึกอยู่เสมอ เสมอ ว่า เราอยู่ข้างบน
    เรามีเป้าหมายคือข้างบน แล้วถามว่าเราต้องการเป้าหมาย
    เราไม่หวั่น แต่เรารู้สึกเสมอ ๆ ว่า เป้าหมายของเราคือการกลับบ้าน
    แต่เราก็ไม่ได้เป๊ะว่า อย่างงั้น อย่างงั้นมีดี
    ไม่มีรูปแบบในการกลับ
    แต่ให้เรารู้สึกอยู่เสมอว่า เราต้องกลับไปตรงนั้น

    ถาม : ความรักของม้าคือพลังงานต้นกำเนิด คืออะไรคะม้า

    ม้า : พลังงานต้นกำเนิด คือ ความรักที่แท้จริงพลังงานบริสุทธิ์ มันเป็นสีขาว ไม่ใช่สีชมพู

    ถาม : คือมันไม่มีใช่มั้ยค่ะม้า

    ม้า : มันไม่มี มันไม่มีแต่ คำว่า Love ด้วย มันไม่มี

    ถาม : ถ้าเราสร้างตัวรับขึ้นมา เหมือนเราไม่มีความรู้สึกรักอย่างนี้อะค่ะม้า เราสร้างตัว love ขึ้นมาก่อน

    ม้า : เราสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสัญญาว่า เรามี
    แล้วเราก็ถึงวาระหนึ่งพลังของ Love ตัวนี้ มันใหญ่มาก
    จนไม่สามารถจะเกาะกุมมันได้ มันก็เป็นอิสระ
    อะไรที่เราเกาะกุมไม่ได้คือความเป็นอิสระ
    พลังงานรักที่เราไม่สามารถยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้งได้
    เพราะว่ามันยิ่งใหญ่มาก
    มันเป็น คล้ายๆ อากาศธาตุ ที่เราจับต้องมันไม่ได้ แต่มันมีความรู้สึกได้ แล้วความรู้สึกนั้น สักวันเราก็จะต้องทิ้งมัน
    เรารู้ว่าความรู้สึกนี้มันยังน้อยกว่าพลังตรงนั้นด้วยซ้ำไป
    พลังรักใหญ่กว่าความรู้สึกด้วยซ้ำไป
    เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของมัน แล้วเราก็จะทิ้งทุกอย่าง
    โดยที่เรายังมีความรู้สึกอยู่กับตรงนั้นอยู่
    เพราะมันเป็นเนื้อเดียวกัน

    ถาม : ถ้าเราจงใจทิ้งไม่ดีใช่มั้ย เพราะมันคือความอยากที่เราจะอยากอิสระ ยิ่งอยากก็ยิ่งผูก

    ม้า : แต่เราต้องสร้างอารมณ์ตรงนั้นก่อนว่าเราต้องอิสระ

    ถาม : คือต้องมีว่า ว่าเราพร้อมที่จะสละ

    ม้า : เราต้องสละทุกอย่าง ถ้าเราไม่สร้างตัวสละทุกอย่างเนี่ย
    มันเหมือนกับเราไม่มีกำลังแล้วก็ปล่อยมันเรื่อยเปื่อย
    นึกออกมั้ย เรารู้ว่าเราห่อหุ้มไปด้วยภาวะของแรงโน้มถ่วง
    เพราะฉะนั้นเราต้องปลดแรงโน้นถ่วงออกเรื่อยๆ
    คือห่อหุ้มไปด้วยกำลังรัก โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหา
    ภาวะของโลก ๆ เราต้องพยายาม คลายมันออกไปเรื่อย ๆ
    พลังงานที่บริสุทธิ์ที่ต้นกำเนิดมันบริสุทธิ์มาก
    แต่มันถูกแปดเปื้อนได้ด้วยพลังของแรงโน้มถ่วงโลกและกิเลสตัณหา
    พลังที่มันยังหนักหน่วงอยู่ พลังที่มันไม่ค่อยบริสุทธิ์
    คือเพชรเนี่ย มันยังเป็นเม็ดอยู่ใช่มั้ยค่ะ
    แต่สิ่งที่คนต้องการคืออะไร
    ไม่ใช่เม็ดเพชรนะคะ มันคือ ประกาย แล้วเราก็จับต้องมันไม่ได้
    แต่เราต้องมีตัวเพชรเพื่อเป็นต้นกำเนิดเหมือนกัน เพื่อที่จะได้ประกายของมัน
    เพราะว่าประกายมันมีกำลังมาก มากกว่าตัวเพชร....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กุมภาพันธ์ 2014
  12. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    ความสำคัญของจักระ
    โดย นาย จ๊ะ เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 19:32 น.
    ความสำคัญของจักระ
    ถาม : ม้าจักระมีความสำคัญอย่างไรค่ะ
    ม้า : จักระเนี้ยะถือว่ามันเป็นสิ่งละเอียดอ่อนหรือว่าต่อมไร้ท่อ หรือท่อของพลัง เรามีท่อตั้งสองร้อยกว่าตัวทั่วร่างกาย แต่ท่อใหญ่ตัวเนี้ยะ นี่พลังงานเนี้ยะเค้าบอกว่ามันเข้าตัวนี้แล้วมันก็ไปจุดระเบิดตัวที่หนึ่ง พอจุดระเบิดมันก็กระจายทั้งหมดในร่างกายของเรา ขั้วบวก ขั้วลบ จุดระเบิดไป ทีนี้อย่างของ..มู..มันมีปัญหาตรงที่ว่าพลังงานมันลงไม่ได้ มันมีปัญหาเรื่องโครงสร้าง ปัญหาเรื่องโครงสร้างมันติดขัด
    ถาม : โครงสร้างยังงัยครับม้า
    ม้า : โครงสร้างอย่างเอวคดอย่างเนี้ยะ ต่อมไร้ท่อทันก็บิดเบี้ยวไป
    ถาม : ม้าครับแล้วตกลงจักระเนี้ยะ มันอยู่ในร่างกาย หรืออยู่นอกร่างกายครับ
    ม้า : อยู่ในร่างกายแต่มันคือระบบเดียวกับกฏของธรรมชาติ คือเหมือนกับว่า ต่อมไร้ท่อต่างๆของร่างกายมนุษย์มันมีตั้งสองร้อยกว่าตัวแต่ตัวใหญ่ๆคือตัวที่ เจ็ด ถึง หนึ่ง มันเป็นตัวสำคัญ มันเป็นตัวใหญ่ๆใช่มั้ยะ ทีนี้ถามว่ามันมีในร่างกายของมุษย์มันมีตามจักรวาลมั้ยมันก็มีต่อมของพลังงานดีดี บริสุทธิ์อย่างเนี้ยะ แล้วมันก็จะเชื่อมของจักระของเราทั้งหมด
    ถาม : เชื่อมยังงัยค่ะม้า
    ม้า : คือธรรมชาติมันคือ ถ้าคุณคิดดี คุณก็จะเจอเพื่อนที่คิดดีเหมือนคุณ ถ้าจักระของคุณดีมันก็เชื่อมกับพลังงานที่ดีจากข้างบนได้เป็นแบบนั้น คือหมายความว่า กฏของแรงดึงดูดคุณสามารถทำจักระของคุณดี พลังดีๆก็จะไหลเข้าสู่ตัวคุณนี่คือกฏของแรงดึงดูด ในขณะที่จิตใจคุณไม่ดีมีมั้ยบางครั้งบางวันพูดง่ายๆแม้แต่อาหารที่เราทำ ถ้าจิดใจมันไม่ดี มันก็ออกมาไม่ดีใช่มั้ย แม้แต่บางทีหงุดหงิดงุ่นง่าน เดี๋ยวก็เตะสิ่งนั้นสัมผัสสิ่งนี้เหมือนคนบางทีวันนี้อารมณ์ไม่ดีออกจากบ้านเจอสิ่งไม่ดีมีมั้ย มันก็คืออย่างนั้นและค่ะคือกฎของแรงดึงดูด เพราะฉะนั้นร่างกายจิตใจโอเคดี สบาย มีความสุขแล้วเราไปที่ไหนมันจะไหลลื่นกับสิ่งที่เข้ากับร่างกายเราจิตใจเรา มันเป็นกฎของแรงดึงดูด เพราะฉะนั้นคือ เราต้องรู้สึกอยู่เสมอว่าเรา Happy เรามีความสุข เราไหลลื่นเราสบาย แล้วจิตเราอย่างเนี้ยะมันก็จะเจอแต่พลังดีดีมันก็จะเข้ามา
    ถาม : แล้วปราณอะม้า
    ม้า : ปราณ ก็คือ ลมปราณ คือลม ลมเบื้องสูง ลมเบื้องต่ำ
    ถาม : มันยังงัยอะม้า
    ม้า : เราสามารถใช้จิตของเรา control ปราณได้ เราสามาถไหลลื่นไปกับบุคคลตรงข้าม เราสามารถดูดปราณคนตรงข้ามที่เป็นปราณเสียออกมาทิ้งได้ เหมือนที่เราทำงานนั่นและ
    ถาม : แล้วปราณเกี่ยวเนื่องกับจักระอย่างไรค่ะม้า
    ม้า : มันก็คือพลังงานเหมือนกัน ปราณก็คือพลังงานลม จักระก็คือพลังปราณเหมือนกัน คือใช้ปราณไป control จักระอีกทีหนึ่งก็ได้ ใช้ปราณไปปรับจักระให้สบายก็ได้ คือเราใช้ปราณของเราดันจักระที่มันติดขัด ใช้ปราณดัน มันก็ flow ใช่มั้ย ปราณเนี้ยะแรง แรงมากสามารถทำได้ทุกอย่าง ทุกอย่างมันคือจิตเป็นตัว control จิตจะต้องมีกำลัง จิตก็คือพลังงานนะค่ะ
    ถาม : จิตเนี้ยะไปดึงปราณ ไปดึงปราณมาเพื่อชำละล้างจักระหรือยังงัยค่ะม้า
    ม้า : คือจริงๆปราณในร่างกายของคนเราเนี้ยะมันเยอะมากอยู่แล้ว เพราะว่าคนเรานี่มันบางทีเนี้ยะ บางทีปราณนะมันมาก มากซะจนบางทีกลายเป็นหมักหมม ความรู้สึกนึกคิดเป็นอารมณ์ ตรงนี้เข้าใจใช่มั้ย ถ้าเรารู้สึกนึกคิดดี อารมณ์เราก็ดี ลมปราณเราก็จะดี แล้วจักระเราก็จะดี ถ้าเรารู้สึกนึกคิดไม่ดี มันก็จะเป็นพลังงานลบทั้งหมดที่สะสมใช่มั้ย ทีนี้บุคคลนะมันในปัจจุบันเนี้ยะ คนที่เป็นโรคลมเนี้ยะโดยไม่เข้าใจในเรื่องของโรคลม หมอจะเช็คไม่ออก เนื่องจากว่าคุณรับมาทวาร ทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คุณรู้สึกนึกคิดหรือว่าคุณไปพยายามไปเป็นคนที่ช่วยเหลือผู้อื่น แบบคุณไม่กำลังของคุณแต่คุณไปช่วยคุณอื่น ทั้งๆที่คนอื่นในตัวมีพลังลบมาก คุณไปคุยกับเค้าแล้วคุณก็ไปรับมา ร่างกายของเราก็สะสมพลังลบอยู่ในพลังของปราณได้ แล้วมันก็จะเป็นก้อน จุก จุก จุก ถ้ามันเป็นอย่างงั้นปุ๊บ อย่างจูนขณะนี้ก็รับไปและ ถ้าม้าพูดไม่ดีจูนก็รับไปละ ม้าพูดดี จูนก็รับไปแล้ว ก็ไปอยู่ที่จูน เพราะฉะนั้นจูนเสพอะไรวันๆหนึ่งอะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คุณเสพอะไรบ้าง มันไปสะสมอยู่ในทุกอณูของเซลล์คุณอยู่แล้ว ในร่างกายคุณอยู่แล้ว
    ถาม : โดยเข้าไปตามอวัยวะ เราอย่างนี้หรือม้า
    ม้า : มันเป็นพลังงานนะ ทุกอย่างมันเป็นพลังงาน แล้วแต่มันจะไปอยู่ส่วนไหน ถ้าสมมุติ ว่าร่างกายคุณมีจุดอ่อนส่วนไหน พลังงานลบจะไปหาตรงนั้นก่อน มันจะไปหมักหมม อยู่ตรงนั้น สมมุติคุณมีมะเร็งอยู่ตัวหนึ่งขณะนี้ แล้วคุณก็คิดร้าย แล้วความคิดร้ายมันเป็นพลังลบ แล้วพลังตัวนั้นมันก็จะไปเกาะมะเร็งของคุณให้โตขึ้น
    ถาม : อ๋อเหมือนให้อาหาร
    ม้า : แต่ว่าคุณ มีความสุข มะเร็งก็จะไม่มีวันโต เพราะอาหารมันไม่มี
    ถาม : ม้าถ้าอย่างนี้ถ้าคนแบบว่า กูเจ็บปวด แล้วกูจะ Happy ได้ยังงัยอะม้า
    ม้า : การฝึกจิตใช่มั้ยค่ะ คุณเจ็บปวดใช่มั้ยค่ะ ถ้าคุณมีสติปัญญาอย่างแท้จริง คุณก็จะแยกได้เลยว่าอันนั้นคือความเจ็บปวด อันนั้นคือจิต จิตเป็นตัวรับรู้ใช่มั้ยค่ะว่านี่คือความเจ็บปวดแล้วคุณก็แยกจิตออกมาเหมือนที่ม้าโดน แล้วม้าก็บอกเอ้ รู้สึกเจ็บ แต่ใจเราไม่รู้สึกอะไรพอไปนอนจิตของเรามันก็ไปหลบอยู่อีกที่หนึ่ง แต่จิตตัวรู้มันก็รู้แบ่งจิตตัวหนึ่งไปอีกที่ที่ไม่สนใจความเจ็บตรงนั้น มันฉลาดพอเพื่อที่จะไม่ให้จิตไปสกปรก กับความเจ็บตรงนั้น เพราะความเจ็บตรงนั้นมันเป็นตัวไม่โอเค
    ถาม : แล้วเราสามารถดึงตรงนั้นมาช่วยคนได้มั้ยม้า
    ม้า : คุณจะต้องมีจิตที่ ลำดับแรก คุณสามารถจะดึงมาได้อยู่แล้ว แต่คุณต้องพยายามเหมือนกับว่า อย่างบอกคนนี้คุณเอาจิตขึ้นไปข้างบนสิบ่อยๆ พอคุณขึ้นไปข้างบนบ่อยๆแล้วคุณจะรู้สึกดีใช่มั้ย ถ้าคุณอยู่ในระนาบโลกแน่นอนคุณไม่มีโอกาสได้รับพลังดีแน่นอน คือให้คำว่า ทำจิตเป็นตัว Y หมุนอยู่ข้างบน นึกออกมั้ย
    ถาม : ม้ากับว่าเห็นแล้วปล่อยมันไปตามธรรมชาติ มันเป็นอย่างไรค่ะ
    ม้า : ไม่มีทางคุณบอกว่าคุณเห็นแล้วจิตคุณไม่กระเพื่อมรับมันเป็นไปไม่ได้ มันเร็วมาก จิตคือพลังงานที่กระเพื่อมรับทุกอย่างที่เข้ามากระทบ คุณกระทบแล้วคุณบอกว่าไม่สนใจ จริงๆแล้วคุณกำลังหลบอารมณ์ แล้วจะทำให้อารมณ์ทับซ้อน
    ถาม : แล้วมันจะเกี่ยวเนื่องกับจักระอย่างไรค่ะม้า พอเราหลบอารมณ์ปุ๊บ
    ม้า : จักระของคุณก็ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ คือหมายความว่า บางทีมันอาจจะไม่ถึงขั้นเข้าไปในจักระตัวใหญ่อาจแค่จักระตัวเล็กๆก็ได้ เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วเนี้ยะ เราอย่างเนี้ยะ เรานั่งอยู่ตรงนี้เนี้ยะ เราสามารถที่จะไหลลื่นแลกเปลี่ยนกัน ที่ม้าบอกว่าคุณนี้เข้าไปเชื่อมคนนั้น คนนั้นเข้าไปเชื่อมคนนี้ก็เหตุผลก็คือว่าต้องแลกเปลี่ยนพลังงาน สมมุติคนนี้ขาดตัวนี้ คนนี้เข้าไปเสริม แต่จริงๆต้องเข้าใจตรงนั้น คนที่ทำงานครงนี้คือ เค้าบอกไม่รู้ว่าไอ้นี่สีนั้นสีนี้ แต่จริงๆเค้ามีของสิ่งนั้นเอามาเชื่อมยามที่จำเป็น สีมันมีส่วนสำคัญกับการไหลเวียนของพลังงานเหมือนกันนะ
    ถาม : หมายถึงถ้าเรามองสีอะหรือค่ะม้าตามจักระอย่างนี้หรือค่ะ สมมุติว่า ..จ..ติดจักระสอง ..จ..ก็มองสีส้มแล้ว..จ..ก็ปั่น อย่างนี้เป็นการไปพยายามมันมั้ยค่ะม้า
    ม้า : อ๋อไม่หรอกแต่ว่าคุณรู้ว่าคุณซ่อมร่างกายคุณได้ คุณก็ซ่อมสิ คุณวางจิตของคุณคือจักระตัวที่สองของคุณมีปัญหาใช่มั้ย คุณก็ซ่อมได้โดยที่คุณมองสีส้มแล้วคุณก็ปั่น มันก็ถูกพอมันรู้ว่ามันโอเคแล้วก็ปล่อย มันก็จบ
    ถาม : อย่างเมื่ออาทิตย์ก่อนนะม้า ..จ..ก็เหมือนพยายามเลยนะม้าแก้ไขจักระของ..จ..อะ แล้วมีอยู่วัน มันปวดมาก คือปวดแบบมันเหมือนจะหลุดออกจากร่าง
    ม้า : อ๋อจักระตัวที่สองเป็นตัวสำคัญเป็นตัวเก็บพลังงานชีวิต แล้วมันเป็นตัวที่สำคัญมาก แล้วมันจะเป็นตัวที่รับพลังกุณทลินีได้ แล้วก็บางทีถ้ามันไม่ทะลุขึ้นข้างบนเนี้ยะมันก็จะไปค้างตรงนั้น
    ถาม : แล้วอยู่ดีๆมันก็ระเบิดอะม้า
    ม้า : อ๋อมันก็ระเบิด เพราะว่า ถ้ามันถึงที่สุดมันก็จะระเบิดเองเพราะว่าบางทีกำลังของปราณเราอาจจะดี ตัวปราณนะเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่ง เหมือนกัน เค้าเรียก ลมเบื้องต่ำ ถ้าภาษาชาวบ้าน มันถึงที่สุดจริงๆแล้วธรรมชาติ มันจะแก้ไขของมันเอง
    ถาม : มันออโต้ไม่ได้ใช่มั้ยม้า สมมุติว่า เช้ามาเราหายใจเอาปราณเข้า เพื่อไปชำละล้างจักระแล้วปล่อยมันโฟล์ไปแบบออโต้จนเสร็จได้มั้ยม้าดีกว่าเราไปเพ่งปราณไปเพ่งจักระแต่ละตัวเนี้ยะ
    ม้า : แต่ว่าคุณอย่าลืมนะคุณทำ สมมุติว่าตื่นเช้ามาคุณไปทำตัวนั้นก็จริงอะถ้าหลังจากนั้นแล้วคุณไม่รับอะไรพลังงานที่ไม่เสียเข้าไปมันเป็นไปไม่ได้นะ แค่คุณตื่นเช้ามา ก็ไปที่พระอาทิตย์ ออกมาตอนเช้าๆ คุณ Happy กับพระอาทิตย์ตอนเช้าๆมันก็โอนะ
    ถาม : ม้าแล้วจักระสัมพันธ์กับอารมณ์อย่างงัยค่ะ
    ม้า : สำคัญมากค่ะ เพราะว่าถ้าจักระของคุณดีเนี้ยะลมปราณคุณเดินดี เหมือนการฝึกจิต พลังงานในร่างกายดี มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่คิดลบ ใช่มั้ย จักระเค้าก็จะไม่โฟล์ใช่มั้ย เพราะคุณเอาจักระไปแซกแทรงหัวใจของคุณ หัวใจของคุณมันเป็นตัวปั่นพลังงานใช่มั้ย ก็ตัวนี้จากนี่ไปก็เป็นฟ้าใช่มั้ย จากนี่ไปก็เป็นดินใช่มั้ย ตัวสี่เป็นตัวระเบิดออกมา
    ถาม : ม้าความรักสร้างได้มั้ย
    ม้า : ความรัก สร้างไม่ได้ แต่รู้สึกได้
    ถาม : อย่างเรารักแบบหนุ่มสาว สมมุติ ..จ..เกิดปิ้ง ปิ้ง ..มู..อย่างเนี้ยะ แล้วจักระสี่ ..จ..บานอย่างเนี้ยะ แล้ว..จ..ก็เอ้อ
    ม้า : คุณไปดูความรู้สึกตรงนั้นหน่อยว่า คุณปิ้งนะเพราะอะไร คุณต้องดูว่าอารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ไหน อารมณ์แบบโลกียะ หรือ โลกุตตระ
    ถาม : มันเป็นความสุขทางใจอะ สมมุติว่า ..มู..คุยกับ..จ..แล้วแบบว่า เฮ้ย ..จ.. Happyกับ..มู.. แล้วจักระสี่..จ..ก็บานตลอดเลย แล้ว ..จ..ก็ กลับมา แบบ สดชื่น
    ม้า : โอเค ถ้าจักระสี่บานมันก็โอเค แต่ถ้ามีเรื่อง สมองว่า เอ็ยไอ้..มู..มันหล่อ ไอ้..มู..มันน่ารัก แล้วเราชอบมันวะ นั่นมันไม่โอละ
    ถาม : อ้าวมันก็เหมือนกันมั้ยมะ มันเหมือนไม่ได้แยกกันนะ
    ม้า : ไม่มันระหว่าง สมอง กับ หัวใจ มันต่างกันนะ จักระ สี่ บานมันเรื่องของหัวใจนะ คุณปิ้ง ปุ๊บเนี้ยะมันความรู้สึกนะมันไม่ใช่สมองนะ ต้องดูดีๆว่าไอ้ที่บานนะ หัวบาน หรือ สี่ บาน
    ถาม : มีอย่างนี้ด้วยหรา
    ม้า : มันเร็วนะ หัวเนี้ยะ มันจินตนาการเข้าไปลึกระเอียดนะ มันอาจไหลเข้าไปหลอกตรงสี่
    ถาม : แล้วมันยังงัยอะม้า สมมุตินะ พอ..จู..ปิ้ง เสร็จแล้วนะ ..จู..อยากทำอะไร ปรับเปลี่ยนตัวเอง สี่บานแล้วมันมีความสุขอะม้า
    ม้า : คุณต้องดูดีๆนะ พอบานแล้วคุณต้องสำเหนียก หรือ สังเกตุอารมณ์เราให้ดี เมื่อสังเกตุอารมณ์เราให้ดีว่า เฮ้ย มันมีจิตกิเลสเราเจือปนมั้ย มีราคะเจือปนมั้ย
    ถาม : มันก็ต้องมีบ้างอะม้า มันก็ทำให้มีความสุขอะ
    ม้า : ไม่นะ คุณจะมาเพ่งเอาตรงนี้ไม่ได้ เมื่อตัวนี้เป็นตัวจุดฉนวนของคุณ มันไปจุดตรงหัวใจหรือจุดตรงสมอง
    ถาม : มันก็ทั้งคู่นะม้า
    ม้า : ไม่จริงค่ะ
    ถาม : ไม่จริงคือยังงั้ยค่ะม้า
    ม้า : มันจะทั้งคู่ไม่ได้ จิตเนี้ยะมันจะเกิดขณะเดียว สอง อย่างพร้อมกันไม่ได้
    ถาม : อ๋อไม่ใช่ม้าหมายถึงครั้งแรกก่อนเลย สมมุติ..จู..ปิ้ง..มู..ปุ้บ ความสุขทางใจ..จู..เกิดมีน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจมา แล้ว..จู..ก็คิดว่า..จู...อยากทำอะไรเพื่อตรงนี้
    ม้า : คืออันนั้นเป็นกิเลสแล้ว
    ถาม : อ๋อแต่ว่าเราสามารถเอาตรงนี้มาพัฒนาได้มั้ยม้าหรือว่าเราควรจะตัดทิ้งไป
    ม้า : คือหมายความว่า..มู..ไม่เกี่ยวแล้ว จบแล้ว ถ้าคุณจะเพ่งไปที่ ..มู..อีกมันไม่ได้แล้วนะ ต้องกลับมาดูตัวเราแล้วนะ
    ถาม : ดูว่า
    ม้า : ดูว่าอารมณ์ตัวเนี้ยะมันเป็นยังงัย พอจักระสี่มันบานแล้วก็ทิ้งทิ้งไปเรื่อยๆถ้าคุณฉลาดเพียงพอคุณก็ไม่ต้องไปใช้สมองเลยแค่คุณปล่อยมันให้มันไหลลื่นไปกับกฎธรรมชาติมันก็โออยู่แล้ว แล้วคุณต้องเข้าใจว่ากฏของไตรลักณ์ คือ กฏแห่งความไม่เที่ยง ประกอบไปด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แล้วกิเลสของคุณขึ้นมาแล้ว หู้ หู้ แล้วคุณก็อยากให้เป็นอย่างนั้นตลอดมันเป็นไปไม่ได้ แล้วคุณก็ต้องรู้ว่ามันเกิดแล้วมันจะต้องดับ บางทีเราเผลอ ไปสร้างจินตนาการแล้วใช้สมองแทรกแซงอีกมันก็กลายเป็นปัญหา
    ถาม : ม้าสมมุติ ..จู.. คิดกับหมูเสร็จแล้วแล้ว..จู.. เหมือนเค้าส่งมาแล้ว..จู..ก็รับได้ตลอดเลยแล้ว..จู..ก็มีความสุข แล้วรู้สึกเหมื่อนว่า..จู..โรแมนติกมากเลย แล้วเราก็รู้สึกว่าเฮ้ยอันนี้มันสามารถพัฒนาได้ มันไหลลื่นไปเหมือนกัน มันคือการไหลลื่นใช่มั้ยค่ะม้า
    ม้า : คุณบอกว่าตรงนั้นสามารถพัฒนาได้ คือ คุณ ไปเอาสมอง ของคุณไป ใช้ จำไว้ว่ามนุษย์มันไม่เท่าทันแล้วมันก็จะเกิดกิเลสได้ ก็คนที่มันเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่า ปิ้งขึ้นมาแทนที่มันจะจบมันก็ต่อ นั้นมันก็เป็นปัญหา แค่อยากจะทำอะไรดีๆให้เค้านี่มันก็กิเลสแล้ว ต้องอย่าต่อ สมมุติมันปิ้งแล้ว มันได้มาแล้ว โอเค กระจายออก
    ถาม : ..จู..หมายถึงมัน..จู..กันติดละ พลังงานมัน..จู..กันติดละ ทีนี่ทุกครั้งที่เรารับพลังงานกันได้แล้วความรู้สึกดีๆกันได้เนี้ยะ
    ม้า : อย่าทำต่อ คือไม่ใช่ให้หยุด ปล่อยมันให้ลื่นไหล อย่าเอาตัวสมองไปยุ่ง เพราะตัวสมองมันเป็นตัวสร้างกิเลสตัณหาได้ดีนัก ตัวนี้สำคัญเราต้องเข้าใจ ตัวไตรลักษณ์ เข้าไปว่ามันไม่เที่ยงนะ สมมุติว่าวันนี้กูปิ๊งไอ้ ..มู..ละ ก็ไม่เที่ยง อุเบกขาแล้วก็จบนะ
    ถาม : แต่มันมีอีกตัวซ้อนขึ้นมาว่า อยู่กับ..มู..แล้วสบายใจ มันมีซ้อนขึ้นมาตัวเนี้ยะ
    ม้า : ตัวซ้อนนี่และจะหลอกได้มันอันตรายนะ มันจะถลำลึกไปเรื่อยๆนะ เค้าเรียกว่า กิเลสทับซ้อนกิเลสนะ ติดสุข
    ถาม : ติดสุขแต่เรารู้ว่ามันรู้สึกดี
    ม้า : อุ้ยกิเลสนี่มันไม่ได้นะ มันร้อนแรงนะ จำว่ากิเลสมันร้อนแรง โดยเฉพาะกิเลสของตัณหา ราคะ ร้อนแรงมาก จำว่าอะไรก็ไม่เท่ากิเลสของไฟราคะ
    ถาม : แต่ถ้าเราเรียนรู้กับมันอะม้า
    ม้า : คุณเก่งแค่ไหน ที่จะไปเล่นกับไฟราคะ เล่นกับความสุขนะมันติดนะ แล้วมันถอนยาก
    ถาม : ถ้าเกิดแบบนี้มันเป็นแบบนี้ พอได้ตรงนี้มาแล้วจูนก็ไปเล่นกับมันซักพักนึง
    ม้า : แล้วมันเที่ยงหรือปล่าว สังเกตุตรงนั้นนะว่ามันไม่เที่ยงทุกอย่างมันไม่เที่ยง
     
  13. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ กำลังหาโอกาสอยู่ค่ะ อยากเจอม๊ามาค่ะ
     
  14. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    ข้อคิดเห็นและข้อมูลของคุณ Harittabhong ChaiLert ที่ได้คุยกับ ม๋าม๊า

    สวัสดีพี่ๆน้องๆ และญาติธรรมทุกท่าน

    เมื่อวานผมมีโอกาัสได้คุยกับหม่าม้า ผู้มีเมตตา แบบจัดเต็มในสิ่งที่สงสัยเป็นกังวล และก็ได้รับ คำตอบจากบททดสอบจริง เลยทำให้ผมได้รู้ นี่เราก็ทำได้ด้วย จริงหรือเนี่ย

    หม่าม้าผู้มีเมตตาช่วยเหลือคนแบบไม่มีมีข้อเรียกร้อง ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ได้คลายข้อสงสัย และทำให้ผมได้รู้ว่าผมควรใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป

    สิ่งแรกก็คือ
    1. หากท่านเกิดข้อลังเล สงสัยในสภาวะธรรมของท่านที่ติดอยู่ข้องอยู่ จงอย่าลังเลสงสัยที่จะปรึกษาผู้รู้ อย่าได้เก็บเอาไว้ ถ้าเราไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้

    2. แต่ถ้าไม่มีผู้รู้คอยช่วยเหลือ ท่านสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ดังคำสอนของพระพุทธองค์ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

    3. หากเราสู้เขาไม่ได้ก็เป็นพวกเดียวกับเขาซะเลย อย่ากลัว อย่าวิตกกังวล เพราะนั่นคือพลังลบและความอ่อนแอของจิต เช่น ถ้าเครียดก็ให้รู้ว่าเครียด อย่าไปหักดิบ หรือเปลี่ยนอารมณ์เป็นอย่างอื่นทันทีเพื่อหนีมัน เข้าใจมันสักพักว่ามันเครียดจนมันเริ่มคลายหรือเบาลง แล้วค่อยๆ
    เปลี่ยนอารมณ์ เป็นเรามีความสุข เข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดก็มีดับ เกิดมาตั้งอยู่ ดับไป เดี๋ยวมันก็หายเอง ทุกข์ก็รู้ สุขก็รู้ แล้วก็วางเฉยไป

    4. ถ้าไม่คลายก็ให้สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ แต่อย่าบังคับลมหายใจ ปล่อยเป็นธรรมชาติ แค่ให้รู้ว่าลมผ่านเข้าออก จากนั้นให้ผ่อนคลายด้วยการยิ้มหรือหัวเราะอย่างมีความสุขเข้าไว้ แล้วกลับไปที่หัวใจ ใส่ความรัก ความสุขเข้าไปที่ใจก่อน จนจิตเริ่มมีกำลัง เดี๋ยวจิตเขาก็จะทำหน้าที่ของเขาเอง พอเริ่มมีความสุขแล้ว จงให้ความรัก ความเมตตาและความศรัทธาตนเอง จงเชื่อว่าพลังที่ยิ่งใหญ่นั้นเกิดขึ้นที่หัวใจของเรา เราทำได้ แล้วจงน้อมหรือเชื่อมต่อจิตเราเข้ากับระบบ ฺีBuddhist Center / อรหันตฺ์ เซ็นเตอร์ (คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) หรือองค์คุณเบื้องสูงหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราและท่านนับถือนั่นเอง

    5. จากนั้นขอให้ท่านเลิกใช้สมองชั่วขณะ แล้วทำใจให้ว่าง จนรู้สิกว่าเราเข้าถึงสภาวะว่าง จิตมีแต่ความสงบ เบาสบาย เกิดความสว่างเป็นหนึ่งเดียวกับจิตจักรวาล ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของจิตและุทุกสรรพสิ่ง มีพลังมากมายมหาศาล ให้เราดึงพลังจิตจักรวาลเข้ามาหาตัวเรา แล้วนึกถึงพลังงานแห่งจักรวาลนั้น แผ่เป็นพลังเมตตาความรักให้ไกลออกไปอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ถึงแก่ทุกสรรพสัตว์ทังหลาย ออกจากจักร 4 ขยายให้กว้างไกลออกไป ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ โดยเฉพาะกับเจ้ากรรมนายเวรและศัตรูของท่าน

    6. ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนจิตเกิดความชำนาญ ให้ใช้ใจแทนการใช้สมอง แล้วการใช้สมองทำงานจะค่อยๆหายไปเมื่อจิตมีกำลัง แล้วเราจะสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง สุดท้ายสิ่งที่ทุกคนปรารถนาก็จะเป็นจริงคือการหลุดพ้น ไม่ตกในภพภูมิอีกต่ไป คือเป้าหมายในที่สุด คือการที่หม่าม้าเรียกว่าคือการกลับสู่ธาตุ ไม่มีมีตัวตนอีกต่อไป แม้ว่าทุกคนจะปรารถนาดินแดนแห่งนั้น แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าที่แห่งนั้นมีอยู่จริง ณ แห่งหนใด เพราะเรายังไม่เคยไป มีเพียงแค่การบอกเล่าของครูบาอาจารย์

    ึ7. หนทางของการหลุดพ้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตตา คือ ความว่าง ความไม่มีตัวตน นั้น คือ สิ่งที่พวกเรารู้ เราทำได้ด้วยตนเอง เป็น ปัจจัตตัง คือ การวางทุกอย่าง เพราะสภาวะนั้นก็คือสภาวะ สูญ หรือที่เราเชื่อกันว่าพระนิพพานนั่นเอง ดินแดนแห่งนี้มีเพียง พระพุทธองค์เท่านั้นที่จะรู้จริงและบอกได้เป็นเช่นไร เฉกเช่นคำสอนที่พระองค์ท่านได้ตรัสไว้ คือ แม้พระพุทธองค์สอนสิ่งใด ก็อย่าได้เชื่อเพียงแค่ได้ยินหรือได้ฟัง แต่ต้องใช้ สติและปัญญาทำให้รู้แจ้งเห็นจริง ด้วยการปฏิบัติเอง รู้เอง เห็นเอง

    8. ท้ายสุดนี้ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะปรารถนาไปสู่ที่หมายปลายทาง ณ ที่แห่งใดก็ตาม ขอให้ท่านประสบความสำำเร็จ บัดนี้ผมรู้แล้วว่ากายผมต้องการอะไร จิตผมลึกๆแล้วอยากไปไหน อารมณ์แบบไหน สัญญาเก่าถูกเปิดออกมาแล้ว หม่าม้าได้สัมผัสแล้ว บอกกับผมว่า เอกท้ายสุดแล้ว อารมณ์บริสุทธฺ์แบบนี้ความเรียกว่า " " ไม่สามารถกล่าวอ้างได้ ขอละในที่แห่งนี้ที่มีผมกับหม่าม้าที่รู้ ผมจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกไม่กี่สิปปี เพื่อรักษาหนทางของการไปสู่ที่หมายนั้น เพื่อจะได้กลับบ้านที่เป็นแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของเราต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มีนาคม 2014
  15. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    คนเราเกิดมามีทิศทางเดินเป็นของตัวเอง มีอิสระในการใช้ชีวิตที่ไม่เบียดเบียนตัวเองหรือผู้อื่น
    เปิดรับประสบการณ์ความรู้ที่มีแต่ให้ นำไปใช้พัฒนาจิตวิญญาณของเราให้ดีขึ้น ต่อตนเองและผู้อื่น
    แบ่งปันความรู้ เรียนรู้การเป็นผู้ให้ที่ดีการให้โดยไม่มีเงื่อนไข และเรียนรู้การเป็นผู้รับที่ดี
    สิ่งเหล่านี้หาได้จากการมาหา ม๋าม้า ลองเปิดใจเข้ามาเรียนรู้แล้วท่านจะได้สิ่งดีๆกลับไปอย่างแน่นอน จากคนผู้หนึ่งที่รับสิ่งดีๆมาแล้ว ทั้งความรู้และประสบการณ์ดีๆที่ได้ไปหา ม๋าม้า
    จึงอยากให้คนที่ต้องการเรียนรู้ ลองเปิดโอกาสให้กับจิตวิญญาณของตัวเอง
    เหมื่อนกับเพื่อนอีกหลายคนที่ได้รับสิ่งดีกลับไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มีนาคม 2014
  16. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    ขอแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่า ในวันที่ 11-15 เมษายน MAMAA ไม่อยู่ไปท่องเที่ยวและปลดปล่อยจิตวิญญาณให้เป็นอิสระ ใช้ชีวิตให้มีความสุขที่ประเทศเวียดนามไปกับเพื่อนๆที่ศรัทธาใน MAMAA ท่องเที่ยวไปพร้อมทำงานด้านจิตวิญญาณไปรับพลังธรรมชาติที่ดีๆจากแหล่งพลังงานสถานที่ไปมีหลายแห่งเช่น
    ฮานอย-ฮาลองเบย์ ล่องเรืออ่าวฮาลองเบย์ มหัศจรรย์ถ้ำด่งเทียนคุง สุสานประธานโฮจิมินห์ ทำเนียบประธานาธิบดี บ้านพักโฮจิมินห์ วัดเจดีย์เสาเดียว วิหารวรรณกรรม ทะเลสาบคืนดาบ ศาลเจ้าหง็อกเซิน ช้อบปิ้งถนนเก่า 36 สาย ชมการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ
    ถ้ามีเพื่อนๆท่านใดอยากไปด้วยต้องรีบแจ้งให้ทราบด้วย ทางกลุ่มไม่ปิดกั้นหากมีผู้สนใจอยากไปด้วยก็เชิญเลยนะครับ
    แต่โปรแกรมอาจเปลี่ยนแปลงได้ เพื่อสมดุลทางจิตวิญญาณ ติดต่อตามเบอร์โทรบ้าน MAMAA
    ขอให้ทุกท่านที่ได้ไปใช้ชีวิตให้มีความสุขตลอดเวลาในการได้ไปท่องเที่ยวในครั้งนี้นะครับ
     
  17. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    ขอขอบคุณ หิ่งห้อยน้อย กับดอกราตรี ผู้แปล ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มาช่วยงาน หม่าม้า ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์จากท่านเลยขอนำแบ่งปัน
    กฎ7ข้อแห่งจักรวาล ( The seven universal laws )
    จักรวาลมีกฎหลักอยู่ 7 ข้อ สามข้อแรกเป็นกฎที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อีกสี่ข้อหลังเป็นกฎที่สามารถปรับหรือนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงประยุกต์ได้ หากเข้าใจกฎทั้ง 7 ข้อเหล่านี่อย่างถ่องแท้แล้ว มนุษย์จะสามารถพบกับความมหัศจรรย์แห่งจักรวาลได้อย่างเกินจินตนาการเลยทีเดียว
    1 กฎแห่งความเป็นจิต ( The law of Mentalism ) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจักรวาลคือจิต ทุกสรรพสิ่งที่เราได้รับรู้ มองเห็น ในโลกที่เราอยู่อาศัย สัมผัสได้ แตะต้องได้ แท้จริงมีต้นกำเนิดมาจากอาณาจักรแห่งจิตอันมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อของเรา โดยแท้จริงแล้ว จักรวาลมีเพียงจิตเดียวคือจิตแห่งจักรวาล หรือ The Universal Mind สรรพสิ่งทั้งปวงถือกำเนิดจากที่นี่ จิตของเราก็คือส่วนหนึ่งของจิตจักรวาล พลังงานและสะสารทุกอย่างถูกสร้างขึ้นด้วยจิตจักรวาล ทุกสิ่งจึงเป็นสิ่งเดียวกันเพียงแต่ต่างกันในแง่ของระดับ แต่ละชีวิตที่ดำเนินไปเป็นไปตามการกำหนดของเจ้าของเองอีกที
    2 กฎแห่งการสนองตอบกันและกัน ( The law of correspondent ) หมายความว่าในจักรวาลมีความกลมกลืน สอดคล้องต้องกัน กลมเกลียวกันระหว่างความเป็นกายภาพและอาณาจักรแห่งจิต ทุกสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน ไร้การแบ่งแยกเนื่องจากทุกสรรพสิ่งกำเนิดจากแหล่งพลังงานเดียวกัน จากอีเลคตรอนที่เล็กที่สุดไปจนถึงดวงดาวทั้งดวง ไม่มีอะไรแตกต่าง ดังคำสลักที่มหาวิหารแห่งเทพอพอลโลที่ว่า " Know thyself and thy shalt know all the mysteries of the God and the universe " ( หากเจ้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตนเอง เจ้าก็จะรู้ทุกสรรพสิ่งอันลึกลับของพระเจ้าและของจักรวาล )
    3 กฎแห่งการสั่นสะเทือน ( The law of Vibration ) กฎข้อที่สามกล่าวว่า ไม่มีอะไรในจักรวาลที่หยุดนิ่ง ทุกอย่างเคลื่อนไหว ทุกอย่างสั่นสะเทือน จักรวาลทั้งจักรวาลจึงเป็นความสั่นสะเทือน ทุกอย่างเป็นพลังงานอันบริสุทธิ์ที่กำลังสั่นสะเทือนด้วยความสั่นสะเทือนที่แตกต่างกัน ดังนั้นแม้แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมต่างๆเช่นความคิดและอารมณ์ต่างๆของเราก็เป็นความสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน ความสั่นสะเทือนที่เหมือนกันจะดึงดูดกันเรียกว่า Universal law of attraction หรือกฎแห่งการดึงดูด การสั่นสะเทือนที่สูงสุดคือการสั่นสะเทือนของพลังงานแห่งความเมตตาหรือที่เรียกกันว่า ความรักที่ไร้เงื่อนไข ( Unconditional Love ) ส่วนพลังงานที่มีความสั่นสะเทือนต่ำที่สุดก็คือพลังแห่งความเกลียดชัง ความเคียดแค้นและอารมณ์ฝ่ายต่ำต่างๆ ดังนั้นมนุษย์จึงสามารถปรับความสั่นสะเทือนของตนเองได้อย่างง่ายๆด้วยการเพิ่มพูนความรัก ความเมตตาให้เกิดขึ้นในหัวใจ
    4 กฎแห่งการคู่กัน ( the law of polarities ) หมายความว่าทุกสรรพสิ่งมีคู่ของมันเช่นขั้วเหนือกับขั้วใต้ ร้อนกับเย็น ทุกอย่างจึงมีสองด้านเสมอ สิ่งที่มองเห็นจึงเป็นเพียงด้านใดด้านหนึ่งของสิ่งเดียวกันเท่านั้น น้ำที่ร้อนกับเย็น แท้จริงก็เป็นน้ำเหมือนกันเพียงแต่ต่างกันที่อุณหภูมิเท่านั้น เมื่อพิจารณาไปยังสิ่งอื่น เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากความเข้าใจนี้ได้เช่นเปลี่ยนความเกลียดชังเป็นความรักด้วยการยกระดับความสั่นสะเทือนของพลังงานขึ้นมา ความรู้ดังกล่าวนี้มีการสอนกันมาแต่โบราณแล้ว เรียกกันว่า The Are of Polarization
    5 กฎแห่งการขึ้น - ลง ( The law of rhythm ) กฎข้อนี้บอกให้รู้ว่าทุกอย่างมีการไหลเข้า ออก ขึ้น ลง เหมือนกระแสน้ำ เมื่อขึ้นสูงแล้วต้องตกลงมาเช่นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ต่างๆ เมือถึงจุดสูงสุดก็จะเริ่มเสื่อมลงจนถึงแตกสลาย เราสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้นี้ได้โดยเมื่อถึงเวลาที่เราต้องเผชิญกับความถดถอย จงมองโลกในแง่ดี รักษากำลังใจและความพยายามไว้ จงตระหนักว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เราจะกระโดดขึ้นอีกครั้ง จงอดทน
    6 กฎแห่งเหตุและผล ( The law of causes and effects ) กฎข้อนี้บอกให้รู้ว่าทุกอย่างมีเหตุและทุกเหตุก่อให้เกิดผล ทุกๆอย่างทั้งความคิด คำพูดและการกระทำจะนำไปสู่ผลบางอย่างเสมอและนำสู่โลกทางกายภาพได้ในที่สุด ดังนั้นหากต้องการเป็นนายเหนือโชคชะตาของตนเอง มนุษย์ต้องเป็นนายเหนือของจิตตนเองให้ได้ เราสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้นี้ได้โดยเทคนิคที่เรียกว่า Creative visualization กล่าวคือเราต้องสร้างสิ่งที่เราต้องการขึ้นในจิตหรืออีกนัยหนึ่งคือ ในโลกแห่งจินตนาการ ฝึกจนชำนาญราวกับว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วในวันหนึ่งสิ่งนั้นจะบังเกิดขึ้นจริงๆในโลกแท้ๆของเรา ในทางจิต ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างโลกในความคิดกับโลกจริงที่เราอาศัยอยู่ โลกในความคิดจึงนำสู่โลกแห่งความจริงได้
    7 กฎแห่งการมีเพศ ( The law of gender ) ความมีเพศ ดำรงอยู่ในทุกสิ่ง ทุกสรรพสิ่งมีความเป็นเพศหญิงและชายอยู่ร่วมกันเสมอ สภาวะเช่นนี้พบเห็นได้ทั่วไปทั้งในพืช สัตว์ แร่ธาตุต่างๆ อีเลคตรอน และขั้วแม่เหล็กเป็นต้น มนุษย์ก็เช่นกัน ทุกคนต่างมีส่วนผสมของเพศหญิง ชายในตัวเอง ส่วนที่เป็นหญิงได้แก่ความรัก ความอดทน ความอ่อนโยน ความอ่อนหวาน การดูแลปกป้องเป็นต้น ส่วนที่เป็นชายได้แก่พละกำลัง ความเชื่อมั่นในตัวเอง ความมีเหตุผล ความเป็นผู้นำ จงรู้ไว้ว่าในทุกๆผู้ชาย มีผู้หญิงอยู่ และเช่นกัน ในทุกๆผู้หญิงก็มีผู้ชายอยู่เสมอ ความรู้เช่นนี้ทำให้รู้ว่ามนุษย์เราจะสามารถเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร
    ผู้ใดรู้กฎทั้งเจ็ดข้อนี้อย่างถ่องแท้ ผู้นั้นรู้จักรวาล
    ( บทความแปลจาก internet )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2014
  18. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    อภินันทนาการจากหม่าม้าและน้องกลอยครับ เรื่องการให้อภัยตัวเอง ลองอ่านดูครับ

    การทำบุญสามารถลบล้างบาปได้หรือไม่
    ถาม : ม้าทำบุญแล้ว เอาบุญส่วนนั้นมาลบล้างบาปที่เราทำไปได้มั้ยค่ะ
    ม้า : ไม่ได้ค่ะ บาปส่วนบาป บุญส่วนบุญ บุญก็คือความสุข บาปก็คือความเดือดร้อนวุ่นวายความไม่สงบสุข ความไม่สงบสุขเนี้ยะเราตอกย้ำมันเรื่อยๆ มันหนาขึ้นน้ำหนักมันก็จะมากขึ้นมันก็จะพอกพูนขึ้นมาที่จิตใจของเรา บุญเนี้ยะมันเบาสบายมันคือความสุขที่นี้การทำบุญเนี้ยะมันต้องทำในขณะที่เรามีความสุขทำในขณะที่รู้สึกเบาสบาย เรารู้สึกมีความสุขเบาสบาย มันดีที่สุดแล้ว มันก็ไม่อยากได้อะไร เมื่อวันไม่อยากได้อะไร มันก็มีการจาคะ จาคะคือการเสียสละสิ่งที่หวงแหนคือทรัพย์สินเงินทองหรือของที่เราหวงห้ามออกไป เพราะว่าเราได้ความสุขความสงบแล้วเราได้อะไรแล้วมันก็เกิดความจาคะ เพราะว่าเราได้ความสุขคือสิ่งที่ดีแล้ว เราก็อยากให้สิ่งที่ดีนั่นก็คือวัตถุเราไม่อยากแบกเราไม่อยากเอาแล้วก็เกิดการจาคะคือการให้แล้ว ขณะนั้นบุญมันเต็มอิ่มอีก ถ้าเราทำบุญในขณะที่เราอยากหรือเศร้าหมองและไม่มีความสุข เราไปทำบุญนั้นบุญมันไม่เบิกบาน ในขณะที่จิตใจเบอกบาน จาคะคือการให้แล้วมันจะเบิกบานไปเรื่อยๆ แต่ถ้าให้ในขณะเศร้าหมอง ให้ในขณะที่อยาก มันเป็นกิเลส บุญมันจะไม่ผ่องใส บุญมันจะต่างกัน มันประเดี๋ยวประด๋าว สุขจากบุญที่ได้ทำมันประเดี๋ยวประด๋าว ไม่เหมือนกับการจาคะออกมาจากจิตที่ขณะที่อิ่มเอม
    ถาม : แล้วในขณะที่เราไปทำบุญแล้วเราสามารถนำบุญตรงส่วนนั้นไปล้างบาปในอดีตชาติได้มั้ยค่ะ
    ม้า : เราคิดว่ามันได้แล้วมันก็ทำใจ ให้เราตรงนั้นได้ชั่วระยะหนึ่ง แต่สิ่งที่คุณทำบาปมันถูกพลังงานของการทำตรงนั้นเข้าไปรวมกับพลังงานของจิตแล้วซึ่งมันไม่มีสิ่งใดล้างออก นอกจากว่าเราต้องเข้าไปหามันในขณะที่จิตเรามีกำลังบุญแล้ว เราก็ใช้จิตที่มีกำลังบุญคือความสุขเข้าไปกระเทาะเอาความทุกข์ที่อยู่ข้างในลึกออกมา เรานั่งสมาธิหรือเรามีความสุขอิ่มเอมผ่องใสแล้วเราส่งกระแสจิตที่อิ่มเอมผ่องใสเข้าไปชำระล้างบาปหรืออกุศลจิต หรือพลังลบ ที่อยู่จิตใต้สำนึกของเราออกมามันจะเห็นได้ชัดเลยว่าสุขมันเป็นแบบนี้ทุกข์มันเป็นแบบนี้ การกระทำของเราที่ผ่านมามันชัดเจนมากว่าโอ้โหช่างอึดอัดเหนียวแน่นเอาออกยากลำบากมันจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าบาป อกุศลเนี้ยะมันเหนียวแน่นหนักหน่วงเจ็บปวดในขณะที่เราได้สัมผัสด้วยจิตของเราเองแล้วในขณะที่เราสัมผัสนั้นเราต้องมีบุญเข้าไปสัมผัสด้วยไม่ใช่เอาบาปไปต่อบาป หรือเอาอกุศลจิต ไปต่ออกุศลจิต หรือเอาพลังลบไปต่อพลังลบ เราต้องเอาพลังบุญหรือเอาพลังกุศลพลังจิตที่มีความสุขเข้าไปเพื่อจะเอาพลังลบข้างในออกมา มันเป็นตัวกำลังที่บริสุทธิ์ไปเอาสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกมันก็คือตัวเมตตานั่นเอง ถ้าคุณเห็นคนไม่มีเมตตาคุณไปเมตตาเค้า มันก็ไม่ต่างอะไรกับตรงนี้และ
    ถาม : แล้วคนที่ไม่มีกำลังเข้าไปจิตใต้สำนึกแล้วถอนอกุศลจิต หรือพลังลบออก ม้ามีวิธีแนะนำอย่างไรบ้างค่ะ
    ม้า : กำลังจิตอ่อนไม่สามารถตัดอนุสสัยกรรม หรือพลังงานลบ หรือ อกุศลจิตได้ กำลังจิตที่บริสุทธิ์มากๆก็สามารถตัดอนุสสัยกรรม การฝึกจิต พลังงานลบ หรืออกุศลจิตได้ การฝึกจิตก็คือการเข้าไปสู่ภายในของเราไม่ให้ส่งจิตออกไปเดินเพื่อเสียกำลังของจิต ถ้าจิตเดินทางออกไปข้างนอกมันจะเสียพลังงานของจิตแล้วเราจะเอาจิตที่ไหนไปตัดกำลังของจิตที่เป็นอนุสสัยกรรม การตัดกำลังของของจิตที่เป็นอนุสสัยกรรมต้องใช้จิตที่บริสุทธิ์มากๆคือเข้าไปด้วยรักและเมตตาเพื่อเอาข้อมูลที่เป็นลบหรือกำลังของจิตที่เป็นด้านลบออก
    เราจะต้องให้เค้าทำจิตของเค้าก่อน เค้าจะต้องทำจิตของเค้าให้มีความสุข อย่างมาหาเรา เราก็จะบอกว่าให้รัก ให้รักเข้าไปข้างใน เข้าไปข้างใน แล้วข้างในของเราเนี้ยะแต่ละคนที่มาที่นี่มันมีแต่ความบอบช้ำทางด้านจิตใจที่เราสัมผัสคนจะไม่ค่อยมีความสุขอย่างแท้จริง ก็คือคิดว่าดูหนังฟังเลยหรือออกไปเที่ยวหาอะไรข้างนอกแล้วจะมีความสุข แต่นั่นคุณกลับเอามากลบ กลบทุกข์ไว้ข้างในเรื่อยๆ ขนหาเงื่อนหาปมไม่ได้ บุคคลที่กำลังจิตสูงสามารถดึงจิตใต้สำนึกออก
    ถาม : อย่างนี้คนที่กำลังจิตน้อยกำลังเหมือนกับที่ม้าพูดม้าเค้าจะต้องเลิฟไปเรื่อยๆใช่มั้ยค่ะ
    ม้า : เลิฟเข้าไปเรื่อยๆ สะสมพลังจิตของตัวเองไปเรื่อยๆ ด้วยหัวใจรักและเมตตามีความสุขและอิ่มเอมผ่องใสคือคล้ายๆกับว่า เอาน้ำดีไปล้างน้ำเสีย การเอาน้ำดีไปล้างน้ำเสียบางทีมันไม่ได้เห็นผลอย่างชัดเจน ก็คือหมายความว่าเราเนี้ยะยังไม่มีกำลังดีมากพอ ที่จะเข้าไปเอาพลังลบออก เพราะพลังลบมันเป็นฝ่ายหนัก มันหนักมันหน่วง มันเหนียวมันหนืด คนเอาเนี้ยะเวลาทุกเนี้ยะ อู้ยคือคนทุกข์กับเก็บอยู่นั่นนะมันหมัก มันเก็บ มันเหนียว มันแน่นอยู่ข้างในนั้นนะ แล้วเวลาเอามันออกมันถึงเหนียวมันถึงหนืด แล้วเวลามันเอาออกคนเราถึงไม่ทนเวลาเอาออกมันเป็นพลังลบเนี้ยะ มันจะเจ็บปวดทุกข์ทรมาน การเจ็บปวดทุกข์ทรมานแต่ละครั้งเนี้ยะ มันก็รู้สึกอยู่แล้วแต่เอาไปหมักหมม อยู่ข้างในนะ แล้วเวลาเอาออกเนี้ยะมันย่อมเหมือนของที่มันใส่ลงไปวันละนิด วันละนิดจนมันกลายเป็นน้ำหนัก ตอนใส่มันไม่รู้หรอกน้ำหนักอะตอนเอาออกมันถึงจะรู้ว่าน้ำหนักมันเป็นยังงัยเหมือนกับว่า โอ่งเนี้ยะปากมันเล็กๆเราใส่ทีละนิดมันก็เต็มโอ่งใช่มั้ยแต่พอจะเอาออกเนี้ยะเห็นมั้ยเหมือนว่ามันออกปากโอ่งไม่ได้นั่นและ มันค่อยๆคยั้นคยอออก ดึงลากโอ้โหกำลังของจิตน้อยไม่ไหวนะ บางคนทุรนทุรายแบบบีบคั้นตัวเอง เจ็บปวดเนี้ยะ เราว่ามันโอเลย ถ้าไปทำอย่างอื่น ไปทำบุญมันก็ไม่ใช่อะเพราะว่าเราไม่ได้เอาข้อมูลที่เป็นพลังงานลบออกอะ
    ถาม : ถ้าอย่างสมมุติ คนคิดว่าเออ เช่น ฉันไปฆ่าปลาแล้วฉันมีบาปตรงฆ่าปลาแล้วเสร็จปุ๊บฉันไปทำบุญปล่อยปลาอย่างนี้ มันจะลบล้างกันได้มั้ยค่ะ
    ม้า : มันคนละส่วนกันนะค่ะ คุณฆ่าเค้าแล้ว แล้วคุณเก็บข้อมูลแล้ว เมมโมรี่ข้อมูลอยู่ตรงนั้นอยู่แล้วแล้วคุณจะลบข้อมูลด้วยการไปปล่อยปลาโอ้โห้มันคนละส่วนกันนะกำลังของการปล่อยปลามันไม่สามารถเข้าไปกระเทาะจิตของคุณที่หมักหมมนั้นได้หรอก
    ถาม : แล้วอย่างนี้ปลาที่โดนฆ่าไป ผลของกรรมที่ออกมาแล้วคิดว่าเป็นวิญญาณปลามาทำหรือ
    ปล่าวค่ะ
    ม้า : เค้าเก็บข้อมูลค่ะ ปลามันไม่เกี่ยวปลามันก็ไปแล้ว มันไม่เกี่ยวกัน แต่ข้อมูลที่คุณบันทึกเมมโมรี่นะค่ะคุณกินปลานะบางครั้งที่เค้าเห็นอะเค้าฆ่าปลาปุ๊บเค้ากิน หรือคนขายก็ตามแต่แล้วทำไมเราเห็นแต่ก้างปลา ภาพที่เราเป็นเป็นก้างปลาเพราะอะไร เพระว่าเค้ากินปลาแต่ละคำ เค้าจะฉีกออกมาจากก้างปลาใช่มั้ย บางครั้งเค้าทำปลาบางอย่างเค้าแล่ปลาอย่างนี้ เอาแต่เนื้อขึ้นมาอย่างนี้ จิตมันก็จะไปเห็นก้างปลา แล้วทำไมเวลาเราเข้าไปดูจิตของเค้าเห็นก้างปลาอันนั้นและสิ่งที่เค้าเมมโมรี่ไว้แล้วทำไว้ เราไม่ได้เจ็บปวดเหมือนที่ปลาโดนแล่นะ แต่เราเจ็บปวดตรงที่พลังงานลบมันหนาแน่น ดูซิทำไมมันเจ็บปวดเหมือนปลาดิ้นเลยอันนั้นคุณได้บันทึกเมมโมรี่อารมณ์ของก่อนสิ้นใจตายของปลาเอาไว้ คุณเห็นปลาดิ้นตาย มันเข้าไปอยู่ในจิตของคุณหมดเลยค่ะ เวลาคุณจะเอาออกเนี้ยะอาการที่คุณเมมโมรี่ตอนที่ปลาใกล้ตายมันอยู่ในจิตของคุณคุณก็มีอาการออกมาคล้ายๆกัน ไม่ใช่เป็นตัวปลาไม่ใช่เป็นภาพของปลาแต่มันเป็นจิตที่เปื้อน เปื้อนด้วยอนุสสัยกรรม หรือเรียกว่าเปื้อนด้วยข้อมูล ของการเมมโมรี่หรือพูดตรงๆก็คือพลังงานของเรากระเพื่อมรับพลังงานลบเราจะใช้รูปแบบไหนคำพูดไหนมันก็คือ ข้อมูลมันก็มาจากอนุสสัยกรรมนั่นและ เรายิ่งฆ่าสัตว์ใหญ่ความดิ้นรนต่อสู้ของสัตว์ใหญ่ก่อนตายนั่นและค่ะ ทำไมคนแสดงอาการแบบช้าง เสือ งู ก่อนตาย อย่างวันนั้นเค้าบอกว่าฆ่ามันแบบมันสะใจลากใส้ ออกมากิน มาเผา มันทรมานแค่ไหน มันทรมานแบบ ไม่รู้จะพูดอย่างงัย ว่าก่อนตายมันทรามานแค่ไหนว่ามันถูกเผา ถูกคว้าน ถูกแล่ท้อง ถูกดึงใส้อย่างเนี้ยะ สัตว์ตัวนั้นอารมณ์ตัวนั้นนะมันถูกเมมโมรี่อยู่ในกระแสจิตของเราหมดแล้วละ
    ถาม : ไม่ใช่วิญญาณเค้ามาเข้าก่อนตาย
    ม้า : ไม่เกี่ยว เค้าก็ไม่ผุดไปเกิด ไปไหนก็ไม่รู้แล้ว หมายความว่า สิ่งพวกนั้นมันเข้าไปอยู่ในจิตของเราอะ ประมาณว่า เออมีพระรูปหนึ่งรับจ้างฆ่าหมูเป็นอาจิน พอไปเป็นพระแล้วอาการมันออก พอเข้าสมาธิออกเสียงอู๊ดๆๆๆๆ เหมือนหมู นั่นและบางคนมีคนหนึ่งเป็นแม่ชีตอนเป็นคนปกติก็ต้มเหล้าขายพอเข้าสมาธิก็มึนหมด พอเข้าสมาธิก็หมึนหมด ทำไมตัวเองทำอะไรผลก็ได้รับนะ แม้แต่ต้มเหล้าขายนะ พอไปบวชเป็นชีเข้าสมาธิไม่ได้เข้าก็มึน ถามว่ามันเกี่ยวอะไรอันนี้โอ้โหละเอียดมากเลยนะเอะมันไม่ได้เกี่ยวอะไรนิการต้มเหล้าขายแล้วทำไมเราเข้าสมาธิไม่ได้ทำไมมันต้องมึนเรารู้สึกว่าขายของมึนเมา เราก็ได้รับของมึนเมาเหมือนกัน แล้วถามว่าคนขายเหล้าสร้างโรงเหล้าขายเนี้ยะ คนเข้าใจมั้ยวันนี้คุณขายคุณไม่เป็นไรหรอก ดูต่อไปว่าอนาคต มะเร็ง โรคสารพัดรุมเร้าเค้า ตอนแก่ ลูกหลานสมองพิกลพิการ เนี้ยะผลจากขายของมึนเมา
    ถาม : แล้วอย่างนี้คนที่ทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทที่เกี่ยวกับของมึนเมาเป็นเหมือนกันมั้ยค่ะ
    ม้า : สมมุติว่าคนที่ทำบาปแล้ว ไม่สำนึกเกรงกลัวแล้วก็ทำเป็นอาจินเนี้ยะ ก็หนักเหมือนกัน เพราะว่าทุกอย่างข้อมูลมันเข้าไปอยู่ในจิต จิตเป็นตัวรับข้อมูลอยู่แล้วไม่มีอะไรรอดพ้นไปจากจิตหรอก มันต้องดูการวางจิตของเราด้วย มันสะดุ้งเกรงกลัวมั้ย มันหดหู่มั้ย มันร่าเริงแจ่มใสมั้ย แล้วเราทำแล้ว เราประกอบคุณงามความดี เหตุของเราคือต้องการมึนเมาหรือเปล่า อยู่ที่การวางอารมณ์วางจิต ถ้าเราไม่ได้คิดตรงนั้นเราไม่ต้องการมึนเมาคน อารมณ์นั้นมันก็ไม่ได้อยู่กับเรา
    ถาม : แล้วอย่างนี้เจ้าของโรงงานต้องการคนมึนเมาคนหรือปล่าว ทำตรงนี้แล้วก็เอาเงินไปซื้อผ้าห่มไปบริจาค อย่างนี้
    ม้า : มันก็หมายความว่าบุญก็ส่วนบุญบาปก็ส่วนบาป การขายของมึนเมานี่มันจะมีผลต่อระบบสมองคนที่กินเหล้านะสมองของเค้านะเกิดชาติต่อไปสมองเค้าจะไม่โอเค ไม่สมประกอบทางด้านสมอง
    ถาม : เอ้าแล้วอย่างนี้ที่ม้าเคยพูดไว้ว่าถ้าพลังงานใหม่อย่างนี้อะค่ะ แล้วถ้าเค้าละไม่เมมโมรี่ข้อมูลไว้แล้วอย่างนื้ถือว่าเป็นบาปมั้ย
    ม้า : มันคือนั่นและหมายความว่า ทำไมพลังงานใหม่ทำให้คนเนี้ยะจะคิด คิดไม่ได้นั่นและเค้าไม่ให้เสพข้อมูลบางที่เราอยู่ดีๆมันเอ๋อไปเลยมันคิดไม่ออกใช่มั้ย นั่นและตัวสมองนี่มันปรุงแต่งให้จิตมันเสบข้อมูลงัย
    ถาม : แต่ข้อมูลเก่ามันก็ยังอยู่ใช่มั้ยค่ะม้าว่าไปทำอะไรมา
    ม้า : ใช่ยังอยู่ว่าไปทำอะไรมา แต่พลังงานใหม่เนี้ยะเค้าจะตัดความคิดของเราตลอดเวลาไม่ให้เราคิดปรุงแต่งแล้วข้อมูลของเราก็จะไม่ค่อยมีงัย นี่และคือระบบพลังงานใหม่จะตัดสมองเราไม่ให้เราใช้สมอง ทำไมสมองมันถึงเป็นปัญหาที่สุดหาข้อมูลให้กับจิต จิตมันไม่รู้อะไรเลยมันก็เสพอย่างเดียว จิตมีหน้าที่เสพนะคุณจะให้อะไรจิต จิตเสพอย่างเดียว ทีนี้พลังงานใหม่เนี้ยะ เฮ้ยทำไมจะคิด คิดไม่ออก มันมีหลายคนแล้วก็เข้ามานั่ง เหมือนคนเมื่อวานมาแทบจะร้องให้แต่ร้องไม่ออกผมตั้งกำแพงกั้นตัวเองตลอดเวลาเลยครับ ยิ่งจน ความรู้สึกมันบอกว่าเออมันไม่เหมือนตอนผมมาเลยนะครับ แล้วเค้าก็ไม่อยากกลับด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มีนาคม 2014
  19. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    จากหนังสือ The Conquest of Happiness
    แต่งโดย Bertrand Russell

    สาเหตุแห่งความทุกข์ 7 ประการ
    ทุกข์ที่เกิดจากการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
    ทุกข์ที่เกิดจากความเบื่อหน่ายในชีวิต ส่วนใหญ่เกิดในกลุ่มผู้มีฐานะดี สาเหตุที่เบื่อหน่ายก็เนื่องจาก ไม่มีความบันเทิงใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตมากเท่าที่ต้องการ ทำให้ชีวิตเหงาหงอย และขาดพลังชีวิต
    ทุกข์ที่เกิดจากความเหนื่อยอ่อน คือเหนื่อยใจ มิใช่การเหนื่อยกาย ที่เหนื่อยใจ เนื่องจาก ไม่รู้จักการ แบ่งแยกว่าเรื่องใด ควรคิดในเวลาใด เช่นทำงานอยู่อย่างหนึ่ง กลับคิดถึงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ทำอยู่ เป็นต้น
    ทุกข์ที่เกิดจากการอิจฉาริษยา มักเกิดกับเด็กที่เติบโตมาโดยไม่ได้รับความรักความอบอุ่นเท่าที่ควร
    ทุกข์ที่เกิดจากความรู้สึกว่า ตนเองทำผิดตลอดเวลา คือ คิดถึงแต่อดีตที่ผิดพลาด
    ทุกข์ที่เกิดจากวิตกจริต คือจิตที่คิดฟุ้งซ่าน คิดเกิน คิดขาด และมองโลกไม่ตรงตามความเป็นจริง
    ทุกข์ที่เกิดจากความกลัว กลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเราไม่รู้จักตัวเองดีพอ

    4 วิธีการเพื่อชีวิตที่มีความสุข

    มีความกระตือรือร้น (Zest) คนที่มีบุคลิกกระฉับกระเฉง กระตือรือร้น แสดงว่าคนๆ นั้นค่อนข้างมีความสุข เนื่องจาก ความกระตือรือร้นนั้น สะท้อนให้เห็นถึง สภาวะจิต ว่าในจิตนั้นมีเรื่องที่เขา อยากรู้อยากเห็น และอยากศึกษาอีกมากมาย คนเหล่านี้ เมื่อเจอปัญหา มักจะไม่ย่อท้อ เพราะจากการที่เขาสนใจเรื่องต่างๆ หลายด้าน ทำให้มีทักษะในการแก้ปัญหามากกว่าคนอื่นๆ และมองปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา จิตของคนที่มีเรื่องที่เขาสนใจนั้นไม่ต่างไปจากจิตของแมวที่จ้องจะจับหนู คือเป็นจิตที่มีพลังชีวิต มีอารมณ์ มีความรู้สึก ทั้งนี้คนที่จะมีความกระตือรือร้นได้จะต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะกายกับจิตนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นต้องรักษาร่างกายให้แข็งแรง จึงจะมีพลังชีวิตได้ ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า Energy ของความกระตือรือร้นนั้นมีมากกว่า Energy ที่คนๆ หนึ่งทุ่มเทให้กับงานงานหนึ่งด้วยซ้ำเพราะความกระตือรือร้นเป็นพลังขับเคลื่อนที่คิดว่าตนเองมีค่า ทั้งนี้ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ความกระตือรือร้น ที่ก่อให้เกิดพลังชีวิตนั้นต้องไม่ได้เกิดขึ้นจากการหลบหนีปัญหาอย่างหนึ่ง แล้วแกล้งทำเป็น Active ในอีกเรื่องหนึ่งเพราะ การเป็นเช่นนี้จะเรียกว่า จิตหลอกจิต ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดพลังชีวิตอย่างแท้จริง
    รู้จักคำว่า ความรัก (Affection) ความรักในที่นี้คือ การให้ความรักแบบไม่หวังผลตอบแทน น้ำใจไมตรี ที่ท่านให้กับผู้อื่น โดยหวังผลตอบแทนนั้น เป็นความคิดที่ไม่มีพลังในตัวเอง แต่ถ้าท่านให้ความรักกับผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแล้วไซร้ ผู้ที่ได้รับก็จะเกิดความรู้สึกซาบซึ้งในตัวท่าน ซึ่งจะทำให้ท่านเกิดพลังชีวิต ผู้เขียนได้ให้แง่คิดที่น่าสนใจว่าการจะรักและช่วยคนใดนั้น ควรช่วยคนที่มีสภาวะปกติ ไม่ใช่ช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน เพราะการช่วยคนที่กำลังเดือดร้อนนั้นจะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเป็น Hero ทำให้ความเป็นตัวกูของกูมีมากขึ้น ดังนั้นการจะแสดงความรักกับใคร ให้แสดงอย่างจริงจัง และเพียรพยายาม ต้องจริงใจ และจริงจัง กับอีกฝั่งหนึ่งโดยไม่หวังว่าเขาจะให้ความรักตอบกับเรา
    ทำงาน (Work) การทำงานจะนำมาซึ่ง ความสุข คนที่ไม่มีงานทำจะเหงาหงอย โดยธรรมชาติของมนุษย์อย่างน้อยที่สุด จะต้องมีสิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้เกิดพลังชีวิต บรรดาลูกคนรวยที่วันๆ ไม่ต้องทำอะไรนั้น พวกเขาจะไม่มีความทะเยอทะยานมากนัก เขาจะไม่มีจุดมุ่งหมาย แต่จะมีชีวิตอยู่เพื่อแสวงหาความสุข ในขณะเดียวกันก็มักจะมีคำว่า เบื่อออกมาจากปากเขาตลอดเวลา ผู้เขียนให้แง่คิดว่าคนที่มีงานทำแม้จะไม่รวยมากนัก แต่ก็มีพลังชีวิต เพราะสำหรับคนทำงานแล้ว วันหยุดจะเป็นวันที่มีค่ามาก สำหรับเขา คนที่มีงานทำจึงจะรู้ค่าของวันหยุด คนที่ไม่มีงานทำจะทำให้เกิดความขี้เกียจ และความเบื่อหน่ายในชีวิตก็จะตามมา งานใดๆ ก็ตามที่เป็น งานสร้างสรรค์ และสามารถทำให้ความฝัน ซึ่งเป็นนามธรรมกลายเป็นรูปธรรมได้นั้น จะทำให้เราเกิด ความชื่นชมในฝีมือเราเอง และทำให้เรามีความสุขในการทำงาน พลังชีวิตก็เกิดขึ้น
    การทำงานให้มีความสุขที่สุดคือ การเป็นนายตัวเอง คือมีธุรกิจของตนเอง ให้เรารับผิดชอบเอง 100% แต่ทั้งนี้การทำงานก็ต้อง เริ่มจากการทำงานเล็กๆ ก่อน ต้องเริ่มจากการเป็นลูกจ้างก่อนเพื่อเรียนรู้ระบบ
    มีความรักให้กันภายในครอบครัว (Family) พลังขับเคลื่อนสูงสุดที่สามารถ ทะลายปัญหาต่างๆ และทำให้เราเข้มแข็ง ขึ้นได้ก็คือ พลังความรักที่พ่อแม่มีให้ลูก และพลังความรักที่ลูกมีตอบให้พ่อแม่ เนื่องจากความรักในครอบครัว เป็นความรักที่มีมาก และเข้มข้นที่สุด และความรักในครอบครัวนี่เองที่มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล แต่ทั้งนี้ความรักที่พ่อแม่ให้ลูกนั้น ลูกจะต้องรับรู้ และ ปฏิบัติดีต่อพ่อแม่ตอบ แล้วพลังชีวิตจึงจะเกิดขึ้น คนในครอบครัวต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันแล้ว ก็จะทำให้ความรุนแรงในการโต้เถียงกันภายในครอบครัวลดน้อยลง
     
  20. นายเล็ก

    นายเล็ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +23
    บทสนทนาของหม่าม๊า เรื่องการเดินทางของ จิต
    การเดินทางของจิต
    นี่เป็นร่องคนทุกคนก็จะมีร่องของแต่ละคน นี้เป็นเรื่องพื้นฐานจิตนะ เค้าเรียกว่าร่องหลบอารมณ์คือคุณอยู่ตรงนี้สนุกสนานเฮฮา พอ บางทีสภาวะธรรมมันเกิดปิ้งแว๊บ คุณเข้าไปกระเพื่อมรับสภาวะธรรมตรงนี้ปุ๊บ คุณก็เอามาผสมประสานกับร่องตรงนี้ พอคุณเข้ามาอยู่ในร่องตรงนี้ปุ๊บ มันก็เหมือนคุณไม่ปล่อยพลังงานตัวนี้ให้มันกระจายไปหมดเลย คุณได้ปิ้งแว๊บ คุณต้องปล่อยมันซ่านออกไปเลย ให้มันห่อหุ้มพลังงานของจิตเราให้มันซ่านไปหมดเลย ให้มันสร้างความแข็งแรงของจิตเรา สมมุติมันปิ้งๆๆๆๆๆ หรือว่าสภาวะธรรมตรงนี้มันสุดยอดมันซาบซ่าน ไปหมด แล้วมันจะบางเบาบางมาก ทีนี้ตัวปิ้งแว๊บให้มันได้บ่อยๆๆๆๆๆๆ ให้มันเกิดความหนาแน่น มันจะเพิ่มความหนาแน่นแล้วมันจะเข้าใจยิ่งยิ่งขึ้น แต่มันไม่เกิดบ่อย
    ถาม : แล้วที่ม้าบอกให้จำสภาวะธรรมนี้ไว้ นะ เหมือนกับว่าทำเราไปยึดตรงนี้ไว้มั้ยค่ะ
    ม้า : ไม่ยึดหรอก แต่มันก็ห่อหุ้มพลังงานของเรา มันคล้ายๆว่าตัวมันมืดอยู่แล้ว ตัวนี้มันเป็นเหมือนปิ้งสว่างว๊าบ อย่างเนี้ยะ
    ถาม : เหมือนทำให้มันชำนาญกับสภาวะเพื่อที่จะใช้เวลาในการเดินทาง
    ม้า : จิตพอมันได้สภาวะตรงนี้มันสว่างว๊าบ ว๊าบ ว๊าบ ว๊าบ ว๊าบ มันก็จะเดินทางไปเรื่อยๆ แต่ที่นี้คนเราเนี้ยะพอได้ว๊าบปุ๊บแล้วเกิดสงสายนี่อะไรวะ แล้วมันก็จะลงมาร่อง ร่องมืดอีก สมมุติว่าคุณอยู่ในสถานที่แบบนี้ ทุกคนคุยกันสนุกสนาน เทาะอารมณ์กัน พออารมณ์คุณขึ้นมาจะกระเทาะแล้ว คุณก็หลบเข้าร่องอีก ส่วนใหญ่จะหลบเข้าร่องทุกคนมีร่อง
    ถาม : อย่างสมมุติว่า ชั้นได้สภาวะธรรมตรงนี้แล้วนะ แต่ว่าคือคุณได้แค่ ณ วันนี้ คือว่าถ้าคุณไม่จำอารมณ์ตรงนี้ สภาวะมันก็จะเปลี่ยนมั้ยค่ะ
    ม้า : แต่ว่ามันไม่เปลี่ยนหรอกมันก็จะมีอยู่ในจิต ทุกสภาวะจะถูกจิต memory ไว้แล้ว แต่มันไม่ได้บ่อย ถ้าได้สภาวะตรงนี้บ่อยๆจิตมันจะมีกำลัง
    ถาม : เหมือนกับว่าคุณได้สภาวะหลุดพ้น ใช่ว่าคุณจะหลุดพัน
    ม้า : ใช่ว่าคุณจะหลุดพ้น แต่กำลังของมันไม่มากพอที่จะตัดกิเลสที่กลบร่อง มันมีร่องอยู่แล้ว ถ้าคุณละลายร่องนี้ได้คุณจะเป็นอิสระ ถ้าคุณละลายร่องนี้ไม่ได้คุณก็จะไม่อิสระ คนเราเนี่ยะ พอไปอยู่ในสังคมก็ไม่กล้าที่จะแสดงออก ก็แอบอยู่ในร่องนี้ แอบลึก แอบตื้น แอบเบา หลบอารมณ์กลัวมันจะพุ่งออกมา ถ้าคุณไม่มีร่องนี้เลยจิตวิญญาณของคุณก็จะอิสระ ตลอดเวลา เมื่ออิสระอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะเป็นอิสระ บางครั้งไม่จำเป็นที่จะต้องมีตัวปิ้งแว๊บมากเท่าไหร่ก็ได้ แต่ เค้าพร้อมที่จะเปิดออกไปอยู่แล้ว เปิดออกจากธาตุสี่ ขันธ์ห้า อยู่แล้ว เค้าพร้อมและเค้าเดินทางไปตลอดจนเป็นธรรมชาติแล้ว
    ถาม : คำว่ากำลังเดินทางนี้หมายถึงว่า คือตัวนี้มั้ยอะค่ะ คือข้างในกำลังเดินทาง
    ม้า : นี่คือพลังงาน หรือจิตวิญญาณ มันพยายามที่จะออกจากธาตุสี่ ขันธ์ห้าอยู่แล้ว แต่ทีนี้เราไม่ค่อยให้มันออกจากธาตุสี่ ขันธ์ห้า แล้วพยายามเข้ามาตัวนี้ ลำดับแรกไปอินตรงนี้ก่อนสมอง สมองก็จะดึงเข้ามาตรงนี้เสมอ ขึ้นมาร่องนี้ที่เราสร้างขึ้นมา ไอ้ตัวนี้ยิ่งลึกยิ่งหนัก แต่คุณควรจะปลดปล่อยให้มันอิสระ คุณไม่ควรจะหลบ ถ้าคุณปกป้องตัวคุณเท่าไหร่ร่องอารมณ์ตรงนี้มันก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นหนาแน่นมาก กำลังของพลังด้านลบ แล้วคุณจะไม่มีวันพบความเป็นอิสระของจิตวิญญาณคุณได้ เมื่อคุณพบความเป็นอิสระของจิตวิญญาณของคุณได้ คุณก็เข้าใจว่ามันเป็นเช่นนี้ แล้วคุณก็จะพยายามที่จะอยู่กับความเป็นเช่นนี้ของคุณไปเรื่อยๆ พอเราเข้าใจ มันเข้าไปที่ใจ ใจรับปุ๊บ มันจะบาน เข้าใจ เข้าใจปุ๊บ มันเข้าไปที่ใจ ปุ๊บมันก็จะบาน คำว่าเข้าใจเนี้ยะ ต้องเข้าใจไปถึงจิตวิญญาณจริง จริงๆคำว่าเข้าใจเนี้ยะ เราหรือทุกคนคิดว่ามันเข้าไปในหัวใจหรือว่าอย่างไร มันเข้าไปถึงพลังงานของ หรือจะเรียกพลังงาน หรือเรียกว่าใจ หรือเรียกว่าจิตวิญญาณ จะเรียกอะไรก็ตามแต่ มันก็ถือว่ามันได้เข้าไปกระเพื่อนพลังตัวภายในกระเพื่อม รับสภาวะอารมณ์ของความเป็นธรรมชาติหรืออิสระ ธรรมชาติเป็นความอิสระ อย่างไปเกาะไปเกี่ยวอารณ์นี้ไว้ให้กำลังของมันมีโอกาศเดินทางไปเรื่อยๆๆๆๆ แล้วมันจะเป็นธรรมชาติมาก มันจะไม่รู้สึกว่า ความแข็งแกร่งของความเป็นอิสระ ในจิตวิญญาณ เนี้ยะ มันจะไม่รู้สึกหาอะไรมาปิดบังมันเลย เพราะมันชิมรสชาติของความเป็นอิสระแล้วมันเบาสบายแล้ว มันไม่อยากเอาอะไรมากลบมาบัง ไม่อยากเข้าไปสู่ร่อง ร่องมันก็จะพยายามที่จะค่อยๆเจือจางแล้วก็หายไป
    ถาม : แล้วบางทีเหมือนมีความรู้สึกว่ามันหมุนขึ้นข้างบนตลอดเวลาเลยค่ะม้า
    ม้า : การขึ้นข้างบนหมายความว่าถูกต้องแล้ว มันอิสระแล้วมันรู้แล้วว่ารูใหญ่อยู่ข้างบน ชั้นจะไปหาแล้วมันก็ออกจากรู้นี้มันจะไปหาที่ใหญ่ขึ้นนี่และ พอมันไปหาสิ่งที่ใหญ่ขึ้นไม่มีขอบไม่มีเขต มันก็ปล่อยมันอิสระเลย นั่นแหละถูกต้อง ทีนี้การอิสระ ชินอยู่ข้างบนที่มันอิสระมันโปร่งโล่งแล้ว ทีนี้ตัวนั้นมันมีกำลังแล้ว ตัวที่มันอยู่ข้างในมันก็จะเป็นอิสระอีก สมมุติว่าคุณเคยเป็นอิสระแล้ว เหมือนกับเรากินอาหารที่รสชาตินี้มันใช่แล้วเนี้ยะ จิตมันก็จะจำรสชาตินี้แล้ว แล้วก็รสชาติตัวนี้มันอยู่ตรงไหนมันก็จะขึ้นไปเสพ พลังของจิตมันก็จะขึ้นไปเสพความอิสระข้างบน เมื่อเสพเรื่อยๆๆๆๆมันก็จะอยู่กับโลกนี้โดยที่ว่าไม่เสพอารมณ์โลก
    ถาม : เหมือนมีความรู้สึกว่าข้างในมันปั่นๆขึ้นตลอดเวลาค่ะม้า

    ม้า : อ๋อ นั่นแหละ ให้มันขึ้น ขึ้นไปเสพความเป็นธรรมชาติ มันเสพจนคุ้นแล้ว มันบอกมันไม่ต้องขึ้นมันก็เสพได้อยู่ทุกขณะ คือการเชื่อมต่อโดยออโต้ เป็นปกติ โดยธรรมชาติ กูจะอยู่ที่ไหนก็รู้สึกที่บนที่ล่าง ที่ต่ำที่สูง ไม่ต่างกัน ทีนี้จะรู้แล้วเพราะมันมีกำลังของความหนาแน่น ความเป็นอิสระแล้ว เพราะทุกคนมันจะติดตรงร่อง อายเค้าวะ มันก็จะไปติดตรงร่อง คืออายก็อายได้ แต่พยายามให้มันละลายอารมณ์ของความอาย ความรู้สึกของความอาย ให้มันละลายออกไปอย่าเอาไปกลบที่ร่อง เนี้ยะจิตโผล่ออกจากร่องแล้ว สบาย ๆ แล้ว เดี๋ยวแสดงออกแล้วมันไม่ดี ปุ๊บหลบเข้าไปอีก ไปลงร่องเมือนเดิม
    ถาม : อย่างบางคนบอกชั้นเห็นคนนี้แสดงออกอย่างนี้ชั้นอยากทำบ้างแต่ชั้นไม่กล้า
    ม้า : ไม่ได้เพราะว่าความคุ้นของจิตยังไม่ได้ คือมันจะมีความอยากคอยกั้นอยู่
    ถาม : อ๋อ คืออยากที่จะเป็นเหมือนคนนั้น
    ม้า : คืออยากที่จะเป็นเหมือนคนนั้น แต่ว่า ตัวเองจิตยังไม่คุ้นไม่ได้
    ถาม : งั้นการแสดงออกก็จะไม่เป็นธรรมชาติ
    ม้า : ไม่ธรรมชาติด้วยเหตุผล ธรรมชาติบังคับไม่ได้ ธรรมชาติมันเป็นของมันอย่างงั้น แต่เราจะไปทำให้มันผิดกฏธรรมชาติไม่ได้ อารมณ์ที่ดีที่สุดก็คือ ให้รู้สึกอยู่เสมอต้นเสมอปลายว่ามันไม่มีอะไร ให้รู้สึกถึงคำว่า “มันไม่มีอะไร” ตลอดเวลาเนี้ยะ มันก็จะชินอยู่กับคำว่า มันไม่มีอะไร แต่คนเราเนี้ยะมันทนไม่ได้กับการไม่มี แต่ส่วนใหญ่พอมันไม่มีมันก็แสวงหาร่ำร้อง เดือดร้อน ไม่อย่างงั้นก็ป้องกัน มันมีสารพัดหลากหลายอารมณ์ที่ทำให้เราต้องมานั่งลื้อ ลื้อข้อมูลของจิตออก
    ถาม : แล้วการเดินทางของจิตแต่ละคนเหมือนกันมั้ยค่ะม้า หรือการขึ้นข้างบนเหมือนกันมั้ยอะค่ะ
    ม้า : ส่วนใหญ่จะน้อยมากที่จะออกจากกาย ธาตุสี่ ขันธ์ห้า เพราะมันความเคยชินของคนเราจะออกจากกาย ยากมากคือด้วยเหตุผล มีอารมณ์ ยึดมั่นถือมั่น อารมณ์ที่ยึดมาตั้งแต่เกิด มันยากมากที่จะปล่อย ให้แยกออกจากกาย เราต้องเข้าให้ว่านี่มันไม่มีอะไรเลยธาตุสี่ นี่มันก็มาจากธรรมชาติ แล้วธรรมชาติแค่นี้ทิ้งไม่ได้หรือแล้วไปเอาธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่กว่า
    ถาม : ส่วนมากคนเค้าก็จะไม่ทิ้งกัน แต่ว่าคนที่แยกได้ หรือ กำลังเดินทางขึ้นไปข้างบน เหมือนกันหมดมั้ย
    ม้า : คือจิรงๆแล้วคนโบราณเค้าก็สอน กราบพระก่อนนอน เผื่อตายจะได้ไปถึงพระ กราบพ่อกราบแม่ แล้วก็คนเราสอนอีกขั้นก็คือว่า การที่มีเทวดาอยู่เหนือหัวให้ระลึกให้เหนือหัวไป ไม่ยึดกาย จริงๆการสอนมันมีแต่เดิมอยู่แล้ว แต่คนเราไม่เข้าใจ และไม่พัฒนาในการเอาคำสอนนั้นมาพัฒนาอีก
    ถาม : เหมือนกับที่ม้าบอกตลอดเวลาว่า ให้ขึ้นข้างบน ให้ขึ้นข้างบน
    ม้า : ให้ขึ้นข้างบนก็หมายความว่า เราจะได้แยกกาย แยกจิตออกจากกัน ให้จิตของเราเป็นอิสระ คือจริงๆการปฏิบัติคือการพัฒนาจิตวิญญาณ ให้หลุดพ้น ให้หลุดพ้นจากกาย ที่มีธาตุทั้งสี่ เมื่อพ้นจากธาตุทั้งสี่แล้ว ให้เราเห็นธาตุสี่ก่อนว่าแค่นี้มันขี้ประติ๋ว ร่างกายของเราเนี้ยะ สุดท้าย ลมไป ไฟดับ ทุกอย่างคืนให้ธรรมชาติหมด ใช่มั้ย เหลือแต่ดินก็ไปเผาที่ป่าช้า น้ำก็ละลายออกมาหมด น้ำเลือดน้ำหนองน้ำดี น้ำมูก น้ำสเลด น้ำสารพัด พวกนี้เป็นธาตุน้ำ ผม ขน หนัง ลำใส้ กระดูก พวกนี้เป็นดินหมด ลม พอลมมันไป ไฟมันก็ดับ พอหมดลมแล้วร่างกายไม่มีที่ให้ความอบอุ่น ร่างกายมันก็จะเน่า ไฟนี้มีสองอย่าง ไฟร้อน กับ ไฟเย็น ลมเบื้องสูง ลมเบื้องต่ำ ลมไปไฟดับ เหลือ ดินกับน้ำ ทิ้งไว้เรื่อยๆ น้ำก็จะไหลออก บางคนธาตุไฟแตก ปุ๊บ หมายความว่า คนที่ตายด้วยธาตุไฟแตกเนี้ยะ จะแรงมาก เป็นคนที่เป็นคนโทสะรุ่นแรงมาก เพราะว่าไฟมันสูงมันระเบิดแตกปุ๊บมันทะลุเอาน้ำเอาดิน เอาอะไรพังออกมาหมด
    ถาม : ม้าพูดถึงธาตุสี่ สมมุติคนที่มีธาตุไฟมาก แสดงว่าคนคนนั้นเป็นคนใจร้อนหรือปล่าวค่ะ
    ม้า : เหตุผลก็คือ ธาตุไฟเนี้ยะ เป็นคนร้อน เป็นโทสะ ออกด้านนิสัย โมโหฉุนเฉียว แล้วอคติรุนแรง หมายความว่าธาตุไฟเป็นที่ตั้ง ไฟร้อน ไฟเย็น น้ำแข็งนี่ก็เป็นไฟนะ ถ้าไฟเย็นหมายความว่าเราจะออกกำลังหน่อยให้ลมเนี้ยะไปตีไฟ นึกถึงเราก่อไฟถ่านเราใช้ลมไปพัดให้ไฟมันลุกขึ้นมา
    ถาม : อย่างไฟเย็นคือคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน ใช่มั้ยค่ะ
    ม้า : อารมณ์ร้อนเหมือนกันมันก็สุกใหม้เหมือนกัน เวลาที่เราจับน้ำแข็ง มันจะร้อนมั้ย
    ถาม : สมมุติว่าธาตุสี่ในตัวคนเราไม่สมดุลกัน แต่ว่าถ้าพูดถึงเรื่องพลังงานอย่างนี้อะค่ะ ถ้าคนที่มีธาตุไฟเยอะ ธาตุลมเยอะ ธาตุดินเยอะ ธาตุน้ำเยอะ มันเกี่ยวกับทางด้านอารมณ์มั้ยค่ะ
    ม้า : มันมีผลต่ออารมณ์ อารมณ์มีผลต่อกาย คือจิตเป็นนาม กายเป็นรูป เสียงเป็นรูป เสียงมันก็บ่งบอกถึงอารมณ์ ทีนี้ลมก็เป็นรูปมันเกิดจากนามก่อน นามรุนแรงเสียงก็จะรุนแรง สมมุติจิตนี้เป็นนามใช่มั้ย จิตมีโทสะคลื่นของพลังงานก็จะไปกระแทกรูปเสียงออกเป็น รูปแบบและโทสะ เวลาเราพูดออกไปปุ๊บ จะประกอบด้วย ความสร้างตัวตน ฉันเหรือกว่ามันฉันจะข่มเหงมัน มันเป็นขณะๆๆ จะประกอบกัน ขณะนี้มันรวดเร็วมาก มันส่งผลต่อกายหบาบมนุษย์ ธาตุไฟสูงมันก็จะเผาผลาญแรงมาก ถ้าธาตุไฟอ่อนคุณทานอาหารเข้าไปมันไม่ย่อยมันไม่เผาผลาญมันไม่อบอุ่น มันก็จะนอนไม่หลับ การนอนเนี้ยะไฟมันจะทำงานได้ดีมาก ถ้าอากกาศนั้นอยู่ในห้องที่สม่ำเสมอ เราจะหลับสบาย เพราะว่าธาตุนั้นอยู่ในห้องที่อากาศสมดุล ถ้าเรานอนแบบ อากาศหนาว อากาศร้อน อากาศเย็น มันจะรู้สึกว่านอนไม่อิ่มนอนไม่เต็ม แล้วอย่างกับเราอยู่ในกรุงเทพ กับต่างจังหวัดจะต่างกัน อยู่ต่างจังหวัดบรรยากาศ มันไม่มีภาวะของมลภาวะ มันไม่มีมลภาวะของอารมณ์มนุษย์ มันไม่มีมลภาวะของสารพิษ ไฟจากเครื่องใช้ไม้สอย แค่คุณหลับไปสองชั่วโมงเหมือนคุณหลับไปอิ่มมาก เพราะมันบริสุทธิ์งาย เพราะความบริสุทธิ์ของธาตุที่เราอยู่ในบ้านนอกเนี้ยะตื่นมาสดชื่น
    ถาม : แล้วอย่างนี้ทุกคนต้องปรับธาตุให้มันสมดุลมั้ยค่ะ
    ม้า : คือเราอยู่กรุงเทพ เรากินอาหารของคนกรุงเทพตลอดใช่มั้ย ทีนี้ปีหนึ่งเราต้องกินอาหารตามถิ่นกำเนิดของเราบ้าง เค้าเรียกว่าปรับธาตุ สมมุติว่าเราเกิดที่เชียงราย ปีหนึ่งเราต้องกินบ้าง เพราะว่าอาหารพวกนี้มันจะไปกระตุ้นธาตุเดิมของเรา หมายความว่าอาหารแต่ละถิ่นกำเนิดเคยกินอะไร ปีหนึ่งควรกินบ้าง มันจะไปกระตุ้นธาตุเดิมกลับมาฟื้นฟูแข็งแรง ให้สมดุลมากขึ้น เพราะร่างกายของคนเราชินกับธาตุนี้มาตั้งแต่เกิด แต่อยู่ๆมันขาดไป มันต้องการซ่อมแซมหมือนกัน อย่างคนที่เกิดในเมืองไทยกินข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้า แล้วไปอยู่ต่างประเทศ กินแต่ขนมปังเนี้ยะ ธาตุบางส่วนที่มันขาดหายไปมันก็ต้องการเติมเต็มเหมือนกันนะ บางทีเหตุผลมันมีอีกตัวหนึ่งก็คือสัญชาตญาณในการเสพของร่างกายมันเสพตัวนี้แล้วต่อมาสร้างตัวนี้ไปกลบ โอ้ยแบบนี้ชั้นกินไม่ได้ ชั้นไม่เคยชั้นไม่กิน จริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คุณเอาความไม่เป็นธรรมชาตไปกลบและปรุงแต่งมัน เพราะว่าธรรมชาติในร่างกายมันคุ้นชินกับสิ่งนั้นแล้ว มันก็จะหาสิ่งที่คุ้นชินมันจะเสริมซึ่งกันและกันในตัว ทั้งจิตและกาย กายก็เสริมจิต จิตก็เสริมกาย อย่างคนที่อยู่ทะเลเนี้ยะ แล้วไม่ได้อยู่ทะเล แล้วก็ไปอยู่ที่ไม่มีอาหารทะเลเลยมันก็จะขาดสมดุลเหมือนกัน มันต้องเสริม ธาตุนะสำคัญ ธาตุไม่สมดุลจิตก็เป็นทุกข์ จิตไม่สมดุลกายก็เป็นทุกข์ จิตก็หาเรื่องให้กายนี้ไปแบกภาระอยู่เรื่อย จิตเนี้ยะไปแสวงหาอะไรต่อมิอะไร จิตเนี้ยะเป็นธาตุของสมองก่อน อย่าให้จิตเป็นธาตุของสมอง อย่าเอาสมองเป็นฝ่ายนำ จิตจะมีสัมปะชัญะอยู่ตลอดเวลา เพราะมันอยู่กับกาย เพราะว่าจิตจะมีสัมปะชัญญะ เหตุผลสมองมันมีน้อยกว่ากาย สัมปชัญญะ มันอยู่ส่วนกาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...