ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

จริงดัวยพี่เมาท์ เห็นแล้วขนลุกเลย.....

 

ของจริงสิครับ มาให้เห็นกันจะจะเลย
ตัวที่ยอมอโหสิกรรม จะมีสีหน้ายิ้มๆ แต่ที่ยังไม่ยอมอโหสิกรรม
จะอ้าปากตาถลน ทำหน้าดุอยู่ครับ คงต้องมาขออโหสิกรรมบ่อยๆ
จนกว่าเขาจะใจอ่อน หรือไม่เราก็อ่อนใจไปเองครับ

 

3. ผ่านมารับรู้ให้ความสนใจ เพราะมีประสบการณ์หลายอย่างที่คล้ายกับที่ผู้ฝึกกับระบบได้พบเจอ จึงติดตามอ่านข่าวสารอย่างต่อเนื่อง จนได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่ได้มีการมาแจ้งไว้เพื่อทราบผ่านทางกระทู้แห่งนี้<O

ซึ่งบุคคลในส่วนนี้ มีการมารับทราบข้อมูลในลักษณะได้ให้ความสนใจเรื่องของจิต เรื่องของยูเอฟโอ เรื่องของสิ่งลึกลับหาคำอธิบายไม่ได้ พร้อมทั้งพบเจอเหตุการณ์แปลก ๆ กับตนเองมาแล้วหลายครั้ง จึงมีความต้องการจะหาคำตอบ มีความต้องการจะได้ข้อมูล จึงได้มีการมาเที่ยวชมนิทรรศการที่จัดขึ้นเกี่ยวกับเรื่อง วิทยาศาสตร์ทางจิต การบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ เมื่อรับฟังข้อมูลแล้ว ยังได้มีการสนใจติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนนี้ ก็จะมีบุคคลบางท่าน ที่ได้ติดตามมาจนถึง ณ ปัจจุบันนี้

ดังนั้น บุคคลกลุ่มนี้ก็มีความสำคัญไม่น้อยในการให้ข้อมูลข่าวสารกับบุคคลอื่น ๆ เพราะมีความเข้าใจเรื่องราวมากกว่าในกลุ่มที่ 1 และ 2 เพราะจะมีการมาสนทนาสอบถามเป็นระยะ ๆ ทั้งทางโทรศัพท์ และเดินทางมาด้วยตนเองเป็นบางครั้ง จึงสามารถเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลได้ในระดับหนึ่ง

การจัดนิทรรศการในงานวิทยาศาตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 10 ร่วมกับ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน เดือนธันวาคม 2548

ในวันนั้น คุณ ukrin เป็นผู้มาชมนิทรรศการภายในงานนั้น และให้ความสนใจ แวะเวียนเข้ามาสนทนากับกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เป็นระยะ ๆ ตลอด 4 วันที่มีการจัดนิทรรศการนั้น

และวันนี้ คุณ ukrin ได้กลายมาเป็นผู้รับผิดชอบงานภาคพื้นดิน โดยเปลี่ยนจากกลุ่ม 3 ที่คอยเรียบ ๆ เคียง ๆ เข้าฟังการสนทนาในงานนั้น เปลี่ยนเป็นผู้ร่วมงานกับมนุษย์ต่างดาวไปเรียบร้อยแล้ว





การจัดนิทรรศการในงานวิทยาศาตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 11 ร่วมกับ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน มีผู้สนใจมาสอบถามข้อมูลจำนวนมาก









และก็ได้พบอาจารย์นีโม่ จากงานนี้ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2549
ในตอนนั้น ท่านเดินทางมาชมบูธนิทรรศการมนุษย์ต่างดาว และสนใจที่จะเขียนหนังสือเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา
จึงเดินทางมาสัมภาษณ์พี่สุดใจ แต่คุยไปคุยมามีแต่ธรรมะล้วน ๆ เลยไม่รู้จะเขียนเกี่ยวโยงยังไง ธรรมะกับมนุษย์ต่างดาว
และ.... จากวันนั้น จนวันนี้
ท่านก็กลายมาเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดด้านปฏิบัติการเขากะลา 2 ไปเสียแล้ว

เปลี่ยนจากกลุ่มที่ 3 มาเป็นกลุ่มที่ 5 อย่างเต็มตัว




การบรรยายเรื่อง "เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว" ในงานวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 11 ที่กรุงเทพฯ








คุณ ukrin ปี 2548 เป็นผู้มาชมนิทรรศการ พอปีนี้ 2549 มาเป็นผู้บรรยายเรื่องของจานบินที่เขากะลาเสียแล้ว เพราะเป็นผู้ที่ไปพบเห็นมาด้วยตาตนเองที่เขากะลา

 

ได้รับเชิญไปบรรยายเรื่อง 10 ปีในการติตต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา

ในงานสัมมนา รวมพลคนพลังจิตติดต่อ UFO

จัดโดยอาจารย์นีโม่นั่นเอง

ตอนนั้นยังไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไร แต่ได้รับเชิญให้ไปบรรยายในงานด้วย

ในการบรรยายในครั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วมฟังส่วนมากมาจากเวปไซด์พลังจิตแห่งนี้ และมีการสนทนานอกรอบกับหลาย ๆ ท่าน

และบางท่านที่มาในงานนี้ ก็ได้ติดตามอ่านข้อความอย่างต่อเนื่องในกระทู้แห่งนี้ และหลายท่านได้เข้ามาร่วมในการเชื่อมระบบด้วย จึงร่วมอยู่ในกลุ่มที่ 4 ที่จะกล่าวถึงต่อไป












ซึ่งบุคคลในส่วนนี้ มีการมารับทราบข้อมูลในลักษณะได้ให้ความสนใจเรื่องของจิต เรื่องของยูเอฟโอ เรื่องของสิ่งลึกลับหาคำอธิบายไม่ได้ พร้อมทั้งพบเจอเหตุการณ์แปลก ๆ กับตนเองมาแล้วหลายครั้ง จึงมีความต้องการจะหาคำตอบ มีความต้องการจะได้ข้อมูล จึงได้มีการมาเที่ยวชมนิทรรศการที่จัดขึ้นเกี่ยวกับเรื่อง วิทยาศาสตร์ทางจิต การบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ เมื่อรับฟังข้อมูลแล้ว ยังได้มีการสนใจติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนนี้ ก็จะมีบุคคลบางท่าน ที่ได้ติดตามมาจนถึง ณ ปัจจุบันนี้

 

4. ผ่านมารับรู้ ให้ความสนใจในระดับหนึ่งและต้องการมาทดสอบทดลอง จนมาเข้ารับการเชื่อมระบบและรับฟังการขยายระบบ ได้รับรู้ข้อมูลในบางส่วนแต่ไม่พร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการ

ในบุคคลกลุ่มนี้ มีความสนใจ และติดตามข้อมูลมาค่อนข้างนานเพียงพอที่จะตัดสินใจมาทดสอบ ทดลอง เพื่อรับการเชื่อมระบบ จะมาด้วยวิธีใดก็ตาม ได้มีการมาพบปะเจอะเจอ มีการมาร่วมสนทนา และรับทราบข้อมูลด้วยตนเอง ดังนั้น หลายท่านในที่นี้ ก็จะเป็นคนที่ระบบได้วางไว้แล้ว การที่จะเข้ามาจนได้รับการเชื่อมระบบได้นั้น มิใช่เรื่องง่าย เป็นจำนวนน้อยนักถ้าเทียบกับคนทั้งประเทศไทย แต่ทำไม่จึงต้องเป็นเราเข้ามารับการเชื่อมระบบ

จะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะสนใจหรือไม่สนใจ ก็เป็นการทำงานอย่างถูกต้องทั้งสิ้น จะมาพบกันอีก หรือไม่มาพบกันอีกเลย ก็ถูกต้องตามงานทั้งสิ้น

แม้ว่ากลุ่มบุคคลนี้ ในบางส่วนไม่พร้อมที่จะมาร่วมงานกับมนุษย์ต่างดาวแบบเป็นกลุ่มก็ตาม แต่ก็ทำงานแบบเดี่ยว คือทำงานเหมือนไม่ได้ทำ เพราะจะคิดว่าเราไม่ได้ทำงานให้ใคร แต่นั่นแหละคืองาน และบางท่านก็ยังได้ติดตามอ่าน มีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องต่อไป

กลุ่มบุคคลนี้ หากเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวในประเทศไทยเปิดเผยออกไป จนมีการยอมรับแล้ว จะเป็นกลุ่มบุคคลที่สามารถให้รายละเอียดในขั้นลึกต่อสาธารณะชนได้เป็นอย่างดี

และมีเพียงจำนวนไม่มากนักจากกลุ่มที่ 4 นี้ ที่จะได้เข้ามาทำงานกับมนุษย์ต่างดาวในกลุ่มที่ 5 ได้อย่างเต็มรูปแบบ


ภาพบางส่วนจากกลุ่มที่ 4 ที่เข้ามาถึงในระดับมีการเชื่อมระบบ ติดตั้งอุปกรณ์ไปแล้ว




<LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>

 

เห็นหน้าชัดดีเหมือนกันครับ แต่คราวหน้า ลองเปิดกว้างๆดูดีไหมครับ จะได้ดูว่ามีอะไรอื่นอีกหรือเปล่า

 

งานรวมพลคนพลังจิตติดต่อ UFO ผมก็ไปเหมือนกันครับ ตอนแรกนึกว่าจะหลงซะแล้วเพราะจำซอยไม่ได้ แต่ขับไปขับมาก็เจอป้ายทางเข้าพอดีเลย

 

....

5. ผ่านมารับรู้ สนใจอย่างมาก จนมารับการเชื่อมระบบ มารับการขยายระบบ จนมีความเข้าใจจุดมุ่งหมายของระบบ มีการพิจารณาไตร่ตรองอย่างมากจนมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยกันสานต่อโครงการนี้ให้มีการดำเนินไปได้ และพร้อมที่จะมารับภาระหน้าที่ มารับการปรับหมายเลข และมีการปฏิบัติเพื่อการละวางอัตตาตัวตน จนไม่ยึดติดในอุปปาทานทั้งหลาย จึงสามารถทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในส่วนนี้จะมีเหลืออยู่จำนวนน้อยมาก<O

ผู้ที่จะมีความเข้าใจ และมาจนถึงกลุ่มที่ 5 นี้ จะมีน้อยมาก ถ้าเทียบกับทุกกลุ่มที่ผ่านมา

อาจจะสงสัยว่า งานที่ทำก็ยิ่งใหญ่ ทำในระดับจักรวาล ทำงานร่วมกับต่างดวงดาว แต่ทำไมมีบุคคลน้อยนัก เมื่อเทียบกับงานใหญ่ระดับนี้

มนุษย์ต่างดาวจะเน้นเสมอว่า ระบบต้องการคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ

สำหรับปริมาณนั้น แค่เอาจานบินลงมาจอดให้เห็น คนเป็นหมื่นเป็นแสนก็จะมาให้เลือกมากมาย จะเลือกสักเท่าไรก็ได้ แต่ตอนนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เพราะไม่ได้มาด้วยปัญญาไตร่ตรอง เหมือนในตอนนี้

ดังนั้น ระบบจึงต้องการการคัดเลือกบุคคลในกลุ่มนี้ จากคุณภาพของจิตที่ปล่อยวางอัตตา ปล่อยวางในอุปทานขันธ์ห้าได้ในระดับหนึ่งแล้ว จึงจะสามารถมาทำงานในกลุ่มที่ 5 ได้

ในระดับนี้ กว่าที่จะมีผู้เข้าร่วมงานกับมนุษย์ต่างดาวได้ จึงมีการเสียดทานอย่างหนักจากสิ่งรอบข้าง จากความลังเลสงสัย จากความไม่แน่ใจในระบบ จึงเท่ากับเป็นการคัดแล้วคัดอีก ดังนั้นจึงมี 2 ส่วนให้เลือก

ส่วนแรกไม่เชื่อ แล้วออกไปเลย

อีกส่วนหนึ่งไตร่ตรอง พิจารณา ทดสอบทดลองปฏิบัติ เมื่อเห็นผล ก็เชื่อ แล้วเข้าร่วมทำงานในโครงการนี้ พร้อมปฏิบัติเพื่อการปล่อยวางควบคู่กันไปด้วย

ในกลุ่มที่ 5 นี้ เขากะลา 1 ในระดับผู้อาวุโสที่ทำงานแบบรู้ตัวว่าทำงานกับระบบ มีอยู่ไม่ถึง 15 คน ในส่วนที่เหลือก็ทำงานแบบไม่รู้ตัวว่าทำงาน แต่ก็ทำงานอย่างถูกต้องตรง โดยไปประชาสัมพันธ์เรื่องมนุษย์ต่างดาว เรื่องภัยพิบัติ ไปประสานงานกลุ่มอื่น ๆ นั่นเอง

ส่วนเขากะลา 2 มีหลายบุคคลที่สามารถผ่านเข้ามาทำงานกับระบบในกลุ่มที่ 5 นี้แล้วอย่างเต็มรูปแบบ

สำหรับงานที่ทำให้กับระบบในกลุ่มที่ 5 นี้ คือไม่ได้ต้องทำอะไร สิ่งที่ทำอยู่แล้วนั้นถูกต้องทุกอย่าง อยู่บ้าน ทำงาน หรือจะทำกิจกรรมอื่นใดได้ทั้งหมด

เพราะงานของระบบ ไม่ต้องไปสนใจอะไร เพียงแต่เหตุการณ์พาไปจึงค่อยทำ

เช่นอยู่ทำงานตามปกติ แต่พอมีคนไข้ อาจารย์จักษวัชร์ก็แบ่งเวลาไปรักษา พร้อมให้ธรรมะไปในตัวด้วย นี่คือไปทำงานตามเหตุการณ์พาไป

ทำงานตามปกติ เขาเชิญไปออกทีวี ก็ไปออกทีวีให้ข่าวสาร ก็จบ

ทำงานอยู่บ้านตามปกติ มีผู้สนใจให้อาจารย์เม้าท์สอบอารมณ์ ก็แบ่งเวลาไปสอบอารมณ์ให้ตามภาระหน้าที่ สอบเสร็จก็จบงาน

งานระบบจะเป็นอย่างนี้ ไม่ได้ให้ไปทำอะไร ไม่ให้คิดไปล่วงหน้า ถ้ามีเหตุการณ์มาในปัจจุบันก็ทำ ทำแล้วก็วาง ก็เสร็จงาน

ดังนั้น การที่จะคิดว่าต้องมารวมกัน มาอยู่เป็นกลุ่มนั้น ไม่ใช่ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำงาน จะมารวม หรือไม่มารวม ถูกต้องทุกอย่างตามระบบ

ดังนั้น การทำงานกับระบบ ทำง่าย ๆ ทำเป็นจ๊อบเล็ก ๆ แล้วจบ ไม่ต้องไปรับผิดชอบงานนั้น ๆ เพราะระบบจะเป็นผู้ทำเอง

มีคนไข้มาก็รักษา มีคนทุกข์มาก็ให้ธรรมะ มีคนมาขอข้อมูลก็เล่าไป ถูกต้องทุกอย่าง

และผู้ทำงาน ก็จะได้รับการขยายระบบในขั้นลึก ขั้นปล่อยวางตัวตนตามทฤษฎีระบบ ดังนั้น ทุกวันจึงอยู่กับสติที่คอยดูการทำงานของขันธ์ห้า โดยไม่ไปรับเข้ามาเป็นตัวเรานั่นเอง

อนุโมทนากับทุกท่าน ในทุก ๆ กลุ่ม ที่ได้กล่าวมาแล้ว ไม่ว่าอยู่ในกลุ่มใดใน 5 กลุ่ม เป็นการถูกต้องทั้งหมดตามที่ระบบได้วางไว้

 

ขอแสดงความยินดีกับ ผู้รับผิดชอบงานภาคพื้นอากาศ คนใหม่ค่ะ

คุณสรรค์ รัตนการัณย์ (หมายเลข 75)


​

 

หลังจากทำพิธีประจุพลังเสร็จก็ทำการแจกสร้อยประคำประมวลพลังทันที รับเสร็จบางท่านก็ใส่เลยหลากสีสรรค สวยงามมาก

 

รวมภาพหมอแผนอนาคตทั้งหมอเก่าหมอใหม่ รักษาผู้ป่วย

 

แม้กระทั่งในห้อง ก็มีเยอะแยะเต็มไปหมดค่ะ ที่ศีรษะอาจารย์นีโม่ และคุณสรร ก็ยังมี ที่เสื้อของหลายๆท่านในภาพ รวมทั้งที่ม่าน ทุกพื้นที่

และไม่ใช่มีเฉพาะภาพนี้ ภาพอื่นๆ ที่โพสท์มาในข้อความแต่เก่าก่อน รวมทั้งภาพการเดินทางไปรักษา ก็มีทั้งนั้นค่ะ/Digital

 

พี่เม้าท์มาลงแบบนี้ วันเสาร์ตรงประตูระเบียงที่ว่างแน่เลย

 

ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับพี่วิจิตร
คงต้องติดป้ายไว้ว่า ที่สำหรับแสดงตนของเจ้ากรรมนายเวร
แล้วก็เปิดผ้าม่านให้กว้างหน่อย เพราะอาจมีบางตนหลบซ่อนอยู่อีกเยอะ

ทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิด
เมื่อเกิดแล้ว จะอยู่ในจำพวกไหน ในแหล่ง 4
ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของกรรมที่ได้ทำมา
แหล่ง 4 ที่ว่า คือ

1.เกิดในฟองไข่
2.เกิดในครรภ์มารดา
3.เกิดในสิ่งปฏิกูล กองอุจจาระ ในน้ำเน่าเสีย เช่นพวกตัวหนอน
4.เกิดเติบโตทันที เช่นพวกสัมภเวสี เทวดา นางไม้

เมื่อเราเรียนรู้เรื่อง หลีก ละ ลด เลิก ในการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนได้ จิตก็จะสลัดวางไม่ยึดเกาะในกายธาตุสังขาร เพราะไม่มีประโยชน์อันใด ที่จะต้องเกิดมาทุกข์ซ้ำซาก ซ้ำซ้อน ในร่างกายที่ไม่จีรังยั่งยืน อุดมไปด้วยสิ่งเน่าเหม็น เมื่อเรารู้จักมองให้เห็นความจริงของชีวิต เราก็จะสามารถตัดวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ในที่สุด

ขออนุโมทนาต่อจิตอันเป็นกุศล มีผลอันถูกทาง และพร้อมที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากภัยพิบัติ ของทุกท่านครับ

 

ขออนุโมทนากับอาจารย์เม้าท์ค่ะ ที่นำธรรมะในขั้นปล่อยวางมาให้เรารับทราบ ให้เรามองเห็น และให้เกิดความเบื่อหน่ายในวัฏฏะสงสาร ไม่อยากที่จะเวียนว่ายตายเกิดกันอีกแล้ว

ก็มีธรรมะในมุมมองของมนุษย์ต่างดาวอีกมุมมองหนึ่ง ที่ได้อธิบายให้รับรู้ในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด ให้มองเห็นในเรื่องของการเกิดบ่อย ๆ เกิดซ้ำ ๆ เวียนว่ายกันอยู่อย่างนั้น

และการที่เกิดมาแต่ละครั้ง แต่ละชาติ ก็ยังคิดว่าเป็นของใหม่ เป็นตัวตน ของตน ที่น่ายึดถือ น่าอยากได้ใคร่ดี ตะเกียกตะกายไขว่คว้าโน่นนี่มาเป็นของเราตลอดเวลา จึงยังต้องวนเวียนไปมาในวัฏฏะสงสารอันหาที่สิ้นสุดมิได้

แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ที่รู้ ผู้ที่เห็นความน่าเอน็จอนาถในการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ท่านได้พยายามมาบอก มาแนะนำ มาชี้แนะแนวทางให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ความน่ากลัวของวัฏฏะสงสาร หากพิจารณาตามแล้ว ก็จะเกิดการเบื่อหน่าย เกิดการไม่ใยดี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากที่จะยึดมั่นถือมั่นในการที่จะต้องมาวนเวียน เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก

ก็มีธรรมะจากมุมมองของมนุษย์ต่างดาว ที่นำมาบอก และเมื่อพิจารณาตามแล้ว ก็เห็นความน่าเบื่อหน่ายในการเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหล่านั้น และคลายจากความยึดมั่นถือมั่นได้ในระดับหนึ่ง

ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นความเป็นจริงตามธรรมชาติของวัฏฏะสงสารนั่นเอง

ซึ่งตรงกับสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า " เกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ "

 

ขออนุโมทนากับคุณ digital แล้ว เพื่อน พีๆ ทุกท่านครับ....ความรู้สึกแรกที่ได้ทราบข่าวนี้ คือ ต้องละวางอัตตาให้มากยิ่งขึน เพื่อให้ได้รับประโยชน์ตนให้มากและประโยชน์ท่านก็จะได้รับผลด้วย

 

เกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์​

ก็จะมีการเปรียบเทียบคำนี้ ใช้ได้ในทั้ง 2 สถานะการณ์ ​

คือเกิดเป็นมนุษย์ตามภพชาติ คือบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ ไม่รู้จบ ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ก็ย่อมมีแต่ความทุกข์

และเกิดจากความคิดที่คิดเป็นทุกข์ในแต่ละขณะ คือไม่ว่าเกิดความคิด วิตกกังวล ความขุ่นข้องหมองใจ บ่อยเท่าไร ก็ทุกข์เท่านั้น


ก็จะกล่าวในเรื่องแรกก่อน คือ
เกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ ตามการเกิดในวัฏฏะสงสาร ในภพชาติที่ไม่มีที่สิ้นสุด

การเกิดในหลายภพชาตินั้น มากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าเป็นมนุษย์ สัตว์ เทวดา พรหม หรือในชาติภพอื่น ๆ มากมายนัก

แต่ให้สมมุติว่า แค่เกิดเป็นมนุษย์ในทุก ๆ ชาติ เพื่อการเทียบเคียงกับในขณะนี้ จะได้มีความเข้าใจมากที่สุด

ตั้งแต่เกิดมาในวันแรก ก็จะมีการดิ้นรนแต่แรกเกิด มีพ่อแม่เลี้ยงดู จนอายุ 3-4 ขวบ เข้าโรงเรียน เล่าเรียนกันจนอายุ 20 ปี จบออกมาได้งานทำ แก่งแย่งชิงดีตำแหน่งหน้าที่ เรื่องลาภยศสรรเสริญกัน ทำงานหาเงินอดออมไว้ และพบคนรัก ได้แต่งงานกัน พอมีลูก ก็ต้องเร่งทำงานหาเงิน เก็บออมเพื่อที่จะให้ลูกมีกินมีใช้
พออายุ 60 ปี ก็เกษียรอายุ ลูกก็โตหมดแล้ว ก็คิดว่า เออ.... ได้พักเสียที เพราะทำงานตะเกียกตะกายหากินมาตลอดเวลา 60 ปีแล้ว แต่พออายุ 80 ปี ก็ตายเสียแล้ว ... ได้พักแค่ 20 ปีเท่านั้นเอง

ตายปุ๊บ สมมุติเกิดปั๊บ เป็นเด็กทารกใหม่ ก็เริ่มวงจรเดิม เกิดมาแล้ว 3 ขวบก็เข้าโรงเรียน เรียนไปจนอายุ 20 ปี จบออกม ทำงานหาเงินและพบคนรัก แต่งงาน มีลูก ทำมาหากินมาทั้งชีวิต พออายุ 60 ปี ก็เกษียรอายุ ก็คิดว่าเออ .... ได้พักเสียที แต่อายุ 75 ปี ก็ตาย .... ได้พักแค่ 15 ปี

ก็มาเกิดวงจรเดิม เป็นเด็กทารก เรียน ทำงานหาเงิน แต่งงานมีครอบครัว ทำมาหากิน มีลูก พอลูกมีงานทำ เราก็เกษียรอายุ 60 ปีพอดี เออ...ได้พักเสียที แต่ 70 ปี ก็ตายแล้วเพราะโรครุมเร้า ได้พักแค่ 10 ปีเอง

ก็มาเกิดวงจรเดิมอีก เป็นเด็กทารกใหม่ เริ่มต้นเรียนใหม่ ทำมาหากินกันใหม่ แต่งงาน มีลูก แล้วก็เกษียร เออ...ได้พักเสียที แต่พอ 85 ปีก็ตายแล้ว เออ...ชาตินี้ได้พักนานหน่อย 25 ปี

ก็เกิดใหม่อีก เรียนอีก ทำงานอีก มีครอบครัวอีก หาเงินเลี้ยงลูกอีก อายุ 60 ปี จะได้พักสักหน่อย ก็เจ็บ ก็ตายอีกแล้ว

แล้วก็ต้องวนมาเกิดเป็นเด็กใหม่อีก เรียนอีก ทำงานอีก เลี้ยงลูกอีก เจ็บอีก ตายอีก อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

ดังนั้น ตอนนี้แค่คิดว่า ต้องเกิดมาเป็นเด็กใหม่อีกหรือ ต้องเรียนกันใหม่อีกหรือ แค่นี้ก็เบื่อแล้ว ทุกข์แล้ว

เพราะตราบใดยังต้อง เกิดมาเพื่อทำมาหากิน ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น

นี่ยังกล่าวแค่การเกิด ดำรงชีวิต ทำมาหากินแบบปกติ ยังไม่ได้รวมในแต่ละชาติที่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วย ความทุกข์ทรมาณ ความผิดหวัง ความสมหวัง ความสุข ความทุกข์ ที่ปนเปกันไปในแต่ละขณะในแต่ละชาติด้วยนะ

แค่คิดว่า ต้องเกิดอีกแล้ว เป็นเด็กอีกแล้ว ต้องตะเกียกตะกายอย่างเดิมซ้ำ ๆ อีกแล้ว แค่นี้ก็จะเห็นความน่าเบื่อหน่ายในวัฏฏะสงสาร ความไม่อยากที่จะต้องมาเกิดซ้ำ ๆ แบบนี้อีกแล้ว

ยิ่งหากเกิดมาแล้วไม่พบธรรมะ ที่จะนำพาให้พ้นทุกข์ได้ ก็ยิ่งเสียเวลาในการเกิดแต่ละชาติเป็นอย่างยิ่ง ต้องวนเวียนอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

นี่ยังไม่นับ ในการไปแวะเกิดเป็นสัตว์บ้าง ในภพอื่น ๆ บ้าง ในบางชาติ ตามวิบากกรรมที่สร้างในแต่ละชาตินะ

ถ้ามองเห็น ถ้าพิจารณาตาม ก็จะเห็นความน่าเบื่อหน่าย น่าเอน็จอนาถในการเกิดบ่อย ๆ เกิดซ้ำ ๆ เกิดแล้วเกิดอีก เมื่อไรจะสิ้นสุดเสียที

แต่เพราะความไม่รู้ การเกิดมาแต่ละชาติ ก็เหมือนรู้สึกว่าเป็นของใหม่ เป็นคนใหม่ เป็นตัวเราของเราชาตินี้ วันนี้ จึงกอบโกย ทำมาหากิน สะสมเงินทอง เป็นร้อยล้านพันล้าน ตายไปก็เอาไปไม่ได้

ต้องเวียนไปเกิดเป็นเด็กใหม่ แล้วตะเกียกตะกายสะสมกันใหม่อีก ไม่รู้จบสิ้น

ก็เป็นอีกมุมมองหนึ่ง ที่ผู้มองเห็น จากผู้ที่มาจากดวงดาวอื่น ผู้ที่มีอายุหลายหมื่นปี มาบอกให้เห็นความน่าเวทนาของการเวียนว่ายตายเกิด ในภพมนุษย์นี้ ซึ่งมีอายุสั้นนัก แค่ 100 ปี ก็ตายกันแล้ว

จะยังยึดมั่นถือมั่นกันอยู่ทำไม ?

 

อืม...ม์.....โดนอย่างแรง

 

เก็บตกภาพบรรยากาศ คืนวันที่ 11 ตุลาคม 2551

 

เก็บตกภาพบรรยากาศ คืนวันที่ 11 ตุลาคม 2551