หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้น ได้เริ่มพัฒนาในท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองด้วยจากวัดร้างที่ไม่มีอะไรเลย จนถึง พุทธาวาส ธรรมาวาส และสังฆาวาส เป็นวัดที่สมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ ยังมีพระอุโบสถและมณฑป ปรากฏให้เห็นอยู่ ส่วนการอบรมสั่งสอนนั้นท่านได้แนะแนวการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ให้เห็นคุณและโทษของผลการปฏิบัติตนในทางที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร จนประชาชนแถวนั้นมีความประพฤติดีมีศีลธรรมเป็นส่วนมาก

    อนึ่ง มีผู้กล่าวว่าท่านมีวิชาอาคมเวทย์มนต์เก่งมาก สามารถเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสกก้านกล้วยให้เป็นงูได้ และเรื่องอภินิหารของขลัง คงกระพันชาตรี มีอีกมาก จนถึงกับสมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในราชวงจักรีได้มาทดลองดู เห็นจริงจึงได้ยอมมอบตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมา และได้วาดภาพพุทธประวัติด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ที่อุโบสถด้านในหน้าอุโบสถ ซึ่งปรากฏจนทุกวันนี้
    หลวงปู่ศุข ท่านมีเมตตามากจึงมีศิษย์เป็นอันมากที่มาเรียนวิชาเหล่านี้ ท่านได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิมลคุณากร และเป็นเจ้าคณะแขวง ( ปัจจุบันเรียกว่าเจ้าคณะอำเภอ ) เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใด

    ท่านมรณภาพเมื่อ เดือน ๑ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ไม่ปรากฏวันที่ที่แน่นอน คำนวณอายุได้ ๗๖ ปี วันสวดพระพุทธมนต์ทำศพอยู่ ๗ วัน ๗ คืน จึงประชุมเพลิง

    ปัจจุบันชาวจังหวัดชัยนาทผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ได้ร่วมกันสร้างรูปหุ่นขี้ผึงไว้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อจะได้ทำการสักการบูชาโดยทั่วกัน กรมทหารเรือเห็นความสำคัญ จึงได้ทำการบูรณะซ่อมแซมมณฑป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ ทำให้ประชาชนทั้งใกล้และไกลต่างจังหวัด หลั่งไหลมาสักการะบูชาทุก ๆ วันมิได้ขาด วัดปากคลองมะขามเฒ่า จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยนาทต่อไป

    คาถาอาราธนาพระหลวงปู่ศุข

    ตั้งนะโม ๓ จบ : อิติอะระหังสุคะโต เกสโรนามะเต ประสิทธิเม อิหิอะโห นะโมพุทธายะ

    คาถาหลวงปู่ศุข : สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทธโธภะคะวาติ มะอะอุ


    ที่มา :- http://www.dhammathai.org/monk/dbview.php?No=6
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เผด็จการกับพระธุดงค์ | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย

    100 เรื่องเล่า
    8,295 viewsNov 14, 2021
    ครั้งหนึ่งหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้เดินจาริกธุดงค์ข้ามแม่น้ำโขง ไปยังฝั่งประเทศลาว ท่านได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ประชาชนชาวลาว ทำให้ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาท่านมาก และต่อมา ลาวได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง และท่านได้ถูกภัยคุกคามจากพวกทหารคอมมิวส์ของประเทศลาว จวนจะเอาชีวิตไม่รอด

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lpkinnareejunthiyo.jpg
    เส้นทางธุดงค์ลาวพม่าอินเดีย | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่กินรี จันทิโย

    ZfcPCWlxWMCpVij0pBmT5C_w6DtiJZqnBJUf_epuHdCdKgEjOHSzNeB2QFvrdVnqv6yKku=s48-c-k-c0x00ffffff-no-rj.jpg
    100 เรื่องเล่า
    8,112 viewsNov 27, 2021
    เส้นทางธุดงค์ลาวพม่าอินเดีย เป็นเรื่องเล่าจากส่วนหนึ่งของประวัติหลวงปู่กินรี จันทิโย แห่งวัดกัณตศิลาวาส จ.นครพนม ในช่วงที่ท่านได้เดินธุดงค์ไปที่พม่า โดยผ่านทางประเทศลาว และไปต่อที่ประเทศอินเดีย ได้พบกับเหตุการประหลาด และเรื่องราวประหลาดต่างๆมากมายตามเส้นทางที่ท่านได้เดินจาริกธุดงค์ไปนั้น

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
    ประวัติ:- https://palungjit.org/threads/จันทร์กระจ่างฟ้า-–-จันทิโย-หลวงปู่กินรี-จันทิโย.273037/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2021
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๓๑.ผีป่ารุกขะโจ ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    58,813 viewsNov 27, 2021
    ชาวบ้านดอยฮึม เมืองปางยาง เรียกรุกขเทวดาประจำต้นไม้บนดอยว่า"ผีป่ารุกขะโจ" พวกเขาต่างมีความเชื่อว่าอาถรรพ์ของผีป่ารุกขะโจนั้นมีจริง !
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่ดี.jpg
    อาจารย์ยอด : หลวงปู่ดี ฉนฺโน สร้างวัดให้ผี [พระ]

    อาจารย์ยอด
    48,644 viewsNov 23, 2021
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่ดี-ฉันโน-วัดภูเขาแก้ว.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    พระอาจารย์ดี ฉนฺโน


    วัดภูเขาแก้ว
    อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
    หลวงปู่ดี ฉันโน หรือพระอาจารย์ดี ฉันโน ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระบูรพาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

    แต่เดิมหลวงปู่ดี ฉันโน ท่านเป็นคนชาวอุบลราชธานีโดยกําเนิด สมัยท่านยังเป็นฆราวาส หลวงปู่ดี เคยศึกษาศาสตร์ลึกลับเช่น เวทมนตร์คาถา คุณไสยศาสตร์ต่างๆมาก่อน ทั้งนี้ท่านก็ได้อาศัยจิตกับสติตัวเดียวนั้นเอง
    ท่านเป็นฆราวาสที่ทุกคนเกรงกลัว แต่ท่านก็หาได้ทําร้ายใครให้เดือดร้อน หรือผูกเวรผูกกรรมกับผู้ใดไม่

    หลวงปู่ดี ฉันโน ท่านมีความเก่งกล้าอย่างยอดเยี่ยมในเรื่อง กสิณ ๑๐ อย่าง และเป็นยอด ปรารถนาของคนในยุคนั้น
    ท่านพระอาจารย์โชติ อาภัคโค ที่เป็นศิษย์องค์หนึ่งของท่าน ได้เล่าว่า หลวงปู่ดี ฉันโนองค์นี้ ถ้าจะพูดถึงฤทธิ์อํานาจของท่านแล้ว ไม่ย่อหย่อนกว่า “สําเร็จลุน” ที่เป็นพระภิกษุ สงฆ์เมืองลาวเลย

    หลวงปู่ดี ท่านเป็นพระภิกษุที่รักความสันโดษ ไม่ค่อยชอบพลุกพล่านโดยไม่จําเป็น แต่ปกติ แล้วท่านเป็นพระใจดี มีเมตตา มีความเคร่งครัดทางพระธรรมวินัย

    ศีลธรรมนั้นท่านได้รักษามาเป็นปกตินิสัยเมื่อสมัยเป็นฆราวาสเช่นเดียวกัน เพราะศีลเป็น บาทแห่งองค์ภาวนา เป็นเกราะที่คุ้มครองจิตใจ และความมั่นคง ถาวรแห่งอภิญญาญาณ

    ภายหลังที่หลวงปู่ดี ฉันโน บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์อุทิศตน เป็นผู้เจริญในธรรมมุ่งอรรถมุ่ง ธรรมให้พ้นจากวัฏสงสาร ถือ พระนิพพานเป็นสุดท้ายของจิต ท่านจึงเข้าดําเนินจิตสู่แนวทาง มัชฌิมาปฏิปทาเป็นทางสายกลาง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ ด้วยการเข้าถวายตัวเป็นศิษย์ ของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในกาลนั้น ท่านได้รับแนะนําแนวทางธรรม มากมาย

    จิตใจของท่านที่เคยฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว ครั้นได้มาดําเนินวิปัสสนากรรมฐาน ก็ดูเป็นสิ่งที่ไม่ยุ่งยากอันใดสําหรับท่านเลย ยิ่งเพิ่มความแก่กล้าแห่งจิตยกภูมิธรรมได้สูงขึ้นๆ ตลอดเวลา รอบ หลวงปู่ดีท่านจะพูดสอน เสมอๆ ว่า “การภาวนาธรรมมี สติกับจิตนี้แหละ คือ พุท-โธที่แท้จริง

    ท่านแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าไม่มีสติ จิตใจก็ไม่อยู่ที่จะเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ได้ จะกลายเป็นความโง่เซ่อไปเท่านั้น ขอรักษาสติกับจิตจงดี ๆ จะเกิด ภูมิปัญญาธรรมขึ้นเอง”
    หลวงปู่ดี ฉันโน เป็นพระสงฆ์ผู้อาวุโสองค์หนึ่ง และมีอํานาจจิตสูงทีเดียว


    คนภาคอีสานสมัยก่อนโน้น เขานับถือผีกันเป็นส่วนใหญ่ เช่น ผีปู่ตา ผีไท้ ผีแถน ผีฟ้า พระสงฆ์ องค์เจ้าไม่ค่อยมีใครนับถือ เป็นความงมงายอย่างไม่มีใครยั้งหยุดฉุดถอนได้เลยในสมัยก่อนนั้น

    ครั้นต่อมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดี ทั้งสามท่านนี้ มีความคิดเห็นตรงกันว่า ขืนปล่อยให้ชาวบ้านที่นับถือผี โดยไม่รู้ความจริง ชาวบ้านจะไปเกิดเป็นบริวารผีหมด ถ้าตายลงไป

    ฉะนั้นจําเป็นจะต้องเอาชาวบ้านให้ออกจากการนับถือผีเหล่านั้นเสีย ให้หันมานับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือศีล ๕ ศีล ๘ จะได้กุศลผลบุญ ให้ถูกต้องร่องรอยทางพระธรรม และยังจะมีความสุขความเจริญเมื่อตายไปแล้ว ยังได้ไปเกิดในแดนสุคติ
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    กองทัพธรรม ได้ออกปฏิบัติ การเผยแพร่ธรรมในครั้งนั้น นับเป็นการบุกเบิกพระพุทธศาสนา อันสําคัญยิ่ง
    หลวงปู่ดี ฉันโน ได้รับอาสาที่จะออกเผยแพร่ธรรมในเขต อําเภอพิบูลมังสาหาร ท่านได้ไปแสดงธรรมะโปรดชาวบ้านแนะนําให้รักษาศีล ยึดหลักธรรมความดีงามให้หันมาถือพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่ง
    ในคราวนี้ หลวงปู่ดี ฉันโน ได้นําวิชาความรู้เก่า ๆ ออกมาใช้อย่างเต็มที่ กสิณ ๑๐ อย่างนั้น ท่านใช้อย่างสมค่าแก่การศึกษามา การกระทําของหลวงปู่ดี คือ รื้อศาลผีปู่ตาออกทิ้งเสีย ศาลผี แห่งใดที่ว่าดุร้ายเอาเรื่อง ท่านจะไปพูดบอกให้ผีปู่ตาไปเกิดเสียจนหมดสิ้น แล้วท่านก็เพ่งกสิณไฟทําให้ไฟไหม้ศาลปู่ตาจนราบเรียบ
    การแนะนําสิ่งดีงามนี้ มันก็เป็นของยาก มันเป็นอุปสรรคเหมือนกัน เช่น วันที่ท่านเดินทางออกไปเผยแพร่ธรรมเป็นที่ไม่พอใจของผู้ใหญ่บ้านนักเลงคนหนึ่ง จึงจ้างชาวบ้านให้เอาค้อนเหล็ก มาดักตีหัวหลวงปู่ดี ฉันโน โดยกําชับว่าต้องตีให้ตาย
    คํ่าวันนั้น หลวงปู่ดี ก็ออกมาเดินจงกรมอยู่ในป่า ทํากําหนดสติเฉยอยู่ ผู้ร้ายที่เป็นมือเพชฌฆาตแอบย่องมา ตรงเข้าไปด้านหลังของท่าน เมื่อได้จังหวะคนบาปหนาก็ยกค้อนเงื้อง่าตั้งใจว่าตีทีเดียวให้ตายแล้วยังได้เงินอีกด้วย
    ความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อยกค้อนขึ้นไปบนอากาศ แล้วก็ไม่สามารถตีลงได้ให้สมใจ เหมือนดังมีมือที่แข็งแรงจับค้างไว้กลางอากาศฉันนั้น
    หลวงปู่ดี ท่านก็เดินจงกรมกลับไปกลับมา ทําเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนตลอดรุ่ง พอสว่างแล้ว หลวงปู่ดีจึงทําเป็นว่าเห็นแล้วพูดขึ้นว่า
    “อ้าว…โยมมายืนถือค้อนอยู่ทําไมกลับ บ้านเสียสิ ”
    เท่านั้นเองชายผู้นั้น จึงสามารถเอามือที่ยกไว้ทั้งคืนลงได้ โยนอาวุธทิ้ง ร้องไห้ก้มลงกราบขอขมากรรม และรับสารภาพว่าได้รับจ้างเขามาเพื่อฆ่าหลวงปู่ให้ตาย
    หลวงปู่ดี ฉันโน ก็มิได้โกรธเคืองอันใดเพราะไม่ใช่เรื่องของพระ ท่านอโหสิกรรมให้แล้วอบรมสั่งสอนให้บุคคลผู้นั้นประพฤติตนเป็นคนดีต่อไป
    การทรมานกิเลสภายในจิตใจคนนั้น บางครั้งก็ต้องให้หนัก บางครั้งก็เบา กิเลสก็จะยอมแพ้และเป็นไปตามส่วนมากส่วนน้อย แต่ถ้าขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้ว ผู้ที่รู้แจ้ง ความเป็นมาของมัน จะเข้าสับนั่น จนย่อยยับไม่ยั้งมือเลยทีเดียว
    กิเลสก็เช่นกัน ไม่ว่ามนุษย์ สัตว์ พระสงฆ์องค์เณร มันก็ไม่เคยละเว้น ได้โอกาสมันจะขึ้นคร่อม ขี่คอสับโขกทันทีเหมือนกัน ดังนั้นพระอริยเจ้าทั้งหลาย จึงไม่มีความปรานีต่อกิเลสเลย กิเลสจึงกลัว และแกล้งผู้บําเพ็ญธรรมความดีงามทุกแห่งหน ไม่ว่าในบ้านในเมือง แม้แต่ในป่า มันก็ยังตาม ไปผจญจนถึงที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2021
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    หลวงปู่ดี ฉันโน พระอริยเจ้าแห่งดินแดนอีสาน ท่านได้ชําระสะสางความดีงาม ความหมดจด ในชีวิตของท่านและเสร็จกิจใน ทางพระบวรพุทธศาสนาแล้วโดย สิ้นเชิง


    บัดนี้ท่านได้ทิ้งความดีงามให้ชาวจังหวัดอุบลราชธานี และชาวอําเภอพิบูลมังสาหารได้กล่าว ถึงทุกค่ำเช้าว่า “หลวงปู่ดีได้จุดโคมทองแห่งจิตใจรู้บุญรู้บาปก็เพราะท่านแท้ ๆ”


    หลวงปู่ดี ฉันโน ท่านมรณภาพลงในวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๒ เมื่อเวลา ๐๕.๓๐ น. ในอิริยาบถท่านั่งอิงหมอนใหญ่ คล้ายกับนั่งเอนกายพักผ่อนตามปกติ สิริรวมอายุได้ ๖๖ ปี ๘ เดือน ๑๒ วัน พรรษา ๓๑
    -ฉนฺโน-วัดภูเขาแก้ว-มรณภาพ.jpg
    พระอาจารย์ดี ฉนฺโน วัดภูเขาแก้ว มรณภาพ

    -ฉนฺโน-วัดภูเขาแก้ว-มรณภาพ.jpg
    พระอาจารย์ดี ฉนฺโน วัดภูเขาแก้ว มรณภาพ

    -ฉนฺโน-วัดภูเขาแก้ว-มรณภาพ.jpg
    พระอาจารย์ดี ฉนฺโน วัดภูเขาแก้ว มรณภาพ
    :- https://www.108prageji.com/พระอาจารย์ดี-ฉันโน/
    lpDeechanno.jpg
    :- https://www.google.com/search?sxsrf...AM&biw=916&bih=584&dpr=1#imgrc=eZavQeUS-5TJUM
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    facebook:-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    เมื่อพระผู้มีญาณอยากเห็นหน้าตาที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า | ปู่ดอน station

    พระอริยสงฆ์ผู้มีญาณวิเศษรูปหนึ่ง มีความประสงค์อยากจะรู้ว่าหน้าตาที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร จึงพยายามส่องญาณดู แต่ก็ต้องผิดหวัง จึงบ่ายหน้าไปหาอาจารย์ของตน ผู้เป็นอาจารย์จึงให้ยืมญาณวิเศษที่ท่านมี/ปส่องดู ปรากฏว่า..เห็นหน้าพระพุทธเจ้าชัดมากกก..
    กองทัพผีตามคลื่นโทรศัพท์มาขอส่วนบุญกับพระอริยะ | ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    Nov 27, 2021
    พระอริยสงฆ์ 4 รูป ได้จาริกมาพักภาวนาอยู่ ณ สำนักสงฆ์ป่าแห่งหนึ่ง ในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เหล่าผีทั้งหลายในโรงพยาบาลได้รับกระแสว่า มีพลังงานแห่งบุญอันมหาศาลพักอยู่ที่ป่าแห่งนี้จากคลื่นโทรศัพท์ที่หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งอยู่ทีโรงพยาบาลโทรมาหาพระพี่ชาย จึงพากันยกโขยงมาทั้งโรงพยาบาลเพื่อขอมาส่วนบุญกับเจ้าของพลังงานเหล่านั้น..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2021
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    LpyamPiyawanno.jpg
    ประวัติหลวงปู่แย้ม ปิยวัณโณ วัดตะเคียน

    (พระครูปิยนนทคุณ)
    เป็นชาวจังหวัดสมุทรสาคร โดยกำเนิดเกิดที่ ตำบลเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พุทธศักราช 2459 ในครอบครัวชาวนา
    นามเดิมว่า แย้ม ปราณี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันทั้งหมด 4 คน ท่านเป็นบุตรชายคนที่ 2 ของครอบครัว โยมบิดาชื่อเพิ่ม โยมมารดาชื่อเจิม (ปัจจุบัน โยมบิดา โยมมารดา พี่ น้อง ต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว โดยเฉาะโยมมารดาเสียชีวิตตั้งแต่หลวงปู่อายุได้ 10 ขวบ) หลวงปู่แย้มเมื่อตอนเป็นเด็กชายแย้ม ก็เหมือนกับเด็กทั่วไปคือต้องเข้าเรียนหนังสือ เด็กชายแย้มได้เข้าศึกษาหาความรู้ ที่โรงเรียนประชาบาลวัดหลักสองของ อำเภอบ้านแพ้ว แต่เรียนได้แค่ชั้นประถม 1 เท่านั้นเอง เพราะต้องอยู่บ้านเพื่อช่วยบิดาทำนาหาเลี้ยงชีพ ครั้นอายุได้ 14 ปี ก็ต้องลาออกจากโรงเรียนอย่างเด็ดขาด เพราะว่าโตเกินกว่าที่จะไปโรงเรียนแล้ว จึงได้ออกมาช่วยบิดาทำนาเรื่อยมา จวบจนกระทั่งอายุได้ 20 ปี บริบูรณ์ โยมพ่อต้องการให้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาตามประเพณีนิยมของคน ไทยตั้งแต่ครั้งโบราณกาล และเพื่อเป็นการสร้างบุญสร้างกุศล เฉกเช่นชายไทยทั่วไป “ฉันก็เต็มใจนะ เพราะจะได้แผ่กุศลไปให้กับโยมแม่ที่เสียไปตั้งแต่อายุฉันได้ สิบขวบด้วย ได้กำหนดวันกันเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ โยมพ่อก็เปลี่ยนใจ บอกว่าเอาไว้ปีหน้าเถอะปีนี้ทำนาก่อน และ มาเลื่อนกันง่ายๆ ฉันก็ไม่ว่ากระไร เอาไงก็เอากัน ฉันเป็นคนตามใจพ่ออยู่แล้ว” หลวงปู่เล่าความหลังให้ฟัง หลังจากนั้นก็ทำนาเรื่อยมา จวบจนมาเสร็จสิ้นเอาใกล้ๆ จะเข้าพรรษา โยมพ่อก็เอ่ยปากบอกว่า “บวชเสียเถอะนะ ไปอาศัยบวชกันนาคอื่นเขาก็ยังดี” “ฉันก็ตามใจอีก โยมพ่อจะให้ทำยังไงก็เอากัน แล้วโยมพ่อก็นำเงินจำนวน 20 บาทไปถวายพระอาจารย์ที่วัดหลักสองราษฎร์บำรุง โดยบอกความประสงค์กับท่านว่า ให้ช่วยจัดการบวชให้ฉันทีเถอะ ก็เป็นการช่วยจัดหาเครื่องบวชให้นะ ในสมัยนั้นราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่หรอก ไม่ถึง 10 บาทเสียด้วยซ้ำ จากนั้นอาจารย์ก็จัดของที่ท่านมีอยู่แล้วให้ ส่วนเงิน 20 บาทนั้น ท่านได้นำเอาไปจ้างช่างต่อเรือขนาด สามมือลิงใหญ่ๆ ซึ่งหมดเงินไป 18 บาท เพื่อเอาไว้ใช้ในกิจของสงฆ์”
    นายแย้มจึงได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาที่วัดหลักสองบำรุงราษฎร์ ตามที่โยมพ่อและตัวของท่านเองได้ตั้งศรัทธาเอาไว้ มีพระครูคณาสุนทรรนุรักษ์เจ้าคณะอำเภอบ้านแพ้ว เป็นพระอุปัชณาย์ เจ้าอธิการเหลือ เจ้าคณะตำบลเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ชื่นเป็ฯพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “ปิยวณฺโณ” หลังจากเสร็จสิ้นการบวชแล้ว ด้วยพระภิกษุแย้ม เป็นพระหนุ่มที่มีหน้าตาดี จึงมีการกล่าวหยอกล้อกันว่า พระภิกษุแย้ม ไม่น่าจะบวชได้นานเกิน 2 พรรษาหรอก จึงเป็นเรื่องให้มีการท้าพนันกันว่า ถ้าพระภิกษุแย้มบวชแล้วอยู่ได้นานเกิน 2 พรรษา แล้วเมื่อถึงเวลาลาสิกขา จะออกเครื่องสึกทั้งหมดให้
    “ฉันก็ไม่ได้รับคำท้านั้นหรอกนะเพราะว่ามันเป็นการพนันและอีกอย่างก็ถือว่า เป็นการพูดล้อกันเล่นมากกว่า ส่วนในใจของฉันนั้นนะมีความศรัทธาอยู่ว่าจะบวชสักสองพรรษาก็คงพอ” หลวงปู่อธิบาย
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    ระหว่างครองเพศบรรพชิตอยู่ พระภิกษุแย้มก็เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติเป็นอันมาก รวมทั้งยังตั้งใจศึกษาธรรมะอย่างเอาจริงเอาจัง จนทำให้สามารถสอบได้นักธรรมตรีในพรรษาแรกเท่านั้น
    พอย่างพรรษาที่สองพระภิกษุแย้มก็เกิดป่วย “เรียกว่าป่วยหนักเลยนะ ในชิวิตฉันไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย ฉันป่วยจนแทบจะตายแนะ มันเป็นใข้นะ ต้องนอนซมอยู่กับที่เวลาลุกขึ้นทีไรเป็นหน้ามืดทุกที ต้องดมพิมเสนทุกที ช่วงนั้นไม่มีใครเขามาดูแลฉันหรอก ฉันต้องต้มยาฉันเอง จนโยมพ่อทราบเรื่อง จึงมารับฉันกลับไปรักษาตัวที่บ้าน โดยเอาฉันใส่เรือให้นอนไป บ้านฉันกับวัดก็ไกลอยู่เหมือนกันราวๆ 4 กิโลเมตรได้นะ หมอนุ่มเป็นคนต้มยาสมุนไพรไทยของเรานี่แหละให้ฉัน ทำการรักษาฉัน หมอนุ่มนี่เขาเก่งมากนะ จัดหายามาต้มให้ฉันเพียง 2 หม้อเท่านั้นเองฉันก็หายเลย แต่ก็ต้องพักรักษาตัวอยู่เกือบเดือน จึงค่อยกลับไปจำพรรษาที่วัดได้ตามเดิม” ที่วัดหลักสองบำรุงราษฎร์ พระภิกษุสมัยนั้นจะเก่งในเรื่องช่าง ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ช่างปูน ช่างทาสี พระภิกษุเหล่านี้จะเป็นที่โปรดปรานของเจ้าอาวาสมาก พระภิกษุแย้มเองก็มีงานช่างทำเหมือนกันคือเป็นช่างพิมพ์กระเบื้องในโรงงาน ของวัด วันหนึ่งต้องพิมพ์ให้ได้ถึง 530 แผ่นทีเดียวเพื่อให้ทันเวลาที่จะนำไปสร้างกุฏีสงฆ์หลังใหม่ที่ทางวัดได้ สร้างขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่ากระเบื้องทุกแผ่นที่วัดหลักสองใช้สร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หรือกุฎีสงฆ์ เป็นฝีมือของพระภิกษุแย้มทั้งสิ้น
    นอกจากงานด้านช่างแล้วพระภิกษุแย้ม ยังได้แอบศึกษาวิชาหมอยา เพื่อสงเคราะห์ชาวบ้านแถบนั้นด้วย เป็นเพราะท่านมีเมตตาไม่อยากให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากนัก กล่าวถึงการเป็นหมอยาของหลวงปู่แย้ม สมัยก่อนเมื่อประมาณ 70 ที่แล้วนั้น พวกเราลองคิดดูว่าการไปมาหรือการเดินทางนั้นจะลำบากสักขนาดไหน ครั้นเมื่อมีเวลาญาติพี่น้องเจ็บใข้ได้ป่วยก็ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อที่จะช่วยเหลือเขา วิธีที่ดีและรวดเร็วที่สุดก็คือ หมอยากลางบ้านนั้นแหละ และก็ตัวยาสมุนไพรทั้งนั้น พระภิกษุแย้มของญาติโยมก็เลยมองเห็นความสำคัญในข้อนี้ จึงลงมือศึกษาค้นคว้าในเรื่องของตัวยาสมุนไพรและคาถาอาคมที่จะใช้เสกกำกับลง ไปในตัวยาเพื่อใช้สำหรับการรักษา จนท่านมีความมั่นใจในตัวยาสมุนไพรที่ท่านได้ศึกษาจากตำราและค้นคว้าด้วยตัว เอง ท่านก็เริ่มลงมือช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือนร้อนได้ทันที ในพรรษาที่ 2 ของการเป็นพระภิกษุนั้นเอง
    หลังจากนั้นมา ชาวบ้านที่ได้รับการช่วยเหลือ ก็เกิดศรัทธา สาเหตุเพราะว่าท่านสามารถรักษาชาวบ้านให้หายได้ จากคนเดียว เป็นสองคน จนถึงหลายๆคนในเวลาต่อๆมา ยังไม่พอเพียงเท่านั้นชาวบ้านที่รักษาหายแล้วต่างพากันเรียกร้องให้ท่านช่วย รดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ขับใล่สิ่งเลวร้ายที่อยู่ในตัวของตนให้หมดไป จนพากันเข้าใจว่า พระภิกษุแย้ม เป็นพระเกจิอาจารย์ไปเลยทีเดียว หลังจากนั้นมาท่านก็ไม่สามารถขัดญาติโยมได้อีก ทำให้ท่านต้องดั้นด้นเรียนรู้ หาวิธีศึกษาในทุกๆทางจากทุกๆที่ เพื่อจะได้ทำให้มีวิชาเข้มขลังยิ่งขึ้น จนกระทั่งท่านได้พบกับหลวงพ่อสายวัดทุ่งสองห้อง ท่านได้เมตตาช่วยสอน พร้อมทั้งแนะนำให้ความรู้ทั้งเรื่องยันต์และเรื่อง เวทมนต์พระคาถาอาคม ทุกอย่าง คำกล่าวที่ว่าความพยายามอยู่ที่ใหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น พระภิกษุแย้ม ก็ได้พบเจอกับความจริงข้อนี้ หลังจากเพียรพยายามศึกษา อยู่นานทำให้ท่านสำเร็จ และได้วิชาทุกตัวจากหลวงพ่อสายโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่สักตัวเดียว จากนั้นชื่อเสียงของท่านก็บรรเจิดขึ้นตลอดเวลา จนกระทั่งบวชได้ 10 พรรษา โยมลุงได้ นิมนต์ให้มาอยู่จำพรรษาที่วัดตะเคียน
    “โยมลุงของฉันชื่อว่า เคลิ้ม เป็นพี่ชายของโยมแม่เขามามีเหย้ามีเรือนอยู่แถววัดตะเคียนนี้ ทีนี้เขาจะบวชลูกชายก็ไปนิมนต์ฉันมาเป็นพระคู่สวดให้ ฉันก็มาตามนิมนต์ แต่พอพระบวชแล้วโยมลุงก็นิมนต์ให้ฉันอยู่จำพรรษาที่วัดตะเคียนนี่สักพรรษา หนึ่งก่อน เพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนพระลูกชายของแก ฉันมองดูแล้วก็น่าเห็นใจอยู่ เนื่องจากที่วัดตะเคียนนี้มีพระจำพรรษาอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นคือหลวง พ่อแดง เจ้าอาวาสนั้นเอง ฉันก็เลยตอบตกลง แต่ผ่านไปเพียง เจ็ดวันหลวงพ่อแดงเจ้าอาวาสก็เกิดมามรณภาพไป หลังจากงานศพหลวงพ่อแดงแล้วฉันก็เลยเดินทางมาจำพรรษาที่วัดตะเคียน และไม่นานนักเจ้าคณะอำเภอก็ให้ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาส และต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่นั้นมา” หลวงปู่เล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่วัดตะเคียน จวบจนปัจจุบัน หลวงปู่แย้ม เป็นเจ้าอาวาสวัดตะเคียนมาร่วม 60 ปี จากวัดร้าง ที่ไม่น่าอยู่ไม่น่าพิสมัย ได้พัฒนาให้กลับกลายเป็นวัดที่สวยงาม ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านได้พัฒนาวัดมิได้หยุดหย่อน แม้จะเป็นวัดที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ทว่าในปัจจุบันการเดินทางมาทีวัดตะเคียนสามารถทำได้โดยง่ายดาย เนื่องจากทางการได้ทำการตัดถนนสายใหม่ ผ่านทางเข้าวัด คือถนนพระรามที่ 5 (นครอินทร์) ช่วยให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน เจ้าของตำนาน ตะกรุดคอหมา อันโด่งดัง ได้สร้างชื่อประดับวงการพระเกจิเมืองไทย ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั่วแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นคนยากจน หรือมหาเศรษฐี ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักการเมือง ผู้ที่ทราบถึงความศักดิ์สิทธิของท่าน ต่างก็เดินทางมาหาท่านเพื่อขอพรขอบารมีจากท่านกันมิได้ขาดสายอยู่ทุกวี่ทุกวัน วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียนที่ท่านได้จัดสร้างขึ้นมา รุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่างถูกสั่งจองและเช่าซื้อหากัน จนทำให้ราคาพุ่งขึ้นๆ ทุกวัน เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะสืบเนื่องมาจากครั้งเมื่อท่านได้ทำตะกรุดคอหมา คล้องคอให้ให้กับหมาในวัดของท่านทุกตัว เพื่อป้องกันภัยให้หมาของท่าน แต่แล้วคนก็มาแย่งหมาไปบูชากันเองจนหมดสิ้น
    อันว่าตะกรุดที่ท่านได้ดำริริเริ่มสร้างผูกคอหมา ก็เนื่องมาจากว่า หลวงปู่แย้มท่านเป็นคนที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์สูง ท่านได้เลี้ยงหมาไว้หลายตัว บางครั้งหมาที่ท่านเลี้ยงไว้อาจไปทำความเดือนร้อนให้ชาวบ้านไกล้ๆ วัดบ้างทำให้หมาของท่านถูกทำร้ายด้วยการปาก้อนหิน หรือรุนแรงจนถึงขั้นให้ปืน ใช้มีดดาบทำร้าย ทำให้หมาบางตัวได้รับความทุกข์ทรมาณเป็นอย่างมาก ครั้นหลวงปู่จะไปห้ามโยมไม่ให้ตีหมา ทำร้ายหมาก็คงไม่เป็นผลอะไร คิดดังนั้นแล้ว จึงจัดเตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำตะกรุด ด้วยพิธีกรรมที่ไม่เหมือนใครคือท่านจารตะกรุดในน้ำด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ของท่าน เมื่อทำเสร็จแล้วจึงนำไปผูกคอหมาที่ท่านเลี้ยงไว้จนครบทุกตัว
    หลังจากนั้นหมาของท่านก็ไม่เคยได้รับความรุนแรงใดๆ อีกเลย ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นเกิดความสงสัย ก็สอบถามกันไปสอบถามกันมาได้ความว่าหลวงปู่แย้ม ได้ผูกตะกรุดวิเศษไว้ที่คอหมาทุกตัว ก็เลยทำให้บรรดานักเลงแถวนั้นเกิดความอยากลองของ ว่าจะแน่สักแค่ใหนก็นำปืนมาลองยิงหมาดู ปรากฏว่าปืนแตก ! เป็นเหตุให้เกิตความฮือฮาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คนที่ต้องการตะกรุดแบบเร็วๆ ก็แย่งเอาที่คอหมา คนที่มีศีลธรรมดีหน่อยก็ไปบอกกล่าวขอกับ หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน เองกิติศัพท์ของหลวงปู่ก็กระฉ่อนแต่นั้นมา จนชาวบ้านเรียกขานว่า “ปู่แย้ม ตะกรุดคอหมา”
    ปัจจุบันหลวงปู่แย้ม ยังเป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาลูกศิษย์ ทั้งศิษย์เก่าศิษย์ใหม่ ต่างไม่เคยลืมแวะเวียนมาหาท่านกันเป็นประจำ ใครมีอะไรใหม่ มีอะไรที่ทำให้ไม่สบายอกไม่สบายใจก็มาหาท่านซึ่งท่านก็เมตตากับทุกคนที่แวะ เวียนมา บางคนออกรถใหม่ก็นำมาให้ท่านเจิมให้ ด้วยบารมีอันแก่กล้าของท่าน รับประกันได้ว่ารถคันนั้นจะไม่มีวันเจออุบัติเหตุใหญ่ๆ แน่นอน บางคนทำการค้า การขาย บางช่วงบางโอกาสเศรษฐกิจบ้านเมืองไม่ดี ก็มาหาท่านขอเช่าบูชาธูปเสก นำไปจุดไหว้ ปรากฏว่าการค้าการขายดีขึ้นเป็นพิเศษ เรื่องธูปเสกของท่านนี้ลูกศิษย์ลูกหา นิยมบูชากันมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีมาแล้ว เพราะว่าทุกคนไม่เคยผิดหวัง แถมหลวงปู่ยังย้ำพร้อมรับประกันให้ว่าถ้าไม่ดีจริงให้มาต่อว่าได้เลยพร้อม ทั้งยังอธิบายวิธีบูชาให้อีกด้วย ...
    เมื่อได้พูดถึงตะกรุดคอหมาแล้ว ว่าคงกระพัน หรือแคล้วคลาดอย่างไร ก็ทำให้ต้องพูดถึงวัตถุมงคลอีกอย่างที่เข้มขลังไม่แพ้กัน นั่นคือ “เสือปืนแตก”เล่ากันว่า มีนายตำรวจ ในเขตอำเภอบางกรวย ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่แย้ม สร้างเสือเนื้อตะกั่วขึ้นมาเพื่อหาปัจจัยสร้างวัด และมีคนเล่าให้ฟังถึงความขลังของวัตถุมงคลของหลวงปู่ จึงอยากลองของ ใด้มาขอยืมจากลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้วัด เพื่อนำไปลอง ปรากฏว่ายิงนัดแรกไม่ออก นัดที่สองไม่ออก ยิงอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม ปืนแตกใส่มือได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลเป็นมาจนทุกวันนี้
    คาถาบูชาเสือปืนแตกหลวงปู่แย้ม
    คาถาเรียกบูชา เสือรุ่น3 หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน จ.นนทบุรี รุ่นเจ้าสัวพิทักษ์ทรัพย์ นับว่าเป็นวัตถุมงคลหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน ที่เป็นที่นิยมมากเนื่องจากมีประสบการณ์เป็นที่กล่าวขานกันจนหลายๆท่านเรียกว่า เสือปืนแตกใครมีเสือของหลวงปู่แย้มท่านสามารถนำพระคาถาบทนี้บูชาเสือก่อนนำติดตัว คาถาบูชาเสือหลวงปู่แย้ม

    ตั้งนะโม 3 จบ
    เงินทองไหลมา พยัฆรักษา นะชาลีติ
    อะยังราชา พยัคฆะ สะมาสะมิสะ สิริเตโช ชัยยะ
    สิงหะนาถัง พยัคฆะ สัตตะราชา ชัยยะ ประสิทธิเมฯ

    บูชาด้วยคาถา สม่ำเสมอ จะร่ำรวย โชคลาภ เงินทองมากมาย ได้มารักษาไว้ บริวาณมากมาย ไร้โรค ไร้โศก ไร้ภัย ตลอดไปเทอญ

     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)

    ตั้งแต่อดีต หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียนได้พยายามรวบรวมปัจจัย เพื่อนำมาสร้างเสนาสนะ และบูรณะวัดอยู่อย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด จวบจนปัจจุบันหลวงปู่ก็ชราภาพลงมากแล้ว แต่ยังมีภาระซ่อมสร้างเสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรมอีกหลายอย่าง ทั้งยังขาดจตุปัจจัยอีกเป็นจำนวนมาก ในการซ่อมสร้างเพื่อให้สำเร็จลุล่วงไป จึงได้ดำริปรึกษาหารือกับทางคณะกรรมการวัด ว่าด้วยเรื่องการสร้างวัตถุมงคลขึ้นในคราวฉลองทำบุญครบรอบวันเกิดขึ้นเมื่อ เดือนพฤษภาคม ปี 2550 ซึ่งถือเป็นโอกาสดีพิเศษยิ่ง จึงได้จัดสร้างวัตถุมงคล องค์พ่อจตุคามรามเทพ โดยได้นำผงมวลสารจากจตุคามรามเทพ รุ่นเก่ายอดนิยม มาผสมด้วย การสร้างวัตถุมงคลในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสำคัญของวัดตะเคียนซึ่งถือเป็นรุ่นแรก พระที่สร้างในพิธีนี้ทั้งหมดถือเป็นยอดวัตถุมงคลของท่าน มวลสารทั้งหมดได้จัดเตรียมมานานนับเดือน ก็เป็นเพราะความตั้งใจของหลวงปู่เอง รวมทั้งได้นำมวลสารพระเครื่องยุคแรกที่ท่านสร้างและบรรจุในกรุนานกว่า 60 ปี มวลสารหลักของพระรุ่นนี้ มีผลอิทธิเจ ผงมหาราชเก่า ผงวิเศษ 108 ที่ท่านจารและเขียนขึ้นเองตามฤกษ์ยามที่ท่านกำหนดและปลุกเสกมานาน ผงไม้ตะเคียนอินทราณี ผงกะลาตาเดียวลงยันต์ จัน-สูรย์ ไม้มงคลแดง ไม้มงคลดำ ผงใบลาน ผงทองคำ ผงตะไบชนวน แผ่นจารยันต์พระเกจิอาจารย์ 108 องค์ ผงตะไบชนวนโลหะที่ท่านเก็บไว้ ผงยาจินดาวาสนา รวมทั้งผงกระเบื้องหลังคาโบสถ์ ผงเสาโบสถ์มหาอุด ผงทองพระประธาน เป็นต้น
    จากการได้เข้าพบนมัสการ หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน ในครั้งนี้ ผู้เขียนซึ่งนับถือท่านและฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านมานาน ยังได้เห็นความน่ารัก ความมีเมตตาของหลวงปู่อยู่อย่างเต็มเปี่ยม ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่เกี่ยงงอนเมื่อมีญาติโยมมาขอพบ เพื่อขอพรขอบารมี ไม่ว่าเวลาไหน หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน ยังได้มอบวัตถุมงคลชิ้นล่าสุดของวัด และจัดว่าเป็นวัตถุมงคลล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง นั้นคือ “ตะกรุดหนังเสือ” ก่อนที่หลวงปู่จะมอบให้ผู้เขียน หลวงปู่ยังกำชับว่า “ใครจะยิงให้มันยิงไปเถอะ เดี๋ยวปืนมันก็แตก เอ้า เพี้ยง” ทำให้ผู้เขียนขนลุกซู่ไปทั้งตัว เนื่องจากก่อนหน้านี้มีผู้หญิงวัยกลางคน พร้อมญาติๆ ของตนได้เข้ามาขอพบหลวงปู่พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า ตนเป็นแม่บ้านทำงานอยู่กับบ้าน วันหนึ่งได้เกิดอุบัติเหตุแบบไม่คาดฝันขึ้น ตนได้ทำน้ำร้อนที่ต้มเดือดจัด หกรดขาทำให้ขาโดนลวกเกือบทั้งขาด้านขวา ตนตกใจมากรีบร้องตะโกนเรียกญาติที่อยู่ใกล้ๆ ให้มาช่วยตนเร็วๆ ทุกคนต่างวิ่งกันมาดูด้วยความตกใจ ครั้นเมื่อตนตั้งสติได้ กลับพบว่าน้ำร้อนนั้นไม่สามารถทำให้ขาของตนพุพองหรือปวดแสบปวดร้อนแต่ประการ ใดเลย ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ตนมานึกขึ้นได้ว่าตัวเองแขวนตะกรุดหนังเสือหลวงปู่แย้มอยู่เพียงอันเดียว จึงรีบมาที่วัดเพื่อกราบขอบพระคุณหลวงปู่ ในอิทธิบารมีของหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียนในครั้งนี้

    หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียนมรณภาพแล้ว
    พระครูปิยนนทคุณ หรือหลวงปู่แย้ม หลวงปู่แย้ม ปิยวัณโณ เจ้าอาวาสวัดตะเคียน ถนนนครอินทร์ (พระราม 5) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ได้มรณภาพเมื่อเวลา 09.20น.ของวันที่ 4 มิถุนายน 2557 ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ สิริอายุ 98 ปี
    :- http://www.baanjompra.com/webboard/thread-4876-1-1.html
    LpYamfirstone.jpg
    :- https://www.google.com/search?sxsrf...lGoFHaHFA6gQ7Al6BAgCEFM&biw=953&bih=584&dpr=1

     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงปู่คำดี-ปภาโส.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่คำดี ปภาโส


    วัดถ้ำผาปู่
    อ.เมือง จ.เลย
    ชาติกําเนิดและชีวิตปฐมวัย

    หลวงปู่คําดี ปภาโส เกิดวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ ตรงกับแรม ๑๔ ค่ํา ปีขาล ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ ของ นายพร-นางหมอก นินเขียว เกิดที่บ้านหนองคู ตําบลบ้านหว้า อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดากัน คือ ชาย ๓ คน หญิง ๓ คน รวม ๖ คน

    หลวงปู่คําดี เมื่อเป็นเด็กท่านไม่ได้เข้าโรงเรียน เพราะสมัยนั้นตามชนบทบ้านนอกไม่มีโรงเรียน ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยเข้าเรียนโรงเรียนผู้ใหญ่จบชั้นประถม ปีที่ ๔ บริบูรณ์ ในสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและมีจิตใจเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนาตลอดมา ท่านนึกอยากจะบวชมาตลอด เมื่ออายุพอบวชเป็นสามเณรได้ ท่านขออนุญาตโยมบิดา-มารดาบวช แต่ไม่ได้รับอนุญาต กลับบอกว่าเอาไว้อายุครบบวชเป็นพระแล้วค่อยบวชที่เดียวเลย เพราะตอนนี้ทางบ้านกําลังต้องการให้อยู่ช่วยทํางานก่อน ท่านก็ได้ช่วยพ่อแม่ทํางาน ด้วยความขยันหมั่นเพียรด้วยความอดทนมาตลอด จนกระทั่งอายุครบ ๒๒ ปีบริบูรณ์ จึงได้ขออนุญาตบิดา-มารดาของท่านบวชอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงยินดีอนุญาตให้ท่านบวชได้ตามต้องการ ท่านดีใจมากเพราะสมใจที่คิดไว้ ท่านพูดว่าสมัยท่านเป็นเด็กมองเห็นภูเขาเขียว ๆ ที่ใกล้บ้านท่าน เป็นสถานที่ที่เหมือนว่าเคยอาศัยอยู่มาแต่ก่อนแล้ว และคิดว่าบวชครั้งนี้แล้ว คงจะได้ไปอยู่อาศัยทําความเพียรแน่ เกิดความปิติ และเกิดความชื่นใจตลอดเวลา

    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

    หลวงปู่คําดี ปภาโส บวชเป็นพระมหานิกาย ที่วัดหนองแวง บ้านเมืองเก่า ตําบลพระลับ อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พระอาจารย์ที่บวชให้คือวัด ที่เดียวกับพระธุดงค์ชุดก่อน ท่านมานึกถึงคําอธิษฐานได้ก็แสนจะดีใจ รีบหาน้ําฝนที่สะอาดไป ถวายซึ่งในครั้งนี้มากันหลายองค์กระจายกันพักเป็นจุดๆ ไป เมื่อหลวงปู่ถวายน้ําแล้วได้กราบเรียนถามตามที่ตนสงสัยนั้นว่า

    “นี่พระคุณเจ้ามาจากไหนและจะเดินทางไปที่ใดครับกระผม”

    พระธุดงค์ ตอบว่า “พวกผมพากันเดินธุดงค์จะขึ้นเขา แต่นี่ผ่านมาจึงเเวะพักเหนื่อย”

    หลวงปู่คําดีถามว่า “การเดินธุดงค์นี้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์สิ่งใดครับกระผม”

    พระธุดงค์ตอบว่า “เพื่อความวิเวก เพื่อหาความสงบและเพื่อโมกขธรรมคือ ความพ้นทุกข์”

    หลวงปู่คําดี นิ่งคิด เพราะเรื่องนี้เคยได้ถามพระอาจารย์มาแล้ว ท่านว่าหาทางพ้นทุกข์เหมือนกัน ท่านยิ่งเกิดความปีติยินดีในปฏิปทาของท่านเหล่านั้นมาก ท่านมีความศรัทธาในอิริยาบถต่างๆ ที่พระธุดงค์แสดงออกมาให้เห็น ท่านจึงออกปากพูดไปว่า “กระผมมีความสนใจมานานพระคุณเจ้าจะรังเกียจหรือไม่ถ้ากระผมจะขอ ติดตามเดินธุดงค์ไปด้วย เพื่อพระคุณเจ้าจะได้อบรมสั่งสอนให้กระผมได้มีความรู้ความเข้าใจ ตามแนวทางปฏิบัติอย่างที่พระคุณเจ้ากระทําอยู่”

    พระธุดงค์จึงถามว่า “ท่านเป็นพระมหานิกาย หรือธรรมยุต”

    หลวงปู่คําดีตอบว่า “กระผมเป็นพระมหานิกายครับกระผม”

    พระธุดงค์พูดว่า “ท่านเป็นพระมหานิกายไปกับพวกผมไม่ได้ เพราะบางสิ่งบางอย่างหลักธรรมวินัยเข้ากันไม่ได้ หมายถึงไม่เหมือนกัน อย่างเช่นพิธีการต่างๆ พวกผมไม่ได้รังเกียจท่านหรอก แต่ทางที่ดีถ้าท่านอยากไปกับพวกผมจริงๆ แล้วขอให้ท่านไปญัตติใหม่เป็นธรรมยุตเสียก่อน จึงจะไปกับพวกผมได้ เอาละพวกผมก็พักเป็นเวลาสมควรแล้วจะต้องรีบเดินธุดงค์ต่อไป”

    หลังจากที่ พระธุดงค์ชุดดังกล่าวจากไปแล้ว หลวงปู่มีความอึดอัดใจ เพราะว่าพระธุดงค์บอกว่าถ้าจะร่วมไปกับท่านจริงต้องไปญัตติเป็นธรรมยุตก่อน ส่วนเราหรือก็ได้รับความเมตตาพระอาจารย์ ตลอดจนญาติโยมมากมายแต่ใจหลวงปู่ก็ไม่อยากทิ้งความพยายามที่จะออกธุดงค์ ท่านรุ่มร้อนจิตใจจนทนไม่ได้จึงอยากจะกราบพระอาจารย์ขออนุญาตลาไปญัตติใหม่ ถ้าท่านเมตตาเราแล้วท่านคงไม่ขัดขวาง ต้องยินดีกับการดําเนินชีวิตที่ดีที่ชอบของลูกศิษย์อย่างแน่นอน เพราะการเดินธุดงค์เป็น ไปเพื่อหาทางพ้นเสียจากทุกข์พระอาจารย์คงจะอนุโมทนากับเรา จึงได้หาโอกาสในวันหนึ่งเข้านมัสการพระอาจารย์เพื่อขอลาญัตติใหม่ เมื่อเข้ามาถึงตรงหน้าแล้วพระอาจารย์ถามว่า “มีธุระอะไรหรือ”

    หลวงปู่ตอบไปว่า “กระผมมีปัญหาอยู่ว่า กระผมมีความประสงค์ที่จะออกธุดงค์ แต่ในการเดินธุดงค์นั้น กระผมได้รับคําแนะนําว่า ให้ไปแปรนิกายใหม่เป็นธรรมยุตกระผมจึงมีความอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง พระอาจารย์จะเห็นเป็นการสมควรประการใดครับกระผม”

    พระอาจารย์ตอบว่า “เป็นการคิดที่ชอบแล้ว เพราะการเดินธุดงค์นั้นเราจะต้องเข้าหมู่คณะ อีกอย่างหนึ่ง พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ผู้เป็นพระคณาจารย์ใหญ่ในขณะนี้ท่านเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต เป็นพระอาจารย์ปฏิบัติ กรรมฐาน ที่มีความสามารถเป็นยอด ท่านได้อบรมสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติแนวทาง พ้นทุกข์จนสามารถมีดวงตาเห็นธรรมกันก็มากมี ถ้าแม้ว่าเป็นวาสนาของท่านคําดีแล้ว ควรจะรีบเร่ง ขวนขวายในขณะครูบาอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ จงไปดีนะและขอให้ตั้งใจค้นคว้าหาสัจธรรมอันล้ําเลิศ อันเป็นทางพ้นทุกข์ได้จริงแท้แน่นอน เป็นหนทางเอกของท่านคําดีแล้ว ขออนุโมทนาให้กุศลผลแห่งภาวนามัยนี้ด้วย ขอให้พบธรรม”

    หลวงปู่คําดีแสนตื้นตันใจน้ําตาเอ่อนองด้วยความปีติ นี่แหละหนอครูบาอาจารย์ผู้ประเสริฐ พระอาจารย์ผู้อยากเห็นศิษย์ได้ดีมีวิชชา ต่อไปในอนาคต ท่านย่อมส่งเสริมเช่นนี้เสมอ…หลวงปู่คําดีได้ลาพระอาจารย์แล้ว ยังคิดถึงโยมอุปัฏฐาก ท่านจึงได้ บอกข่าวและมาประชุมกันเพื่อขอลาเดินธุดงค์และจะเรียนรู้ในการแปรญัตติเป็นธรรมยุตด้วย

    หลังจากที่หลวงปู่ฯ ได้ยินคําอธิบายจากพระธุดงค์ผ่านไปไม่กี่วัน ท่านก็บอกญาติโยมให้ เตรียมบริขารที่จะไปทําการญัตติใหม่ ไม่กี่วันการเตรียมบริขารเสร็จเรียบร้อย จึงลาญาติโยมเพื่อไปญัตติเป็นพระธรรมยุต ญาติโยมต่างก็อนุโมทนาทุกคน ท่านจึงออกเดินทางจากวัดบ้านหนองคู ซึ่งเป็นบ้านเกิดไปเมืองขอนแก่น ขออนุญาตเข้าพบ พระครูพิศาลอรัญเขต เจ้าอาวาสวัดศรีจันทราวาส ตําบลพระลับ อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และนมัสการกราบเรียนให้ท่านช่วยญัตติเป็นพระธรรมยุต ท่านก็รับไว้ด้วยความเมตตา และพักอยู่ที่วัดนี้ จนกระทั่งหลวงปู่คําดี ได้ฝึกหัดอ่านอักขระฐานกรณ์ จากอาจารย์ได้เรียบร้อยไม่ขาดตกบกพร่อง ท่านจึงได้อนุญาตให้ญัตติได้เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๑ ตรงกับปีมะโรง เวลา ๑๓.๓๐ น. เป็นอันเสร็จพิธี โดยมี พระครูพิศาลอรัญเขต เป็นพระอุปัชฌาย ์ พระปลัดสังข์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมชาย เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ปี พ.ศ.๒๔๘๑ ท่านจําพรรษาที่วัดถ้ํากวาง บ้านหินร่อง ตําบลเมืองเก่า อําเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ครั้งแรกท่านอยู่องค์เดียว อาศัยญาติโยมชาวบ้านหาร้านที่พักให้ชั่วคราว ต่อมามีหมู่คณะไปด้วยมีพระ ๓ รูป ตาปะขาว ๑ คน ถ้ํากวางนี้เป็นสถานที่ที่มีป่าทึบ ห่างไกลจากหมู่บ้าน ประมาณ ๒ กม. ก่อนที่ท่านจะมาถ้ํากวางนี้ ท่านมุ่งมั่นทําความเพียรอย่างเดียว ยอมสละชีพเพื่อพรหมจรรย์ เพื่อมรรคผลนิพพาน ท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐานอยู่จําพรรษาที่ถ้ํากวางนี้ ๕ พรรษา ถ้าหากจะมีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้น ท่านก็จะไม่ยอมหนีให้เสียสัจจะโดยเด็ดขาด การจําพรรษาที่นี่ท่าน ได้ปฏิบัติภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๔๘๓ ท่านได้เป็นไข้มาลาเรียอย่างหนัก แม้แต่หมู่คณะของท่านทุกรูปก็เป็นไม่มีใครดูแลกันได้เลย ได้อาศัยชาวบ้านหินร่องมาช่วยอุปัฏฐากดูแล

    ต่อมาพระ ๒ รูป มรณภาพ และตาปะขาว ๑ คน ได้ตายจากไป ส่วนพระที่ยังไม่มรณภาพต่าง ก็หนีไปที่ต่างๆ ไม่มีใครกล้าอยู่เพราะกลัวไข้มาลาเรียกัน สําหรับหลวงปู่ได้มีญาติโยมมาอ้อนวอนให้หนี แต่หลวงปู่อธิษฐานไว้แล้ว ท่านอยู่ของท่านรูปเดียวตลอดฤดูแล้ง พอจวนจะเข้าพรรษามีพระ ไปร่วมจําพรรษาอีก ๔ รูป ตาปะขาว ๑ คนคือ พระอ่อน หลวงตาสีดา หลวงตาช่วง ตาปะขาวบัว (หลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดป่าหนองแซง จังหวัดอุดรธานี) ได้ร่วมกับเพื่อนพระด้วยกันปฏิบัติภาวนา จนกระทั่งออกพรรษา

    ในขณะอยู่ถ้ํากวาง บ้านหินร่อง กลางฤดูแล้ง ปี พ.ศ.๒๔๘๔ คิดอยากจะไปวิเวกที่ “ภูเก้า” ขณะนั้นไข้ยังไม่หายดี ก่อนไปคิดเสียสละตัดสินใจไป หากจะเป็นอย่างไรก็ยอมเป็น จะหายก็หายจะตายก็ตาย ตัดสินใจอย่างนั้นก็เล่าให้ลูกศิษย์ซึ่งเป็นไข้เหมือนกันฟัง

    “ผมจะไปภูเก้า ท่านจะไปด้วยไหม ถ้าผมไปผมยอมสละชีพได้นะ จะหายก็หายจะ ตายก็ตาย หากถึงภูเขาและถ้ําแล้ว ถ้าลงบิณฑบาตไม่ได้ผมก็ไม่ลง หากชาวบ้านเขาไม่เอา อาหารมาส่งผมก็ไม่ฉัน” โสสุด (ตั้งใจแน่นอน) อย่างนี้ก็ตกลงไปด้วยกัน หลวงปู่เป็นนักต่อสู้ผู้ล้ําเลิศจริงจังต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นยอด ถึงแม้ว่าสังขารร่างกายจะเป็นอย่างไร หลวงปู่ไม่เคยคิดเดือดร้อน ท่านถือว่า ถ้าไม่ได้ธรรมแล้วขอยอมตาย สัจจะวาจาที่ตั้งไว้บังเกิดผลได้อรรถธรรมชั้นสูง ลงมาสอนอย่างน่าเคารพกราบไหว้บูชายิ่ง ใน

    หลวงปู่คําดีไปอยู่ในถ้ํากวางแต่ละครั้ง ก็ล้มป่วยถูกชาวบ้านหามลงมาทุกครั้ง ท่านอธิษฐานอยู่ ๕ ปี ก็ต้องถูกหามลงมาทุกปีเหมือนกัน แต่อาศัยความเพียรเป็นเลิศมุ่งตรงทางเอกปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างไม่มีอะไรจะเปลี่ยนจิตใจท่านได้ แม้สุขภาพไม่สมบูรณ์นักก็ตาม ความขยันในการประพฤติปฏิบัติภาวนา หลวงปู่ไม่เคยทอดทิ้งละเลย แม้ยามเจ็บป่วยหลวงปู่ยังมีสติพร้อมมูล มุ่งหวังธรรมะด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    ปฏิปทาในการปฏิบัติของท่าน ๆ เอาความตายเข้าสู้ บางวันเดินจงกรมตลอดคืนก็มี บางครั้ง นั่งสมาธิตลอดคืน บางวันเดินจงกรมตลอดวันอีก การปฏิบัติของท่านปฏิบัติแบบเอาเป็นเอาตาย ไม่ห่วงแม้แต่เรื่องการอาบน้ํา แม้เหงื่อจะไหลชุ่มโชกก็ตาม ท่านบอกว่าเหงื่อไหลตามตัวไม่เป็นไร แต่ใจมันเย็นชุ่มฉ่ตลอดเวลา จึงไม่เกิดความรําคาญ ลูกศิษย์ที่ศึกษาปฏิบัติภาวนากับท่าน กราบเรียนถามท่านอีกว่า
    “ท่านอาจารย์ กระผมเห็นท่านปฏิบัติภาวนาตลอดวันตลอดคืน ไม่ทราบว่าท่านเอา เวลาไหนนอน”
    ท่านตอบว่า “จิตมันพักอยู่ในตัวนอนอยู่ในตัว มีความยินดีและเพลิดเพลิน ในการปฏิบัติภาวนา จึงไม่รู้สึกเหนื่อยและไม่ง่วงนอน”
    ในระหว่างที่ท่านวิเวกภาวนาอยู่ที่เขาตะกุดรังนั้น ท่านได้ถือสัจจะอันหนึ่งคือ ท่านถือสัจจะฉันผลไม้ แทนข้าวและอาหารสับเปลี่ยนกันไปคือ ฉันกล้วย มะพร้าว มัน เผือก น้ําอ้อย น้ําตาล ๕ วัน แล้วจึงกลับไปฉันอาหารคาว-หวาน ๓ วัน สลับกันเช่นนี้ตลอด เวลาขณะที่ท่านออกธุดงค์ประมาณ ๓-๔ เดือน ในระหว่างที่เร่งความเพียรอยู่นั้นท่านพูดแต่น้อย ไม่มีเรื่องจําเป็นท่านไม่พูดคือ ท่านพยายามฝึกสติไม่ให้เผลอออกจากกายและใจไปทุกๆ อิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ท่านมีความเพียรพยายามจนจิตของท่านได้สมาธิใหม่สมความประสงค์ของท่าน จิตของท่านรวมอยู่เป็น วันเป็นคืนก็ได้ ขณะที่จิตของท่านได้กําลังเช่นนี้ ท่านได้พิจารณาธาตุ ๔ คือ ดิน น้ํา ลม ไฟ ตลอด ทั้งอาการ ๓๒ ก็เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้เพียรพยายามพิจารณาทะลุเข้าไปถึงเวทนา ทั้ง ๓ ตลอดไปถึงสิ่งต่าง ๆ ก็เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้พิจารณาไปจนกระทั่ง จิตแสดง ความบริสุทธิ์ของจิตให้เห็นอย่างชัดเจน ขณะนี้แสดงว่า จิตของท่านได้ผ่านไตรลักษณ์ไปแล้ว

    ครั้งหนึ่งเป็นฤดูแล้ง ตรงกับเดือน ๓ แรม ๓ ค่ํา ปี พ.ศ.๒๔๗๖ ได้ยินเสียงใบพลวงหล่น ดังตั้งติ้ง ๆ ขณะที่หลวงปู่คําดีเดินจงกรมอยู่นั้น ประมาณ ๓ ทุ่ม สมัยนั้นใช้เทียนไขตั้งไว้ตรงกลาง โคมผ้าที่ทําเป็นรูปทรงกลม เจาะรูมันก็สว่างดี ลมพัดไฟก็ไม่ดับ มองไกล ๆ เห็นแดงร่า ทางจงกรม สูงขึ้นไปจากพื้นประมาณ ๒ เมตร เงียบสงัดดี ได้ยินแต่เสียงใบพลวงตกดังตั้งติ้ง ๆ ทันใดนั้นได้ยินเสียงสัตว์ ได้ยินเสียงขู่ครั้งแรก สงสัยเสียงอะไรแปลกๆ ใจมันบอกว่า “เสือ” แต่ก็ยังไม่แน่ใจ จึงเดินกําหนดจิตกลับไปกลับมาที่ทางจงกรมอยู่อย่างนั้น มันขู่ครั้งที่สองนี่ชัดเสียแล้ว มันดังชัด “อา..อา..อา..อา!” เสียงหายใจดังโครกคราก โครกคราก ไกลออกไปประมาณ ๑๐ เมตร ไม่นานนัก ได้ยินเสียงขู่คํารามอีก มาอยู่ใกล้ ๆ ทางจงกรมแหงนหน้าขึ้นดู แล้วขู่ อา.อา.อาอากลัวแสนกลัว ยืนอยู่กับที่เผลอไปพักหนึ่ง จิตมันจึงบอกว่า “กรรม” พอจิตมันแสดงความผุดขึ้นในใจว่า “กรรม” ก็มีสติดีขึ้น ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ พอระลึกได้แล้ว มีสติปกติ จึงได้พูดกับมันว่า ถ้าเราเคยทํากรรมทําเวรต่อกัน ถ้าจะขึ้นมากินข้าพเจ้า จงขึ้นมากินเถิด ถ้าเราไม่เคยทําเวรทํากรรมต่อกัน ก็จงหนีเสีย เรามาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยรบกวนใคร ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ว่าสัตว์ตัวเล็กและสัตว์ตัวใหญ่ เรามาที่นี่เพื่อมาปฏิบัติสมณธรรมเท่านั้น
    พอระลึกได้จิตตั้งมั่นแล้ว หายกลัว ความกลัวหายหมดเลย ไม่มีความกลัว เกิดความ เมตตารักมัน ฉวยโคมได้ออกตามหามันทันที ถ้าพบแล้วจะไม่มีความกลัว ไม่ว่าจะเป็นเสือเล็กหรือ เสือใหญ่ สามารถจะเข้าลูบหลังและขี่หลังมันได้

    อีกครั้งหนึ่งหน้าแล้งปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ท่านได้เดินทางไปวัดบ้านเหล่านาดี (วัดป่าอรัญวาสี) จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านเพื่อเป็นประธานสร้างกุฏิที่ญาติโยมเขามีศรัทธาที่จะสร้าง เป็นอนุสรณ์ในด้านวัตถุถาวรไว้ แต่ท่านไม่รู้สึกยินดี เพราะท่านชอบสันโดษ ไม่มีนิสัยชอบก่อสร้าง ส่วนที่เห็นว่าทางวัดมีการสร้างสิ่งต่าง ๆ ส่วนมากเป็นศรัทธามาสร้างถวายท่านก็ไม่ขัดศรัทธาการ ก่อสร้างกุฏิที่วัดนี้ก็เช่นเดียวกัน มีศรัทธา ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งต้องการก่อสร้าง อีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้อง การสร้างไม่เป็นที่ตกลงกันฝ่ายที่ต้องการสร้างไม่ฟังเสียงคัดค้านได้ดําเนินการก่อสร้างไปเลย เมื่อรีบเตรียมหาวัสดุก่อสร้าง พวกที่คัดค้านก็หาเรื่องคัดค้านฟ้องร้องกัน หาว่าทําผิดกฎหมายบ้านเมือง ให้เจ้าหน้าที่มาจับ
    พอออกพรรษาในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ท่านกลับไปวัดบ้านเหล่านาดีอีก พอดีกับการก่อสร้างเสร็จทางญาติโยมที่มีจิตศรัทธาก็ได้ทําบุญถวายกุฏิเป็นที่เรียบร้อย

    ในปีนั้น พวกโยมที่คัดค้านการก่อสร้างกุฏิและกลั่นแกล้ง พูดจาก้าวร้าวท่านต่าง ๆ นานับประการนั้น คนที่เป็นหัวหน้าเกิดอาเจียนเป็นเลือดตายส่วนอีกคนหนึ่งนอนหลับตาย พวกญาติๆของฝ่ายคัดค้านเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็กลัวกันมากเกรงว่า บาปกรรมที่พวกตนทําไว้กับพระสงฆ์จะตกสนองเช่นเดียวกับสองคนแรก จึงพากันไปกราบนมัสการขอขมาโทษจากท่าน ๆ จึงเทศน์ให้ฟังว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2021
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    “เรื่องเป็นเรื่องตายไม่ใช่เรื่องของอาตมาเป็นเรื่องของพวกเขาต่างหากเป็นเพราะใคร ทํากรรมอย่างใดก็ได้รับผลของกรรมอย่างนั้น ส่วนพวกเจ้าทํากันเองพวกเจ้าคงจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร”
    แล้วท่านก็ให้พากันทําคารวะสงฆ์ หลวงปู่พร้อมด้วยสงฆ์ก็ให้ศีลให้พร และท่านได้เทศน์ให้ สติเตือนใจอีกว่า


    “นี่แหละ การเบียดเบียนท่านผู้มีศีลย่อมได้รับกรรมทันตาเห็นจะหาว่าไม่มีบาปมีบุญที่ไหนได้ ศาสนามีทั้งคุณและโทษ ถ้าผู้ปฏิบัติดีก็นําพาจิตใจคนเหล่านี้ขึ้นสวรรค์นิพพาน ถ้าคนเหล่านี้ปฏิบัติไม่ดี ก็พาคนเหล่านั้นตกนรกอเวจีก็มีมาก เรื่องบาปกรรมย่อมไม่ยกเว้นให้ กับใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นพระเณร หรือเจ้านายชั้นไหนๆ ก็ตาม ถ้าทําบาปลงไปเป็นบาปทั้งนั้น ไม่มีการยกเว้น ลําเอียง”
    .jpg
    บริเวณวัดถ้ำผาปู่


    พ.ศ.๒๔๗๗ เป็นต้นมา หลวงปู่คําดี ปภาโส หลังจากล้มป่วยลงมาจากป่าเขาพงไพรแล้ว อาการต่างๆในร่างกายของท่านอ่อนแอมาตลอด หลวงปู่เป็นผู้มีจรรยาวัตรการธุดงค์และการ ประพฤติดีปฏิบัติชอบมาตลอด หลวงปู่มีลูกศิษย์มากมายทั้งเป็นสงฆ์และฆราวาสโดยทั่วไป บุคคลผู้ที่ไม่เคยพบหลวงปู่คําดี เลยเพียงได้ยินชื่อหรือภาพที่เผยแพร่ออกไปยังหมู่ชนเท่านั้นก็บังเกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้า สละบ้านการงานมาศึกษา


    -จ.เลย.jpg
    ทางเข้าถ้ำผาปู่

    ต่อมา หลวงปู่คําดี ได้ไปพบถ้ําผาปู่ ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นสภาพป่า แต่เป็นสถานที่เก่าแก่ของวัดโบราณ และได้รกร้างมานาน หลวงปู่คําดี เข้าไปปักกลดบําเพ็ญภาวนาเห็นว่ามีความสงบ วิเวกดี เหมาะแก่การปฏิบัติ ต่อไปภายหน้าจะมีผู้ที่สนใจใคร่ประพฤติธรรมมาใช้สถานที่แห่งนี้กันมาก ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันสร้างกุฏิหลังหนึ่งเพื่อถวายหลวงปู่อยู่จําพรรษา ต่อมาชื่อเสียงของ หลวงปู่คําดี พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ได้ขจรไปยังชาวจังหวัดเลยมากขึ้น
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    -วัดถ้ำผาปู่.jpg
    หลวงพ่อพระเศียร วัดถ้ำผาปู่
    จนมีผู้ศรัทธาทั้งหลายในจังหวัดพากันสละเงิน เสริมสร้างเสนาสนะมากขึ้นหลายหลังอีกทั้ง ศาลาหลังใหญ่ขึ้นอีกหลังหนึ่ง ชาวบ้านทั้งหลายจึงนิมนต์หลวงปู่อยู่จําพรรษาที่วัดถ้ําผาปู่จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต เป็นที่น่ายินดีที่ชาวจังหวัดเลย ได้เพชรน้ํางามที่เจียระไนแล้วมาเป็นมิ่งขวัญ ประดับจิต ประดับใจ แห่งชีวิตด้วยร่างกายของท่านไม่ดี ท่านมักเตือนลูกศิษย์ของท่านเสมอว่า
    “ร่างกายสังขารของผมแย่พอสมควรแล้ว ถ้าเป็นรถยนต์ก็ทิ้งได้แล้ว ถ้าหากผมล้มป่วยคราวนี้ คงไม่ไหวแน่ ถ้าหมู่คณะจะรักษาร่างกายผมก็รีบจัดการรักษาเสีย”
    พวกสานุศิษย์ทั้งหลายเห็นท่านพอเดินได้ พูดได้ ฉันได้ เทศน์ได้ ก็พากันใจเย็นและจัดหาให้ฉันตามปกติ แต่ไม่ได้พาหลวงปู่เข้าตรวจรักษาที่โรงพยาบาล ต่อมาวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๖ ตอนเช้าหลังจากฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกญาติโยมทั้งหลายมาพร้อมกันแล้ว ท่านก็พูดว่า
    “มาฟังเทศน์กัน อาตมาจะเทศน์ครั้งสุดท้าย ต่อไปจะไม่ได้เทศน์อีกแล้ว จะไม่ได้ ประพรมน้ําพระพุทธมนต์อีกแล้ว และจะไม่ได้พูดกันอีกต่อไป”
    พระลูกศิษย์และโยมทั้งหลาย เมื่อได้ฟังคําพูดของหลวงปู่อย่างนั้นก็พากันแปลกใจ แต่ไม่มีผู้ใดเฉลียวใจว่า คําพูดของท่านนั้นเป็น การพูดครั้งสุดท้ายจริงๆ หลวงปู่เริ่มเทศน์เรื่อง “ความไม่ประมาท”
    เมื่อท่านเทศน์จบ ลูกศิษย์ลากลับแล้ว ท่านเข้าพักผ่อนตามอัธยาศัยของท่าน จนกระทั่ง เวลา ๑๕.๐๐ น. ของวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๖ ท่านเดินเข้าห้องน้ําล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ท่านก็พูดขึ้นว่า “ผมเป็นลม”
    ขณะนั้นมีพระอุปัฏฐากท่าน ๔ รูป ได้ประคองท่านนอนลงที่อาสนะ เมื่อนอนลงแล้วท่านไม่พูดไม่คุยกับใครทั้งนั้น มีแต่นอนเฉยๆ ไม่มีการขยับตัว ลูกศิษย์ต่างก็พากัน ตกใจ ต่างก็หายามาให้ท่านฉัน แต่ไม่หาย จนถึงเวลา ๑๘.๐๐ น. ก็ให้โยมไปเชิญหมอจากโรงพยาบาล มาตรวจดูอาการของหลวงปู่ มีการฉีดยาให้น้ําเกลือ ท่านก็ยังไม่ฟื้น
    รุ่งขึ้นวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๖ คุณหมอก็สวนปัสสวะให้ท่าน สายยางที่สวนเข้าไป ทําให้เกิดเป็นแผลภายใน เลือดไหลไม่หยุด ลูกศิษย์จึงปรึกษาว่าควรพาไปรักษาตัวในกรุงเทพฯ วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๖ คณะศิษยานุศิษย์นําหลวงปู่ถึงโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ตรวจสอบอาการของหลวงปู่ แล้วให้การบําบัดรักษา ประมาณ ๙ เดือน อาการหลวงปู่ดีขึ้นเป็นลําดับ ศิษยานุศิษย์ จึงเห็นสมควรให้ท่านกลับ วัดถ้ําผาปู่

    134086024-864x1024.jpg
    หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่นิมิตร

    ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๗ อาการไข้ได้กําเริบขึ้นอีก นายแพทย์ปัญญา ส่งสัมพันธ์ จึงส่งรถพยาบาลมารับท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญาที่กรุงเทพฯ อีก คราวนี้ มีแต่ทรงกับทรุดมาตลอด พอถึงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๗ เวลา ๑๓.๑๓ น. หลวงปู่ท่าน ก็สิ้นลมจากไปด้วยอาการสงบ
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดรับเป็นเจ้าภาพบําเพ็ญพระราชกุศล ตลอด ๗ วัน และบําเพ็ญพระราชกุศล ๕๐ วันและ ๑๐๐ วันตามลําดับ
    สําหรับอาพาธของหลวงปู่รวมสองครั้งดังนี้ ครั้งแรก เป็นเวลา ๙ เดือนครั้งที่สอง เป็นเวลา ๙ เดือน
    สิริรวมอายุจนถึงวันมรณภาพได้ ๘๓ ปี รวมพรรษาธรรมยุตได้ ๕๗ พรรษา ๓ เดือน ๒๓ วัน
    ปี พ.ศ.๒๔๗๑ จําพรรษาที่ วัดบ้านยาง ตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
    ปี พ.ศ.๒๔๗๒ จําพรรษาที่ วัดป่าสาลวัน อําเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
    ปี พ.ศ.๒๔๗๓-๒๔๗๕ จําพรรษาที่ วัดป่าหนองกุ บ้านหนองคู ตําบลบ้านหว้า อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
    ปี พ.ศ.๒๔๗๖-๒๔๘๐ จําพรรษาที่ วัดป่าช้าดงขวาง ตําบลหัวทะเล บ้านโนนฝรั่ง จังหวัดนครราชสีมา
    ปี พ.ศ.๒๔๘๑ จําพรรษาที่ วัดป่าอภัยวัน บ้านทุ่ม ตําบลบ้านทุ่ม อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
    ปี พ.ศ.๒๔๘๒-๒๔๘๖ จําพรรษาที่ วัดถ้ํากวาง บ้านหินร่อง ตําบลเมืองเก่า อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
    ปี พ.ศ.๒๒๔๘๗-๒๔๙๓ จําพรรษาที่ วัดป่าชัยวัน ตําบลเมืองเก่า อําเภอเมือง จังหวัด ขอนแก่น
    ปี พ.ศ.๒๔๙๔ จําพรรษาที่ วัดป่าอรัญญวาสี บ้านเหล่านาดี ตําบลบ้านหว้า อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
    ปี พ.ศ.๒๔๙๕ จําพรรษาที่ วัดป่าชัยวัน ตําบลเมืองเก่า อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
    ปี พ.ศ.๒๔๙๖-๒๔๙๗ จําพรรษาที่ วัดป่าคีรีวัน คําหวายยาง ภูพานคํา ตําบลบ้านกง อําเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น
    ปี พ.ศ.๒๕๕๘-๒๕๐๘ จําพรรษาที่ วัดถ้ําผาปู่เขานิมิตร ตําบลนาอ้อ อําเภอเมือง จังหวัดเลย
    ปี พ.ศ.๒๕๐๙ จําพรรษาที่ วัดป่าหนองแซง ตําบลหมากหญ้า อําเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
    ปี พ.ศ.๒๕๑๐-๒๕๒๕ จําพรรษาที่ วัดถ้ําผาปู่เขานิมิตร ตําบลนาอ้อ อําเภอเมือง จังหวัดเลย
    ปี พ.ศ.๒๕๒๖-๒๕๒๗ จําพรรษาที่ โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา คลองตัน หัวหมาก กรุงเทพฯ (เพื่อรักษาโรค)
    ปี พ.ศ.๒๔๙๙ วันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูญาณทัสสี พระครูชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
    ปี พ.ศ.๒๕๒๑ วันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครู ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
    ธรรมโอวาท และเจ้า
    ท่านมักจะอบรมลูกศิษย์ของท่านอยู่เสมอๆว่า “เรามีตาเท่ากับว่าไม่มีตา มีหูเท่ากับว่าไม่มีหู มีท้องก็ฉันอยู่ได้ไปวัน ๆ เท่านั้น ไม่ต้องแสดงความโลภและตะกละ” ให้พากันสําเหนียก ไว้เรื่องของความโลภ ความโกรธ ความหลง จะต้องมีด้วยกันทุกคนถ้าพูดถึงความโลภ เมื่อมันมี เจตนาบันดาลเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะมืด ไม่รู้จักบาปบุญ ไม่กลัวคุกกลัวตะราง อันนี้เรียกว่าฤทธิ์ ของมัน ท่านจงให้ระวังดี ๆ ในเรื่องของสามประการนี้ท่านสอนว่า อย่าไปปรุงแต่งตามมัน ให้มีสติ รู้เท่าทันมัน เมื่อเราปฏิบัติได้อย่างนี้แล้วความโลภ ความโกรธ ความหลง เหล่านี้ก็จะเสื่อมอํานาจไป ตัวอย่างเช่น เมื่อเราประสงค์จะเอาสิ่งใด เราจะต้องพิจารณาเหตุเสียก่อน เมื่อพิจารณาดูแล้วว่ามัน ไม่ผิดศีลธรรม เราก็สามารถเอาได้ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วว่ามันผิดศีลผิดธรรม เราก็ละเสียไม่เอา นี่แสดงว่าเราไม่ปรุงแต่งตามมัน ในความอยากได้หรือความโลภ และเราก็มีสติรู้เท่ามัน คือมีการ พิจารณาในเหตุในผลเสียก่อน ถ้าเราประพฤติได้ในลักษณะนี้ เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนดี กระทําแต่ในสิ่งที่ดี มีแต่บุญกุศล ถ้าพูดสั้นๆ ก็หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีผลเท่านั้น คือถ้าเราทําเหตุดี ก็จะได้รับผลดี แต่ถ้าเราทําเหตุชั่ว เราก็จะได้รับผลชั่ว

    “แต่การที่จะทําเหตุที่ดีนั้น มนุษย์เราทํากันยากนักยากหนา ที่ว่าทํายากเพราะอะไร ? คือมนุษย์บางเหล่าไม่รู้จักเหตุและผล จึงไม่รู้จักเลือกเฟ้นทําเหตุที่ดีกัน และอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกเรานี้ไม่ค่อยชอบกระทําเหตุที่ดีกัน แต่ผลดีของมันนั้นชอบกันทุกคน”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2021
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (cont.)
    ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย คําว่าตาย ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าร่างกายเราตาย หมายถึงจิตใจคนเราตาย คือตายจากมรรคผลนิพพานต่างหาก ความไม่ประมาทเป็นหนทางแห่งความไม่ตาย คือไม่ประมาทต่อการทําความดี ได้แก่ ศีล สมาธิปัญญา มีโอกาสจะได้ไปสวรรค์ พรหมโลก หรือมรรคผลชั้นใดชั้นหนึ่ง ตลอดถึงพระนิพพานข้างหน้าแน่นอน ช้าหรือเร็วแล้วแต่บุญบารมีหรือ ความพากเพียรของตนเอง
    “ความไม่ประมาท คือ เป็นผู้มีสติจดจ่ออยู่ที่ กาย และใจ ทุกอิริยาบถทั้ง ๔ คือยืน เดิน นั่ง นอน ไม่มีการเผลอสติจากอิริยาบถทั้ง ๔ จึงจัดว่าเป็นผู้ไม่ประมาทเข้าใจไหม (ท่าน ถามลูกศิษย์)” นี่คือเทศน์ครั้งสุดท้ายของท่านก่อนที่จะล้มป่วยลง
    คําว่าฟังเทศน์หมายความว่า เอาใจฟังอย่าให้ใจหนีจากตัว ใจผู้ใดก็ให้รักษาอยู่กับตัวอย่าให้ ใจหนีจากตัว ใจผู้ใดก็ให้รักษาอยู่กับตัวให้รู้อยู่กับภาวนาหรือให้รู้อยู่เฉพาะใจ อย่าให้ร่างกายนั่งอยู่ ที่นี่แต่ใจมันคิดไปที่อื่น ก็ชื่อว่าใจไม่ฟัง คําว่าใจฟังคือใจจดจ่อ สอนให้ละความชั่วประพฤติความดี ความชั่วก็ได้แก่บาปนั่นแหละ ความดีก็ได้แก่บุญกุศลนั่นแหละ แต่เกี่ยวเนื่องอยู่กับจิตใจของเรา ถ้าพูดให้สั้น ๆ เอาเฉพาะใจความโอวาทของพระพุทธเจ้า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ท่านก็ย่อลงมาเป็น ๓ ข้อด้วยกัน คือ
    ๑. พระพุทธเจ้าสอนให้ละ กายทุจริตและประพฤติกายให้สุจริตนี้เป็นข้อที่หนึ่ง
    ๒. ให้ละ วาจาทุจริตและ ให้ประพฤติวาจาให้สุจริต
    ๓. ให้ละ มโนทุจริตและ ให้ประพฤติใจให้สุจริต
    จะพูดถึงบาป อกุศลกรรมบทหมายความว่า การทําบาปทั้งหลายก็รวมมาอยู่ที่อกุศลกรรมบท ๑๐ ประการนั่นแหละ คําว่าบุญกุศลก็รวมอยู่ที่กุศลกรรมบท ๑๐ ประการ นั่นแหละชื่อว่ากายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ ถ้าพูดให้สั้นให้น้อยลงไปอีก กายกรรม ๓ และวจีกรรม ๔ เป็นกิริยา การทําบาป ย่นลงมาทางใจคือ ใจโลภ ใจโกรธ ใจหลง มี ๓ อย่างเท่านี้แหละเป็นต้นเหตุ ตกลงอกุศลกรรมบทก็หมายใจเท่านี้แหละเป็นต้นเหตุ ตกลงอกุศลกรรมบทก็หมายใจเท่านั้น หมายใจดวงเดียวคือใจ ก็หมายอันเดียวเรียกว่า เอกังจิตตัง ที่เรียกว่า จิต หัวใจ ก็เรียกว่าเป็นใจดวงเดียว เอกมโนเรียกว่า ใจอันเดียว ตกลงผู้ที่เบื่อความทุกข์ เบื่อความโง่ เบื่อความเป็นบาป ก็มาปฏิบัติแก้ กายทุจริตให้เป็นกายสุจริต แก้วจีทุจริต ให้เป็นวจีสุจริต แก้มโนทุจริต เป็นมโนสุจริต นี้เป็นวิธีปฏิบัติ ถ้าเราจะเทียบในทางโลกเหมือนกับพวกชาวไร่ชาวนาที่มีไร่มีนา แต่ก่อนมันก็เป็นป่าเป็นดงนั่นแหละ เมื่อถือสิทธิ์แล้วก็จึงสร้างจึงถากถาง ทําให้เป็นไร่เป็นสวนทําให้บริสุทธิ์ ทํานาก็ให้เป็นนา จริงๆ ทําสวนก็ให้เป็นสวนจริง ๆ

    คนทุกข์คนจนในโลกนี้ไม่ใช่ทุกข์เพราะเสือกิน ไม่ใช่ทุกข์เพราะงูร้ายกัด ไม่ใช่ทุกข์เพราะ ช้างฆ่า แต่ทุกข์เพราะความโลภ ความโกรธความหลงของตน จะทุกข์เพราะสิ่งใด ๆ ก็ตาม ตัว ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่แหละเป็นผู้ฆ่า
    ความโลภ
    ความโกรธ
    ความหลง
    สามสิ่งนี้ร้ายกาจกว่าสิ่งอะไรทั้งหมดร้ายกว่าผีร้าย ร้ายกว่าเสือร้าย ร้ายกว่างูร้าย ไม่มีสิ่งไหน จะร้ายกว่าตัวความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะฉะนั้นให้ระวังที่สุดเรื่องของความโลภ ความโกรธ ความหลง สามประการนี้ มันสามารถทําให้ผู้รู้แจ้งเป็นคนมืดก็ได้ ฤทธิ์ของมันน่ะ มันอยู่เหนือทุกคนในโลกที่ได้เกิดมาในโลกนี้ ยกเว้นเสียแต่พระอรหันต์
    ปัจฉิมบท
    ด้วยความขยัน อดทน พากเพียร และจริงใจในการปฏิบัติบูชา เพื่อมุ่งหวังในพระธรรม เป็นผลให้หลวงปู่ได้พบทางแห่งการดับทุกข์และพ้นทุกข์ และเป็นที่ทราบกันดีว่า หลวงปู่คําดี ปภาโส แห่งวัดถ้ําผาปู่ จังหวัดเลย เป็นพระสุปฏิปันโน

    -ปภาโส.jpg
    เจดีย์ธรรมหลวงปู่คำดี ปภาโส
    -ปภาโส-ภายในเจดีย์.jpg
    รูปหล่อหลวงปู่คำดี ปภาโส ภายในเจดีย์
    ธรรมโอวาท และการปฏิบัติของหลวงปู่ที่ปรากฏในข้อความข้างต้นนี้คงจะเป็นประโยชน์ ต่อผู้สนใจใฝ่ธรรมทุกท่าน

    -หลวงปู่คำดี-ปภาโส-ภายในเจดีย์.jpg
    เครื่องอัฐบริขาร หลวงปู่คำดี ปภาโส ภายในเจดีย์
    -ปภาโส.png
    อัฐิธาตุหลวงปู่คำดี ปภาโส
    ขอบพระคุณที่มา:- https://www.108prageji.com/หลวงปู่คำดี-ปภาโส/
     
  21. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,301
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049

แชร์หน้านี้

Loading...