หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ บูชาเจ้าเขา

    ไม่มีใครทราบว่าชาวบ้านและคนที่สัญจรเดินทางผ่านมาบูชากันมานานเท่าไร แต่ดอกบัวที่ยังไม่สลายกลายเป็นดินนั้นกองใหญ่มาก ท่านมองดูกองดอกบัวแล้ว ท่านก็ขนหัวลุก เพราะกองใหญ่ขนาดสักคันรถใหญ่ได้ แม้แต่ชาวบ้านที่มาทำบุญให้ทานกับท่าน เมื่อจะกลับก็ยังแอบไปถวายดอกบัวเสียก่อนจึงกลับ บางคนบอกว่า ถ้าขึ้นเขาลูกนี้แล้วไม่ได้ถวายดอกบัว เหมือนกับเจ้าเขาจะตามไปทำร้าย ไม่สบายใจเมื่อได้ถวายดอกบัวแล้วจึงได้สบายใจ

    คืนวันหนึ่ง ท่านหลวงปู่บุญได้ชวนผ้าขาวไปดูกองดอกบัวที่ชาวบ้านถวาย เมื่อไปถึง ท่านนั่งพิจารณาว่า ชาวบ้านและคนเดินทางสัญจรผ่านมาเขาทำไม้เหมือนกับของลับผู้ชาย แล้วเอามาวางไว้ที่นี่ก็เพราะความกลัวว่า ถ้าไม่ทำ เจ้าเขาลูกนี้จะตามไปทำร้าย หลวงปู่บุญรำพึงในใจว่า ถ้าหากเราไม่ทำลายเสียก็จะเป็นโรคติดต่อไปนานแสนนาน เราจะขอบูชาหัวดอกรักนี้ด้วยไฟแทนดอกบัว ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านและคนเดินทางสัญจรผ่านไปมาจะได้เลิกหวาดกลัวเขาลูกนี้อีกต่อไป เมื่อคนทั้งหลายเห็นไฟไหม้แล้ว ความหวาดกลัวก็จะไม่มีใครคิดทำขึ้นอีก

    เมื่อท่านคิดได้เช่นนี้แล้วก็บอกให้ผ้าขาวพิจารณาดูกองดอกบัวของเจ้าป่าเจ้าเขา ด้วยปิยโวหารว่า “ผ้าขาว เจ้าจงพิจารณากองดอกบัวอันนี้อย่าให้เหลือ พิจารณาดูให้ละเอียด” ถ้าผู้ได้รับการฝึกอบรมจากครูบาอาจารย์ดีแล้วก็จะรู้ความหมายทันทีว่า ท่านหลวงปู่บุญสั่งให้เอาไฟจุดหัวดอกรักของเจ้าเขา ผ้าขาวก็จัดการทันที

    แกก็พูดขึ้นดังๆ ว่า “เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าถ้ำพระลานม่วงก็ดี อย่าได้มาโกรธข้าพเจ้าเด้อ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ที่ทำตามคำสั่งของครูบาอาจารย์เท่านั้น”

    ก็เป็นอันว่าไฟไหม้กองดอกบัวของเจ้าเขาหมด ขณะที่ไฟกำลังไหม้ลุกโพลงอยู่นั้น ชาวบ้านทั้งใกล้ทั้งไกลมองเห็นกันทั่ว เพราะกองดอกบัวกองใหญ่มากและจุดในเวลากลางคืนประมาณทุ่มกว่าๆ จากนั้น ท่านกับผ้าขาวก็กลับที่พัก เตรียมตัวรับมือกับเจ้าของดอกบัวที่จะตามมาต่อว่าในคืนนี้ ท่านนั่งภาวนาคอยเจ้าของดอกรักอยู่ตลอดทั้งคืนก็ไม่เห็นมาหาท่าน

    พอใกล้สว่าง ท่านคิดว่าเจ้าป่าคงไม่กล้าตามมาต่อว่าแน่ ท่านจึงลงไปเดินจงกรม ในขณะที่ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงสัตว์ดังมาจากป่าใกล้ทางเดินจงกรม แต่ไม่เห็นตัว มันทำเสียงดังอยู่ตลอดเวลา จนท่านรำคาญเสียงเจ้าสัตว์ตัวนั้น ท่านคอยอยู่นานจะให้มันหนีไปเอง มันไม่ยอมหนี ยิ่งทำเสียงดังขึ้นกว่าเดิม ท่านจึงคิดจะไล่ให้มันไปหากินที่อื่น เพราะที่นี่ท่านเดินจงกรมอยู่ ท่านหนวกหูท่าน แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า จงไปหากินทางอื่นเถิด ทางนี้เรากำลังทำความเพียรเดินจงกรมอยู่ แล้วท่านก็โยนก้อนดินไปหวังจะให้ตกใกล้ๆ ตัวมัน พอก้อนดินตกถึงพื้น เจ้าสัตว์ตัวนั้นก็แหวกป่ากระโดดเข้าใส่ท่านทันที ท่านยังไม่ได้เตรียมตัว เพราะไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น พอสัตว์ตัวนั้นกระโดดเข้าใส่ ท่านก็หลบ พร้อมกับร้องขึ้นจนหมู่คณะได้ยินเสียงท่านก็รีบมาดู เมื่อมันกระโดดไม่ถูกตัว มันก็วิ่งผ่านลงไปข้างล่าง เหตุที่ท่านร้องนั้น เพราะหลบสัตว์พลาดท่าเลยหกล้ม

    หลังจากที่ท่านได้เผาหัวดอกรักของเจ้าป่าเจ้าเขาแห่งนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านและคนเดินทางสัญจรผ่านไปมาก็ไม่มีใครคิดจะถวายดอกบัวแก่เจ้าป่าเจ้าเขาแห่งนี้อีกเลย และก็สามารถเดินทางผ่านไปได้อย่างสบายไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนอย่างแต่ก่อน และก็ไม่ได้ยินว่าเจ้าป่าเจ้าเขาลูกนี้ไปเข้าสิงผู้ใดอีกเลย ทั้งนี้ เพราะอัญญาธรรมหรือพระกรรมฐานนั่นแหละไปลบล้างออก ชาวบ้านจึงทิ้งผี หันมาไหว้พระ สักการบูชานับถือพระรัตนตรัยแทนตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

    ฉะนั้น เรื่องที่ท่านได้เผชิญมากับสิ่งต่างๆ บางเรื่องประทับใจท่านอยู่ไม่น้อย ท่านจึงนำมาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังอยู่เสมอ ถึงเรื่องนั้นจะผ่านไปนานแสนนาน เพราะความที่ท่านได้เอาชีวิตจิตใจเข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนี่แหละ เป็นเหตุให้ท่านลืมได้ยาก
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ ผีกุฏิตาอวย

    ดังเรื่องเมื่อครั้งท่านได้บวชเป็นผ้าขาวติดตามท่านอาจารย์พร สุมโน เข้าป่าขึ้นเขาไปภาวนาและพักอยู่ตามที่ต่างๆ บางแห่งท่านนั่งกลัวตัวสั่นตลอดคืน บางแห่งพอท่านได้ทราบข่าวเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไปพักเท่านั้น ท่านก็เกิดความกลัวขึ้นมาก่อน ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เข้าไปพักที่นั่นเลย ดังเรื่องนี้

    ในปี พ.ศ.๒๔๗๓ ท่านบวชเป็นผ้าขาวได้ประมาณ ๖ เดือน ท่านอาจารย์พร สุมโน ได้พาท่านเข้าไปพักอยู่ที่กุฏิตาอวย ที่นี่เป็นสถานที่ขึ้นชื่อลือนามของคนแถบนั้นว่า ผีกุฏิตาอวยนี้ดุนัก ชาวบ้านมีความหวาดกลัวมาก กิติศัพท์ความร้ายกาจของเจ้ากุฏิตาอวยร่ำลือไปเข้าหูของท่านอาจารย์พรว่า ใครจะเข้าไปพักอยู่หรือทำมาหากินในที่นั้นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเจ้าที่แรงมาก สามารถหักคอคนได้ ถ้าใครไปทำผิดเจ้ากุฏินี้เข้าและไม่รีบนำเหล้าไหไก่ตัวไปแก้แล้ว มีหวังนอนไหลตาย หรือมิฉะนั้นก็กลัวมากจนเสียสติกลายเป็นบ้าไป บางคนถูกเจ้ากุฏิตาอวยเข้าสิงกาย เป็นคนดุ คุ้มดีคุ้มร้าย ญาติพี่น้องต้องวิ่งหาหมอธรรมมาชำระล้างอาถรรพ์ของเจ้ากุฏิ มีหมอธรรมบางคนจะมารักษาผู้ป่วยโรคผีกุฏิตาอวย แต่ก็ถูกเจ้ากุฏิเล่นงานเอาจนถึงกับวิ่งหนีก็มี หมอปราบผีบางคน พอทราบข่าวว่าเขาจะให้ไปไล่ผีกุฏิตาอวยเท่านั้น ก็รีบปฏิเสธบอกว่าตัวเองไม่มีวิชาพอที่จะไปไล่ผีกุฏิตาอวย แล้วก็เลิกหากินทางปราบผีมานานแล้ว ส่วนหมอปราบผีที่ไม่รู้ฤทธิ์เดชเจ้ากุฏิผีตาอวยก็ไปรักษาขับไล่ เมื่อไปถึงก็ประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ ขณะที่ประกอบพิธีอยู่นั้น แกก็เป็นลมล้มฟุบลงกับพื้นเรือนนั้น คนที่มาดูวิธีไล่ผีของแกต้องช่วยกันนวดเฟ้นให้ พอแกฟื้นจากลมจับได้สติแล้ว แกจึงบอกลาเจ้าของบ้านลงเรือนไป

    เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นคำพูดคำเล่าของคนเฒ่าคนแก่ที่พูดเล่าไว้นานแล้ว ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านแล้ว ไม่เชื่อ แต่ก็จงอย่าได้ลบหลู่ ว่าจะมีผีหวงแหนที่อยู่นั้นมีจริงหรือไม่ แต่ว่าคนแถบนั้นก็ยังเกรงกลัวอยู่ตามคำเล่าลือตลอดมา

    เมื่อท่านอาจารย์พรได้เที่ยววิเวกมาตามลำน้ำชี ได้ทราบข่าวดังนั้น ก็คิดจะพาผ้าขาวบุญไปพักภาวนาที่นั่น จะได้แผ่เมตตาให้กับเจ้ากุฏินี้เลิกจากความดุร้ายกลายเป็นผีที่มีเมตตา ไม่ไปรบกวนชาวบ้านอีก สำหรับท่านอาจารย์พร ท่านเคยติดตามปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่กับท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปอยู่วัด พอท่านได้ทราบข่าวว่าสถานที่ใดศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะต้องไปอยู่ที่นั่นเพราะนิสัยที่ท่านได้รับมาจากท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต นี่แหละ ท่านจึงได้พาผ้าขาวบุญเดินทางไปบ้านกูดตะกาบ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้กุฏิตาอวย ท่านเข้าไปในหมู่บ้าน แล้วบอกความประสงค์ให้ชาวบ้านทราบว่าท่านจะเข้าไปพักอยู่ที่นั่น ชาวบ้านก็ไม่เห็นด้วย เพราะเขากลัวเจ้าผีตาอวยจะมารบกวนทางบ้าน แต่ท่านอาจารย์พรก็รับว่า จะไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้นกับชาวบ้าน ท่านยังได้บอกอีกว่า “ถ้าอาตมาอยู่ได้ จะไม่ให้ชาวบ้านกลัวผีตาอวยนี้อีกต่อไป”

    สถานที่ผู้คนเกรงขามอย่างกุฏิตาอวยนี้ ท่านเคยอยู่มาแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นกับชาวบ้าน และภายหลัง สถานที่นั้นก็กลายเป็นไร่เป็นนาไปหมด แล้วท่านก็สรุปว่า ถ้าอาตมาอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้ ก็จะไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อนเรื่องกุฏิผีตาอวยจะมาทำร้าย คนในหมู่บ้านที่มาพูดกับท่านบางคนก็เชื่อผีมากกว่าเชื่อพระ ยืนกรานคำเดียวว่าจะไม่ให้ท่านเข้าไปอยู่ คิดดูแล้วเหมือนกับวงศาตาทวดพร้อมทั้งตนเองเคยเห็นผีมาแล้ว แม้แต่ขี้ของผี หรือรอยของผีก็ยังไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้จัก เพียงแต่ได้ยินชื่อของผีเท่านั้นก็รับเป็นตัวแทนของผีมาพูดกับพระ จะไม่ยอมให้พระเข้าไปอยู่ในที่นั้น นอกจากนั้นยังพรรณนาความเก่งกาจของผีให้พระฟังเพื่อท่านจะได้เกิดความกลัว ไม่คิดที่จะไปอยู่ แถมยังพูดว่า ถ้าไม่เก่งจริง พอเข้าไปอยู่แล้วอาจเป็นบ้าเสียคน อย่างผ้าขาวคนนี้ เขาชี้มือมาที่ผ้าขาวบุญ และพูดทำนองว่าห่วงผ้าขาว กลัวผ้าขาวจะเป็นบ้าเสียจริต เพราะผีกุฏินี้เคยทำอันตรายคนมามากแล้ว ส่วนผ้าขาวบุญ พอตัวแทนผีชี้มือมาก็ขนหัวลุกขึ้นทั้งตัว เกิดความกลัวจนขาสั่น ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นเจ้าของกุฏิตาอวยเลย เพียงได้ยินแต่ชื่อและคุณวิเศษเท่านั้นก็เป็นเหตุให้ขาสั่นแล้ว
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ตกลงชาวบ้านที่เชื่อพระก็จำใจต้องไปส่งท่านที่กุฏิตาอวย เมื่อไปถึง ท่านก็ให้โยมทำแคร่ ๒ แห่ง ห่างกันประมาณ ๓ เส้น (เส้นหนึ่ง ๒๕ เมตร) ที่นี่ ก็เป็นสถานที่ธรรมดาไม่น่ากลัวอะไร มีป่าโปร่งและหนองน้ำ สิ่งที่ทำให้ที่นี่น่าเกรงขามก็คือ คำพูดของชาวบ้าน สังเกตดูต้นไม้บริเวณนี้ไม่มีใครตัดเลย แสดงให้ท่านเห็นว่า สถานที่นี่เป็นที่เคารพยำเกรงของชาวบ้านแถบนั้น

    เมื่อชาวบ้านมาส่งพร้อมกับทำแคร่และทางเดินจงกรมให้เสร็จแล้ว เขาก็ลากลับ ส่วนผ้าขาวบุญก็คิดหาวิธีเตรียมรับมือผีกุฏิตาอวยถ้าหากมาจริงๆ ก่อนค่ำวันนั้น ท่านได้ทำวัตรปฏิบัติอาจารย์ตามที่ได้เคยปฏิบัติมาเป็นประจำวัน ท่านอาจารย์พรได้ให้โอวาทแก่ผ้าขาวบุญเป็นใจความว่า

    “สถานที่บางแห่งถึงจะศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ก็พบเห็นได้เฉพาะคนบางคนเท่านั้น มิใช่ว่าจะพบเห็นได้ทุกคนไป พูดถึงผี ไม่มีผีตัวไหนที่ร้ายกาจเท่ากับผีที่มีอยู่ในตัวเรา ผีตัวนี้หลอกให้คนร้องไห้ก็ได้ หลอกให้คนหัวเราะก็ได้ หลอกให้มือเท้าหรืออวัยวะสั่นก็ได้ เจ้าอย่าคิดอะไรมากนัก เพราะความคิดว่าจะมีผีจริงตามคำพูดของชาวบ้านผู้ที่ห่างไกลจากศีลธรรม ห่างไกลจากการปฏิบัติเพื่อความรู้ยิ่ง รู้จริง เพียงได้ยินคนอื่นพูด จะเท็จหรือจริงก็เก็บเอามาพูด ซึ่งเป็นการข่มขวัญคนอื่นให้เกิดความกลัวไปด้วย ที่ชาวบ้านเขาพูดกันนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเรามีศีลธรรม ความเป็นคนมีศีลธรรมนี่แหละ จะไปสู่สถานที่ใดก็ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีอะไรมารบกวนให้เดือดร้อน นอกจากความขี้ขลาดซึ่งเป็นตัวมารร้ายกาจที่อยู่ในหัวใจของเรานี่แหละจะมาหลอกหลอนรบกวนตัวเองให้เดือดร้อน ให้หาวิธีกำจัดผีตัวนี้ให้ได้ อย่าให้เหลือ เมื่อผีตัวขี้ขลาดหวาดกลัวไม่มีอยู่ในหัวใจแล้ว จะไม่มีอะไรมารบกวนหลอกหลอนจิตให้สะดุ้งได้อีก ผีภายนอกมันก็อยู่เฉพาะผี มันคนละภพคนละภูมิกันกับเรา จะไปคิดกลัวทำไม ความกลัว ความขี้ขลาดนี่แหละเป็นผีตัวร้ายกาจ ให้จำหน้าผีที่มาหลอกหลอนนั้นให้ดี ไม่ว่าไปที่ไหนหรืออยู่ที่ไหน

    พอใบไม้ร่วง ด้วงกัดกิ่งไม้หัก ก็ไปโทษผีว่ามันมาหลอก หาเรื่องใส่ผีโดยไม่ทราบว่ามีผีจริงหรือไม่ ก็เพราะใจดวงโง่ๆ นี่แหละจึงได้เพ่งเล็งไปหาผีซึ่งอยู่ห่างกันคนละภพคนละภูมิ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นหน้ากันเลย มองไปแต่ข้างนอก ไม่มองเข้ามาข้างในดูความโง่ของตัวเอง ที่มันหลอกหลอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งใบไม้ร่วงมันก็บอกว่าผีทำ จะมีใครอยู่หรือไม่อยู่มันก็ร่วงไปตามธรรมชาติของมัน ขนาดนั้นแหละความขี้ขลาด เพียงแต่ใบไม้ร่วงมันก็หลอกเราให้ขนหัวลุกได้ ถ้าไม่คิดกำจัดมัน ความขี้ขลาดจะทำให้เราสะดุ้งกลัวอยู่ตลอดเวลา จะหาสถานที่สงบสงัดเพื่อบำเพ็ญภาวนาได้ยาก

    ฉะนั้น ระวังคืนนี้ผีขี้ขลาดจะมาหลอก เตรียมรับมือไว้ให้ดี สติปัญญารู้เท่าทันอารมณ์แห่งความขี้ขลาดของจิต ถ้าไม่รู้เท่าทันมันแล้ว พอมีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่ปลวกตัวเล็กนิดเดียวมันสั่นหัวของมัน ใจขี้ขลาดจะรีบวิ่งไปเอามาหลอกให้ขนหัวลุกทันที ส่วนผีจริงๆ เขาไม่ได้มายุ่งกับเรา ถ้ามาก็เพียงแต่มาถามข่าวดูเท่านั้น อย่าว่าเขามาหลอก ให้คิดว่าเขามาดูว่าเราภาวนาหรือไม่ หรือเราเข้ามายืนกลัว นั่นกลัว นอนกลัว ซึ่งผิดกับวาจาจิตที่คิดไว้ว่าจะมาภาวนา นี่แหละผีมันอยากมาดูตรงนี้แหละ ถ้าเข้ามากลัว ก็เป็นอันว่าตัวเองกลายเป็นผีหลอกตัวเอง หลอกทั้งคนอื่นที่เขาคิดว่าเรามาภาวนา ฉะนั้น คืนนี้ให้กระทำบำเพ็ญสมกับเข้าป่ามาภาวนาจริงๆ อย่ามากลัวเป็นอันขาด”
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    พอท่านอาจารย์พรให้โอวาทเสร็จแล้ว ท่านก็บอกให้ผ้าขาวบุญกลับที่พัก จิตใจของผ้าขาวบุญขณะเดินกลับมาเมื่อความมืดเข้าปกคลุมนั้น ก็รู้สึกเกรงขามสถานที่ ยิ่งมืดขึ้นทุกทีจิตใจก็ยิ่งหมอบราบลง ส่วนความขี้ขลาดกำลังตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อจะได้หัวเราะใจที่กำลังหมอบราบให้กับมัน ถึงที่พักแล้ว ท่านก็เข้าทางเดินจงกรม เดินกลับไปกลับมา แต่จิตใจก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในองค์ภาวนา ไปคิดรำพึงถึงคำพูดของชาวบ้านและโอวาทที่ท่านอาจารย์ให้มาแก้ไขจิตไม่ให้กลัวมากเกินไปจนถึงกับภาวนาไม่ได้ แต่ก็ดีใจอยู่อย่างหนึ่ง เพราะได้เห็นพระจันทร์กำลังโผล่ขึ้นมาพอจะช่วยบรรเทาความกลัวได้อีกทางหนึ่ง ท่านเดินจงกรมอยู่ประมาณ ๑ ทุ่มก็เข้ามุ้งกลด ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วนั่งภาวนาต่อ

    จนถึงประมาณ ๓ ทุ่มลงไปเดินจงกรมอีก จิตใจไม่กลัวเท่าไร เดินไปได้ไม่นาน พลันก็มีลมพัดทำให้ขนหัวลุก กำลังคิดปลอบใจตัวเองอยู่ก็มีเสียงดังขึ้นตรงหัวทางเดินจงกรมที่จะเดินกลับไปอีก มองไปก็เหมือนคนมานั่งอยู่หัวทางจงกรม แต่ไม่ชัด เพราะเดือนสลัวๆ ประจวบกับเงาไม้บัง จึงแข็งใจไปอยู่ใกล้ๆ ก็เห็นชัด เป็นอีเห็นตัวใหญ่ยืนมองดูท่าน ท่านก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ มันก็กระโดดเข้าป่าตุบเดียวเงียบ ไม่มีเสียงวิ่งไปไหน ผ้าขาวบุญไม่สนใจตัวอีเห็น แต่พอหันกลับจะเดินไปข้างหน้าก็เห็นสัตว์ตัวนั้นยืนมองท่านอยู่ที่หัวทางจงกรมอีก ทีนี้ ผ้าขาวบุญแปลกใจ ไม่มีเสียงวิ่ง แต่ทำไมไปปรากฏตัวที่นั้นอีก ท่านรีบเดินไปให้ถึงสัตว์นั้นพร้อมกับคิดในใจว่า ลมก็พัดวนเวียนอยู่อย่างนี้ ถ้าอีเห็นหายไปอีกคงจะเป็นเจ้าของกุฏิแน่นอน แล้วก็เป็นดังที่คิด พอท่านเดินเข้าไปใกล้อีเห็นก็กระโดดเข้าป่าตุบเดียวหายเงียบ มีแต่ลมพัดวนเวียนไปมา ท่านเห็นท่าไม่ดีจึงหยุดเดิน ยืนคิดปลอบใจตัวเองตามที่ท่านอาจารย์บอกไว้แต่หัวค่ำว่า จะกลัวไปทำไม ในเมื่อเจ้าของบ้านผู้อารีมาต้อนรับถามข่าว ผ้าขาวบุญได้บอกกับเจ้าของกุฏิในใจว่า

    “สิ่งที่ปรากฏแก่ข้าพเจ้านี้ ถ้าหากเป็นเจ้าของกุฏิมาเยี่ยมถามข่าวจริงแล้ว จงรับทราบไว้เถิดว่า ข้าพเจ้าชื่อผ้าขาวบุญ ได้ติดตามท่านอาจารย์มาภาวนาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าที่เจ้าทางที่สิงสถิตอยู่ในสถานที่นี้ ขอท่านจงรับเอาส่วนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าอุทิศไปให้ ขอจงมีความสุขทุกอริยบถเถิด อย่ามารบกวนข้าพเจ้าเลย”

    แล้วผ้าขาวบุญก็สงบจิตแผ่เมตตาให้เจ้าของกุฏิ จากนั้นแข็งใจเดินจงกรมต่อไป จิตใจบริกรรมพุทโธอยู่อย่างไม่ลดละ หัวใจสั่นระริกๆ อยู่ตลอดเวลา จะให้หยุดกลัว คืนนั้นผ้าขาวบุญไม่ได้นอนเลย

    พอรุ่งอรุณของวันใหม่ก็รีบไปปฏิบัติท่านอาจารย์ ได้เวลาออกบิณฑบาตก็ไปส่งบาตรท่าน คิดว่าท่านจะถาม ท่านก็ไม่ถาม ตลอดวันนั้นทั้งวันท่านก็ไม่ถาม ก่อนค่ำวันที่สองก็ได้เข้าไปปฏิบัติเช่นเคย เสร็จกิจแล้ว ผ้าขาวบุญก็เล่าเรื่องเจ้าของกุฏิแปลงเป็นอีเห็นให้ท่านอาจารย์ฟัง ท่านฟังแล้วก็หัวเราะอยู่ในลำคอแล้วก็พูดว่า

    “ความจริงมันก็มีเท่านั้นแหละ ไม่เหมือนอย่างที่ชาวบ้านเขาพูดดอก ผีที่ไหนจะมาทำให้ผ้าขาวเป็นบ้าเป็นบอไปได้ ไม่มีดอก มีแต่คนไร้ศีลธรรมนั่นแหละ เพราะกามลามกของตัวทำให้ตัวเองเป็นบ้า แล้วก็ไปโทษสิ่งอื่น ไม่รู้ว่าตัวเองขาดศีลธรรมเป็นที่พึ่ง ในเมื่อตัวเองโสมมอยู่กับความชั่ว ความสะดุ้งหวาดกลัวก็มีมาก เวรภัยก็มีมาก จิตใจก็ระส่ำระสาย มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นก็ไปเหมาเอาว่าผีกุฏินั้นกุฏินี้มาทำ นี่แหละจิตใจไม่มีศีลธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ดูญาติโยมบางหมู่บ้านที่ผ่านมา พอเห็นพระมาก็อยากได้น้ำมนต์ เครื่องรางของขลังเอาไปกำจัดเสนียดจัญไร เอาไปไล่ผี กำจัดบ้า ป้องกันศาสตราสารพัด ส่วนศีลธรรมที่จะไปดับแหตุเสนียดจัญไรเขาไม่อยากได้ดอก”

    เมื่อสมควรแก่เวลาแล้ว ท่านก็ให้ผ้าขาวบุญกลับที่พัก จากนั้นมาก็ไม่มีอะไรอีก จนกระทั่งออกไปจากที่นั่น

    ส่วนชาวบ้าน เมื่อเห็นท่านอยู่ด้วยความสงบสุข ทั้งหมู่บ้านก็อยู่ด้วยความสงบสุขไม่มีอะไรไปรบกวน ซึ่งผิดกับที่เขาคิดไว้ว่า ถ้าพระเข้าไปอยู่ที่นั่นแล้วผีกุฏิตาอวยจะมารบกวนชาวบ้าน แต่ท่านเข้าไปอยู่แล้วก็ไม่เห็นเป็นไปตามที่ชาวบ้านคิด ก็เกิดความศรัทธาเคารพนับถือท่านมาก ไม่อยากให้ท่านออกไปจากที่นั่นเลย

    สำหรับเรื่องราวของผู้ที่เข้าป่าภาวนา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือโยมผู้ติดตาม บางแห่งถ้าไม่อดทนจริงๆ ก็อยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะพักอยู่หรือเดินผ่านไป เต็มไปด้วยความระมัดระวังภัย
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    เจ้าที่บ้านโคกดินแดง

    สมัยที่ท่านหลวงปู่บุญ ชินวํโส พักอยู่ที่วัดบูรพารามบ้านโคกสำราญใหม่ๆ พอออกพรรษาแล้วได้ออกเที่ยววิเวกไปตามป่าเขาหรือสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่คนเข้าไปทำมาหากินไม่ได้ ท่านก็เข้าไปพักภาวนาที่นั่น แล้วก็บอกให้เขาไปอยู่ทำไร่นาที่นั้นได้ ดังจะได้นำเอาเรื่องของท่านที่เข้าไปภาวนาเพื่อขอสถานที่แห่งนั้นกับผีมาเล่าให้ท่านฟังสักเรื่องหนึ่งดังนี้

    มีโยมบ้านโคกดินแดง ชื่อนายแสงและนางแดง ได้มานิมนต์ท่านไปภาวนาแผ่เมตตาในสถานที่ของแก แกบอกว่าจับจองสถานที่ไว้แล้ว พอเข้าไปทำมาหากินก็มีอันเป็นไปต่างๆ นานา ไม่สบายกันทั้งครอบครัว เหมือนกับว่ามีภูตผีหวงแหนอยู่ ท่านรับนิมนต์แล้วก็เข้าไปภาวนาอยู่ ที่นั่นมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลึกมาก มีน้ำขังอยู่ตลอดฤดูแล้ง ท่านได้พักอยู่ใกล้หนองน้ำนี้ อาศัยน้ำนั้นบริโภค จนกระทั่งถึงคืนที่สี่ ใกล้จะสว่าง ท่านเดินไปล้างหน้าที่หนองน้ำนั้นซึ่งเคยเป็นที่เคยล้างเป็นประจำทุกเช้า เมื่อไปถึง ท่านก็ยื่นมือลงไปกวักน้ำขึ้นมา แต่ก็ไม่ดื่มน้ำ พอสว่างขึ้นท่านจึงเห็นว่าน้ำในหนองใหญ่หายไปหมด เหลือแต่โคลนตม แม้แต่ปูปลากุ้งหอยในน้ำก็ไม่มีเหลืออยู่สักตัว มันหายไปหมด ท่านได้ทบทวนดูเหตุการณ์เมื่อตอนกลางคืน จึงได้รู้ว่า ขณะที่ท่านนั่งภาวนาปรากฏในนิมิตว่า มีผู้คนมากมายทั้งชายทั้งหญิงมากราบลาท่าน บอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น และได้มอบสถานที่แห่งนี้ให้ท่าน ในคืนนั้นก็เงียบผิดปรกติ ซึ่งคืนก่อนๆ จะได้ยินเสียงปลาดำว่ายดำผุดทำให้น้ำเกิดเสียงดังตลอดทั้งคืน ท่านว่าเป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ น้ำในหนองไม่มีที่จะไหลไป เกิดหายไป ตลอดถึงสัตว์น้ำ จึงเป็นเหตุให้คนทั้งหลายที่ได้รู้ได้เห็นเรื่องนี้ พูดกันว่า ในสถานที่นี้มีสิ่งลึกลับหวงแหนอยู่จริง เมื่อย้ายไปจากที่นี่แล้วจึงนำเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไปด้วย แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าสิ่งเหล่านั้นหายไปไหน

    ท่านได้จำพรรษาที่วัดบูรพาราม บ้านโคกสำราญเป็นเวลาหลายปีด้วยกัน ถ้าสถานที่ใดคนเข้าไปทำมาหากินไม่ได้ ท่านจะต้องเข้าพักภาวนาอยู่ในสถานที่นั้นๆ แล้วสถานที่นั้นๆ ก็กลายเป็นสถานที่ธรรมดาขึ้นมา ผู้คนสามารถเข้าไปทำมาหากินได้เป็นปรกติ
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ เสือเดินตาม
    ครั้งหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ไปที่บ้านเปือย และมีโยมชื่อพรหมติดตามไปด้วย ตอนขากลับ ท่านได้เดินข้ามดงพระเจ้าตัดตรงไปยังบ้านโคกสำราญ พอท่านเดินเข้าดงพระเจ้าได้ไม่นาน ก็มีเสือโคร่งตัวใหญ่ตัวหนึ่งเดินตามมาส่งท่านจนพ้นดง ท่านบอกว่าเสือตัวนั้นไม่กล้าทำอะไรท่าน พอท่านหยุดเดิน มันก็หยุดบ้าง พอท่านเดิน มันก็เดินบ้าง บางขณะอยู่ห่างกันประมาณ ๑ เส้น (๒๕ เมตร) บางขณะก็เข้ามาใกล้ท่าน ถ้ามันจะกระโดดเข้าตะครุบท่าน มันกระโดดทีเดียวก็ถึงตัวท่านแล้ว แต่นี่มันเพียงแต่เดินตามท่านไปเฉยๆ ถ้าเวลาไหนเสือเดินเข้ามาใกล้ ท่านจะค่อยๆ เดินแล้วหยุด พอท่านหยุดเดิน เสือก็หยุดนั่งมองดูท่าน เวลาเสืออยู่ห่างท่าน ท่านจะต้องรีบเดินให้เร็วที่สุด พอเสือเห็นท่านเดินเร็ว มันจะรีบเข้ามาใกล้ ตรงไหนทางเลี้ยว มันจะเดินเข้ามาใกล้ประมาณ ๔-๕ วาเท่านั้น ถ้าทางตรงมันจะเดินช้าลงคือมันจะได้เห็นตัวท่านอยู่ตลอดเวลาขณะที่เสือเดินตามท่านอยู่นั้น จิตใจของท่านได้แผ่เมตตาให้มันอยู่ตลอดเวลา พูดถึงความกลัวนั้น ท่านบอกว่า เวลาไหนเสือเดินเข้ามาใกล้ ท่านกลัวจนเข่าอ่อน ส่วนโยมพรหมนั้น พอเห็นเสือเดินตามมาติดๆ ก็รีบเดินเร็วๆ ไปก่อนท่าน เสือเดินตามท่านจนกระทั่งพ้นดงพระเจ้าถึงที่ไร่นา เสือจึงหยุดเดินตาม

    ฉะนั้น เรื่องราวทุกเรื่องที่ท่านได้ผจญมา นับเป็นเรื่องยากแสนยากลำบากจริงๆ
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ ผจญผีโปร่งค่าง

    อีกเรื่องหนึ่ง ท่านกับเพื่อนสหธรรมิกของท่าน คือหลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร ซึ่งปัจจุบันท่านอยู่ที่วัดป่าภูดิน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี พากันเที่ยวหาความวิเวกทางจังหวัดศรีสะเกษ สมัยนั้น บางวันเดินตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ แสนที่จะลำบากจริงๆ ไม่เหมือนกับสมัยนี้ เรื่องอาหารการขบฉันนั้นก็ตามมีตามเกิด บางวันต้องฉันข้าวกับใบมะขามอ่อน บางวันก็ต้องฉันข้าวกับยอดสะเดา มีลูกศิษย์บางคนถามท่านว่าอร่อยหรือเปล่า ท่านตอบว่า เราฉันไปเพื่อให้อยู่รอดไปวันๆ เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่ได้ฉันเพื่อความอยากเพื่อความอร่อยนี่ และบางครั้งท่านก็เที่ยววิเวกไปอยู่กับพวกชาวเผ่าภูไทบ้าง พวกโซ่งบ้าง พวกลาวพวนบ้าง พวกแม้วพวกม้งบ้าง และคนภูเขาเผ่าต่างๆ บ้าง การภาวนาก็สบายดี เพราะต่างคนต่างอยู่ เขาไม่มารบกวนพระเหมือนอย่างทุกวันนี้ดอก

    ท่านได้เที่ยววิเวกไปทางฝั่งลาว ผีโปร่งค่างมารบกวน ลักษณะของมันเหมือนหนู แต่ตัวใหญ่เท่ากับแมว ตัวยาวประมาณ ๑ ศอก ท่านว่าผีพวกนี้ชอบดูดเลือดเป็นอาหาร หน้าตามันเหมือนกับลิง ฟันก็เหมือนฟันของลิงไม่มีผิดเลย ตอนที่ท่านไปภาวนาอยู่ที่นั่น มันมารบกวนอยู่ ๓ วัน ทำให้ท่านไม่ได้พักผ่อนเลย พอหลับตาลงนอนมันจะเข้ามารบกวนทันที ถ้าท่านไม่นอน มันจะอยู่ห่างๆ ประมาณ ๑๐ เมตร มันจะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตามเถาวัลย์ ถ้าเผลอเมื่อไรมันจะมาดูดกินเลือดทันที

    พอถึงวันที่สี่ ท่านก็อธิษฐานว่า ถ้าเคยมีเวรกรรมต่อกัน เราจะใช้กรรมให้ท่าน แต่ถ้าเราไม่เคยมีเวรกรรมต่อกันแล้วก็อย่ามารบกวนเรา เราจะภาวนาแผ่บุญกุศลไปให้ ท่านอธิษฐานแล้วก็นั่งภาวนาต่อไป พอออกจากที่ภาวนา ผีโปร่งค่างที่มารบกวนอยู่นั้นไม่รู้หายไปไหน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เห็นวี่แววของมันอีกเลย

    เรื่องแบบนี้ บางคนก็ไม่เชื่อ คิดว่าคนสมัยก่อนเห็นอะไรเป็นผีไปหมด คนสมัยนี้กับคนสมัยนั้นไม่เหมือนกัน ดูแต่จิตใจก็รู้ เรื่องผีเรื่องสาง เรื่องเทวดา คนไม่เชื่อว่ามีในโลกนี้ ก็อย่าได้ถือสาหาความ ให้นึกเสียว่าเป็นกรรมของผู้นั้น สำหรับครูบาอาจารย์ย่อมเห็น จึงกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะท่านเห็นในโลกธาตุอันนี้ ไม่เหมือนพวกเราซึ่งเป็นพวกหูกระทะ ตาไม้ไผ่

    เมื่อท่านออกจากที่นั้นแล้วก็เที่ยววิเวกต่อไปอีกหลายแห่งในสถานที่ต่างๆ ของทางฝั่งประเทศลาวเป็นเวลานานพอสมควรจึงได้กลับมาประเทศไทย แล้วก็มาจำพรรษาที่วัดประชานิยม บ้านหนองหลวงอีกครั้ง ครั้นออกพรรษาแล้วก็เที่ยววิเวกต่อไป เพราะนิสัยของท่านไม่ชอบอยู่กับที่
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ ผจญผึ้งรังใหญ่

    ในปี พ.ศ.๒๔๘๘ ซึ่งเป็นปีที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอนนั้นท่านจำพรรษาที่วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งปีนั้นท่านอยู่กับหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และหมู่คณะอีกหลายรูปด้วยกัน ท่านเล่าว่า ออกพรรษาแล้ว วันหนึ่งหลวงปู่เสาร์ได้พาลูกศิษย์ไปเที่ยวธุดงค์ที่อำเภอโขงเจียมและนครจำปาศักดิ์ ขณะเที่ยวธุดงค์อยู่นั้นหลวงปู่เสาร์เกิดไม่สบาย ลูกศิษย์ที่เข้ามาปฏิบัติท่านตอน ๔ โมงเย็นได้นิมนต์หลวงปู่ไปสรงน้ำ แต่หลวงปู่เดินไม่ได้เพราะท่านป่วย ลูกศิษย์จึงหาเตียงมาหามท่านไป เพราะหนองน้ำอยู่ไกลมาก พอไปถึงก็วางเตียงลงไว้ใต้ต้นยางต้นหนึ่ง และหมู่คณะสงฆ์ก็พากันไปตักน้ำมาสรงท่าน พอเดินกลับมาใกล้จะถึงตัวท่าน ขณะนั้น ก็มีอีแร้งตัวหนึ่งบินมาที่ต้นยาง ชนเอารังผึ้ง รังใหญ่ประมาณ ๒ วา ซึ่งอยู่บนต้นยางนั้นตกลงมาใส่หลวงปู่พอดี พวกลูกศิษย์เห็นดังนั้น จึงพากันวิ่งมาหามเตียงที่ท่านนอนอยู่ไปที่อื่น ลูกศิษย์อีกพวกหนึ่งก็หลอกล่อไล่ผึ้งไปทางอื่น จากนั้นก็ช่วยกันปฐมพยาบาลหลวงปู่ ลูกศิษย์ถามหลวงปู่ว่า เจ็บมากไหมครับกระผม หลวงปู่ตอบว่า มันต้องเจ็บสิ ผึ้งตั้งรัง ระบมไปหมดทั้งตัวเลย ตอนนั้น หลวงปู่บุญกล่าวว่าสงสารท่านหลวงปู่เสาร์จริงๆ ตัวท่านก็ไม่สบายอยู่แล้ว ยังมาถูกผึ้งต่อยอีก ถ้าพวกลูกศิษย์ไม่พาท่านไป ก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้แน่ หลวงปู่เสาร์เลยพูดถึงเรื่องวินัยว่า “พวกคุณไม่มีสติเลยนะ เป็นอะไรจึงพากันวิ่ง มันผิดวินัย รู้ไหม” พวกลูกศิษย์จึงคิดได้ว่า พวกเรานี้ ไม่มีสติกันจริงๆ

    เมื่อหลวงปู่เสาร์หายดีแล้ว ท่านก็พาลูกศิษย์มาอยู่ที่วัดดอนธาตุ ซึ่งตั้งอยู่ริมลำน้ำชี การไปมาต้องใช้เรือเป็นพาหนะ หลวงปู่เสาร์กล่าวว่า ที่วัดดอนธาตุนี้ การภาวนาดีมาก ถ้าใครเข้ามาอยู่แล้วแต่ไม่ภาวนาเดี๋ยวจะได้เห็นดีกับเจ้าของเขา ซึ่งท่านหมายถึงเจ้าที่ในวัดดอนธาตุนั้น อีกทั้งกับได้อยู่ใกล้หลวงปู่เสาร์ด้วยแล้ว ทำให้การเจริญเมตตาภาวนาดีมาก ไม่มีคำว่าถอยหลัง พอออกจากวัดดอนธาตุ แล้วก็กลับมาอยู่ที่วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้ง
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ ผจญระเบิดสงคราม

    ย้อนมาที่วัดบูรพาราม สมัยที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระยะนั้นท่านหลวงปู่บุญเป็นพระหนุ่ม จะไปเที่ยววิเวกที่ไหนไม่ได้เลย ในระหว่างพรรษานั้น ท่านก็อยู่ที่วัดบูรพาราม บางวันทหารประเทศอื่นมาทิ้งระเบิดในบ้านเมือง ทำความเสียหายให้บ้านเมืองและทำให้ประชาชนเดือดร้อน ข้าวปลาอาหารก็แพง น่าสงสารผู้คนจริงๆ บางวันเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในวัด พอท่านได้ยินเสียงระเบิดเท่านั้น ท่านก็เข้าไปอยู่ในอุโบสถ รีบเร่งทำความเพียร เพราะความตายกำลังจะเข้ามาถึงตัว หลวงปู่เสาร์พูดว่า ถ้าใครไม่อยากตายให้รีบเร่งภาวนาเข้าไว้ มันก็เป็นความจริงตามที่หลวงปู่เสาร์พูด เพราะตอนภาวนาอยู่ในอุโบสถนั้น เครื่องบินทิ้งระเบิดลงในวัด แต่ลูกระเบิดไม่ถูกกุฏิวิหาร แม้แต่อุโบสถก็ไม่ถูกระเบิด น่าอัศจรรย์จริงๆ หลวงปู่เสาร์พูดว่า เพราะบารมีของครูบาอาจารย์คุ้มครองแท้ๆ ส่วนบ้านของประชาชนนั้นพังพินาศหมด ต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวอยู่เสมอ ถ้าได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นต้องวิ่งไปหลุมหลบภัย บางคนกินข้าวยังไม่ทันอิ่มก็มี ถ้าค่ำมาต้องดับไฟหมด เพราะศัตรูจะแลเห็น ทำให้ประชาชนต้องทนทุกข์อยู่กับเสียงระเบิดเป็นเวลานาน

    เรื่องราวประวัติความเป็นมาของท่านหลวงปู่บุญ ชินวํโส ยังมีอีกมากมาย ที่ท่านได้เล่าให้ข้าพเจ้าผู้เรียบเรียง พร้อมกับอัดเทปไว้ ได้คัดมาเฉพาะที่เห็นว่าสมควรจะนำมาเรียบเรียงให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้รู้จักในปฏิปทาของหลวงปู่ ยังมีข้อมูลของหลวงปู่อีกมาก แต่ผู้เรียบเรียงยังไม่กล้านำมาลงเพราะกลัวจะไม่ถูกต้อง จึงต้องรอถามครูบาอาจารย์ผู้อาวุโสมากก่อน แล้วจึงจะนำมาลงเพิ่มเติมในภายภาคหน้าต่อไป ดังนั้น ผู้เรียบเรียงจึงขอยุติการนำประวัติของหลวงปู่บุญ ชินวํโส มาเผยแผ่ไว้แต่เพียงเท่านี้
    :- http://www.baanjompra.com/webboard/thread-1822-3-1.html
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๏ ธรรมเทศนาของหลวงปู่บุญ ชินวํโส

    b42.gif คนเราจะดีจะชั่วก็อยู่ที่ใจ

    คนเราจะดีจะชั่วก็เนื่องมาจากจิตหรือใจตัวเดียวเท่านั้น ความจริงแล้ว จิตหรือใจจะเป็นตัวรับรู้สิ่งภายนอกทั้งหมด ไม่ว่าจะผ่านมาทางอายตนะใด จะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือเข้าสู่ใจ (โดยความนึกคิด) โดยตรง จิตใจจะทำหน้าที่เป็นผู้รับรู้ทั้งสิ้น โดยเหตุที่ จิตรับรู้อารมณ์ได้หลายทางนี้เอง ถ้าจิตไม่ได้รับการอบรมหรือการฝึกฝนมาดีพอ เมื่อมากระทบเข้ากับอารมณ์ที่ผ่านมาทางตาบ้าง ทางหูบ้าง จิตก็ย่อมแส่ส่ายฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ที่เข้ามากระทบ จึงไม่สามารถจะทำให้จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ เรียกว่า จิตไม่มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งหมายความว่า จิตไม่เป็นสมาธินั่นเอง เช่น ตามองไปที่โต๊ะที่มีสิ่งของวางอยู่หลายอย่าง โดยไม่มุ่งหมายเจาะจงดูของสิ่งใด ก็จะไม่รู้ว่ามีของอะไรอยู่บนโต๊ะบ้าง แต่ถ้าเราจ้องมองดูไปที่ของสิ่งหนึ่งบนโต๊ะนั้น แล้วพินิจพิจารณาของสิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียว ในกรณีเช่นนี้ เราจะมีใจจดจ่ออยู่ที่สิ่งนั้น จึงเรียกว่า เรามีสิ่งนั้นเป็นอารมณ์เพียงสิ่งเดียว

    ตามปรกติแล้ว คนเราจะมีสมาธิอยู่ได้ไม่นาน จิตมักจะซัดส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆ อยู่ตลอดเวลาน้อยคนนักที่จะมีสมาธิอยู่ได้นาน และบุคคลที่มีสมาธิเหล่านั้นก็จะเป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้สูงๆ และมีปัญญาเหนือกว่าคนอื่น ซึ่งอันนี้ก็เป็นผลดีของสมาธิอย่างหนึ่งที่สำคัญยิ่ง อย่างไรก็ตาม คนที่มีสมาธิดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีสมาธิอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา แต่หมายถึงว่า เขาสามารถตั้งสมาธิได้ลึกและนานกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง

    สมาธิที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจจดจ่อให้เกิดขึ้นเพื่อขบคิดพิจารณาสิ่งใดนั้น ท่านเรียกว่า ขณิกสมาธิ หมายถึง สมาธิที่เกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราวหรือเป็นขณะๆไป ตามแต่จะต้องการใช้ประโยชน์ คนที่มีสมาธิดีก็คือ คนที่สามารถทำให้เวลาของการมีสมาธิอยู่ได้นานกว่าคนที่มีสมาธิไม่ดี ก็เท่านั้นเอง ระวังจะหลงติดสมาธิ

    การทำสมาธิให้เกิดขึ้นมาในจิตใจนี้มีมาแต่ก่อนครั้งพุทธกาลโน้นแล้ว และเป็นเรื่องของการทำให้จิตมนุษย์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่เนื่องมาจากสมาธิในระดับสูงที่ได้ฝึกให้เกิดขึ้น ทำให้จิตของผู้ฝึกมีความสุขและความสงบของจิตเป็นอันมากด้วย จึงมีผู้เข้าใจกันว่าเป็นจุดสุดยอดของการปฏิบัติทางจิตของมนุษย์ แล้วก็หลงติดอยู่กับสมาธิเหล่านั้น ดังเช่น อุทกดาบสและอาฬารดาบส ผู้เป็นครูของพระพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ ก็เป็นที่เข้าใจผิดเช่นนั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จไปทรงศึกษาด้วยจนบรรลุฌานสมาบัติขั้นสูงแล้วก็ทรงทราบว่า นั่นยังไม่ใช่จุดสุดยอดอย่างแท้จริง เพราะไม่ใช่เป็นการระงับทุกข์ได้อย่างเด็ดขาดเป็นการถาวรนั่นเอง ดังนั้น เจ้าชายสิทธัตถะจึงได้เสด็จไปทรงค้นคว้าต่อด้วยพระองค์เองจนได้ตรัสรู้มรรค ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ได้อย่างเด็ดขาดถาวร

    ในมรรคนี้เอง มีอยู่ ๓ ข้อที่เป็นเรื่องการฝึกสมาธิให้เกิดขึ้น รวมเรียกว่า สมาธิขันธ์ ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงบัญญัติขึ้น เพื่อชี้ให้เห็นว่า สมาธิที่พระองค์ทรงนำมาใช้ประโยชน์ในการระงับทุกข์นั้น ไม่ใช่สมาธิธรรมดาสามัญตามที่เข้าใจกัน หากแต่เป็นสมาธิที่มีลักษณะพิเศษ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิของพระอริยะอันมีเหตุประกอบ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่จิตเป็นอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบด้วยองค์ ๗ เหล่านี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเป็นไฉน

    ภิกษุในวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก วิจาร มีปีติ และสุขแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตใจภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก วิจาร สงบไป ไม่มีวิตก วิจาร มีปีติ และสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ดังนี้”
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    2.jpg
    พระธาตุหลวงปู่บุญ ชินวํโส พรรณะสีทับทิมองค์นี้ได้รับมาจากสามเณร
    วัดป่าศรีสว่างครั้งแรกที่ได้รับมารู้สึกสงสัยว่าจะเป็นพระธาตุจริงหรือเปล่า เพราะมีลักษณะคล้ายพลอยมาก ต่อมาอีกหลายปีจึงอัญเชิญพระธาุตุองค์นี้ไปให้หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่พิจารณา ท่านจึงรับรองว่าเป็นพระธาตุของหลวงปู่บุญ จริง ๆ ให้รักษาไว้ให้ดี
    :- http://www.baanjompra.com/webboard/thread-1822-3-1.html
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๒๕. เปรตวัดตึง ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Oct 6, 2021
    พระภิกษุหนุ่มจากเมืองไทย เดินธุดงค์ไปพบเปรตตนหนึ่งที่วัดตึงเขตเวียงกุนโหลงรัฐฉาน.

     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ภูลังกาแดนอาถรรพ์ | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่ตองแห่งวัดถ้ำชัยมงคล

    100 เรื่องเล่า
    Oct 5, 2021
    ภูลังกาแดนอาถรรพ์ ภูลังกา เป็นเทือกเขาที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดบึงกาฬ ใกล้กับบึงโขงหลง ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นดินแดนอาถรรพ์ เมืองลับแล เมืองพญานาค บังบด รวมไปถึงเทวดาอารักษ์ต่างๆ ที่มีภพภูมิกันเป็นทิพมากมาย และยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐานของพระธุดงค์ที่สำคัญๆ อีกหลายรูป รวมไปถึง หลวงปู่วัง และหลวงปู่ตองท่านก็ได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น บนภูลังกา เมื่อครั้งที่ท่านไปเที่ยวธุดงค์ ปฏิบัติสมณะธรรมด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดถูกประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lptongthanatinno.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่ตอง ฐานทินโณ


    วัดป่าดาลเทพมงคล
    อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
    ◎ ชาติภูมิ
    หลวงปู่ตอง ฐานทินโณ นามเดิมชื่อ ตอง ศรีสาพันธ์ เกิดเมื่อวันจันทร์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ ณ บ้านน้ำเที่ยง ตำบลบ้านส้ง (ซ่ง) อำเภอคำชะอี (ปัจจุบันคือ จังหวัดมุกดาหาร) จังหวัดนครพนม บิดาชื่อ นายจอม และมารดาชื่อ นางเภา ศรีสาพันธ์ ภายหลังบิดามารดาได้อพยพครอบครัวหนีความแห้งแล้งกันดาร มาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านโนนสวนปอ อยู่ใกล้บึงโขงโหลง เขตจังหวัดหนองคาย (ปัจจุบันคือ จังหวัดบึงกาฬ)

    ◎ อุปสมบท
    นายตอง ศรีสาพันธ์ ได้บรรพชาอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ อายุได้ ๔๗ ปี บวชเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยชราแล้ว บวชที่วัดธรรมทูนุสรณ์ อำเภอบึงโหลง จังหวัดหนองคาย โดยมี พระอาจารย์อุ้ม หรือพระครูจันทเขตพิทักษ์ เจ้าคณะอำเภอเซกา เป็นพระอุปัชฌาย์ อำเภอเซกานี้อยู่ใกล้กับบึงโขงโหลง เหตุที่บวชเป็นพระเมื่อแก่เริ่มผมหงอกแล้ว

    หลวงปู่ตองเล่าว่า..

    “ความจริงท่านได้เลื่อมใสในพระศาสนามาตั้งแต่เป็นเด็ก ไปวิ่งเล่นในวัดแล้ว ครั้นเติบใหญ่ก็ไม่มีวาสนาได้บวช เพราะฐานะยากจน ต้องช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาหาเลี้ยงชีพ แบบปากกัดตีนถีบ อยู่ชั่วนาตาปี ต้องผจญกับโลกธรรมต่างๆ มีทั้งสุขและทุกข์

    ที่ว่าสุขนั้นก็เป็นความสุขอย่างแกนๆ แห้งๆ ไปอย่างนั้นเอง ความจริงแล้วมันมีความทุกข์เป็นตัวยืนโรง ดุจแผ่นดินเป็นที่ยืนเหยียบของคนเรา ถึงแม้จะหนีขึ้นไปอยู่บนต้นไม้หรือขึ้นไปอยู่บนบ้านมีความสุข ก็ต้องมีเหตุให้ลงมาเหยียบพื้นดิน ทำมาหากินอยู่บนดินอยู่นั่นเอง แม้กระทั่งตายลง ก็ต้องเอาศพฝังดิน หรือเผาที่กองฟอนบนดิน ชีวิตคนเราทุกคน เกิดมาเป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น ไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลย

     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    สมมติว่าเป็นตัวเราของเรา พากันหลงในสมมติ แข่งกันทำมาหากิน ไม่รู้จักพอ แก่งแย่งเบียดเบียนกัน ข่มเหงรังแกกัน เข่นฆ่ากันด้วยอำนาจ โลภโมโทสัน สนุกสนานมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขอันไม่จีรังยั่งยืน ไม่เที่ยงแท้แน่นอน และแล้วในที่สุดก็ล้วนต้องเน่าเข้าโลง ตายไปเอาอะไรไปด้วยไม่ได้สักอย่าง ร่างกายอันเป็นที่รักยิ่งของตัวเองก็เอาไปด้วยไม่ได้ ตายไปแล้วร่างกายของเราก็ต้องเน่า กลายเป็นอาหารของฝูงหนอนชอนไชกัดกิน น่าขยะแขยง น่าหวาดเสียวยิ่งนัก ใครคนไหนคิดว่าตัวเองรูปสวยรูปงามนั้น แต่พอตายลงไปนอนขึ้นอืดอยู่ในโลง ก็ต้องเน่าเปื่อยเละเทะเป็นปลาร้าปลาเจ่า ยังไงยังงั้น


    ชีวิตคนเราเกิดมาล้วนหลงผิด ดังที่ทางพระศาสนาได้กล่าวไว้ว่า การร้องเพลง ดูไปแล้วเหมือนร้องไห้ การฟ้อนรำเต้นรำดุจเป็นอาการของคนบ้า เสียงหัวเราะเฮฮาอ้าปากเห็นเหงือกเห็นฟัน เหมือนอาการของทารกเด็กอมมือในเบาะ”

    หลวงปู่ตองบวชในฝ่ายมหานิกาย เป็นพระอยู่ในบ้านในเมือง ไม่ค่อยจะถือเคร่งในธรรมวินัยเท่าไรนัก เป็นที่รู้กัน ไม่ว่ากันเพราะเป็นพระฝ่ายศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม ไม่ใช่พระป่าปฏิบัติกรรมฐานถือเคร่งในธุดงค์ ๑๓ ข้อ

    หลวงปู่ตองบวชมาได้ ๓ พรรษา ก็รู้สึกเบื่อหน่ายวัด เพราะพระเณรในวัดไม่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย พลอยทำให้ท่านประพฤติผิดในพระธรรมวินัยไปด้วย พระเณรในวัดมั่วสุมกันสนุกสนานมากกว่าที่จะปฏิบัติศาสนกิจ

    ท่านระลึกนึกถึงพระธุดงค์ที่ไปปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในป่า แสวงหาความสงัดเงียบ บำเพ็ญเพียรจนได้พบกับความสุขในทางธรรมะ จึงอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง เพื่อหาทางหลีกหนีพระเณรในวัดที่ย่อหย่อนธรรมวินัย ท่านได้เดินธุดงค์ไปที่ภูลังกาอยู่ห่างจากวัดไม่ไกลเท่าไรนัก โดยขึ้นทางด้านบ้านดงบัง อยู่ห่างจากถ้ำชัยมงคลออกไปไกลพอสมควร

    บนภูลังกามีถ้ำมีเงื้อมผาให้เลือกเอาเป็นที่พักบำเพ็ญภาวนา มีลานหินกว้างเหมาะที่จะเดินจงกรม ดินฟ้าอากาศรื่นรมย์ กระแสลมพัดเย็นสบาย กลิ่นดอกไม้ป่าโชยชื่น บรรยากาศสัปปายะวิเวก เหมาะสำหรับปฏิบัติธรรมมาก เมื่อขึ้นมาอยู่บนภูลังกาแล้ว หลวงปู่ตองก็ปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษฏ์ ถือเคร่งในวัตรปฏิบัติธุดงค์ ๑๓ เหมือนพระป่าธุดงค์ทุกประการ นั่นคือ “กินน้อย…นอนน้อย”
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    กินน้อย คืออดอาหาร ฉันแต่น้ำลูบท้อง เป็นการทดสอบกำลังใจตัวเอง ว่าจะมีความทรหดอดทนขนาดไหน จะสร้างขันติบารมีได้ไหม กลัวเป็นลมตายเพราะอดข้าวไหม ?

    นอนน้อย คือจะนอนพักผ่อนเอาเฉพาะตอนกลางคืน ไม่นอนมากนอนเพียงคืนละ ๔ ชั่วโมงเท่านั้น เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการเดินจงกรม สร้างวิริยะความเพียรและนั่งสมาธิ สงบกาย สงบจิต ให้จิตได้พักผ่อน เสพเสวยปิติ สุขในวิหารธรรม อันปราศจากนิวรณ์ ๕

    เมื่อนั่งสมาธิเสพสุขก็มักจะ ยึดติดเกิดเกียจคร้าน จึงต้องลุกขึ้นเดินจงกรม สร้างวิริยะความเพียร ขับไล่ความเกียจคร้าน สรุปแล้วก็คือมีการเดินจงกรมและนั่งสมาธิสลับกันไปทั้งวันและเกือบทั้งคืน

    ผลของการทดลองอดอาหารปรากฏว่า สามารถอดได้หลายวัน ในวันแรกจะหิวมาก พอเข้าวันที่สองร่างกายจะปรับตัวเองได้ไม่หิว ฉันแต่น้ำ ตัวเบาสบาย ไม่ง่วงเหงาหาวนอนเลย เกิดความขยันหมั่นเพียรอย่างแปลกประหลาด ไม่อยากหลับนอนอยากจะเจริญภาวนาลูกเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากอำนาจสมาธิ มันมีปิติแรงมาก เป็นปิติในธรรม

    และ ในช่วงนี้แหละที่ทำให้หลวงปู่ตองได้ประสบเข้ากับ “มิติเร้นลับ” กายและจิตของท่านที่เป็น “กายวิเวก จิตวิเวก” ได้เชื่อมโยงเข้าหา “โลกวิญญาณ” หรือโลกอันเป็นทิพย์ คือโลกของภูตผีปีศาจ ยักษ์ มาร นาค ครุฑ คนธรรพ์ หรือบังบดลับแล และเทพเจ้าเหล่าพรหมทั้งหลาย ภาษาของปรจิตวิทยาเขาเรียกว่า กระแสจิตที่เป็นสมาธิอันมั่นคงแน่วแน่ ได้กลายเป็นคลื่นจิตในระดับคลื่นเดียวกันกับกระแสจิตของโลกวิญญาณ สามารถรับและส่ง สื่อความหมายทั้งเสียงและภาพติดต่อกันได้ (คงจะเหมือนการรับส่งโทรทัศน์ละกระมัง)

    มาฟังหลวงปู่ตองเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ ท่านเล่าว่า…
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    “ตอนนั้นในราว ๑ ทุ่ม มืดสนิท อากาศกำลังเย็นสบายๆ อาตมากำลังเดินจงกรมอยู่ที่พลาญหินบนภูลังกา เสียงแมลงกลางคืนจักจั่นและแม่ม่ายลองไน ส่งเสียงร้องก้องกังวานไปทั่วทั้งขุนเขา อาตมาแหงนดูท้องฟ้ามืด มีดวงดาวเกลื่อนกลาดมากมายเต็มท้องฟ้าไปหมด ดาวหลายดวงอยู่ใกล้ๆ ดูราวจะเอื้อมถึง เป็นคืนที่น่าดูมาก เบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก

    ทันใดนั้น…เสียงจักจั่นและแม่ม่ายลองไนหยุดส่งเสียงกะทันหัน เกิดความเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด

    ความมืดได้ทวีมากยิ่งขึ้น เดินไม่เห็นทางเดินจงกรม เอ๊ะ! ทำไมมันมืดอย่างนี้ แหงนมองฟ้าก็ยังเห็นดวงดาวดารดาษส่องแสงระยิบระยับ ไม่มีเมฆฝนปิดบังไว้แต่อย่างใด

    ขณะที่อาตมากำลังยืนงงๆ อยู่นั้น ก็ได้เห็นแม่ชีนุ่งห่มสีขาวเดินเข้ามาหามี ๕ คน นั่งคุกเข่าลงกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ อาตมารู้สึกแปลกใจที่มีแม่ชีบนภูลังกาในยามค่ำคืน ใจคอไม่ดีเลย เพราะไม่มีพระเณรหรือลูกศิษย์อยู่ด้วย กลัวจะเป็นบาปอาบัติ ถูกตำหนิติเตียน ตอนนั้นลืมคิดไปถนัดว่า ในความมืดเหมือนอยู่ในถ้ำอย่างนั้น ทำไมสามารถมองเห็นแม่ชีทั้ง ๕ คน ได้ถนัดชัดเจนเหมือนในยามกลางวัน ขณะที่อาตมายืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น แม่ชีผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นว่า…

    “หลวงพ่อขึ้นมาปฏิบัติภาวนาบนนี้จะต้องมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ถ้าหลวงพ่อย่อหย่อนในพระวินัยจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ มีพระสงฆ์องค์เณรขึ้นมาอยู่บนนี้หลายรูปแล้วแต่อยู่ไม่ได้”

    ตอนนี้ อาตมาตั้งสติได้แล้วขนลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ ความรู้สึกบอกว่า ผีแน่ๆ เป็นผีแม่ชี แต่ก็ไม่กลัว เพียงแต่ขนลุกเท่านั้น เพียงแค่นึกรู้สึกขึ้นมาเท่านั้น หัวหน้าแม่ชีก็พูดชี้แจงในทันทีว่า

    “พวกเราไม่ใช่ผี หลวงพ่ออย่าเข้าใจผิด พวกเราเป็นพรหม สมัยเป็นมนุษย์เป็นแม่ชีสำเร็จฌาน พรหมไม่มีเพศหญิง พวกเราเพียงแต่แสดงร่างที่เคยเป็นแม่ชีให้ดูเท่านั้น ภูลังกาเป็นแดนบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ หลวงพ่อมาอยู่ที่นี่จะต้องฉันมังสวิรัติ ขออย่าได้ฉันเนื้อสัตว์”

    อาตมา พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งฟังจะว่าถูกสะกดจิตก็ไม่เชิง นึกอยากจะถามแต่ไม่รู้จะถามอะไร ในที่สุดแม่ชีลึกลับทั้ง ๕ คนนั้นก็ลาจากไป

    การมาและการไปสวยงามมาก ย่อตัวลงคุกเข่ากราบเบญจางคประดิษฐ์ ตัวลอยอยู่เหนือพื้นตอนเข้ามาหา แต่ตอนจะกลับถอยหลังออกไป ๓ ก้าว แล้วจึงนั่งคุกเข่าลงกราบลา ตอนลุกขึ้นยืนคล้ายๆ ลอยตัวขึ้นสง่างามมาก ไม่เหมือนมนุษย์ลุกขึ้น
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    เมื่อแม่ชีทั้งห้าไปแล้ว บรรยากาศอันเงียบงันอาถรรพ์ก็หายไป กลับเป็นปกติเหมือนเดิม จักจั่นเรไรเริ่มส่งเสียง กระแสลมที่หยุดนิ่งก็พัดมาโชยชื่น กลิ่นหอมดอกไม้ป่าพาให้รื่นรมย์ใจ ความมืดมิดคลายไป สามารถมองเห็นทางเดินจงกรมได้เหมือนเดิม


    หลวงปู่ตองเป็นคนเชื่ออะไรยาก ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ชอบโต้เถียงเรื่องผีสางเทวดาว่าไม่มีจริง เพราะไม่เคยเห็น ผีมีที่ไหน คนโบราณแต่งเรื่องผีๆ สางๆ หลอกให้คนกลัว เพื่อที่จะได้ปกครองกันง่ายเท่านั้นแหละ


    แต่แล้วในที่สุด หลวงปู่ตองก็มาเจอผีแม่ชีเข้าให้ที่ภูลังกา เป็นการเจอผีตอนเป็นพระกรรมฐานเสียด้วย เหมือนถูกล้างสมองครั้งใหญ่ให้หายโง่ ไม่เชื่อไม่ได้แล้ว เพราะได้เห็นอย่างจะแจ้งกับตา ได้ยินกับหู แถมยังถูกผีแม่ชียื่นคำขาดให้ฉันมังสวิรัติ ถ้าฉันเนื้อสัตว์ต่อไปจะอยู่ภูลังกาไม่ได้


    ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้หลวงปู่ตองต้องเลิกฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิดตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ นับได้ ๑๗ ปีเข้าให้แล้ว การฉันอาหารมังสวิรัติทำให้จิตสงบเร็วขึ้น การพิจารณาธรรมตามหลักไตรลักษณ์ก็ปลอดโปร่ง เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่าแต่ก่อน การทดลองอดอาหาร ทรมานตัณหา ความอยาก ก็สามารถอดอาหารได้ถึง ๑ เดือนเต็มๆ ท่านเล่าถึงตอนนี้ว่า…


    วันนั้นทั้งวัน นั่งเข้าสมาธิเงียบเชียบไม่ ลุกขึ้นเลย จิตมันนิ่ง มันติดใจในรสสมาธิ หมูป่าฝูงใหญ่มาหากินใกล้ๆ แล้วมันก็ทะเลาะกันกัดกันอุตลุด อาตมาก็เห็น แต่ประสาทหูไม่ยอมรับเสียง ไม่ได้ยินเสียง รู้เห็นว่ามันกัดกันเท่านั้น แล้วจิตก็วิ่งเข้าไปอยู่ในภวังค์จ่อไป ประสาทหูมันดับ ไม่ยอมรับเสียง แปลกจริงๆ ดูคล้ายกับว่าจิตไม่ใช่อาตมา จิตเป็นตัวหนึ่งต่างหาก และตัวอาตมาก็เป็นตัวหนึ่งต่างหาก จิตกับตัวเรามันแยกจากกัน เพราะสมาธิมันมากเหลือเกิน


    อาตมานั่งเข้าสมาธิอยู่ทั้งวันเหมือนฤๅษีเข้าฌาน จะลุกขึ้นในตอนใกล้ค่ำ ฉันน้ำแล้วก็เดินจงกรม การอดอาหารทำได้แต่น้ำต้องฉัน จะขาดไม่ได้ อันนี้เป็นกฎตายตัวสำหรับพระธุดงค์ในป่าที่อดอาหารหลายๆ วัน แต่อย่าให้ขาดน้ำเป็นอันขาดเพราะน้ำช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตเอาไว้


    อาตมาบำเพ็ญความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ที่ภูลังกาหลายเดือน ได้รู้ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ลึกลับหลายอย่าง ด้วยอำนาจศีล อำนาจสมาธิ ที่อาตมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถูกต้องพระธรรมวินัย


    หลวงปู่ตองกลับไปจำพรรษาที่วัดเดิม วัดตานเทพมงคลใกล้บึงโขงโหลง ได้ดำริขบคิดจะญัตติเป็นพระธรรมยุต เพื่อจะได้เข้าสู่สายพระกรรมฐานเป็นพระป่าอย่างแท้จริง ครั้นปรึกษากับญาติโยมชาวบ้านก็ไม่มีใครเห็นด้วยเลย ชาวบ้านอยากจะให้อยู่พัฒนาวัดเดิมให้เจริญรุ่งเรือง ถ้าหลวงปู่ตองไปเสียแล้ว พระเณรก็จะสึกกันหมด วัดก็จะร้าง


    ด้วยเหตุนี้ เองทำให้หลวงปู่ตองต้องจำใจอยู่วัดนี้ต่อมาถึง ๕ ปี เป็นหลักใจให้ชาวบ้าน หนักไปทางพิธีกรรมที่พระสงฆ์องค์เจ้าจะต้องทำ เช่น งานบุญต่างๆ งานบวช งานศพ ฯลฯ ตลอดถึงซ่อมแซมปฏิสังขรณ์กุฏิ ศาลาโบสถ์ วิหาร พัฒนาวัดวาอารามเป็นงานหลัก


    เมื่อเห็นว่าได้ทำความเจริญให้วัดนี้ มั่นคงดีแล้ว ท่านจึงได้ญัตติเป็นพระธรรมยุตเข้าสู่สายปฏิบัติกรรมฐานในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ แต่ยังจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิมเพราะญาติโยมยังไม่ยอมให้ท่านไปธุดงค์


    อยู่มาคืนวันหนึ่งยังไม่ดึกนัก…ขณะที่หลวงปู่ตองนั่งเข้าสมาธิอยู่ที่กุฏิวัดตานเทพมงคล ริมบึงโขงโหลง อากาศคืนนั้นค่อนข้างเย็นจนท่านรู้สึกหนาว มีลมพัดแรงมาจากบึงโขงโหลง จนต้นไม้ใหญ่น้อยเอนลู่ซู่ซ่า เหมือนพายุฝนจะมา ท่านได้เห็นนิมิตในสมาธิ เป็นแสงสว่างสีขาวพุ่งปราดข้ามบึงโขงโหลง มาตกลงที่กุฏิที่ท่านนั่งอยู่
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    75246751_781157828994998_9133017263660597248_n-Copy.jpg

    หลวงปู่วัง ฐิติสาโร วัดถ้ำชัยมงคล

    นิมิตภาพแสงสว่างนั้นได้แปรเปลี่ยนไป เป็นร่างชายคนหนึ่ง ผมเกรียนคล้ายทิดสึกใหม่ นุ่งขาวห่มขาว กิริยาท่าทางเรียบร้อยสำรวม ลักษณะอุบาสกผู้มีบุญ ได้เดินเข้ามายกมือไหว้และแนะนำตัวเองว่า

    “เราคืออาจารย์วัง อยู่ถ้ำชัยมงคลบนภูลังกา เวลานี้ เราไปเกิดเป็นพรหมอยู่บนพรหมโลก เราอยากจะให้ท่านไปอยู่ถ้ำชัยมงคลภูลังกา”

    กล่าวแล้วก็เดินหายไป หลวงปู่ตองได้พิจารณาแล้วเห็นว่า นิมิตนี้เป็นเพียงจิตสังขารปรุงแต่งธรรมดา ดุจดังคนเรานอนหลับแล้วฝันไป ไม่ควรยึดถือเป็นเรื่องจริงจัง


    -1024x577.jpg
    วัดถ้ำชัยมงคล ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ

    2-1024x577.jpg
    วัดถ้ำชัยมงคล ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
    ครั้นต่อมาอีกหลายวัน ก็เกิดนิมิตภาพนี้อีกขณะนั่งสมาธิ จิตสงบ วิญญาณอาจารย์วังซึ่งเป็นพรหมมาชวนให้ไปอยู่ถ้ำชัยมงคลเป็นครั้งที่สอง แต่หลวงปู่ตองก็ไม่สนใจ เพราะถือว่านิมิตต่างๆ เป็นอุปสรรคในการเจริญภาวนานิมิต เป็นเพียงภาพล่อ ภาพหลอก ภาพลวง

    ต่อมาอีกประมาณ ๑๕ วัน ก็เกิดนิมิตในสมาธิอีก เป็นภาพอาจารย์วังนุ่งขาวห่มขาวมาหาเป็นครั้งที่ ๓ พอมาถึงก็ถามว่า
    “ท่านปั้นพระพุทธรูปได้ไหม ?”
    หลวงปู่ตองตอบในสมาธิว่า..
    “เคยปั้นมาแล้ว แต่ไม่เก่ง”
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    58373700_2392332500789663_7214351146566025216_o-1024x577.jpg
    ถ้ำชัยมงคล ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ


    นิมิตภาพอาจารย์วังกล่าวต่อไปว่า..


    “เราจะให้ท่านขึ้นไปอยู่ถ้ำชัยมงคลบนภูลังกา ไปปั้นพระพุทธรูปหลายองค์ มีเจดีย์ธาตุอยู่บนยอดภูลังกา ใส่อัฐิธาตุของเรา แต่เวลานี้เจดีย์ธาตุนั้นได้ถูกคนร้ายใจบาปทุบทิ้งป่นปี้ ค้นหาสิ่งของเงินทอง เราต้องการให้ท่านไปช่วยสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่ด้วย”


    นิมิตภาพของอาจารย์วังบอกกล่าวแล้วก็หายไปอีก คราวนี้หลวงปู่ตองชักเอะใจสงสัย เพราะนิมิตอาจารย์วังมาหาอย่างมีความมุ่งหมายขึงขังจริงจัง เป็นการออกคำสั่งให้ทำเลยทีเดียว บ่งบอกถึงอำนาจบังคับบัญชาดูน่ากลัว หากขัดขืนเห็นจะเกิดเรื่องเป็นแน่


    .jpg
    หลวงปู่ตอง ฐานทินโน วัดป่าดาลเทพมงคล

    หลวงปู่ตองจึงได้ออกสืบถามชาวบ้านว่า พระอาจารย์วังภูลังกา มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ก็ได้ความว่า พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร เป็นพระธรรมกรรมฐานผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ อยู่ถ้ำชัยมงคลบนยอดภูลังกาในสมัยปี พ.ศ. ๒๔๘๐ – ๒๔๙๖


    ท่านเป็นศิษย์คนสำคัญของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และต่อมาได้พบกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ จึงได้เป็นสหธรรมิกกับพระอาจารย์ดังๆ ในสมัยนั้น เช่น พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร , พระอาจารย์สีโห เขมโก , พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นต้น ชาวบ้านนิยมเรียกท่านว่า “ครูบาวัง


    ศิษย์สำคัญๆ ของครูบาวัง หรือ พระอาจารย์วัง มีหลายรูป อาทิ พระอาจารย์วัน อุตตโม แห่งวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ภูผาเหล็ก จังหวัดสกลนคร , พระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี , หลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) อดีตเจ้าคณะอำเภอศรีสงคราม (ธรรมยุต) นครพนม และ หลวงตาเลิศ ชินวังโส วัดอรัญญานี อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ เป็นต้น


    พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) เป็นพระเพียงรูปเดียวที่รอดตาย เมื่อคราวเรือล่มในบึงโขงโหลง มีพระกรรมฐานภูลังกาจมน้ำถึงแก่มรณภาพ ๓ รูป คือพระอาจารย์ปุ่น พระอาจารย์ทอง และพระอาจารย์ทองดี เรือล่มคราวนั้นเป็นเรื่องโด่งดังมาก ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ใกล้กึ่งพุทธกาลชาวบ้านเล่าลือกันว่า พญาอือลือผีเงือก (พญานาค) บึงโขงโหลง เป็นผู้เอาชีวิตพระกรรมฐานภูลังกา


    พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร ท่านเชี่ยวชาญเป็นพิเศษทางกสิณอภิญญา เป็นพระธุดงค์กรรมฐานมีฤทธิ์มาก หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ครั้งนั้นยังไม่มรณภาพ เคยเล่าให้ศรัทธาญาติโยมคณะ “ธรรมทานทัวร์” ฟังเมื่อหลายปีมาแล้วว่า


    คราวหนึ่งพระเณรและเถรชีที่ขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนภูลังกา ได้รับความลำบากกันมาก เพราะขัดสนอาหารบิณฑบาต และยังเจ็บไข้ได้ป่วย อาพาธด้วยโรคภัยไข้ป่าบ้าง แพ้อากาศบ้าง พระอาจารย์วังได้พาลงจากภูลังกามาส่งให้พ้นป่าใหญ่ ปรากฏว่ามีฝูงเสือโคร่งหลายตัวได้ติดตามมาด้วย ทำให้พระเณรเถรและชี (พ่อขาวแม่ขาว) หวาดกลัวกันมาก พระอาจารย์วังได้บอกให้พระภิกษุสามเณรตาเถรและแม่ชี พากันรีบเดินไปก่อน ส่วนองค์ท่านนั่งลงขวางทางเสือไว้ ฝูงเสือเห็นท่านนั่งก็พากันนั่งลงบ้าง


    พระอาจารย์วังทำอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ถ่วงเวลาไว้เพื่อให้คณะพระเณรเถรชีเดินทางพ้นป่าใหญ่ ระยะทางสิบกว่ากิโลเมตร ไปถึงหมู่บ้านที่ปลอดภัย ต่อจากนั้นพระอาจารย์วังจึงได้เดินทางกลับภูลังกา โดยมีฝูงเสือติดตามต้อยๆ ไป เหมือนสุนัขที่จงรักภักดีต่อเจ้าของ


    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย สรุปว่าทำไมฝูงเสือถึงได้จงรักภักดีพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร


    คำตอบก็คือ พระธุดงค์กรรมฐานอย่างพระอาจารย์วังนั้น มีอำนาจจิตแรงกล้า และโดยเฉพาะมีเมตตามาก จะเข้าสมาธิระดับลึกมากอยู่ทุกวันคืน แล้วแผ่เมตตาไปทั่วทุกสารทิศ อันมีทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทั่วทุกโลกธาตุภพภูมิอันไม่มีขอบเขตเรียกว่า “แผ่เมตตาเจโตวิมุตติ”


    การแผ่เมตตาเจโตวิมุตตินั้นคือ ต้องเข้าสมาธิให้ได้ระดับจตุตถฌาน เพื่อให้บรรลุภาวะดวงจิตหลุดพ้นจากกิเลสชั่วคราว เรียกว่า เจโตวิมุตติ ประเภทยังไม่หลุดพ้นอย่างเด็ดขาด เป็นแต่เพียงหลุดพ้นจากกิเลส ด้วยอำนาจพลังจิตโดยเฉพาะด้วยกำลังฌาน ๔ คือกิเลสทั้งหมดได้ถูกอำนาจอัปปนาสมาธิกดข่มไว้ หรือทับไว้ดุจก้อนหินใหญ่มหึมาทับหญ้าเอาไว้ฉะนั้น ตลอดเวลาที่อยู่ในฌาน ๔ นั้นเรียกว่า “วิขัมภนะวิมุตติ”


    การแผ่เมตตาเจโตวิมุตติมีอานุภาพมาก เป็นกระแสคลื่นจิตตานุภาพอันชุ่มชื่นเยือกเย็น ภูตผีปีศาจยักษ์มาร เทวดา พรหม คนธรรพ์ นาคและมนุษย์ตลอดถึงสิงสาราสัตว์ดุร้ายทั้งหลาย เมื่อได้กระทบสัมผัสกระแสเมตตาเจโตวิมุตติแล้ว จะบังเกิดความรู้สึกชุ่มชื่น เย็นกายเย็นใจ อิ่มเอิบเบิกบาน ปีติปราโมทย์ ดุจดังได้เสวยความสุขอันเป็นทิพย์สุดวิเศษ จะมีไมตรีจิตมิตรภาพ รักใคร่เคารพนับถือผู้ทรงศีลที่แผ่เมตตาเจโตวิมุตตินั้น ไม่กล้าคิดทำร้ายแต่ประการใดเลย


    พระอาจารย์วังได้มรณภาพไปนานแล้ว ตั้งแต่ปี พศ. ๒๔๙๖ เมื่อนับถึงปี พศ. ๒๕๓๔ ซึ่งเป็นปีที่หลวงปู่ตองได้นิมิตพระอาจารย์วังนั้น ก็เป็นเวลายาวนานถึง ๓๘ ปี ทำให้หลวงปู่ตองข้องใจว่า นับตั้งแต่พระอาจารย์วังมรณภาพไป เหตุใดถึงไม่แสวงหาผู้มีวาสนาบารมีให้มาบูรณปฏิสังขรณ์ถ้ำชัยมงคล-ภูลังกา ทำไมปล่อยให้เวลาผ่านมาถึง ๓๘ ปี จึงมาบอกให้ท่านไปบูรณปฏิสังขรณ์ ทั้งๆ ที่ท่านก็เป็นเพียงพระบ้านนอกธรรมดา ไม่มีบุญบารมีอะไรเลย แต่ด้วยความยำเกรงพระอาจารย์วังที่เป็นวิญญาณมาสั่งให้ไปอยู่ถ้ำชัยมงคล ภูลังกา หลวงปู่ตองจึงจำใจเดินทางขึ้นไปภูลังกา ทำการสำรวจถ้ำชัยมงคล ก็ได้เห็นสภาพความเป็นจริงว่า เจดีย์ธาตุบนยอดเขาภูลังกาที่บรรจุอัฐิธาตุของพระอาจารย์วังนั้น ได้ถูกพวกคนร้ายใจบาปทุบทำลายพังทลายลงมา เหลืออยู่เพียงฐานเจดีย์เท่านั้น อัฐิธาตุของพระอาจารย์วังตกอยู่กระจัดกระจายในบริเวณนั้น ทำให้หลวงปู่ตองเกิดความรู้สึกสลดสังเวชยิ่งนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2021

แชร์หน้านี้

Loading...