WarRoom - อาสาสมัครเตรียมการเฝ้าระวังประสานงานเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ปี 2013

เกาหลีเหนือฝนตกหนักน้ำท่วมหนัก

เกาหลีเหนือเผชิญฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงสร้างความเสียหายให้บ้านเรือนและพื้นที่เพาะปลูก


เกาหลีเหนือเผชิญฝนตกหนักมากขึ้นเมื่อวันจันทร์ ส่งผลให้อาคารหลายหลังจมอยู่ในน้ำ กระแสไฟฟ้าถูกตัดขาด , น้ำท่วมเข้าไปในนาข้าว , ทำให้ประชาชนและปศุสัตว์ต้องขึ้นไปอยู่ตามหลังคาเพื่อความปลอดภัย
สายฝนที่กระหน่ำลงมาล่าสุด ได้เกิดขึ้นหลังฝนตกหนักเมื่อช่วงต้นเดือนและทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วเกือบ 90 คน อีกกว่า 6 หมื่นคน ไร้ที่อยู่อาศัย ส่วนน้ำท่วมได้เกิดขึ้นหลังเกิดความแห้งแล้งอย่างรุนแรง สร้างความวิตกว่าจะเกิดวิกฤติด้านอาหารอย่างรุนแรง ในขณะที่เกาหลีเหนืออยู่ในสภาพที่ขาดแคลนอาหารเลี้ยงปากท้องประชาชนมานานแล้ว
ในเมืองอันชู ของจังหวัดเฟืองกันใต้ มีบ้านเรือนและอาคาร 1 พันหลังคาเรือน ได้รับความเสียหายและพื้นที่เกษตรกรรมอีก 14,200 ไร่ จมอยู่ใต้น้ำ เจ้าหน้าที่ทางการเปิดเผยว่า แม่น้ำชงชอน ในเมืองอันชู ได้ไหลทะลักเข้าท่วมเส้นทางการคมนาคมจนถูกตัดขาด นาข้าวและพื้นที่เพาะปลูกจมอยู่ในน้ำ ซึ่งนับเป็นภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง ต้องใช้เรือแล่นผ่านน้ำที่เต็มไปด้วยโคลนที่ไหลบ่าเข้าท่วมถนนหลายสาย ประชาชนต้องหนีขึ้นไปบนหลังคาและกำแพงบ้าน ดูกระแสน้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
สหประชาชาติ รายงานว่า ชาวเกาหลีเหนือ 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด 24 ล้านคน ได้เผชิญภาวะขาดแคลนอาหารเรื้อรังมานานแล้ว และได้ขอร้องให้บรรดาผู้บริจาคให้ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอีก198 ล้านดอลล่าร์ หรือราว 5,940 ล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ของเกาหลีใต้ ระบุว่า น้ำท่วมที่เกิดตามหลังภาวะแห้งแล้งอย่างหนักในเกาหลีเหนือ มีแนวโน้มจะทำให้สถานการณ์ด้านอาหารเลวร้ายหนักขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน เกาหลีเหนือผลิตอาหารได้ไม่เพียงพอเลี้ยงประชาชนอยู่แล้ว และยังต้องพึ่งพา การสั่งซื้ออาหารที่ถูกจำกัดจากภายนอก รวมถึงการบริจาคจากภายนอกก็ขาดแคลนด้วย ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว โครงการอาหารโลกและองค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ ออกรายงานระบุว่าเกาหลีเหนือเผชิญภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษที่ 1990

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กทม.ยืนยันเชื้อ"มือเท้าปาก"ไม่กลายพันธุ์</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>31 กรกฎาคม 2555 16:27 น.</TD><TD vAlign=center align=left><SCRIPT type=text/javascript src="http://platform.twitter.com/widgets.js"></SCRIPT>

<SCRIPT type=text/javascript src="https://apis.google.com/js/plusone.js"> {lang: 'th'}</SCRIPT><?XML:NAMESPACE PREFIX = G /><GLUSONE size="medium"></GLUSONE>
<TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>


<SCRIPT>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/th_TH/all.js#xfbml=1"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs);}(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</SCRIPT><?xml:namespace prefix = fb ns = "http://ogp.me/ns/fb#" /><fb:like show_faces="false" width="450" send="true" href="=http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrshort.aspx?NewsID=9550000094131"></fb:like></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> พ.ญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์โรคมือเท้าปาก ที่โรงพยาบาลพญาไท 3 หลังพบเด็กอายุ 2 ขวบ 9 เดือนป่วยโรคมือ เท้า ปาก เชื้อไวรัส Coxackie A6 ซึ่งเป็นเชื้อกลายพันธุ์ โดยนางมาลินี กล่าวว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวจะสามารถกลับบ้านได้ในวันนี้ เนื่องจากเชื้อที่พบไม่ใช่เชื้อไวรัสเอนเทอโรไวรัส 71ไม่ใช่เชื้อร้ายแรงมาจากประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาณ กรุงเทพมหานครได้เฝ้าระวังและดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวอีกว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคมือ เท้า ปาก ในกรุงเทพมหานครมีแนวโน้มลดลง และคาดว่าเดือนสิงหาคม สถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้หากพบบุตรหลานมีไข้สูงเกิน 3 วันแล้วไข้ยังไม่ลด รวมทั้งมีอาการซึงผิดปกติ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="body" align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline"><table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"><tbody><tr><td align="center" valign="top" width="450">
</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" height="5" valign="top"></td></tr></tbody></table>รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-เหตุขัดข้องในระบบจ่ายไฟฟ้าของอินเดียส่งผลให้ประชากรมากกว่า 300 ล้านคนทั้งในกรุงนิวเดลีและพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศไม่มีไฟฟ้าใช้ ถือเป็นเหตุไฟฟ้าดับครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบมากกว่า 1 ทศวรรษของแดนภารตะ และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความล้าหลังด้านระบบสาธารณูปโภค ทั้งที่อินเดียได้ชื่อว่าเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับที่ 3 ของเอเชียรองจากจีนและญี่ปุ่น

</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>เรื่องระบบไฟฟ้าของอินเดียนี่ไม่น่าเชื่อว่า 30 ปี ผ่านไปมันก็ยังเป็นอยู่เช่นนี้ เมื่อ 30 ปีก่อนผมเคยเรียนอยู่อินเดีย พวกเราใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าสเป็นปกติ หลาย ๆ วันไฟฟ้าโผล่มาให้เฮสักชั่วโมงสองชั่วโมง พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย พัดลมก็มีไว้โก้ ๆ อากาศร้อนจะเป็นจะตายก็ไม่มีกระแสไฟหมุนพัดลมหรอกครับ ช่วงเมษายน - กรกฎาคม มันร้อนสุด ๆ ประมาณ 45 องศา เอามุ้งชุบน้ำกางแล้วหลบอยู่ข้างในมุ้ง ไม่กี่นาทีมุ้งก็แห้ง เอาผ้าห่มชุบน้ำพาดไว้ แป๊บเดียวผ้าห่มก็แห้ง ร้อนได้ใจจริง ๆ บ้านเราที่เคยร้อนที่สุดก็ยังไม่เท่าร้อนของเขาหรอกครับ แต่พอถึงฤดูหนาวก็หนาวมาก ๆ ของเราสู้ไม่ได้อีกเช่นกัน ตกลงเมืองไทยนี่สุดยอดครับ น่าอยู่ที่สุด ยิ่งช่วงมีพายุ แผ่นดินไหว ของเราก็เบาบางที่สุด

คนที่มาเกิดเมืองไทยเป็นคนมีบุญที่สุดในโลก

 

ฝนถล่มกันซู่! เร่งปล่อยน้ำเขื่อนหวั่นอุทกภัย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 สิงหาคม 2555 15:40 น.

หลังเกิดพายุฝนโหมกระหน่ำลงมาอย่างหนัก และต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดอุทกภัยหลายพื้นที่ในจีน ล่าสุดที่มณฑลกันซู่ เจ้าหน้าที่ต้องตัดสินใจปล่อยน้ำออกจากเขื่อนหลิวเจียเสีย เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2524 หลังน้ำในเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในระดับอันตราย โดยในขณะนี้ได้มีการปล่อยน้ำออกจากเขื่อนในปริมาณ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และมีการปล่อยน้ำออกจากเขื่อนออกมาแล้ว เป็นปริมาณถึง 25.2 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมเมือง ทางการได้ออกมาตรการฉุกเฉินต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมทางน้ำทุกรูปแบบ


อิทธิพล"ซาวลา"ทำให้ฝนตกหนักไหลบ่าท่วมถนนที่ไต้หวัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 สิงหาคม 2555 10:13 น.
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของไต้หวัน คาดการณ์ว่า พายุไต้ฝุ่นซาวลา ไม่พัดถล่มโดยตรง มีเพียงอิทธิพลทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก แต่ชาวประมงรีบนำเรือกลับเข้าฝั่ง เกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต
อิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นซาวลา ทำให้ฝนตกหนักในพื้นที่แถบเทือกเขาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดปริมาณน้ำฝนได้มากกว่า 200 มิลลิเมตร น้ำไหลบ่าท่วมถนน
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของไต้หวัน ยังคาดการณ์ว่า อิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นซาวลา ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หายากในลาวและเวียดนาม จะทำให้เกิดภาวะฝนตกหนักมากกว่า 1,000 มิลลิเมตร โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันศุกร์ นอกจากนี้ยังอาจเกิดเหตุดินถล่มและถนนทรุด ในพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ
ก่อนหน้านี้ พายุซาวลาพัดเข้าฟิลิปปินส์ ทำให้เกิดฝนตกหนัก 3 วัน 3 คืนในหลายพื้นที่ มีระดับน้ำท่วมสูงถึงคอ ประชาชนเกือบ 150,000 คน ต้องทิ้งบ้านเรือนหนีน้ำ และมีจำนวนผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยัน 8 คน

 

สาวหล้า ดอมเรย์ แล้วต่อไปอะไรเอ๋ย...
3 ลูกติดในเวลา 1 อาทิตย์

 

เมื่อคืนที่ผ่านมาผมสำรวจลำน้ำโขงโดยใช้ Google ผมตามสายน้ำขึ้นไปเรื่อย ๆ จากภาคอีสานของไทย จนไปถึงยอดเขาหิมาลัย โอ้..มันสนุกมากครับ ผมตามไปจนพบแม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกันกลายเป็นแม่น้ำโขง ต้นแม่น้ำโขงเป็นน้ำที่หิมะบนเทือกเขาที่ธิเบต มณฑลซิงไห่ ละลายไหลมารวมกันกลายเป็นแม่น้ำ ไหลผ่านซอกเขาสูงชันเรื่อยมาจนถึงอีสาน มีส่วนน้อยมากที่ไหลผ่านพื้นราบ และตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงประเทศไทย ชาวจีนได้สร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำถึง 5 แห่งด้วยกัน ทั้งเขื่อนเล็กและเขื่อนใหญ่

คนไทยหลายคนวิตกกังวลเรื่องเขื่อนในประเทศจีน ผมว่ามันไม่น่าวิตกอะไร ทำไมเราไม่คิดถึงแม่น้ำใหญ่ในประเทศเราซึ่งเกิดจากภูเขาในประเทศ หน้าแล้งบางแห่งมันก็มีน้ำน้อย พอถึงหน้าฝนมันก็มากจนล้นฝั่ง เฉพาะน้ำในประเทศถ้าเราบริหารดี ๆ มันพอใช้ครับ อย่าไปโทษคนจีนที่กั้นแม่น้ำโขงเลย เอาเฉพาะน้ำที่เกิดจากเทือกเขาแถวพม่าต่อจากยูนนานผมว่ามันก็มากกว่าแม่น้ำ 4 สาย ที่ไหลรวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาเสียอีก และถ้าฝนตกหนักติดต่อกันหลายชั่วโมงตั้งแต่ประเทศจีน โดยไม่มีเขื่อนใด ๆ กั้นไว้ รับรองว่าไทย ลาว เขมร และเวียตนาม ที่อยู่ริมฝั่งโขงจะถูกน้ำท่วมตายกันหมด ดังนั้นเขื่อนของชาวจีนมีส่วนช่วยเหลือพวกเราในพื้นล่าง ส่วนน้ำโขงแห้งไม่เกี่ยวกับเขื่อนของจีนครับ ถึงเขาจะกั้นไว้ แต่ก็ยังปล่อยน้ำลงมาเหมือนเขื่อนของเราแต่ละแห่งนั่นแหละ นั่นหมายถึงว่าในฤดูแล้ง น้ำที่มันไหลตามลำน้ำก็เหมือนน้ำที่ถูกปล่อยจากเขื่อนนั่นแหละ เพียงแต่ในฤดูฝนเขาได้สะสมน้ำไว้จำนวนมาก และมันก็เกิดประโยชน์ในฤดูแล้งไงครับ

 

แผ่นดินไหวปานกลาง 5.1 เขย่าเกาะเหนือนิวซีแลนด์ ยังไม่พบความเสียหาย
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD vAlign=top width=450 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ(ยูเอสจีเอส)รายงานวันนี้ (1)ว่าเกิดแผ่นดินไหวขนาดปานกลางซึ่งวัดความรุนแรงได้ที่ระดับ5.1 ทางตะวันออกของเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์ อย่างไรก็ดี ยังไม่พบความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนี้แต่อย่างใด

ข้อมูลของยูเอสจีเอสระบุว่า ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้ อยู่ลึกลงไปใต้ดิน 48.2กิโลเมตรห่างจากเมืองโอโพติกิบนเกาะเหนือของนิวซีแลนด์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 365 กิโลเมตร และห่างจากเมืองกิสบอร์นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเช่นกันราว 372 กิโลเมตร

เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหายใดๆจากแผ่นดินไหวที่เกาะเหนือของนิวซีแลนด์ในครั้งนี้ และไม่มีรายงานการรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนในกรุงเวลลิงตัน เมืองหลวงของประเทศ ที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวราว 771 กิโลเมตรเช่นกัน

ทั้งนี้ นิวซีแลนด์เป็นดินแดนที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ในจุดที่เรียกว่า “แนววงแหวนไฟแปซิฟิก” ซึ่งมีการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกสูง เป็นเหตุให้ในแต่ละปี นิวซีแลนด์ต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวไม่ต่ำกว่า 20,000 ครั้ง ซึ่งในจำนวนดังกล่าวจะมีประมาณ 200 ครั้งที่มีความรุนแรงมากพอในระดับที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

 

ตะลึง! ชมปรากฏการณ์ “ทอร์นาโดบนยอดเขา” ในรัฐโคโลราโด
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=763><TBODY><TR><TD vAlign=top width=763 align=middle> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพปรากฎการณ์พายุหมุนที่เกิดบนยอดเขาอีแวนส์ในมลรัฐโคโลราโด บนความสูงราว 11,900 ฟุต สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็น</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> เอเจนซี - ปรากฎการณ์พายุทอร์นาโดบนภูเขาถูกบันทึกภาพไว้ได้เหนือยอดเขาอีแวนส์ในมลรัฐโคโลราโด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา(28) โดยพายุหมุนลูกนี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 11,900 ฟุต (3,627 เมตร) และเป็นทอร์นาโดที่เกิดบนความสูงมากที่สุดเป็นอันดับ 2 เท่าที่สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติสหรัฐฯเคยบันทึกไว้

“การเกิดทอร์นาโดบนภูเขาไม่ใช่เรื่องใหม่ก็จริง แต่ปรากฎการณ์เช่นนี้ก็พบน้อยมาก” เดวิด บาร์เจนบรัช นักอุตุนิยมวิยาประจำสำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดนเวอร์โพสต์

ภาพถ่ายทอร์นาโดในระยะใกล้เป็นฝีมือของ โจช ดีเร ซึ่งนำภาพไปโพสลงบนเฟสบุ๊กของเขา และเขียนบรรยายว่า “มีแต่หนุ่มจากโอคลาโฮมาที่ขับรถขึ้นไปถึงความสูง 12,000 ฟุตเท่านั้น ที่จะได้เห็นอะไรอย่างนี้”

บาร์เจนบรัช อธิบายว่า พายุหมุนลูกนี้เกิดบนที่สูงมาก และยังอยู่ในระดับสูงกว่ายอดไม้ จึงไม่สร้างความเสียหายมากนัก แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ขับรถบางรายที่อยู่สูงกว่า และมีโอกาสมองลงมาเห็นพายุได้ชัดเจน

ทอร์นาโดซึ่งเกิดในพื้นที่สูงสุดถูกพบที่ความสูงประมาณ 12,000 ฟุต บริเวณอุทยานแห่งชาติซีควอเอีย มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 2004

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD vAlign=top width=600 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> <IFRAME height=360 src="http://www.youtube.com/embed/0C_5c1gUJjs?feature=player_detailpage" frameBorder=0 width=640 allowfullscreen></IFRAME>
</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

สื่อนอกยก กรุงเทพฯ ครองแชมป์เมืองที่มี “อาหารริมถนน” ดีสุดในโลก สิงคโปร์รั้งที่ 2
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD vAlign=top width=450 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-สื่อต่างประเทศรายงาน กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของไทย ได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่มี “อาหารริมทาง” ดีที่สุดของโลก ทั้งนี้เป็นข้อมูลจากเว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยวชื่อดัง “เวอร์ชวลทัวริสต์”

รายงานข่าวของสื่อต่างประเทศหลายสำนักซึ่งอ้างข้อมูลจากเว็บไซต์ดังกล่าวระบุว่า กรุงเทพมหานครครองอันดับ 1 ในฐานะเมืองที่มีอาหารริมทางที่ดีที่สุดของโลก จากเมนูอาหารที่มีความหลากหลายและมีจำนวนมากซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถซื้อหารับประทานได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นผัดไทย ส้มตำ ข้าวเหนียวมะม่วง ตลอดจนแกงเขียวหวานไก่

เว็บไซต์ดังกล่าวซึ่งมีสมาชิกที่ลงทะเบียนกว่า 1.2 ล้านคนจาก 220 ประเทศทั่วโลกระบุว่า “ ซอยรามบุตรี” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับวัดชนะสงครามและถนนข้าวสารขึ้นชื่อเรื่องการมีอาหารข้างทางที่หลากหลาย ขณะที่ซอย 38 บนถนนสุขุมวิทก็มีจุดเด่นในเรื่องของตลาดจำหน่ายอาหารในช่วงค่ำคืน ซึ่งเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวจนถึงเวลา 03.00 น .

ขณะที่สิงคโปร์ซึ่งได้อันดับที่ 2 ถูกระบุว่า มีจุดเด่นอยู่ที่การผสมผสานอย่างลงตัวของเมนูอาหารนานาชาติทั้งอาหารจีน มลายู อินเดีย รวมถึงอาหารเปรานากัน ทั้งยังเป็นศูนย์รวมของร้านอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่องความสะอาดถูกหลักอนามัย ขณะที่เกาะปีนังของมาเลเซียติดโผเป็นอันดับที่ 3

ในส่วนของอันดับที่ 4-10 ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นเมืองที่มีอาหารริมทางดีที่สุดของโลก จากผลสำรวจในครั้งนี้ประกอบด้วยเมืองมาร์ราเกชของโมร็อกโก, เมืองปาแลร์โมในอิตาลี,นครโฮจิมินห์ ซิตีในเวียดนาม, อิสตันบูลของตุรกี, กรุงเม็กซิโก ซิตีของเม็กซิโก, กรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม และปิดท้ายด้วยเกาะแอมเบอร์กริส เคย์ ประเทศเบลิซในอันดับที่ 10

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400><TBODY><TR><TD vAlign=top width=400 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450><TBODY><TR><TD vAlign=top width=450 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300><TBODY><TR><TD vAlign=top width=300 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สถานการณ์โรคผิวหนังน่าห่วง ผู้ป่วยติดเชื้อมากขึ้น เหตุแพทย์เฉพาะทางน้อย
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> รก.ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง ชี้ การมีแพทย์เฉพาะทางน้อย อาจเป็นส่วนหนึ่งทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อทางผิวหนังมากขึ้น ชี้แพทย์ส่วนใหญ่ประจำโรงพยาบาล 2-3 ปี ก็แยกตัวเปิดคลินิก

นพ.จินดา โรจรเมธินทร์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาโรคผิวหนังของคนไทยค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์มีน้อย โดยพบว่า แพทย์โรคผิวหนังจะประจำอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศได้ไม่นานนัก เฉลี่ยประมาณ 2-3 ปี ส่วนใหญ่มักออกไปเปิดคลินิกเป็นของตัวเอง ขณะที่ปัญหาโรคผิวหนังทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการดูอาการทางคลินิก อาทิ โรคมือเท้าปาก ซึ่งกำลังเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในขณะนี้ ก็เกิดจากการติดเชื้อทางผิวหนังผ่านการสัมผัส แพทย์จะต้องสังเกตอาการจากตุ่มที่มือ เท้า และแผลในปาก รวมไปถึงยังต้องอาศัยผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการประกอบกัน เพื่อวินิจฉัยโรค ซึ่งจะช่วยให้ทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง และควบคุมไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดออกไปในวงกว้าง นอกจากนี้ ปัญหาโรคผิวหนังที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่คนไทยมักมองข้ามคือ โรคมะเร็งผิวหนัง เพราะบางครั้งมะเร็งอาจมีลักษณะคล้ายไฝ ทำให้ไม่ได้ใส่ใจในการไปพบแพทย์เพื่อรักษา

“การมีแพทย์โรคผิวหนังน้อย อาจมีส่วนให้จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อทางผิวหนังเพิ่มมากขึ้น อย่างโรคมือเท้าปากที่มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากนั้น ก็เนื่องจากมีบุคลากรในการตรวจวินิจฉัยน้อย ซึ่งขณะนี้ต้องอาศัยแพทย์ กุมารแพทย์ พยาบาลในการช่วยตรวจดูอาการ เพื่อควบคุมการกระจายของโรค” นพ.จินดา กล่าว

นพ.จินดา กล่าวด้วยว่า สาเหตุอันดับหนึ่งที่คนไทยเข้ามารับการรักษากับแพทย์โรคผิวหนัง ไม่ใช่ปัญหาผิวพรรณและความงาม แต่เป็นปัญหาอาการผื่นแพ้อันเนื่องมาจากปูนซีเมนต์ ผงซักฟอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเครื่องสำอาง ซึ่งพบว่า มักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่มีกระบวนการผลิตไม่ถูกต้อง มีการผสมของสารไฮโดรควิโนน ทำให้เกิดอาการแพ้แดงคัน นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า มีผู้เข้ารับการรักษา ที่มีปัญหาจากการเข้ารักษาตามคลินิกต่างๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากปัจจุบันสังคมมีค่านิยมในเรื่องของความสวยงามมากขึ้น ทำให้มีคลินิกสถานความงามเปิดแข่งขันกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งประชาชนอาจไปเจอเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่ไม่ผ่าน อย. ละการรักษาอาจทำโดยบุคลากรที่ไม่ได้รับการอบรม เป็นต้น
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

วิจัยพบไวรัสคร่าชีวิต “ลูกแมวน้ำ” กลายพันธุ์จากไข้หวัดนก
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD vAlign=top width=600 align=middle> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>วิจัยพบลูกแมวเกยตื้นตายจากไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่กลายพันธุ์มาจากนก (ไลฟ์ไซน์/Tim Saxon) </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> นับแต่เดือน ก.ย.2011 เป็นเวลา 4 เดือนที่มีลูกแมวน้ำ 162 เกยตื้นตายที่ชายฝั่งนิวอิงแลนด์ของสหรัฐฯ และส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 6 เดือน จากการศึกษาพบว่าแมวน้ำเหล่านี้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับที่ก่อโรคในม้าและสุนัข ซึ่งก่อให้เกิดความวิตกว่าจะเกิดการติดโรคในคน

ไลฟ์ไซน์ระบุว่า ลูกแมวน้ำเหล่านั้นป่วยจากไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีลักษณะบ่งบอกว่าติดมาจากนก และการค้นพบดังกล่าวก็ก่อให้เกิดความวิตก เนื่องจากไวรัสมีการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งทำให้มันเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรวมถึงมนุษย์ได้รุนแรงขึ้น

ทั้งนี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลาย ทั้งแมวน้ำ ค้างคาว นกหรือแม้กระทั่งวาฬ ล้วนมีโอกาสติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ และไวรัสในสัตว์เหล่านั้นมีโอกาสที่เดินทางมาสู่ประชากรมนุษย์ได้ โดยนกป่าคือต้นกำเนิดแรกเริ่มของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ (Influenza A) ทั้งหมด

ทั้งนี้ ไวรัสสามารถกลายพันธุ์และผสมกับสายพันธุ์อื่นกลายเป็นไวรัสที่มีความรุนแรงถึงชีวิตได้ ตัวอย่างเช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เอช 1 เอ็น 1 (2009 H1N1) หรือไข้หวัดหมู ก็เป็นผลจากการรวมกันของไวรัสที่ก่อโรคในนก หมูและคน เป็นต้น ส่วนไวรัสแมวน้ำคือไวรัเอช 3 เอ็น 8 ซึ่งจัดอยู่ในไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ก่อโรคในสุนัขและม้า

อย่างไรก็ดี ไซมอน แอนโทนี (Simon Anthony) จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) ผู้เป็นหัวหน้าทีมวิจัยในเรื่องนี้บอกทางไลฟ์ไซน์ว่า ยังไม่ชัดเจนว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้จะเป็นอันตรายรุนแรงในมนุษย์มากกว่าสุนัขหรือม้าหรือไม่

หากแต่ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้มีความแตกต่างจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ในสุนัขและม้าซึ่งจะอยู่ในสัตว์ที่เป็นแหล่งอาศัยเป็นเวลานาน แต่ไวรัสที่คร่าชีวิตแมวน้ำนี้ข้ามสายพันธุ์จากนกอย่างรวดเร็ว และมีการกลายพันธุ์ที่ช่วยให้ไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถปรับตัวเข้ากับสัตว์เลี้ยงด้วยนมชนิดใหม่ที่เป็นแหล่งอาศัยของเชื้อได้ รวมถึงมีความสามารถที่จะรวมเข้ากับตัวรับในระบบหายใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมทั้งมนุษย์ด้วย

จากการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมทีมวิจัยชี้ว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้กลายพันธุ์มาจากไข้หวัดนก ซึ่งแพร่กระจายท่ามกลางนกน้ำในอเมริกาเหนืออย่างน้อยตั้งแต่ปี 2002 การกลายพันธุ์ที่พบในไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ชี้ว่า ไวรัสดังกล่าวอาจกำลังแพร่กระจายในหมู่แมวน้ำต่อไป และอาจมีกลายพันธุ์เป็นไวรัสเอช 3 เอ็น8 สายพันธุ์ใหม่ อย่างที่เกิดขึ้นในม้าและสุนัข ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้เขียนรายงานลงวารสารเอ็มไบโอ (mBio)

 

พายุไต้ฝุ่น'ซาวลา'จ่อเข้าไต้หวัน

ไต้หวันประกาศเตือนภัยพายุไต้ฝุ่นซาวลา ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าประเทศ พร้อมเตรียมมาตรการรับมือ หลังอิทธิพลของพายุเริ่มทำให้มีฝนตกหนัก


1 ส.ค.55 เว็บไซต์ของสำนักงานพยากรณ์อากาศของไต้หวันรายงานวันนี้ว่า มีการแจ้งประกาศเตือนภัยพายุไต้ฝุ่นซาวลาตั้งแต่เมื่อคืนวาน หลังพายุเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะมากขึ้น โดยพายุมีความเร็วลม 119 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอาจมีความเร็วลมสูงสุดถึง 155 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และช่วงสายวันนี้พายุยังอยู่ห่างจากเขตฮัวเหลียนทางภาคตะวันออกของไต้หวันราว 240 กม. แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพายุจะพัดขึ้นฝั่งหรือเพียงแค่เคลื่อนตัวเลียบชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ ถึงอย่างนั้นอิทธิพลของพายุอาจทำให้มีฝนตกมากกว่า 1,000 มิลลิเมตรในช่วง 3 วันนี้ และคาดว่าอาจเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงในบางพื้นที่ ก่อนที่พายุจะเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกมุ่งหน้าสู่ชายฝั่งของจีนในคืนวันพรุ่งนี้
<!-- inside news --><SCRIPT type=text/javascript src="http://partner.googleadservices.com/gampad/google_service.js"> </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript> GS_googleAddAdSenseService("ca-pub-1114872005097511"); GS_googleEnableAllServices(); </SCRIPT><SCRIPT src="http://partner.googleadservices.com/gampad/google_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript> GA_googleAddSlot("ca-pub-1114872005097511", "Insidenews"); </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript> GA_googleFetchAds(); </SCRIPT><!-- Insidenews --><SCRIPT type=text/javascript> GA_googleFillSlot("Insidenews"); </SCRIPT><SCRIPT src="http://pubads.g.doubleclick.net/gampad/ads?correlator=4186168171224039&output=json_html&callback=GA_googleSetAdContentsBySlotForSync&impl=s&client=ca-pub-1114872005097511&slotname=Insidenews&page_slots=Insidenews&cookie_enabled=1&url=http%3A%2F%2Fwww.komchadluek.net%2Fdetail%2F20120801%2F136618%2F%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%9D%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99.html&ref=http%3A%2F%2Fwww.komchadluek.net%2Findex.php&lmt=1009819461&dt=1009819461609&cc=59&oe=windows-874&biw=1131&bih=633&adk=4030606619&adx=78&ady=945&ifi=1&oid=3&u_tz=420&u_java=true&u_h=864&u_w=1152&u_ah=834&u_aw=1152&u_cd=32&flash=10.0.32.18&gads=v2&ga_vid=937609010.1009819462&ga_sid=1009819462&ga_hid=116737296"></SCRIPT>ในเมืองอี้หลานทางตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวัน เกิดฝนตกหนักวัดได้ 900 มิลลิเมตร ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน รถยนต์จำนวนมากจมอยู่ใต้น้ำ และในเมืองเกาสง เมืองท่าสำคัญ ต้องประกาศเตือนให้เรือประมงและเรือโดยสารกลับเข้าฝั่ง และเจ้าหน้าที่อพยพประชาชนหลายร้อยคนออกจากพื้นที่ราบต่ำ แต่สนามบินนานาชาติสองแห่งในกรุงไทเปยังคงเปิดทำการได้ตามปกติ

ขณะที่กองทัพได้เตรียมค่ายทหารกว่า 100 แห่งสำหรับเป็นที่พักพิงให้กับผู้ประสบภัยที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากพายุ รวมทั้งเตรียมกำลังทหารกว่า 47,000 นาย รถกว่า 3,000 คัน เครื่องสูบน้ำเกือบ 486 เครื่อง เครื่องบินเกือบ 37 ลำและอุปกรณ์จำเป็นต่างๆเพื่อเตรียมพร้อมช่วยเหลือบรรเทาทุกข์
ก่อนหน้านี้ ไต้ฝุ่นซาวลาพัดกระหน่ำฟิลิปปินส์ช่วงสุดสัปดาห์ งทำให้มีผู้เสียชีวิตจนถึงขณะนี้อย่างน้อย 12 ราย และส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 3 แสนคน และพายุเพิ่งพัดออกจาก

 

โรคไข้เลือดออกจากไวรัสอีโบลา กำลังระบาดหนักในประเทศอูกันดา ล่าสุดทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 14 ราย


31 ก.ค.55 กระทรวงสาธารณสุขอูกันดา และองค์การอนามัยโลก ประกาศเมื่อวันเสาร์ว่า โรคไข้เลือดออกจากไวรัสอีโบลา คร่าชีวิตชาวอูกันดาไป 14 รายแล้วในเดือนนี้ และถือเป็นการคลายความสงสัยถึงสาเหตุของการเจ็บป่วยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางภาคตะวันตกของอูกันดา จนทำให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งหวาดกลัว และอพยพออกจากหมู่บ้าน เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่นำความโชคร้ายมาให้ ล่าสุดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประกาศว่า พบผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้ออีโบล่าอีก 6 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งหากได้รับการยืนยัน ก็จะทำให้มีผู้ติดเชื้อไวรัสอีโบลาในอูกันดาขณะนี้รวมเป็น 26 คน และผู้ติดเชื้อได้ขยายวงกว้าง จากเพียงแค่หมู่บ้านเดียว ไปเป็นหลายๆ หมู่บ้านแล้วถือเป็นการพบผู้ติดเชื้ออีโบล่า ในอูกันดา เป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการระบาดทั้ง 3 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต อย่างน้อย 267 คน
นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบต้นตอของการระบาดในครั้งนี้ แต่ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ติดเชื้อรายแรกอาจติดเชื้อจากสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัส และการระบาดในครั้งนี้ เริ่มสร้างความหวาดผวาไปถึงชาวอูกันดาในเมืองกัมปาลา เมืองหลวงของประเทศแล้ว
ไข้เลือดออกอีโบลา มีความร้ายแรงถึงเสียชีวิตเนื่องจากยังไม่มีวัคซีนที่สามารถใช้ป้องกันและรักษาได้ เชื้อไวรัสถูกพบครั้งแรกในประเทศคองโก เมื่อปี 2519 และตั้งชื่อตามแม่น้ำใกล้กับบริเวณที่พบเชื้อครั้งแรก
ศูนย์ควบคุมโรคระบาดสหรัฐฯ ระบุว่า เชื้ออีโบลา ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะปวดข้อและกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อ่อนเพลียอย่างหนัก ตามด้วย ท้องร่วงรุนแรง อาเจียน และปวดช่องท้อง ในคนไข้บางราย อาจเป็นผื่น ตาแดงจัด และมีเลือดออกภายในร่างกาย ไวรัสชนิดนี้ แพร่เชื้อโดยการสัมผัสโดยตรงกับเลือด หรือสารคัดหลั่ง ของผู้ติดเชื้อ

 

ขณะนี้ กทม. ลมแรงมากเลยครับ ดังวี้วๆ เลย

 

เกาหลีเหนืออ่วม น้ำท่วมดินถล่ม ยอดตายเพิ่ม 119 ศพ



เกาหลีเหนืออ่วมภัยน้ำท่วมดินถล่ม ยอดตายพุ่ง 119 ศพ ไร้บ้านนับหมื่นราย พื้นที่เกษตรกรรมเสียหายหมด...

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เกาหลีเหนือเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งน้ำท่วมและดินถล่มช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายไม่ทราบชะตากรรม 47 คน ส่วนอีก 21,370 รายต้องไร้ที่อยู่อาศัย ขณะที่สื่อรัฐบาลเปียงยางแจ้งยอดผู้เสียชีวิตรอบใหม่เมื่อวันที่ 1 ส.ค. เพิ่มเป็นอย่างน้อย 119 ศพแล้ว

ทั้งนี้ โคเรียน เซ็นทรัล นิวส์ เอเจนซี (เคซีเอ็นเอ) ระบุว่า จำนวนผู้เคราะห์ร้าย 31 คน เสียชีวิตจากภัยดินโคลนถล่มและฟ้าผ่า เนื่องจากฝนตกหนักตั้งแต่วันอาทิตย์จนถึงวันจันทร์ (29-30 ก.ค.) ส่วนอีก 16 รายยังคงสูญหาย สำหรับที่เหลือเป็นตัวเลขเหยื่อจากภัยน้ำท่วม ด้านที่อยู่อาศัย จำนวน 4,900 หลังคาเรือนพังเสียหาย และ 8,530 หลังคาจมอยู่ใต้บาดาล ขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน.









โดย: ไทยรัฐออนไลน์

2 สิงหาคม 2555, 04:00 น.

 

อยากกลับบ้านpity_pigpig_cryy2;aa8catt23